LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมชายเป็นหนี้นางคำผกา 100,000 บาท เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้นายสมชายไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ต่อนางคำผกาได้ ดังนั้นด้วยความกลัวว่านางคำผกาจะฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันเดียวที่ตนเหลืออยู่ นายสมชายจึงสมคบกับนายสมศักดิ์ทำการโอนรถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์โดยเสน่หา เพื่อซ่อนเร้นการยึดรถยนต์ของนางคำผกา ต่อมานายสมศักดิ์ติดหนี้การพนันและต้องการใช้เงินจึงขายรถคันดังกล่าวต่อไปให้กับนายสมเดช โดยที่นายสมเดชไม่ทราบถึงการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ และจ่ายเงินค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์ไปเป็นจำนวน 500,000 บาท ถัดมาอีก 3 เดือน นายสมเดชได้ขายรถคันดังกล่าวต่อไปให้กับนางสมหญิงโดยที่นางสมหญิงเป็นญาติกับนายสมชายและทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายและนายสมศักดิ์ในการโอนรถคันดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการยึดรถยนต์ของนางคำผกามาโดยตลอด และจ่ายค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมเดชไปเป็นจำนวน 250,000 บาท

จากข้อเท็จจริงข้างต้น นางคำผกาได้มาขอคำปรึกษาจากท่านว่านางคำผกาจะสามารถฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 155 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับดูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะมีผลตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง คือ ตกเป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายมาตรา 155 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติคุ้มครองบุคคลภายนอก โดยห้ามมิให้บุคคลใด ๆ ยกความเป็นโมฆะของการแสดงเจตนาลวงนั้นขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้ (1) กระทำการโดยสุจริต และ (2) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมชายได้สมคบกับนายสมศักดิ์ทำการโอนรถของตนให้กับนายสมศักดิ์โดยเสน่หาด้วยความกลัวว่านางคำผกาเจ้าหนี้ของตนจะฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวของตนซึ่งเหลืออยู่เพียงคันเดียวเพื่อนำไปชำระหนี้ที่ตนเป็นหนี้นางคำผกานั้น นิติกรรมการโอนรถยนต์คันดังกล่าวระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ถือเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง ดังนั้น นิติกรรมการโอนรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์แต่อย่างใด

การที่นายสมศักดิ์ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปโอนขายให้แก่นายสฺมเดชโดยนายสมเดชซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ทราบถึงการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ และได้จ่ายเงินค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์ไปแล้ว ย่อมถือว่านายสมเดขได้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น

ดังนั้น นายสมเดชจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ นางคำผกาจะยกเรื่องการแสดงเจตนาลวงขึ้นต่อสู้นายสมเดชเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่ตนไม่ได้

และเมื่อนายสมเดชได้รับการคุ้มครองแล้ว แม้ต่อมานายสมเดชจะได้ทำการขายรถยนต์คันดังกล่าวต่อให้กับนางสมหญิง แม้นางสมหญิงจะกระทำการโดยไม่สุจริตเพราะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายและนายสมศักดิ์ในการโอนรถคันดังกล่าวมาโดยตลอดก็ตาม ก็จะไม่นำบทบัญญัติมาตรา 155 วรรคหนึ่ง เกี่ยวกับหลักบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมาบังคับใช้อีก ดังนั้น นางคำผกาจึงไม่อาจฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวจากนางสมหญิงได้อีกเช่นกัน

สรุป

นางคำผกาไม่สามารถฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. นายสติจำใจทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานทั้ง ๆ ที่นายสติไม่สมัครใจขาย แต่นายสติมีความเชื่อในคำชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานว่า ถ้าการสร้างทางระบายน้ำขนาดใหญ่ตามโครงการป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทานเสร็จจะทำให้น้ำท่วมที่ดินของนายสติอย่างแน่นอนเพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในแนวการก่อสร้างฯ พอดี นายสติกลัวว่าน้ำจะท่วมที่ดินของตนจริงตามที่นายสตังชี้แจง จึงต้องขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานไป โดยที่กรมชลประทานก็ไม่ได้รู้เห็นด้วยกับคำชี้แจงของนายสตังดังกล่าว ต่อมาเมื่อกรมชลประทานสร้างทางระบายน้ำเสร็จ ปรากฏว่าที่ดินของนายสติไม่ได้อยู่ในแนวการก่อสร้างฯ น้ำจึงไม่ท่วมที่ดินของนายสติ

ดังนี้ อยากทราบว่าการแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างนายสติกับกรมชลประทานมีผลเป็นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสติได้ทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานทั้ง ๆ ที่นายสติไม่สมัครใจขาย แต่ที่นายสติต้องขายนั้นก็เพราะเชื่อในคำชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานว่าถ้าการสร้างทางระบายน้ำขนาดใหญ่ตามโครงการป้องกันน้ำท่วมชองกรมชลประทานเสร็จจะทำให้น้ำท่วมที่ดินของนายสติอย่างแน่นอน เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในแนวการก่อสร้างฯ พอดี แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการก่อสร้างทางระบายน้ำตามโครงการป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทานแล้วเสร็จ น้ำไม่ท่วมที่ดินของนายสติแต่อย่างใด

ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าการชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเป็นการจงใจหลอกลวงนายสติ ทำให้นายสติหลงเชื่อว่าน้ำจะท่วมที่ดินของตนจริง จึงต้องขายที่ดินให้กรมชลประทานไป ซึ่งถ้ามิได้มีการหลอกลวงเช่นว่านั้นนายสติก็คงจะไม่ขายที่ดินของตนเนื่องจากที่ดินไม่ได้อยู่ในแนวของทางระบายน้ำแต่อย่างใด

ดังนั้น การกระทำของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานจึงถือว่าเป็นกลฉ้อฉลถึงขนาดที่ทำให้นายสติหลงเชื่อ ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะก็คงจะมิได้ทำขึ้นตามมาตรา 159 วรรคสอง

ดังนั้น นิติกรรมการแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างกรมชลประทานกับนายสติจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลและมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1044/2534)

สรุป

การแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างนายสติกับกรมชลประทานมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2544 นายเก่งได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกล้าเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเก่งไม่นำเงินมาชำระนายกล้าได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2548 นายกล้าได้ส่งจดหมายทวงถามเพื่อให้นายเก่งชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไป นายเก่งก็ไม่นำเงินมาชำระให้ วันที่ 26 มิถุนายน 2555 นายเก่งได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกล้าเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายเก่งก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย

ดังนั้นนายกล้าจึงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินที่นายเก่งได้นำมาจำนองได้เงินมาจำนวน 250,000 บาท ปรากฏว่ายังมีหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 240,000 บาท ต่อมานายกล้าจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 26 มิถุนายน 2557 เพื่อให้นายเก่งชำระหนี้เงินกู้ที่เหลือจำนวน 240,000 บาท นายเก่งต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 แล้ว แต่นายกล้าอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเก่งฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35     “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเปีนหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกล้าเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2544 โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 นั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเก่งไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25 มิถุนายน 2545 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นในกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 เมื่อนายกล้าไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี คือภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 สิทธิเรียกร้องของนายกล้าที่มีต่อนายเก่งลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความตามมาตรา 193/9 นายกล้าไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้นายเก่งชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้าหากนายกล้าฟ้องให้นายเก่งชำระหนี้ นายเก่งย่อมสามารถยกเอาอายุความนั้นขึ้นมาเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/10 ทั้งนี้เพราะในกรณีดังกล่าวนี้อายุความได้ขาดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 และการที่นายกล้าได้ส่งจดหมายทวงถามเพื่อให้นายเก่งชำระหนี้ในวันที่ 25 มิถุนายน 2548 นั้น ก็ไม่ทำให้อายุความ สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 แต่อย่างใด

การที่นายเก่งได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกล้าเป็นจำนวน 10,000 บาท ในวันที่ 26 มิถุนายน 2555 นั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายเก่งลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกล้าเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้ได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายเก่งจึงถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

และเมื่อข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายกล้าได้บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินที่นายเก่งได้นำมาจำนองไว้ แต่ได้เพียง 250,000 บาท ยังคงเหลือหนี้ที่ค้างชำระอีกเป็นจำนวน 240,000 บาท เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 และนายกล้าได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อให้นายเก่งชำระเงินกู้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 240,000 บาท ในวันที่ 26 มิถุนายน 2557 นายเก่งย่อมสามารถต่อสู้ได้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว และนายกล้าจะฟ้องให้นายเก่งรับผิดตามมาตรา 193/35 ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะจำนวนเงินส่วนที่เหลืออีก 240,000 บาทนั้น นายเก่งมิได้รับสภาพความรับผิดไว้แต่อย่างใด

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายเก่งที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 นั้น ฟังขึ้น

 

ข้อ 4. นายประสงค์ย้ายครอบครัวจากต่างจังหวัดเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้นางสาวหวานและนางสาวแหวนบุตรสาว 2 คนของตนได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิจำนวน 2 โครงการ โดยโครงการแรกสัญญาระบุว่าห้องชุดตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 380 ตารางวา มีพื้นที่จอดรถและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ส่วนโครงการที่สองสัญญาระบุว่า เป็นห้องชุดชั้นบนสุดมองเห็นวิวทิวทัศน์กรุงเทพมหานครได้อย่างสวยงามตามที่นายประสงค์ต้องการ นายประสงค์และบุตรสาวทั้งสองถูกใจอย่างมาก จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดดังกล่าวทั้งสองโครงการโดยชำระราคาจำนวนราคา 3 ล้านบาท และ 4 ล้านบาท ตามลำดับให้แก่นายประสิทธิ

ภายหลังนายประสงค์รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสองแล้ว นายประสงค์และบุตรสาวทั้งสองพบว่าอาคารชุดโครงการแรกนั้นความจริงตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่เพียง 200 ตารางวา ส่วนโครงการที่สองนายประสิทธิได้ว่าจ้างผู้รับเหมามาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีก 3 ชั้น โดยมิได้แจ้งให้ตนและบุตรสาวทราบแต่อย่างใด นายประสงค์ฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้านบาท โดยอ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดโครงการแรกตกเป็นโมฆะเพราะตนสำคัญผิดในทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมและฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายโครงการที่สองโดยอ้างว่านิติกรรมเป็นโมฆียะเพราะตนแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินแห่งนิติกรรม

ให้วินิจฉัยว่า นายประสงค์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้าน และฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีที่ 1 การที่นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิโครงการแรก โดยสัญญาระบุว่าห้องชุดตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 380 ตารางวา แต่ความจริงโฉนดที่ดินมีเนื้อที่เพียง 200 ตารางวานั้น แม้ว่าจำนวนเนื้อที่ที่ดินอันเป็นที่ตั้งอาคารชุดจะมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา แต่การแสดงเจตนาของนายประสงค์ก็ไม่ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156 เพราะนายประสงค์มีเจตนาทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดมิใช่ตกลงจะซื้อจะขายที่ดิน ดังนั้น ที่ดินจึงมิใช่ทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมตามที่นายประสงค์อ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม นายประสงค์สามารถอ้างได้ว่าการผิดเงื่อนไขเกี่ยวกับจำนวนเนี้อที่ของที่ดินดังกล่าว ย่อมเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน (อาคารชุด) ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญและมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 แต่เมื่อนิติกรรมซึ่งเป็นโมฆียะนั้นยังมิได้ถูกบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะ ดังนั้น นายประสงค์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท คืนจากนายประสิทธิ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2493/2553)

กรณีที่ 2 การที่นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิโครงการที่สอง โดยในสัญญาระบุว่าเป็นห้องชุดชั้นบนสุด แต่ปรากฏว่านายประสิทธิกลับจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีก 3 ชั้น โดยมิได้แจ้งให้นายประสงค์และบุตรทั้งสองทราบ นิติกรรมจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ ทั้งนี้เพราะหากนายประสงค์ได้ทราบก่อนหน้านั้นว่าห้องชุดที่ตนรับโอนมานั้นมิใช่ห้องชุดชั้นบนสุดตามที่ตนต้องการแล้วตนจะไม่รับโอน ดังนั้น นิติกรรมการโอนห้องชุดระหว่างนายประสงค์และนายประสิทธิจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 นายประสงค์จึงมีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองนั้นได้(เทียบฎีกาที่ 3942/2553)

สรุป

นายประสงค์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้านบาท แต่สามารถฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพู่ทำสัญญากู้ยืมเงินนางทุเรียนไปจำนวน 350,000 บาท โดยนางทุเรียนคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน หลังจากนั้นต่อมานางชมพู่มีการค้างชำระดอกเบี้ย นางทุเรียนจึงนำดอกเบี้ยมาคิดรวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 590,000 บาท ที่นางชมพู่เป็นหนี้อยู่ ต่อมาสามีของนางชมพู่ได้ทำสัญญาขายบ้านให้นางทุเรียนในราคา 590,000 บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่นางชมพู่ค้างชำระนางทุเรียนทั้งหมดจำนวน 590,000 บาท นั้นแทนการชำระราคาบ้าน ดังนี้จงวินิจฉัยว่า

(1)  การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นมีผลเป็นอย่างไร

(2)  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่กับนางทุเรียนมีผลเป็นอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรีอศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 173 “ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1)  การที่นางชมพู่ทำสัญญากู้ยืมเงินนางทุเรียนไปจำนวน 350,000 บาท โดยนางทุเรียนคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน และหลังจากนั้นเมื่อนางชมพู่มีการค้างชำระดอกเบี้ย นางทุเรียนจึงนำดอกเบี้ยมาคิดรวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 590,000 บาทนั้น ถือว่าการคิดดอกเบี้ยในกรณีดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 150 และเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี (ตามมาตรา 654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา) ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ

(2)  การที่สามีของนางชมพู่ได้ทำสัญญาขายบ้านให้นางทุเรียนในราคา 590,000 บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่นางชมพู่ค้างชำระนางทุเรียนทั้งหมดจำนวน 590,000 บาทนั้น แทนการชำระราคาบ้าน เมื่อสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาบ้านที่กำหนดไว้ในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่นางทุเรียนมีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่นางทุเรียนและสามีของนางชมพู่ก็มิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายบ้านบางส่วนในราคาต้นเงิน 350,000 บาท ที่นางชมพู่ค้างชำระอยู่ ดังนั้น สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่และนางทุเรียนย่อมตกเป็นโมฆะทั้งฉบับตามมาตรา 173 (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 10852/2551)

สรุป

(1) การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวมีผลเป็นโมฆะ

(2) สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่กับนางทุเรียนมีผลเป็นโมฆะทั้งฉบับ

 

ข้อ 2. นายเอกตกลงซื้อแจกันสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งมีรอยร้าวจากนายโทใบหนึ่ง แต่นายโทได้นำกาวไปป้ายไว้เพื่อตบตานายเอกและบอกว่าไม่มีตำหนิ นายเอกจึงได้ตกลงซื้อแจกันใบดังกล่าวในราคา 50,000 บาท

ภายหลังต่อมานายเอกทราบว่าแจกันมีรอยร้าวซึ่งหากจะซื้อขายกันในท้องตลาดจะมีราคาเพียง 10,000 บาท เท่านั้น ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าแม้นายเอกจะทราบว่าแจกันมีตำหนิ นายเอกก็ยังคงซื้อแจกันใบดังกล่าวอยู่ดีเพราะเป็นของโบราณหายาก ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายเพราะลูกกลฉ้อฉลหรือไม่ มีผลทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้นกฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกตกลงซื้อแจกันสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งมีรอยร้าวจากนายโท แต่นายโทได้นำกาวไปป้ายไว้เพื่อตบตานายเอกและบอกว่าไม่มีตำหนิ ทำให้นายเอกหลงเชื่อและได้ตกลงซื้อแจกันใบดังกล่าวนั้น การกระทำของนายโทถือว่าเป็นการใช้อุบายหลอกลวงให้นายเอกเข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันกับตน

ดังนั้น การที่นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันกับนายโท ย่อมถือว่านายเอกได้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า แม้นายโทจะไม่ใช้อุบายหลอกลวงนายเอก และถ้านายเอกทราบว่าแจกันมีรอยร้าว (มีตำหนิ) นายเอกก็ยังคงซื้อแจกันใบดังกล่าวอยู่ดีเพราะเป็นของโบราณหายาก เพียงแต่จะซื้อในราคาท้องตลาดคือในราคาเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะต่ำกว่าราคาที่นายเอกได้ตกลงซื้อไปเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลคือ 50,000 บาท กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่นายเอกได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล ซึ่งเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายเอกจะยอมรับโดยปกติตามมาตรา 161

ดังนั้น นายเอกจะยกเอาเหตุที่ถูกกลฉ้อฉลเพื่อบอกล้างนิติกรรมซื้อขายแจกันไม่ได้ แต่นายเอกชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้ ซึ่งได้แก่จำนวนเงินที่นายเอกต้องจ่ายเกินไปกว่า

ราคาอันแท้จริงของแจกัน คือ 40,000 บาท

สรุป

นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันเพราะถูกกลฉ้อฉล แต่นายเอกจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันไม่ได้ ทำได้แต่เพียงเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้เป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ผู้ให้กู้ ตกลงให้ผู้กู้ กู้เงินจำนวน 200,000 บาท ผู้กู้ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินลงลายมือชื่อฝ่ายผู้กู้และส่งมอบให้แก่ผู้ให้กู้เรียบร้อยแล้ว โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ภายใน 4 เดือน อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าสองวันก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระผู้กู้คิดว่าตนไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้ได้ทันตามกำหนดเวลาชำระหนี้ จึงมาขอขยายกำหนดเวลาชำระหนี้ออกไป ผู้ให้กู้สงสารจึงยินยอมให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปให้อีก 1 ปีครึ่ง โดยคู่กรณีมิได้มีการตกลงกำหนดวันเริ่มต้นนับระยะเวลาที่ขยายออกไปกันไว้

ดังนี้อยากทราบว่า หนี้ดังกล่าวจะถึงกำหนดชำระเมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวับแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/5 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือน หรือปีสุดท้าย อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา ”

มาตรา 193/6 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อน หากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน”

มาตรา 193/7 “ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป ให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ผู้กู้ได้ทำสัญญากู้เงินจากผู้ให้กู้จำนวน 200,000 บาท ในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 มีกำหนดชำระคืนภายใน 4 เดือนนั้น ตามมาตรา 193/3 วรรคสอง การเริ่มต้นนับระยะเวลามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน แต่ให้เริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 31 ตุลาคม 2558 ดังนั้นวันที่ 31 ตุลาคม 2558 จึงเป็นวันเริ่มนับระยะเวลา (มิใช่วันต้นแห่งเดือนคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558) ซึ่งระยะเวลา 4 เดือน ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้นตามมาตรา 193/5 วรรคสอง

แต่เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ของปี พ.ค. 2559 ไม่มีวันตรงกัน คือไม่มีวันที่ 31 กุมภาพันธ์ ดังนั้น จึงต้องถือเอาวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดของระยะเวลา (ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง ตอนท้าย)

แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระผู้กู้ไม่มีเงินไปชำระ และผู้ให้กู้สงสารจึงยินยอมให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปีครึ่ง โดยคู่กรณีมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไปนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปจึงต้องเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น (ตามมาตรา 193/7) และเมื่อระยะเวลาที่ขยายออกไปนั้นมีกำหนด 1 ปีครึ่ง คือมีการกำหนดกันเป็นปี (1 ปี) และส่วนของปี (ครึ่งปี) จึงต้องคำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อนซึ่งก็คือ 6 เดือน (ตามมาตรา193/6 วรรคสอง) ดังนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปจึงเท่ากับ 1 ปี 6 เดือน

เมื่อระยะเวลาที่ขยายออกไปมีหน่วยนับระยะเวลาเป็นปีและเดือนผสมกัน จึงต้องคำนวณหาระยะเวลา 1 ปีก่อนว่าสิ้นสุดลงเมื่อใดแล้วจึงคำนวณหาระยะเวลา 6 เดือนว่าสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งกรณีนี้จะเห็นได้ว่าการนับระยะเวลา 1 ปี จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งมิใช่วันต้นแห่งปี ดังนั้นระยะเวลา 1 ปี ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มต้นนับระยะเวลา ซึ่งก็คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 (ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง) ส่วนการนับระยะเวลาอีก 6 เดือนนั้น วันเริ่มต้นนับ จึงเป็นวันที่ 1 มีนาคม 2560 (ตามมาตรา 193/3 วรรคสอง) และระยะเวลา 6 เดือนจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 (ตามมาตรา 193/5 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นเดือน ให้คำนวณตามปีปฏิทิน”) ดังนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปอีก 1 ปีครึ่งจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงทาคม 2560 และหนี้ดังกล่าวจะถึงกำหนชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2560

สรุป

หนี้ดังกล่าวซึ่งมีการขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปีครึ่งจะกำหนดชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2560

 

ข้อ 4. คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่านายกรุงเทพเลี้ยงเป็ดไว้จำนวน 2,000 ตัว นายกรุงเทพตกลงขายเป็ดจำนวน 2,000 ตัวนั้น ให้แก่นายปักกิ่งในราคา 200,000 บาท กำหนดชำระราคาเป็ดและส่งมอบเป็ดดังกล่าวกันในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 แต่เมื่อถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2559 เกิดโรคไข้หวัดนกระบาดอย่างหนักในท้องที่ที่นายกรุงเทพอยู่ ทำให้เป็ดของนายกรุงเทพติดเชื้อโรคไข้หวัดนก ทางราชการจึงต้องทำการฆ่าเป็ดทั้งหมดจำนวน 2,000 ตัว ด้วยการฝังทั้งเป็นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก นายกรุงเทพจึงไม่สามารถส่งมอบเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งได้

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายปักกิ่งต้องชำระราคาเป็ดให้แก่นายกรุงเทพหรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 370 วรรคหนึ่ง “ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงเทพได้ตกลงขายเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งในราคา 200,000 บาทนั้น สัญญาซื้อขายเป็ดระหว่างนายกรุงเทพกับนายปักกิ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง (คือเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ดังกล่าว) เมื่อปรากฏว่าเป็ดจำนวนดังกล่าวที่นายกรุงเทพกำลังจะส่งมอบแก่นายปักกิ่งติดเชื้อโรคไข้หวัดนก ทำให้ทางราชการจำเป็นต้องนำเป็ดทั้งหมดไปทำการฆ่าทิ้ง จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอันจะโทษนายกรุงเทพ (ลูกหนี้ในอันที่จะต้องส่งมอบเป็ด)ไม่ได้ การสูญหรือเสียหายนั้นจึงตกเป็นพับแก่นายปักกิ่ง (เจ้าหนี้ในอันที่จะได้รับการส่งมอบเป็ด)

ดังนั้น ถึงแม้ว่านายกรุงเทพไม่สามารถส่งมอบเป็ดทั้งหมดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งได้ นายปักกิ่งก็ยังคงต้องชำระราคาค่าเป็ดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายกรุงเทพตามที่ตกลงกันในสัญญา

สรุป

นายปักกิ่งต้องชำระราคาเป็ดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายกรุงเทพ

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพูนางแบบชื่อดังได้รับคำเชิญให้ไปแสดงตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ประเทศฝรั่งเศส นางชมพูจึงตัดสินใจไปยืมเพชรจากนางใหม่ แต่นางชมพูกลัวนางใหม่จะไม่ยอมให้ยืมและดูถูกตนจึงแสร้งบอกกับนางใหม่ว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่แทน หลังจากที่นางชมพูกลับมาจากต่างประเทศ นางชมพูเห็นโอกาสทำธุรกิจด้านครีมบำรุงผิว จึงตัดสินใจขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลืองโดยมีข้อตกลงว่าหลังการขายธุรกิจแล้วนางเหลืองห้ามประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวอีกเลย

ถัดมาอีก 3 วัน นางชมพูนำเพชรไปคืนนางใหม่ นางใหม่ไม่ยอมรับคืนอ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้ว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้หรือไม่ อย่างไร จงอริบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”

วินิจฉัย

(ก) จากบทบัญญัติมาตรา 154 เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม

แต่มีข้อยกเว้นคือ การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ถ้าเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชมพูได้แสดงเจตนาออกมาว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่นั้น แม้ในใจจริงของนางชมพูไม่ต้องการให้ตนต้องผูกพันกับเจตนาตามที่ได้แสดงออกมาเนื่องจากตนต้องการยืมเพชรจากนางใหม่ก็ตาม แต่เมื่อนางใหม่มิได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของนางชมพู ตามกฎหมายให้ถือว่าการแสดงเจตนาออกมาของนางชมพูนั้นมีผลสมบูรณ์ และเกิดเป็นสัญญาซื้อขายขึ้น ดังนั้น นางชมพูจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงิน

ค่าเพชรให้แก่นางใหม่ จะมาปฏิเสธว่าตนไม่มีเจตนาที่จะซื้อเพชรและจะขอคืนเพชรให้แก่นางใหม่ไม่ได้

(ข) การที่นางชมพูได้ทำนิติกรรมโดยการขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลือง โดยมีข้อตกลงว่าหลังจากนางเหลืองได้ขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวอีกเลยนั้น ข้อตกลงดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา 150 เนื่องจากเป็นข้อตกลงในลักษณะที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบกันในทางธุรกิจการค้า

สรุป

(ก) นางชมพูไม่สามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองตกเป็นโมฆะ

 

ข้อ 2. นิติกรรมที่เป็นโมฆะมีความแตกต่างกับนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ แต่ถูกบอกล้างในภายหลังหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 172 วรรคสอง “ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ”

มาตรา 176 วรรคหนึ่ง “โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกและให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน”

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว นิติกรรมที่เป็นโมฆะจะมีความแตกต่างกับนิติกรรมที่เป็นโมฆียะแต่ถูกบอกล้างในภายหลัง ดังนี้ คือ

นิติกรรมที่เป็นโมฆะ เป็นนิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลในกฎหมายที่จะเป็นนิติกรรมผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแต่อย่างใด กล่าวคือ ไม่ทำให้บุคคลใดหรือสิ่งใดเปลี่ยนแปลงฐานะไป คู่กรณียังคงอยู่ในฐานะเดิมเสมือนว่ามิได้เข้าทำนิติกรรมแต่ประการใดเลย

และในกรณีที่ต้องมีการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากนิติกรรมที่เป็นโมฆะ คู่กรณีฝ่ายที่ได้โอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่เขาไปนั้น ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้

ตัวอย่าง ก. และ ข. ได้ตกลงซื้อขายที่ดินกันแปลงหนึ่งในราคา 100,000 บาท โดยทั้งสองได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ข. ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้กระทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนี้ ก. จะบังคับให้ ข. ส่งมอบที่ดินหรือโอนที่ดินให้แก่ ก. ไม่ได้ และ ข. ก็จะบังคับให้ ก. ชำระราคาค่าซื้อขายที่ดินให้แก่ ข. ไม่ได้เช่นกัน

ในกรณีที่ ก. ได้ขำระราคาค่าที่ดินให้แก่ ข. แล้ว ดังนี้ ก. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ ข. คืนเงินให้แก่ตนได้หรือถ้า ข. ได้ส่งมอบที่ดินให้แก่ ก. แล้ว ข. ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินคืนจาก ก. ได้ โดยอาศัยหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ตามมาตรา 406

ส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ เป็นนิติกรรมที่มีผลใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่อาจถูกบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฎหมายหรือเสียเปล่าได้

นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้น เมื่อมีการบอกล้างแล้วกฎหมายให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนั้น ถ้ามีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กันก็ต้องมีการคืนทรัพย์สินนั้น แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยไม่อาจคืนทรัพย์สินนั้นได้ เช่น ทรัพย์สินที่จะต้องส่งคืนนั้นสูญหายหรือบุบสลายไป ฝ่ายที่ต้องส่งคืนนั้นก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่กรณีฝ่ายที่มีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์สินนั้น

ตัวอย่าง ก. ทำกลฉ้อฉลเอาแหวนทองเหลืองมาหลอกขายให้ ข. โดยหลอกลวงว่าเป็นแหวนทองคำ เมื่อ ข. รู้ความจริงจึงบอกล้างนิติกรรมซื้อขายที่เป็นโมฆียะ ดังนี้ ก. ก็ต้องใช้เงินราคาแหวนที่รับไปคืนให้ ข. และ ข. ก็ต้องคืนแหวนทองเหลืองให้ ก. หรือถ้าคืนไม่ได้ เช่น เป็นเพราะแหวนทองเหลืองนั้นสูญหายไปแล้ว ดังนี้ ข. ก็ต้องชดใช้ราคาแหวนทองเหลืองนั้นให้แก่ ก. ตามราคาของแหวนทองเหลือง

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 400,000  บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย ดังนั้น นายกระทิงจึงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินที่นายกระต่ายได้นำมาจำนองได้เงินมาจำนวน 250,000 บาท

ปรากฏว่ายังมีหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 145,000 บาท ต่อมานายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 เพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินก็ที่เหลือจำนวน 145,000 บาท นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/28     “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้นไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 15 มีนาคม 2554 เมื่อนายกระทิงไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกร้องของนายกระทิงที่มีต่อนายกระต่ายลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายกระทิงย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายกระต่ายชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายกระทิงฟ้องนายกระต่ายให้ชำระหนี้ นายกระต่ายย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการขำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

การที่นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าวและได้นำเงินไปชำระหนี้ให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาทในวันที่ 16มีนาคม 2554ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายกระต่ายลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกระทิงเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายกระต่ายจึงเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายกระทิงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินนายกระต่ายได้นำมาจำนอง แต่ได้เงินมายังไม่ครบจำนวนหนี้ที่นายกระต่ายกู้ยืมไป ยังคงเหลือหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 145,000 บาทก็ตาม เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 และนายกระทิงได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างชำระในวันที่ 16 มีนาคม 2556 นายกระต่าย (ลูกหนี้) ย่อมมีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10 ดังนั้น การที่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความนั้น ข้อต่อสู้ของนายกระทิงจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายกระทิงฟังไม่ขึ้น

* หมายเหตุ นายกระทิงอ้างแต่เพียงว่าหนี้เงินกู้ยืมยังไม่ขาดอายุความ แต่ไม่ได้อ้างว่ามีการรับสภาพความรับผิด ข้ออ้างของนายกระทิงจึงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายแมนทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ 15 ปี ไม่จดทะเบียนจากนายแทน ครั้นเวลาผานไปได้เพียง 1 ปี นับจากทำสัญญาเช่า นายแทนได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้นายแพน โดยนายแพนยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายแมนและนายแทนด้วย เมื่อนายแมนได้รับแจ้งจากนายแทนว่านายแทนได้ขายอาคารพาณิชย์ให้นายแพนแล้ว นายแมนจึงนำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายแทนเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายแพนแทน แต่กลับถูกนายแพนปฏิเสธเนื่องจากนายแมนและนายแพนไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และนายแพนยังได้เรียกให้นายแมนออกจากอาคารพาณิชย์ มิเช่นนั้นจะใช้สิทธิทางศาลฟ้องขับไล่นายแมนอีกด้วย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวอ้างของนายแพนรับฟังได้หรือไม่ และนายแมนจะต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแมนทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์จากนายแทน และเมื่อผ่านไปได้เพียง 1 ปีนับจากทำสัญญาเช่า นายแทนได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้แก่นายแพน โดยที่นายแพนได้ยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายแมนและนายแทนด้วยนั้น ย่อมถือว่าข้อสัญญาระหว่างนายแพนกับนายแทนเป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์แก่นายแมนซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคหนึ่ง

เมื่อนายแมนได้นำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายแทนเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายแพน ย่อมถือว่านายแมนบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่นายแพนว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว และให้ถือว่าสิทธิของนายแมนได้เกิดมีขึ้นแล้ว ดังนั้น นายแพนจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิดังกล่าวของนายแมนโดยการขับไล่ให้นายแมนออกจากอาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ตามมาตรา 374 วรรคสอง ประกอบมาตรา 375

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายแพนที่ว่านายแมนและนายแพนไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันรับฟังไม่ได้ และนายแมนไม่ต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่า

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชัปปุยส์ต้องการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายชนาธิปเพราะคิดว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านที่ดินแปลงนั้นในอนาคต ปรากฏวันที่ไปจดทะเบียนโอนมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทย และทีมชาติอิรัก นายชัปปุยส์ขอตัวกลับบ้านไปดูฟุตบอลนัดดังกล่าว และได้ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าพร้อมทั้งบอกนายชนาธิปว่าจัดการกรอกข้อความได้เลยตามสะดวก นายชนาธิปจึงได้เขียนเนื้อความในสัญญาว่าตนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แทน วันรุ่งขึ้นนายชัปปุยส์ทราบเนื้อความในสัญญาจึงกล่าวหานายชนาธิปว่าเป็นพวกหลอกลวงหลอกขายที่ดินให้แก่ตน นายชนาธิปอ้างว่าตนไม่ได้หลอกนายชัปปุยส์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอง

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าข้ออ้างของนายชนาธิปฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมเป็นต้น”

มาตรา 158 “ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 156 ได้บัญญัติให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ซึ่งได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาหรือนิติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าความสำคัญผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (มาตรา 158)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัปปุยส์ได้แสดงเจตนาทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายชนาธิปโดยสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินแปลงที่ตนคิดว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านนั้น ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สิน

ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันถือว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โดยหลักแล้วการแสดงเจตนาของนายชัปปุยส์ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชัปปุยส์ได้ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าและบอกให้นายชนาธิปจัดการกรอกข้อความได้เลยตามสะดวก ทำให้นายชนาธิปได้เขียนเนื้อความในสัญญาว่าตนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แทนซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงที่นายชัปปุยส์ต้องการซื้อนั้น การกระทำดังกล่าวของนายชัปปุยส์ถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายชัปปุยส์เอง ดังนั้น แม้นายชัปปุยส์จะได้แสดงเจตนาเพราะความสำคัญผิดดังกล่าวข้างต้นก็ตาม นายชัปปุยส์ก็จะยกเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ไต้ตามมาดรา 158

สรุป

ข้ออ้างของนายชนาธิปที่ว่าตนไม่ได้หลอกนายชัปปุยส์ แต่นายชัปปุยส์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอง จึงฟังขึ้น

 

ข้อ 2. อาม่ามีลูกชาย 3 คน คือ นายต้า นายกอล์ฟฟู และนายยัดห่า วันหนึ่งอาม่าต้องการทำการค้ำประกันให้กันนายต้า แต่กลับไปเซ็นในพินัยกรรมยกที่ดินของตนแทน ซึ่งต่อมาอาม่าทราบว่าตนสำคัญผิดไปแต่ก็ไม่ได้ทำการทักท้วงหรือขอแก้ไขประการใด ในพินัยกรรมดังกล่าวมีข้อความว่า “เมื่อดิฉันถึงแก่ความตาย ดิฉันขอมอบที่ดินให้แก่นายต้า และนายกอล์ฟฟูเพียง 2 คน” แต่พินัยกรรมดังกล่าวไม่ได้ทำตามแบบ ต่อมาอาม่าถึงแก่ความตาย ทั้งนายต้า นายกอล์ฟฟู และนายยัดห่า เมื่อทราบข้อความในพินัยกรรมก็ลงลายมือชื่อยอมรับผูกพันในข้อความดังกล่าว วันรุ่งขึ้นนายยัดห่าไม่พอใจที่ตนไม่ได้รับอะไรเลย จึงอ้างว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ และพินัยกรรมก็ไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะและตนยังคงมีสิทธิในที่ดินมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าข้ออ้างของนายยัดห่าฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของนายยัดห่าฟังขึ้นหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. ข้ออ้างที่ว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมการที่อาม่าต้องการทำสัญญาค้ำประกันให้กับนายต้า แต่กลับไปเซ็นในพินัยกรรมยกที่ดินของตนให้แก่นายต้าและนายกอล์ฟฟู 2 คนนั้น แม้จะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่ออาม่าทราบว่าตนสำคัญผิดไปก็ไม่ได้ทำการทักท้วงหรือขอแก้ไขแต่ประการใด

ดังนั้น จากพฤติการณ์ของอาม่าดังกล่าวจึงไม่ถือว่าอาม่าได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามมาตรา 156 แต่อย่างใด (เทียบเคียงกับคำพิพากษาฎีกาที่ 7196/2540) ข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น

  1. ข้ออ้างที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้มีผลเป็นโมฆะ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพินัยกรรมดังกล่าวไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ พินัยกรรมย่อมมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ดังนั้นข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังขึ้นหรือ แม้พินัยกรรมจะไม่ได้ทำตามแบบก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทายาททุกคนรวมทั้งนายยัดห่าเองด้วย ได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมและยอมรับผูกพันในข้อความดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นการก่อให้เกิดสัญญาระหว่างทายาทขึ้นมาใหม่ ดังนั้น นายยัดห่าจึงต้องผูกพันตามข้อความในสัญญานั้น พินัยกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆะ ข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายยัดห่าที่ว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะนั้นฟังขึ้น (หรือฟังไม่ขึ้น)

หมายเหตุ ข้ออ้างของนายยัดห่าที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะนั้น นักศึกษาจะตอบว่าฟังขึ้นหรือฟังไม่ขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้ง 2 กรณี

(แต่ต้องตอบเพียงอย่างเดียวและต้องมีเหตุผลประกอบด้วย)

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2552 นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน 100,000 บาท โดยมีนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันมีกำหนดชำระหนี้คืนภายในวันที่ 31 มีนาคม 2552

เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำได้ทวงถามตลอดมา แต่นายแดงก็ไม่นำเงินมาชำระจนกระทั่งอายุความฟ้องร้อง 2 ปี ได้สิ้นสุดลง ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 นายแดงถูกสลากกินแบ่งจำนวน 30,000 บาท จึงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 20,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความ ในวันที่นำเงินมาชำระนั้นเอง นายดำได้ให้นายแดงทำหลักฐานเป็นหนังสือให้ตนหนึ่งฉบับ มีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวน 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 30 รันวาคม 2555

ดังนี้ อยากทราบว่า

(ก) นายแดงมาทราบภายหลังว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 20,000 บาท คืนจากนายดำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) เมื่อหนี้ถึงกำหนดในวันที่ 30 ธันวาคม 2555 นายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำจะนำคดีไปฟ้องนายแดงและนายเขียวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสองให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน 100,000 บาท และมิได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำเลย และเมื่อนายดำไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของนายดำที่มีต่อนายแดงลูกหนี้และนายเขียวผู้ค้ำประกันย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายดำย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายแดงและนายเขียวชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายดำฟ้องนายแดงและนายเขียวให้ชำระหนี้นายแดงและนายเขียวย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

และตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้แก่นายดำ รวมทั้งการที่นายแดงได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่นายดำโดยมีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวนที่เหลืออีก 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 30 ธันวาคม 2555 นั้นไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายแดงลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อนายดำเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ ดังนั้นการกระทำของนายแดงจึงเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว และเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28

ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 20,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วนั้น นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายดำไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง ที่ว่าการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

(ข) เมื่อนายแดงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือกับนายดำว่าจะนำเงินจำนวน 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำ ถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อนายแดงไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนด นายดำย่อมสามารถฟ้องให้นายแดงชำระหนี้ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1770/2517) โดยนายดำจะต้องฟ้องนายแดงภายในอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสองประกอบมาตรา 193/35 แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวไม่ได้ เพราะนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันเดิมที่ไม่ได้รับสภาพความรับผิดเช่นเดียวกับนายแดง และตามมาตรา 193/28 วรรคสองตอนท้าย ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า “…แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้” กล่าวคือ ถ้านายดำฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกัน นายเขียวย่อมมีสิทธิยกเอาการที่หนี้ขาดอายุความขึ้นต่อสู้นายดำได้

สรุป

(ก) นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 20,000 บาท คืนจากนายดำไม่ได้

(ข) เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำสามารถนำคดีไปฟ้องนายแดงได้ แต่จะฟ้องนายเขียวไม่ได้

 

ข้อ 4. เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2558 นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนไปยังนางจันทราซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา 3 ล้านบาท โดยนายอาทิตย์ได้กำหนดไปในจดหมาย

ด้วยว่าถ้านางจันทราต้องการซื้อบ้านหลังนี้ให้ตอบไปยังนายอาทิตย์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2558

นางจันทราส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2558 อย่างไรก็ตามเมื่อดูตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายของนางจันทราแล้วเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่า นางจันทราได้ส่งจดหมายตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2558 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มีนาคม 2558 ตามที่นายอาทิตย์กำหนด

เช่นนี้ จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านที่นางจันทราส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 358 “ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้นท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจันทราได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2558 ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นายอาทิตย์ได้กำหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านางจันทราส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558 อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้ในกรณีเช่นนี้ คำสนองของนางจันทราจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่าผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่ จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น

(1)  ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองล่วงเวลา

(2)  แต่ถ้านายอาทิตย์ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น

สรุป

จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ตามมาตรา 358

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางจักจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงใหม่ราคา 100,000บาท โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับในวันที่ 1 กันยายน 2557 ต่อมาอีก 2วันนางจักจั่นเกิดเปลี่ยนใจ ไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว เพราะต้องการเก็บไว้ให้ลูกสาว นางจักจั่นจึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS แต่ในวันเดียวกันนั้นเองนางจักจั่นได้ถูกรถชนถึงแก่ความตายระหว่างเดินทางกลับบ้าน และลูกสาวของนางจักจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2557 เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงได้นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจักจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บ โดยมีนางสาวแจ๋วสาวใช้ของนางจุ๊บจิ๊บเป็นคนรับจดหมายไว้ และนางสาวแจ๋วได้โทรศัพท์ไปบอกนางจุ๊บจิ๊บว่ามีจดหมายส่งมา นางจุ๊บจิ๊บจึงให้นางสาวแจ๋วเปิดอ่าน

เมื่อนางจุ๊บจิ๊บทราบว่านางจักจั่นเสนอขายแหวนเพชรดังกล่าว นางจุ๊บจิ๊บจึงรีบเขียนจดหมายตอบตกลงซื้อทันทีโดยการส่งตอบรับแบบ EMS มาให้ลูกสาวของนางจักจั่น และจดหมายนั้นมาถึงวันที่ 7 กันยายน 2557

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าลูกสาวของนางจักจั่นต้องขายแหวนเพชรดังกล่าวให้นางจุ๊บจิ๊บหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ”

มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดงหรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในกรณีที่มีการแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาออกไปแล้ว แม้ภายหลังผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ การแสดงเจตนานั้นก็ไม่เสื่อมเสียไป (มาตรา 169 วรรคสอง) เว้นแต่จะขัดกับเจตนาที่ผู้เสนอได้แสดง หรือหากก่อนมีการสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (มาตรา 360)

ตามอุทาหรณ์ การที่นางจักจั่นได้ส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บและต่อมานางจักจั่นได้ถึงแก่ความตายโดยนางจุ๊บจิ๊บก็ได้ไปร่วมสวดอภิธรรมศพของนางจักจั่นด้วยนั้น ถือว่านางจุ๊บจิ๊บได้รู้อยู่แล้วว่านางจักจั่น (ผู้เสนอ) ตายไปแล้ว ดังนั้น แม้ว่านางจุ๊บจิ๊บ (ผู้สนอง) จะได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อแหวนเพชรกับลูกสาวนางจักจั่น สัญญาซื้อขายแหวนเพชรก็ไม่เกิดขึ้น

เพราะกรณีนี้จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 360 ซึ่งมิให้นำมาตรา 169วรรคสอง มาใช้บังคับ กล่าวคือ ให้ถือว่าการแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรของนางจักจั่นย่อมเสื่อมเสียไป เพราะก่อนที่นางจุ๊บจิ๊บจะทำคำสนองตอบตกลงซื้อแหวนเพชรนั้น นางจุ๊บจิ๊บได้รู้อยู่แล้วว่านางจักจั่นผู้เสนอขายแหวนเพชรนั้นตายไปแล้ว และเมื่อถือว่ากรณีดังกล่าวไม่มีคำเสนอของนางจักจั่น มีแต่เพียงคำสนองของนางจุ๊บจิ๊บ ดังนั้นสัญญาซื้อขายแหวนเพชรจึงไม่เกิดขึ้น ลูกสาวของนางจักจั่นจึงไม่ต้องขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บ

สรุป

ลูกสาวของนางจักจั่นไม่ต้องขายแหวนเพชรดังกล่าวให้นางจุ๊บจิ๊บ

 

ข้อ 2. นายมะยมโฆษณาโอ้อวดคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ที่ขายให้นายมะกอกว่าเป็นรถมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ เพิ่งพ่นสีใหม่เป็นสีเดิม ความจริงเป็นรถรุ่นเก่าและเคยเปลี่ยนสีมาหลายครั้งกับกล่าวอ้างคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกหลายประการ นายมะกอกจึงตกลงซื้อรถมอเตอร์ไซค์โดยหลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดของนายมะยม ภายหลังต่อมานายมะกอกทราบว่ารถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวเป็นรถมอเตอร์ไชค์รุ่นเก่าที่นายมะยมนำมาหลอกขายให้กับตน ซึ่งหากนายมะกอกรู้ความจริงคงจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ในราคาที่ต่ำกว่านี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์เกิดจากการที่นายมะกอกแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้นกฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายมะยมโอ้อวดคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซค์ที่ขายให้แก่นายมะกอกว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ เพิงพ่นสีใหม่เป็นสีเดิม ความจริงเป็นรถรุ่นเก่าและเคยเปลี่ยนสีมาหลายครั้งกับกล่าวอ้างคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกหลายประการ ทำให้นายมะกอกตกลงซื้อรถมอเตอร์ไซค์โดยหลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดของนายมะยมนั้น ถือได้ว่าการซื้อขายรถมอเตอร์ไซด์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะมีการใช้กลฉ้อฉลแล้ว

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ยังคงเป็นยี่ห้อเดียวกับที่นายมะกอกต้องการจะซื้อ ซึ่งแม้จะมิได้มีกลฉ้อฉลของนายมะยม นายมะกอกก็ยังคงซื้อรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นอยู่แล้ว

เพียงแต่จะซื้อในราคาที่ต่ำกว่านี้เท่านั้น ดังนั้น กลฉ้อฉลของนายมะยมจึงมิได้ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลเช่นนั้น นายมะกอกจะไม่ซื้อรถมอเตอร์ไซด์จากนายมะยมเลย กลฉ้อฉลของนายมะยมเป็นเพียงเหตุที่ทำให้นายมะกอกต้องรับเอาข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายมะกอกจะยอมรับโดยปกติ คือทำให้นายมะกอกต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้น

สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์ของนายมะกอกจึงถือว่าเป็นการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุ และจะมีผลตามมาตรา 161 คือไม่ทำให้สัญญาซื้อขายดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ นายมะกอกจะบอกล้างไม่ไต้แต่มีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากนายมะยมได้

สรุป

สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์เกิดจากการที่นายมะกอกแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุ และนายมะกอกมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากนายมะยมได้

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนาระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 2554

นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย

นายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 เพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินกู้ นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ เพราะมีการรับสภาพความรับผิด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)     ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

(2)     ถ้านายกระต่ายไม่รู้ว่าการชำระหนี้ไปบางส่วนจำนวน 5,000 บาท นั้นเลยกำหนดอายุความแล้วนายกระต่ายสามารถเรียกคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร่องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องจึงขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อถึงกำหนดนายกระต่ายไม่น่าเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 15 มีนาคม 2554 เมื่อนายกระทิงไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10ปี สิทธิเรียกร้องของนายกระทิงที่มีต่อนายกระต่ายลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายกระทิงย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายกระต่ายชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายกระทิงฟ้องนายกระต่ายให้ชำระหนี้ นายกระต่ายย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

การที่นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าวและได้นำเงินไปขำระหนี้ให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท ในวันที่ 16 มีนาคม 2554 ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายกระต่ายลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกระทิงเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายกระต่ายจึงเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(1)     เมื่อนายกระต่ายได้รับสภาพความรับผิดโดยการนำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้โดยนายกระทิงสามารถฟ้องให้นายกระต่ายชำระหนี้ได้ แต่จะต้องฟ้องภายในอายุความ 2 ปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสองประกอบมาตรา 193/35 ซึ่งอายุความ 2 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 16 มีนาคม 2556 ดังนั้น เมื่อนายกระทิงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 นายกระต่ายจะต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้วไม่ได้ ข้ออ้างของนายกระทิงที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความจึงฟังขึ้น

(2)     การที่นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงจำนวน 5,000 บาท โดยไม่รู้ว่าเลยกำหนดอายุความแล้วนั้น นายกระต่ายจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายกระทิงไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคแรก ที่ว่า การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากการที่สิทธิเรียกร้องขาดอายุความนั้น มิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

สรุป

(1) ข้อต่อสู้ของนายกระทิงที่ว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะมีการรับสภาพความรับผิดนั้นฟังขึ้น

(2) แม้นายกระต่ายจะไม่รู้ว่าการชำระหนี้ไปบางส่วนจำนวน 5,000 บาทนั้น เลยอายุความแล้ว นายกระต่ายก็ไม่สามารถเรียกคืนได้

 

ข้อ 4. นายเอกทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ 15 ปี ไม่จดทะเบียนจากนายโท ครั้นเวลาผ่านไปได้เพียง 1 ปี นับจากทำสัญญาเช่า นายโทได้โอนขายอาคารพาทณิชย์หลังดังกล่าวให้นายตรี โดยนายตรียอมรับข้อผูกพันระหว่างนายเอกและนายโทด้วย เมื่อนายเอกได้รับแจ้งจากนายโทว่านายโทได้ขายอาคารพาณิชย์ให้นายตรีแล้ว นายเอกจึงนำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายตรีแทน แต่กลับถูกนายตรีปฏิเสธเนื่องจากนายเอกและนายตรีไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และนายตรียังได้เรียกให้นายเอกออกจากอาคารพาณิชย์ มิเช่นนั้นจะใช้สิทธิทางศาลฟ้องขับไล่นายเอกอีกด้วย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวอ้างของนายตรีรับฟังได้หรือไม่ และนายเอกจะต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “ เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์จากนายโท และเมื่อผ่านไปได้เพียง 1 ปีนับจากทำสัญญาเช่า นายโทได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้แก่นายตรี โดยที่นายตรีได้ยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายเอกและนายโทด้วยนั้น ย่อมถือว่าข้อสัญญาระหว่างนายตรีกับนายโทเป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์แก่นายเอกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคแรก

เมื่อนายเอกได้นำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายตรี ย่อมถือว่านายเอกบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่นายตรีว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว และให้ถือว่าสิทธิของนายเอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว ดังนั้น นายตรีจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิดังกล่าวของนายเอกโดยการขับไล่ให้นายเอกออกจากอาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ตามมาตรา 374 วรรคสอง ประกอบมาตรา 375

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายตรีที่ว่านายเอกและนายตรีไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันรับฟังไม่ได้และนายเอกไม่ต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่า

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งต้องการนำภาพวาดสีน้ำมันของตนออกขายทอดตลาด แต่เนื่องจากนายหนึ่งดำเนินการขายทอดตลาดด้วยตนเองไม่ได้ จึงมอบให้นายสองเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดแทนตน โดยการขายทอดตลาดซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2558 ได้มีผู้เข้าชมการขายทอดตลาดกว่า 50 คน แต่มีผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ประมูลซื้อทรัพย์เพียง 2 คน คือ นายสองและนายสาม โดยนายสองเป็นผู้ให้ราคาสูงที่สุดถึง 100,000 บาท จนนายสองได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลซื้อภาพวาดสีน้ำมัน นายสามรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการขายทอดตลาดครั้งนี้ เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้นายสองผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดที่นายสองเป็นผู้อำนวยการตาม ป.พ.พ. มาตรา 511 ซึ่งบัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้ผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคา หรือใช้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดซึ่งตนเป็นผู้อำนวยการเอง”

ให้วินิจฉัยว่าการขายทอดตลาดภาพวาดรายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ในการตกลงทำนิติกรรมกันนั้น วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นจะต้องไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จะต้องไม่เป็นการพ้นวิสัย และจะต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้านิติกรรมใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดได้เข้าสู้ราคาซื้อภาพวาดสีน้ำมันของนายหนึ่งที่ตนเป็นผู้อำนวยการขายนั้น แม้นายสองจะเป็นผู้ให้ราคาสูงที่สุดก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 511 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคา ดังนั้น การซื้อขายภาพวาดในการขายทอดตลาดรายนี้จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3062/2538)

สรุป

การขายทอดตลาดภาพวาดรายนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายเอกได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ BMW ทะเบียน 1234 กรุงเทพมหานคร ราคา 2,000,000 บาท จากนายโทคันหนึ่ง โดยนายโทรับปากกับนายเอกว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์มือสอง แต่มีสภาพดีไม่เคยเฉี่ยวชน และขับมาแล้วเพียง 3,000 กิโลเมตร หลังจากที่นายเอกซื้อรถยนต์ได้เพียง 2 – 3 วัน นายเอกได้นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพจึงทราบว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมานั้นได้ขับมาแล้วถึง 40,000 กิโลเมตร

นายเอกรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้านายเอกได้รู้ความจริงเช่นนี้นายเอกจะไม่ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวเลย

ให้วินิจฉัยว่านายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายโทโดยนายเอกไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นได้ขับมาแล้วถึง 40,000 กิโลเมตรนั้น ถือได้ว่านายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะถ้านายเอกไม่ได้สำคัญผิดคือทราบความจริงดังกล่าว นายเอกก็คงจะไม่ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวเลย ดังนั้น สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายเอกและนายโทจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 ซึ่งนายเอกสามารถบอกล้างได้ และเมื่อนายเอกได้บอกล้างแล้วสัญญาซื้อขายย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่แรก

สรุป

นายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาและสัญญาซื้อขายดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ ซึ่งนายเอกสามารถบอกล้างได้

 

ข้อ 3. นายกุ้งและนายปลาได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1234 โดยทั้งคู่ได้มีข้อตกลงว่าเมื่อนายกุ้งผู้จะซื้อได้ชำระราคาที่ดินให้นายปลาผู้จะขายเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาทครบถ้วนแล้ว นายปลาจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายกุ้ง อย่างไรก็ดี นายกุ้งและนายปลาตระหนักดีว่าในการทำสัญญาจะซื้อจะขายครั้งนี้ควรมีการวางมัดจำไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายกุ้งและนายปลาขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นประกันว่าในอนาคตนายกุ้งจะชำระราคาที่ดินให้นายปลาครบถ้วนและนายปลาจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายกุ้งเช่นกัน

ดังนั้น ในวันที่เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน นายกุ้งผู้จะซื้อจึงได้มอบสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทพร้อมกับโฉนดที่ดินเลขที่ 5678 ให้นายปลายึดถือไว้เป็นมัดจำ

ภายหลังต่อมาเมื่อนายกุ้งได้นำเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท มาชำระให้นายปลาครบถ้วนแล้ว นายปลากลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายกุ้ง เนื่องจากราคาที่ดินในท้องตลาดสูงขึ้นเป็นอย่างมากด้วยความกลัดกลุ้มใจ นายกุ้งจึงมาขอคำปรึกษาจากท่าน

ท่านในฐานะทนายความจะให้คำปรึกษาแก่นายกุ้งเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 377 “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่งมัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย”

มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว กรณีที่จะเป็นมัดจำตามมาตรา 377 นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญา และมัดจำนั้นอาจเป็นเงินหรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเองก็ได้ เมื่อสร้อยคอทองคำเป็นสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเองจึงส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้ ส่วนโฉนดที่ดินไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเอง จึงไม่อาจส่งมอบให้ไว้แก่กันเพื่อเป็นมัดจำได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกุ้งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายปลาและในวันทำสัญญานายกุ้งผู้จะซื้อได้มอบสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ให้แก่นายปลา โดยตกลงกันว่าในอนาคตนายกุ้งจะชำระราคาที่ดินให้นายปลาครบถ้วน และนายปลาจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายกุ้งเช่นกันนั้น ถือว่าสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินย่อมเป็นมัดจำตามมาตรา 377 ภายหลังต่อมาเมื่อนายกุ้งได้นำเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท มาชำระให้นายปลา แต่นายปลากลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายกุ้ง ย่อมถือว่านายปลาฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ นายปลาจึงต้องส่งสร้อยคอทองคำที่ได้รับไว้คืนให้แก่นายกุ้งตามมาตรา 378 (3)

ส่วนโฉนดที่ดินซึ่งมิใช่มัดจำตามมาตรา 377 นายปลาก็ต้องส่งมอบคืนให้แก่นายกุ้งเช่นเดียวกัน

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายกุ้งดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายเอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายบีในราคา 2,000,000 บาท โดยในวันทำสัญญานายเอและนายบีได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายเอได้ส่งมอบที่ดินให้นายบีในวันเดียวกัน นอกจากนี้นายบียังได้ชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 1,000,000 บาท ให้นายเอด้วย ส่วนเงินที่เหลืออีก 1,000,000 บาท จะชำระภายใน 6 เดือน เมื่อผ่านไปได้ 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา นายบีถูกให้ออกจากงานทำให้นายบีไม่สามารถชำระเงินที่เหลือภายในกำหนดได้ นายเอจึงได้ทำหนังสือทวงถามให้นายบีนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือฉบับนี้ มิเช่นนั้นนายเอจะบอกเลิกสัญญาขายที่ดิน หลังจากนายบีได้รับหนังสือกว่า 7 วัน นายบีก็ยังไม่ได้นำเงินมาชำระให้แก่นายเอ

ให้วินิจฉัยว่า นายเอจะบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 387 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 391 วรรคแรก “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 387 นั้น นอกจากเจ้าหนี้จะบอกกล่าวเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนแล้ว เจ้าหนี้จะแสดงเจตนารวมไปด้วยทีเดียวก็ได้ว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดให้ตามที่บอกกล่าวก็ให้ถือว่าเป็นอันเลิกสัญญาทันที โดยไม่จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องแสดงเจตนาเลิกสัญญาไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาที่กำหนดให้นั้นแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายบีโดยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น แม้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายกันจะได้โอนไปยังนายบีผู้ซื้อแล้วก็ตาม

แต่เมื่อนายบีผู้ซื้อยังชำระราคาให้แก่นายเอผู้ขายไม่ครบถ้วน จึงเป็นกรณีที่นายบีซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ให้แก่นายเอซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง และการที่นายบีไม่ชำระหนี้เพราะถูกออกจากงานนั้นก็มิใช่เหตุที่จะอ้างตามกฎหมายเพื่อไม่ชำระหนี้แต่อย่างใด

ดังนั้น นายเอจึงมีสิทธิกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้นายบีชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้นายเอภายในกำหนดระยะเวลานั้นได้ตามมาตรา 387 และเมื่อนายเอได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว นายเอย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากนายบีได้ตามมาตรา 391 วรรคแรก (คำพิพากษาฎีกาที่ 3601/2538)

การที่นายเอได้มีหนังสือแจ้งให้นายบีนำเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือมาชำระภายใน 7 วันนับแต่ได้รับหนังสือนั้น ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแก่นายบีแล้ว เมื่อนายบีไม่ชำระราคาภายในกำหนด นายเอย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้ และการที่นายเอได้แจ้งแก่นายบีด้วยว่า หากนายบีไม่ชำระเงินให้นายเอภายในกำหนดก็ขอบอกเลิกสัญญานั้น ถือได้ว่านายเอได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อนายบีแล้ว

ดังนั้น สัญญาซื้อขายจึงเป็นอันเลิกกันโดยนายเอไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่นายบีอีก (เทียบคำพิพากษาฎีกาที 2331/2522)

สรุป

นายเอไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินอีก เพราะสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นอันเลิกกันแล้วตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ขณะที่นายเอกและนายโททำสัญญาซื้อขายที่ดิน น.ส.3 ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามนายเอกผู้ทรงสิทธิในที่ดินจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินให้ผู้อื่น ต่อมาหลังจากที่ทำสัญญากันแล้ว ทางราชการได้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้โอนที่ดินแปลงดังกล่าว

ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินที่นายเอกและนายโททำขึ้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

การทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 นั้น จะต้องเป็นการทำนิติกรรมในขณะที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้กระทำการดังกล่าวด้วย ถ้าในขณะที่ทำนิติกรรมไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด แม้ในภายหลังจะมีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้กระทำก็ไม่ทำให้การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายตอนแรกกลับเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในภายหลังแต่อย่างใด

ตามอุทาหรณ์ ในขณะที่นายเอกและนายโทได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน น.ส.3 นั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามนายเอกผู้ทรงสิทธิในที่ดินจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินให้แก่ผู้อื่น ย่อมถือว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายเอกและนายโทนั้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาหลังจากที่ทำสัญญากันแล้วทางราชการจะได้ออกกฎหมายห้ามมิให้โอนที่ดินแปลงดังกล่าว ก็ไม่ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินนั้นเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด

สรุป

สัญญาซื้อขายที่ดินที่นายเอกและนายโททำขึ้นนั้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายหนึ่งไม่มีเจตนาทำพินัยกรรม แต่ถูกนายสองหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรม ขณะนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโดยบอกว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจขอรับเงินเวนคืนที่ดินซึ่งเป็นนิติกรรมที่นายหนึ่งมีเจตนาจะทำอย่างหนึ่งอยู่แล้ว

ให้ท่านวินิจฉัยว่า พินัยกรรมที่นายหนึ่งทำขึ้นมีผลทางกฎหมายเช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

วินิจฉัย

ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมตามมาตรา 156 นั้น หมายถึง การที่ผู้แสดงเจตนามีความประสงค์ต้องการที่จะกระทำนิติกรรมลักษณะหนึ่ง แต่ได้ไปทำนิติกรรมอีกลักษณะหนึ่งเพราะการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิติกรรมที่ตนต้องการกระทำ และความสำคัญผิดดังกล่าวย่อมมีผลทำให้นิติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นโมฆะ

ตามอุทาหรณ์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายหนึ่งมีเจตนาที่จะทำหนังสือมอบอำนาจขอรับเงินเวนคืนที่ดินอยู่แล้วก็ตาม แต่การที่นายหนึ่งได้ถูกนายสองหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรม ซึ่งเป็นนิติกรรมอีกลักษณะหนึ่ง ทำให้นายหนึ่งหลงเชื่อและได้แสดงเจตนาโดยการลงลายพิมพ์นิ้วมือไปในพินัยกรรมนั้น ย่อมถือได้ว่านายหนึ่งได้แสดงเจตนาเพราะความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ดังนั้น พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156

สรุป

พินัยกรรมที่นายหนึ่งทำขึ้นนั้นมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 นายแล่มได้ทำสัญญากู้เงินจากนายแช่มจำนวน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 25 สิงหาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายแล่มไม่นำเงินมาชำระ นายแช่มได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 26 สิงหาคม 2554 นายแล่มได้นำเงินไปชำระให้แก่นายแช่มเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายแล่มก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย นายแช่มจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 นายแล่มต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2554 แต่นายแช่มอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2554 เนื่องจากมีการนำเงินมาชำระให้บางส่วน

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายแล่มฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/5 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือน หรือปีสุดท้าย อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา ”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง โดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแล่มได้ทำสัญญากู้เงินจากนายแช่มเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแล่มไม่น่าเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 26 สิงหาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คืออายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ

ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 26 สิงหาคม 2554 นายแล่มได้นำเงินไปชำระให้แก่นายแช่มเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนก็ตาม แต่เมื่อเป็นการขำระหนี้เมื่อเลยกำหนดอายุความเดิมมาแล้ว กรณีจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อนายแช่มนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 จึงเป็นการฟ้องเมื่อเลยกำหนดอายุความแล้ว นายแล่มย่อมมีสิทธิยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้นายแช่มได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายแล่มที่ว่าคดีขาดอายุความแล้ว ฟังขึ้น

 

ข้อ 4. นายหวานจดทะเบียนหย่ากับนางจืด โดยนายหวานทำบันทึกข้อตกลงกับนางจืดว่าจะยอมแบ่งที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้แก่เด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้า ซึ่งเป็นบุตรคนละส่วนเท่า ๆ กัน โดยนายหวานจะดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้เป็นไปตามสัญญา เมื่อเด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้าอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ต่อมาภายหลังจากที่เด็กหญิงฟ้ามีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ นายหวานก็ยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่เด็กหญิงฟ้าแต่อย่างใด เนื่องจากเด็กหญิงฟ้าติดยาเสพติดและการพนัน ด้วยเหตุนี้ นายหวานกับนางจืดจึงทำบันทึกข้อตกลงใหม่ โดยให้ที่ดินส่วนที่ตกลงแบ่งให้เด็กหญิงฟ้าไว้เดิม ไปให้แก่เด็กชายปื๊ดบุตรชายแทน

ให้ท่านวินิจฉัยว่า เด็กหญิงฟ้าจะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้ตนตามบันทึกฉบับแรกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้วคู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหวานจดทะเบียนหย่ากับนางจืด โดยนายหวานได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางจืดว่าจะยอมแบ่งที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้แก่เด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้า เมื่อเด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้าอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์นั้น บันทึกข้อตกลงระหว่างนายหวานกับนางจืดดังกล่าวถือว่าเป็นสัญญาที่คู่สัญญาตกลงจะชำระหนี้ตามสัญญาให้แก่เด็กหญิงฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคแรก

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อเด็กหญิงฟ้ามีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว เด็กหญิงฟ้ายังไม่ได้บอกกล่าวไปยังนายหวานให้โอนที่ดินให้ตน สิทธิของเด็กหญิงฟ้าที่จะเรียกให้นายหวานชำระหนี้ตามสัญญาจึงยังไม่ได้เกิดมีขึ้น เนื่องจากเด็กหญิงฟ้ายังไม่ได้แสดงเจตนาแก่นายหวานว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น (มาตรา 374 วรรคสอง) ดังนั้น นายหวานและนางจืดจึงสามารถทำบันทึกข้อตกลงใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของ

เด็กหญิงฟ้าในภายหลังได้ตามมาตรา 375 และเมื่อนายหวานกับนางจืดได้ทำบันทึกข้อตกลงใหม่ โดยให้ที่ดินส่วนที่ตกลงแบ่งให้เด็กหญิงฟ้าไว้เดิม ไปให้แก่เด็กชายปื๊ดบุตรชายแทน เด็กหญิงฟ้าจึงไม่สามารถที่จะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนตามบันทึกฉบับแรกได้

สรุป

เด็กหญิงฟ้าจะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนตามบันทึกฉบับแรกไม่ได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมานะ อายุ 18 ปี ซื้อรถจักรยานยนต์คับหนึ่งจากร้านนางมานี ราคา 18,000 บาท โดยไม่ได้บอกให้นางชูใจมารดารู้ หลังจากซื้อรถจักรยานยนต์มาได้ 7 วัน นางชูใจรู้เรื่องจึงแสดงเจตนาบอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ โดยนางชูใจทำหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าว แล้วมอบให้นายมีนาถือไปส่งให้นางมานีที่ร้านของนางมานี แต่ปรากฏว่านางมานีไม่อยู่ นายมีนาจึงได้ส่งหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายนั้นให้ไว้แก่นางเมษาเจ้าของร้านค้าซึ่งอยู่ติดกันร้านของนางมานีรับไว้แทน

ดังนี้ การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะและนางมานี มีผลสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคแรก “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา…”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า จะมีผลสมบูรณ์นับตั้งแต่ที่การแสดงเจตนานั้นได้ไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้น คำว่า “ไปถึง” ในที่นี้หมายความว่า การแสดงเจตนานั้นได้ถูกส่งไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้รับการแสดงเจตนาแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้รับการแสดงเจตนานั้นจะได้ทราบถึงการแสดงเจตนานั้นหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชูใจทำหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานี แล้วมอบให้นายมีนาถือไปส่งให้นางมานีที่ร้านของนางมานี แต่ปรากฏว่านางมานีไม่อยู่และนายมีนาได้ส่งหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าวให้ไว้แก่นางเมษาเจ้าของร้านค้าซึ่งอยู่ติดกับร้านของนางมานีรับไว้แทนนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า เมื่อหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าวยังไม่ไปอยู่ในเงื้อมมือของนางมานี จึงยังถือไม่ได้ว่าการแสดงเจตนาของนางชูใจได้ไปถึงนางมานี ดังนั้น การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานีจึงยังไม่มีผลสมบูรณ์

สรุป

การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานียังไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคแรก

 

ข้อ 2. นายส้มโอทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายแตงโมแปลงหนึ่ง โดยตกลงกันว่าเมื่อนายแตงโมชำระราคาที่ดินให้นายส้มโอครบถ้วนแล้วภายใน 30 วันนับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย นายส้มโอจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายแตงโม ครั้นครบกำหนดนัดที่นายแตงโมจะต้องชำระราคาที่ดินให้แก่นายส้มโอ นายแตงโมกลับหลีกเลี่ยงที่จะชำระเงิน นายส้มโอจึงมาระบายความทุกข์ให้นายมะละกอซึ่งเป็นนักเลงหัวไม้ฟัง นายมะละกอได้ยินดังนี้ จึงไปหานายแตงโมแล้วพูดว่า ถ้านายแตงโมไม่ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายส้มโอ นายส้มโอก็จะไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้

ด้วยความกลัวนายแตงโมจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่นายส้มโอให้ท่านวินิจฉัยว่า หนังสือรับสภาพหนี้ที่นายแตงโมทำขึ้นมีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกูฏหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 164 “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึงและร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 165 วรรคแรก “การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่”

มาตรา 166 “การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ หมายความว่าเป็นการใช้อำนาจบังคับจิตใจของบุคคล เพื่อให้เขาเกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ การแสดงเจตนานั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ และการข่มขู่นั้นย่อมทำการแสดงเจตนาตกเป็นโมฆียะ แม้จะเป็นการข่มขู่โดยบุคคลภายนอก (มาตรา 164 และมาตรา 166) แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทำได้ ไม่ตกเป็นโมฆียะ เช่น การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตามมาตรา 165 วรรคแรก เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายส้มโอทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายแตงโม โดยตกลงกันว่าเมื่อนายแตงโมชำระราคาที่ดินให้นายส้มโอครบถ้วนแล้วภายใน 30 วัน นับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย นายส้มโอจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายแตงโม แต่เมื่อครบกำหนดนายแตงโมกลับหลีกเลี่ยงที่จะชำระเงินทำให้นายมะละกอซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไปพูดขู่กับนายแตงโมว่า ถ้านายแตงโมไม่ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายส้มโอ นายส้มโอก็จะไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ และด้วยความกลัวนายแตงโมจึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่นายส้มโอนั้น กรณีเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า แม้การแสดงเจตนาเข้าทำนิติกรรมของนายแตงโมคือการทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้น เป็นเพราะถูกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่สัญญาข่มขู่ซึ่งโดยหลักแล้วจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 164ประกอบมาตรา 166 ก็ตาม

แต่เมื่อการขู่ของนายมะละกอบุคคลภายนอกนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตามมาตรา 165 วรรคแรก ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการขู่ของนายมะละกอบุคคลภายนอกจึงไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้การแสดงเจตนาเข้าทำหนังสือรับสภาพหนี้ของนายแตงโมเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

หนังสือรับสภาพหนี้ที่นายแตงโมทำขึ้นมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2553 นายหมอกได้ไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างจากร้านของนายหมึกมาเพื่อซ่อมแซมและต่อเติมบ้าน เป็นจำนวนเงินสองแสนบาท แต่นายหมอกยังไม่ได้ชำระราคาค่าอุปกรณ์ก่อสร้างโดยนัดจะมาชำระราคาให้กับนายหมึกในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 ครั้นเมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด นายหมึกติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 26 สิงหาคม 2555 นายหมอกนำเงินมาชำระให้บางส่วนเป็นเงินห้าหมื่นบาท ส่วนที่เหลือจะนำมาชำระให้ในวันที่ 15 กันยายน 2555 แต่เมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระอีก นายหมึกจึงนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลในวันที่ 15 กันยายน 2556 นายหมอกต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว นายหมึกอ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2555

อยากทราบว่าข้ออ้างของนายหมึกฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ มาตรา 193/34 “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้ประกอบศิลปะอุตสาหกรรมหรือช่างฝีมือเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำ หรือค่าดูแลกิจการของผู้อิน รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง”

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายหมอกได้ซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างจากร้านของนายหมึกเป็นจำนวนเงิน 200,000บาท โดยมีกำหนดชำระราคาในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 แต่เมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีนี้อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 26 สิงหาคม 2553 (มาตรา 193/3 วรรคสอง)

และเนื่องจากสิทธิเรียกร้องดังกล่าวตามมาตรา 193/34 (1) ได้กำหนดให้มีอายุความ 2 ปี ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 2 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 25 สิงหาคม 2555

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 26 สิงหาคม 2555 นายหมอกนำเงินมาชำระให้บางส่วนเป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งการชำระหนี้บางส่วนดังกล่าวนั้นเป็นการชำระหนี้เมื่อเลยกำหนดอายุความเดิมมาแล้ว

จึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนายหมึกนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลในวันที่ 15 กันยายน 2555โดยอ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลง

ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2555 นั้น ข้ออ้างของนายหมึกจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายหมึกที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงแล้วนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายกุ้งน้อยทำสัญญาจ้างนายไข่ย้อยก่อสร้างบ้านให้ตนหนึ่งหลังราคา 5 ล้านบาทถ้วน โดยสัญญาก่อสร้างบ้านได้ตกลงให้มีเบี้ยปรับกันไว้ว่าถ้านายไข่ย้อยไม่สร้างบ้านให้สำเร็จจะไปหาช่างคนอื่นมาสร้างให้แทน ต่อมาปรากฎว่านายไข่ย้อยไม่มาสร้างบ้านให้สำเร็จ นายไข่ย้อยจึงต้องไปหานายควายนุ้ยมาสร้างบ้านให้แทน แต่ทว่านายควายนุ้ยคิดราคาค่าก่อสร้าง 6 ล้านบาทถ้วน นายกุ้งน้อยต้องการรีบสร้างบ้านให้เสร็จจึงต้องยอมตกลงด้วย และรู้สึกโกรธที่นายไข่ย้อยไม่รักษาสัญญา จึงมาปรึกษากับท่านเพื่อจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่นายไขย้อยไม่ก่อสร้างบ้านให้ตามสัญญา แต่ไปให้นายควายนุ้ยก่อสร้างบ้านให้แทนโดยคิดราคา 6 ล้านบาทถ้วน ทำให้นายกุ้งน้อยเสียหายต้องจ่ายค่าก่อสร้างเพิ่มอีก 1 ล้านบาทถ้วน ท่านจะให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่นายกุ้งน้อยว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งเละพาณิชย์

มาดรา 382 ‘‘ถ้าสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่นให้เป็นเบี้ยปรับไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 379 ถึงมาตรา 381 มาใช้บังคับ ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนก็เป็นอันขาดไป ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกุ้งน้อยทำสัญญาจ้างนายไข่ย้อยก่อสร้างบ้านให้ตนหนึ่งหลังราคา 5 ล้านบาทถ้วน โดยในสัญญาได้มีข้อตกลงให้มีเบี้ยปรับกันไว้ว่า ถ้านายไข่ย้อยไม่สร้างบ้านให้สำเร็จจะไปหาช่างคนอื่นมาสร้างให้แทนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่นให้เป็นเบี้ยปรับ ที่ไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินตามมาตรา 382

และเมื่อปรากฏว่านายไข่ย้อยไม่มาสร้างบ้านให้สำเร็จ นายไข่ย้อยจึงต้องไปหานายควายนุ้ยมาสร้างบ้านให้แทนโดยนายควายนุ้ยคิดราคาค่าก่อสร้าง 6 ล้านบาทถ้วน และนายกุ้งน้อยยอมตกลงนั้น ถือว่าการที่นายกุ้งน้อยตกลงให้นายควายนุ้ยมาสร้างบ้านแทนนายไข่ย้อยจึงเป็นการเรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนก็เป็นอันขาดไปตามมาตรา 382 ดังนั้น นายกุ้งน้อยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าสร้างบ้านเพิ่มอีก 1 ล้านบาทถ้วน ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้นายควายนุ้ยจากนายไข่ย้อยได้อีก

สรุป

เมื่อนายกุ้งน้อยมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่นายกุ้งน้อยดังที่ได้กล่าวไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเป็ดอายุย่างเข้าปีที่ 25 ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเป็นเหตุให้ขาและแขนของนายเป็ดขาดทั้งสองข้าง นางไก่มารดาของนายเป็ดเห็นว่านายเป็ดไม่สามารถจัดทำการงานได้ด้วยตนเอง จึงร้องขอต่อศาลสั่งให้นายเป็ดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏจึงสั่งให้นายเป็ดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และตั้งให้นางไก่เป็นผู้พิทักษ์

ต่อมาภายหลังนายเป็ดได้นำรถยนต์ของตนออกให้นายหมูเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน อีกทั้งนำที่ดินของตนให้นายเต่าเช่าเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยนางไก่ไม่ได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใด ให้วินิจฉัยว่า การให้เช่ารถยนต์และที่ดินซึ่งนายเป็ดทำขึ้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(5) เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ’’

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และได้จัดให้อยู่ในความพิทักษ์ของผู้พิทักษ์ตามมาตรา 32 แล้ว แม้คนเสมือนไร้ความสามารถยังมีความสามารถในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ก็ตาม แต่ในกรณีที่เป็นนิติกรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การเช่า หรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี ตามมาตรา 34 (5) แล้ว คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (ตามมาตรา 34 วรรคท้าย)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเป็ดซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้นำที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ออกให้นายเต่าเช่ามีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เกินกว่า 3 ปี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไก่ผู้พิทักษ์นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 34 (5) ดังนันสัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายเป็ดและนายเต่าจึงตกเป็นโมฆียะ

ส่วนการที่นายเป็ดได้นำรถยนต์ออกให้นายหมูเช่าเพียง 3 เดือนนั้น เมื่อรถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์และการให้เช่าก็มีระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ดังนี้แม้สัญญาเช่าดังกล่าวจะไม่ได้รับความยินยอมจากนางไก่ผู้พิทักษ์ ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 34 (5) แต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาเช่ารถยนต์ระหว่างนายเป็ดและนายหมูจึงสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้

สรุป

การให้เช่ารถยนต์ซึ่งนายเป็ดทำขึ้นชอบด้วยกฎหมายและมีผลสมบูรณ์ ส่วนการให้เช่าที่ดินซึ่งนายเป็ดทำขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. ด้วยความรักอันหวานชื่นของสมศักดิ์และสมหญิง เป็นเหตุให้ทั้งคู่ตกลงที่จะจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียง 3 ปี สมศักดิ์และสมหญิงกลับจดทะเบียนหย่ากันเพื่อประโยชน์ในการเสียภาษี โดยทั้งคู่ยังคงอยู่กินและอุปการะเลี้ยงดูกันเหมือนไม่ได้หย่าขาดจากกันเลย

ให้วินิจฉัยว่า การจดทะเบียนหย่าของสมศักดิ์และสมหญิงทำให้การสมรสสิ้นสุดลงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 155 วรรคแรก “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

วินิจฉัย

คำว่า “การแสดงเจตนาลวง” นั้น หมายถึง การที่คู่กรณีสองฝ่ายได้สมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมขึ้นมา แต่ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันบังคับกันตามกฎหมาย ดังนั้นนิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาลวงดังกล่าว จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคแรก และจะไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความผูกพันในทางกฎหมายขึ้นระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมศักดิ์ได้จดทะเบียนหย่ากับสมหญิงโดยที่ความจริงทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแต่อย่างใด แต่ที่ทำไปก็เพี่อลวงผู้อื่นเกี่ยวกับประโยชน์ในการเสียภาษีนั้น

ถือได้ว่าการจดทะเบียนหย่าของทั้งสองเป็นเพียงการแสดงเจตนาลวงโดยการสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมา ดังนั้นการจดทะเบียนหย่าของทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคแรก และจะไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความผูกพันในทางกฎหมายขึ้นระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด กล่าวคือจะไม่ทำไห้การสมรสระหว่างสมศักดิ์และสมหญิงสิ้นสุดลง

สรุป

การจดทะเบียนหย่าของสมศักดิ์และสมหญิงไม่ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง

 

ข้อ 3. โปรดจงอธิบายหลักการกำหนดระยะเวลาตามปีปฏิทิน

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/5 และมาตรา 193/6 ได้บัญญัติหลักการกำหนดระยะเวลาตามปีปฏิทินไว้ดังนี้ คือ

  1. ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปี ให้คำนวณตามปีปฏิทิน (มาตรา 193/5 วรรคแรก)

คำว่า “ปีปฏิทิน” ในปัจจุบันหมายถึงการนับระยะเวลาทางสุริยคติ กล่าวคือ ถ้านับเป็นสัปดาห์ หมายความถึงระยะเวลา 7 วัน วันแรกแห่งสัปดาห์คือวันอาทิตย์ วันสุดท้ายแห่งสัปดาห์คือวันเสาร์ ถ้านับเป็นเดือน หมายความถึงระยะเวลาในแต่ละเดือน ซึ่งบางเดือนอาจจะมี 30 วัน บางเดือนอาจจะมี 31 วัน และบางเดือนอาจจะมี 28 หรือ 29 วันก็ได้ แต่ถ้านับเป็นปีก็จะหมายความถึงระยะเวลาในแต่ละปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม โดยไม่คำนึงว่าในปีนั้นจะมี 365 วัน หรือ 366 วัน

  1. ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น (มาตรา 193/5 วรรคสอง)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2557 กำหนดชำระคืนภายใน 1 สัปดาห์ ดังนี้ระยะเวลาย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2557 และระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2557 เป็นต้น (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2557)

  1. ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้น เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา (มาตรา 193/5 วรรคสองตอนท้าย)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 กำหนดชำระคืนภายใน 2 เดือน ดังนี้ระยะเวลาย่อมเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2556 และระยะเวลา 2 เดือนย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้น (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557)

  1. ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดือนและวัน หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือนให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน แล้วจึงนับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเป็นวัน (มาตรา 193/6 วรรคแรก)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 กำหนดชำระคืนภายใน 2 เดือน 10 วัน ดังนี้ การคำนวณระยะเวลาให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน คือ 2 เดือน ซึ่งระยะเวลา 2 เดือน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2557 หลังจากนั้นจึงนับจำนวนวันอีก 10 วัน ดังนั้นระยะเวลา 2 เดือน 10 วัน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557)

  1. ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อน หากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน การคำนวณส่วนของเดือน ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมีสามสิบวัน (มาตรา 193/6 วรรคสองและสาม)

 

ข้อ 4. แก้วมีความประสงค์ที่จะซื้อที่ดินจากไชยากรเพื่อนำมาปลูกสร้างเรือนหอกับน้ำทิพย์ จึงตกลงด้วยวาจาที่จะทำการซื้อที่ดินในราคา 1 ล้านบาท และนำเงิน 1 แสนบาทมาวางเป็นมัดจำเอาไว้พร้อมกับสัญญาว่าจะรวบรวมเงินที่เหลือให้ครบเพื่อนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันอีกในอีก 2 เดือน ถัดไป ครั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว แก้วเปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวราคาสูงเกินไป จึงไม่ตกลงทำสัญญาด้วย แต่ไชยากรปฏิเสธเพราะถือว่าได้ทำสัญญากันแล้วด้วยการวางมัดจำเพียงแต่ยังมิได้ตกลงกันในรายละเอียดเท่านั้น นายแก้วจึงมาปรึกษาท่านเพื่อขอความเห็นทางกฎหมายว่ามีสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างแก้วกับไชยากรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 366 วรรคสอง “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 366 วรรคสอง ในกรณีที่สัญญาที่คู่สัญญามุ่งจะทำนั้น กฎหมายมิได้บังคับไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด คู่สัญญาก็อาจตกลงกันได้ว่าสัญญานั้นต้องทำเป็นหนังสือ และเมื่อมีการตกลงกันไว้ดังกล่าว เมื่อกรณีเป็นที่สงสัยว่าสัญญานั้นเกิดขึ้นแล้วหรือยัง กฎหมายให้ถือว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แก้วกับไชยากรตกลงจะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน ซึ่งสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าแก้วกับไชยากรได้ตกลงกันว่าจะนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือกันอีกในอีก 2 เดือนถัดไป อันเป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกัน แก้วเปลี่ยนใจไม่ยอมทำสัญญาด้วยไชยากรจะถือว่าการที่แก้วตกลงว่าจะซื้อที่ดินและได้มีการวางมัดจำไว้มาวินิจฉัยว่ามีสัญญาจะซื้อจะขายกันแล้วไม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าวต้องตามมาตรา 366 วรรคสอง ที่ให้ถือว่ายังมิได้มีสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันจนกว่าจะได้ทำสัญญากับขึ้นเป็นหนังสือแล้ว

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้ความเห็นแก่แก้วว่า สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างแก้วกับไชยากรยังไม่เกิดขึ้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายยิ่งทำสัญญาขายที่ดินของตนให้นายยงแปลงหนึ่ง โดยทราบดีว่านายยงจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไปเพื่อสร้างโรงงานถลุงเหล็ก นอกจากนี้ นายยิ่งยังทราบดีว่าที่ดินของตนอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม แต่ปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว

ภายหลังจากที่นายยงซื้อที่ดินได้ไม่นาน นายยงได้ยื่นขออนุญาตจากทางราชการเพื่อทำการก่อสร้างโรงงานของตน แต่ทางราชการกลับแจ้งเป็นหนังสือให้นายยงทราบว่า นายยงไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างเนื่องจากที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่ห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นายยงรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากนายยงได้ทราบว่าที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นายยงคงไม่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเลย

ให้วินิจฉัยว่า นายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนี้นคงจะมิได้กระทำขึ้น ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยงทำสัญญาซื้อที่ดินจากนายยิ่งไปเพื่อสร้างโรงงานถลุงเหล็กโดยไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่องห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ถือว่านายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะถ้านายยงมิได้สำคัญผิดคือทราบความจริงดังกล่าว นายยงก็คงจะไม่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายยงและนายยิ่งจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 ซึ่งนายยงสามารถบอกล้างได้ และเมื่อนายยงได้บอกล้างแล้วสัญญาซื้อขายย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่แรก

สรุป

นายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมา และสัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆียะ ซึ่งนายยงสามารถบอกล้างได้

 

ข้อ 2. นายตะวันหลอกนายฟ้าขายที่ดินให้กับตน โดยหลอกลวงนายฟ้าว่า ที่ดินของนายฟ้าจะถูกเวนคืน เพื่อสร้างทางด่วน นายฟ้าหลงเชื่อ จึงทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายตะวันไปในราคาถูกกว่าความเป็นจริง ต่อมานายฟ้าทราบความจริงว่านายตะวันหลอกตนให้ขายที่ดินในราคาถูกที่จริงแล้วไม่มีการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางด่วนแต่อย่างใด นายฟ้าจึงใช้สิทธิบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวัน แต่ปรากฏว่าก่อนที่นายฟ้าจะบอกล้างนั้นนายตะวันได้นำที่ดินที่ซื้อมาจากนายฟ้าไปยกให้กับนางสาวฝนโดยเสน่หา โดยที่นางสาวฝนเข้าใจว่าที่ดินนั้นเป็นของนายตะวัน

ดังนั้นเมื่อนายฟ้ามาทราบภายหลังว่านายตะวันได้ยกที่ดินนั้นให้กับนางสาวฝนไปแล้ว นายฟ้าจึงมาเรียกคืนที่ดินดังกล่าวจากนางสาวฝน ดังนี้อยากทราบว่านางสาวฝนต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้กับนายฟ้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 160 “การบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตามมาตรา 159 ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตะวันหลอกนายฟ้าขายที่ดินให้กับตน โดยหลอกลวงนายฟ้าว่า ที่ดินของนายฟ้าจะถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน จนทำให้นายฟ้าหลงเชื่อและยอมทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าว ให้นายตะวันไปในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงนั้น ถือว่านายฟ้าได้แสดงเจตนาเพราะถูกนายตะวันใช้กลฉ้อฉล และเป็นกลฉ้อฉลที่ถึงขนาดคือถ้าไม่มีการใช้กลฉ้อฉลว่าที่ดินนั้นจะถูกเวนคืน นายฟ้าก็คงจะไม่ขายที่ดินในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงให้แก่นายตะวัน ดังนั้นนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างนายตะวันและนายฟ้าย่อมตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง นายฟ้าย่อมมีสิทธิบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวันได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นายฟ้าจะบอกล้างนั้นนายตะวันได้นำที่ดินที่ซื้อมาจากนายฟ้าไปยกให้กับนางสาวฝนโดยเสน่หา โดยที่นางสาวฝนเข้าใจว่าที่ดินนั้นเป็นของนายตะวัน ย่อมถือได้ว่านางสาวฝนเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ดังนั้นเมื่อนายฟ้าบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวัน และมาทราบภายหลังว่านายตะวันได้ยกที่ดินนั้นให้กับนางสาวฝนไปแล้ว นายฟ้าจึงไม่สามารถเรียกที่ดินดังกล่าวจากนางสาวฝนได้ เพราะนางสาวฝนได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 160

สรุป

นางสาวฝนไม่ต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้กับนายฟ้า

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมือหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 10 มีนาคม 2554 นายกระทิงได้เขียนหนังสือไปทวงเงินจำนวนดังกล่าวจากนายกระต่าย ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย นายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2555 นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 193/3 “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้ โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คืออายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 15มีนาคม 2554 และแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนก็ตาม แต่เมื่อเป็นการชำระหนี้เมื่อเลย

กำหนดอายุความเดิมมาแล้ว กรณีจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1) แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อนายกระทิงนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2555 จึงเป็นการฟ้องเมื่อเลยกำหนดอายุความแล้ว นายกระต่ายย่อมมีสิทธิยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้นายกระทิงได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายกระทิงที่ว่ายังไม่ขาดอายุความนั้น ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายรื่นทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ TOYOTA ทะเบียน 1234 กรุงเทพมหานคร จากนายเริงในราคา 1,000,000 บาท โดยชำระเงินค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญาจำนวน 200,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 800,000 บาท ตกลงชำระเป็นงวดรวม 80 งวด ๆ ละ 10,000 บาท ทุกวันที่ 1 ขอนดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป และมีข้อสัญญาว่า ถ้านายรื่นผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกัน หรือค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไป ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที

ปรากฏว่า นายรื่นค้างชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 11 – 13 แต่เมื่อนายรื่นนำเงินค่าเช่าซื้อมาชำระต่อนายเริง นายเริงก็ยอมรับไว้ พร้อมออกใบเสร็จรับเงินให้ ภายหลังต่อมานายรื่นค้างชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 15 – 16 อีก นายเริงก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด ทั้งยังออกใบเสร็จรับเงินให้อีกเช่นเคย อย่างไรก็ตาม เมื่อนายรื่น ค้างชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 19 – 20 อีกครั้ง นายเริงไม่สามารถทนต่อการผิดนัดชำระหนี้ของนายรื่นได้

นายเริงจึงทำหนังสือทวงถามให้นายรื่นนำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 มาชำระภายในระยะเวลา 15 วัน

แต่เมื่อครบกำหนด 15 วัน แล้ว นายเริงก็ยังไม่ได้รับค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 แต่อย่างใด นายเริงจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังนายรื่น พร้อมเรียกให้นายรื่นส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ตน

ให้วินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของนายเริงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายรื่นต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 386 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อิกฝ่ายหนึ่ง…”

มาตรา 387 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 391 วรรคแรก “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้อง ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่”

 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายรื่นได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากนายเริง และต่อมานายรื่นได้ผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไปนั้น ย่อมทำให้นายเริงสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามมาตรา 386

โดยการแสดงเจตนาแกนายรื่น แต่อย่างไรก็ดี เมือนายรื่นนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างมาชำระ นายเริงก็รับไว้ทุกครั้ง ย่อมมีผลทำให้นายเริงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามข้อตกลงในสัญญาได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ถ้านายเริงจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ การบอกเลิกสัญญาของนายเริงจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

และต่อมานายรื่นได้ค้างชำระค่าเช่าซื้ออีกในงวดที่ 19 – 20 นายเริงจึงได้ทำหนังสือทวงถามให้นายรื่นนำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 มาชำระภายในระยะเวลา 15 วัน แต่เมื่อครบกำหนด 15 วันแล้วนายรื่นก็มิได้นำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20ไปชำระให้แก่นายเริงแต่อย่างใด ดังนี้นายเริงย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามมาตรา 387

และเมื่อปรากฎว่านายเริงได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว นายรื่นและนายเริงจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมก่อนเกิดสัญญาเช่าซื้อตามมาตรา 391 วรรคแรก ดังนั้นนายรื่นจึงต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริง

สรุป

การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของนายเริงชอบด้วยกฎหมาย และนายรื่นจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริง

WordPress Ads
error: Content is protected !!