LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแบน)

ข้อ 1. นายเมฆครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายหมอกจนได้กรรมสิทธิ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ภายหลังต่อมานายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงเดียวกันนี้ให้นายฟ้าโดยเสน่หา ครั้นนายฟ้าเข้าอยู่ในที่ดิน จึงพบว่านายเมฆได้อาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว นายฟ้าจึงฟ้องขับไล่นายเมฆต่อศาล นายเมฆยกข้อต่อสู้ว่าตนได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว นายหมอกย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น การที่นายฟ้ารับโอนที่ดินจากนายหมอกซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ นายฟ้าย่อมไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย ตามหลักผู้รับโอนไม่มิสิทธิดีกว่าผู้โอน

หากท่านเป็นผู้พิพากษาจะวินิจฉัยคดีนี้เช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดของนายหมอกโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเมฆเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น นอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายเมฆยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายเมฆจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายเมฆจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายฟ้านั้นเป็นการโอนให้โดยเสน่หา จึงถือว่านายฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับโอนที่ดินมาโดยไม่มีค่าตอบแทน ดังนั้น ถึงแม้นายฟ้าจะได้รับโอนที่ดินมาโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตก็ตาม นายฟ้าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย นายเมฆจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า นายฟ้าจะฟ้องขับไล่นายเมฆไม่ได้

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายเมฆเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า

 

ข้อ 2. แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน หลังจากแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งกับกล้าทายาทของแก้ว ต่อมาเก่งกับกล้าได้จดทะเบียนแบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สองซึ่งบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้าน ต่อมากล้าทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงที่สองให้ชัย หลังจากชัยรับโอนที่ดินแล้วพบว่าบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ชัยจึงเรียกให้เก่งรื้อถอนบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของตนออกไป ดังนี้ เก่งจะต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัยหรือไม่ และบุคคลทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นตามมาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าของโรงเรือนได้ปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนนั้นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน เมื่อแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งและกล้าทายาทของแก้ว และเมื่อเก่งกับกล้าได้แบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สอง และบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้านนั้น กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1312 เพราะการที่ส่วนของบ้านเก่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้านั้น มิได้เกิดจากการที่เก่งเจ้าของโรงเรือนเป็นผู้สร้างโรงเรือน แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้า แต่เป็นกรณีที่ตอนแรกมีโรงเรือนปลูกบนที่ดินแปลงเดียว แล้วต่อมาได้มีการแบ่งที่ดินแปลงนั้นเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ทำให้โรงเรือนนั้นไปรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นที่รับการแบ่งไป

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับตามข้อเท็จจริงดังกล่าว (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง)

จึงถือว่าเป็นกรณีที่เก่งได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้าโดยสุจริต เมื่อกล้าได้จดทะเบียนขายที่ดินให้ชัยไปแล้ว ชัยผู้รับโอนจึงไม่สามารถฟ้องให้เก่งรื้อถอนโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำ แต่ชัยมีสิทธิเรียกให้เก่งใช้เงินเป็นค่าใช้ที่ดินและดำเนินการจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้บ้านของเก่ง และถ้าภายหลังบ้านของเก่งสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้ (เทียบฎีกาที่ 1511/2542 และฎีกาที่ 6593/2550)

สรุป

เก่งไม่ต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัย แต่เก่งจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าใช้ที่ดินและเรียกให้ขัยไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ ส่วนชัยมีสิทธิได้รับเงินค่าใช้ที่ดินจากเก่งและมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้เก่ง และถ้าภายหลังบ้านสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้

 

ข้อ 3 ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันได้เป็นเวลา 6 ปี โดยแตนไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของดวง พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ก่อนเข้ารับโทษจำคุกดวงมอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาดูแลเผ้าสวนทุเรียนแทนต่อมาเมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วดวงกลับไปครอบครองทำสวนทุเรียนของแตนอีกสามปี แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าดวงจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่ง นับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2 ได้ครอบครองโดยความสงบ

3 ครอบครองโดยเปิดเผย

4 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5 ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั้น ดวงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจบครบกำหนด 10 ปี การที่ดวงได้ครอบครองได้ 6 ปี พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนนั้น โดยหลักย่อมถือว่าเป็นการขาดการยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นกรณีที่ดวงได้ขาดการครอบครองโดยไม่สมัครใจ อีกทั้งยังปรากฏว่าดวงได้มอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาเฝ้าสวนทุเรียนไว้แทน จึงทำให้การครอบครองของดวงยังถือว่าเป็นการครอบครองต่อเนื่องอยู่ตามมาตรา 1368 ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่ดวงได้สิทธิครอบครองโดยให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทน การครอบครองของดวงจึงสามารถนับติดต่อกันมาได้โดยตลอด

และจากข้อเท็จจริง เมื่อดวงได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวได้ 6 ปี และรวมกับที่ดินได้ครอบครองไว้แทนดวงอีก 1 ปี 6 เดือน และรวมกับเมื่อดวงได้เข้าครอบครองหลังพ้นโทษจำคุกแล้วอีก 3 ปี จึงเป็นการครอบครองที่ติดต่อกันรวม 10 ปี 6 เดือน โดยภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นแตนไม่เคยฟ้องขับไล่หรือขจัดให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ดังนั้น จึงถือว่าดวงได้ครอบครองที่ดินของแตนโดยสงบ เปิดเผยและโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันครบ 10 ปี ดวงจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแตนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้ไม่ได้

สรุป

ดวงสามารถอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้

 

ข้อ 4. นายกล้วยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็ง โดยทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินติดคลองลัดมะยม ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้เป็นทางสัญจรไปมาทางเรือได้ตลอดเวลา ส่วนอีกสามด้านของที่ดินถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของนายใบตอง โดยทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินนายใบตองติดถนนซึ่งมีประชาชนใช้สัญจรไปมา แต่เนื่องจากการขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้าของนายกล้วยทางเรือผ่านคลองลัดมะยมนั้นไม่สะดวก นายกล้วยจึงขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกัน โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาท

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยเป็นภาระจำยอมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

วินิจฉัย

“ภาระจำยอม” ตามมาตรา 1387 เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิ์ โดยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งเรียกว่า “ภารยทรัพย์” ต้องรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนถึงทรัพย์สินของตน หรือทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์อื่น ที่เรียกว่า “สามยทรัพย์” คือจะทำให้ตัวสามยทรัพย์ได้รับประโยชน์หรือได้รับความสะดวกขึ้นนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกล้วยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็งได้ขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกันเพี่อประโยชน์แก่การขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้า โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายกล้วยเจ้าของสามยทรัพย์ได้ขอใช้ภารยทรัพย์ (ที่ดินของนายใบตอง) เพื่อประโยชน์ของตัวบุคคลที่อยู่บนสามยทรัพย์ มิใช่เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะของภาระจำยอมตามมาตรา 1387 ดังนั้น การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยจึงไม่เป็นภาระจำยอม

สรุป

การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยไม่เป็นภาระจำยอม

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชมกับนายชิดทำสัญญากันเอง โดยนายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว หลังจากนายชิดอยู่ในที่ดินและบ้านนั้นได้ 10 ปี นายชมทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินให้นายแสงแต่สัญญาไม่มีการระบุเรื่องบ้านแต่อย่างใด จากนั้นนายแสงแจ้งให้นายชิดย้ายออกไปจากบ้านและที่ดินนั้น แต่นายชิดต่อสู้ว่าตนเป็นผู้สร้างบ้าน จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านนั้น และต้องการรื้อถอนบ้านออกไปด้วย แต่นายแสงไม่ยินยอม

ดังนี้ ระหว่างนายชิดกับนายแสงผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวดีกว่ากัน และนายชิดจะรื้อถอนบ้านออกไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และมีข้อตกลงกันว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีนั้น เมื่อนายชิดปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินของนายชม จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างบ้านไว้ในที่ดินนั้นด้วย ดังนั้นบ้านที่นายชิดได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างที่สัญญายังไม่ครบกำหนด กรรมสิทธิ์ในบ้านจึงยังเป็นของนายชิด ยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชม

หลังจากนายชิดได้สร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของนายชมได้เพียง 10 ปี การที่นายชมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายแสง แม้ในสัญญาจะไม่มีการระบุเรื่องบ้านไว้ก็ตาม นายแสงก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น เพราะนอกจากบ้านจะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว นายแสงก็เป็นเพียงผู้รับโอนที่ดินจากนายชมย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายชมผู้โอน ดังนั้นนายชิดจึงสามารถที่จะรื้อถอนบ้านออกไปได้

สรุป

นายชิดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าวดีกว่านายแสงและสามารถรื้อถอนบ้านออกไปได้

 

ข้อ 2. นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วน และนายป้อมได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองเพื่อสร้างบ้านแล้ว และทั้งสองตกลงจะชำระราคาส่วนที่เหลือทั้งหมดในวันทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันภายในสองเดือนนับจากวันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ก่อนถึงวันทำสัญญาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินนั้นให้นายเหมือน ซึ่งนายเหมือนรู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามชระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้…”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุกคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยูก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1300 “บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” และอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้นั้น ถ้าเป็นบุคคลผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม จะต้องเป็นการได้มาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น ถ้าเป็นผู้ที่ได้มาในฐานะผู้จะซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องเป็นผู้ที่ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และไต้รับมอบหรือเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่เพียงการโอนทางทะเบียนเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 8698/2549) เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้แก่นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วนนั้น แม้นายป้อมจะได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองแล้วก็ตาม นายเปี๊ยกผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินก็มีเพียงบุคคลสิทธิในอันที่จะบังคับให้นายป้อมไปทำการโอนขายที่ดินให้แก่นายเปี๊ยกตามสัญญาเท่านั้น นายเปี๊ยกหามีทรัพยสิทธิเหนือที่ดินนั้นไม่ นายเปี๊ยกจึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ตามมาตรา 1300 ดังนั้น นายเปี๊ยกจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายเปี๊ยกได้ชำระราคาบางส่วนและเข้าครอบครองที่ดินที่จะซื้อขายแล้ว อีกทั้งตอนที่นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายเหมือนนั้น นายเหมือนได้รู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นนายเปี๊ยกอาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 237 (คำพิพากษาฎีกาที่ 90/2516, 1731/2518, 3454/2533)

สรุป

นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ไม่ได้เพราะมิใช่เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแต่อาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา 237 ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกับได้ 7 ปี โดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้น แต่นายคงไม่รู้เรื่องดังกล่าว พอขึ้นปีที่ 8 นายมั่นเลิกครอบครองและทำนาในที่ดินนั้น แล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นายมั่นขับรถแท็กซี่ได้เพียง 10 เดือนก็เปลี่ยนใจกลับมาทำนาในที่ดินแปลงเดิมของนายคงอีก 3 ปี นายคงรู้เรื่องจึงแจ้งให้นายมั่นออกไปจากที่ดินนั้น แต่นายมั่นอ้างว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว นายคงไม่มีสิทธิให้ตนออกไปจากที่ดินนั้น ดังนี้ ระหว่างนายมั่นกับนายคงผู้ใดมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวดีกว่ากัน เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกันได้ 7 ปีโดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้นถือว่านายมั่นเป็นผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกันได้เพียง 7 ปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และเมื่อนายมั่นได้เลิกการครอบครองและทำนาในที่ดินนั้นแล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นั้น ย่อมถือว่านายมั่นมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองของบายมั่นจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 1384 และเมื่อนายมั่นเปลี่ยนใจกลับมาครอบครองและทำนาในที่ดินแปลงนั้นอีกครั้งจึงต้องเริ่มต้นนับระยะเวลาการครอบครองใหม่

และเมื่อปรากฏว่านายมั่นได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 3ปี ยังไม่ครบ 10 ปีนายมั่นจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้นจึงถือว่านายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดีกว่านายมั่น

สรุป

นายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดีกว่านายมั่น

 

ข้อ 4. นายเสือทำถนนผ่านที่ดินของนายช้างเพื่อนำรถยนต์ผ่านเข้า-ออก ติดต่อกันจนได้ภาระจำยอมเป็นทางกว้าง 3 เมตร ต่อมาน้ำท่วมถนนดังกล่าวนานกว่าสองสัปดาห์ทำให้ถนนรุดเสียหายรถยนต์ผ่านเข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือต้องการซ่อมถนนโดยทำเป็นถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำที่ไหลเพิ่มขึ้น ดังนี้ นายเสือจะทำถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำเพิ่มได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดีแต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือเป็นผู้มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายช้างโดยอายุความปรปักษ์นั้น เมื่อต่อมาได้เกิดน้ำท่วมถนนดังกล่าวนาน 2 สัปดาห์ ทำให้ถนนชำรุดเสียหายและทำให้นายเสือนำรถยนต์เข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือย่อมมีสิทธิซ่อมทางภาระจำยอมโดยทำเป็นถนนแอสฟ้ลท์ได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 แต่นายเสือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

แต่การที่นายเสือต้องการทำท่อระบายน้ำที่ไหล่ทางเพิ่มขึ้นนั้น นายเสือไม่สามารถทำได้เพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388

สรุป

นายเสือสามารถทำถนนแอสฟัลท์ได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง แต่นายเสือจะทำท่อระบายน้ำเพิ่มไม่ได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปี นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ปลูกต้นกระถินไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่า ทำถนนคอนกรีต ทางจากรั้วถึงตัวบ้านเสียค่าก่อสร้างต่อเติมทั้งหมด 300,000 บาท โดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้ เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่านายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปีนั้น เมื่อบ้านเป็นส่วนควบกับที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดง ดังนั้น การที่นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ครัวและห้องน้ำที่ต่อเติมและสร้างใหม่ย่อมเป็นส่วนควบกับบ้านตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 144 วรรคสอง

ต้นกระถินที่นายดำปลูกไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่านั้น เมื่อต้นกระถินเป็นไม้ยืนต้นและเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของที่ดินตามมาตรา 144 วรรคสอง

ส่วนถนนคอนกรีตซึ่งนายดำได้ทำเป็นทางจากรั้วถึงตัวบ้านโดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้นั้นถือเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเช่นกันตามมาตรา 144 วรรคสอง

เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า นายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ ดังนี้ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่นายดำได้ต่อเติมหรือทำขึ้นมาดังกล่าวข้างต้นนั้น เมื่อเป็นส่วนควบกับบ้านและที่ดินย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของบ้านและที่ดินนั้นตามมาตรา 144 วรรคสอง อีกทั้งการที่นายแดงได้อนุญาตให้นายดำกระทำการดังกล่าวได้นั้น นายแดงก็มิได้มีการตกลงว่าจะชดใช้ราคาให้แก่นายดำแต่อย่างใด

สรุป

นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายชาติเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีเขตที่ดินต่อกับที่ดินของนายชัย นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตน และขณะที่ผู้รับเหมาลงมือก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นถึงขั้นกำลังทำหลังคาบ้าน นายชัยจึงขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดินปรากฏว่ารั้วกำแพงส่วนหนึ่งและตัวบ้านทั้งหลังที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านต่อไปจนแล้วเสร็จนายชัยต้องการให้นายชาติรื้อถอนบ้านและรั้วกำแพงที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ นายชาติต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามที่นายชัยต้องการหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1311 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้ เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้น แล้วแต่จะเลือก”

มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกลํ้าเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีของรั้วกำแพง การที่นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงโดยมีส่วนหนึ่งอยู่ในที่ดินของนายชัย แม้นายชาติจะได้กระทำโดยสุจริตเพราะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อรั้วกำแพงนั้นไม่ใช่โรงเรือนหรือส่วนควบของโรงเรือน กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัย
  2. กรณีของบ้าน แม้ในขณะที่มีการลงมือก่อสร้างบ้านนั้น นายชาติจะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อนายชัยได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน และปรากฏว่าตัวบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติยังบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ กรณีนี้จึงถือได้ว่าเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามมาตรา 1311 ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

สรุป

นายชาติต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัยและต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

 

ข้อ 3. นายจันทร์เป็นน้องของนายอาทิตย์ ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งโดยมีส่วนกันคนละครึ่ง นายจันทร์ได้ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์มีข้อความมอบอำนาจให้นายจันทร์นำที่ดินแปลงที่ทั้งสองคนมีกรรมสิทธิ์รวมไปขาย และนายจันทร์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายอังคาร ในระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดนัดโอนที่ดินที่ซื้อขายให้กับนายอังคาร นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้เป็นของนายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์กลายเป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลง

ให้ท่านวินิจฉัยผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ทำระหว่างนายจันทร์และนายอังคาร ดังนี้

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1361 “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้

แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน

ถ้าเจ้าของรวมคนใดจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันทรัพย์สินโดยมิได้รับความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน แต่ภายหลังเจ้าของรวมคนนั้นได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่ผู้เดียวไซร้ ท่านว่านิติกรรมอันนั้นเป็นอันสมบูรณ์”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. เมื่อนายจันทร์และนายอาทิตย์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง โดยมีส่วนกันคนละครึ่ง และก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย การที่นายจันทร์ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์และไปทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่นายอังคารนั้น ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าว จึงไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่มีผลผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์ (ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)
  2. หลังจากนายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและได้ทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้แก่นายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งแปลง ดังนั้นย่อมมีผลทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง (ตามมาตรา 1361 วรรคสาม)

สรุป

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่ผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง

 

ข้อ 4. น้ำเสนอขายที่ดินแปลงหนึ่งของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงได้ซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้ภายหลัง ฝนจึงปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น แต่ยังไม่ทันที่ฝนจะปลูกบ้านเสร็จ น้ำตาย ฟ้าเป็นทายาทคนเดียวรับมรดกบ้านและที่ดินแปลงนั้นของน้ำมา ไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินของมรดกที่ฟ้าได้ด้วย

ให้ท่านอธิบายกับฝนว่า ฝนจะมีสิทธิเรียกร้องฟ้าอย่างใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฏหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่น้ำเสนอขายที่ดินของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ กรณีนี้ถือว่า ที่ดินที่ฝนซื้อจากน้ำได้ภาระจำยอม ได้ใช้ถนนและไฟฟ้าบนที่ดินของน้ำโดยทางนิติกรรมสัญญา ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ แต่ยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ เพราะการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวนั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว การที่น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้นั้น การแสดงเจตนาของน้ำดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการผูกพันคู่สัญญาแล้ว ทำให้ฝนสามารถเรียกร้องให้น้ำไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ตามสัญญา

การที่ฝนยังปลูกบ้านไม่เสร็จในขณะที่น้ำตายโดยมีฟ้าซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของน้ำรับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านของตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับมานั้น เมื่อการได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวของฝนจะไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิก็ตาม แต่ก็บริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา ซึ่งคำว่าคู่สัญญานั้นให้หมายความรวมถึง “ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา” ซึ่งได้แก่ทายาทของคู่สัญญาด้วย ดังนั้นเมื่อฟ้าเป็นทายาทผู้รับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิของน้ำ จึงต้องรับเอาสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของน้ำเจ้ามรดกด้วย (ตามมาตรา 1600)

ฝนจึงมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำและต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

สรุป

ฝนมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำ และต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอม ภายหลังต่อมานายอ้วนจดทะเบียนยกที่ดินแปลงเดียวกันให้นางสวยโดยเสน่หา โดยนางสวยไม่ทราบถึงภาระจำยอมที่นายผอมมีอยู่บนที่ดินมาก่อนเลย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางสวยจะห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอมนั้น ถือเป็นกรณีที่นายผอมได้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายอ้วน อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และเมื่อการได้ภาระจำยอมดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของนายผอมจึงยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้เพียงแต่มีผลบังคับกันระหว่างนายอ้วนและนายผอม ซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิเท่านั้น (ตามมาตรา 1299 วรรคแรก)

ดังนั้น เมื่อต่อมานายอ้วนได้จดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสวยโดยเสน่หา นางสวยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น และถือเป็นบุคคลภายนอก เมื่อการได้ภาระจำยอมของนายผอมไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิจึงไม่สามารถบังคับใช้กับนางสวยได้ นางสวยย่อมสามารถห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของนางสวยได้

สรุป

นางสวยห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของตนได้

 

ข้อ 2. นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของหลังจากนายเงินทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่าสิบปีแล้ว นายเงินให้นายทองเช่าที่ดินนั้นทำไร่ต่อจากตน หลังจากนายทองเช่าทำไร่ได้ห้าปี นายทองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า นายเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่า นายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ ระหว่างนายเงินและนายทองมีสิทธิใด ๆ ในที่ดินแปลงนี้ และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนี้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้นแม้นายเงินเข้าครอบครองทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว การเข้ายึดถือครอบครองของนายเงินย่อมไม่ทำให้นายเงินได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมสามารถยกเอาการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นยันผู้อื่นที่เข้ามารบกวนได้ในขณะเวลาที่ตนยังยึดถือครอบครองอยู่เท่านั้น

และเมื่อนายเงินไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าว นายเงินจึงไม่มีสิทธินำที่ดินนั้นไปให้นายทองเช่าทำไร่ต่อจากตน เมื่อนายเงินนำที่ดินไปให้นายทองเช่าต่อจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอม การกระทำของนายเงินจึงไม่มีผลทำให้นายทองได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด แต่จะมีผลเพียงเป็นการมอบการครอบครองที่ดินให้แก่นายทองเท่านั้น นายเงินจึงไม่ใช่ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นอีกต่อไป ดังนั้นนายเงินจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายทองผู้ครอบครองที่ดินนั้น เพราะกรณีนี้ย่อมถือว่านายทองมีสิทธิดีกว่านายเงิน

สรุป

ทั้งนายเงินและนายทองไม่มีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3. นายแดงมีที่ดินแปลงหนึ่งถูกล้อมโดยที่ดินของนายดำ นายขาว และนายเขียว ต่อมานายแดงถึงแก่ความตาย ที่ดินแปลงนี้จึงตกเป็นมรดกแก่นายเข้มและนายแข็ง เมื่อนายเข้มและนายแข็งแบ่งที่ดินมรดกกันเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่านายแข็งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนนายเข้มเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวก จึงมาปรึกษาท่าน

ขอให้ท่านให้คำปรึกษาแก่นายเข้มว่า นายเข้มจะมีสิทธิทำได้หรือไม่ โดยอาศัยข้อกฎหมายเรื่องใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลง

ที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเข้มและนายแข็งได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของนายเข้มถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้นกรณีนี้นายเข้มย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่นายเข้มจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน คือที่ดินของนายแข็งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้นจะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวกนั้น นายเข้มจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้

สรุป

นายเข้มไม่มีสิทธิขอทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายขาวได้ตามมาตรา 1350

 

ข้อ 4. แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งอยู่ติดกับแม่นํ้าเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ แดงกลัวว่าถ้าภายหน้าน้ำจะเซาะทางเดินแล้วทางเดินภาระจำยอมจะหายไป จึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำ แดงจะย้ายภาระจำยอมได้หรือไม่ ใครมีสิทธิย้ายได้ และจะต้องมีหลักเกณฑ์ตามกฎหมายอย่างไรบ้าง แต่ถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้าเมื่อเริ่มทำไปจะก่อผลอย่างไรกับภารยทรัพย์ และฟ้ามีสิทธิอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1389 “ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ท่านว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้”

มาตรา 1392 “ถ้าภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง”

วินิจฉัย

การย้ายภาระจำยอมไปส่วนอื่นของภารยทรัพย์ตามมาตรา 1392 นั้น เป็นสิทธิของเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้น เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิขอย้ายเว้นแต่เจ้าของภารยทรัพย์จะได้ตกลงยินยอมด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งติดอยู่กับแม่น้ำเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ และแดงกลัวว่าถ้าน้ำจะเซาะทางเดินหายไปจึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำนั้น แดงซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิย้ายทางเดินภาระจำยอมนั้นเพราะตามมาตรา 1392 ได้บัญญัติให้เฉพาะเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้นที่มีสิทธิย้ายภาระจำยอมส่วนในกรณีถ้าแดงจะทำทางใหม่ด้วยตนเองโดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้านั้น ถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388 และมาตรา 1389 และไม่ใช่เป็นการรักษาภาระจำยอม ซึ่งแดงไม่มีสิทธิที่จะทำ และถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในที่ดินของฟ้า ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม รวมทั้งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิม และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงผู้ทำละเมิดได้

สรุป

แดงจะย้ายภาระจำยอมไม่ได้ตามมาตรา 1392 และถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้า ย่อมเป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นกับภารยทรัพย์ ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม สั่งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิมและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แป๊ะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินนั้น ต่อมาแต๋วขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวเพิ่งรู้เรื่องการครอบครองของแป๊ะหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวจดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากแป๊ะ

ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างแป๊ะกับหนูผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนบั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แปะะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าแป๊ะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแต๋วโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง แต่การที่แป๊ะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว ท่าให้แป๊ะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค้าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว

การที่แต๋วทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะมาก่อน แมวจึงเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ดังนั้น แมวจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่าแป๊ะ และสามารถให้แป๊ะออกไปจากที่ดินได้ เพราะการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะสิ้นสุดลงแล้ว และถ้ามีการครอบครองปรปักษ์ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาใหม่

และเมื่อหลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงถือว่าหนูเป็นผู้สืบสิทธิของแมว ผู้ซึ่งมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ หนูจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ อีกทั้งการครอบครองปรปักษ์ครั้งใหม่ของแป๊ะก็เพิ่งครอบครองได้เพียง 1 ปีเท่านั้น

สรุป

หนูมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ

 

ข้อ 2. หาญเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ทิศเหนือติดทางสาธารณะซึ่งเป็นทางดินลูกรัง ส่วนด้านทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเอก โท และตรีตามลำดับ ต่อมาหาญถึงแก่ความตายเก่งและกล้าบุตรของหาญได้จดทะเบียนรับที่ดินมรดก โดยจดทะเบียนแบ่งที่ดินออกเป็นสองแปลง เก่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่า แต่เอกไม่ยินยอม

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เก่งและกล้าได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของกล้าถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น กรณีนี้กล้าย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่กล้าจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนคือที่ดินของเก่งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้น จะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่าแต่เอกไม่ยินยอมนั้น กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

สรุป

กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นเช่าที่ดิน น.ส.3 ของนายคงเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้น 8 ปี นายคงทำสัญญาขายที่ดินนั้นให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินกัน ต่อมาอีก 5 ปี นายคงทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกลร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยว ซึ่งนายเบี้ยวรู้เรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว จากนั้นนายเบี้ยวได้ฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากนายมั่น

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างนายมั่นกับนายเบี้ยวผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1367 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง”

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1375 “ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”

มาตรา 1379 “ถ้าผู้รับโอนหรือผู้แทนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว ท่านว่าการโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงแสดงเจตนาก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายคงทำสัญญาขายที่ดินซึ่งนายมั่นได้เช่าปลูกบ้านอยู่อาศัยให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้วนั้น เป็นกรณีที่ผู้รับโอนได้ยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว การโอนการครอบครองจึงกระทำได้เพียงผู้โอนแสดงเจตนาตามมาตรา 1379 ดังนั้นจึงถือว่านายมั่นเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของที่ดินแล้ว เพราะเป็นการยึดถือเพื่อตนมิให้ยึดถือแทนนายคง และมิได้เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ตามมาตรา 1367, 1368 และ 1375 และมีผลทำให้สิทธิครอบครองของนายคงสิ้นสุดลงด้วย

กรณีที่หลังจากนั้น 5 ปี นายคงได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเบี้ยวผู้รับโอนได้รู้ถึงเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว ดังนั้น นายเบี้ยวจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้เพราะนายเบี้ยวผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายคงผู้โอน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นให้ออกจากที่ดินนั้นไม่ได้

สรุป

นายมั่นมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายเบี้ยว และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นไม่ได้

 

ข้อ 4. นิยมเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งซึ่งเป็นสวนทุเรียนอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี และนิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนแทนตน และมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าว โดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมา หลังจากนั้น 10 ปี นิยมถึงแก่ความตาย ระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น เห็นว่าแก้วขายทุเรียนหมดนานแล้วแต่ไม่นำเงินจากการขายทุเรียนส่งมอบให้ตน ระเบียบจึงติดตามทวงถามจากแก้วแต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบ ต่อจากนั้น 2 ปี ระเบียบจึงฟ้องเรียกที่ดินสวนทุเรียนคืนจากแก้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างระเบียบกับแก้วผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และระเบียบจะเรียกที่ดินคืนจากนิยมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดแทนตนและมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าวโดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมานั้น ถือว่าแก้วเป็นผู้ครอบครองสวนทุเรียนแทนนิยมตามมาตรา 1368

หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อนิยมถึงแก่ความตายระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น แล้วติดตามทวงถามเงินที่ขายทุเรียนจากแก้ว แต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบนั้น เป็นกรณีที่แก้วผู้ครอบครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังระเบียบว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป และแก้วได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเองแล้วตามมาตรา 1381 การครอบครองปรปักษ์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่การเปลี่ยนลักษณะการครอบครองดังกล่าว แต่เมื่อปรากฏว่าการครอบครองปรปักษ์ของแก้วเพิ่งนับได้เพียง 2 ปี ดังนั้นแก้วจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ระเบียบจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดิกว่าแก้ว และระเบียบย่อมสามารถเรียกที่ดินดินจากแก้วได้

สรุป

ระเบียบมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าแก้ว และสามารถเรียกที่ดินคืนจากแก้วได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตนแปลงหนึ่ง โดยข้อตกลงในหนังสือสัญญาเช่าที่ลงลายมือชื่อ นายเอกและนายโทระบุว่า

“ข้อ 1. สัญญาเช่าที่ดินระหว่างคู่สัญญามีกำหนด 30 ปี

ข้อ 2. นายเอก ยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้

ข้อ 3. นายโทยินยอมให้โรงเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอกเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า ”

ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)     ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเป็นของนายเอกหรือนายโท

(2)     ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย ”

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

  1. การที่นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตน โดยนายเอกยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้ และมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปีแล้ว ให้โรงเรือนนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอก ดังนั้นเมื่อนายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่า จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างโรงเรือนไว้ โรงเรือนที่นายโทได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนจึงยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่ให้นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่านั้น เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม เมื่อปรากฏว่านิติกรรมดังกล่าวแม้นายเอกและนายโทจะได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนของนายเอกเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

สรุป

  1. ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ

 

ข้อ 2. นายเชิดเป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ต่อมาที่ดินขอนายเชิดค่อย ๆเกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา และนายเชิดได้นำดินมาถมแม่น้ำต่อจากที่งอกริมตลิ่งนั้นเป็นเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 50 ตารางวา ต่อจากนั้นนายเชิดได้สร้างร้านอาหารลงบนที่ดินที่เกิดขึ้นใหม่ 80 ตารางวานั้น หลังจากสร้างร้านอาหารได้ 5 ปี ทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง ทางราชการจึงให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง ดังนี้ นายเชิดจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1308 “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1308 กรณีที่จะเป็นที่งอกริมตลิ่งและตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งนั้น จะต้องเป็นที่งอกจากที่ดินที่เป็นประธานออกไปในน้ำและเป็นการงอกโดยธรรมชาติด้วย มิใช่การเอาดินมาถมเพื่อให้เป็นที่งอก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ที่ดินของนายเชิดค่อย ๆ เกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 30 ตารางวานั้น เป็นที่งอกริมตลิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนั้นที่งอกริมตลิงจึงตกเป็นสิทธิของนายเชิดเจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 แต่ที่ดินส่วนที่นายเชิดได้นำดินมาถมต่อจากที่งอกริมตลิ่งล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 50 ตารางวานั้น ไม่ถือว่าเป็นที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 เพราะมิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้น ที่ดิน 50 ตารางวาจึงยังมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เกิดจากการถมแม่น้ำแม่กลองซึ่งนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนที่ตนใช้ดินถมออกไป และเมื่อทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง

ทางราชการจึงสั่งให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้น นายเชิดย่อมอ้างสิทธิเหนือที่ดินได้เฉพาะส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่ง 30 ตารางวาเท่านั้น ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดได้ถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้นนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกไปด้วย

สรุป

นายเชิดมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ 30 ตารางวา ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง นายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกโปด้วย

 

ข้อ 3. หมูครอบครองบุกรุกเข้าไปทำไร่ข้าวโพดในที่ดินมีโฉนดของแมว โดยบอกกับชาวบ้านแถวนั้นว่าเป็นที่ดินของตน หลังจากที่ครอบครองมาได้ 5 ปี แมวรู้เข้าจึงบอกให้หมูออกไปจากที่ดิน มิฉะนั้น จะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู หมูกลัวจึงย้ายออกจากไร่ข้าวโพดของแมวในขณะที่เพิ่งเริ่มปลูกข้าวโพดได้เพียง 10 วัน ผ่านไป 1 เดือน หมูเสียดายต้นข้าวโพดที่ลงทุนไปจึงย้ายกลับเข้าไปใหม่และครอบครองต่อมาอีก 5 ปี แมวก็ถึงแก่ความตาย นกบุตรของแมวรับมรดกจากแมวมา และแจ้งให้หมูออกจากที่ดินเสีย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หมูครอบครองปรปักษ์ที่ดินของแมวได้ 5 ปี และได้ย้ายออกไปเมื่อแมวบอกให้ออกมิฉะนั้นจะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู แม้หมูกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีจึงได้ย้ายออกไปจากที่ดินของแมว ก็ถือว่าเป็นกรณีที่หมูมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองจึงสิ้นสุดลง

และเมื่อหมูได้ย้ายกลับมาอีกและครอบครองใหม่ จึงต้องเริ่มต้นนับเวลาใหม่อีกครั้งหนึ่งซึ่งกรณีนี้จะนำมาตรา 1384 มาใช้กับการกลับเข้ามาครอบครองใหม่ของหมูไม่ได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหมูได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 5 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี หมูจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382

ดังนั้น เมื่อนกบุตรของแมวแจ้งให้หมูออกไปจากที่ดิน หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

สรุป

หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

 

ข้อ 4. ส่งเป็นพี่น้องของสีซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้กับสี สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตน ซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ต่อมาส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด สุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้ 3 ปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์บนเสาไฟฟ้าและวางทอประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย สีวางสายโทรศัพท์ท่อประปามาได้ 8 ปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน สีจะต่อสู้ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาบนที่ดินของสุดแปลงนั้นแล้ว ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยูในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ส่งกับสีเป็นพี่น้องกันและมีที่ดินอยู่ใกล้กันนั้น การที่สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตนโดยไม่ได้บอกกล้าวกับส่งซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ถือเป็นการใช้ภาระจำยอมโดยฉันญาติมิตร ไม่ก่อให้เกิดการนับอายุความปรปักษ์ แต่เป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมสัญญา แต่เมื่อส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด และสุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม จึงเป็นการเปลี่ยนการยึดถือเป็นเจตนาปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอม ซึ่งสีสามารถนับอายุความครอบครองปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอมได้

เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้สามปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์และท่อไฟฟ้า และวางท่อประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย และเมื่อสีวางสายโทรศัพท์และท่อประปามาได้แปดปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน

ดังนี้จะเห็นได้ว่าสีได้ภาระจำยอมเฉพาะในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้นเพราะครบสิบปีแล้ว ส่วนสายโทรศัพท์และท่อประปาสียังไม่ได้ภาระจำยอมเพราะยังครอบครองปรปักษ์ไม่ครบสิบปีตามมาตรา 1387 ประกอบมาตรา 1401 และมาตรา 1382

สรุป

ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้เฉพาะกรณีที่ได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนที่ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายโทรศัพท์ และท่อประปานั้นรับฟังไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสนมีอาชีพทำนา นายสนได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสาย โดยที่นายสายไม่ทราบ นายสนทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปี นายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น นายเสียงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นมีนายสนได้ทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น ต่อมานายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง ช่วงที่ตกลงซื้อขาย นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกฤดูทำนา เมื่อนายแสงซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้วก็ตั้งใจจะไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้น จึงพบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น

ให้นักศึกษาอธิบายต่อนายแสงว่านายแสงจะมีสิทธิอย่างไรบ้าง และต้องดำเนินการอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณิตามอุทาหรณ์ การที่นายสนซึ่งมีอาชีพทำนาได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสายโดยที่นายสายไม่ทราบ และนายสนได้ทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปีแล้วนั้น ถือว่านายสนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 อันถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายสนไม่ได้ไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายสนจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายสนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

ต่อมาเมื่อนายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น กรณีนี้ถือว่าเป็นการรับโอนที่ดินในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสายซึ่งเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก โดยทายาทต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ของเจ้ามรดก นายเสียงซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของนายสายจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนั้นโดยมีค่าตอบแทน ดังนั้นระหว่างนายสนกับนายเสียง นายสนจึงยังเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายเสียง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง และช่วงที่ตกลงซื้อขายกันนั้น นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกถดูทำนา จึงถือว่านายแสงเป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิในที่ดินแปลงนั้นมาโดยเสียค่าตอบแหนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น นายแสงจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายสน และเมื่อนายแสงจะเข้าไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้นแต่พบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น นายแสงย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อนายแสงว่า นายแสงมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นายปั่นเช่าซื้อรถยนต์ในราคา 200,000 บาท จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว โดยไม่รู้ว่านายปานเป็นผู้มีชื่อในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ หลังจากนายปั่นชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว นายปั่นได้ติดต่อขอให้บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่ตน แต่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมานายปั่นจึงรู้ว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของนายปาน ซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัทก้องเกียรติมอเตอร์จำกัด ในราคา 150,000 บาท เมื่อนายปานทราบข้อเท็จจริงว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในการครอบครองของนายปั่น นายปานจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับนายปั่นส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่ตน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายปั่นจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายปานหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 คือ แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปั่นได้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายปั่นได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อนายปั่นได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วรถยนต์คันนี้จึงตกเป็นสิทธิของนายปั่นแล้ว การที่นายปั่นมารู้ข้อเท็จจริงในภายหลังว่ารถยนต์คับนี้เดิมเป็นของนายปานซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด นั้น ย่อมถือวานายปั่นเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริต ดังนั้น นายปั่นจึงได้รับการคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายปั่นไม่จำต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

สรุป

นายปั่นไม่ต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

 

ข้อ 3. นายขาวมีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตามปกตินายขาวสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์และใช้เรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมานายขาวแบ่งที่ดินออกเป็นสามแปลงและขายให้นายดำ นายเขียว และนายเหลือง นายดำซื้อแปลงที่ไม่มีทางเข้าออกโดยรถยนต์ แต่เข้าออกโดยใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียว

ดังนี้ ถ้านายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองได้หรือไม่ และจะต้องเสียค่าทดแทนหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาดรา 1349 วรรคแรก “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้’’

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1349 วรรคแรก หมายความว่า ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะก็ได้ ส่วนการจะนำบทบัญญัติมาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นสามแปลงแล้วขายให้นายดำ นายเขียวและนายเหลือง โดยนายดำได้ซื้อแปลงที่ไม่สามารถเข้าออกโดยรถยนต์แต่ใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียวนั้น ที่ดินของนายดำจึงยังไม่เข้าลักษณะที่ดินตาบอดที่จะเป็นเหตุให้ขอทางจำเป็นตามมาตรา 1349 วรรคแรกได้เพราะยังสามารถใช้ทางสาธารณะได้ ดังนั้น หากจะขอใช้ทางจำเป็นจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350

แต่อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์ที่สำคัญตามมาตรา 1350 ประการหนึ่งมีว่า เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้วจะต้องทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้ว นายดำยังคงสามารถใช้ทางสาธารณะทางน้ำ (เรือ) เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของตนได้อยู่ จึงไม่ถือว่าที่ดินของนายดำมีสภาพที่ถูกปิดล้อมจนไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การขอทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ดังนั้น นายดำจึงไม่มีสิทธิที่จะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลือง และเมื่อนายดำไม่มีสิทธิขอทางจำเป็น จึงไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทนอีกต่อไป

สรุป

นายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามมาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทน

 

ข้อ 4. นายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินมือเปล่าของนายโทโดยถือวิสาสะอันเป็นการเอื้อเฟื้ออาทรฉันญาติพี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปี ภายหลังต่อมานายเอกและนายโทได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง นายโทจึงห้ามมิให้นายเอกใช้ทางเดินบนที่ดินของตนอีกต่อไปแต่นายเอกก็ยังคงใช้ทางเดินดังกล่าวเรื่อยมาอีก 6 ปี ติดต่อกัน ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกับเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้เดิมนายเอกจะได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทโดยถือวิสาสะฉันญาติ

พี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปีก็ตาม แต่เมื่อภายหลังต่อมานายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินดังกล่าวโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเพียง 6 ปี ดังนั้นนายเอกจึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโท (ตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382)

สรุป

นายเอกไม่ได้สิทธิภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความ

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้น 10 ปี นายหมึกได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินแปลงนี้ให้นางกุ้ง นางกุ้งครอบครองต่อมาได้ 1 ปี นางกุ้งได้ให้เพื่อนของตนซึ่งเป็นข้าราชการของสำนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้ โดยที่ทางราชการยังไม่เคยประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด หลังจากนั้น 2 ปี ทางราชการต้องการที่ดินดังกล่าวทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วม จึงแจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปหรือไม่ และนางกุ้งจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1305 “ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่านั้น เมื่อที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้น แม้นายหมึกจะครอบครองนานเท่าใด นายหมึกก็จะไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

การที่นายหมึกได้ทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางกุ้งนั้น ก็ไม่ทำให้นางกุ้งซึ่งซื้อที่ดินจากนายหมึกได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนให้แก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น(มาตรา 1305) ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่นางกุ้งได้มานั้นก็เป็นการได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะทางราชการยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อทางราชการต้องการที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วมและได้แจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น นางกุ้งก็จะต้องย้ายออกไป และจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นไม่ได้เลย

สรุป

นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปจากที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยไม่สามารถอ้างสิทธิใด ๆ ได้เลย

 

ข้อ 2. นายอึ่งซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยนายอึ่งไม่รู้ว่าเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบไปขายที่บริษัท ไฮใซมอเตอร์ จำกัด หลังจากซื้อรถยนต์มาแล้ว นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนล้อใหม่ทั้งหมดสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้ และนายกบเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวเรียกให้นายอึ่งส่งมอบรถยนต์คืนให้กับตน

ดังนี้ระหว่างนายอึ่งกับนายกบจะมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันในรถยนต์และล้อแม็กซ์ดังกล่าวได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1316 “ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น

ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้ ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ”

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1332 ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตว่า ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินนั้นแก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ถ้าหากบุคคลนั้นได้ซื้อทรัพย์สินนั้นมาจากการขายทอดตลาด หรือจากในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอึ่งได้ซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัทไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณี

ที่นายอึ่งได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อเป็นการซื้อโดยสุจริตเพราะนายอึ่งไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบมาขายไว้กับบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด

ดังนั้นนายอึ่งจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายอึ่งไม่ต้องคืนรถยนต์ให้กับนายกบ เว้นแต่นายกบจะต้องชดใช้ราคาที่ซื้อมาคือ 500,000 บาท ส่วนการที่นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนใหม่ทั้งสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาทนั้น ถือเป็นการเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันเป็นส่วนควบโดยมีรถยนต์เป็นทรัพย์ประธาน ซึ่งตามมาตรา 1316 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์เป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่ต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้กับเจ้าของล้อแม็กซ์ ดังนั้น ถ้านายอึ่งคืนรถยนต์ไห้แก่นายกบเพราะนายกบได้ชดใช้ราคาที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบย่อมเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่นายกบต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

สรุป

นายอึ่งไม่จำต้องคืนรถยนต์ให้แก่นายกบและเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์ดังกล่าว เว้นแต่นายกบจะชดใช้ราคารถยนต์ที่นายอึ่งซื้อมา 300,000 บาท และถ้านายกบได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบก็จะเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่จะต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

 

ข้อ 3. ดำครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี โดยดำบอกกับชาวบ้านแถบนั้นว่าที่ดินเป็นของดำแล้ว ส่วนขาวไม่รู้เรื่องนี้เลย เมื่อขึ้นปีที่ 6 ดำไปทำงานรับจ้างที่สิงคโปร์ โดยมีข้อตกลงจ้างเป็นเวลา 3 ปี ในระหว่างนั้นจึงมอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน แต่ดำไปทำงานได้เพียง 1 ปี ก็ถูกนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง ดำจึงกลับเมืองไทยและเข้ามาทำนาในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองได้อีก 2 ปี ปรากฏว่าเมื่อขาวรู้ว่าดำเข้ามาทำนาในที่ดินของตนจึงแจ้งให้ดำย้ายออกไป ดังนี้ ดำจะต่อสู้ได้หรือไม่ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ ”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่ดำครอบครองดำนาในที่ดินมีโฉนดของขาวนั้น ดำจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจนครบกำหนด 10 บี

การที่ดำครอบครองได้ 5 ปี ถึงปีที่ 6 ดำได้ไปทำงานที่สิงคโปร์นั้น โดยหลักย่อมถือได้ว่าเป็นการขาดยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดำได้มอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน จึงเท่ากับว่าดำยังไม่ได้ขาดการยึดถือทรัพย์สิน เพราะดำให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองของดำจึงมิได้สะดุดหยุดลงและถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี และการที่ดำกลับเมืองไทยและได้เข้ามาทำนในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองอีก 2 ปีนั้น ย่อมถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลาเพียง 8 ปี จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้นเมื่อขาวรู้ว่าดำเขามาทำนาในที่ดินของตนและได้แจ้งให้ดำย้ายออกไป ดำจึงไม่สามารถต่อสู้ขาวได้ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์

สรุป

ดำจะต่อสู้ขาวว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้

 

ข้อ 4. เอกเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง เอกได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรี แต่การวางสายไฟฟ้าจะต้องผ่านที่ดินของจัตวาด้วย เอกไม่สามารถติดต่อจัตวาได้จึงวางเสาไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาไปด้วยโดยไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กับจัตวาจนถึงวันนี้ เอกวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทตรี และจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกมีบนทีดินของโท ตรี และจัตวา คือสิทธิประเภทใด และการได้สิทธิบนที่ดินของโท ตรี และจัตวามีวิธิการได้มาที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

(ให้นักศึกษาตอบตามหลักของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ ”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโคยอนุโลม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรีนั้น สิทธิที่เอกมีอยู่บนที่ดินของโทและตรีคือสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387

เพราะเป็นกรณีที่ที่ดินของโทและตรีต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้โทและตรีต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์คือที่ดินของเอก และเป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยนิติกรรม

ส่วนการที่เอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาโดยมิได้ตกลงกับจัตวานั้น เมื่อปรากฎว่าเอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกได้รับบนที่ดินของจัตวาถือว่าเป็นสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387 เช่นเดียวกัน แต่เป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยอายุความตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382

สำหรับการได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโท ตรี และจัตวา ซึ่งถือว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (ประเภทภาระจำยอม) นั้นจะแตกต่างกับดังนี้ คือ

  1. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโทและตรี ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมนั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคแรก กล่าวคือ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ คือจะใช้ยันต่อบุคคลทั่วไปหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ เพียงแต่จะบริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่กรณีเท่านั้น
  2. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของจัตวา ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความ (โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม) นั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคสอง กล่าวคือ สิทธิของผู้ได้มาย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิสามารถใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีและใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ เพียงแต่ถ้าตราบใดยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการได้มากจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาท แต่นางส้มเช้งและนางส้มโอไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

ภายหลังจากนางส้มเช้งเดินผ่านทางได้เพียงสองปี นางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทางทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่’’

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาทนั้น ถือเป็นกรณีที่นางส้มเช้งตกลงได้มาซึ่งภาระจำยอมในที่ดินของนางส้มโออันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม แม้การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งจะได้ทำเป็นหนังสือแล้ว แต่เมื่อนางส้มเช้งและนางส้มโอยังไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งย่อมสมบูรณ์เป็นบุคคลสิทธิ ใช้บังคับกันได้ระหว่างนางส้มเช้งกับนางส้มโอซึ่งเป็นคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทาง ทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ นางส้มเช้งย่อมสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

สรุป

นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

 

ข้อ 2. นายเผด็จเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งเนื้อที่จำนวน 2 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปี พ.ศ. 2540 นายเผด็จได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา เป็นเหตุให้ที่ดินที่นายบ่ระชาซื้อไปนั้นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แสะก่อนแบ่งโอนนายเผด็จสัญญาว่าจะเปิดทางกว้าง 3.5 เมตร เพื่อให้นายประชาทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่นายประชาเห็นว่า การทำถนนผ่านที่ดินของนายเผด็จไม่สะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนายประชาจึงหันไปทำถนนผ่านที่ดินของนายสันติ ปี พ.ศ. 2541 นายเผด็จเห็นว่านายประชาไม่ใช้ทางผ่านที่ดินของตนจึงล้อมรั้ว หลังจากนั้นปี พ.ค. 2544 นายสันติสร้างตึกแถวในที่ดินของตนทำให้ที่ดินของนายประชาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นายประชาจึงขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อเปิดทางให้นายประชาทำถนนตามที่เคยตกลงกันไว้ แต่นายเผด็จอ้างว่านายประชาได้ใช้ทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะแล้ว และตอนที่นายเผด็จล้อมรั้วนายประชาก็ไม่คัดค้าน ถือว่านายประชาสละสิทธิการใช้ทางนั้นแล้ว หากนายประชาต้องการใช้ทางผ่านที่ดินของตนใหม่ นายประชาจะต้องจ่ายเงินทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการทำถนนผ่านที่ดินให้กับนายเผด็จ

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายประชาจะขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้หรือไม่ และถ้านายเผด็จยอมให้นายประชาทำถนนผ่านที่ดินของตนแล้ว นายประชาจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนให้นายเผด็จหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นเรื่องการขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดิน กล่าวคือถ้าเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้อนเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเผด็จแบ่งแยกที่ดินของตนจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา และเป็นเหตุให้ที่ดินของนายประชาที่ซื้อไปไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น ตามหลักของมาตรา 1350 นายประชาย่อมมีสิทธิขอทางเข้าออกบนที่ดินของนายเผด็จได้ แม้ว่านายประชาจะได้อาศัยทางผ่านที่ดินของนายสันติออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านายประชามีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายประชากับนายสันติไม่ได้ทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และการใช้ทางดังกล่าวก็ยังไม่ถึง 10 ปี อันจะทำให้นายประชาได้สิทธิครอบครองปรปักษในที่ดินของนายสันติแต่อย่างใด

ดังนั้น ที่ดินของนายประชาซึ่งถูกปิดล้อมอยู่จึงมีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของนายเผด็จที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน เพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1350 ซึ่งทางจำเป็นนี้เป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยผลของกฎหมายและตามข้อเท็จจริงยังไม่มีการทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกเลิกทางจำเป็นดังกล่าว ดังนั้น ข้ออ้างของนายเผด็จจึงฟังไม่ขึ้นนายประชาจึงมีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพี่อทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จตามมาตรา 1350

สรุป

นายประชามีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จ

 

ข้อ 3. นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นมาได้ 4 ปี พอเริ่มปีที่ 5 บิดาของนายแมนที่อยู่คนละจังหวัดกันล้มป่วย นายแมนจึงย้ายไปดูแลบิดาที่ป่วยเป็นเวลาสองปี แต่ในระหว่างที่ไปอยู่กับบิดา นายแมนได้จ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินของนายมั่นแทนตน ในปีที่เจ็ด นายแมนกลับเข้ามาทำนาต่อบนที่ดินของนายมั่นด้วยตนเอง ดังนี้ หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินนายมั่นอีกนานเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา 1382 จะบระกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นได้ 4 ปี ในปีที่ 5 นายแมนจ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินนี้แทนตน เพื่อย้ายไปอยู่กับบิดาซึ่งล้มป่วยนั้น นายเหมือนย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือที่ดินแปลงนั้นแทนนายแมนตลอดมา และถือว่านายแมนยังคงมีสิทธิครอบครองที่ดินนี้อยู่ โดยให้นายเหมือนยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองปรปักษ์ของนายแมนจึงคงนับเวลามาตลอด จนในปีที่ 7 นายแมนกลับมาทำนาบนที่ดินอีกด้วยตนเอง จึงเท่ากับนายแมนต้องครอบครองปรปักษ์ที่นาแปลงนี้อีก 3 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382

สรุป

หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินของนายมั่นอีก 3 ปี

 

ข้อ 4. นายวันปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้าน บ้านนายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งบ้านนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่บ้านของนายวันด้วย เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด นายวันจึงมาเรียกให้นายเดือนออกค่าใช้จ่ายด้วย แต่นายเดือนปฏิเสธและห้ามและไม่ยอมให้นายวันทำ ให้ท่านอธิบายว่านายวันจะทำได้หรือไม่ และจะเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยซน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องภาระจำยอมนั้น เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิทำการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้ แต่จะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์ และเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์จากการนั้นด้วย เจ้าของภารยทรัพย์ก็ต้องช่วยเจ้าของสามยทรัพย์ออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น(มาตรา 1391)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปี และบ้านของนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่ใช้ในบ้านของนายวันด้วยนั้น เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟฟ้าใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด กรณีเช่นนี้ นายวันย่อมสามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 วรรคแรก แต่จะต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุด และเมื่อปรากฏวานายเดือนก็ได้รับประโยชน์จากการดังกล่าวด้วย นายเดือนจึงต้องร่วมออกค่าสายไฟและเสาใหม่ด้วยครึ่งหนึ่งตามมาตรา 1391 วรรคสอง

สรุป

นายวันสามารถรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมดได้ และสามารถเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่จากนายเดือนได้ครึ่งหนึ่ง

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายโทจนได้กรรมสิทธิ์นายโททราบดีว่าหากตนฟ้องขับไล่นายเอกตนย่อมแพ้คดี นายโทจึงได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี โดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินไปโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

ให้วินิจฉัยว่านายเอกมีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายโทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเอกเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมแม้นายเอกยังมิได้จดทะเบียนการได้มา นายเอกก็ย่อมเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน (ตามมาตรา 1299 วรรคสอง)

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายโทได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

กรณีเช่นนี้ถือว่านายตรีเป็นบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิโดยสุจริต นายตรีจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1300 กล่าวคือ นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้

สรุป นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและบายตรีได้

 

ข้อ 2. ตู่สร้างบ้านในที่ดินของตน โดยก่อนลงมือก่อสร้างได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินและเชิญเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย แต่แตนเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือไม่ได้มาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย หลังจากตู่สร้างบ้านเสร็จ 1 ปี ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ต่อมาแตนได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดมารังวัดที่ดินเพื่อสร้างบ้านในที่ดินของแตนจึงพบว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตร ตลอดแนวโรงจอดรถ แตนจึงแจ้งให้ตู่รื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถออกไปหรือไม่และบุคคลทั้งสองมีสิทธิหน้าที่ต่อกันอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินไห้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น มิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตู่ได้สร้างบ้านในที่ดินของตนและหลังจากได้สร้างบ้านเสร็จแล้ว ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ปรากฏว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตรตลอดแนวโรงจอดรถ กรณีนี้ถึงแม้ว่าตู่จะได้ทำการต่อเติมโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนต่อเติมตู่ได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง มิใช่การปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลังแล้ว ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ตู่จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรก ดังนั้น ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนออกไป โดยตู่จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเอง และไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

สรุป

ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำออกไปโดยตู่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเองและไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

 

ข้อ 3 นายอาทิตย์ครอบครองปรปักษ์ทำไร่มันสำปะหลังบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของจันทร์มาได้สามปีต่อมานายอังคารเพื่อนของนายอาทิตย์ขอให้นายอาทิตย์ย้ายออกไปช่วยงานที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี หกเดือน หลังจากนั้นนายอาทิตย์กลับมาครอบครองทำไร่มันสำปะหลังในที่ดินของนายจันทร์ต่ออีกสามปีก็ถึงแก่ความตาย นายพุธบุตรของนายอาทิตย์เข้ามาครอบครองทำไร่บนที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีกสามปี ก็ถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้ว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง ”

มาตรา 1385 “ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รันโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้ ท่านว่าข้อบกพรองนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี และต่อมาได้ย้ายออกไปช่วยงานนายอังคารที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน นั้น กรณีนี้ถือว่านายอาทิตย์ได้ขาดการยึดถือที่ดินโดยสมัครใจ แม้ต่อมาจะกลับเข้าครอบครองที่ดินนั้นต่อ ก็ไม่สามารถนำเวลา 3 ปีแรกมานับรวมกับเวลาที่เข้ามาครอบครองในภายหลังได้ จึงต้องเริ่มต้นนับใหม่หลังจากที่กลับมาจากการช่วยงานนายอังคาร (ตามมาตรา 1384)

เมื่อนายอาทิตย์ได้เข้าครอบครองที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี จึงถึงแก่ความตาย นายพุธซึ่งเป็นบุตรของนายอาทิตย์ได้เข้ามาครอบครองที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีก 3 ปี ดังนี้ เมื่อนับรวมเวลาของนายพุธกับนายอาทิตย์เข้าด้วยกับตามมาตรา 1385 จะได้เวลาเพียง 6 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี จึงยังไม่ถือว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้น เมื่อนายพุธถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธจะต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้วไม่ได้

สรุป

นายพุธยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์

 

ข้อ 4. นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดง เมื่อนายดำเข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น นายดำจึงขอนายแดงต่อท่อประปาจากบ้านนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง นายแดงตกลง โดยทั้งนายแดงและนายดำไม่ได้บอกนายเหลืองแต่อย่างใด นายดำจึงได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมา ใช้มาได้สิบห้าปี นายเหลืองทราบจึงต้องการให้นายดำจ่ายค่าใช้ท่อประปาที่ผ่านที่ดินของนายเหลืองมาบนที่ดินของนายแดงเหมือนกับที่นายแดงจ่ายให้นายเหลืองตลอดมา

ให้ท่านอธิบายว่านายดำมีสิทธิอะไรในการใช้น้ำที่ผ่านจากท่อประปาบนที่ดินของนายเหลืองและต้องจ่ายเงินให้นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1393 วรรคสอง “ท่านว่าจะจำหน่าย หรือทำให้ภาระจำยอมตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นต่างหากจากสามยทรัพย์ไม่ได้”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดงได้เข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น และได้ขอให้นายแดงต่อท่อประปาจากบ้านของนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง ซึ่งนายแดงตกลง กรณีนี้ถือว่าเป็นการจำหน่ายสิทธิในภาระจำยอมแยกต่างหากจากสามยทรัพย์ตามมาตรา 1393 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนายแดงจะทำไม่ได้

ดังนั้นการที่นายแดงได้ตกลงกับนายดำโดยไม่ได้บอกนายเหลืองจึงเป็นการปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 และเมื่อนายดำได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมาโดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของนายเหลือง และใช้มาได้15 ปี จึงถือว่าที่ดินของนายดำได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 โดยไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้อง

สรุป

นายดำมีสิทธิได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ และไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลือง

WordPress Ads
error: Content is protected !!