LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ระบอบการปกครอง (Regime of Government) มีความหมายอย่างไร และหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยกับหลักการปกครองระบอบเผด็จการ มีหลักการสำคัญแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร อธิบายมาให้เข้าใจอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

“ระบอบการปกครอง” หมายถึง สถาบันทางการเมืองซึ่งรัฐบาลของรัฐได้จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้อำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งระบอบการปกครองในโลกจะแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. ระบอบเผด็จการ
  2. ระบอบประชาธิปไตย และ
  3. ระบอบสังคมนิยม

สำหรับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยกับหลักการปกครองระบอบเผด็จการ จะมีหลักการที่สำคัญแตกต่างกันดังนี้ คือ

หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หมายความถึง ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ถึงกระนั้น นิยามของคำนี้ก็มีวิวัฒนาการต่อเนื่องมาตลอด จากที่โดยเนื้อแท้มีความหมายเพียงแต่การปกครองตนเอง (Self Government) ได้คลี่คลายและมีความหมายในอาณาบริเวณที่กว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนถือเสมือนเป็นหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จักต้องครอบคลุมหลักการสำคัญดังต่อไปนี้ให้ครบถ้วน

  1. หลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน (Popular Sovereignty) หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่ประชาชน ดังนั้น ในฐานะที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนจึงมีสิทธิตั้งรัฐบาลได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเป็นสำคัญ
  2. หลักสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ของประชาชน (Bill of Rights) จะต้องได้รับการคุ้มครองรัฐจะต้องไม่ล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนถึงสิทธิเสรีภาพอันพึงมีของประชาชน
  3. หลักความสูงสุดของกฎหมาย ผู้มีอำนาจต้องถูกกฎหมายจำกัดอำนาจเอาไว้ เป้าหมาย วิธีการ และรากฐานในการดำเนินการใด ๆ ก็ตามของรัฐจะต้องชอบด้วยกฎหมาย (Government of Law, Not of Men) คือ “หลักนิติธรรม” (Rule of Law)
  4. หลักความเสมอภาค ซึ่งเน้นความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน โดยให้ความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างทัดเทียมกัน (Equal Protection under Law) โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (Discrimination)
  5. หลักการเสียงข้างมาก (Majority Rule) ในการปกครอง ถึงแม้ว่าประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ยึดมั่นในเสียงข้างมาก แต่ก็จะต้องพร้อมรับฟังและให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายเสียงข้างน้อยด้วยเช่นกัน
  6. หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง คือ จะต้องมีการแบ่งอำนาจอธิปไตย (อำนาจทางปกครอง) ออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้ง 3 อำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระเพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การรักษาสิทธิเสรีภาพ และประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ
  7. หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง หมายความว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง เช่น มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้บริหารทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชน
  8. หลักการใช้อำนาจทางปกครอง จะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และในการปฏิบัติหน้าที่ (ในการใช้อำนาจปกครอง) ขององค์กรของรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ
  9. หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หมายความว่า การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

ส่วนหลักการปกครองระบอบเผด็จการ เป็นระบอบการปกครองที่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบเผด็จการนั้นเป็นระบอบการปกครองที่ผู้ปกครองจะมีอำนาจสูงสุดในการปกครอง โดยไม่สนใจสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการได้มาของการเป็นผู้นำในระบอบเผด็จการมักจะเกิดจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร

หลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ จะมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  1. อำนาจรัฐอยู่เหนือประชาชน ไม่ยินยอมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่ต้องปฏิบัติตามที่รัฐหรือผู้นำกำหนด ไม่มีสิทธิคัดค้านหรือโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
  2. เป็นการแก้ปัญหาโดยการใช้อำนาจ แก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ใช้อำนาจทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่มีความคิดเห็นขัดแย้งต่อรัฐหรือต่อผู้นำ
  3. ปกครองประเทศโดยมุ่งเน้นประโยชน์ของภาครัฐมากกว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน
  4. เน้นการเชื่อผู้นำพาชาติก้าวหน้า เพื่อสร้างศรัทธาและบารมีของผู้นำ
  5. มีการรวมอำนาจปกครองไว้ในที่แห่งเดียว ศูนย์กลางในการสั่งการคือตัวผู้นำซึ่งจะรวมทั้ง 3 สถาบัน คือ สถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ และสถาบันตุลาการ อยู่ในการปกครองของตนเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญกับอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ และหากพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในยามเหตุการณ์บ้านเมืองปกติ และภายหลังการปฏิวัติหรือรัฐประหาร อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มักตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

“อำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ” หมายถึง อำนาจทางการเมืองของคณะบุคคลหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะบันดาลให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นได้สำเร็จ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ซึ่งโดยนัยนี้ ผู้ที่จัดให้มีรัฐธรรมนูญจึงหมายถึง “รัฏฐาธิปัตย์” หรือผู้อยู่ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ (ผู้มีอำนาจสูงสุด)ซึ่งผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญอาจจำแนกได้ ดังนี้

  1. ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  2. ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  3. ราษฎรเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  4. ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหาร และราษฎรร่วมกันจัดให้มีขึ้น
  5. ผู้มีอำนาจจากองค์กรภายนอกจัดให้มีขึ้น

และเมื่อพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในยามเหตุการณ์บ้านเมืองปกติ อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญมักจะเป็นประมุขของรัฐคือพระมหากษัตริย์ แต่ถ้ามีการปฏิวัติหรือรัฐประหารแล้ว อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะเป็นผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร (ซึ่งอาจจะเป็นราษฎรก็ได้ในกรณีที่ราษฎรได้ร่วมกันก่อการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงการปกครองใด้สำเร็จ) หรืออาจจะเป็นกรณีที่ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหารและราษฎรร่วมกันจัดให้มีรัฐธรรมนูญก็ได้ ทั้งนี้เพราะคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม หรือความรุนแรงขึ้น “อำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ” ในทางทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญ อำนาจในการจัดให้มีแตกต่างกับอำนาจในการจัดทำ แต่ทว่าก็ถือว่าเป็นของควบคู่กันด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าไม่มีผู้จัดให้มีก็ย่อมไม่มีผู้จัดทำยกเว้นบางกรณีที่ผู้มีอำนาจจัดให้มีกับผู้มีอำนาจจัดทำเป็นบุคคลเดียวกัน เช่น ผู้ที่ก่อการปฏิวัติหรือทำรัฐประหารได้สำเร็จก็อาจนำเอารัฐธรรมนูญที่ตนร่างเตรียมไว้แล้วออกมาประกาศใช้ในกรณีนี้ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นเกิดจากการจัดให้มีและการจัดทำโดยผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารเช่นเดียวกัน

ดังนั้น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ผู้มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญ คือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้ที่มีอำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญให้พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญนั่นเอง ซึ่งผู้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น อาจจะเป็นบุคคลคนเดียว โดยคณะบุคคล โดยสภานิติบัญญัติ หรือโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้

สำหรับประเทศไทยนั้น ในปัจจุบันอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของ“คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดจำนวนและที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 32 ดังนี้ คือ

  1. ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 36 คน
  2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้

(1)     ประธานกรรมาธิการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ

(2)     ผู้ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอจำนวน 20 คน

(3)     ผู้ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอฝ่ายละ 5 คน

และตามมาตรา 34 ได้กำหนดให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 (2)

 

ข้อ 3. เมื่อพิจารณาถึงสถานะของรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงสุด อันมีผลทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้เพราะเหตุผลใด และวิธีการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการใดบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำหนดรูปแบบและหลักการปกครองตลอดจนวิธีการดำเนินการปกครองไว้อย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจสูงสุดในรัฐ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของประชาชนที่พึงกระทำต่อรัฐกับรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งรัฐจะใช้อำนาจล่วงละเมิดมิได้

เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ

  1. ในแง่ที่มา ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม ที่สมาชิกในสังคมทุกคนร่วมกันตกลงกันสร้างขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม รัฐธรรมนูญจึงอยู่เหนือทุกส่วนของสังคมการเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง ทุกฝ่ายจักต้องให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
  2. ในแง่เนื้อหา รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการจัดระเบียบโครงสร้างการเมืองการปกครองส่วนบนของรัฐ ผ่านทางการสร้างองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ (รัฐสภา/คณะรัฐมนตรี/ศาล) ซึ่งตัวรัฐธรรมนูญก็ได้มอบอำนาจไปให้ใช้ (อำนาจนิติบัญญัติ/อำนาจบริหาร/อำนาจตุลาการ) รวมทั้งบัญญัติรับรองถึงสิทธิเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนไว้ด้วย เพื่อจำกัดอำนาจแห่งรัฐมิให้มีมากจนเกินไป
  3. ในแง่รูปแบบ วิธีการจัดทำและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีข้อแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญถูกจัดทำขึ้นและแก้ไขได้ยากกว่ากฎหมายธรรมดาอื่นใด เพราะจำต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ และมากหลักเกณฑ์ เช่น ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เป็นต้น

ส่วนวิธีการที่จะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการใช้ปกครองประเทศ โดยเขียนขึ้นมาตามรูปแบบ หลักการ และวิธีการภายใต้กฎกติกาของระบอบการปกครองนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย จะต้องเขียนระบุลงไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อระบอบการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เป็นต้น

 

ข้อ 4. โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีบทบัญญัติกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)โดยตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่จัดทำหรือยกร่างรัฐธรรมนูญฯให้อธิบายถึงโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างน้อยต้องประกอบด้วยโครงสร้างสำคัญใดบ้าง และสมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวมาจัดทำประชามติรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด อธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

โครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มักมีโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศใดก็ตามประกอบไปด้วย ส่วนนำที่เป็นคำปรารภหรือคำนำของรัฐธรรมนูญฯ และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ ดังต่อไปนี้

  1. คำปรารภ (Preamble) จากการพิจารณาคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่าง ๆ กล่าวได้ว่าคำปรารภนั้น หมายความถึง คำนำ อารัมภบท และบทนำ (Preface, Introduction, Foreword) ในเรื่องราวของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น ดังเช่น คำปรารภที่มุ่งแสดงเหตุผลที่มาและจำเป็นแห่งการมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น หรือวางหลักเจตนารมณ์พื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือพรรณนาถึงเกียรติคุณของผู้จัดทำ ทั้งนี้ คำปรารภเป็นคนละส่วน

กับส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ แต่อาจอาศัยคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ เป็นเครื่องมือช่วยในการตีความมาตราต่าง ๆในรัฐธรรมนูญฯหรืออาจนำมาใช้ในการค้นหาเจตนารมณ์ชองผู้ร่างคำปรารภจึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

  1. เนื้อความของรัฐธรรมนูญ (Content) จากการพิจารณาเนื้อความของรัฐธรรมนูญฯซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อยู่ถัดจากคำปรารภจะโดยกำหนดเนื้อหาสาระเรียงลำดับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯดังต่อไปนี้

1)      การกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ (Organizational Section) ในทางทฤษฎีถือว่ากฎเกณฑ์การปกครองประเทศ เป็นสารัตถสำคัญในรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการบริหารประเทศ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศนั้นมิได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ ในรัฐที่การปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ต่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศทั้งสิ้น

2)      การกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (Bill of Rights) ในทางทฤษฎีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสารัตถสำคัญของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยกำหนดขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมผันแปรไปตามระบอบการปกครองในแต่ละรัฐ แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เฉพาะในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ส่วนใหญ่ต่างมิได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างใด

3)      การกำหนดกฎเกณฑ์อื่นในรัฐธรรมนูญ (Technical Provisions) เป็นการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม (Procedures for amendment/Amendatory Provisions)

การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกฎหมายสูงสุด (Supremacy) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมือง (Civic Duties) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐ (State Policy) รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล (Interim Provisions) เป็นต้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้มีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) ดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะต้องผ่านการทำประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศก่อนก็ตาม แต่ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะต้องทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเหมือนอย่างที่เคยมีการทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ดังนั้นจึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) กำหนดให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)

เหตุผลที่สมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ก็เพื่อจะช่วยสร้างความชอบธรรมและให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะช่วยลดความขัดแย้งและจะทำให้มีความรู้สึกว่าประชาชนก็มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยนั่นเอง

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การปกครองในระบบรัฐสภามีสาระสำคัญอย่างไร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นั้น ถือได้ว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างใกล้ชิด และตามทัศนะของนักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เช่น ศาสตราจารย์โมริส โฮริอู (Maurice Hauriou) การปกครองในระบบรัฐสภาจะมีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. ประมุขของรัฐซึ่งไม่ต้องรับผิดทางการเมืองในระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย 2 องค์กร คือ ประมุขของรัฐและคณะรัฐมนตรี

ประมุขของรัฐอาจมีฐานะเป็นกษัตริย์ หรือประธานาธิบดี และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

  1. คณะรัฐมนตรีซึ่งต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทางบริหารประเทศแทนประมุข เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชางานประจำกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดต่อรัฐสภา กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือทั้งคณะ และถ้ามีมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง
  2. เพื่อให้อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติสมดุลกัน ระบบรัฐสภาได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรียุบสภานิติบัญญัติได้

สำหรับประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ไม่ถือว่าเป็นการปกครองในระบบรัฐสภา เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภานั้นมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) (มาตรา 6) อีกทั้งคณะรัฐมนตรีก็มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นอกจากนั้นไม่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง เนื่องจากหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยในขณะเดียวกันมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามมาตรา 44 ที่ให้มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นที่สุดอีกด้วย

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงของเหตุการณ์บ้านเมืองและการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน ให้นักศึกษาอธิบายอย่างละเอียดว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ถูกต้องชัดเจน

ธงคำตอบ

โดยหลักแล้ว ประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องยึดหลักการที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย 5 ประการ ดังนี้คือ

  1. หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง คือจะต้องมีการแบ่งอำนาจอธิปไตย (อำนาจทางปกครอง) ออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้งสามอำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระเพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การรักษาสิทธิเสรีภาพ และประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ
  2. หลักความเสมอภาคและเท่าเทียมของประชาชนภายในรัฐ คือการใช้อำนาจทางปกครองทั้ง 3 อำนาจนั้น จะต้องกระทำต่อบุคคลทุกคนโดยยึดหลักว่าบุคคลทุกคนมีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาคกัน
  3. หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง หมายความว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง เช่น มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้บริหารทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชน
  4. หลักการใช้อำนาจทางปกครอง จะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และในการปฏิบัติหน้าที่ (ในการใช้อำนาจปกครอง) ขององค์กรของรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ
  5. หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หมายความว่า การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

จากหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยทั้ง 5 ประการดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาพิจารณากับข้อเท็จจริงของเหตุการณ์บ้านเมืองและการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีการปกครองโดยขาดหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหลายประการ เช่น แม้ประเทศไทยจะมีการแบ่งแยกอำนาจปกครองออกเป็น 3 อำนาจก็ตาม แต่ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารรวมทั้งฝ่ายตุลาการอย่างแท้จริง เพราะหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นฝ่ายบริหารนั้นก็มีอำนาจสั่งการ ระงับ หรือยับยั้งการกระทำใด ๆ ของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการได้ (ตามมาตรา 44) และอีกประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครองเลย เพราะปัจจุบันฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีก็มาจากคณะรัฐประหารไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ของประชาชน รวมทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (รัฐสภา) ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และนอกจากนั้นในการใช้อำนาจทางปกครองในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมและตรวจสอบได้ หรืออาจจะควบคุมตรวจสอบได้บ้างแต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้อย่างเต็มที่

 

ข้อ 3. ขณะนี้ “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” กำลังดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ให้ท่านอธิบายว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนเท่าใด มีที่มาอย่างไร และจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าใด

ธงคำตอบ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราซอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดจำนวนและที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไว่ในมาตรา 32 ดังนี้ คือ

  1. ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 36 คน
  2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้

(1)     ประธานกรรมาธิการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ

(2)     ผู้ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอจำนวน 20 คน

(3)     ผู้ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอฝ่ายละ 5 คน

และตามมาตรา 34 ได้กำหนดให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 (2)

 

ข้อ 4. ตามที่ พ.ร.บ. ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีฯ สามารถกำหนดเขตพื้นที่ให้บางจังหวัดหรือบางอำเภอสามารถปลูกยางและห้ามปลูกยางได้ นอกจากนี้ยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในสวนยางและวิธีการทำยางได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในภาคใต้และภาคอีสาน จึงได้มาปรึกษาท่านโดยประสงค์ที่จะยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพราะเห็นว่า มาตรา 6 “เพื่อประโยชน์ในการผลิตยาง การค้ายาง…ให้รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด

(3) เขตทำสวนยาง

(5)เขตห้ามปลูกต้นยาง

(6) วิธีการทำสวนยางในบางท้องที่”

และมาตรา 41 “ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังนี้

(1) เข้าไปในสวนยางหรือแปลงเพาะพันธุ์ต้นยางในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเพื่อตรวจสอบเนื้อที่สวนยาง จำนวนต้นยาง พันธุ์ต้นยางวิธีการทำสวนยาง…” กรณีจึงเป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. ควบคุมยางฯมาตรา 6 (3) (5)(6) และมาตรา 41 (1) ได้ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรฯ ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในกรณีใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

และท่านจะแนะนำให้เกษตรกรฯ ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 29 “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป และไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ทั้งต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการ

ตรากฎหมายนั้นด้วย”

มาตรา 41 “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”

มาตรา 43 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภค การผังเมือง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม สวัสดีภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ค. 2557 มาตรา 4 ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ค. 2550 มาตรา 29, 41 และมาตรา 43 นั้น สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัย ได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่ พ.ร.บ. ควบคุมยางฯ ได้บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีฯ สามารถกำหนดเขตพื้นที่ให้บางจังหวัดหรือบางอำเภอสามารถปลูกยางและห้ามปลูกยางได้ตามมาตรา 6 (3) (5) (6) นั้น ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของบุคคล เพราะมิได้เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการปลูกยางแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 การที่ พ.ร.บ. ควบคุมยางฯ มาตรา 41 (1) ได้บัญญัติให้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสวนยางหรือแปลงเพาะพันธุ์ต้นยางในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพื่อตรวจสอบเนื้อที่สวนยาง จำนวนต้นยาง พันธุ์ต้นยาง วิธีการทำสวนยาง…นั้น ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์สินของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่อย่างใด เพราะตามกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงการให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบฯ เท่านั้น

ดังนั้น เมื่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่อย่างใด ข้าพเจ้าก็จะแนะนำต่อเกษตรกรฯ ว่าไม่ต้องยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

เมื่อกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารามาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ประเทศในโลกที่สามได้นำระบบการเมืองมาจากระบบการเมืองรูปแบบใดบ้าง และระบบการเมืองของประเทศในโลกที่สามมีลักษณะเด่นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ประเทศในโลกที่สามได้นำระบบการเมืองมาจากระบบการเมืองรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  1. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบตะวันตก จะเห็นได้จากตัวบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแต่ในภาคปฏิบัติอาจแตกต่างไปจากระบบการเมืองของประเทศที่ไปลอกเลียนแบบมา เช่นในประเทศแถบลาตินอเมริกาได้นำระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาใช้ แต่ในทางปฏิบัติมีการบิดเบือนรูปแบบออกไป เป็นรูปแบบการปกครองที่ทำลายอำนาจสภาอย่างมาก
  2. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบสังคมนิยม มักจะลอกเลียนรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย และใช้ระบบการเมืองแบบสังคมนิยม เช่น ประเทศในแถบแอฟริกาได้ลอกเลียนแบบโซเวียต แต่ในทางปฏิบัติมักใช้ลัทธิชาตินิยมอย่างรุนแรง โดยเคารพต่อชนเผ่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม
  3. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบเผด็จการพลเรือนหรือเผด็จการทหาร เริ่มต้นจากการลอกเลียนแบบตะวันตก ประเทศที่นำระบบเผด็จการมาใช้มาก ได้แก่ ประเทศในแถบลาตินอเมริกา และแอฟริกา รูปแบบเผด็จการมีการใช้ในลักษณะหลากหลาย เช่น ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ แต่รัฐบาลกลับมาจากพรรคการเมืองเดียว หรือประมุขของรัฐขึ้นสู่ต่ำแหน่งโดยวิธีรัฐประหารหรือการแทรกแซงของทหารหรือทหารครองอำนาจเอง แต่บางครั้งทหารก็มอบหมายให้นักการเมืองขึ้นครองอำนาจโดยทหารควบคุมอย่างใกล้ชิด

ระบบเผด็จการเป็นระบบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก

  1. ระบบการเมืองที่ล้าสมัย ยังคงมีอยู่บ้างในลักษณะสังคมศักดินา แต่มีแนวโน้มจะหายไป
  2. ระบบการเมืองแบบเฉพาะ เป็นการผสมผสานของการเมืองหลายระบบ แต่มีเนื้อหาทางประเพณีอยู่มาก และมีจำนวนประเทศที่ใช้ระบบนี้ลดน้อยลงเป็นลำดับ

ส่วนลักษณะเด่นของระบบการเมืองของประเทศในโลกที่สาม คือ

  1. ลักษณะเด่นทางปฏิบัติ ในภาคทฤษฎีอาจมีสถาบันแบบประชาธิปไตยหรือแบบเสรีนิยม แต่ในภาคปฏิบัติกลับเป็นสิ่งลวงตา การเลือกตั้งไม่เสรี ประชาชนได้รับข่าวสารทางการเมืองน้อยมาก
  2. แนวโน้มในทางเผด็จการ ทั้งแบบเผด็จการและแบบที่นำเอามาจากตะวันตกอำนาจบริหารมักจะเข้มแข็ง
  3. บทบาทของพรรคการเมือง บางประเทศห้ามจัดตั้งพรรคการเมือง บางประเทศควบคุมพรรคการเมือง บางประเทศใช้ระบบพรรคเดียวหรือหลายพรรค โดยพรรคการเมืองจะทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล
  4. การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร ทหารมีบทบาทมากโดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกาและลาตินอเมริกา โดยมีการทำรัฐประหารบ่อยครั้ง

5 ความไร้เสถียรภาพทางสถาบันและการเมือง ประเทศในโลกที่สามจะมีความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและสถาบันต่าง ๆ

 

ข้อ 2. การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญอย่างไร และขอให้ท่านอธิบายถึงการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาโดยวิธีการเลือกตั้งมาโดยละเอียด พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์เช่นกัน แต่เป็นการแบ่งแยกอำนาจในลักษณะค่อนข้างเด็ดขาด คือ ต่างฝ่ายต่างมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้ต่างเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อกัน ในระบบนี้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการกำหนดมาตรการแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการที่จะล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่นในระบบรัฐสภา

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญ พอสรุปได้ดังนี้

  1. มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐโดยประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีก็มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่เห็นสมควรให้บริหารประเทศได้
  2. ฝ่ายบริหาร ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา กล่าวคือ สภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และรัฐมนตรี ให้พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระไม่ได้
  3. ประธานาธิบดี ไม่มีอำนาจยุบสภา

การจัดการปกครองระบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงสามารถที่จะอยู่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

การเลือกตั้งสถาบันประมุขแห่งรัฐหรือประธานาธิบดี

สถาบันประมุขแห่งรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม กล่าวคือ ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตที่มีโอกาสสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อมาทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1

พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่ 2

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน รวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใดก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะสรุปได้ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก (438 + 100) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง = 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่ 3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คน ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรค

ก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

แต่ล้าหากเกิดกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคใดได้คะแนนเสียงดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เลือกตั้งรองประธานาธิบดี และให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดีจากผู้สมัครดังกล่าว

 

ข้อ 3. จงเปรียบเทียบที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ธงคำตอบ

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นั้น สามารถเปรียบเทียบที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ได้ดังนี้ คือ

1)      อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

(ก) สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งมาจากประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง โดยการกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(ข) วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา รวม 73 คน

ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดให้ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติเพียงสภาเดียว โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี

ตามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ถวายคำแนะนำ ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและรัฐสภา (มาตรา 6)

2)      อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้นนายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติแต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร โดยคณะรัฐมนตรีนั้นพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิบ (มาตรา 19)

3)      อำนาจตุลาการ

อำนาจตุลาการซึ่งมีศาลเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนั้น ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จะเหมือนกัน เนื่องจากประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นได้ให้อำนาจตุลาการยังคงเป็นไปตามเดิมนั่นเอง

 

ข้อ 4. เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องตรากฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงได้ให้ความเห็นชอบให้มีการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 เพื่อใช้บังคับการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. 2558 ทำให้มีความจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในมาตรา 57 ตรีและมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากรฯ เกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ของผู้มีเงินได้ที่เป็นสามีและภริยาขึ้นใหม่ ต่อมานายกรัฐมนตรีได้นำร่างพระราชกำหนดฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และได้มีการประกาศใช้บังคับ หลังจากนั้นนายแดงสามีและบางดำภริยาเห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ เป็นการตราที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ เนื่องจากมิใช่กรณีฉุกเฉินแต่อย่างใด จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 หรือไม่ เพราะเหตุใด และผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 21 “เมื่อมีกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเมื่อมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราที่ต้องพิจารณาโดยด่วนและลับ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับเช่นพระราชบัญญัติ…”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้..”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกได้ 2 ประเด็น ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ. 2557 หรือไม่

ในการตราพระราชกำหนดตามมาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

  1. พระราชกำหนดทั่วไป ออกได้ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
  2. พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ออกได้ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ

ตามอุทาหรณ์ ในการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ นั้น ถือได้ว่าเป็นการตราพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากร ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ คณะรัฐมนตรีย่อมมีอำนาจให้ความเห็นชอบให้มีการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชกำหนดฯ นั้นขึ้นทูลเกล้าฯ

ถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้บังคับได้โดยไม่ต้องมีกรณีฉุกเฉินเหมือนกับการตราพระราชกำหนดทั่วไปแต่อย่างใด

ดังนั้น การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้จึงชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

ประเด็นที่ 2 ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่แม้ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 จะบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งตอรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นจะมีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ก็แต่เฉพาะเมื่อมีกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

เมื่อพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว ไม่อยู่ในความหมายของคำว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” เพราะมิใช่กฎหมายที่ออกหรือตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่มีอำนาจที่จะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงนำแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไปอธิบายที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร การใช้อำนาจนิติบัญญัติ การใช้อำนาจบริหาร ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

  1. อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

1) สภาผู้แหนราษฎร (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน โดย

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากทารเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

(1)     การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ย (หาร) ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 375 คน

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมิ ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ก็ให้มีสมาชิกฯ ได้ 1 คน จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ให้มีสมาชิกฯ ในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ1 คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯ ได้ไม่เกิน 1 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯ ได้เกิน 1 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตังมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯ ที่พึงมี โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ 1 คน (มาตรา 94)

(2)     การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยให้เลือกบัญชีรายใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 95 ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ 125 คน และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (มาตรา 96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 98)

2) วุฒิสภา (ส.ว.)

วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหารวม 73 คน

  1. อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหนงหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีงนั้นนายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

การใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

  1. อำนาจนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง หรือกฎหมายอื่น ๆ มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ เช่น ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม ให้ความเห็นชอบในการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ เป็นต้น มีอำนาจในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นต้น
  2. อำนาจบริหาร ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรือการใช้อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารจะต้องเป็นไปตามแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เช่น

(1) หลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการให้ได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ จะแตกต่างไปจากที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ไม่ได้

(2)     หลักความรู้ความสามารถ เช่น การกำหนดคุณวุฒิของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือคุณวุฒิของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เป็นต้น

(3)     หลักของความสุจริต หมายความว่า การได้มาของอำนาจและการใช้อำนาจดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม

(4)     หลักประโยชน์สาธารณะ กล่าวคือ การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น จะต้องเป็นการใช้อำนาจโดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ จะต้องไม่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มหรือบุคคลบางคนเท่านั้น

 

ข้อ 2. ประเทศไทยไต้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ตั้งแต่ปี พ.ค. 2475 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 82 ปี แต่ระบอบประชาธิปไตยของไทยยังล้มลุกคลุกคลาน จงอธิบายว่า

  1. รัฐสภาของไทยได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วกี่รูปแบบอะไรบ้าง
  2. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหารตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่ผ่าน ๆ มามีเรื่องใดที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบ้าง (ควรตอบเป็นประเด็น ๆ )

ธงคำตอบ

  1. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน รัฐสภาของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 5 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ คือ

(1)     แบบสภาเดียวและมีสมาชิกประเภทเดียว คือสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด เช่น รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475 ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2502 และ พ.ศ. 2515, รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519, รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2534 และ พ ศ. 2549

(2)     แบบสภาเดียวมีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475

(3)     แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา) ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2511, พ.ศ. 2517, พ.ศ. 2521 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534

(4)     แบบสองสภามีสมาชิกประเภทเดียว คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด (ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภา) ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540

(5)     แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง (สมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภา) และสมาชิกที่มาจากการสรรหา (สมาชิกวุฒิสภา) ซึ่งได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ และที่มาของอำนาจบริหารตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่ผ่าน ๆ มา จะแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550) ในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

(1)     ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ (ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา)

–        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2511ไม่มีการบังคับว่าจะต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา ผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว

– สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฯ ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 15 จะมาจาก

การแต่งตั้ง ยกเว้นฉบับที่ 3 คือ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2489 และฉบับที่ 16 คือรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้ง ส่วนฉบับปัจจุบัน จะมาจากการเลือกตั้งและสรรหา

–        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา แต่เดิมจะไม่กำหนดวุฒิการศึกษาไว้ แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จะกำหนดไว้ว่าจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

(2)     ที่มาของอำนาจบริหาร (คณะรัฐมนตรี)

รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะกำหนดไว้เหมือนกันคือ คณะรัฐมนตรีจะต้องประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกจำนวน (ไม่เกิน) กี่คน เพียงแต่จะแตกต่างกันก็ตรงจำนวนของรัฐมนตรีนั่นเองที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับอาจจะกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น เดิมอาจจะเป็นข้าราชการประจำได้ แต่ต่อมารัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าจะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้

การเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพียงแต่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอาจเป็นบุคคลใดก็ได้ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (พ.ศ.2475) ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2517) ฉบับที่       15 (พ.ศ. 2534) ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2540) และฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2550 ที่จะกำหนดไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้นส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญจะไม่บังคับว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพียงแต่ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 จะกำหนดไว้เลยว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี สมาชิกผู้นั้นก็จะต้องหมดสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 (ฉบับปัจจุบัน)ไม่ถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะต้องหมดสภาพจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด

และนายกรัฐมนตรีรวมทั้งรัฐมนตรีนั้น แต่เดิมมักจะไม่กำหนดวุฒิการศึกษาไว้แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

ข้อ 3. ร.ต.ต.เด่น เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมนายสมจิตและนายสมทรงข้อหารับของโจร และได้นำส่งแก่ ร.ต.อ.ดี พนักงานสอบสวนซึ่งในการจับกุมและชั้นสอบสวน นายสมจิตให้การรับสารภาพว่าตนได้เป็นผู้กระทำความผิดจริง ส่วนนายสมทรงให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ในการจับกุมและการสอบสวนของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี ไม่ได้มีการแจ้งสิทธิแก่นายสมจิตผู้ต้องหาในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด มีเพียงการแจ้งสิทธิดังกล่าวแก่นายสมทรงเท่านั้น หากนายสมจิตเห็นว่าการกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดสิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญ จึงมาปรึกษาท่านเพื่อยืนคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนจาก ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี และประสงค์ที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในกรณีนี้ด้วย ดังนี้ ท่านจะแนะนำนายสมจิตในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(1)     สิทธิเข้าถึงกระบวบการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง

(2)     สิทธิพื้นฐานในกระบวนการพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริง และตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริงข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน …

(3)     บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม

(4) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวบอย่างถูกต้องรวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง

(5) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็น และเหมาะสมจากรัฐ …”

 

มาตรา 212 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้

การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ”

มาตรา 257 วรรคแรก “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกได้เป็น 3 ประเด็น ดังนี้คือ

ประเด็นที่ 1 การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดสิทธิของนายสมจิตตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ในการจับกุมและการสอบสวนของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เมื่อไม่ได้มีการแจ้งสิทธิแก่นายสมจิตผู้ต้องหาในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (มาตรา 83 มาตรา 134 และมาตรา 134/1) ซึ่งเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา40 แห่งรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างใดนั้น การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี จึงถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ตามที่นายสมจิตได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40 ซึ่งนายสมจิตได้รับการประกันสิทธิในทางศาลตามรัฐธรรมนูญฯ ในอันที่จะใช้สิทธิในทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้

ประเด็นที่ 2 นายสมจิตสามารถยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนได้หรือไม่

ตามอุทาหรณ์ แม้การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี จะถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามที่นายสมจิตได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ ก็ตาม แต่การที่นายสมจิตจะยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนนั้นไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในกรณีดังกล่าวได้ เพราะ

  1. ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตราใดซึ่งเกี่ยวด้วยกรณีนี้ที่จะให้สิทธิแก่นายสมจิตในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
  2. กรณีดังกล่าวไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญฯ ที่จะทำให้นายสมจิตยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เนื่องจากไม่ใช่เป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ”

ประเด็นที่ 3 นายสมจิตจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในกรณีนี้ได้หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี ดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน และตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 257 (1) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น นายสมจิตจึงสามารถที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติใน

กรณีนี้ได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายสมจิตในกรณีนี้ว่า การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดตอสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของนายสมจิตตามรัฐธรรมนูญอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งนายสมจิตสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ แต่จะยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 4. พนักงานอัยการได้ฟ้องนายเอกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีในความผิดฐานกระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตตามมาตรา 18 และมาตรา 150 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ซึ่งศาลฯ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องหลังจากนั้น 3 เดือน ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายเอกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีในความผิดฐานขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา 43 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งฯ ซึ่งศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ในระหวางสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ นายเอกจึงได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา 39 เรื่องข้อสันนิษฐานของจำเลยในคดีอาญา จึงขอให้ศาลฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย และกรณีนี้ก็ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด และการที่ศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ซึ่งมิใช่อยู่ระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไป แต่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติเป็นกรณีที่ศาลฯ ไม่อาจกระทำได้

ดังนั้น ให้ท่านวินิจฉัยว่า คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้งสองประเด็นสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 131 วรรคแรกและวรรคสาม “ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด

ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และภารได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา”

มาตรา 211 วรรคแรก “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้

ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้ง 2 ประเด็นสามารถรับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 39 เรื่องข้อสันนิษฐานของจำเลยในคดีอาญา จึงขอให้ศาลฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย และกรณีนี้ก็ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใดนั้น คำร้องโต้แย้งของนายเอกประเด็นนี้ ไม่สามารถรับฟังได้ เพราะแม้ว่าตามมาตรา 18 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ เป็น “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ซึ่งเป็นกฎหมายในทางรูปแบบที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ตามความหมายของมาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญฯก็ตาม แต่การที่นายเอกได้โต้แย้งว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 และมาตรา 150 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตนนั้น กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 211 เพราะเป็นการโต้แย้งว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ที่ศาลนำมาตัดสินบังคับแก่คดีนั้นเป็น “คดีอื่น” ซึ่งมิใช่คดีที่ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีกำลังพิจารณา ดังนั้นกรณีนี้ ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีจะไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกเพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่ 2 การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า การที่ศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ซึ่งมิใช่อยู่ระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไป แต่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติซึ่งเป็นกรณีที่ศาลฯ ไม่อาจกระทำได้นั้น คำร้องโต้แย้งของนายเอกประเด็นนี้ไม่สามารถรับฟังได้ เพราะแม้ว่าตามมาตรา 131 วรรคแรก จะได้บัญญัติว่าห้ามมิให้จับกุม คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาก็ตามแต่ในมาตรา 131 วรรคสาม ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า การฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและศาลสามารถพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมได้ ถ้าได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีได้นัดพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัตินั้น เป็นคดีเกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีจึงมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้เพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 131 วรรคสาม

สรุป

คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้ง 2 ประเด็น ไม่สามารถรับฟังได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การยุบสภาคืออะไร เหตุใดจึงมีการยุบสภา และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภาไว้อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

“ การยุบสภา ” หมายถึง การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งการยุบสภาที่ว่านี้จะใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภาเพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา แต่การยุบสภานั้นจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย

การยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เช่น ประเทศอังกฤษและประเทศไทย ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เนื่องจากการปกครองในระบบนี้จะเพ่งเล็งถึงความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารที่อาจแนะนำให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการให้เครื่องมือแก่ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ในการต่อสู้กับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ (Balance of Power) ต่อการที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเบิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ได้นั่นเอง

การยุบสภานั้น อาจเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ ดังนี้ คือ

  1. ในกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงจำเป็นต้องยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกต้อง
  2. ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่า ในขณะที่จะยุบสภานั้น คะแนนนิยมของรัฐบาลกำลังดี และหากมีการเลือกตั้งใหม่ในขณะนั้น ฝ่ายรัฐบาลจะมีโอกาสได้รับชัยชนะ ได้ที่นั่งในสภามากมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีกจึงทำการยุบสภาเสีย
  3. ในกรณีที่มีการขัดแย้งกันระหว่างสภาสูง (วุฒิสภา) กับสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร)ในการพิจารณาหรือจัดทำกฎหมาย
  4. ในกรณีที่ประมุขของรัฐยุบสภาเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้ในมาตรา 108 ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในการยุบสภาจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

  1. การยุบสภาเป็นพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐและทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ซึ่งโดยหลักปฏิบัติแล้วพระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น
  2. การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา และต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
  3. การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน กล่าวคือ หากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้
  4. ในกรณีที่มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะมีการยุบสภาไม่ได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติ หรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 158)

 

ข้อ. 2 จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร
  2. การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
  3. หลักที่นำมาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจตาม 1 และ 2 ควรมีหลักอะไรบ้าง ยกตัวอย่างมา 5 หลัก

ธงคำตอบ

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

1) อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา’’

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

(ก) สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งมาจากประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง โดยการกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิก

พรรคการเมือง

(ข) วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา รวม 73 คน

2) อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

  1. การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

1)      อำนาจนิติบัญญัติ อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร เช่น การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2)      อำนาจบริหาร อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา การควบคุมตรวจสลบการทำงานของฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เป็นต้น

หรืออาจถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการคือโดยศาลปกครอง

3)      อำนาจตุลาการ การใช้อำนาจตุลาการนั้น อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

  1. หลักที่นำนาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจ

หลักที่จะนำมาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถวงดุลตรวจสอบอำนาจทั้งสามนั้น มีหลักการที่สำคัญ ๆ อยู่หลายประการ เช่น

(1)     หลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการให้ได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ จะแตกต่างไปจากที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ไม่ได้

(2)     หลักความรู้ความสามารถ เช่น การกำหนดคุณวุฒิของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือคุณวุฒิของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกวาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เป็นต้น

(3)     หลักความซื่อสัตย์สุจริต เช่น การกำหนดให้รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน เป็นต้น

(4)     หลักความเหมาะสม เช่น การกำหนดว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือความเป็นรัฐมนตรีจะต้องสิ้นสุดลงเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกเป็นต้น

(5)     หลักความเป็นธรรมหรือหลักความยุติธรรม เช่น การพิจารณาพิพากษาคดี หรือการวินิจฉัยคคของศาลจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม เป็นต้น

(6) หลักประโยชน์สาธารณะ กล่าวคือ การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น จะต้องเป็นการใช้อำนาจโดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ชองประชาชนส่วนใหญ่ จะต้องไม่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มหรือบุคคลบางคนเท่านั้น

 

ข้อ 3. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติว่าการตรากฎหมายนั้นให้ตราในชื่อพระราชบัญญัติยกเว้นในมาตรา 138 ให้ตราในชื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้นักศึกษาอธิบายกระบวนการขั้นตอนการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง (สมมุติฐานว่าผ่านทุกขั้นตอน)

ธงคำตอบ

กระบวนการขั้นตอนในการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (โดยสมมุติฐานว่าผ่านทุกขั้นตอน) ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 142 – 153 มีดังนี้ คือ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะต้องเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” โดยผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว อาจจะเป็นคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 20 คนก็ได้ และต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเสร็จแล้ว และได้ให้ความเห็นชอบ ก็จะต้องส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยสภาผู้แทนราษฎร จะแบ่งออกเป็น 3 วาระ คือ

วาระที่ 1 เรียกว่า “วาระรับหลักการ” เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้แล้ว ก็จะลงมติว่ารับหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ แล้วจะส่งร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ เข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป

วาระที่ 2 เรียกว่า “วาระพิจารณา” โดยสภาผู้แทนราษฎรจะตั้งคณะกรรมาธิการขั้นมาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ นี้เรียงลำดับมาตรา ซึ่งในวาระนี้อาจมีการอภิปรายได้ แต่จะไม่มีการลงมติ และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะส่งเข้าสู่วาระที่ 3

วาระที่ 3 เรียกว่า “วาระให้ความเห็นชอบ” กล่าวคือ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่ 2 เสร็จแล้ว ก็จะลงมติให้ความเห็นชอบ แล้วให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวของวุฒิสภา ก็จะพิจารณาเป็น 3 วาระเช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ก็ถือว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ได้รับความเห็บชอบจากรัฐสภาแล้ว ก็ให้วุฒิสภาส่งต่อให้แก่นายกรัฐมนตรี

เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ก็จะนำร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้โดยจะเรียกชื่อกฎหมายนี้ว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา…’’

 

ข้อ 4. นายแดงฟ้องการประปาส่วนภูมิภาคเป็นคดีต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ได้วางท่อน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน การประปาฯ ยื่นคำให้การว่า พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ เป็นกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมาตรา 30 วรรคสอง ที่ศาลจะใช้ตัดสินกับคดีได้กำหนดให้การประปาฯมีอำนาจวางท่อน้ำผ่านที่ดินของบุคคลใด ๆ ที่มิใช่ที่ตั้งสำหรับที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนการใช้ที่ดิน กรณีท่อน้ำมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 80 เซนติเมตร ซึ่งท่อน้ำที่ได้วางในที่ดินของนายแดงมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 40 เซนติเมตร ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนแม้กรณีนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติดังกล่าวนี้ แต่กรณีเคยมีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีนี้มาแล้วโดยศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิพากษาว่าการประปาสวนภูมิภาคมีสิทธิกระทำได้ไม่ถือเป็นการละเมิดและคดีถึงที่สุด หากระหว่างการพิจารณาคดีนายแดงได้มาปรึกษาท่านและกล่าวอ้างว่าแม้การใช้ที่ดินของตนในกรณีนี้ของการประปาฯ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็ทำให้สิทธิในทรัพย์สินของตนเสื่อมเสียจึงประสงค์จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนี้ ข้อกล่าวอ้างของนายแดงสามารถรับฟังได้หรือไม่ และท่านจะแนะนำนายแดงในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 6 “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 41 “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 211 วรรคแรก “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นด้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และ

ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการ เพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคแรก กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 6

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงจะสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ และข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า แม้ตาม พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ จะเป็นกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและตามมาตรา 30 วรรคสอง ซึ่งศาลจะใช้ตัดสินกับคดีได้กำหนดให้การประปาฯ มีอำนาจวางท่อน้ำผ่านที่ดินของบุคคลใด ๆ ที่มิใช่ที่ตั้งสำหรับที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนการใช้ที่ดินก็ตาม แต่เมื่อการประปาได้วางท่อน้ำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายแดง แม้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็ทำให้สิทธิในทรัพย์สินของนายแดงเสื่อมเสีย เมื่อตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 41 ได้บัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของนายแดง ดังนั้นข้อกล่าวอ้างของนายแดงจึงสามารถรับฟังได้

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับพังได้

ประเด็นที่ 2 นายแดงสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญกรณีดังกล่าวได้หรือไม่

ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคแรก ได้บัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในการโต้แย้งว่า บทบัญญัติที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ ตามมาตรา 6 หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้บทบัญญัติที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดี คือ มาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ และเป็นบทบัญญัติที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน ดังนั้นนายแดงย่อมสามารถที่จะใช้สิทธิตามมาตรา 211 วรรคแรกได้ โดยการยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลปกครองส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯขัดหรือแย้งต่อมาตรา 41 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่

สรุป

นายแดงสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 211 ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมายถึงอะไร มีความแตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดาอย่างไร และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องมีการให้ประชาชนลงประชามติ (Referendum) เพื่อให้ความเห็นชอบด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใดขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมายถึง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญทั้งในแง่ของการแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความเดิม รวมทั้งการเพิ่มเติมถ้อยคำหรือข้อความใหม่

ในการจัดทำหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญจะมีวิธีการจัดทำหรือการแก้ไขโดยวิธีพิเศษและยากกว่าการจัดทำหรือการแก้ไขกฎหมายธรรมดา เนื่องจากเนื้อหาหรือหลักการอันเป็นสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมีความเกี่ยวพันกับความมั่นคง ความเจริญของประเทศ และหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ดังนั้น ผู้มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญจึงมักมีความห่วงใยในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหรือหลักการในรัฐธรรมนูญและพยายามป้องกันมิให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำได้โดยง่ายเหมือนกับการแก้ไขกฎหมายธรรมดา

ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมมิให้มีการแก้ไขอย่างพร่ำเพรื่อ จนทำให้รัฐธรรมนูญหมดความสำคัญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้

สำหรับกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 มาตรา 291 นั้น ได้กำหนดให้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ คือ

(1)     ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้

(2)     ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

(3)     การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(4)     การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วย

การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

(5)     เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(6)     การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(7)     เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขั้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฯ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น ได้กำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขโดยไม่จำต้องให้ประชาชนลงประชามติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับการแก้ไขด้วยแต่อย่างใด

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่า ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 นั้น

(1)     ได้เปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบใดบ้าง

(2)     ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้นกี่ฉบับ

(3)     สาเหตุของการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับมีข้ออ้างต่าง ๆ กัน แต่แท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักของการใช้อำนาจ

ถามว่าผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักการใช้อำนาจนั้นมีหลักการสำคัญอะไรบ้าง ให้ยกตัวอย่างมาห้าประการ พร้อมคำอธิบายหลักการแต่ละหลักการนั้นด้วย

ธงคำตอบ

นับตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 นั้น

  1. ได้เปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาเพียงอย่างเดียวจนถึงปัจจุบันเพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลทำให้ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร และที่มาของอำนาจตุลาการมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะอำนาจนิติบัญญัตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยรัฐธรรมนูญบางฉบับได้กำหนดให้อำนาจนิติบัญญัติคือรัฐสภามีเพียงสภาเดียว และมีสมาชิกสภามาจากการแต่งตั้งทั้งหมด บางฉบับกำหนดให้มีสภาเดียว แต่มีสมาชิก 2 ประเภท คือมาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง และรัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดให้รัฐสภามี 2 สภา คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
  2. ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ได้แก่

(1)     รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475

(2)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475

(3)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2489

(4)     รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2490

(5)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2492

(6)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2495

(7)     ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2502

(8)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2511

(9)     ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2515

(10)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517

(11)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519

(12)   ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2520

(13)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2521

(14) รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2534

(15)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534

(16)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540

(17) รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2549

(18)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน

  1. ในการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการนั้นผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักการใช้อำนาจ ซึ่งหลักการใช้อำนาจที่สำคัญมีอยู่หลายประการ เช่น

(1)     หลักความเสมอภาค เนื่องจากมนุษย์นั้นเมื่อเกิดมาทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดที่จะมีสิทธิมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นทุกคนย่อมมีสิทธิเท่าเทียมและเสมอภาคกัน การที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะมีอำนาจหรือมีสิทธิมากกว่าผู้อื่นนั้น จะต้องมาจากกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของประชาชนเท่านั้น

(2) หลักความสุจริตและยุติธรรม หมายความว่า ในการใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น ผู้ใช้อำนาจจะต้องได้ใช้อำนาจไปโดยสุจริตและเป็นการใช้อำนาจที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

(3)     หลักประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า การใช้อำนาจนั้น ผู้ใช้อำนาจจะต้องใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นการส่วนรวมมิใช่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่บุคคลใด หรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

(4)     หลักประโยชน์ของชาติของประชาชน หมายความว่า การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางปกครองหรืออำนาจในการออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นั้น ก็ต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และผลประโยชน์ของชาติของประชาชนเป็นสำคัญ

(5)     หลักการควบคุมและตรวจสอบ หมายความว่า ในการใช้อำนาจของผู้ใช้อำนาจนั้นจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

(6)     หลักการมีส่วนร่วม หมายความว่า ผู้ที่จะมีอำนาจในการใช้อำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ กล่าวคือประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลที่จะไปเป็นผู้ใช้อำนาจต่าง ๆ ด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 3. สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยเห็นว่า พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 53 ที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจการแปรรูปไม้และกิจการของผู้รันอนุญาตได้นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 33 เนื่องจากเป็นการละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งสององค์กรยกคำร้อง สมาคมจึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางได้มีคำวินิจฉัยยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 212ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 212 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้

การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

แม้ว่าพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 53 ที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจการแปรรูปไม้และกิจการของผู้รับอนุญาตไต้นั้น เป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 33 เนื่องจากเป็นการละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ แต่กรณีผู้ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติมาตรา 212 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายไต้กำหนดไว้ (คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2551) ดังนี้ คือ

(1)     ต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ อันสืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

(2)     บุคคลนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และ

(3)     ต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้วซึ่งหลักเกณฑ์ตามข้อ (1) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 วรรคแรกตอนต้น เกี่ยวกับบุคคลผู้มีสิทธิในการยืนคำร้องนั้น รัฐธรรมนูญมิได้กำหนดให้ประชาชนทุกคนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่กำหนดไว้วาบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต้องเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายแล้วจริง ต้องมีการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพจริงเกิดขึ้นขณะที่บุคคลนั้นยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นความเสียหายของบุคคลนั้นเองด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีอื่นได้แล้วตามหลักเกณฑ์ข้อ (3) ก็ตาม แต่ถือว่าสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยตรงตามมาตรา 212 ดังนั้นสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจึงไม่อาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ได้

สรุป

สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 212 ไม่ไต้

 

 

ข้อ 4. เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม*ของรัฐตามรัฐธรรมนูญฯ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานสถิติแห่งชาติฯ โอนข้อมูลส่วนบุคคลจากการดำเนินการสำมะโนประชากรทั้งประเทศครั้งล่าสุด ตาม พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 ที่ได้สำรวจจำนวนประชากร ที่อยู่อาศัยสถานที่ทำงานของบุคคล รายได้โดยให้โอนข้อมูลดังกล่าวที่ได้มาแล้วให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากนายเอกไม่เห็นด้วยกับมติของคณะรัฐมนตรี และ พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 ที่บัญญัติว่า “เมื่อหน่วยงานจะมีการจัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่างที่ประสงค์จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องให้ข้อมูล …” เพราะเป็นการก้าวล่วงไปบังคับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตริดังกล่าว และมาตรา 9 พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550

ดังนี้ ให้ทำนวินิจฉัยว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้หรือไม่ และกรณีดังกล่าวนี้มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการในกรณีนี้อย่างไรต่อไป หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 35 “สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับการคุ้มครอง

การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสิยง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว จะกระทำมิได้

เว้นแต่กรณีทีเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

บุคคลยอมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

มาตรา 244 “ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1)     พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนดังต่อไปนี้

(ก) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

(ข) การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม

(ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

(ง) กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

(2)…..

(3)…..

(4)…..

การใช้อำนาจหน้าที่ตาม (1) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเมื่อมีการร้องเรียน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทนต่อความเสียหายของประชาขนส่วนรวมหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้”

มาตรา 245 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1)…..

(2) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา 244 (1) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครอง พิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”

วินิจฉัย

การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานสถิติแห่งชาติฯโอนข้อมูลส่วนบุคคลจากการดำเนินการสำมะโนประชากรทั้งประเทศครั้งล่าสุดให้แก่องค์กรปกครองส่วนห้องถิ่นดังกล่าวนั้น มติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวถือว่าเป็น “กฎ” และเป็นการออกกฎที่ขัดกับหลักการคุ้มครองสิทธิของบุคคลตามมาตรา 35

เมื่อนายเอกไม่เห็นด้วยกับมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพราะเป็นการก้าวล่วงไปบังคับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายเอกได้ ดังนั้น เมื่อนายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้ ตามมาตรา 244

ส่วนกรณีที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมาตรา 9 พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 กล่าวคือให้ตรวจสอบว่าในการออก “กฎ” ของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวนั้นเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของคณะรัฐมนตรีหรือไม่ กรณีจึงถือว่ามติของคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกฎนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 245 (2)

สรุป

ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 244

มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และผู้ตรวจการแผ่นดิน จะต้องเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 245 (2)

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุริยันได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางจันทราตามคำพิพากษาของศาล แต่หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วนายสุริยันก็ไม่ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินให้เป็นของตนต่อมานายสุริยันตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายอาทิตย์ และนัดวันไปทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันที่สำนักงานที่ดินพร้อมกับชำระราคา เมื่อถึงวันนัดนายสุริยันและนายอาทิตย์ไปพบกันที่สำนักงานที่ดินตามนัดหมาย และยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินระหว่านายสุริยันและนายอาทิตย์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนโดยอ้างว่านายสุริยันไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงที่จะขายเนื่องจากไม่ปรากฏชื่อนายสุริยันในโฉนดดังกล่าว นายสุริยันจึงแสดงสำเนาคำพิพากษาของศาลต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ทราบว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะขายอย่างแท้จริง แต่เจ้าพนักงานที่ดินยังปฏิเสธว่าไม่สามารถจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินได้ เพราะยังปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

ให้นักศึกษาอธิบายว่า หลักกฎหมายดังกล่าวคือมาตราใด มีหลักเกณฑ์อย่างใด และเจ้าพนักงานที่ดินอธิบายถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติมาตรา 1299 วรรคสอง มีดังนี้

  1. เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
  2. โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการรับมรดก การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยคำพิพากษาของศาลเป็นต้น
  3. สิทธิของผู้ได้มาย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ
  4. ผู้ได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าวจะต้องจดทะเบียนการได้มา ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนจะมีผลตามกฎหมายคือ

(1)     จะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้

(2)     จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุริยันได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางจันทราตามคำพิพากษาของศาลนั้น ถือว่านายสุริยันได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น แม้ว่าสิทธิของนายสุริยันจะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ นายสุริยันก็จะต้องนำสิทธิดังกล่าวไปจดทะเบียนด้วย (ดามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78) ถ้านายสุริยันมิได้นำสิทธิดังกล่าวไปจดทะเบียนย่อมมีผลตามกฎหมายคือจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว นายสุริยันก็ไม่ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินให้เป็นชื่อของตน ดังนี้นายสุริยันจะเอาที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำนิติกรรมโดยการจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายอาทิตย์ไม่ได้ เพราะหลักฐานทางทะเบียนยังเป็นชื่อของนางจันทราเนื่องจากนายสุริยันยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ดังนั้น การที่นายสุริยันตกลงขายที่ดินให้นายอาทิตย์ และได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินระหว่างนายสุริยันและนายอาทิตย์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิเสธไม่ยอมรับการจดทะเบียนโดยอ้างว่านายสุริยันไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงที่จะขายเนื่องจากไม่ปรากฏชื่อนายสุริยันในโฉนดดังกล่าว และนายสุริยันยังปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์นั้นถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้อธิบายถูกต้องตามหลักกฎหมายมาตรา 1299 วรรคสอง แล้ว

สรุป

ตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องหลักกฎหมายมาตรา 1299 วรรคสอง และการอธิบายของเจ้าพนักงานที่ดินถูกต้องตามหลักกฎหมายดังกล่าว

 

ข้อ 2. ขุนช้างสร้างบ้านลงบนที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งหลังใน พ.ศ. 2555 ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 ขุนช้างได้ต่อเติมบ้านให้กว้างขึ้นโดยก่อนต่อเติมได้ขอให้ขุนแผนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงติดกันมาทำการชี้ระวังแนวเขต แล้วจึงทำการก่อสร้างต่อเติมบ้าน หลังจากต่อเติมเสร็จขุนช้างพบว่า หลังคาบ้านของส่วนที่ต่อเติมใหม่รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของขุนแผนเป็นระยะ 30 เซนติเมตร ตลอดแนวยาวของหลังคาด้านที่ติดต่อระหว่างที่ดินของขุนช้างและขุนแผน ขุนแผนจึงขอให้ขุนช้างรื้อถอนส่วนที่สร้างรุกล้ำ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าขุนช้างจะต้องรื้อถอนบ้านที่สร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของขุนแผนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นมิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขุนช้างได้ต่อเติมบ้านให้กว้างขึ้น และหลังจากต่อเติมเสร็จขุนช้างพบว่าหลังคาบ้านของส่วนที่ต่อเติมใหม่รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของขุนแผนเป็นระยะ 30 เซนติเมตรตลอดแนวยาวของหลังคาด้านที่ติดต่อระหว่างที่ดินของขุนช้างและขุนแผน ถึงแม้ว่าขุนช้างจะทำการต่อเติมโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนต่อเติมขุนช้างได้ขอให้ขุนแผนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงติดกันมาทำการชี้ระวังแนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนภายหลัง มิใช่เป็นการปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ขุนช้างจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312ดังนั้น เมื่อขุนแผนขอให้ขุนช้างรื้อถอนส่วนที่สร้างรุกล้ำ ขุนช้างจะต้องรื้อถอนหลังคาบ้านส่วนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของขุนแผน

สรุป

ขุนช้างจะต้องรื้อถอนบ้านในส่วนที่ต่อเติมรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของขุนแผน

 

ข้อ 3. นายหนึ่งได้ทำการปลูกต้นผลไม้บนที่ดินในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ มาตรา 14 บัญญัติว่าในเขตป่าสงวนห้ามผู้ใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์ นายสองผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียงซึ่งมีชื่อใน ส.ค.1 ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนล้ำเข้าไปในที่ดินของนายหนึ่ง นายหนึ่งจึงฟ้องคดีต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองภายใน 3 เดือน นับแต่เวลาที่นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนแล้วเสร็จ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายหนึ่งมีสิทธิขอปลดเปลื้องการรบกวนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1374 “ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน เพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้

การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกรบกวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ทำการปลูกต้นผลไม้บนที่ดินในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ และเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) นั้น ย่อมถือว่าเป็นการเข้าไปครอบครอง เดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายหนึ่งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ขึ้นต่อสู้กับรัฐได้ แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างราษฎรด้วยกันเอง นายหนึ่งซึ่งเข้าครอบครองที่ดินนั้นอยู่ก่อนนายสอง ย่อมสามารถยกเอาการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นใช้ยันนายสองที่เข้ามารบกวนการครอบครองของตนได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่นายหนึ่งครอบครองอยู่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองนั้นได้ ตามมาตรา 1374 วรรคหนึ่ง แต่จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนตามมาตรา1374 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงนั้นนายหนึ่งได้ฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนดังกล่าวภายใน 3 เดือนนับแต่เวลาที่นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนแล้วเสร็จ ซึ่งยังไม่เกินกำหนด 1 ปี ดังนั้น นายหนึ่งจึงมีสิทธิฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนได้

สรุป

นายหนึ่งมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนดังกล่าวได้

 

ข้อ 4. นายเอกเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งอยู่ติดกับที่ดิน น.ส.3 ของนายโทที่อยู่ติดกับทางสาธารณะนายเอกได้รับอนุญาตจากนายโทในการใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ย่อมถือได้ว่านายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมแล้ว นายเอกจึงแจ้งให้นายโทไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ตน แต่นายโทไม่ยอมไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ นายเอกก็ยังคงใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทเรื่อยมาโดยอาการที่ถือว่าตนมีสิทธิใช้และนายโทก็มิได้แจ้งความดำเนินคดีหรือยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่านายเอกเข้าใช้สิทธิบนที่ดินของนายโทติดต่อกันเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 – 2556

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 ‘‘ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมในการใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะนั้น เมื่อยังมิได้มีการจดทะเบียนย่อมไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม แม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของนายเอกจะไม่บริบูรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกได้ใช้ทางเดินดังกล่าวของนายโทเรื่อยมาโดยอาการที่ถือว่าตนมีสิทธิใช้และนายโทก็มิได้แจ้งความดำเนินคดีหรือยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลแต่อย่างใด ย่อมถือว่า นายเอกได้ใช้ทางเดินนั้นโดยมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมโดยเปิดเผย และโดยความสงบ และเมื่อนายเอกได้ใช้สิทธิบนที่ดินของนายโทติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นายเอกย่อมได้ภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 4991/2551)

สรุป

นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความ

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายดำและนางแดงแต่งงานอยู่กินกันมาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาทั้งคู่ตกลงที่จะแยกกันอยู่โดยดำบอกแดงว่าเมื่อแยกกันอยู่แล้วจะให้แดงอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินแปลงหนึ่งของตนตลอดชีวิตของแดง ซึ่งเป็นที่ดินที่ดำได้มาก่อนที่ดำจะมาอยู่กินกับแดง เมื่อแยกกันอยู่แล้ว ดำได้ส่งมอบที่ดินแปลงนั้นให้แดงครอบครองทำกิน แต่ไม่ยอมไปจดทะเบียนสิทธิในที่ดินแปลงนั้นให้แดง แดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้ดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่ดำสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดำและนางแดงแต่งงานอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและต่อมาทั้งสองตกลงที่จะแยกกันอยู่ โดยนายดำบอกกับนางแดงว่าเมื่อแยกกันอยู่แล้วจะให้นางแดงอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินแปลงหนึ่งของตนตลอดชีวิตของนางแดง ซึ่งเป็นที่ดินที่นายดำได้มาก่อนที่นายดำจะมาอยู่กินกับนางแดงนั้น เป็นกรณีที่นายดำได้ทำสัญญาตกลงให้สิทธิทำกินซึ่งเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งให้แก่นางแดง ถือว่านางแดงได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และเมื่อการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของนางแดงจึงยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ แต่ยังมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีในฐานะบุคคลสิทธิ และใช้บังคับกันได้ตามข้อตกลงในสัญญา แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสัญญานั้น การที่นายดำให้นางแดงมีสิทธิทำกินในที่ดินของตน ไม่มีข้อตกลงว่าจะไปจดทะเบียนให้ ดังนั้นนางแดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้นายดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่นายดำสัญญาไม่ได้

สรุป

นางแดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้นายดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่นายดำสัญญาไม่ได้เพราะการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวของนางแดงไม่บริบูรณ์ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2. นายน้อยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองคันหนึ่งจากร้านวินมอเตอร์ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองมาเป็นเวลากว่าสิบปี โดยตกลงผ่อนชำระงวดละ 3,000 บาท 12 งวด หลังจากนายน้อยชำระค่าเช่าซื้อไปได้ 6 งวด นายหนึ่งเจ้าของรถที่แท้จริงได้ติดตามมาทวงรถคืนจากนายน้อย ดังนี้ให้ท่านไห้คำแนะนำแก่นายน้อยว่านายน้อยจะต้องคืนรถจักรยานยนต์แก่นายหนึ่งหรือไม่ นายน้อยจะมีข้อต่อสู้ใด ๆ ตามกฎหมายที่จะต่อสู้นายหนึ่งได้บ้าง จงอธิบาย

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 คือ แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายน้อยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองคันหนึ่งจากร้านวินมอเตอร์ ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองมาเป็นเวลากว่าสิบปีนั้น แม้ว่านายน้อยจะได้เช่าซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายน้อยได้ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วเพียง 6 งวด จากที่ตกลงผ่อนชำระกัน 12 งวด ย่อมไม่ถือว่านายน้อยเป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 เพราะการเช่าซื้อทรัพย์สินอันจะถือว่าอยู่ในความหมายของการซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 นั้น จะต้องได้มีการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบทุกงวดแล้ว ดังนั้น เมื่อนายน้อยมิใช่เป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 นายน้อยจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1332

เมื่อนายหนึ่งเจ้าของรถที่แท้จริงได้ติดตามทวงรถคืนจากนายน้อย นายน้อยจึงต้องคืนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายหนึ่ง โดยไม่มีสิทธิขอให้นายหนึ่งชดใช้เงินค่าเช่าซื้อรถที่นายน้อยได้ชำระไปแล้วแต่อย่างใด

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายน้อยว่า นายน้อยจะต้องคืนรถจักรยานยนต์ให้แก่นายหนึ่งและจะเรียกให้นายหนึ่งชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่นายน้อยได้ชำระไปแล้วไม่ได้

 

ข้อ 3. นายอิ่มอนุญาตด้วยวาจาให้นายอ้วนน้องชายของตนอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่ง ต่อมาบ้านทรุดโทรมมาก นายอ้วนจึงรื้อบ้านหลังเก่าและสร้างบ้านใหม่ในที่ดินนั้น แล้วใส่ชื่อนายอ้วนเป็นเจ้าบ้านในสำเนาทะเบียนบ้าน หลังจากนั้น 3 ปี นายอิ่มถึงแก่ความตาย นางอ้อยภริยาของนายอิ่มผู้รับมรดกที่ดินนั้น ได้แจ้งให้นายอ้วนย้ายออกไปจากที่ดินของตน แต่นายอ้วนอ้างว่าตนครอบครองเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินนานเกินกว่า 3 ปีแล้ว นางอ้อยไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากตน

อีก 5 เดือนต่อมา นางอ้อยจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากนายอ้วน ดังนี้ นางอ้อยจะฟ้องเพื่อเอาที่ดินพิพาทคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1375 “ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”

มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอิ่มอนุญาตด้วยวาจาให้นายอ้วนน้องชายของตนอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งนั้น ถือว่านายอ้วนเป็นผู้ครอบครองบ้านและที่ดินมือเปล่าแทนนายอิ่มตามมาตรา 1368 และแม้นายอ้วนจะได้รื้อบ้านหลังเก่าและสร้างบ้านใหม่ในที่ดินนั้นแทน แล้วใส่ชื่อนายอ้วนเป็นเจ้าบ้านในสำเนาทะเบียนบ้านนั้น ก็ไม่ถือว่านายอ้วนเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 และไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง เพราะสำเนาทะเบียนบ้านไม่ถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน

เมื่อนายอิ่มถึงแก่ความตาย นางอ้อยภริยาของนายอิ่มผู้รับมรดกได้แจ้งให้นายอ้วนย้ายออกไปจากที่ดินนั้น การที่นายอ้วนอ้างว่าตนครอบครองเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินมานานเกินกว่า 3 ปีแล้ว ย่อมถือว่านายอ้วนเพิ่งแย่งการครอบครองโดยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้ครอบครองคือนางอ้อยว่าตนไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินนั้นแทนผู้ครอบครองคือนางอ้อยอีกต่อไป และเมื่อนางอ้อยฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหลังจากที่นายอ้วนแจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือได้เพียง 5 เดือน นางอ้อยจึงสามารถฟ้องได้เพราะยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง ข้ออ้างของนายอ้วนจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

นางอ้อยสามารถฟ้องเพื่อเอาที่ดินพิพาทคืนได้

 

ข้อ 4. แสงครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินแห้งแล้ง แสงจึงผันน้ำผ่านคลองในที่ดินของสายส่งน้ำเข้าใช้ในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของแสง เพื่อใช้ทำเกษตรกรรม แสงผันน้ำผ่านที่ดินของสายติดต่อกันมาได้11ปีแล้วโดยที่สายไม่เคยทราบเลยแต่เมื่อแล้งจัดคลองที่ผันน้ำเป็นคลองดินจึงทำให้น้ำกว่าจะมาถึงบ่อที่กักเก็บน้ำในที่ดินของแสงเหลือน้อยเพราะจะซึมลงไปใต้พื้นดินเกือบหมดแสงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดีแต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องภาระจำยอมนั้น เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิทำการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้ แต่จะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์ และเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์จากการนั้นด้วย เจ้าของภารยทรัพย์ก็ต้องช่วยเจ้าของสามยทรัพย์ออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น (มาตรา 1391)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสงครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินแห้งแล้ง แสงจึงได้ผันน้ำผ่านคลองในที่ดินของสายส่งน้ำเข้าใช้ในที่ดินของแสงเพื่อใช้ทำเกษตรกรรมติดต่อกันมาได้ 11 ปีแล้วนั้น ย่อมถือว่า แสงซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เรียกว่า สามยทรัพย์ มีภาระจำยอมเหนือที่ดินแปลงของสายที่เรียกว่า ภารยทรัพย์ แต่เมื่อแล้งจัด คลองที่ผันน้ำเป็นคลองดินจึงทำให้น้ำกว่าจะมาถึงบ่อที่กักเก็บน้ำในที่ดินของแสงเหลือน้อยเพราะจะซึมลงไปใต้พื้นดินเกือบหมด แสงจึงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนนั้น ย่อมถือว่าแสงเจ้าของสามยทรัพย์จะทำการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอม ดังนั้น แสงย่อมสามารถทำได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองและต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

สรุป

แสงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแบน)

ข้อ 1. นายเมฆครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายหมอกจนได้กรรมสิทธิ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ภายหลังต่อมานายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงเดียวกันนี้ให้นายฟ้าโดยเสน่หา ครั้นนายฟ้าเข้าอยู่ในที่ดิน จึงพบว่านายเมฆได้อาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว นายฟ้าจึงฟ้องขับไล่นายเมฆต่อศาล นายเมฆยกข้อต่อสู้ว่าตนได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว นายหมอกย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น การที่นายฟ้ารับโอนที่ดินจากนายหมอกซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ นายฟ้าย่อมไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย ตามหลักผู้รับโอนไม่มิสิทธิดีกว่าผู้โอน

หากท่านเป็นผู้พิพากษาจะวินิจฉัยคดีนี้เช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดของนายหมอกโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเมฆเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น นอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายเมฆยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายเมฆจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายเมฆจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายฟ้านั้นเป็นการโอนให้โดยเสน่หา จึงถือว่านายฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับโอนที่ดินมาโดยไม่มีค่าตอบแทน ดังนั้น ถึงแม้นายฟ้าจะได้รับโอนที่ดินมาโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตก็ตาม นายฟ้าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย นายเมฆจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า นายฟ้าจะฟ้องขับไล่นายเมฆไม่ได้

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายเมฆเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า

 

ข้อ 2. แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน หลังจากแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งกับกล้าทายาทของแก้ว ต่อมาเก่งกับกล้าได้จดทะเบียนแบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สองซึ่งบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้าน ต่อมากล้าทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงที่สองให้ชัย หลังจากชัยรับโอนที่ดินแล้วพบว่าบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ชัยจึงเรียกให้เก่งรื้อถอนบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของตนออกไป ดังนี้ เก่งจะต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัยหรือไม่ และบุคคลทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นตามมาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าของโรงเรือนได้ปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนนั้นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน เมื่อแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งและกล้าทายาทของแก้ว และเมื่อเก่งกับกล้าได้แบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สอง และบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้านนั้น กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1312 เพราะการที่ส่วนของบ้านเก่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้านั้น มิได้เกิดจากการที่เก่งเจ้าของโรงเรือนเป็นผู้สร้างโรงเรือน แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้า แต่เป็นกรณีที่ตอนแรกมีโรงเรือนปลูกบนที่ดินแปลงเดียว แล้วต่อมาได้มีการแบ่งที่ดินแปลงนั้นเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ทำให้โรงเรือนนั้นไปรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นที่รับการแบ่งไป

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับตามข้อเท็จจริงดังกล่าว (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง)

จึงถือว่าเป็นกรณีที่เก่งได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้าโดยสุจริต เมื่อกล้าได้จดทะเบียนขายที่ดินให้ชัยไปแล้ว ชัยผู้รับโอนจึงไม่สามารถฟ้องให้เก่งรื้อถอนโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำ แต่ชัยมีสิทธิเรียกให้เก่งใช้เงินเป็นค่าใช้ที่ดินและดำเนินการจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้บ้านของเก่ง และถ้าภายหลังบ้านของเก่งสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้ (เทียบฎีกาที่ 1511/2542 และฎีกาที่ 6593/2550)

สรุป

เก่งไม่ต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัย แต่เก่งจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าใช้ที่ดินและเรียกให้ขัยไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ ส่วนชัยมีสิทธิได้รับเงินค่าใช้ที่ดินจากเก่งและมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้เก่ง และถ้าภายหลังบ้านสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้

 

ข้อ 3 ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันได้เป็นเวลา 6 ปี โดยแตนไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของดวง พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ก่อนเข้ารับโทษจำคุกดวงมอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาดูแลเผ้าสวนทุเรียนแทนต่อมาเมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วดวงกลับไปครอบครองทำสวนทุเรียนของแตนอีกสามปี แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าดวงจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่ง นับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2 ได้ครอบครองโดยความสงบ

3 ครอบครองโดยเปิดเผย

4 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5 ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั้น ดวงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจบครบกำหนด 10 ปี การที่ดวงได้ครอบครองได้ 6 ปี พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนนั้น โดยหลักย่อมถือว่าเป็นการขาดการยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นกรณีที่ดวงได้ขาดการครอบครองโดยไม่สมัครใจ อีกทั้งยังปรากฏว่าดวงได้มอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาเฝ้าสวนทุเรียนไว้แทน จึงทำให้การครอบครองของดวงยังถือว่าเป็นการครอบครองต่อเนื่องอยู่ตามมาตรา 1368 ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่ดวงได้สิทธิครอบครองโดยให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทน การครอบครองของดวงจึงสามารถนับติดต่อกันมาได้โดยตลอด

และจากข้อเท็จจริง เมื่อดวงได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวได้ 6 ปี และรวมกับที่ดินได้ครอบครองไว้แทนดวงอีก 1 ปี 6 เดือน และรวมกับเมื่อดวงได้เข้าครอบครองหลังพ้นโทษจำคุกแล้วอีก 3 ปี จึงเป็นการครอบครองที่ติดต่อกันรวม 10 ปี 6 เดือน โดยภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นแตนไม่เคยฟ้องขับไล่หรือขจัดให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ดังนั้น จึงถือว่าดวงได้ครอบครองที่ดินของแตนโดยสงบ เปิดเผยและโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันครบ 10 ปี ดวงจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแตนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้ไม่ได้

สรุป

ดวงสามารถอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้

 

ข้อ 4. นายกล้วยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็ง โดยทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินติดคลองลัดมะยม ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้เป็นทางสัญจรไปมาทางเรือได้ตลอดเวลา ส่วนอีกสามด้านของที่ดินถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของนายใบตอง โดยทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินนายใบตองติดถนนซึ่งมีประชาชนใช้สัญจรไปมา แต่เนื่องจากการขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้าของนายกล้วยทางเรือผ่านคลองลัดมะยมนั้นไม่สะดวก นายกล้วยจึงขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกัน โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาท

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยเป็นภาระจำยอมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

วินิจฉัย

“ภาระจำยอม” ตามมาตรา 1387 เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิ์ โดยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งเรียกว่า “ภารยทรัพย์” ต้องรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนถึงทรัพย์สินของตน หรือทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์อื่น ที่เรียกว่า “สามยทรัพย์” คือจะทำให้ตัวสามยทรัพย์ได้รับประโยชน์หรือได้รับความสะดวกขึ้นนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกล้วยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็งได้ขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกันเพี่อประโยชน์แก่การขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้า โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายกล้วยเจ้าของสามยทรัพย์ได้ขอใช้ภารยทรัพย์ (ที่ดินของนายใบตอง) เพื่อประโยชน์ของตัวบุคคลที่อยู่บนสามยทรัพย์ มิใช่เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะของภาระจำยอมตามมาตรา 1387 ดังนั้น การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยจึงไม่เป็นภาระจำยอม

สรุป

การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยไม่เป็นภาระจำยอม

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชมกับนายชิดทำสัญญากันเอง โดยนายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว หลังจากนายชิดอยู่ในที่ดินและบ้านนั้นได้ 10 ปี นายชมทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินให้นายแสงแต่สัญญาไม่มีการระบุเรื่องบ้านแต่อย่างใด จากนั้นนายแสงแจ้งให้นายชิดย้ายออกไปจากบ้านและที่ดินนั้น แต่นายชิดต่อสู้ว่าตนเป็นผู้สร้างบ้าน จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านนั้น และต้องการรื้อถอนบ้านออกไปด้วย แต่นายแสงไม่ยินยอม

ดังนี้ ระหว่างนายชิดกับนายแสงผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวดีกว่ากัน และนายชิดจะรื้อถอนบ้านออกไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และมีข้อตกลงกันว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีนั้น เมื่อนายชิดปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินของนายชม จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างบ้านไว้ในที่ดินนั้นด้วย ดังนั้นบ้านที่นายชิดได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างที่สัญญายังไม่ครบกำหนด กรรมสิทธิ์ในบ้านจึงยังเป็นของนายชิด ยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชม

หลังจากนายชิดได้สร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของนายชมได้เพียง 10 ปี การที่นายชมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายแสง แม้ในสัญญาจะไม่มีการระบุเรื่องบ้านไว้ก็ตาม นายแสงก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น เพราะนอกจากบ้านจะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว นายแสงก็เป็นเพียงผู้รับโอนที่ดินจากนายชมย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายชมผู้โอน ดังนั้นนายชิดจึงสามารถที่จะรื้อถอนบ้านออกไปได้

สรุป

นายชิดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าวดีกว่านายแสงและสามารถรื้อถอนบ้านออกไปได้

 

ข้อ 2. นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วน และนายป้อมได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองเพื่อสร้างบ้านแล้ว และทั้งสองตกลงจะชำระราคาส่วนที่เหลือทั้งหมดในวันทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันภายในสองเดือนนับจากวันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ก่อนถึงวันทำสัญญาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินนั้นให้นายเหมือน ซึ่งนายเหมือนรู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามชระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้…”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุกคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยูก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1300 “บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” และอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้นั้น ถ้าเป็นบุคคลผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม จะต้องเป็นการได้มาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น ถ้าเป็นผู้ที่ได้มาในฐานะผู้จะซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องเป็นผู้ที่ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และไต้รับมอบหรือเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่เพียงการโอนทางทะเบียนเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 8698/2549) เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้แก่นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วนนั้น แม้นายป้อมจะได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองแล้วก็ตาม นายเปี๊ยกผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินก็มีเพียงบุคคลสิทธิในอันที่จะบังคับให้นายป้อมไปทำการโอนขายที่ดินให้แก่นายเปี๊ยกตามสัญญาเท่านั้น นายเปี๊ยกหามีทรัพยสิทธิเหนือที่ดินนั้นไม่ นายเปี๊ยกจึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ตามมาตรา 1300 ดังนั้น นายเปี๊ยกจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายเปี๊ยกได้ชำระราคาบางส่วนและเข้าครอบครองที่ดินที่จะซื้อขายแล้ว อีกทั้งตอนที่นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายเหมือนนั้น นายเหมือนได้รู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นนายเปี๊ยกอาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 237 (คำพิพากษาฎีกาที่ 90/2516, 1731/2518, 3454/2533)

สรุป

นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ไม่ได้เพราะมิใช่เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแต่อาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา 237 ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกับได้ 7 ปี โดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้น แต่นายคงไม่รู้เรื่องดังกล่าว พอขึ้นปีที่ 8 นายมั่นเลิกครอบครองและทำนาในที่ดินนั้น แล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นายมั่นขับรถแท็กซี่ได้เพียง 10 เดือนก็เปลี่ยนใจกลับมาทำนาในที่ดินแปลงเดิมของนายคงอีก 3 ปี นายคงรู้เรื่องจึงแจ้งให้นายมั่นออกไปจากที่ดินนั้น แต่นายมั่นอ้างว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว นายคงไม่มีสิทธิให้ตนออกไปจากที่ดินนั้น ดังนี้ ระหว่างนายมั่นกับนายคงผู้ใดมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวดีกว่ากัน เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกันได้ 7 ปีโดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้นถือว่านายมั่นเป็นผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกันได้เพียง 7 ปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และเมื่อนายมั่นได้เลิกการครอบครองและทำนาในที่ดินนั้นแล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นั้น ย่อมถือว่านายมั่นมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองของบายมั่นจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 1384 และเมื่อนายมั่นเปลี่ยนใจกลับมาครอบครองและทำนาในที่ดินแปลงนั้นอีกครั้งจึงต้องเริ่มต้นนับระยะเวลาการครอบครองใหม่

และเมื่อปรากฏว่านายมั่นได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 3ปี ยังไม่ครบ 10 ปีนายมั่นจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้นจึงถือว่านายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดีกว่านายมั่น

สรุป

นายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดีกว่านายมั่น

 

ข้อ 4. นายเสือทำถนนผ่านที่ดินของนายช้างเพื่อนำรถยนต์ผ่านเข้า-ออก ติดต่อกันจนได้ภาระจำยอมเป็นทางกว้าง 3 เมตร ต่อมาน้ำท่วมถนนดังกล่าวนานกว่าสองสัปดาห์ทำให้ถนนรุดเสียหายรถยนต์ผ่านเข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือต้องการซ่อมถนนโดยทำเป็นถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำที่ไหลเพิ่มขึ้น ดังนี้ นายเสือจะทำถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำเพิ่มได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดีแต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือเป็นผู้มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายช้างโดยอายุความปรปักษ์นั้น เมื่อต่อมาได้เกิดน้ำท่วมถนนดังกล่าวนาน 2 สัปดาห์ ทำให้ถนนชำรุดเสียหายและทำให้นายเสือนำรถยนต์เข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือย่อมมีสิทธิซ่อมทางภาระจำยอมโดยทำเป็นถนนแอสฟ้ลท์ได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 แต่นายเสือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

แต่การที่นายเสือต้องการทำท่อระบายน้ำที่ไหล่ทางเพิ่มขึ้นนั้น นายเสือไม่สามารถทำได้เพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388

สรุป

นายเสือสามารถทำถนนแอสฟัลท์ได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง แต่นายเสือจะทำท่อระบายน้ำเพิ่มไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!