LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปี นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ปลูกต้นกระถินไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่า ทำถนนคอนกรีต ทางจากรั้วถึงตัวบ้านเสียค่าก่อสร้างต่อเติมทั้งหมด 300,000 บาท โดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้ เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่านายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปีนั้น เมื่อบ้านเป็นส่วนควบกับที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดง ดังนั้น การที่นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ครัวและห้องน้ำที่ต่อเติมและสร้างใหม่ย่อมเป็นส่วนควบกับบ้านตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 144 วรรคสอง

ต้นกระถินที่นายดำปลูกไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่านั้น เมื่อต้นกระถินเป็นไม้ยืนต้นและเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของที่ดินตามมาตรา 144 วรรคสอง

ส่วนถนนคอนกรีตซึ่งนายดำได้ทำเป็นทางจากรั้วถึงตัวบ้านโดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้นั้นถือเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเช่นกันตามมาตรา 144 วรรคสอง

เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า นายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ ดังนี้ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่นายดำได้ต่อเติมหรือทำขึ้นมาดังกล่าวข้างต้นนั้น เมื่อเป็นส่วนควบกับบ้านและที่ดินย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของบ้านและที่ดินนั้นตามมาตรา 144 วรรคสอง อีกทั้งการที่นายแดงได้อนุญาตให้นายดำกระทำการดังกล่าวได้นั้น นายแดงก็มิได้มีการตกลงว่าจะชดใช้ราคาให้แก่นายดำแต่อย่างใด

สรุป

นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายชาติเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีเขตที่ดินต่อกับที่ดินของนายชัย นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตน และขณะที่ผู้รับเหมาลงมือก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นถึงขั้นกำลังทำหลังคาบ้าน นายชัยจึงขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดินปรากฏว่ารั้วกำแพงส่วนหนึ่งและตัวบ้านทั้งหลังที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านต่อไปจนแล้วเสร็จนายชัยต้องการให้นายชาติรื้อถอนบ้านและรั้วกำแพงที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ นายชาติต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามที่นายชัยต้องการหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1311 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้ เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้น แล้วแต่จะเลือก”

มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกลํ้าเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีของรั้วกำแพง การที่นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงโดยมีส่วนหนึ่งอยู่ในที่ดินของนายชัย แม้นายชาติจะได้กระทำโดยสุจริตเพราะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อรั้วกำแพงนั้นไม่ใช่โรงเรือนหรือส่วนควบของโรงเรือน กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัย
  2. กรณีของบ้าน แม้ในขณะที่มีการลงมือก่อสร้างบ้านนั้น นายชาติจะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อนายชัยได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน และปรากฏว่าตัวบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติยังบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ กรณีนี้จึงถือได้ว่าเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามมาตรา 1311 ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

สรุป

นายชาติต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัยและต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

 

ข้อ 3. นายจันทร์เป็นน้องของนายอาทิตย์ ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งโดยมีส่วนกันคนละครึ่ง นายจันทร์ได้ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์มีข้อความมอบอำนาจให้นายจันทร์นำที่ดินแปลงที่ทั้งสองคนมีกรรมสิทธิ์รวมไปขาย และนายจันทร์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายอังคาร ในระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดนัดโอนที่ดินที่ซื้อขายให้กับนายอังคาร นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้เป็นของนายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์กลายเป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลง

ให้ท่านวินิจฉัยผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ทำระหว่างนายจันทร์และนายอังคาร ดังนี้

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1361 “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้

แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน

ถ้าเจ้าของรวมคนใดจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันทรัพย์สินโดยมิได้รับความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน แต่ภายหลังเจ้าของรวมคนนั้นได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่ผู้เดียวไซร้ ท่านว่านิติกรรมอันนั้นเป็นอันสมบูรณ์”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. เมื่อนายจันทร์และนายอาทิตย์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง โดยมีส่วนกันคนละครึ่ง และก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย การที่นายจันทร์ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์และไปทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่นายอังคารนั้น ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าว จึงไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่มีผลผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์ (ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)
  2. หลังจากนายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและได้ทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้แก่นายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งแปลง ดังนั้นย่อมมีผลทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง (ตามมาตรา 1361 วรรคสาม)

สรุป

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่ผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง

 

ข้อ 4. น้ำเสนอขายที่ดินแปลงหนึ่งของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงได้ซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้ภายหลัง ฝนจึงปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น แต่ยังไม่ทันที่ฝนจะปลูกบ้านเสร็จ น้ำตาย ฟ้าเป็นทายาทคนเดียวรับมรดกบ้านและที่ดินแปลงนั้นของน้ำมา ไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินของมรดกที่ฟ้าได้ด้วย

ให้ท่านอธิบายกับฝนว่า ฝนจะมีสิทธิเรียกร้องฟ้าอย่างใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฏหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่น้ำเสนอขายที่ดินของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ กรณีนี้ถือว่า ที่ดินที่ฝนซื้อจากน้ำได้ภาระจำยอม ได้ใช้ถนนและไฟฟ้าบนที่ดินของน้ำโดยทางนิติกรรมสัญญา ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ แต่ยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ เพราะการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวนั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว การที่น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้นั้น การแสดงเจตนาของน้ำดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการผูกพันคู่สัญญาแล้ว ทำให้ฝนสามารถเรียกร้องให้น้ำไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ตามสัญญา

การที่ฝนยังปลูกบ้านไม่เสร็จในขณะที่น้ำตายโดยมีฟ้าซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของน้ำรับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านของตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับมานั้น เมื่อการได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวของฝนจะไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิก็ตาม แต่ก็บริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา ซึ่งคำว่าคู่สัญญานั้นให้หมายความรวมถึง “ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา” ซึ่งได้แก่ทายาทของคู่สัญญาด้วย ดังนั้นเมื่อฟ้าเป็นทายาทผู้รับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิของน้ำ จึงต้องรับเอาสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของน้ำเจ้ามรดกด้วย (ตามมาตรา 1600)

ฝนจึงมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำและต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

สรุป

ฝนมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำ และต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอม ภายหลังต่อมานายอ้วนจดทะเบียนยกที่ดินแปลงเดียวกันให้นางสวยโดยเสน่หา โดยนางสวยไม่ทราบถึงภาระจำยอมที่นายผอมมีอยู่บนที่ดินมาก่อนเลย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางสวยจะห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอมนั้น ถือเป็นกรณีที่นายผอมได้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายอ้วน อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และเมื่อการได้ภาระจำยอมดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของนายผอมจึงยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้เพียงแต่มีผลบังคับกันระหว่างนายอ้วนและนายผอม ซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิเท่านั้น (ตามมาตรา 1299 วรรคแรก)

ดังนั้น เมื่อต่อมานายอ้วนได้จดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสวยโดยเสน่หา นางสวยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น และถือเป็นบุคคลภายนอก เมื่อการได้ภาระจำยอมของนายผอมไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิจึงไม่สามารถบังคับใช้กับนางสวยได้ นางสวยย่อมสามารถห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของนางสวยได้

สรุป

นางสวยห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของตนได้

 

ข้อ 2. นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของหลังจากนายเงินทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่าสิบปีแล้ว นายเงินให้นายทองเช่าที่ดินนั้นทำไร่ต่อจากตน หลังจากนายทองเช่าทำไร่ได้ห้าปี นายทองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า นายเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่า นายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ ระหว่างนายเงินและนายทองมีสิทธิใด ๆ ในที่ดินแปลงนี้ และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนี้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้นแม้นายเงินเข้าครอบครองทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว การเข้ายึดถือครอบครองของนายเงินย่อมไม่ทำให้นายเงินได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมสามารถยกเอาการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นยันผู้อื่นที่เข้ามารบกวนได้ในขณะเวลาที่ตนยังยึดถือครอบครองอยู่เท่านั้น

และเมื่อนายเงินไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าว นายเงินจึงไม่มีสิทธินำที่ดินนั้นไปให้นายทองเช่าทำไร่ต่อจากตน เมื่อนายเงินนำที่ดินไปให้นายทองเช่าต่อจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอม การกระทำของนายเงินจึงไม่มีผลทำให้นายทองได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด แต่จะมีผลเพียงเป็นการมอบการครอบครองที่ดินให้แก่นายทองเท่านั้น นายเงินจึงไม่ใช่ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นอีกต่อไป ดังนั้นนายเงินจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายทองผู้ครอบครองที่ดินนั้น เพราะกรณีนี้ย่อมถือว่านายทองมีสิทธิดีกว่านายเงิน

สรุป

ทั้งนายเงินและนายทองไม่มีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3. นายแดงมีที่ดินแปลงหนึ่งถูกล้อมโดยที่ดินของนายดำ นายขาว และนายเขียว ต่อมานายแดงถึงแก่ความตาย ที่ดินแปลงนี้จึงตกเป็นมรดกแก่นายเข้มและนายแข็ง เมื่อนายเข้มและนายแข็งแบ่งที่ดินมรดกกันเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่านายแข็งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนนายเข้มเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวก จึงมาปรึกษาท่าน

ขอให้ท่านให้คำปรึกษาแก่นายเข้มว่า นายเข้มจะมีสิทธิทำได้หรือไม่ โดยอาศัยข้อกฎหมายเรื่องใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลง

ที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเข้มและนายแข็งได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของนายเข้มถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้นกรณีนี้นายเข้มย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่นายเข้มจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน คือที่ดินของนายแข็งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้นจะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวกนั้น นายเข้มจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้

สรุป

นายเข้มไม่มีสิทธิขอทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายขาวได้ตามมาตรา 1350

 

ข้อ 4. แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งอยู่ติดกับแม่นํ้าเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ แดงกลัวว่าถ้าภายหน้าน้ำจะเซาะทางเดินแล้วทางเดินภาระจำยอมจะหายไป จึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำ แดงจะย้ายภาระจำยอมได้หรือไม่ ใครมีสิทธิย้ายได้ และจะต้องมีหลักเกณฑ์ตามกฎหมายอย่างไรบ้าง แต่ถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้าเมื่อเริ่มทำไปจะก่อผลอย่างไรกับภารยทรัพย์ และฟ้ามีสิทธิอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1389 “ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ท่านว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้”

มาตรา 1392 “ถ้าภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง”

วินิจฉัย

การย้ายภาระจำยอมไปส่วนอื่นของภารยทรัพย์ตามมาตรา 1392 นั้น เป็นสิทธิของเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้น เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิขอย้ายเว้นแต่เจ้าของภารยทรัพย์จะได้ตกลงยินยอมด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งติดอยู่กับแม่น้ำเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ และแดงกลัวว่าถ้าน้ำจะเซาะทางเดินหายไปจึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำนั้น แดงซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิย้ายทางเดินภาระจำยอมนั้นเพราะตามมาตรา 1392 ได้บัญญัติให้เฉพาะเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้นที่มีสิทธิย้ายภาระจำยอมส่วนในกรณีถ้าแดงจะทำทางใหม่ด้วยตนเองโดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้านั้น ถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388 และมาตรา 1389 และไม่ใช่เป็นการรักษาภาระจำยอม ซึ่งแดงไม่มีสิทธิที่จะทำ และถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในที่ดินของฟ้า ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม รวมทั้งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิม และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงผู้ทำละเมิดได้

สรุป

แดงจะย้ายภาระจำยอมไม่ได้ตามมาตรา 1392 และถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้า ย่อมเป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นกับภารยทรัพย์ ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม สั่งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิมและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แป๊ะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินนั้น ต่อมาแต๋วขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวเพิ่งรู้เรื่องการครอบครองของแป๊ะหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวจดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากแป๊ะ

ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างแป๊ะกับหนูผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนบั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แปะะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าแป๊ะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแต๋วโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง แต่การที่แป๊ะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว ท่าให้แป๊ะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค้าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว

การที่แต๋วทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะมาก่อน แมวจึงเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ดังนั้น แมวจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่าแป๊ะ และสามารถให้แป๊ะออกไปจากที่ดินได้ เพราะการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะสิ้นสุดลงแล้ว และถ้ามีการครอบครองปรปักษ์ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาใหม่

และเมื่อหลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงถือว่าหนูเป็นผู้สืบสิทธิของแมว ผู้ซึ่งมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ หนูจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ อีกทั้งการครอบครองปรปักษ์ครั้งใหม่ของแป๊ะก็เพิ่งครอบครองได้เพียง 1 ปีเท่านั้น

สรุป

หนูมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ

 

ข้อ 2. หาญเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ทิศเหนือติดทางสาธารณะซึ่งเป็นทางดินลูกรัง ส่วนด้านทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเอก โท และตรีตามลำดับ ต่อมาหาญถึงแก่ความตายเก่งและกล้าบุตรของหาญได้จดทะเบียนรับที่ดินมรดก โดยจดทะเบียนแบ่งที่ดินออกเป็นสองแปลง เก่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่า แต่เอกไม่ยินยอม

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เก่งและกล้าได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของกล้าถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น กรณีนี้กล้าย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่กล้าจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนคือที่ดินของเก่งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้น จะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่าแต่เอกไม่ยินยอมนั้น กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

สรุป

กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นเช่าที่ดิน น.ส.3 ของนายคงเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้น 8 ปี นายคงทำสัญญาขายที่ดินนั้นให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินกัน ต่อมาอีก 5 ปี นายคงทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกลร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยว ซึ่งนายเบี้ยวรู้เรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว จากนั้นนายเบี้ยวได้ฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากนายมั่น

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างนายมั่นกับนายเบี้ยวผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1367 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง”

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1375 “ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”

มาตรา 1379 “ถ้าผู้รับโอนหรือผู้แทนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว ท่านว่าการโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงแสดงเจตนาก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายคงทำสัญญาขายที่ดินซึ่งนายมั่นได้เช่าปลูกบ้านอยู่อาศัยให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้วนั้น เป็นกรณีที่ผู้รับโอนได้ยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว การโอนการครอบครองจึงกระทำได้เพียงผู้โอนแสดงเจตนาตามมาตรา 1379 ดังนั้นจึงถือว่านายมั่นเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของที่ดินแล้ว เพราะเป็นการยึดถือเพื่อตนมิให้ยึดถือแทนนายคง และมิได้เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ตามมาตรา 1367, 1368 และ 1375 และมีผลทำให้สิทธิครอบครองของนายคงสิ้นสุดลงด้วย

กรณีที่หลังจากนั้น 5 ปี นายคงได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเบี้ยวผู้รับโอนได้รู้ถึงเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว ดังนั้น นายเบี้ยวจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้เพราะนายเบี้ยวผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายคงผู้โอน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นให้ออกจากที่ดินนั้นไม่ได้

สรุป

นายมั่นมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายเบี้ยว และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นไม่ได้

 

ข้อ 4. นิยมเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งซึ่งเป็นสวนทุเรียนอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี และนิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนแทนตน และมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าว โดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมา หลังจากนั้น 10 ปี นิยมถึงแก่ความตาย ระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น เห็นว่าแก้วขายทุเรียนหมดนานแล้วแต่ไม่นำเงินจากการขายทุเรียนส่งมอบให้ตน ระเบียบจึงติดตามทวงถามจากแก้วแต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบ ต่อจากนั้น 2 ปี ระเบียบจึงฟ้องเรียกที่ดินสวนทุเรียนคืนจากแก้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างระเบียบกับแก้วผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และระเบียบจะเรียกที่ดินคืนจากนิยมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดแทนตนและมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าวโดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมานั้น ถือว่าแก้วเป็นผู้ครอบครองสวนทุเรียนแทนนิยมตามมาตรา 1368

หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อนิยมถึงแก่ความตายระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น แล้วติดตามทวงถามเงินที่ขายทุเรียนจากแก้ว แต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบนั้น เป็นกรณีที่แก้วผู้ครอบครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังระเบียบว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป และแก้วได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเองแล้วตามมาตรา 1381 การครอบครองปรปักษ์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่การเปลี่ยนลักษณะการครอบครองดังกล่าว แต่เมื่อปรากฏว่าการครอบครองปรปักษ์ของแก้วเพิ่งนับได้เพียง 2 ปี ดังนั้นแก้วจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ระเบียบจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดิกว่าแก้ว และระเบียบย่อมสามารถเรียกที่ดินดินจากแก้วได้

สรุป

ระเบียบมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าแก้ว และสามารถเรียกที่ดินคืนจากแก้วได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตนแปลงหนึ่ง โดยข้อตกลงในหนังสือสัญญาเช่าที่ลงลายมือชื่อ นายเอกและนายโทระบุว่า

“ข้อ 1. สัญญาเช่าที่ดินระหว่างคู่สัญญามีกำหนด 30 ปี

ข้อ 2. นายเอก ยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้

ข้อ 3. นายโทยินยอมให้โรงเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอกเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า ”

ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)     ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเป็นของนายเอกหรือนายโท

(2)     ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย ”

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

  1. การที่นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตน โดยนายเอกยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้ และมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปีแล้ว ให้โรงเรือนนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอก ดังนั้นเมื่อนายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่า จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างโรงเรือนไว้ โรงเรือนที่นายโทได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนจึงยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่ให้นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่านั้น เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม เมื่อปรากฏว่านิติกรรมดังกล่าวแม้นายเอกและนายโทจะได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนของนายเอกเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

สรุป

  1. ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ

 

ข้อ 2. นายเชิดเป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ต่อมาที่ดินขอนายเชิดค่อย ๆเกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา และนายเชิดได้นำดินมาถมแม่น้ำต่อจากที่งอกริมตลิ่งนั้นเป็นเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 50 ตารางวา ต่อจากนั้นนายเชิดได้สร้างร้านอาหารลงบนที่ดินที่เกิดขึ้นใหม่ 80 ตารางวานั้น หลังจากสร้างร้านอาหารได้ 5 ปี ทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง ทางราชการจึงให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง ดังนี้ นายเชิดจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1308 “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1308 กรณีที่จะเป็นที่งอกริมตลิ่งและตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งนั้น จะต้องเป็นที่งอกจากที่ดินที่เป็นประธานออกไปในน้ำและเป็นการงอกโดยธรรมชาติด้วย มิใช่การเอาดินมาถมเพื่อให้เป็นที่งอก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ที่ดินของนายเชิดค่อย ๆ เกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 30 ตารางวานั้น เป็นที่งอกริมตลิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนั้นที่งอกริมตลิงจึงตกเป็นสิทธิของนายเชิดเจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 แต่ที่ดินส่วนที่นายเชิดได้นำดินมาถมต่อจากที่งอกริมตลิ่งล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 50 ตารางวานั้น ไม่ถือว่าเป็นที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 เพราะมิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้น ที่ดิน 50 ตารางวาจึงยังมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เกิดจากการถมแม่น้ำแม่กลองซึ่งนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนที่ตนใช้ดินถมออกไป และเมื่อทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง

ทางราชการจึงสั่งให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้น นายเชิดย่อมอ้างสิทธิเหนือที่ดินได้เฉพาะส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่ง 30 ตารางวาเท่านั้น ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดได้ถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้นนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกไปด้วย

สรุป

นายเชิดมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ 30 ตารางวา ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง นายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกโปด้วย

 

ข้อ 3. หมูครอบครองบุกรุกเข้าไปทำไร่ข้าวโพดในที่ดินมีโฉนดของแมว โดยบอกกับชาวบ้านแถวนั้นว่าเป็นที่ดินของตน หลังจากที่ครอบครองมาได้ 5 ปี แมวรู้เข้าจึงบอกให้หมูออกไปจากที่ดิน มิฉะนั้น จะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู หมูกลัวจึงย้ายออกจากไร่ข้าวโพดของแมวในขณะที่เพิ่งเริ่มปลูกข้าวโพดได้เพียง 10 วัน ผ่านไป 1 เดือน หมูเสียดายต้นข้าวโพดที่ลงทุนไปจึงย้ายกลับเข้าไปใหม่และครอบครองต่อมาอีก 5 ปี แมวก็ถึงแก่ความตาย นกบุตรของแมวรับมรดกจากแมวมา และแจ้งให้หมูออกจากที่ดินเสีย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หมูครอบครองปรปักษ์ที่ดินของแมวได้ 5 ปี และได้ย้ายออกไปเมื่อแมวบอกให้ออกมิฉะนั้นจะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู แม้หมูกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีจึงได้ย้ายออกไปจากที่ดินของแมว ก็ถือว่าเป็นกรณีที่หมูมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองจึงสิ้นสุดลง

และเมื่อหมูได้ย้ายกลับมาอีกและครอบครองใหม่ จึงต้องเริ่มต้นนับเวลาใหม่อีกครั้งหนึ่งซึ่งกรณีนี้จะนำมาตรา 1384 มาใช้กับการกลับเข้ามาครอบครองใหม่ของหมูไม่ได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหมูได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 5 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี หมูจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382

ดังนั้น เมื่อนกบุตรของแมวแจ้งให้หมูออกไปจากที่ดิน หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

สรุป

หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

 

ข้อ 4. ส่งเป็นพี่น้องของสีซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้กับสี สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตน ซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ต่อมาส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด สุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้ 3 ปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์บนเสาไฟฟ้าและวางทอประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย สีวางสายโทรศัพท์ท่อประปามาได้ 8 ปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน สีจะต่อสู้ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาบนที่ดินของสุดแปลงนั้นแล้ว ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยูในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ส่งกับสีเป็นพี่น้องกันและมีที่ดินอยู่ใกล้กันนั้น การที่สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตนโดยไม่ได้บอกกล้าวกับส่งซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ถือเป็นการใช้ภาระจำยอมโดยฉันญาติมิตร ไม่ก่อให้เกิดการนับอายุความปรปักษ์ แต่เป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมสัญญา แต่เมื่อส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด และสุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม จึงเป็นการเปลี่ยนการยึดถือเป็นเจตนาปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอม ซึ่งสีสามารถนับอายุความครอบครองปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอมได้

เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้สามปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์และท่อไฟฟ้า และวางท่อประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย และเมื่อสีวางสายโทรศัพท์และท่อประปามาได้แปดปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน

ดังนี้จะเห็นได้ว่าสีได้ภาระจำยอมเฉพาะในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้นเพราะครบสิบปีแล้ว ส่วนสายโทรศัพท์และท่อประปาสียังไม่ได้ภาระจำยอมเพราะยังครอบครองปรปักษ์ไม่ครบสิบปีตามมาตรา 1387 ประกอบมาตรา 1401 และมาตรา 1382

สรุป

ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้เฉพาะกรณีที่ได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนที่ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายโทรศัพท์ และท่อประปานั้นรับฟังไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสนมีอาชีพทำนา นายสนได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสาย โดยที่นายสายไม่ทราบ นายสนทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปี นายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น นายเสียงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นมีนายสนได้ทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น ต่อมานายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง ช่วงที่ตกลงซื้อขาย นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกฤดูทำนา เมื่อนายแสงซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้วก็ตั้งใจจะไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้น จึงพบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น

ให้นักศึกษาอธิบายต่อนายแสงว่านายแสงจะมีสิทธิอย่างไรบ้าง และต้องดำเนินการอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณิตามอุทาหรณ์ การที่นายสนซึ่งมีอาชีพทำนาได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสายโดยที่นายสายไม่ทราบ และนายสนได้ทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปีแล้วนั้น ถือว่านายสนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 อันถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายสนไม่ได้ไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายสนจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายสนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

ต่อมาเมื่อนายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น กรณีนี้ถือว่าเป็นการรับโอนที่ดินในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสายซึ่งเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก โดยทายาทต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ของเจ้ามรดก นายเสียงซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของนายสายจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนั้นโดยมีค่าตอบแทน ดังนั้นระหว่างนายสนกับนายเสียง นายสนจึงยังเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายเสียง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง และช่วงที่ตกลงซื้อขายกันนั้น นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกถดูทำนา จึงถือว่านายแสงเป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิในที่ดินแปลงนั้นมาโดยเสียค่าตอบแหนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น นายแสงจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายสน และเมื่อนายแสงจะเข้าไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้นแต่พบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น นายแสงย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อนายแสงว่า นายแสงมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นายปั่นเช่าซื้อรถยนต์ในราคา 200,000 บาท จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว โดยไม่รู้ว่านายปานเป็นผู้มีชื่อในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ หลังจากนายปั่นชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว นายปั่นได้ติดต่อขอให้บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่ตน แต่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมานายปั่นจึงรู้ว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของนายปาน ซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัทก้องเกียรติมอเตอร์จำกัด ในราคา 150,000 บาท เมื่อนายปานทราบข้อเท็จจริงว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในการครอบครองของนายปั่น นายปานจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับนายปั่นส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่ตน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายปั่นจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายปานหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 คือ แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปั่นได้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายปั่นได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อนายปั่นได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วรถยนต์คันนี้จึงตกเป็นสิทธิของนายปั่นแล้ว การที่นายปั่นมารู้ข้อเท็จจริงในภายหลังว่ารถยนต์คับนี้เดิมเป็นของนายปานซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด นั้น ย่อมถือวานายปั่นเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริต ดังนั้น นายปั่นจึงได้รับการคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายปั่นไม่จำต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

สรุป

นายปั่นไม่ต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

 

ข้อ 3. นายขาวมีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตามปกตินายขาวสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์และใช้เรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมานายขาวแบ่งที่ดินออกเป็นสามแปลงและขายให้นายดำ นายเขียว และนายเหลือง นายดำซื้อแปลงที่ไม่มีทางเข้าออกโดยรถยนต์ แต่เข้าออกโดยใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียว

ดังนี้ ถ้านายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองได้หรือไม่ และจะต้องเสียค่าทดแทนหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาดรา 1349 วรรคแรก “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้’’

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1349 วรรคแรก หมายความว่า ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะก็ได้ ส่วนการจะนำบทบัญญัติมาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นสามแปลงแล้วขายให้นายดำ นายเขียวและนายเหลือง โดยนายดำได้ซื้อแปลงที่ไม่สามารถเข้าออกโดยรถยนต์แต่ใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียวนั้น ที่ดินของนายดำจึงยังไม่เข้าลักษณะที่ดินตาบอดที่จะเป็นเหตุให้ขอทางจำเป็นตามมาตรา 1349 วรรคแรกได้เพราะยังสามารถใช้ทางสาธารณะได้ ดังนั้น หากจะขอใช้ทางจำเป็นจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350

แต่อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์ที่สำคัญตามมาตรา 1350 ประการหนึ่งมีว่า เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้วจะต้องทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้ว นายดำยังคงสามารถใช้ทางสาธารณะทางน้ำ (เรือ) เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของตนได้อยู่ จึงไม่ถือว่าที่ดินของนายดำมีสภาพที่ถูกปิดล้อมจนไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การขอทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ดังนั้น นายดำจึงไม่มีสิทธิที่จะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลือง และเมื่อนายดำไม่มีสิทธิขอทางจำเป็น จึงไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทนอีกต่อไป

สรุป

นายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามมาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทน

 

ข้อ 4. นายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินมือเปล่าของนายโทโดยถือวิสาสะอันเป็นการเอื้อเฟื้ออาทรฉันญาติพี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปี ภายหลังต่อมานายเอกและนายโทได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง นายโทจึงห้ามมิให้นายเอกใช้ทางเดินบนที่ดินของตนอีกต่อไปแต่นายเอกก็ยังคงใช้ทางเดินดังกล่าวเรื่อยมาอีก 6 ปี ติดต่อกัน ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกับเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้เดิมนายเอกจะได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทโดยถือวิสาสะฉันญาติ

พี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปีก็ตาม แต่เมื่อภายหลังต่อมานายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินดังกล่าวโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเพียง 6 ปี ดังนั้นนายเอกจึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโท (ตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382)

สรุป

นายเอกไม่ได้สิทธิภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความ

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้น 10 ปี นายหมึกได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินแปลงนี้ให้นางกุ้ง นางกุ้งครอบครองต่อมาได้ 1 ปี นางกุ้งได้ให้เพื่อนของตนซึ่งเป็นข้าราชการของสำนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้ โดยที่ทางราชการยังไม่เคยประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด หลังจากนั้น 2 ปี ทางราชการต้องการที่ดินดังกล่าวทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วม จึงแจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปหรือไม่ และนางกุ้งจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1305 “ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่านั้น เมื่อที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้น แม้นายหมึกจะครอบครองนานเท่าใด นายหมึกก็จะไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

การที่นายหมึกได้ทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางกุ้งนั้น ก็ไม่ทำให้นางกุ้งซึ่งซื้อที่ดินจากนายหมึกได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนให้แก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น(มาตรา 1305) ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่นางกุ้งได้มานั้นก็เป็นการได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะทางราชการยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อทางราชการต้องการที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วมและได้แจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น นางกุ้งก็จะต้องย้ายออกไป และจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นไม่ได้เลย

สรุป

นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปจากที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยไม่สามารถอ้างสิทธิใด ๆ ได้เลย

 

ข้อ 2. นายอึ่งซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยนายอึ่งไม่รู้ว่าเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบไปขายที่บริษัท ไฮใซมอเตอร์ จำกัด หลังจากซื้อรถยนต์มาแล้ว นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนล้อใหม่ทั้งหมดสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้ และนายกบเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวเรียกให้นายอึ่งส่งมอบรถยนต์คืนให้กับตน

ดังนี้ระหว่างนายอึ่งกับนายกบจะมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันในรถยนต์และล้อแม็กซ์ดังกล่าวได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1316 “ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น

ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้ ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ”

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1332 ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตว่า ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินนั้นแก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ถ้าหากบุคคลนั้นได้ซื้อทรัพย์สินนั้นมาจากการขายทอดตลาด หรือจากในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอึ่งได้ซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัทไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณี

ที่นายอึ่งได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อเป็นการซื้อโดยสุจริตเพราะนายอึ่งไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบมาขายไว้กับบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด

ดังนั้นนายอึ่งจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายอึ่งไม่ต้องคืนรถยนต์ให้กับนายกบ เว้นแต่นายกบจะต้องชดใช้ราคาที่ซื้อมาคือ 500,000 บาท ส่วนการที่นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนใหม่ทั้งสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาทนั้น ถือเป็นการเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันเป็นส่วนควบโดยมีรถยนต์เป็นทรัพย์ประธาน ซึ่งตามมาตรา 1316 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์เป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่ต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้กับเจ้าของล้อแม็กซ์ ดังนั้น ถ้านายอึ่งคืนรถยนต์ไห้แก่นายกบเพราะนายกบได้ชดใช้ราคาที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบย่อมเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่นายกบต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

สรุป

นายอึ่งไม่จำต้องคืนรถยนต์ให้แก่นายกบและเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์ดังกล่าว เว้นแต่นายกบจะชดใช้ราคารถยนต์ที่นายอึ่งซื้อมา 300,000 บาท และถ้านายกบได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบก็จะเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่จะต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

 

ข้อ 3. ดำครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี โดยดำบอกกับชาวบ้านแถบนั้นว่าที่ดินเป็นของดำแล้ว ส่วนขาวไม่รู้เรื่องนี้เลย เมื่อขึ้นปีที่ 6 ดำไปทำงานรับจ้างที่สิงคโปร์ โดยมีข้อตกลงจ้างเป็นเวลา 3 ปี ในระหว่างนั้นจึงมอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน แต่ดำไปทำงานได้เพียง 1 ปี ก็ถูกนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง ดำจึงกลับเมืองไทยและเข้ามาทำนาในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองได้อีก 2 ปี ปรากฏว่าเมื่อขาวรู้ว่าดำเข้ามาทำนาในที่ดินของตนจึงแจ้งให้ดำย้ายออกไป ดังนี้ ดำจะต่อสู้ได้หรือไม่ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ ”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่ดำครอบครองดำนาในที่ดินมีโฉนดของขาวนั้น ดำจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจนครบกำหนด 10 บี

การที่ดำครอบครองได้ 5 ปี ถึงปีที่ 6 ดำได้ไปทำงานที่สิงคโปร์นั้น โดยหลักย่อมถือได้ว่าเป็นการขาดยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดำได้มอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน จึงเท่ากับว่าดำยังไม่ได้ขาดการยึดถือทรัพย์สิน เพราะดำให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองของดำจึงมิได้สะดุดหยุดลงและถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี และการที่ดำกลับเมืองไทยและได้เข้ามาทำนในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองอีก 2 ปีนั้น ย่อมถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลาเพียง 8 ปี จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้นเมื่อขาวรู้ว่าดำเขามาทำนาในที่ดินของตนและได้แจ้งให้ดำย้ายออกไป ดำจึงไม่สามารถต่อสู้ขาวได้ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์

สรุป

ดำจะต่อสู้ขาวว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้

 

ข้อ 4. เอกเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง เอกได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรี แต่การวางสายไฟฟ้าจะต้องผ่านที่ดินของจัตวาด้วย เอกไม่สามารถติดต่อจัตวาได้จึงวางเสาไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาไปด้วยโดยไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กับจัตวาจนถึงวันนี้ เอกวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทตรี และจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกมีบนทีดินของโท ตรี และจัตวา คือสิทธิประเภทใด และการได้สิทธิบนที่ดินของโท ตรี และจัตวามีวิธิการได้มาที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

(ให้นักศึกษาตอบตามหลักของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ ”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโคยอนุโลม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรีนั้น สิทธิที่เอกมีอยู่บนที่ดินของโทและตรีคือสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387

เพราะเป็นกรณีที่ที่ดินของโทและตรีต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้โทและตรีต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์คือที่ดินของเอก และเป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยนิติกรรม

ส่วนการที่เอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาโดยมิได้ตกลงกับจัตวานั้น เมื่อปรากฎว่าเอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกได้รับบนที่ดินของจัตวาถือว่าเป็นสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387 เช่นเดียวกัน แต่เป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยอายุความตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382

สำหรับการได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโท ตรี และจัตวา ซึ่งถือว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (ประเภทภาระจำยอม) นั้นจะแตกต่างกับดังนี้ คือ

  1. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโทและตรี ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมนั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคแรก กล่าวคือ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ คือจะใช้ยันต่อบุคคลทั่วไปหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ เพียงแต่จะบริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่กรณีเท่านั้น
  2. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของจัตวา ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความ (โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม) นั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคสอง กล่าวคือ สิทธิของผู้ได้มาย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิสามารถใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีและใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ เพียงแต่ถ้าตราบใดยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการได้มากจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาท แต่นางส้มเช้งและนางส้มโอไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

ภายหลังจากนางส้มเช้งเดินผ่านทางได้เพียงสองปี นางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทางทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่’’

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาทนั้น ถือเป็นกรณีที่นางส้มเช้งตกลงได้มาซึ่งภาระจำยอมในที่ดินของนางส้มโออันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม แม้การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งจะได้ทำเป็นหนังสือแล้ว แต่เมื่อนางส้มเช้งและนางส้มโอยังไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งย่อมสมบูรณ์เป็นบุคคลสิทธิ ใช้บังคับกันได้ระหว่างนางส้มเช้งกับนางส้มโอซึ่งเป็นคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทาง ทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ นางส้มเช้งย่อมสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

สรุป

นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

 

ข้อ 2. นายเผด็จเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งเนื้อที่จำนวน 2 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปี พ.ศ. 2540 นายเผด็จได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา เป็นเหตุให้ที่ดินที่นายบ่ระชาซื้อไปนั้นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แสะก่อนแบ่งโอนนายเผด็จสัญญาว่าจะเปิดทางกว้าง 3.5 เมตร เพื่อให้นายประชาทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่นายประชาเห็นว่า การทำถนนผ่านที่ดินของนายเผด็จไม่สะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนายประชาจึงหันไปทำถนนผ่านที่ดินของนายสันติ ปี พ.ศ. 2541 นายเผด็จเห็นว่านายประชาไม่ใช้ทางผ่านที่ดินของตนจึงล้อมรั้ว หลังจากนั้นปี พ.ค. 2544 นายสันติสร้างตึกแถวในที่ดินของตนทำให้ที่ดินของนายประชาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นายประชาจึงขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อเปิดทางให้นายประชาทำถนนตามที่เคยตกลงกันไว้ แต่นายเผด็จอ้างว่านายประชาได้ใช้ทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะแล้ว และตอนที่นายเผด็จล้อมรั้วนายประชาก็ไม่คัดค้าน ถือว่านายประชาสละสิทธิการใช้ทางนั้นแล้ว หากนายประชาต้องการใช้ทางผ่านที่ดินของตนใหม่ นายประชาจะต้องจ่ายเงินทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการทำถนนผ่านที่ดินให้กับนายเผด็จ

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายประชาจะขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้หรือไม่ และถ้านายเผด็จยอมให้นายประชาทำถนนผ่านที่ดินของตนแล้ว นายประชาจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนให้นายเผด็จหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นเรื่องการขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดิน กล่าวคือถ้าเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้อนเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเผด็จแบ่งแยกที่ดินของตนจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา และเป็นเหตุให้ที่ดินของนายประชาที่ซื้อไปไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น ตามหลักของมาตรา 1350 นายประชาย่อมมีสิทธิขอทางเข้าออกบนที่ดินของนายเผด็จได้ แม้ว่านายประชาจะได้อาศัยทางผ่านที่ดินของนายสันติออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านายประชามีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายประชากับนายสันติไม่ได้ทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และการใช้ทางดังกล่าวก็ยังไม่ถึง 10 ปี อันจะทำให้นายประชาได้สิทธิครอบครองปรปักษในที่ดินของนายสันติแต่อย่างใด

ดังนั้น ที่ดินของนายประชาซึ่งถูกปิดล้อมอยู่จึงมีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของนายเผด็จที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน เพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1350 ซึ่งทางจำเป็นนี้เป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยผลของกฎหมายและตามข้อเท็จจริงยังไม่มีการทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกเลิกทางจำเป็นดังกล่าว ดังนั้น ข้ออ้างของนายเผด็จจึงฟังไม่ขึ้นนายประชาจึงมีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพี่อทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จตามมาตรา 1350

สรุป

นายประชามีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จ

 

ข้อ 3. นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นมาได้ 4 ปี พอเริ่มปีที่ 5 บิดาของนายแมนที่อยู่คนละจังหวัดกันล้มป่วย นายแมนจึงย้ายไปดูแลบิดาที่ป่วยเป็นเวลาสองปี แต่ในระหว่างที่ไปอยู่กับบิดา นายแมนได้จ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินของนายมั่นแทนตน ในปีที่เจ็ด นายแมนกลับเข้ามาทำนาต่อบนที่ดินของนายมั่นด้วยตนเอง ดังนี้ หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินนายมั่นอีกนานเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา 1382 จะบระกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นได้ 4 ปี ในปีที่ 5 นายแมนจ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินนี้แทนตน เพื่อย้ายไปอยู่กับบิดาซึ่งล้มป่วยนั้น นายเหมือนย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือที่ดินแปลงนั้นแทนนายแมนตลอดมา และถือว่านายแมนยังคงมีสิทธิครอบครองที่ดินนี้อยู่ โดยให้นายเหมือนยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองปรปักษ์ของนายแมนจึงคงนับเวลามาตลอด จนในปีที่ 7 นายแมนกลับมาทำนาบนที่ดินอีกด้วยตนเอง จึงเท่ากับนายแมนต้องครอบครองปรปักษ์ที่นาแปลงนี้อีก 3 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382

สรุป

หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินของนายมั่นอีก 3 ปี

 

ข้อ 4. นายวันปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้าน บ้านนายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งบ้านนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่บ้านของนายวันด้วย เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด นายวันจึงมาเรียกให้นายเดือนออกค่าใช้จ่ายด้วย แต่นายเดือนปฏิเสธและห้ามและไม่ยอมให้นายวันทำ ให้ท่านอธิบายว่านายวันจะทำได้หรือไม่ และจะเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยซน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องภาระจำยอมนั้น เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิทำการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้ แต่จะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์ และเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์จากการนั้นด้วย เจ้าของภารยทรัพย์ก็ต้องช่วยเจ้าของสามยทรัพย์ออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น(มาตรา 1391)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปี และบ้านของนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่ใช้ในบ้านของนายวันด้วยนั้น เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟฟ้าใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด กรณีเช่นนี้ นายวันย่อมสามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 วรรคแรก แต่จะต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุด และเมื่อปรากฏวานายเดือนก็ได้รับประโยชน์จากการดังกล่าวด้วย นายเดือนจึงต้องร่วมออกค่าสายไฟและเสาใหม่ด้วยครึ่งหนึ่งตามมาตรา 1391 วรรคสอง

สรุป

นายวันสามารถรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมดได้ และสามารถเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่จากนายเดือนได้ครึ่งหนึ่ง

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายโทจนได้กรรมสิทธิ์นายโททราบดีว่าหากตนฟ้องขับไล่นายเอกตนย่อมแพ้คดี นายโทจึงได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี โดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินไปโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

ให้วินิจฉัยว่านายเอกมีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายโทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเอกเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมแม้นายเอกยังมิได้จดทะเบียนการได้มา นายเอกก็ย่อมเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน (ตามมาตรา 1299 วรรคสอง)

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายโทได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

กรณีเช่นนี้ถือว่านายตรีเป็นบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิโดยสุจริต นายตรีจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1300 กล่าวคือ นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้

สรุป นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและบายตรีได้

 

ข้อ 2. ตู่สร้างบ้านในที่ดินของตน โดยก่อนลงมือก่อสร้างได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินและเชิญเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย แต่แตนเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือไม่ได้มาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย หลังจากตู่สร้างบ้านเสร็จ 1 ปี ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ต่อมาแตนได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดมารังวัดที่ดินเพื่อสร้างบ้านในที่ดินของแตนจึงพบว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตร ตลอดแนวโรงจอดรถ แตนจึงแจ้งให้ตู่รื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถออกไปหรือไม่และบุคคลทั้งสองมีสิทธิหน้าที่ต่อกันอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินไห้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น มิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตู่ได้สร้างบ้านในที่ดินของตนและหลังจากได้สร้างบ้านเสร็จแล้ว ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ปรากฏว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตรตลอดแนวโรงจอดรถ กรณีนี้ถึงแม้ว่าตู่จะได้ทำการต่อเติมโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนต่อเติมตู่ได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง มิใช่การปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลังแล้ว ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ตู่จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรก ดังนั้น ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนออกไป โดยตู่จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเอง และไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

สรุป

ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำออกไปโดยตู่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเองและไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

 

ข้อ 3 นายอาทิตย์ครอบครองปรปักษ์ทำไร่มันสำปะหลังบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของจันทร์มาได้สามปีต่อมานายอังคารเพื่อนของนายอาทิตย์ขอให้นายอาทิตย์ย้ายออกไปช่วยงานที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี หกเดือน หลังจากนั้นนายอาทิตย์กลับมาครอบครองทำไร่มันสำปะหลังในที่ดินของนายจันทร์ต่ออีกสามปีก็ถึงแก่ความตาย นายพุธบุตรของนายอาทิตย์เข้ามาครอบครองทำไร่บนที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีกสามปี ก็ถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้ว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง ”

มาตรา 1385 “ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รันโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้ ท่านว่าข้อบกพรองนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี และต่อมาได้ย้ายออกไปช่วยงานนายอังคารที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน นั้น กรณีนี้ถือว่านายอาทิตย์ได้ขาดการยึดถือที่ดินโดยสมัครใจ แม้ต่อมาจะกลับเข้าครอบครองที่ดินนั้นต่อ ก็ไม่สามารถนำเวลา 3 ปีแรกมานับรวมกับเวลาที่เข้ามาครอบครองในภายหลังได้ จึงต้องเริ่มต้นนับใหม่หลังจากที่กลับมาจากการช่วยงานนายอังคาร (ตามมาตรา 1384)

เมื่อนายอาทิตย์ได้เข้าครอบครองที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี จึงถึงแก่ความตาย นายพุธซึ่งเป็นบุตรของนายอาทิตย์ได้เข้ามาครอบครองที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีก 3 ปี ดังนี้ เมื่อนับรวมเวลาของนายพุธกับนายอาทิตย์เข้าด้วยกับตามมาตรา 1385 จะได้เวลาเพียง 6 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี จึงยังไม่ถือว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้น เมื่อนายพุธถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธจะต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้วไม่ได้

สรุป

นายพุธยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์

 

ข้อ 4. นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดง เมื่อนายดำเข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น นายดำจึงขอนายแดงต่อท่อประปาจากบ้านนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง นายแดงตกลง โดยทั้งนายแดงและนายดำไม่ได้บอกนายเหลืองแต่อย่างใด นายดำจึงได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมา ใช้มาได้สิบห้าปี นายเหลืองทราบจึงต้องการให้นายดำจ่ายค่าใช้ท่อประปาที่ผ่านที่ดินของนายเหลืองมาบนที่ดินของนายแดงเหมือนกับที่นายแดงจ่ายให้นายเหลืองตลอดมา

ให้ท่านอธิบายว่านายดำมีสิทธิอะไรในการใช้น้ำที่ผ่านจากท่อประปาบนที่ดินของนายเหลืองและต้องจ่ายเงินให้นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1393 วรรคสอง “ท่านว่าจะจำหน่าย หรือทำให้ภาระจำยอมตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นต่างหากจากสามยทรัพย์ไม่ได้”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดงได้เข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น และได้ขอให้นายแดงต่อท่อประปาจากบ้านของนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง ซึ่งนายแดงตกลง กรณีนี้ถือว่าเป็นการจำหน่ายสิทธิในภาระจำยอมแยกต่างหากจากสามยทรัพย์ตามมาตรา 1393 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนายแดงจะทำไม่ได้

ดังนั้นการที่นายแดงได้ตกลงกับนายดำโดยไม่ได้บอกนายเหลืองจึงเป็นการปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 และเมื่อนายดำได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมาโดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของนายเหลือง และใช้มาได้15 ปี จึงถือว่าที่ดินของนายดำได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 โดยไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้อง

สรุป

นายดำมีสิทธิได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ และไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลือง

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเมฆและนายหมอกร่วมกันหลอกให้นางฝนรับซื้อฝากที่ดิน โดยที่นายเมฆและนายหมอกนั้นพานางฝนไปชี้ดูที่ดินของบุคคลอื่นว่าเป็นที่ดินของนายเมฆ ดังนั้นนางฝนจึงหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินไว้จากนายเมฆโดยเข้าใจว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นเป็นของนายเมฆ

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการรับซื้อฝากที่ดินของนางฝนมีผลเป็นอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

มาตรา 158 “ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 156 ได้บัญญัติให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ซึ่งได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาหรือนิติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าความสำคัญผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (มาตรา 158)

 

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางฝนรับซื้อฝากที่ดินจากนายเมฆโดยหลงเชื่อและเข้าใจว่าที่ดินที่นายเมฆและนายหมอกพาไปชี้ให้ดูนั้นเป็นของนายเมฆจึงรับซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ กรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่านางฝนประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่เป็นกรณีที่นางฝนได้แสดงเจตนารับซื้อฝากที่ดินจากนายเมฆโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนละเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ดังนั้น การรับซื้อฝากที่ดินของนางฝน จึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 156

สรุป

การรับซื้อฝากที่ดินของนางฝนมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 2. นายสมควรเคยมีพระสมเด็จนางพญาอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งมารดาของนายสมควรได้ให้ไว้ก่อนเสียชีวิต และนายสมควรใช้ห้อยคออยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อนายสมควรเป็นวัยรุ่น นายสมควรได้ไปวางลืมไว้ในห้องน้ำของโรงแรมแห่งหนึ่งในต่างประเทศ หลายปีต่อมานายสมควรได้ไปเจอพระสมเด็จฯ องค์หนึ่งซึ่งเป็นของนายสมรัก นายสมควรมั่นใจว่าเป็นพระองค์เดียวกับที่ตนทำหายไป เพราะตนสามารถจดจำรอยตำหนิต่าง ๆ ได้ นายสมควรจึงขอซื้อจากนายสมรักในราคา 100,000 บาท นายสมควรได้ถามนายสมรักว่า พระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของแท้หรือไม่ นายสมรักบอกว่าเป็นของแท้ทั้ง ๆ ที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอมซึ่งมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดปกติองค์ละไม่เกิน 1,000 บาท นายสมควรจึงตกลงซื้อ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นายสมควรจะทราบว่า พระสมเด็จฯ องค์นั้นเป็นของปลอมนายสมควรก็จะซื้อ ต่อให้มีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม เพราะพระสมเด็จฯ องค์นั้นมีคุณค่าทางจิตใจกับเขาอย่างมาก

ดังนี้ ถ้าต่อมานายสมควรประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจึงเปลี่ยนใจไม่อยากได้พระสมเด็จฯองค์นั้นแล้ว นายสมควรจะบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายหรือจะเรียกร้องอะไรจากนายสมรักได้อย่างไรหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้น กฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมควรขอซื้อพระสมเด็จฯ องค์หนึ่งจากนายสมรักในราคา 100,000 บาท ซึ่งก่อนที่จะซื้อนายสมควรได้ถามนายสมรักว่า พระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของแท้หรือไม่ และนายสมรักบอกว่าเป็นของแท้ ทั้ง ๆ ที่นายสมรักรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอมซึ่งมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดปกติองค์ละไม่เกิน 1,000 บาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า แม้นายสมควรจะได้รู้ว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของปลอมนายสมควรก็จะซื้อไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม ย่อมแสดงให้เห็นว่านายสมควรได้แสดงเจตนาทำสัญญาโดยความสมัครใจ และแม้นายสมรักจะได้ใช้กลฉ้อฉลคือได้หลอกลวงนายสมควรก็ตาม แค่กลฉ้อฉลดังกล่าวก็มิได้ถึงขนาดว่าถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวแล้ว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้ทำขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายพระสมเด็จฯ ระหว่างนายสมควรและนายสมรักจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 นายสมควรจึงบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวไม่ได้

และการที่นายสมควรแม้จะรู้ว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของปลอม นายสมควรก็จะซื้อไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม แสดงว่ากลฉ้อฉลดังกล่าวหาได้เป็นเหตุจูงใจให้นายสมควรยอมซื้อพระสมเด็จฯ องค์นี้ในราคาที่แพงขึ้น อันจะทำให้จะต้องรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายสมควรจะยอมรับโดยปกติแต่อย่างใดไม่

ดังนั้น นายสมควรจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายสมรักตามมาตรา 161

สรุป

นายสมควรจะบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายพระสมเด็จฯ องค์ดังกล่าว หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายสมรักไม่ได้เลย

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2545 นายบุญมีได้ทำสัญญากู้เงินจากนายบุญมากเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2546 นายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วนจำนวน 20,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้นำเงินมาชำระให้อีกเลย จนกระทั่งวันที่ 25 ธันวาคม 2546 นายบุญมากได้เขียนจดหมายไปทวงถามเพื่อให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่จากนายบุญมี แต่นายบุญมีก็ไม่นำมาชำระให้ ต่อมานายบุญมากจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2556 นายบุญมีต่อสู้ว่าขาดอายุความแล้ว แต่นายบุญมากอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลง เนื่องจากนายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายบุญมีฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรีอกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบุญมีได้ทำสัญญากู้เงินจากนายบุญมากเป็นเงินจำนวน 100,000บาท ในวันที่ 25สิงหาคม 2545 โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2546นั้น การที่นายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้นายบุญมากบางส่วนจำนวน 20,000 บาท ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในขณะที่หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ย่อมไม่ถือว่าเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด เพราะอายุความในหนี้ตามสัญญากู้เงินรายนี้จะเริ่มนับก็ต่อเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ คือจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป (ตามมาตรา 193/12) และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความ จึงต้องนำอายุความทั่วไป คือ 10 ปี มาใช้บังคับ (ตามมาตรา 193/30) ดังนั้น หนี้รายนี้จึงครบกำหนดอายุความในวันที่ 25 สิงหาคม 2556 โดยมีหนี้ที่นายบุญมียังค้างชำระอยู่อีก 80,000 บาท

และเมื่อปรากฏว่า ภายหลังครบกำหนดชำระหนี้ คือวันที่ 25 สิงหาคม 2546 แล้ว นายบุญมีลูกหนี้ไม่ได้นำเงินที่ค้างชำระอีก 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายบุญมากอีกเลย และนายบุญมากได้ฟ้องนายบุญมีต่อศาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2556 นั้น นายบุญมีย่อมสามารถต่อสู้ได้ว่าหนี้รายนี้ได้ขาดอายุความแล้ว

ส่วนนายบุญมากจะอ้างว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาตอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลง เนื่องจากนายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วนไม่ได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายบุญมีฟังขึ้น ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. อำแดงอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์ของตนมูลค่าจำนวน 250,000 บาท ให้แก่อำดำซึ่งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยแจ้งว่าหากอำดำตกลงซื้อก็ให้ตอบกลับมาให้ทราบภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2560 อำดำได้รับจดหมายในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 และส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นถึงอำแดงทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) แต่หลังจากส่งจดหมายได้ 4 วัน อำดำได้เสียชีวิตลงจากโรคหัวใจ จึงเป็นเหตุให้อำขาวคู่สมรสของอำดำต้องโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวการตายดังกล่าวให้อำแดงทราบในวันเดียวกันนั้น

ปรากฏต่อมาอีกว่า เจ้าหน้าที่ของทางการไปรษณีย์ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดส่งจดหมายของอำดำไปยังจังหวัดนราธิวาสแทนที่จะส่งมายังจังหวัดเชียงใหม่บ้านของอำแดงตามปกติ เนื่องจากความประมาทเลินเล่อในหน้าที่ จึงเป็นเหตุให้จดหมายของอำดำซึ่งตามปกติควรมาถึงบ้านอำแดงภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2560 กลับมาถึงในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 อำแดงเห็นว่าจดหมายของอำดำมาถึงล่วงเวลาที่กำหนดในจดหมายของตน ทั้งอำดำก็ยังเสียชีวิตไปแล้ว อำดำจึงไม่น่าจะต้องการรถยนต์คันนั้นอีกต่อไปจึงเปลี่ยนใจไม่อยากขายรถยนต์คันนั้นอีก อำแดงจึงไม่สนใจที่จะติดต่ออำขาวทายาทของอำดำในเรื่องการซื้อขายนั้นอีก

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าอำขาวซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของอำดำจะเรียกร้องให้อำแดงส่งมอมรถยนต์คันนั้นให้แก่ตนซึ่งตนพร้อมจะชำระราคาให้ตอบแทน โดยอำขาวอ้างว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์ได้เกิดขึ้นแล้วได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ”

มาตรา 358 “ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงลวงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติ ควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคด้น ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”

มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ”

มาตรา 361 วรรคหนึ่ง “อันสัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางนั้น ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ ”

วินิจนัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อำดำส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์ไปยังอำแดง เป็นการแสดงเจตนาทำคำสนองต่ออำแดงผู้เสนอซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แม้หลังจากได้ส่งการแสดงเจตนาออกไปแล้ว อำดำผู้แสดงเจตนาทำคำสนองได้ถึงแก่ความตายก่อนการแสดงเจตนานั้นไปถึงอำแดง กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 360 การแสดงเจตนาทำคำสนองที่ได้ส่งออกไปแล้วนั้นจึงไม่เสื่อมเสียไปตามมาตรา 169 วรรคสอง

และแม้การแสดงเจตนานั้นไปถึงอำแดงผู้รับการแสดงเจตนาในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 ซึ่งล่วงเลยระยะเวลาที่อำแดงกำหนดให้อำดำทำคำสนองก็ตาม แต่โดยที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าคำสนองนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งปกติควรจะมาถึงอำแดงภายในเวลากำหนด คือวันที่ 18 ตุลาคม 2560 เมื่ออำแดงผู้รับคำสนองมิได้บอกกล่าวแก่อำขาวโดยพลันว่าคำสนองมาถึงเนิ่นช้า ก็ต้องถือว่าคำสนองนั้นมิได้ล่วงเวลาตามมาตรา 358 วรรคสอง สัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกลาวระหว่างอำแดงและอำขาวทายาทของอำดำจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ตาม มาตรา 361 วรรคหนึ่ง อำขาวจึงเรียกร้องให้อำแดงส่งมอบรถยนต์คันนั้นให้อำขาว โดยรับเงินจำนวน 250,000บาท ไปจากอำขาวได้

สรุป

อำขาวเรียกร้องให้อำแดงส่งมอบรถยนต์คันนั้นให้อำขาว โดยรับเงินจำนวน 250,000 บาทไปจากอำขาวได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพูนางแบบชื่อดังได้รับคำเชิญให้ไปแสดงตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ประเทศฝรั่งเศส นางชมพูจึงตัดสินใจไปยืมเพชรจากนางใหม่ แต่นางชมพูกลัวนางใหม่จะไม่ยอมให้ยืมและดูถูกตนจึงแสร้งบอกกับนางใหม่ว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่แทน ทั้งนี้นางใหม่ทราบอยู่ก่อนหน้าแล้วว่านางชมพูกำลังมีปัญหาทางการเงิน และตั้งใจเพียงจะยืมเพชรของตน หลังจากที่นางชมพูกลับมาจากต่างประเทศ นางชมพูเห็นโอกาสทำธุรกิจด้านครีมบำรุงผิว จึงตัดสินใจขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลืองโดยมีข้อตกลงว่าหลังจากขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่นางเหลืองขายธุรกิจ ถัดมาอีก 3 วัน นางชมพูนำเพชรไปคืนนางใหม่นางใหม่ไม่ยอมรับคืน อ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้ว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”

วินิจฉัย

(ก) จากบทบัญญัติมาตรา 154 เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม

แต่มีข้อยกเว้นคือ การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ถ้าเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชมพูได้แสดงเจตนาออกมาว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่ แต่ในใจจริงของนางชมพูไม่ต้องการให้ตนต้องผูกพันกับเจตนาตามที่ได้แสดงออกมาเนื่องจากตนต้องการยืมเพชรจากนางใหม่โดยไม่มีเจตนาต้องการซื้อเพชรดังกล่าวแต่อย่างใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางใหม่ได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงอันซ่อนอยู่ในใจของนางชมพู กล่าวคือ นางใหม่ทราบอยู่ก่อนหน้าแล้วว่านางชมพูกำลังมีปัญหาทางการเงินและตั้งใจจะยืมเพชรของตนเท่านั้น ตามกฎหมายให้ถือว่าการแสดงเจตนาขอซื้อเพชรดังกล่าวของนางชมพูย่อมตกเป็นโมฆะ และไม่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น นางชมพูจึงสามารถนำเพชรไปคืนให้นางใหม่ได้ นางใหม่จะไม่ยอมรับคืนโดยอ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้วไม่ได้

(ข) การที่นางชมพูได้ทำนิติกรรมโดยการซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลือง โดยมีข้อตกลงว่าหลังการขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่นางเหลืองขายธุรกิจนั้นข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อจำกัดห้ามการประกอบอาชีพอันเป็นการแข่งขันกับนางชมพูและระบุจำกัดประเภทของธุรกิจไว้อย่างชัดเจน มิได้เป็นการห้ามนางเหลืองประกอบอาชีพอันเป็นการปิดทางทำมาหาได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งเป็นการห้ามนางเหลืองมิให้ประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับนางชมพูในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น มิใช่เป็นการห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวตลอดไปแต่อย่างใด ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา 150 เพราะเป็นข้อตกลงที่คู่กรณีสามารถตกลงกันได้โดยชอบในเชิงของการประกอบธุรกิจ ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ (เพียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1275/2543)

สรุป

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนให้แก่นางใหม่ได้

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้

 

ข้อ 2. ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมมีอยู่อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมนั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนี้ คือ

“โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน

ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะ นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ”

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า โมฆียะกรรมเมื่อมีการบอกล้างแล้วจะมีผลดังนี้ คือ

  1. ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก คือ ให้ถือว่าเสียเปล่ามาตั้งแต่วันที่ทำนิติกรรมนั้น
  2. ให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืบสู่ฐานะเดิม เช่น หากมีการส่งมอบทรัพย์สินกันก็ต้องมีการส่งคืน เป็นต้น
  3. ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ก็ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายแทน
  4. ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ

ตัวอย่าง เช่น ดำอายุ 19 ปี ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันหนึ่งราคา 500,000 บาท จากขาวโดยมิได้รับความยินยอมจากแดงซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม สัญญาซื้อขายดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ ดังนี้ เมื่อแดงผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้างนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ดังกล่าว นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรกทั้งดำและขาวจะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม กล่าวคือ ดำจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้ขาว และขาวก็ต้องส่งมอบเงินค่าซื้อรถยนต์คืนให้ดำ ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้มีการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กันแทน เป็นต้น

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2348 นายแดงได้ทำสัญญากู้เงินจากนายดำจำนวน 500,000 บาท โดยมีนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกัน หนี้รายนี้มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2549 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระนายแดงไม่มีเงินมาชำระหนี้ ซึ่งนายดำได้ติดตามทวงถามตลอดมาเป็นเวลาหลายปี

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 นายแดงได้รับมรดกจากบิดา นายแดงจึงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 100,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว อีกทั้งนายแดงได้เขียนหนังสือให้แก่นายดำไว้หนึ่งฉบับมีข้อความว่า นายแดงยอมรับว่าตนเป็นหนี้จริง แต่จะขอนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นายดำอีก 400,000 บาท ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ครั้นถึงกำหนดวันชำระหนี้นายแดงก็ไม่ยอมนำเงินมาชำระหนี้ให้นายดำอีก ดังนี้ อยากทราบว่า

(ก) ถ้านายแดงทราบภายหลังว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้ว 100,000 บาท คืนจากนายดำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) การที่นายแดงไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายดำจะฟ้องนายแดงและนายเขียวให้รับผิดในเงินจำนวน 400.000 บาท ได้หรือไม่ และนายแดงและนายเขียวจะปฏิเสธการชำระหนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายใบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายดำเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2549 เมื่อถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 สิงหาคม 2549 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไวัโดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 13 สิงหาคม 2559 เมื่อนายดำไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกร้องของนายดำที่มีต่อนายแดงลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายดำย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายแดงชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายดำฟ้องนายแดงให้ชำระหนี้ นายแดงย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

และตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้แก่นายดำ รวมทั้งการที่นายแดงได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่นายดำโดยมีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวนที่เหลืออีก 400,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายแดงลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อนายดำเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ ดังนั้นการกระทำของนายแดงจึงเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว และเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28

ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 100,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วนั้น นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายดำไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง ที่ว่าการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

(ข) เมื่อนายแดงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือกับนายดำว่าจะนำเงินจำนวน 400,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อนายแดงไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนด นายดำย่อมสามารถฟ้องให้นายแดงชำระหนี้ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1770/2517)โดยนายดำจะต้องฟ้องนายแดงภายในอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/35 แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวไม่ได้ เพราะนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันเดิมที่ไม่ได้รับสภาพความรับผิดเช่นเดียวกับนายแดง และตามมาตรา 193/28 วรรคสองตอนท้ายได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า “…แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

กล่าวคือ ถ้านายดำฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกัน นายเขียวย่อมมีสิทธิยกเอาการที่หนี้ขาดอายุความขึ้นต่อสู้นายดำได้

สรุป

(ก) นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 100,000 บาท คืนจากนายดำไม่ได้

(ข) การที่นายแดงไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายดำสามารถฟ้องให้นายแดงรับผิดในเงินจำนวน 400,000 บาทได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้น แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้ ถ้านายดำฟ้องนายเขียว นายเขียวย่อมสามารถปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. (ก) คำเสนอคืออะไร การแสดงเจตนาซึ่งจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข) นายแสงเขียนหนังสือถึงกรมป่าไม้มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบว่ากรมป่าไม้มีไม้ของกลางซึ่งทางราชการยึดได้จากผู้ลักลอบตัดไม้จำนวนประมาณ 4,000 ท่อน ข้าพเจ้าใคร่ขอซื้อไม้ของกลางดังกล่าวทั้งหมด สำหรับราคานั้น ทางการจะขายเท่าไร แล้วแต่จะเห็นสมควร”

ต่อมากรมป่าไม้ทำหนังสือตอบนายแสงว่า “กรมป่าไม้ตกลงขายไม้ของกลางดังกล่าวให้แก่ท่านจำนวน 3,960 ท่อน ราคาลูกบาศก์เมตรละ 7,000 บาท ทั้งนี้ท่านต้องชำระราคาเป็นเงินสดและโดยด่วน”

ดังนี้ สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก) คำเสนอ คือ นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่าตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใด และขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่เสนอไปนั้น

การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะดังนี้

(1)     เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2)     มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนอง สัญญาเกิดขึ้นทันที

(ข) โดยหลักของกฎหมาย สัญญาเป็นนิติกรรมสองฝ่าย จะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายหรือกว่านั้นขึ้นไปเป็นคู่สัญญาแสดงเจตนาเป็นคำเสนอและคำสนองสอดคล้องต้องกัน หรืออาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าสัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคู่สัญญาสองฝ่ายได้ให้คำเสนอและคำสนองสอดคล้องตรงกัน

และการแสดงเจตนาที่จะถือว่าเป็นคำเสนอนั้น จะต้องมีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ

(1)     ต้องเป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2)     มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนอง สัญญาจะเกิดขึ้นทันที

กรณีตามอุทาหรณ์ การแสดงเจตนาของนายแสงตามหนังสือที่นายแสงเขียนส่งถึงกรมป่าไม้นั้น เป็นข้อความที่ไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำเสนอ แต่เป็นเพียงคำปรารภว่านายแสงประสงค์จะเข้าทำสัญญาเท่านั้น

และการแสดงเจตนาของกรมป่าไม้ตามหนังสือทีตอบนายแสงไปนั้น ได้กระทำขึ้นในขณะที่ยังไม่มีคำเสนอใด ๆ มายังกรมป่าไม้ จึงไม่ถือว่าเป็นคำสนอง แต่เนื่องจากหนังสือของกรมป่าไม้เป็นข้อความที่ชัดเจนและแน่นอน และมีความมุ่งหมายว่าถ้านายแสงตกลงด้วยตามนั้น สัญญาจะเกิดขึ้นทันที จึงถือว่าการแสดงเจตนาโดยหนังสือของกรมป่าไม้ดังกล่าวเป็นคำเสนอ

ดังนั้นตามอุทาหรณ์ จึงมีเพียงคำเสนอของกรมป่าไม้ ไม่มีคำสนองของนายแสง สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้จึงไม่เกิดขึ้น (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 927/2498)

สรุป

สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้ไม่เกิดขึ้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!