RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อความใดคือความหมายของภูมิปัญญาที่ถูกต้องที่สุด

1. การประกอบกิจการต่าง ๆ ของชุมชน

2. นำความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้

3. ความรอบรู้ สติปัญญาที่มีต่อการดำรงชีวิต

4.ความรอบรู้ที่สั่งสมมานาน นำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต

ตอบ 4 หน้า 431 , 433, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ความสามารถ ความเชื่อความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ปัญหาของมนุษย์ ซึ่งเป็นความรอบรู้ที่สั่งสมกันมานานตั้งแต่อดีต เพื่อนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และยังเป็นองค์กรความรู้ที่พึ่งอนุรักษ์สืบสาน เพราะภูมิปัญญาจะเป็นตัวกำหนดการรับความเจริญทางวิทยาการสมัยใหม่และวัฒนธรรมต่างประเทศ

2. คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ข้อใด

1. พื้นฐานการประกอบอาชีพ

2. เพื่อจรรโลงวิถีชีวิตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ

3. เพื่อเป็นการพึ่งพาตนเอง และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

4. เอื้อประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคง

ตอบ 3 หน้า 431, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย หมายถึง องค์ความรู้ของกลุ่มบุคคลในท้องถิ่นรวมถึงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ ซึ่งมีคุณค่าและความสำคัญดังนี้

1. ช่วยธำรงวิถีชีวิตชนบทในแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละชุมชนให้คงอยู่

2. องค์ความรู้ของท้องถิ่นเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง

3. แสดงถึงการพึ่งพาตนเอง และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างคนกับคนคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ฯลฯ

3. ภูมิปัญญาชาวอีสานที่เรียกว่า “หมอ” มีความหมายอย่างไร

1. หมอผู้เชียวชาญด้านการใช้ยาสมุนไพร

2. ผู้เชี่ยวชาญด้วยการใช้สมุนไพร

3. ผู้ที่ชุมชนยกย่องว่ามีภูมิปัญญาในทุกวิชาชีพ

4. ผู้ที่สามารถประกอบการงานได้ผลดี โดยใช้ภูมิปัญญา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาของชาวอีสานได้จัดระบบความสัมพันธ์ในชุมชน โดยให้มีผู้นำชาวบ้าน 2 แบบ ได้แก่

1. ผู้นำโดยอาวุโสของเครือญาติ คือ ผู้อาวุโสสูงสุดของสายตระกูล ซึ่งจะยกย่องให้เป็น “เจ้าโคตร”

2. ผู้ นำทางภูมิปัญญา คือ ผู้ที่ชุมชนยกย่องว่ามีภูมิปัญญาในทุกวิชาชีพ หรือมีความสามารถเฉพาะทาง ซึ่งจะได้รับการยกย่องให้เป็น “หมอ” เช่น หมอแคน หมอยา หมอธรรม หมอผีฟ้า หมอลำ เป็นต้น

4. เหตุใดคนไทยภายใต้จึงจัดให้มี “พิธีลอยเคราะห์”

1. เพื่อให้พ้นจากเคราะห์กรรม

2. ปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเกิดการเรียนรู้

3. เป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนามรื่นเริง

4. เชื่อว่าเป็นผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คนไทยภาคใต้มีความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์ว่า คน เราทุกคนมีช่วงเวลาที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุ ยามใดที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุก็จะเกิดโทษกับผู้นั้น คืออาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเหตุการณ์ร้าย ๆ มากระทบต่อการดำเนินชีวิตของตัวเองและญาติมิตรดังนั้นจึงนิยมจัดให้มีพิธี ลอยเคราะห์เพื่อให้ตนพ้นจากเคราะห์กรรมนั้น ด้วยการนำต้นกล้วยมาทำเป็นแพ แล้วเอาผม เล็บ ขี้ไคล รวมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน ใส่ในแพลอยน้ำไป

5. ข้อความใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า “นายฮ้อย” ของภาคอีสาน

1. ชาวบ้านนำสินค้าไปขาย

2. ชาวบ้านนำสินค้าไปขายให้กับพ่อค้า

3. ชาวบ้านทำมาหากินเพียงเพื่อเป็นการยังชีพ

4. การเรียนรู้ของชาวบ้านเป็นระบบแลกเปลี่ยนสินค้า

ตอบ 1 (คำบรรยาย) “นาย ฮ้อย” เป็นภาษาท้องถิ่นของภาคอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลหรือชาวบ้านที่นำสินค้าไปขาย ในที่ต่าง ๆ โดยจะเรียกตามชื่อของประเภทสินค้า ดังนั้นคนที่ค้าขายวันควายจึงถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัวควาย ซึ่งนับมีบทบาทสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวอีสานมากกว่ากลุ่มพ่อค้า สินค้าชนิดอื่น จนทำให้วีการค้าขายในลักษณะนี้กลายเป็นภูมิปัญญาของชุมชนตลอดมา

6. “นายขนมต้ม” เป็นคุณค่าของภูมิปัญญาไทยด้านใด

1. สืบทอดวัฒนธรรมไทย

2. ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ

3. วิธีปลูกฝังรักษาความเชื่อและบรรทัดฐานของสังคม

4. ภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิแก่คนไทย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) “นายขนมต้ม” นัก มวยไทยที่มีฝีเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วนของท่าของแม่ไม้มวยไทย และสามารถชกมวยไทยจนชนะพม่าได้ถึง 9 – 10 คนในคราวเดียวกันแม้ในปัจจุบันมวยไทยก็ยังถือว่าเป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่นิยมฝึกและแข่งขันกันในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ จึงนับเป็นมรดกทางภูมิปัญญาไทยที่สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรี เกียรติภูมิให้แก่คนไทย

7. ข้อความใดต่อไปนี้ไม่ใช่”การแพทย์แผนไทย”

1. ใช้สมุนไพร หัตถบำบัด

2. อิงความเชื่อทางสังคมและวัฒนธรรม

3. เป็นความรู้ที่มีเกณฑ์แน่นอนตายตัว

4. หมอรักษาวิธีใดได้ผลก็ใช้วิธีนั้นต่อ ๆ กันมา

ตอบ 3 หน้า 436, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา ไทยสาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ภูมิปัญญาไทยในด้านการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ จึงนับเป็นภูมิปัญญาที่อิงความเชื่อทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่ได้มี กฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว หรือไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะอาศัยความรู้ที่ได้ผลหรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและสืบต่อกันมา เช่น ความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรค การนวดแผนไทย (หัตถบำบัด) เป็นต้น

8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเรื่องใด

1. สหกรณ์

2. เกษตรวิวัฒน์

3. เกษตรทฤษฎีใหม่

4. เกษตรพัฒนา

ตอบ 3 (บรรยาย) เกษตร ทฤษฎีใหม่ เป็นภูมิปัญญาไทยในสาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการ เกษตรที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานแก่พสกนิกรชาว ไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการแก้ไขปัญหาการเกษตรและเพื่อให้เกษตรกรไทยมีสภาพ ความเป็นอยู่อย่างพอเพียงเลี้ยงตัวเองในขั้นพื้นฐานได้ โดยมีหลักการเบื้องต้น คือ แบ่งพื้นที่ใช้สอย (10 ส่วน) ออกเป็น สระน้ำ 3 ส่วน (30%) นาข้าว 3 ส่วน (30%) พืชไร – สวน 3 ส่วน (30%) และบ้าน สาวนครัว สัตว์เลี้ยง 1 ส่วน (10%)

9. การมีชีวิตเพื่อสร้างสมคุณงามความดี หมายถึงข้อใด

1 หมั่นศึกษาหาความรู้

2. ดำเนินชีวิตด้วยความสงบ

3. ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจบริสุทธิ์

4. ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตว์สุจริต

ตอบ 3 หน้า 202 (คำบรรยาย) การมีชีวิตเพื่อสร้างสมคุณงามความดี หมาย ถึง การทำความดีละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งตรงกับหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ คือ โอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชาเพื่อให้พุทธ ศาสนิกชนนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

10. เมื่อมีความสันโดษเป็นคุณธรรมประจำใจ สามารถขจัดเรื่องใดออกไปได้

1. ความโลภ

2. ความเกียจคร้าน

3. ความอาฆาต

4. ความอิจฉาริษยา

ตอบ 1 หน้า 270, 353 , (คำบรรยาย) สันโดษ หมายถึง ความ พอใจในสิ่งที่ตนมี รู้จักความพอเหมาะไม่เกิดความละโมบจนเป็นเหตุให้ต้องทำทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งหากผู้ใดมีความสันโดษแล้วก็จะสามารถขจัดความละโมบโลภมากออกไปได้ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” นั้นคือ ความพอใจจะทำให้เรามีความสุข ซึ่งเป็นทรัพย์อันล้ำค่าของมนุษย์

11. ความรู้ในรูปแบบของวิญญาณ เป็นความรู้ในลักษณะใด

1. ความรู้ที่เกี่ยวกับความจำ

2. ความรู้ที่เกี่ยวกับความเข้าใจ

3. ความรู้แจ้งในอารมณ์ที่มากระทบ

4. ความรู้ตามหลักสัจธรรม

ตอบ 3 หน้า 62 (H) (หู จมูก กาย และใจ โดยความรู้ในรูปแบบของวิญญาณนี้ แม้สัตว์เดรัจฉานก็มีความรู้เหมือนกันเพราะว่าสัตว์มีจิตสามารถรับรู้อารมณ์ภายนอกที่เห็นทางตา ได้ยินทางหู เหมือนกับมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วคำบรรยาย) วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งในอารมณ์ที่มากระทบทางตา

12. ความรู้ที่ก่อให้เกิดปัญญาที่สมบูรณ์ เข้าใจถึงแก่นแท้หรือหลักในการดำเนินชีวิต ตรงกับหลักของปัญญาตามข้อใด

1. ลิขิตมยปัญญา

2. สุตมยปัญญา

3. จินตมยปัญญา

4. ภาวนามยปัญญา

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 , 77 (H) (คำบรรยาย) ปัญญาเกิดจากความรอบรู้ ซึ่งจะเกิดประกอบกับจิตมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ 1. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาความรอบรู้ที่เกิดจากการฟังธรรมฟังครูสอนวิชาการต่าง ๆ หรือศึกษาเล่าเรียนจากการอ่านหนังสือ 2. จินตมยปัญญา คือ ได้เห็น หรือได้ศึกษาเล่าเรียนมา 3. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญา ที่เกิดจากการเจริญภาวนาหรือฝึกอบรมจิตใจให้มีสติ มีสมาธิ และเกิดปัญญาที่สมบูรณ์ รู้แจ้งเข้าใจถึงแก่นแท้หรือหลักในการดำเนินชีวิต

13. แนวคิดที่สำคัญของโสเครติส (Socrates) เกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

1. การปกครองเป็นศิลปะ

2. ปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้ จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

3. ธาตุแท้ของบุคคลในสังคม

4. อำนาจและความยุติธรรม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

1. เป้า หมายแห่งชีวิตมนุษย์ คือ การได้อยู่ในสังคมที่ดีงามเหมาะสม และได้รับความยุติธรรม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์

2. ความรู้เกี่ยวกับความดีที่สังคมพึงกระทำให้กันหรือแสดงออกต่อกัน

3. ปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

14. “ราชาปราชญ์” ตามแนวคิดของเพลโต (Plato) เป็นผู้ทรงคุณธรรมในลักษณะอย่างไร

1. ผู้เสียสละ

2. เป็นผู้มีบารมี

3. เป็นผู้มีอำนาจ

4. เป็นผู้ที่มีทั้งอำนาจและบารมี

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ตามแนวคิดของ เพลโต (Plato) ผู้ที่จะเป็นราชาปราชญ์ได้ ควรเป็นผู้ทรงคุณธรรมในลักษณะดังนี้ 1. เป็นผู้เสียสละ 2. เป็นผู้ที่ไม่ควรมีทรัพย์สินและครอบครัว

15. ข้อใดต่อไปนี้คือหลักธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจ

1. การให้

2. ความซื่อสัตย์สุจริต

3. การรู้คุณและตอบแทนบุญคุณ

4. การเจรจาหรือการติดต่อสื่อสาร

ตอบ 2 (คำบรรยาย) หลัก ธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจ คือ ความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งหมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมามีความซื่อตรงจริงใจทั้งทางความคิด คำ พูด และการกระทำทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จริงในใจสิ่งที่ถูกที่ควร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงผู้อื่นซึ่งจะส่งผลให้บุคคลได้รับความเชื่อถือ ความร่วมมือ และความไว้วางใจจากผู้อื่น

16. นักศึกษาคิดว่าเพราะเหตุใดจึงจัดความละอายแก่ใจและความเกรงกลัว เป็นธรรมโลกบาลหรือธรรมที่คุ้มครองโลก

1. ทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

2. เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

3. เป็นการปกป้องคนดีในสังคม

4. เป็นหลักที่ใช้ในการควบคุมในสังคม

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คำว่า “หิริ” แปลว่า ความ ละอายต่อบาปหรือความชั่วทุกชนิด เมื่อคิดจะทำชั่วแล้วไม่กล้าทำ ส่วน “โอตตัปปะ” แปลว่า ความเกรงกลัวต่อผลของบาปหรือความชั่วกลัวว่าเมื่อทำชั่วไปแล้วผลกรกรรมจะมา ถึงตนเองและครอบครัว ดังนั้นหิริ – โอตตัปปะ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ธรรมโลกบาล” (ธรรมคุ้มครองโลก) เพราะถ้าโลกมีธรรมะ 2 ประการนี้คุ้มครองป้องกันเอาไว้ มนุษย์ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีระเบียบไม่สับสน แต่ถ้าโลกไม่มีธรรมะ 2 ประการนี้คุ่มครองไว้ มนุษย์ก็จะสามารถทำชั่วได้ทุกอย่าง

17. เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

1. ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างสุขสบาย

2. รู้จักควบคุมตนเอง

3. อุ้มชูตนเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง

4. เข้าใจสภาพของตนเอง

ตอบ 3 หน้า 57 (H) “เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน” หมายความว่า อุ้ม ชูตัวเองได้ ให้มีเพียงกับตัวเองซึ่งความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้อง ผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เองอย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไรไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก

18. กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานมาจากส่วนใด

1. สภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในปัจจุบัน

2. แนวโน้มการพัฒนาประเทศในอนาคต

3. การรับแนวคิดการพัฒนาจากประเทศตะวันตก

4. วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคม

ตอบ 4 หน้า 56 (H) กรอบ แนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตที่ดั้งเดิมของสังคมไทยซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

19. คุณลักษณะของกิจกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้านความมีเหตุผล สะท้อนถึงคุณลักษณะส่วนใดต่อไปนี้

1. ความไม่ประมาท

2. ความรอบรู้และสติปัญญา

3 ความสมดุล

4. ความเสมอภาค

ตอบ 2 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “ความมีเหตุมีผล” หมาย ถึง การตัดสินในเกี่ยวกับระดับของความพอดีเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยใช้ความรอบรู้และสติปัญญาพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

20. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียงได้ครอบคลุมมากที่สุด

1. แนวทางในการดำเนินชีวิต

2. ความเข้าใจในการประกอบอาชีพ

3. การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

4. ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ตอบ 4 หน้า 57 – 58 (H) ผลสัมฤทธิ์ส่วนตนและส่วนรวมจากการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ ชีวิตสมดุล เศรษฐกิจมั่นคง และสังคมยั่งยืน โดยมีแนวทางปฏิบัติหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้องรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทังด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี

21. ข้อใดเป็นความหมายของคำว่า “คุณธรรม”

1. มีความดีทั้งกาย วาจา ใจ

2. ประพฤติกรรม ทำดีต่อตนเองและผู้อื่น

3. ประพฤติดีทั้งกาย วาจา และใจอยู่เสมอ

4. ปฏิบัติตนดีทางกาย วาจา และใจจนเคยชิน

ตอบ 4 หน้า 244, (คำบรรยาย) กู๊ด (Good) ให้ความหมายคำว่า “คุณธรรม” ไว้ดังนี้

1. คุณธรรม หมายถึง ความดีงามของลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมที่ได้กระทำจนเคยชินเป็นนิสัยหรือการปฏิบัติตนดีทางกาย วาจา และใจจนเคยชิน 2. คุณธรรม หมายถึง คุณภาพที่บุคคลได้กระทำ ความคิดและมาตรฐานของสังคม ซึ่งเกี่ยวกับความประพฤติและศีลธรรม

22. ผู้มีคุณธรรมทางวาจาพึงระวังการปฏิบัติในข้อใด

1. ใช้ถ้อยคำสุภาพ

2. พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์

3. พูดในสิ่งที่เห็น

4. พูดในสิ่งที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผู้มีคุณธรรมทางวาจา (การพูดจาดี) ควรปฏิบัติดังนี้

1. ใช้ถ้อยคำสุภาพ 2. พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 3. ไม่พูดให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือนร้อน ไม่พอใจ และพึงระวังการพูดในสิ่งที่เห็นโดยไม่พิจารณาถึงความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง

23. หลักธรรมข้อใดช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจดี (มโนธรรม)

1. พรหมวิหาร 4

2. สังคหวัตถุ 4

3. อิทธิบาท 4

4. อริยสัจ 4

ตอบ 1 หน้า 351 , 525 , 676 – 677 พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจสำหรับผู้มีจิตใจประเสริฐหรือผู้ใหญ่ที่ต้องปกครองคนใต้ บังคับบัญชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกันและส่งเสริมให้ผู้ ปฏิบัติมีจิตใจดี (มโนธรรม) มีจิตใจกว้างขวาง ป้องกันใจไม่เป็นสุข ประกอบด้วย

1. เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการช่วยให้ผู้อื่นประสบแต่ความสุข

2. กรุณา คือ ความสงสารและปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3. มุทิตา คือ ความเบิกบานพลอยยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความสุข มีจิตใจ และพร้อมให้การสนับสนุน

4. อุเบกขา คือ ความ มีน้ำใจเป็นกลางและมองตามสภาพความเป็นจริง มีจิตเรียบเที่ยงธรรมดุจตาชั่งไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง รู้จักวางเฉย สงบใจมองดูเมื่อไม่กิจที่ควรทำด้วยพิจารณาในทางกรรมว่า ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลดีตอบสนอง ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น

24. พาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นปัญหาวิกฤตทางวัฒนธรรม แสดงถึงการยึดติดวัตถุนิยมบริโภคนิยม ยกเว้น ตัวอย่างในข้อใด

1. จับได้ยกแก๊งลักรถรายใหญ่

2. แก๊งรถตู้อุ้ม ม.1 ขยี้กาม ขังล่ามโซ่

3. จับผงขาว 100 ล้านรายใหญ่ในรอบ 5 ปี

4. ซิวอดีตบุรุษพยายามมอบยารูดทรัพย์เหยื่อ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) สถานการณ์ และปัญหาวิกฤตทางวัฒนธรรมไทยประการหนึ่ง คือ การยึดติดวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ซึ่งเป็นการแสวงหาหรือเสพสุขความสุขด้วยการใช้วัตถุเป็นสื่อกลางหรือนิยม บริโภคสิ่งต่าง ๆ ฟุ่มเฟือยเกินความต้องการที่จำเป็นใช้ชีวิต โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา เช่น การลักทรัพย์ ค้ายาเสพติด ค้าประเวณี ฯลฯ

25. หลักธรรมในข้อใดสอนให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นคนดี

1. โอวาท 3

2. ภาวนา 3

3. ไตรลักษณ์ 3

4. ไตรสิกขา

ตอบ 1 (คำบรรยาย) โอวาท 3 คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นคนที่มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง คือ การไม่ทำความชั่วทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ 2. ทำความดีให้ถึงพร้อม คือ เมื่อเราจะละเว้นจากการทำความชั่ว แล้ว ก็ต้องหมั่นทำความดีควบคู่กันไปด้วย จึงถือว่ามีความดีสมบูรณ์อย่างแท้จริง 3. ทำจิตใจให้ผ่องใส่ คือ กำจัดสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองออกไป เช่น ความโลภ ความโกธร ความหลง ฯลฯ

26. การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์หรือช่วยแก้ปัญหาบุคคลในสังคม เป็นตัวอย่างของผู้มีคุณธรรมในข้อใด

1. ทาน

2. ปิยวาจา

3. อัตถจริยา

4. สมานัตตา

ตอบ 3 หน้า 89 (H) 100 (H) 105 (H) คุณธรรมสังคหวัตถุ 4 ได้แก่

1. ทาน คือ การให้ปัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2. ปิยวาจา คือ การพุดถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ดังโคลงโลกนิติตอนหนึ่งว่า “อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย…”

3. อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือช่วยแก้ปัญหาบุคคลในสังคม

4. สมานัตตา คือ การวางตัวสม่ำเสมอ ไม่ทอดทิ้ง เอาตัวเข้าสมาน

27. ผู้ที่จะประสบคามสำเร็จในการเรียน การทำงานหรือการครองชีวิต ควรเริ่มต้นจากการปฏิบัติคุณธรรมในข้อใด

1. วิริยะ

2. อุตสาหะ

3. ฉันทะ

4. จิตตะ

ตอบ 3 หน้า 356, 104 (H), 125 (H) อิทธิบาท 4 คือ คุณธรรมที่เป็นพื้นฐานนำไปสู่ ความสำเร็จในชีวิต การทำงาน และการศึกษา ประกอบด้วย

1. ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักงาน พอใจจะทำ ทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้เสร็จอย่างดี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจที่ดีอันดับแรกในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้น

2. วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน ขยันหมั่นกระทำด้วยความพยายาม มีความตั้งใจ เข้มแข็ง อดทน ไม่ท้อถอย

3. จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทำด้วยความอุทิศตัวและใจ

4. วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทำงานด้วยปัญญา รู้จักไตร่ตรองพิจารณา ใคร่ครวญหาเหตุผล ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

28. ข้อใดเป็นกริยามารยาทในการทำความเคารพที่ไม่ถูกต้อง

1. ประนมมือกลางอก ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง

2. ประนมมือกลางอก ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วแม่มือจรดหว่างคิ้ว

3. ประนมมือยกขึ้น นิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว ผู้ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลง

4. ประนมมือขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลงพองาม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การไหว้หรือทำความเคารพตามประเพณีไทยมี 4 ลักษณะ ดังนี้

1. การไหว้ผู้มีฐานะเสมอกันหรือรับไหว้ ผู้ไหว้จะประนมมือกลางอก ปลายนิ้วตั้งตรงขึ้นเบื้องบนโดยอาจก้มหน้าลงเล็กน้อย 2. การไหว้บุคคลทั่วไปที่อาวุโสกว่า ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงปลายสันจมูก แล้วก้มหน้าลง 3. การไหว้บิดามารกา ครู – อาจารย์ หรือ ผู้เป็นที่เคารพยิ่ง ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว ผู้ชายให้ค้อมตัวลง ผู้หญิงก้าวขาขวาไปข้างหน้าเล็กน้อย ย่อตัวลงพองาม 4. การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดตีนผมแนบหน้าผาก ผู้ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลงพองาม

29. เพราะเหตุใดบุคคลจึงควรมีมารยาท

1. แสดงให้รู้ว่าเป็นผู้มีความรู้

2. แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการศึกษาชั้นสูง

3. แสดงความเป็นผู้เจริญมีแบบแผนการประพฤติปฏิบัติ

4. เป็นสิ่งแสดงความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์

ตอบ 3 (คำบรรยาย) บุคคล ควรมีมารยาทที่ดีงาม เพราะกิริยามารยาทถือเป็นกติกาเบื้องต้นของสังคมมนุษย์ซึ่งผู้มืออารยธรรม และมีวัฒนธรรมในการประพฤติปฏิบัติควรกระทำต่อกัน เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้เจริญ และมีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติว่าสิ่งใดควรกระทำ และสิ่งใดควรละเว้น

30. การเรียกบุคคลที่ไม่คุ้นเคยควรใช้สรรพนามในข้อใด

1. พี่ – เธอ

2. คุณ – ตำแหน่ง

3. เจ้ – เฮีย

4. เรียกชื่อ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้ที่เราพูดด้วยมีอยู่หลายคำ แต่คำสุภาพที่ใช้ได้ในทุกโอกาสและกับบุคคลทุกระดับ คือ คำว่า “คุณ” โดย เฉพาะหากโอกาสที่เราพูดเป็นระดับทางการและต้องพูดกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ควรใช้คำสรรพนามว่า “คุณ” หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ของบุคคลนั้น เช่น อาจารย์ คณบดี อธิการบดี ท่านรอง ฯลฯ จึงจะสุภาพและเหมาะสมที่สุด

31. เพราะเหตุใดจึงต้อง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”

1. รักษาสุขภาพให้กับตนเอง

2. ป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่น

3. เป็นมารยาทในการรับประทานอาหาร

4. ป้องกันโรคมิให้เกิดกับตนเองและผู้อื่น

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วิธีป้องกันโรคไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองและแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น ควรปฏิบัติดังนี้ 1. กินร้อน คือ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่ทานอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ 2. ช้อนกลาง เป็นช้อนที่มีไว้เพื่อใช้แบ่งอาหารมาใส่จานของผู้กิน ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อโรคจากน้ำลายของผู้ที่กินอาหารนั้นลงไปปนเปื้อนในอาหาร 3. ล้างมือ ควรล้างมือบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัยทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากมือไปสู่อาหาร

32. คุณธรรมในข้อใดที่ทำให้คนในสังคมไว้วางใจซึ่งกันและกัน

1. ความซื่อสัตย์

2. ความเมตตา

3. ความสามัคคี

4. ความเอื้ออาทร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

33. การคิดร้ายต่อผู้อื่นจัดเป็นอกุศลมูล 3 หรือเหตุแห่งความชั่ว 3 ประการในข้อใด

1. โลภะ

2. โทสะ

3. โมหะ

4. ทมะ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) อกุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือเหตุแห่งความชั่ว มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้

1. โลภะ (ความอยากได้) คือ ความเป็นผู้มีความทะยานอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน

2. โทสะ (การคิดประทุษร้าย) คือ ความโกรธหรือไม่พอใจอย่างแรง ผูกพยาบาท คิดร้ายต่อผู้อื่น

3. โมหะ (ความหลง) คือ ความประมาท ความหลง ความสงสัย ความโง่งมงาย มัวเมาในอบายมุขอันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง

34. คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มองโลกในแง่ดี และปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข จัดอยู่ในข้อใด

1. กายกรรม

2. วจีกรรม

3. มโนกรรม

4. อกุศลกรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) มโนกรรม 3 คือ การ ทำความดีทางใจ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีจิตใจบริสุทธิ์มองโลกในแง่ดี มีความสงสารและปรารถนาให้คนอื่นพันทุกข์ และประสบแต่ความสุขมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. การไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง 2. การไม่อาฆาตพยาบาทหรือจองเวรกับใคร 3. มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและตรงตามความเป็นจริง

35. การที่เรามีจิตใจที่จดจ่อแน่วแน่ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ โดยที่จิตฟุ้งซ่าน จัดอยู่ในข้อใด

1. ศีล

2. สมาธิ

3. ปัญญา

4. บารมี

ตอบ 2 หน้า 233, 257 สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนดนั้นคือ เมื่อจิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ จนเกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังคิด พูด ทำ จนสามารถรวมพลังสติปัญญาและความคิดมาใช้ในสิ่งที่กำลังคิดพูด ทำนั้นได้อย่างเต็มที่และมีสติอยู่เสมอ

36. คนที่ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต จัดอยู่ในเบญจธรรมข้อใด

1. เมตตา กรุณา

2. สัมมาอาชีวะ

3. สติสัมปชัญญะ

4. กามสังวร

ตอบ 2 หน้า 169, (คำบรรยาย) หลักเบญจธรรม 5 ประการ ประกอบด้วย

1. เมตตากรุณา คือ รักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น มีจิตเมตตารักชีวิตผู้อื่นเหมือนชีวิตตน

2. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพแต่พอดี ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต ไม่เอาเปรียบผู้อื่น

3. กามสังวร คือ สำรวมในกาม มีความรักใคร่ ซื่อสัตย์ในสามีภรรยาของตน

4. สัจจะ คือ พูดความจริง ซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา

5. สติสัมปชัญญะ คือ ระลึกได้หรือมีความรู้ตัวเสมอ

37. ปรากฏการณ์เรือนกระจกทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เกิดจากการปล่อยก๊าซของเสียจากแหล่งใดมากที่สุด

1. ฟาร์มปศุสัตว์

2. โรงงานอุตสาหกรรม

3. นาข้า

4. ชุมชนแออัด

ตอบ 2 หน้า 467 , 484 (คำบรรยาย) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เกิด จากสารประกอบของก๊าซต่าง ๆ ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก (โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีมากที่สุด) ดูดซึมแสงอินฟราเรดและเก็บกักรังสีความร้อนเอาไว้มาก จนทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ซึ่งการปล่อยก๊าซของเสียเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเผาผลาญพลังงานของ โรงงานอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่ง เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงถ่านหินและน้ำมันในการกระบวนการผลิตและการคมนาคมขน ส่ง รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่า จนส่งผลกระทบต่อโลกและมนุษย์

38. การกำจัดขยะในข้อใดไม่ควรใช้วิธีเผา เพราะทำให้เกิดแก๊สพิษ

1. ซังข้าวโพด

2. พลาสติก

3. ของเหลือจากเกษตรกรรม

4. เศษอาหารจากภัตตาคาร

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) พลาสติก ที่ใช้แล้วมักถูกทิ้งเป็นขยะพลาสติก ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกนำกลับมาใช้อีกในลักษณะต่าง ๆ กัน แต่อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปกำจัดทิ้งโดยวิธีการต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาขยะพลาสติก จะก่อให้เกิดแก๊สพิษที่ร้ายแรงออกมาสู่ชั้นบรรยากาศและเป็นอันตรายอย่างมาก ต่อสิ่งมีชีวิต เช่น สารฟอสยีน (Phosgene) มาจาก PVC , ไฮโดรคลอริกแอชิด (Hydrochloric acid) มาจาก PVC และ PE เป็นต้น

39. ทรัพยากรธรรมชาติในข้อใดที่ใช้แล้วหมดสิ้น ไม่สามารถนำมาดัดแปลงใช้ได้

1. ทองคำ

2. ถ่านหิน

3. ทองแดง

4. เหล็ก

ตอบ 2 หน้า 462 – 463 , (คำบรรยาย) ทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่สามารถกลับฟื้นตัวใหม่ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ฯลฯ

2. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่ไม่อาจทำให้มีใหม่ได้ เข่น คุณสมบัติทางธรรมชาติของดิน ฯลฯ

3. ประเภทใช้แล้ว หมดไป แต่ยังสามารถนำมายุบให้กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนำกลับมาประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เช่น สังกะสี ทองแดง ทองคำ เหล็ก เงิน ฯลฯ

4. ประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป นำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมันก๊าด น้ำมัน ฯลฯ

40. แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม น่าจะมีเหตุมาจากข้อใดมากที่สุด

1. ผู้คนกินดีอยู่ดี

2. การเพิ่มของประชากร

3. การนำนวัตกรรมจากต่างชาติมาใช้

4. คนขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 464 – 466 (คำบรรยาย) ปัญหา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม มีสาเหตุมาตากหลายประการ เช่น การเพิ่มจำนวนประชากรซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขยายตัวของเมืองและกิจกรรมด้าน อุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการร่อยหรอของทรัพยากร ธรรมชาติ ขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ขาดจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและถูกทำลายลงไปอย่าง รวดเร็ว

41. การที่เจ้าของโรงงานไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำ ถือเป็นคุณธรรมของผู้ผลิตในข้อใด

1. คืนกำไรให้สังคม

2. ความซื่อสัตย์

3. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม

4. ความยุติธรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การ ที่บุคคลมีความรู้สึกเห็นคุณค่าของส่วนร่วมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว หรือการมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม โดยการร่วมกันคิดร่วมกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม รวมถึงยอมรับหรือรับผิดชอบร่วมกันในผลของกระทำนั้น ๆ เพื่อช่วยพัฒนาสังคมและชาติบ้านเมือง ตลอดจนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

42. การฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ตรงกับข้อใดมากที่สุด

1. ฟังแล้วปฏิบัติตาม

2. ฟังแล้วต่อต้าน

3. ฟังแล้วเชื่อตามที่ได้ยินมา

4. ฟังแล้วคิด วิเคราะห์ ใคร่ครวญ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การฟังดีย่อมเกิดปัญญา หมายถึง การ ใส่ใจในสิ่งที่ฟัง เวลาฟังก็ตั้งใจฟังด้วยความสงบ ไม่คิดเรื่องอื่น คิดพิจารณาตามเสียงที่ได้ยิน เอาจิตน้อยยอมรับเหตุผลในการรับฟังโดยใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญพิจารณาไปด้วยว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา หรือที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง”

43. ท่านจะกำจัดวิชชาโดยใช้ข้อใด

1. วิริยะ

2. ปัญญา

3. ขันติ

4. ตบะ

ตอบ 2 หน้า 38 – 39 (H) เป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การสร้างสติปัญญาเพื่อขจัดอวิชชาโดยควรเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ พอมีสติปัญญาแล้วก็ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผล ไม่ตามกระแสสังคมที่ผิด ซึ่งเรียกว่า โยนิโสมนสิการ

44. ข้อใดไม่จัดเป็นประโยชน์ของปะการัง

1. ป้องกันชายฝั่ง

2. ทำเครื่องประดับ

3. สร้างระบบนิเวศวิทยา

4. แหล่งที่อยู่อาศัยของพืช

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ประโยชน์ของแนวปะการังมีมากมายดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์น้ำนานาชนิด เพราะมีลักษณะที่เป็นซอกมีโพรงอยู่ทั่ว ๆ ไป ทำให้เหมาะต่อการหลบภัยและเป็นที่อยู่ 2. ปะการังตามแนวชายฝั่งมีส่วนช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของคลื่นที่ปะทะต่อชายฝั่งได้ 3. ช่วยสร้างระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์ในแง่ของห่วงโซ่อาหารที่มีความซับซ้อน 4. แนวปะกาลังเป็นแหล่งกำเนิดทรายให้กับชายหาด ซึ่งได้มาจากการสึกกร่อนของโครงสร้างหินปูน ทำให้หินปูนปะการังแตกละเอียดเป็นเม็ดทรายที่ขาวสะอาด ฯลฯ

45. ข้อใดมิใช่สาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมปะการัง

1. การประมงเกินขนาด

2. มลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

4. การเป็นอาหารของปลาเล็กและปลาใหญ่

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมของปะกาลังมีดังนี้

1. การประมงเกินขนาด เช่น การลักลอบระเบิดปลาในแนวปะกาลัง ซึ่งนอกจากจะทำลายตัวปะการังโดยตรงแล้ว ยังทำลายลูกปลาและสัตว์น้ำวัยอ่อนในบริเวณใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก

2. มลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง เช่น การก่อสร้างอาคาร การเปิดหน้าดินเพื่อสร้างถนน ฯลฯ ทำให้ตะกอนของดินไหลลงสู่ทะเลตกทับถมบนแนวปะการัง ทำให้ปะการังตาย

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ฯลฯ

46. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นประโยชน์กับใครมากที่สุด

1. ชาวนา

2. นักธุรกิจ

3. เกษตร

4. คนทุกอาชีพ

ตอบ 4 หน้า 58 (H) ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติตน สำหรับคนทุกระดับทุกอาชีพ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

ตั้งแต่ข้อ 47. – 48. อ่านโครงข้างล่างนี้แล้วตอบคำถาม

พายเถิดพ่ออย่างรั้ง รอพาย

จวนตะวันจักสาย ส่องฟ้า

ของสดสิ่งควรขาย จักขาด ค่าแฮ

ตลาดเลิกแล้วอ้า บ่นอื้อเอาใคร

47. โครงโลกนิติบทนี้สอนเรื่องใด

1. คุณค่าของเวลา

2. ความไม่ประมาท

3. ความตรงต่อเวลา

4. ความขยัน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) โครงโลกนิติบทนี้สอนให้รู้จักคุณค่าของเวลาและโอกาส อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปซึ่งจะนำไปสู่การเสียผลประโยชน์จนสายเกินแก้ โดยได้บรรยายให้คนปัจจุบันเห็นภาพตลาดน้ำยามเช้าในอดีตที่พ่อค้าแม่ค้าพายเรือบรรทุกสินค้ามาขายในย่านที่มีการเดินเรือพลุกพล่าน

48. โครงบทนี้กำลังบอกให้คนปัจจุบันเห็นภาพอะไรในอดีต

1. การคมนาคม

2. การค้าขาย

3. สภาพความเป็นอยู่

4. ตลาดน้ำ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

49. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใดเริ่มเชิญปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้

1. แผนที่ 6

2. แผนที่ 7

3. แผนที่ 8

4. แผนที่ 9

ตอบ 4 (คำบรรยาย) แนว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) และยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 79 (1) ความว่าบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ

50. เศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานต้องการแก้ปัญหาของใคร

1. เกษตรกร

2. SML

3. บริษัท

4. OTOP

ตอบ 1 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจ พอเพียงแบบพื้นฐาน เป็นความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวซึ่งอาจเทียบได้กับเกษตรทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรเป็นหลัก เพื่อให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และ ใช้ที่ดินส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือ เพื่อให้มีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้

51. ภูมิปัญญาท้องถิ่นช่วยชุมชนด้านใด

1. สร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการ

2. ธำรงวิถีชีวิตชนบทในแต่ละท้องถิ่น

3. แสดงความเป็นไทย

4. เป็นจุดเด่น น่าสนใจ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

52. นักธุรกิจที่ยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเน้นความสำคัญในข้อใด

1. เรื่องธุรกิจอย่างยิ่งใหญ่

2. มุ่งกำไรเป็นเรื่องสำคัญ

3. รับผิดชอบต่อหุ้นส่วน

4. ให้คุณค่ากับพนักงานในฐานะทรัพยากรที่สำคัญ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การส่งเสริมคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีดังนี้ 1. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 2. มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และรักษาความลับของลูกค้าอย่างเคร่งครัด 3. มีคุณธรรมกับสังคมรอบข้าง โดยการป้องกันผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมและจัดทำโครงการเพื่อสังคม 4. ส่งเสริมคุณธรรมให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร โดยการปกครองด้วยหลักความเมตตา และให้คุณค่ากับพนักงานในฐานะทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ

53. ธุรกิจที่ยั่งยืนคือธุรกิจแบบใด

1. มีทุนมากมาย

2. ดำรงอยู่ได้ทุกสถานการณ์

3. นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้งาน

4. มุ่งกำไรเป็นเรื่องสำคัญ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ธุรกิจที่ยั่งยืน คือ ธุรกิจ ที่สามารถบูรณาการวิธีแห่งการปฏิบัติให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กรจนกลายเป็น วิถีแห่งการดำเนินธุรกิจตามแบบปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างสมบูรณ์ซึ่ง องค์กรธุรกิจในระดับนี้จะมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตการณ์และภัยคุกคามต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีซึ่งส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำรงอยู่ได้ทุกสถานการณ์อย่าง ยั่งยืน

54. ข้อใดไม่เป็นองค์ประกอบของความพอเพียง

1. ความพอประมาณ

2. การมีเหตุผล

3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว

4. ความกลัว

ตอบ 4 หน้า 57 – 58 (H), (คำบรรยาย) แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข หมายถึง ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข โดยคำว่า “3 ห่วง” คือ ความพอประมาณความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ส่วน คำว่า “2 เงื่อนไข” คือ การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งเงื่อนไขความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และเงื่อนไขคุณธรรม (ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน)

55. เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล หมายถึงอะไร

1. บุคคลที่ดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือนร้อน

2. บุคคลที่พึ่งพาตนเองไม่ได้เป็นภาระผู้อื่น

3. บุคคลที่ฉลาดคิด

4. บุคคลที่มีความรู้

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัว หมายถึง การที่บุคคลมีความเป็นอยู่ในลักษณะที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่น และสามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ความต้องการในปัจจัยสี่ของตนเองและครอบครัว รวมทั้งมีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกลมเกลียว และมีความพอเพียงในการดำเนินชีวิตด้วยการประหยัด และการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งกายและใจ

56. ผู้ที่จะดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเริ่มจากข้อใด

1. ปรับวิธีคิด วิธีทำ และลงมือปฏิบัติ

2. ศึกษาจากผู้ที่เป็นตัวอย่างทางด้านความพอเพียง

3.ลงมือทดลองปฏิบัติตามพอประมาณ

4. เดินทางไปหาผู้รู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง

ตอบ 1 (คำบรรยาย) แนว ทางการประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิตจำเป็นต้องเริ่ม จากจิตใจเป็นพื้นฐาน เมื่อจิตใจมีความพร้อมจึงเริ่มลงมือทำ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ เพื่อนำไปสู่การลงมือปฏิบัติดังนี้

1. เริ่มจากความคิดไปสู่การกระทำ 2. เริ่มจากภายในสู่ภายนอก

3. เริ่มจากตนเองไปสู่ผู้อื่น 4. เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวออกไปไกลตัว

5. เริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก 6. เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยไปหาเรื่องใหญ่

57. คำพูดที่ว่า “ปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทำได้ยาก แต่ทำได้ถ้าใจปรารถนา” หมายความว่าอย่างไร

1. ยกย่องให้เกียรติใจ

2. ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

3. ถ้าใจสู้ทุกอย่างก็สำเร็จ

4. ความสำเร็จ – ความล้มเหลวเกิดจากใจ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่นำไปสู่การปฏิบัติได้ยาก เพราะโลกทุกวันนี้มีระบบเศรษฐกิจเดียวคือ ทุนนิยม และลัทธิเดียวคือ บริโภคนิยม ซึ่งกระตุ้นความอยากมีอยากได้ อยากเป็นอะไรที่เกินความพอดีอยู่ตลอดเวลา แต่เศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดได้ถ้าใจปรารถนา คือ ถ้าใจสู้ทุกอย่างก็สำเร็จ ถ้าใจมาปัญญาก็เกิด ถึงแม้จะยากแต่ก็ทำได้โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเอง

58. ข้อใดที่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรอเวลาอันเหมาะสม เพื่อพระราชทานแนวพระราชดำริตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2550 จึงพระราชทานแนวพระราชดำริของเศรษฐกิจพอเพียง

2. ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างพอเพียงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

3. เมื่อเสด็จฯ ไปงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้พระราชทานพระบรม โชวาทตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517

4. ทรงได้รับการอบรมให้เพียงพอจากพระราชมารดา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรอเวลาอันเหมาะสม เพื่อพระราชทานแนวพระราชดำริตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ เมื่อเสด็จฯ ไปงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 และทรงมีพระราชดำรัชเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศไทยให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์

59. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียง

1. มีเหตุผล

2. มีความรู้

3. มีคุณธรรม

4. มีความมักน้อย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

60. ข้อใดไม่ใช่ภูมิคุ้มกันในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. คิดอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง

2. หาทางหนีที่ไล่ไว้ล่วงหน้า

3. เก็บทรัพย์ไว้ไม่ใช้จ่าย

4. ทำตามกำลังความสามารถ

ตอบ 3 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) “ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง” หมายถึง การ เตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล โดยคิดอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ทำตามกำลังความสามารถของตนไม่ทำอะไรเกินตัว และใช้ปัญญาในการคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงตามต่าง ๆ เพื่อวางแผนรองรับและหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า

61. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีฐานคิดที่สำคัญเรื่องใดมากที่สุด

1. รักษาวัฒนธรรมพร้อมความมั่นคง

2. พัฒนาความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว

3. พัฒนาเศรษฐกิจพร้อมกับพัฒนาสังคม

4. พัฒนาคนในชุมชนด้วยเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม คุณธรรม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีฐานคิดที่สำคัญ คือ การพัฒนาคนในชุมชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและคุณธรรม ให้มีความก้าวหน้า สมดุลมั่นคง และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ สถานการณ์ เพื่อให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

62. วัตถุประสงค์ที่สำคัญ “ทฤษฎีใหม่” คือข้อใด

1. ปฏิรูปการเกษตรแผนใหม่

2. ให้ประชาชนรู้จักช่วยเหลือกัน

3. ผลิตการค้าและการเลี้ยงชีพ

4. ดำเนินธุรกิจอย่างพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

63. มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯในเรื่องใด

1. การแสดงดนตรี

2. การแสดงหุ่นกระบอก

3. การแสดงโขน

4. การแสดงศิลปะพื้นบ้าน

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) มหาวิทยาลัยรมคำแหงได้ก่อตั้งโขนรามขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 และวิชาการแสดงโขนก็ได้ถูกบรรจุให้เป็นวิชาหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏกรรมไทยเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสืบทอดโขน และยังเป็นการร่วมมือสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ตลอดไป

64. ทำดีในข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. ทำดีเราเห็น

2. ทำดีเราทราบ

3. ทำดีเราได้

4. ทำดีเราสุขใจ

ตอบ 4 หน้า 244 – 245 , 41 (H) คุณธรรม หมายถึง ความ สามารถแยกแยะได้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดดีไม่ดีแล้วทำแต่สิ่งดีไปโดยตลอด จึงเป็นลักษณะที่ดีงามของบุคคลที่มีการยอมรับและเห็นคุณค่าอันเป็นพื้นฐาน การแสดงออกของการกระทำที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม โดยผู้ที่มีคุณธรรมจะถือส่าหน้าที่ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วยความ รู้สึกสำนึกว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำและจงใจปฏิบัติด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “ทำดีเราสุขใจ”

65. รู้รักษาตัวรอด หมายความตามข้อใด

1. กล้าเผชิญปัญหา

2. แก้ไขปัญหาได้

3. การปฏิบัติงานจริง

4. ใช้ความรู้คู่คุณธรรมดำรงชีวิต

ตอบ 4 (คำบรรยาย) รู้รักษาด้วยรอดเป็นยอดดี หมายถึง คน เราควรหมั่นศึกษาหาความรู้ให้มากเพราะเป็นของดีมีประโยชน์ แต่ที่ดีกว่านั้นคือการนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้พึ่งพาตน เองได้ ไม่ใช่มีแต่ความรู้ แต่ความสามารถในการ จัดการปัญหาไม่มีเลย ดังนั้นรู้รักษาตัวรอดจึงต้องใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการดำรงชีวิต เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุลวงไปได้ด้วยตนเอง และสามารถพาตัวเองให้รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

66. ในสังคมข้อมูลข่าวสาร การศึกษาสำคัญอย่างไร

1. การเตรียมงาน

2. การเตรียมตัว

3. การสร้างฐานความรู้

4. การต่อสู้แข่งขัน

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารนั้น การศึกษานับว่ามีบทบาทสำคัญในด้านการสร้างฐานความรู้ (Base of Knowledge) เพื่อช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพและมีคุณภาพ สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้

67. ข้อใดเป็นการกระทำที่บ่งชี้ความมีคุณธรรมสูงสุด

1. ทำด้วยความเชื่อมั่น

2. ทำอย่างมีเป้าหมายชัดเจน

3. ทำด้วยความพากเพียรเรียนรู้

4. ทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

68. รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงถึงข้อใดอย่างชัดเจน

1. รามคำแหงขยายโอกาสทางการศึกษา

2. รามคำแหงเจริญงอกงาม

3. รามคำแหงเป็นสมบัติของชาติ

4. รามคำแหงเป็นบ่อน้ำสำคัญให้ลูกหลานได้กินน้ำจากบ่อนี้

ตอบ 2 หน้า 584 – 585 (คำบรรยาย) รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงให้เห็นว่า รามคำแหงเจริญงอกงามไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการ ด้านชื่อเสียงเกียรติคุณ ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงก้าวหน้าขึ้นไปมากมายและยังก้าวล้ำหน้ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพของบัณฑิตที่นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศต่างประเมินและตรวจสอบคุณภาพแล้ว ได้ผลออกมาตรงกันว่ามีคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐบาลแต่อย่างใด

69. ข้อใดไม่บ่งชี้คุณธรรม

1. เราเรียนต้องได้ความรู้

2. แบ่งเวลาเป็นปรับตนได้

3. จบมาแล้วสู้การ สู้งาน

4. มีมานะอดทน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

70. ข้อใดเป็นเป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของสำนึกน้อยที่สุด

1. เรียนเพื่อรู้

2. เรียนเพื่อปริญญา

3. เรียนเพื่อพ่อแม่

4. เรียนเพื่อประกอบอาชีพ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของการรู้สำนึกนั้น มิใช้เรียนเพื่อให้ได้ปริญญาหรือวิทยฐานะเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการเรียนเพื่อรู้ เพื่อ พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่จะดำรงชีพและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญคือ เรียนเพื่อพ่อแม่ผู้มีอุปกรณ์ที่ได้ส่งเสริมและเลี้ยงดูเรามา อันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที

71. การปฏิบัติในข้อใดแสดงความมีคุณธรรม

1. มีอะไรพูดกันตรงๆ

2. สงสัยอะไรก็ตาม

3. ไม่แน่ใจก็ตรวจสอบ

4. ผิดพลาดก็ขอโทษ และแก้ไข

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

72. ในภาวะเศรษฐกิจผิดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานไป เรียนไป

2. เรียนรู้สู้ชีวิต

3. รู้จักความทุกข์ ความผิดหวัง

4. รู้คุณค่าของเงิน

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในการรู้คุณค่าของเงิน รู้จักใช้ออมทรัพย์สินตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมทั้งรู้จักดำรงชีวิตให้อยู่อย่างพอเพียง มีความพอประมาณ เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ส่วนตน

73. ข้อใดเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด

1. รู้จักว่าความสุขเป็นอย่างไร

2. รู้จักคำว่าทุกข์เป็นอย่างไร

3. รู้จักว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร

4. รู้ร้อน รู้หนาว สัมผัสได้ในชีวิตจริง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด คือ การ รู้เท่าทันในกฎของธรรมชาติอย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ร้อน รู้หนาว เรียนรู้และสัมผัสได้ในความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อพบร้อนพบหนาวมากไปน้อยไปก็สงบใจอดทน เปรียบเสมือนกับความทุกข์เมื่อมีเกิดขึ้น ก็ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดาดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อไม่ยึดไม่ติดแล้ว ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์

74. นวัตกรรมเกิดได้จากการกระทำในข้อใด

1. ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

2. อย่าไปมองคนอื่นทำไมไม่ทำ

3. ถ้าเสร็จแล้วต้องคิดต่อยอด

4. ถ้าทำแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายควรหลีกเลี่ยง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คำว่า “นวัตกรรม” หมายถึง การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีใหม่ ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ การ เปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการคิดพัฒนาต่อยอด โดยกสนมราสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้นจะต้องมีความแปลกใหม่อย่าง เห็นได้ชัด และต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

75. คิดว่าตนเองวิเศษ หมายความตามข้อใด

1. ดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร

2. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

3. แลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน

4. แลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวคิด

ตอบ 1 หน้า 37 (H) สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน เพราะ คิดว่าตนเองวิเศษ คือ คิดว่าตนเองดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงดังนั้นในการเรียนจึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดย เรียนอย่างมีความรู้ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ต่างเป็นครูกันละอย่าง ถ้ามีอาวุโสสูงดีแล้วก็มาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์แนวความคิดซึ่งกันและ กันได้

76. เป้าหมายสูงสุดการเรียนรู้คือข้อใด

1. มีความรู้แล้วใช้ความรู้ได้

2. มีสติปัญญาได้ด้วยการศึกษา

3. มีคุณธรรมแล้วต้องดำเนินกิจกรรมอย่างมีคุณธรรม

4. สร้างปัญญาขจัดอวิชชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

77. อวิชชามีความหมายสมบูรณ์ตามข้อใด

1. รู้ไม่ถูกทาง

2. รู้ในสิ่งไม่ควรรู้

3. ไม่รู้ในสิ่งควรรู้

4. ได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

ตอบ 4 หน้า 38 (H) อวิชชา แปลว่า ไม่ รู้ แล้วก็แปลว่ารู้ทั้งสองอย่าง เพราะอวิชชา หมายถึง ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือ สิ่งที่ควรรู้กลับไม่รู้ แล้วไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ หรือรู้ไม่ถูกทาง สิ่งที่เขาไม่ให้รู้ก็ไปรู้เข้าให้ดังนั้นความหมายที่สมบูรณ์ของคำว่า “อวิชชา” จึงแปลได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

78. บุคคลผู้ขาดสติบัญญัติมักประพฤติตนตามข้อใด

1. ไตร่ตรอง

2. เหตุผล

3. ตามกระแส

4. โยนิโสมนสิการ

ตอบ 3 หน้า 39 (H) บุคคลผู้ขาดสติปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลว่าสิ่งนั้นดีจริงหรือไม่ ที่ว่าดีดีอย่างไร ไม่ดีนั้นไม่ดีอย่างไร โดยสิ่งที่ควรก็ไม่รู้ สิ่งที่ควรไตร่ตรองก็ไม่ได้ไตร่ตรอง จึงมักตามกระแสสังคมที่ผิด แสดงว่าไม่มีโยนิโสมนสิการ หรือไม่มีกระบวนการสร้างสติปัญญานั้นเอง

79. การศึกษาที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. รู้

2. จำ

3. คิด

4. ประยุกต์

ตอบ 4 หน้า 40 (H) หลัก การศึกษาเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงในระดับปริญญาตรีนั้นปรารถนาให้นัก ศึกษาจำได้แล้วรู้จักคิด คือ จำได้ คิดได้ จำได้ ว่าตำราว่าอย่างไร ใครเขาว่าอย่างไรหรือหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร แล้วนำไปคิดว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคมประเทศชาติ

80. การมาเรียนที่รามคำแหงจะได้อะไรเป็นสำคัญที่สุด

1. พบสิ่งที่แปลกใหม่

2. สั่งสมฐานความรู้

3. ได้สอบทานความรู้

4. พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด

ตอบ 2 หน้า 39 (H) การมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยรมคำแหง นอกจากจะได้พบสิ่งที่แปลกใหม่ พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด และได้สอบทานความรู้กับผู้รู้แล้ว นักศึกษายังได้สั่งสมความรู้ให้เป็นฐานความรู้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องของการสั่งสม บางที่เรียกว่าจิตวิญญาณ ซึ่งทุกคนควรที่จะปรับฐานความคิดให้ไปในทางเดียวกัน

81. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร

1. ต้องตรวจสอบพิสูจน์ได้

2. เชื่อตาม ๆ กันมา

3. ทดลองได้

4. เป็นวิทยาศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 (H) หลัก กาลามาสูตรในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่มีเหตุผลในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ทดลองได้ ตรวจสอบพิสูจน์ได้ไม่ใช้ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมา โดยไม่ใช้เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่

82. ข้อใดคือความมุ่งหวังสูงสุดที่มีต่อบัณฑิตรามคำแหง

1. สั่งสมอบรมวิชาการ

2. วิจัยวิชาการ

3. นำวิชาการไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

4. นำวิชาการไปใช้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้คู่คุณธรรม นั้นคือนอกจากจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ดี เก่งเรียน เก่งงาน เก่ง วิชาการ เฉลียวฉลาด มีเหตุผลแล้วบัณฑิตรามคำแหงยังต้องเป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีความกตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริตขยันอดทน และที่สำคัญที่สุดคือ การมีสำนึกนำรับผิดชอบดูแลบ้านเมือง โดยต้องนำวิชาการที่ได้ศึกษามาไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

83. ข้อใดคือความรู้คุณธรรมที่แท้จริง

1. มีความรู้ ไม่มีคุณธรรม

2. มีคุณธรรม ไม่มีความรู้

3. มีความรู้ มีคุณธรรม

4. มีคุณธรรม มีความรู้อย่างมีดุลยภาพกัน

ตอบ 4 หน้า 40 – 41 (H) ในเรื่องความรู้คู่คุณธรรม ถ้าหากมีแต่ความรู้ ไม่มีคุณธรรมก็ใช่ไม่ได้หรือหากมีแต่คุณธรรมไม่มีความรู้ก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะความรู้คู่คุณธรรมที่แท้จริงจะต้องมีทั้งความรู้และคุณธรรมอย่างมีดุลยภาพกัน จะต้องให้ทั้งสองอย่างมี ทั้งสองอย่างเกิดถึงใช้ได้

84. คิดอย่างมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายความตามข้อใด

1. คิดต่อยอด

2. คิดเป็นวงจร

3. คิดเป็นวิทยาศาสตร์

4. คิดเป็นนวัตกรรม

ตอบ 3 หน้า 39 (H) คิดอย่างมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายถึง การ ใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผลและใช้ความรู้พื้นฐานต่าง ๆ มาประกอบประมวลกันแล้วค่อยตัดสิน โดยความคิดนั้นต้องสามารถทดลองและพิสูจน์ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คิดเป็นวิทยาศาสตร์

85. ทะนงตน มีความหมายตามข้อใด

1. มีชาตินิยม

2. อยู่ในสังคมอย่างสันติสุข

3. ไม่คิดด้อยกว่าใคร

4. ไม่ยกตนข่มท่าน

ตอบ 2 หน้า 41 – 42 (H) การ ทะนงตนในชาติพันธุ์ มิได้หมายความว่าให้หลงชาติหรือปลึกให้มรชาตินิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกไม่ใช่ แต่เป็นการอยู่ในสังคมอย่างสันติสุขได้โดยที่ไม่คิดว่าจะด้อยกว่าใคร แล้วก็ไม่ต้องยกตนข่มท่าน เพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง

86. ปัญญาชนพึงปฏิบัติตามข้อใดเป็นสำคัญทีสุด

1. คุณธรรมนำชีวิต

2. พัฒนาสังคมให้เข็มแข็งมีคุณภาพ

3. นำชาติบ้านเมืองมาสู่ความเจริญมั่นคงสันติสุข

4. พร้อมอุทิศตน

ตอบ 3 หน้า 43 (H) ผู้เป็นบัณฑิตหรือปัญญาชนควรยึดหลักคุณธรรมนำชีวิต พร้อม อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความ เจริญอย่างมั่นคง วัฒนา สถาพร และสันติสุขสืบไป

87. เป็นครูคนละอย่าง มีความหมายที่แท้ตามข้อใด

1. มีความรู้แตกต่างกัน

2. มีความถนัดแตกต่างกัน

3. โอกาสที่ได้รับแตกต่างกัน

4. การไม่ดูถูกกันและกัน

ตอบ 4 หน้า 49 – 52 (H) “ครู คนละอย่าง” หรือ “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง คนเรามีความรู้ความถนัดไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือวันนี้อาจรู้ทุกเรื่อง แต่วันพรุ่งนี้ก็เริ่มจะไม่รู้ เพราะโลกเรามีความรู่ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรู้จักให้เกียรติคนอื่นไม่ดูถูกกันและกัน ไม่ยกตนข่มท่านเพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง โดยต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด และประสบการณ์จากกันและกันได้

88. นักศึกษาจะได้รับการบริหารอย่างดีเยี่ยมตามนโยบายข้อใดของมหาวิทยาลัย

1. Course on Demand

2. Super Service

3. E – learning

4. E – testing

ตอบ 2 (คำบรรยาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้นำระบบสุดยอดแห่งการบริการ หรือที่เรียกว่า “Super Service” มาใช้ในการรับสมัครนักศึกษาใหม่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553 เพื่อให้ขั้นตอนการรับสมัครเป็นไปด้วยความเร็ว และให้นักศึกษาได้รับการบริการอย่างดีเยี่ยม โดยระบบ Super Service นี้ได้พัฒนาการมาจากระบบ One stop Service ซึ่งเป็นขั้นตอนการให้บริการแบบครบวงจรเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ที่เคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.)

89. นักศึกษาพึงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สูงสุดตามข้อใด

1. เรียนรู้วิชาที่สาขากำหนด

2. เรียนจบหลักสูตร ไปประกอบอาชีพ

3. ฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

4. พัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 3 หน้า 1, 1 (H) การ เรียนของบุคคลมิได้มุ่งให้ผู้เรียนรู้เฉพาะวิชาที่สาขากำหนด หรือเรียนจบหลักสูตรสำเร็จการศึกษาไปประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจของ แต่ละบุคคลเพราะหากบุคคลใดฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็จะก่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ สามารถพัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพในการปฏิบัติงานได้เต็มกำลังความสามารถของบุคคล

90. สังคมส่วนรวมได้ประโยชน์มาจากข้อใด

1. สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ

2. สมบูรณ์ด้วยปัญญา

3. สมบูรณ์ด้วยความรู้และคุณธรรม

4. มีวัฒนธรรมการดำรงชีวิต มุ่งผลดีต่อบ้านเมือง

ตอบ 4 หน้า 1, 1 (H) (คำบรรยาย) การ จัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม จริยธรรม และที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ก็คือ การมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต โดยมุ่งผลดีต่อบ้านเมืองเป็นสำคัญเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

91. นักศึกษาควรเรียนอย่างไร

1. รู้กว้าง

2. รู้ลึก

3. รู้จริง

4. เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

ตอบ 4 หน้า 5, 26 – 27 , 5 (H) , 29 – 30 (H) ใน สังคมแห่งการเรียนรู้ นักศึกษาควรเรียนเพื่อให้รู้กว้างรู้ลึก รู้จริง และที่สำคัญทีสุดคือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นระบบการศึกษาจึงต้องเป็นการศึกษาที่ผสมผสานทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยหรือที่เรียกว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” (Lifelong Education)

92. ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. ใช้เทคโนโลยีร่วมกับหน่วยการเรียน

2. ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพ

3. ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา

4. พัฒนาให้คนใช้เทคโนโลยีเป็น

ตอบ 2 หน้า 7 , 10 , 7 (H) 10 (H) (คำบรรยาย) การ นำเทคโนโลยีมาใช้นั้นได้มีการพูดกันมากในเรื่องการพัฒนาคนให้ใช้เทคโนโลยี เป็น และการใช้เทคโนโลยีการแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่การที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดต้องคิดว่า จะ ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพหรือมีประสิทธิภาพได้อย่างไร นอกจากนั้นมีการวางแผนการใช้งานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้หรือ ไม่หรือผู้ใช้มีความเข้าใจเทคนิคการใช้เครื่องมือนั้นเพียงพอแค่ไหน

93. ข้อใดเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ

1. ใช้เงินน้อยลง

2. ใช้ความคิดให้มาก

3. สร้างกำลังใจ

4. ฝึกความอดทน

ตอบ 2 หน้า 8 , 8 (H) (คำบรรยาย) เครื่อง มือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ คือ การใช้ความคิดให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาไตรตรองในการแก้ปัญหาด้วยจิตใจที่เข็มแข็ง ไม่ท้อแท้ ดังปาฐกถาด้านการศึกษาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตอนหนึ่ง ที่ว่า “…มีศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่มี เราก็ใช้เงินให้น้อยลง ใช้ความคิดให้มากขึ้นหน่อยเราก็จะไปได้ไม่อับจน อันนี้ก็เป็นเนื่องของกำลังใจ

94. ข้อใดเป็นพระราชดำรัสที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้

1. ต้องเพียรและอดทน

2. ต้องไม่ใจร้อน

3. ต้องไม่พูดมาก ไม่ทะเลาะกัน

4. ต้องทำโดยเข้าใจกัน

ตอบ 4 หน้า 57 (H), (คำบรรยาย) พระ ราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ คือ ต้องทำโดยเข้าใจกัน หมายความว่า ไม่ว่าจะคิดทำสิ่งใดต้องทำด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยใช้สติปัญญาพิจารณาถึงเหตุผลและประโยชน์ของชาติเป็นหลักรู้จักเอาใจเขามา ใส่ใจเรา ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “….ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..”

95. “รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน” หมายความตามข้อใด

1. จิตใจเข็มแข็ง พึ่งตนเองได้

2. มีจิตสำนึกที่ดี

3. มีความเอื้ออาทร

4. นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม

ตอบ 4 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) เจ้า พระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมจริยาว่า “ให้รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน” หมายความว่า ให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนรู้จักเห็นคุณค่าของส่วนรวม จนสามารถที่จะสละเวลา ความสุขส่วนตัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญขึ้นได้

96. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติ

1. ความเจริญที่แสวงหาด้วยความเป็นธรรม

2. ความเจริญที่ได้มาโดยบังเอิญ

3. ความเจริญที่ได้ด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียน

4. ความเจริญจากการขวนขวายใฝ่หาความรู้

ตอบ 2, 3 หน้า 59 (H) พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนหนึ่งว่า “…ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียนจากผู้อื่น…”

97. ข้อเบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง

2. เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน

3. ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน

4. ย่อมเสียที่ ที่ตน ได้เกิดมา

ตอบ 1 หน้า 64 (H) คำว่า “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีใจสูง ซึ่งใจมนุษย์จะสูงได้ เพราะมีสิ่งเหล่านี้บรรจุอยู่ภายใน ได้แก่ 1. ความรู้ 2. ความสามารถ 3. คุณธรรม 4. อุดมคติ

5. อุดมการณ์ 6. ความสงบสุข

98. ชีวิตต้องเทียมด้วยความสองตัว มรรค 8 เป็นธรรมที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับข้อใด

1. ความตัวต้นเป็นตัวรู้

2. ความตัวปลายเป็นตัวแรง

3. สามารถดับทุกข์ที่เกิดได้

4. ป้องกันความทุกข์ที่ยังไม่เกิดได้

ตอบ 3 หน้า 674 – 675 , 77 – 78 (H) 81 (H) มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่

1. สัมมาทิฐิ (ความชอบ) 2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

3. สัมมาวาจา (วาจา) 4. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ)

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ)

7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ)

99. บุคคลที่ต้องการคำอธิบายคือข้อใด

1. อุคฆติตัญญู

2. วิปจิตัญญู

3. เนยยะ

4. ปทปรมะ

ตอบ 2 หน้า 78 – 79 (H) ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวถึงลักษณะของบุคคลไว้ 4 จำพวก ได้แก่

1. อุคฆติตัญญู คือ เฉียบแหลม ฉลาดมาก พอพูดขึ้นมาก็เข้าใจหมด หรือพูดคำเดียวรู้เรื่องรู้แจ้งทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย 2. วิปจิตัญญู คือบุคคลที่ต้องการคำอธิบายจึงจะรู้เรื่อง 3. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะนำไปได้ มีปัญหาทึบ แต่พอจะฝึกฝนกันได้ด้วยความยากลำบาก 4. ปทปรมะ คือ บุคคลที่มีความถ่วงอย่างยิ่ง ทั้งโง่และดื้อ จนเหลือที่ใครจะนำได้

100. ค่านิยมมีความหมายที่ตรงข้ามกับข้อใด

1. อุดมคติ

2. อุดมการณ์

3. คุณธรรม

4. ความรู้ ความสามารถ

ตอบ 4 หน้า 71 (H) (คำบรรยาย) ค่านิยม (Values) จะมีความหมายสอดคล้องกับคำว่าอุดมคติ อุดมการณ์ และคุณธรรม ซึ่งหมายถึง ความ สามารถของบุคคลที่จะแยกแยะว่าอะไรคือสาระและสาระของชีวิต จึงเป็นคุณภาพจิตฝ่ายดีที่จะแยกแยะสิ่งดี – ไม่ดี เพื่อให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นบุคคลที่ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อความได้เปรียบ หรือฉกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมโดยรวม

101. มนุษย์ควรได้รับการพัฒนาที่ดีที่สุดตามข้อใด

1. การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล

2. การพัฒนามนุษย์ให้มีสมาธิ

3. การพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา

4. การพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม

ตอบ 4 หน้า 80 (H) การฝึกฝนและพัฒนามนุษย์นั้น ทางพุทธศาสนาจัดวางเป็นหลักที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” คือ การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งหากพัฒนาครบทั้ง 3 ด้าน ก็จะทำให้บุคคลพัฒนาการอย่างมีบูรณาการ และถือเป็นการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพและดีที่สุด

102. การฝึกวินัยคือสิกขาตามข้อใด

1. ศีลสิกขา – วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ

2. จิตตสิกขา – เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ

3. ปัญญาสิกขา – ความเห็นชอบ ดำริชอบ

4. ไตรสิกขา – หลักสำคัญของการพัฒนามนุษย์

ตอบ 1 หน้า 675 , 80 – 81 (H) การปฏิบัติตามมรรคที่มีองค์ 8 สามารถย่อลงได้ในไตรสิกขาดังนี้

1. ศีล (ศีลสิกขา) คือ การฝึกฝนในด้านพฤติกรรม หรือการฝึกวินัย ได้แก่ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) และสัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) 2. สมาธิ (จิตตสิกขา) คือ การฝึกในด้านจิต หรือระดับจิตใจ ได้แก่ สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) 3. ปัญญา (ปัญญาสิกขา) คือ การฝึกหรือพัฒนาในด้านการรู้ความจริง ได้แก่ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

103. แปลความคิดเป็นการกระทำ หมายความตามข้อใด

1. ชำนาญในการใช้ภาษา

2. ประพฤติดี รสนิยมดี

3. มีวิจารณญาณใฝ่รู้

4. นำความคิดมาปฏิบัติได้

ตอบ 4 หน้า 83 (H) ผู้ที่สามารถนำความคิดของตนมาสู่การปฏิบัติได้ คือ ผู้ที่สามารถแปลความคิดเป็นการกระทำ เพราะเป็นผู้มีความคิดแน่ชัดเป็นของตนเอง และเป็นความคิดที่ประกอบด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่เป็นความคิดที่ไปคัดลอกหรือเลียนแบบมา โดยขาดพิจารณาหรือความเข้าใจอย่างถูกต้อง

104. ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดในข้อใดสำคัญที่สุด

1. EQ – ความฉลาดด้านการจัดการอารมณ์

2. AQ – ความฉลาดรู้สู้ปัญญา

3. GQ – ความลาดรู้เท่าทันโลก

4. HQ – ความฉลาดรักษาสุขภาพของตน

ตอบ 3 หน้า 83 – 85 (H) (คำบรรยาย) ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดที่สำคัญที่สุดได้แก่ ความ ฉลาดรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี วิทยากร และสรรพสิ่งทั้งหลายไม่วิ่งตามกระแสสังคมโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาแยกแยะสิ่งถูก – ผิด นอกจากนี้ยังต้องรู้จักบูรณาการความคิดระดับโลกมาปฏิบัติในระดับท้องถิ่นได้ (Global and Local Integration)

105. สติเป็นเครื่องช่วยบรรลุตามข้อใดที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด

1. มองตนออก

2. บอกตนได้

3. ใช้ตนเป็น

4. เห็นตนชัด

ตอบ 4 หน้า 55 (H) 88 (H) (คำบรรยาย) การฝึกพัฒนาตนเองไห้มีสติ คือ ความรู้จักตนเองโดยสติจะเป็นเครื่องช่วยให้บุคคลมองตนออก (รู้จักตัวตนของตนเองว่าเป็นใคร) บอก ตนได้ (บอกตนได้ว่ามีหน้าที่อะไรและต้องทำอะไร) ใช้ตนเป็น (ใช้ความรู้ความสามารถของตนไปในทางที่ถูก) และที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งถือเป็นจุดประสงค์ของการเรียนความรู้คู่คุณธรรมก็คือเห็นตนชัด (ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เตือนตนได้ว่าสิ่งใดดี – ไม่ดี)

106. ทานัง หมายความตามข้อใด

1. พึงชนะความโกธร ด้วยความไม่โกธรตอบ

2. ชนะความเลว ด้วยความดี

3. ชนะความตระหนี่ ด้วยการให้

4. ชนะคนพูดพล่อย ๆ ด้วยคำพูดจริง

ตอบ 3 หน้า 88 (H), 96-98 (H) ,108-109 (H) หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย

1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา

2. สีลัง (ศีล) คือ รักษาความสุจริต

3. ปะริจจาคัง (บริจาค) คือ บำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ

4. อาชชะวัง (ความซื่อตรง) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง

5. มัททะวัง (ความอ่อนโยน) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม

6. ตะปัง (ความพากเพียร) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส

7. อักโกธัง (ไม่โกรธ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา

8. อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) คือ มีอหิงสานำร่มเย็น

9. ขันติ (อดทน) คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ

10. อวิโรธนัง (อวิโรธนํ – ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่ผิดไปจากคำสอน) คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

107. นักศึกษาพึงปฏิบัติต่อบิดามารดาตามข้อใด

1. ขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระ

2. รักษาสมบัติส่วนร่วม

3. อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

4. ไม่นิ่งดูดายในสาธารณะประโยชน์

ตอบ 1 หน้า 260 , 92 (H) นักศึกษาพึงปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบต่อบิดามารดาและครอบครัวดังนี้

1. เคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบิดามารดา

2. ขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระของบิดามารดาตามควรแก่โอกาส

3. ไม่นำความเดือนร้อนมาให้ครอบครัว 4. รักษาและเชิดชูชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

108. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายความตามข้อใด

1. คิด พูด ทำด้วยความเมตตา

2. มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน

3. ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

4. ประสานงานประสานประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 159 , 93 (H) (คำบรรยาย) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายถึง การแสดงน้ำใจดีต่อผู้อื่นด้วยวาจา และใจ ตลอดจนการให้เป็นวัตถุและสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ ใจแคบเห็นแก่ตัวต่างคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งการเอื้อเฟื้อที่ถูกต้องควรเป็นการอุดหนุนเจือจุนคนที่สมควรอุดหนุนโดย ไม่เป็นที่เดือนร้อนแก่ผู้อื่นและสังคม

109. การปฏิบัติตามข้อใดจะขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้

1. รู้สึกว่าเป็นประเทศของทุกคน

2. ต้องเข้าหากันแก้ปัญหา

3. ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว

4. ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ

ตอบ 2 หน้า 94 (H) วิธีปฏิบัติที่ช่วยขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้ดีที่สุด คือ ทุกคนต้องเข้าหากัน แก้ปัญหาด้วยความสันติ ดัง พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “ประเทศของเราไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมี อยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร…”

110. ปัญหาที่เป็นอุปสรรคของการพัฒนาบ้านเมืองคือข้อใด

1. เมื่อไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต

2. ทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป

3. ถ้าสุจริตขอให้ต่ออายุได้ถึง 100 ปี

4. ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตราย เพราะว่าผู้ที่ทำด้วยความตั้งใจในธรรม

ตอบ 1 หน้า 94 (H) ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาบ้านเมือง คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นดังพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอน หนึ่งว่า “ทำอย่างไรจึงจะปราบทุจริตได้ถ้ามีทุจริตแล้วบ้านเมืองพัง ที่เมืองไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต..เพราะว่าผู้ว่าฯ ซีอีโอต้องเป็นคนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้…”

111. ผู้บริหารหรือนักการเมืองพึงมีสำนึกในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานอย่างผู้รู้จริง มีผลงานประจักษ์

2. อดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมมะความถูกต้อง

3. อ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่าย ประหยัด

4. มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก

ตอบ 4 หน้า 94 (H) (คำบรรยาย) คุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดของผู้บริหารหรือนักการเมืองที่ดี คือ มีความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจ และเหนือสิ่งอื่นใดควรมีสำนึกที่มุ่งประโยชน์ของส่วนใหญ่เป็นหลักหรือเพื่อ ส่วนรวม มิใช่เพื่อตนเองหรือเพื่อคนส่วนน้อย โดยควรคิดถึงประโยชน์ของประเทศและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

112. ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วยสามัคคี หมายความตามข้อใด

1. ความน่าเชื่อถือมีกฎเกณฑ์

2. ความโปร่งใส

3. การมีส่วนร่วม

4. ความสามารถคาดการณ์ได้

ตอบ 3 หน้า 95 (H) (คำบรรยาย) ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วนสามัคคี หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมืองจะสำเร็จได้หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งตรงกับหลักสำคัญของ ธรรมาภิบาล (Good Governance) ประการหนึ่ง คือ การมีส่วนร่วม (Participation) ของ ประชาชน เช่น การมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

113. ผู้นำต้องยึดหลักข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ค่านิยม ซื่อสัตย์ โปร่งใส

2. กฎหมาย เป็นธรรม

3. ประสิทธิภาพ

4. ความจริงใจ

ตอบ 1 หน้า 95 – 96 (H) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แนะว่า การ ใช้จริยธรรมและคุณธรรมในการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้นำจะต้องสำนึกที่จะนำสิ่งที่ดีไปใช้และขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป โดยต้องยึดหลักมาตรฐานจริยธรรมที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และค่านิยม นอกจากนี้ยังต้องยึดหลักกฎหมาย ความมั่นคงของรัฐ ความเป็นธรรม และประสิทธิภาพในการในการบริหารงาน

114. ความซื่อตรง หมายความตามข้อใด

1. ทานัง

2. สีลัง

3. ปะริจจาคัง

4. อาชชะวัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

115. ข้อใดเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาอิสลาม

1. จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

2. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ

3. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

4. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า

ตอบ 2 หน้า 681 – 684 , 101 (H) มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามธรรมนูญชีวิตของศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่ามุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1. การกล่าวคำปฏิญาณตน 2. การทำละหมาด (นมัสการ) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศชาอุดิอาระเบีย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาคริสต์)

116. การเสียสละ เป็นฆราวาสธรรมตามข้อใด

1. สัจจะ

2. ทมะ

3. ขันติ

4. จาคะ

ตอบ 4 หน้า 104 (H) (คำบรรยาย) ฆราวาสธรรม 4 ประกอบด้วย

1. สัจจะ คือ ความจริง ความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมาทั่งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อวิชาชี 2. ทมะ คือ การฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ 3. ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น 4. จาคะ คือ การเสียสละแบ่งปัน

117. นักศึกษาจะมีส่วนร่วมสำคัญในการธำรงสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยคุณธรรมข้อใด

1. ความมีไหวพริบ

2. ความจงรักภักดี

3. ความรู้จักนิสัยคน

4. ความรู้จักผ่อนผัน

ตอบ 2 หน้า 116 (H) ความจงรักภักดี แปลว่า การยอมเสียสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน คือ ถึง แม้ว่าตนจะต้องได้รับความเดือนร้อนรำคาญ ตกระกำลำบาก หรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด ก็ยอมได้ทั้งสิ้นเพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

118. มิตรแท้พึงปฏิบัติตามข้อใด

1. อย่าใฝ่ตนให้เกิน

2. ที่ผิดช่วยเตือนตอบ

3. อย่าคะนึงถึงโทษท่าน

4. เมื่อพาทีพึงตอบ

ตอบ 2 หน้า 662 – 663 , 166 (H) 121 (H) รู้ถึงมิตรแท้ หรือมิตรด้วยใจจริงประการหนึ่ง คือ มิตรแนะนำประโยชน์ ซึ่งมีลักษณะ 4 ประการ ได้แก่ 1. จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปรามไว้ดังที่สุภาษิตพระร่วงได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “…ที่ผิดช่วยเตือนตอบ” 2. แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี 3. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง 4. บอกทางสุขทางสวรรค์ให้

119. ร่างกายที่สมบูรณ์ ความมีสติปัญญา เป็นหลักความรุ่งเรืองตามข้อใด

1. เลือกหาถิ่นที่เหมาะสม

2. เลือกคบคนดี

3. ตั้งตนไว้ถูก

4. เตรียมทุนที่ดี

ตอบ 4 หน้า 125 (H) หลักแห่งความเจริญรุ่งเรืองมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. เลือกหาถิ่นที่เหมาะ คือ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี 2. เลือกคบคนดี คือ รู้จักเลือกคบหาบุคคลผู้รู้ ผู้ทรงคุณที่จะเกื้อกูลความเจริญก้าวหน้างอกงาม 3. ตั้งตนไว้ถูก คือ รู้จักตั้งเป้าหมายชีวิตและการงานให้ดีงามปฏิบัติไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง 4. เตรียมทุนที่ดี คือ ความมีสติปัญญาร่างกายสมบูรณ์ รู้จักรักษาสุขภาพตนแก้ไขปรับปรุงตนด้วยการศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนความชำนาญ

120. ปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคตจากภาวะโลกร้อนคือข้อใด

1. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

2. พายุ อุทกภัย ภัยแล้งรุนแรงขึ้น

3. ผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ผู้คน

4. ปัญหาต่อแหล่งทรัพยากร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผล กระทบภาวะโลกร้อน นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเกิดการละลายของน้ำแข็ง ทั่วโลก ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น สภาวะอากาศแปรปรวน เกิดพายุ อุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงแล้ว ก็ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคต หากมนุษย์ยังไม่หยุดเพิ่มความร้อนให้กับโลกและปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างที่เป็นอยู่ คือ อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดระดับที่ผู้คนและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะอยู่รอดได้ (ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ)

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมกราขายอูฐของตนให้นายกุมภาตัวหนึ่งในราคา 50,000 บาท นายกุมภาตกลงซื้ออูฐตัวดังกล่าวตามราคาที่นายมกราเสนอขาย แต่ทั้งคู่ได้ตกลงกันว่านายมกราจะยังไม่โอนสิทธิในความเป็นเจ้าของอูฐให้นายกุมภาจนกว่านายกุมภาจะผ่อนชำระราคาให้นายมกราเดือนละ10,000 บาท ครบถ้วน ให้ท่านวินิจฉัยว่า กรรมสิทธิ์ในอูฐที่ขาย โอนไปยังนายกุมภาตั้งแต่ขณะเข้าทำสัญญาซื้อขายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 458 “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน”

มาตรา 459 “ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไป จนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือถึงกำหนดเงื่อนเวลานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์นั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อนับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อกัน (มาตรา 458) โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือมีการชำระราคากันแล้วหรือยัง เว้นแต่ถ้าในสัญญาซื้อขายนั้นมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ ดังนี้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปยังผู้ซื้อก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้นั้นสำเร็จแล้วหรือได้ถึงกำหนดเวลานั้นแล้ว (มาตรา 459)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมกราได้ตกลงขายอูฐของตนให้แก่นายกุมภาในราคา 50,000 บาท โดยทั้งคู่ได้ตกลงกันว่านายมกราจะยังไม่โอนสิทธิในความเป็นเจ้าของอูฐให้นายกุมภาจนกว่านายกุมภาจะผ่อนชำระราคาให้นายมกราเดือนละ 10,000 บาท ครบถ้วนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขบังคับไว้ ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันคืออูฐจึงยังไม่โอนไปยังนายกุมภาผู้ซื้อในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกัน แต่จะโอนไปก็ต่อเมื่อนายกุมภาได้ชำระราคาอูฐครบถ้วนแล้วตามมาตรา 458 ประกอบมาตรา 459

สรุป

กรรมสิทธิ์ในอูฐที่ขายยังไม่โอนไปยังนายกุมภาตั้งแต่ขณะเข้าทำสัญญาซื้อขายกัน

 

 

ข้อ 2. นายเอกซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายโทคันหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับมอบรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว นายเอกได้นำรถยนต์ออกวางขายที่เต้นที่ขายรถยนต์ของตน ครั้นเมื่อนายตรีได้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมาจากเต้นที่ขายรถยนต์ของนายเอกแล้ว นายตรีได้นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพที่อู่รถของนายจัตวาจึงทราบว่ารถมีสภาพเครื่องยนต์ชำรุด ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายตรีจะฟ้องคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้หรือไม่ และนายเอกจะฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพรองของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตรีซื้อรถยนต์มาจากเต้นที่ขายรถยนต์ของนายเอกและปรากฏว่ารถมีสภาพเครื่องยนต์ชำรุดนั้น ถือว่ามีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายตรีซื้อมา อันเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันจะมุ่งใช้เป็นปกติ นายเอกผู้ขายจึงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น

ตามมาตรา 472 วรรคแรก แม้ว่านายเอกผู้ขายจะไม่รู้ถึงความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก็ตามตามมาตรา 472 วรรคสอง

ดังนั้น นายตรีสามารถฟ้องเป็นคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้ และถึงแม้นายเอกจะต้องรับผิดต่อนายตรีเพื่อความชำรุดบกพร่องดังกล่าวแต่นายเอกก็ไม่อาจฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นนั้นได้ เพราะรถยนต์ที่นายเอกซื้อมาจากนายโทนั้น เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3)

สรุป

นายตรีจะฟ้องคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้ แต่นายเอกจะฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

 

ข้อ3. นายสันขายฝากกล้องถ่ายภาพกล้องหนึ่งของนายสันไว้กับนายสีในราคา 200,000 บาท แต่รับเงินจริงเพียง 100,000 บาท ไม่ได้กำหนดค่าสินไถ่ กำหนดเวลาไถ่คืนภายในหกเดือน ขายฝากไปได้สองเดือนนายสีได้ขายกล้องตัวนั้นต่อให้นายแสง โดยนายแสงทราบว่ากล้องตัวนั้นเป็นของนายสันที่ขายฝากไว้กับนายสี เมื่อนายแสงรับซื้อกล้องตัวนั้นมาได้หกเดือน นายสันจึงได้นำเงิน 200,000 บาท มาไถ่กล้องนั้นคืนจากนายแสง ให้ท่านอธิบายว่า นายแสงจะปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้นคือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 497 “สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้ คือ

(1)  ผู้ขายเดิม หรือทายาทของผู้ขายเดิม หรือ…”

มาตรา 498 “สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ

(2)  ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันได้ขายฝากกล้องถ่ายภาพกล้องหนึ่งซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ไว้กับนายสีและกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน 6 เดือนนั้น ถือว่ากำหนดเวลาไถ่ไม่เกินไปกว่ากำหนดเวลาตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ตามมาตรา 494 (2) ดังนั้น เวลาจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินจึงต้องไถ่ภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา คือภายในกำหนด 6 เดือน

การที่นายสันได้ขายฝากทรัพย์สินดังกล่าวไว้กับนายสีในราคา 200,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงเพียง 100,000 บาท และในสัญญาไม่ได้กำหนดค่าสินไถ่ไว้นั้น กรณีนี้ถือว่าราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น เมื่อมีการไถ่ก็ให้ใช้สินไถ่ตามราคาขายฝากที่แท้จริง คือ 100,000 บาท รวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปิตามมาตรา 499 วรรคสอง

และตามข้อเท็จจริง เมื่อมีการขายฝากได้ 2 เดือน นายสีได้ขายกล้องตัวนั้นต่อให้นายแสงโดยที่นายแสงได้ทราบว่ากล้องตัวนั้นเป็นของนายสันที่ขายฝากไว้กับนายสี ดังนั้น เมื่อนายสันซึ่งเป็นผู้ขายเดิมจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้น ย่อมสามารถใช้สิทธินั้นได้กับนายแสงซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินนั้นเพราะนายแสงได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืนตามมาตรา 497 (1) และมาตรา 498 (2)

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสันได้ใช้สิทธิมาขอไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนจากนายแสง นายสันได้มาขอไถ่คืนหลังจากนายแสงได้ซื้อกล้องตัวนั้นมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งเลยกำหนดเวลาไถ่ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแล้ว

ดังนั้นนายแสงย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้

สรุป

นายแสงสามารถปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้ เพราะเลยกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาแล้ว

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งนำบ้านและที่ดินไปเสนอขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท นายสองก็อยากได้แต่ไม่มีเงินสดครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งและนายสองจึงตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชำระราคาได้เป็นเวลา 10 เดือน เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบนายหนึ่งก็จะไปทำการโอนให้แก่นายสอง เมื่อเวลาผ่านไป 5 เดือน นายสามเห็นบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวอยากได้เมื่อรู้ว่านายหนึ่งเป็นเจ้าของจึงเสนอซื้อราคา 2 ล้านบาท โดยไม่ทราบเลยว่านายหนึ่งทำสัญญาขายให้แก่นายสองไปแล้วในราคา 1 ล้าน และมีการชำระราคามาได้ 5 เดือนแล้ว นายหนึ่งและนายสามไปทำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินโดยทำเป็นหนังสือจดทะเบียนชำระราคาส่งมอบทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย

1)      สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2)      นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขายที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 455

ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

  1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ
  2. มีการวางประจำ (มัดจำ) ไว้ หรือ
  3. มีการชำระหนี้บางส่วน

1)      สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญาซื้อขายประเภทใดมีผลในทางกฎหมายอย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งนำบ้านและที่ดินไปเสนอขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งและนายสองตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชำระได้เป็นเวลา 10 เดือน เดือนละ 1 แสนบาทเมื่อครบนายหนึ่งก็จะไปทำการโอนให้แก่นายสองนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันเมื่อได้ไปกระทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกันด้วยวาจา เพราะในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อฺขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

  1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสามได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทำตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคแรก

2)      นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายหนึ่ง

ซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกลาวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการชำระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชำระราคามาได้ 5 เดือน เป็นเงิน 5 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญาได้นำบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายสาม นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

สรุป

1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเช่นกัน

2) นายสองสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

 

 

ข้อ 2. ห้าเป็นพ่อค้าขายสินค้าประเภทรองเท้าใช้แล้วจากตลาดโรงเกลือ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงทุกคู่ 50 บาท แต่ถ้าซื้อ 3 คู่คิดเพียง 100 บาท หกเลือกซื้อสินค้าไปได้ 3 คู่ ปรากฏว่าเมื่อถึงบ้านเช็ดทำความสะอาด ปรากฏสีลอก ตะเข็บหลุด หกจะฟ้องห้าว่ารองเท้าชำรุดบกพร่องได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)     ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2)     ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3)     ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หกซื้อรองฟ้า 3 คู่ จากร้านของห้า และเมื่อถึงบ้านหกเช็ดทำความสะอาดรองเท้า ปรากฏว่าสีลอก ตะเข็บหลุดนั้น ย่อมถือว่ารองเท้าที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลัก ห้าผู้ขายจะต้องรับผิดต่อหกผู้ซื้อตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ห้าเป็นพ่อค้าขายสินค้าประเภทรองเท้าใช้แล้วจากตลาดโรงเกลือ หกในฐานะวิญญูชนย่อมทราบดีว่าเป็นของใช้แล้ว และหกก็เลือกด้วยตนเอง ราคาคู่ละ 50 บาท 3 คู่ ตกคู่ละไม่ถึง 50 บาท ย่อมมีโอกาสชำรุดได้อย่างมาก จึงเป็นกรณีที่หกผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน จึงเข้าข้อยกเว้นที่ห้าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473 (1) ดังนั้น หกจึงไม่สามารถฟ้องห้าให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

สรุป

หกจะฟ้องห้าว่ารองเท้าชำรุดบกพร่องไม่ได้

 

 

ข้อ 3. เจ็ดนำบ้านและที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท ไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากแปดไว้ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายในเวลา 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์ 15 เปอร์เซ็นต์ หลังจากรับซื้อฝากไว้แล้ว บ้านดังกล่าวปลูกสร้างที่จังหวัดเชียงรายในเขตเกิดแผ่นดินไหว เกิดถล่มทลายทั้งหลัง เหลือแต่เพียงที่ดินเท่านั้น เมื่อเจ็ดมาใช้สิทธิไถ่ดิน

1)      เจ็ดจะไม่ไถ่คืนได้หรือไม่

2)      ถ้าไถ่คืนจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1)      ตามกฎหมาย สัญญาขายฝากนั้น คือ สัญญาซื้อขายอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อทำสัญญากันแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่า ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ ซึ่งสิทธิในการไถ่นี้ เป็นสิทธิหรืออำนาจของผู้ขายหรือเจ้าของเดิมที่จะใช้สิทธิในการไถ่คืนหรือไม่ก็ได้ (มาตรา 491)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ็ดนำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับแปด โดยมีกำหนดไถ่คืนภายในเวลา 1 ปีนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่แปดรับซื้อฝากบ้านและที่ดินไว้แล้ว บ้านดังกล่าวซึ่งปลูกสร้างที่จังหวัดเชียงรายในเขตเกิดแผ่นดินไหว เกิดถล่มทลายทั้งหลัง เหลือแต่เพียงที่ดินเท่านั้น ดังนี้ เมื่อสิทธิในการไถ่เป็นสิทธิหรืออำนาจของเจ็ดเจ้าของเดิม เจ็ดย่อมที่จะเลือกไม่ไถ่บ้านและที่ดินคืนได้ตามมาตรา 491

2) ตามบทบัญญัติมาตรา 501 ได้กำหนดหน้าที่ของผู้ซื้อฝากเอาไว้ว่า ผู้ซื้อฝากจะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝากก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บ้านที่ขายฝากได้เกิดถล่มทลายลงทั้งหลังนั้น เป็นเพราะบ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นเขตแผ่นดินไหว หาได้เกิดจากความผิดของแปดผู้ซื้อฝากแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นโดยจะโทษแปดผู้มีหน้าที่รับไถ่มิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของแปดแต่เกิดจากภัยธรรมชาติและเป็นเหตุพ้นวิสัย ดังนั้น ถ้าเจ็ดจะไถ่บ้านและที่ดินคืน เจ็ดจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดตามมาตรา 501 ไม่ได้

สรุป

1) เจ็ดจะไม่ไถ่บ้านและที่ดินคืนได้

2) ถ้าเจ็ดจะไถ่บ้านและที่ดินคืน เจ็ดจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 นางสาวส้มโอทำสัญญาซื้อขายล่อกับนางสาวส้มเช้ง โดยสัญญาซื้อขายระบุว่า “นางสาวส้มโอตกลงขายล่อซึ่งมีตั๋วรูปพรรณให้แก่นางสาวส้มเช้งในราคา 30,000 บาท โดยในวันทำสัญญานางสาวส้มโอได้รับเงินไว้จำนวน 10.000 บาท และเมื่อนางสาวส้มเช้งชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโออีก 20,000 บาท นางสาวส้มโอจะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้ง” ครั้นเมื่อถึงวันที่ 12 มีนาคม 2557 นางสาวส้มเช้งได้ชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโอครบถ้วนแล้ว แต่นางสาวส้มโอกลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้ง โดยอ้างว่าสัญญาซื้อขายล่อไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้

ให้วินิจฉัยว่านางสาวส้มเช้งสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อให้แก่ตนได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย ”

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้วก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวส้มโอตกลงขายล่อซึ่งมีตั๋วรูปพรรณให้แก่นางสาวส้มเช้งในราคา 30,000 บาท โดยในวันทำสัญญาซื้อขายกันนั้น นางสาวส้มโอได้รับเงินไว้จำนวน 10,000 บาท และเมื่อนางสาวส้มเช้งชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโออีก 20,000 บาท นางสาวส้มโอจะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้งนั้น ถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ในล่อซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขายกัน แต่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหน้า ดังนั้นสัญญาซื้อขายล่อระหวางนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้ง จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรา 456 วรรคสอง

และเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้ง เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่อย่างใด สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

และเมื่อสัญญาจะซื้อจะขายล่อระหว่างนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้งได้มีการทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายกัน

ดังนั้นเมื่อนางสาวส้มเช้งได้ชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโอครบถ้วนแล้ว แต่นางสาวส้มโอปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนล่อให้แก่นางสาวส้มเช้ง นางสาวส้มเช้งจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อ

ให้แก่ตนได้ เพราะสัญญาจะซื้อจะขายล่อดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามมาตรา 456 วรรคสองคือมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อนางสาวส้มโอฝ่ายที่ต้องรับผิดนั้นเอง

สรุป

นางสาวส้มเช้งสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. จันทร์ซื้อรถยนต์ 1 คันจากอังคารในราคา 1 แสนบาท มีการชำระราคาส่งมอบเรียบร้อย หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน มีดำพาตำรวจมาขอรถยนต์คืนโดยอ้างว่าเป็นรถของตนที่ถูกขโมยมา จันทร์ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ เชื่อว่าเป็นรถของดำจริง จึงคืนรถให้แก่ดำไป

  1. จันทร์จะฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่
  2. ภายในกำหนดอายุความเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

การรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ พิจารณาได้ดังนี้

  1. จันทร์จะฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่นั้น เห็นว่า การที่ดำพาตำรวจมาติดตามเอารถยนต์ของตนคืนจากจันทร์นั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทำให้ผู้ซื้อคือจันทร์ไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้น จันทร์จึงสามารถฟ้องอังคารว่าตนถูกรอบสิทธิได้
  2. เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จันทร์ได้ยอมคืนรถยนต์ไห้แก่ดำไป จึงถือเป็นกรณีที่ผู้ซื้อซึ่งถูกรอนสิทธิได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ดังนั้นจันทร์จึงต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

สรุป

  1. จันทร์สามารถฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้
  2. จันทร์จะต้องฟ้องภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่ได้คืนรถยนต์ให้แก่ดำ

 

ข้อ 3 นายไก่นำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังลือและจดทะเบียนขายฝากนายไข่ไว้ มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาท และกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท เมื่อเวลาฝานไป 11 เดือน นายไก่ไปขอไถ่บ้านคืนพร้อมเงิน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาท นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่ถึงกำหนดเวลา และสินไถ่ไม่ครบคำปฏิเสธของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย ”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่นำบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไก่ได้ไปขอไถ่ทรัพย์คืนพร้อมเงิน 1,150,000 บาท ดังนี้นายไข่จะปฏิเสธไม่ได้ เพราะเหตุว่านายไก่ได้ขอใช้สิทธิในการไถ่ก่อนครบ 1 ปี และภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

(มาตรา 494 (1)) และในส่วนเงินสินไถ่นั้นตามมาตรา 499 วรรคสอง ได้กำหนดไว้ว่า ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบหาต่อปีให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ดังนั้น เมื่อมีการกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี การที่นายไก่นำเงิน 1,150,000 บาท มาเป็นสินไถ่จึงเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้องแล้ว กล่าวคือ ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี เท่ากับ 1,150,000 บาท(มาตรา 499 วรรคสอง) ดังนั้น คำปฏิเสธของนายไข่ที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลา และสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

คำปฏิเสธของนายไข่รับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1. วันที่ 1 ตุลาคม 2556 นางส้มเช้งทำหนังสือสัญญาซื้อขายกระบือซึ่งมีตั๋วรูปพรรณจากนางแตงโมในราคา 50,000 บาท และเกวียนในราคา 50,000 บาท โดยในวันทำสัญญานางแตงโมได้มอบกระบือและเกวียนให้แก่นางส้มเช้ง ส่วนนางส้มเช้งก็ได้ชำระเงินจำนวน 60,000 บาท ให้แก่นางแตงโมแล้วแต่เงินส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2556 ครั้นเมื่อถึงกำหนดวันดังกล่าว นางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโมได้ ดังนี้หากนางแตงโมมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำปรึกษาเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคแรก หรือเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือมีการวางประจำ (มัดจำ)ไว้ หรือได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. สัญญาซื้อขายกระบือ เมื่อกระบือมีตั๋วรูปพรรณจึงถือว่าเป็นสัตว์พาหนะ และเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการทำสัญญาซื้อขายกระบือระหว่างนางส้มเช้งกับนางแตงโมนั้น ทั้งสองมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนเพื่อโอนกรรมสิทธิ์กันแต่อย่างใด สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษมาตรา 456 วรรคแรก ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

เมื่อสัญญาซื้อขายกระบือระหว่างนางส้มเช้งกับนางแตงโมได้ทำเป็นหนังสือสัญญากันแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายกระบือจึงตกเป็นโมฆะ ดังนั้นเมื่อนางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโม นางแตงโมจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

  1. สัญญาซื้อขายเกวียน เมื่อเกวียนเป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ธรรมดามิใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สัญญาซื้อขายเกวียนจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้น ไม่ต้องกระทำตามแบบตามที่มาตรา 456 วรรคแรกได้กำหนดไว้ กล่าวคือ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์

และเมื่อสัญญาซื้อขายเกวียนซึ่งตกลงราคากัน 50,000 บาท เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคา 20,000 บาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ได้มีหสักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนางส้มเช้ง และได้มีการชำระหนี้บางส่วน โดยนางส้มเช้งได้ชำระราคาเกวียนให้แก่นางแตงโมแล้วจำนวนหนึ่งและนางแตงโมได้ส่งมอบเกวียนให้แก่นางส้มเช้งแล้ว ดังนั้น เมื่อนางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโม นางแตงโมย่อมสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ เพราะมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามมาตรา 456 วรรคสามประกอบวรรคสอง

สรุป

หากนางแตงโมมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางแตงโมตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 นายจันทร์ขโมยรถยนต์ของนายอาทิตย์มาขายให้นายอังคาร นายอังคารซื้อโดยสุจริต ปรากฏว่านายอังคารถูกศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้นายแดงเป็นเงิน 3 แสนบาท นายอังคารไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ในชั้นบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันนี้ไปจากนายอังคารและขายทอดตลาด นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อได้ ต่อมานายพุธมารู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้เป็นของนายอาทิตย์ที่ถูกขโมยมาและไม่อยากได้ไว้ นายพุธขายรถยนต์คันนี้ให้นายพฤหัส นายพฤหัสซื้อโดยสุจริต หลังจากนั้นอีก 5 วัน นายอาทิตย์มาพบรถยนต์คันนี้อยู่กับนายพฤหัสและขอให้นายพฤหัสคืนให้ตน โดยนายอาทิตย์แสดงทะเบียนรถยนต์ว่าเป็นรถยนต์ของตนพร้อมกับใบแจ้งความที่เจ้าพนักงานตำรวจออกให้ นายพฤหัสเห็นเอกสารและหลักฐานก็ยอมคืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์

อีก 5 เดือนต่อมา นายพฤหัสมาเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิ นายพุธมาถามท่านว่า นายพุธจะต้องรับผิดในการที่นายพฤหัสคืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์หรือไม่ ท่านจะให้คำตอบแก่นายพุธอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 479 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการรอนสิทธิก็ดี หรือว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่การที่จะใช้ หรือเสื่อมความสะดวกในการใช้สอย หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้นและซึ่งผู้ซื้อหาได้รู้ในเวลาซื้อขายไม่ก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด”

มาตรา 482 “ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดังกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง…”

มาตรา 1330 “สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อรถยนต์มาได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยสุจริตเพราะไม่รู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้เป็นของนายอาทิตย์ที่ถูกขโมยมา นายพุธย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1330 แม้รถยนต์คันนี้จะไม่ใช่ของนายอังคารลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ตาม นายพุธก็ไม่เสียสิทธิในรถยนต์คันนี้ และจะมีสิทธิดีกว่านายอาทิตย์ และเมื่อนายพุธขายต่อให้นายพฤหัส นายพฤหัสก็มีสิทธิในรถยนต์คันนี้เช่นเดียวกับนายพุธ

เมื่อต่อมานายอาทิตย์ได้เรียกให้นายพฤหัสคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่ตน ซึ่งนายพฤหัสก็ยอมคืนให้แก่นายอาทิตย์ ทำให้รถยนต์คันนี้หลุดไปจากการครอบครองของนายพฤหัส ซึ่งโดยหลักแล้วนายพฤหัสก็ชอบที่จะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิได้ตามมาตรา 475 ประกอบมาตรา 479

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายพฤหัสได้คืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์ไปโดยไม่มีการฟ้องคดีนั้นนายพุธย่อมพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของนายพฤหัสได้สูญไปเพราะความผิดของนายพฤหัสเองตามมาตรา 482(1) ดังนั้นนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้

สรุป

นายพุธไม่ต้องรับผิดในการที่นายพฤหัสคืนรถยนต์คันนี้ไห้นายอาทิตย์

 

ข้อ 3 แดงขายกำไลทองวงหนึ่งให้ดำในราคา 200,000 บาท และในการตกลงซื้อขายครั้งนั้นดำยังให้แดงมีโอกาสซื้อกำไลทองวงนั้นคืนได้ในราคาที่ขายให้ตนแต่ไม่ได้กำหนดเวลาซื้อคืน ขายไปได้สามปีกับสองเดือน แดงไม่มีเงินมาซื้อกำไลทองวงนั้นคืน แดงจึงได้เขียนจดหมายมายังดำว่าตนขอขยายกำหนดเวลาซื้อกำไลวงนั้นคืนออกไปอีกหนึ่งปี ดำได้เขียนจดหมายตอบแดงว่าดำตกลงยินดีที่จะให้แดงขยายกำหนดเวลาซื้อคืนออกไปอีกหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่แดงได้รับจดหมายฉบับนี้ในราคาที่ดำซื้อมา หลังจากแดงได้รับจดหมายจากดำเก้าเดือน แดงได้นำเงิน 200,000 บาท มาขอซื้อกำไลวงนั้นกลับคืน ดำจะไม่ยอมขายกำไลวงนั้นคืนแดงให้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาดรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่แดงขายกำไลทองให้ดำในราคา 200,000 บาท และในการตกลงซื้อขายกันในครั้งนั้นดำยังให้แดงมีโอกาสซื้อกำไลทองวงนั้นคืนได้ในราคาที่ขายให้ตน ดังนี้ถือว่าสัญญาระหว่างแดงและดำเป็นสัญญาขายฝากตามมาตรา 491 และเมื่อในสัญญานั้นไม่ได้กำหนดเวลาในการซื้อคืนไว้ กำหนดเวลาในการไถ่จึงต้องใช้กำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ไนมาตรา 494(2) กล่าวคือ แดงจะต้องไถ่กำไลทองวงนั้นคืนภายในกำหนดเวลา 3 ปีนับแต่เวลาซื้อขาย

และเมื่อเวลาได้ผ่านไปแล้ว 3 ปี 2 เดือน แดงไม่มีเงินมาซื้อกำไลทองวงนั้นคืน แต่ได้เขียนจดหมายมายังดำว่าตนขอขยายกำหนดเวลาซื้อกำไลทองวงนั้นออกไปอีก 1 ปี ซึ่งดำก็ได้เขียนจดหมายตอบแดงว่าดำตกลงยินดีที่จะให้แดงขยายกำหนดเวลาไถ่ออกไปอีก 1 ปีนับตั้งแต่วันที่แดงได้รับจดหมาย กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการขยายกำหนดเวลาในการไถ่ แต่เป็นกรณีที่ดำได้ให้คำมั่นแก่แดงว่าจะขายคืนกำไลทองวงนั้นให้แก่แดง โดยมีกำหนดเวลา 1 ปี ดังนั้นเมื่อแดงได้นำเงิน 200,000 บาท มาขอซื้อกำไลทองวงนั้นคืนหลังจากได้รับจดหมายจากดำเพียง 9 เดือน ซึ่งยังไม่ครบ 1 ปี ดำจะไม่ยอมขายกำไลทองวงนั้นคืนให้แก่แดงไม่ได้ เพราะอยู่ในกำหนดเวลาคำมั่นที่ดำได้ให้ไว้กับแดง

สรุป

ดำจะไม่ยอมขายกำไลทองวงนั้นคืนแก่แดงไม่ได้ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การปกครองในระบบรัฐสภามีสาระสำคัญอย่างไร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ถือว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างใกล้ชิด และตามทัศนะของนักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เช่น ศาสตราจารย์โมริส โฮริอู (Maurice Hauriou) การปกครองในระบบรัฐสภาจะมีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. ประมุขของรัฐซึ่งไม่ต้องรับผิดทางการเมืองในระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย 2 องค์กร คือ ประมุขของรัฐและคณะรัฐมนตรี

ประมุขของรัฐอาจมีฐานะเป็นกษัตริย์ หรือประธานาธิบดี และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

  1. คณะรัฐมนตรีซึ่งต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทางบริหารประเทศแทนประมุข เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชางานประจำกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดต่อรัฐสภา กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือทั้งคณะ และถ้ามีมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง
  2. เพื่อให้อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติสมดุลกัน ระบบรัฐสภาได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรียุบสภานิติบัญญัติได้

สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แล้ว ไม่ถือว่าเป็นการปกครองในระบบรัฐสภา เนื่องจากตามมาตรา 265 ได้บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่และในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีอำนาจและสามารถใช้อำนาจรัฐได้ต่อไป โดยองค์กรเดียวสามารถใช้อำนาจได้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการทำให้ไม่มีการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจกันตามระบบรัฐสภา จึงมีผลให้การปกครองของประเทศไทยในปัจจุบันนั้นไม่ใช่การปกครองในระบบรัฐสภา

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญและหลักความชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญแก่ตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“รัฐธรรมนูญ” เป็นกฎหมายสูงสุดหรือกฎหมายหลักที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย และนอกจากนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดขอบเขตเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนที่พึงต้องปฏิบัติว่ามีอย่างไรบ้าง

อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองประเทศนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้กับประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ “รัฐสภา” และโดยทั่วไปแล้วรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (เว้นแต่รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง) โดยจำนวนสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนเท่าใด และมีวิธิการเลือกตั้งอย่างไรนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชนนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปก็จะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน… คน (ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติ

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ซึ่งในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการโดยองค์กรต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นเป็นการใช้อำนาจต่อประชาชนและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคน (รวมทั้งข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่งด้วย)ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น ในการได้มาซึ่งอำนาจและการใช้อำนาจดังกล่าว จึงต้องเป็นการได้มาซึ่งอำนาจ รวมทั้งเป็นการใช้อำนาจที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย โดยเฉพาะหลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือการได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ เหล่านั้น จะต้องมีการดำเนินการโดยถูกต้องตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ และในการใช้อำนาจดังกล่าว ต้องสามารถตรวจสอบได้โดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ หรือโดยหน่วยงานหรือองค์กรตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและหลักความชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน รวมทั้งข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

 

ข้อ 3. ให้อธิบายถึงแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม(Constitutionalism) และจากแนวความคิดดังกล่าวนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบไปด้วยหลักการใดบ้าง (อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจนในแต่ละหลักการ)

ธงคำตอบ

แนวความคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) เป็นแนวความคิดที่มุ่งเน้นถึงรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีเจตนารมณ์ที่สำคัญคือให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดรูปแบบการปกครองและกำหนดกลไกอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการจัดองค์กรด้านบริหารรัฐกิจ หรือการจัดองค์กรบริหารของรัฐสมัยใหม่ซึ่งเป็นการใช้รัฐธรรมนูญในลักษณะสัญญาประชาคม เพื่อจำกัดและควบคุมการใช้บังคับอำนาจรัฐของฝ่ายผู้ใช้อำนาจปกครองหรือรัฐบาล เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดแก่สังคม และเป็นการสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพให้เกิดแก่ฝ่ายผู้ใช้อำนาจปกครองหรือรัฐบาลในระบบการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นภายใต้กรอบแนวความคิดรัฐธรรมนูญนิยม จะต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อย 6 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

  1. หลักการรับรองและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และรับรองความ

เสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และหากมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้จะต้องมีการแก้ไขเยียวยา

  1. หลักการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติที่ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เช่น สร้างระบบให้มีการล้มรัฐบาลได้ยากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างมาตรการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย เช่น กำหนดมาตรการในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์

หรือถ้าจะไล่นายกรัฐมนตรีคนเก่าก็จะต้องเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพื่อให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปได้เปรียบเทียบกัน เป็นต้น

  1. หลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไว้ด้วย เช่น ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น ซึ่งหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น จะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก หลักการใช้อำนาจรัฐจะต้องขอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐจะใช้อำนาจของรัฐก้าวล่วงเข้าไปในสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจรัฐไว้รัฐจะทำมิได้

ประการที่สอง คนทุกคนที่อยู่ในรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

  1. หลักการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
  2. หลักการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐและการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการถ่วงดุลของการใช้อำนาจดังกล่าว คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการไว้อย่างชัดเจน
  3. หลักนิติรัฐ กล่าวคือ ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ ดังนั้นในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐทางด้านบริหารด้านนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้เท่านั้น

 

ข้อ 4. คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลฯ ได้มีคำสั่งแจ้งแก่นายเอกตามที่ได้อุทธรณ์ว่า “การที่สำนักงานป.ป.ช.มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทผู้ว่าการไฟฟ้าฯ ให้นายเอกทราบและเพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานเอาผิดเนื่องจากร่ำรวยผิดปกตินั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วเพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยแก่สาธารณชน หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งฯสามารถใช้สิทธิต่อศาลปกครองได้ต่อไป” ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ได้ละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ในกรณีใดหรือไม่

เพราะเหตุใด และหากนายเอกจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 213 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ” ท่านจะแนะนำนายเอกในกรณีนี้อย่างไรเพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในการตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”

มาตรา 25 “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยนอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของฺประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น”

มาตรา 41 “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ

(1) ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ ”

มาตรา 213 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ”

วินิจฉัย

กรณีอุทาหรณ์ การที่นายโทผู้ว่าการไฟฟ้าฯ ได้ยื่นข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. นั้น ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยแก่สาธารณะแต่อย่างใด และการที่นายเอกได้ขอข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทที่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. นั้นก็เพื่อรวบรวมและนำไปเป็นหลักฐานเอาผิดนายโทในทางคดีเท่านั้น นายเอกจึงไม่อาจเข้าถึงข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นได้ เพราะการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในกรณีนี้ถือเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ดังนั้น การที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลฯ ได้มีคำสั่งแจ้งแก่นายเอกตามที่ได้อุทธรณ์ว่า การที่สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น จึงไม่ได้เป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ให้การคุ้มครองไว้แต่อย่างใด (ตามมาตรา 4 มาตรา 25 และมาตรา 41) นายเอกจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยกรณีนี้ไม่ได้ เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 213 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

สรุป

ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่นายเอกว่า นายเอกจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิซา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อพิจารณาถึงสถานะของรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงสุดนั้น มีผลทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้เพราะเหตุใด และวิธีการที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการใดบ้างอธิบายมาให้เข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำหนดรูปแบบและหลักการปกครองตลอดจนวิธีการดำเนินการปกครองไว้อย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจสูงสุดในรัฐ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของประชาชนที่พึงกระทำต่อรัฐกับรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งรัฐจะใช้อำนาจล่วงละเมิดมิได้

เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ

  1. ในแง่ที่มา ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม ที่สมาชิกในสังคมทุกคนร่วมกันตกลงกันสร้างขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม รัฐธรรมนูญจึงอยู่เหนือทุกส่วนของสังคมการเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง ทุกฝ่ายจักต้องให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
  2. ในแง่เนื้อหา รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการจัดระเบียบโครงสร้างการเมืองการปกครองส่วนบนของรัฐ ผ่านทางการสร้างองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ (รัฐสภา/คณะรัฐมนตรี/ศาล) ซึ่งตัวรัฐธรรมนูญก็ได้มอบอำนาจไปให้ใช้ (อำนาจนิติบัญญัติ/อำนาจบริหาร/อำนาจตุลาการ) รวมทั้งบัญญัติรับรองถึงสิทธิเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนไว้ด้วย เพื่อจำกัดอำนาจแห่งรัฐมิให้มีมากจนเกินไป
  3. ในแง่รูปแบบ วิธีการจัดทำและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีข้อแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญถูกจัดทำขึ้นและแก้ไขได้ยากกว่ากฎหมายธรรมดาอื่นใด เพราะจำต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ และมากหลักเกณฑ์ เช่น ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เป็นต้น

ส่วนวิธีการที่จะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการใช้ปกครองประเทศ โดยเขียนขึ้นมาตามรูปแบบ หลักการ และวิธีการภายใต้กฎกติกาของระบอบการปกครองนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย จะต้องเขียนระบุลงไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อระบอบการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เป็นต้น

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) และจากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องประกอบไปด้วยหลักการสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญที่อย่างน้อยต้องประกอบด้วยหลักการอะไรบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

แนวคิดเกี่ยวกับธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) คือแนวคิดที่ต้องการสร้างรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมและสมบูรณ์แบบขึ้นมา เพื่อเป็นหลักกติกาสำคัญในการปกครอง รับรองหลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หลักที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพ หลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้หลักนิติธรรมและหลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้เสียงข้างมาก ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

จากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นอย่างน้อยจะต้องมีหลักการที่สำคัญ 6 ประการ ดังนี้คือ

  1. หลักการรับรองและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และรับรองความ

เสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และหากมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้จะต้องมีการแก้ไขเยียวยา

  1. หลักการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติที่ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เช่น สร้างระบบให้มีการล้มรัฐบาลได้ยากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างมาตรการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย เช่น กำหนดมาตรการในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์

หรือถ้าจะไล่นายกรัฐมนตรีคนเก่าก็จะต้องเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพื่อให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปได้เปรียบเทียบกัน เป็นต้น

  1. หลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไว้ด้วย เช่น ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น ซึ่งหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น จะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก หลักการใช้อำนาจรัฐจะต้องขอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐจะใช้อำนาจของรัฐก้าวล่วงเข้าไปในสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจรัฐไว้รัฐจะทำมิได้

ประการที่สอง คนทุกคนที่อยู่ในรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

  1. หลักการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
  2. หลักการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐและการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการถ่วงดุลของการใช้อำนาจดังกล่าว คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการไว้อย่างชัดเจน
  3. หลักนิติรัฐ กล่าวคือ ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ ดังนั้นในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐทางด้านบริหารด้านนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้เท่านั้น

 

ข้อ 3. นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ซึ่งสภาฯ ให้ความเห็บชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแข้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ศาลแขวงฯ เห็นว่า จากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องจึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้อง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณาและไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายและเหตุผลประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 5 วรรคหนึ่ง “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 212 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 5 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 ซึ่งคำว่า “กฎหมาย” ในที่นี้ หมายถึง กฎหมายในความหมายของรัฐธรรมนูญ คือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด (เฉพาะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว)หรือกฎหมายอื่นที่เทียบเท่า เช่น ประกาศคณะปฏิวัติ เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวซึ่งสภาฯ ให้ความเห็นชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ…” ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวนั้น เป็นเพียงกฎหรือคำสั่งที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจกฎหมายแม่บท คือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่กฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติจึงมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัย

และเมื่อข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งนั้นมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง นายเอกจึงไม่อาจโต้แย้งเพื่อให้ศาลแขวงฯ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ศาลแขวงฯ มีอำนาจวินิจฉัยได้เองและไม่ต้องรอการพิจารณาพีพากคดีไว้ชั่วคราวแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลแขวงฯ เห็นว่าจากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้องนั้น ย่อมถือว่า การกระทำของศาลแขวงฯ ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

สรุป

การที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณา และไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

 

ข้อ 4. นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (มาตรา 12 บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน) ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจที่จะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 ในกรณีใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไปหรือไม่เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”

มาตรา 27 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือ

ผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม

บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ไนกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองสมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม”

มาตรา 231 “ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 230 ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณี ดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า…”

มาตรา 252 “สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ที่ว่า “บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน” ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปนั้น เป็นกรณีที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย (มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นด้วยตามคำร้องเรียนของนายทองประสงค์ ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 231 (1) ที่จะรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณาได้

(ข) ตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ที่บัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ นั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะสำหรับบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ เท่านั้น มิได้ใช้กับบุคคลทั่ว ๆ ไป อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติของกฎหมายท้องถิ่นที่ได้บัญญัติสอดคล้องกับมาตรา 252 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น จึงไม่ถือว่าบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 แต่อย่างใด

(ค) เมื่อบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป เพราะกรณีนี้ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 231 (1)

สรุป

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณา

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ปัจจุบันคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสนั้น มองเตสกิเออร์มีสมมุติฐานว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมีอำนาจขึ้นมาและมีทางที่จะใช้อำนาจได้อย่างกว้างขวางแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะใช้อำนาจตามใจชอบ โดยเขาได้เขียนไว้ในหนังสือ “เจตนารมณ์ทางกฎหมาย” หรือ Del’ Esprit Des Lois โดยกล่าวว่า เสรีภาพของประชาชนจะมีได้ก็แต่เฉพาะในรัฐชนิดที่ผ่อนปรนไม่ตึงเครียดและไม่ใช่ว่าจะมีในรัฐชนิดนี้ทุกรัฐไป จะมีได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการเมาอำนาจจนใช้อำนาจเกินไป แต่อย่างไรก็ดีย่อม เป็นที่รู้และเห็นกันเป็นนิจว่า บุคคลผู้ใช้อำนาจทุกคนมักจะใช้อำนาจจนเกินเลยเสมอและมักจะใช้อำนาจจนถึงขอบเขตสุด แม้แต่ในเรื่องการทำบุญกุศลก็เช่นกัน ก็มักจะทำกันจนถึงขอบเขตสุด

ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจจนเกินขอบเขต จึงจำต้องมีการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และควรให้องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งอำนาจในการควบคุมนโยบายทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้ ได้แก่ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและการพิพากษาอรรถคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดหรือวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างเอกชน ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ ศาล

ซึ่งองค์กรต่าง ๆ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) รัฐบาล และศาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้น จะต้องมีความเป็นอิสระต่างหากจากกัน และไม่ควรให้องค์กรดังกล่าวใช้อำนาจเกินกว่าหนึ่งอำนาจ เพราะจะเป็นทางชักจูงให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขตได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดและกำหนดให้อำนาจแต่ละอำนาจหยุดยั้งหรือถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพราะถ้าไม่มีการแบ่งแยกอำนาจแล้ว การใช้กฎหมายก็จะเลื่อนลอยกันตามอำเภอใจ บังคับผันแปรไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจบริหาร ซึ่งถ้าใครไม่กระทำตามความประสงค์นั้นผู้มีอำนาจก็จะลงโทษตามความพอใจของตน กฎหมายก็จะเลื่อนลอย บ้านเมืองก็จะไม่มีความสงบสุข

ดังนั้น การที่มาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 บัญญัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้งหรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุดนั้น จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์อย่างชัดเจน

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน ดังนี้คือ

“รัฐธรรมนูญ” เป็นกฎหมายสูงสุดหรือกฎหมายหลักที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย และนอกจากนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดขอบเขตเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนที่พึงต้องปฏิบัติว่ามีอย่างไรบ้าง

อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองประเทศนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้กับประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ “รัฐสภา” และโดยทั่วไปแล้วรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (เว้นแต่รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง) โดยจำนวนสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนเท่าใด และมีวิธิการเลือกตั้งอย่างไรนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชนนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปก็จะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน… คน (ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติ

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ในการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยรัฐสภา อำนาจบริหารโดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการโดยศาลนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวจึงต้องเป็นการใช้อำนาจที่เป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย และนอกจากนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักประโยชน์สาธารณะ และหลักความสุจริต เป็นต้น

ซึ่ง “หลักความสุจริต” นั้น หมายความว่า การได้มาซึ่งอำนาจและการใช้อำนาจต่าง ๆดังกลาวนั้น จะต้องเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม เช่น การได้มาซึ่งอำนาจนั้นจะต้องได้มาโดยสุจริต และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และการใช้อำนาจนั้นจะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนโดยส่วนรวม โดยเสมอภาคกัน และโดยไม่มีอคติ เป็นต้น

 

ข้อ 3. ให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแนวความคิดหรือทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนกับอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ และแต่ละแนวความคิดหรือทฤษฎีลังกล่าวส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งอย่างไร เพราะเหตุใด อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั้นมาจากแนวคิดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย รุสโซ (Rousseau)ในวรรณกรรมชื่อ “สัญญาประชาคม”(Social Contract) โดยรุสโซ เชื่อว่า “สังคมเกิดขึ้นเพราะราษฎรในสังคมสมัครใจสละสภาพธรรมชาติอันเสรีของตนเพื่อมาทำสัญญาประชาคมขึ้น สังคมจึงเกิดจากการสัญญามิใช่การข่มขู่บังคับ ดังนั้นราษฎรทุกคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของสังคมหรืออำนาจอธิปไตยมิใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ที่เป็นเจ้าของดังที่อธิบายกันมาตลอด” ตัวอย่างที่รุสโซ อ้างก็คือ“สังคมหนึ่งมีสมาชิก 10,000 คน สมาชิกแต่ละคนย่อมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยคนละ 1/10,000 ดังนั้น ราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน โดยไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งหมดได้

จากทฤษฎีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งส่วนแห่งอำนาจตนอันนำมาสู่หลักการคือ “การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง” เพราะถือว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่หน้าที่จึงไม่อาจมีการจำกัดสิทธิได้ ดังที่รุสโซ กล่าวว่า “สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรที่จะมาพรากจากประชาชนได้”
  2. การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น หมายถึง แนวคิดที่ว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ และมนุษย์ได้ทำสัญญาหรือก่อพันธะผูกพันกันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะโอนอำนาจอธิปไตยที่ตนมีอยู่ให้แก่สังคม และสังคมที่ว่านี้ก็คือชาตินั่นเอง

จากทฤษฎีดังกล่าวก่อให้เกิดผลดามกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่ใช่ปวงชนหรือราษฎร อำนาจเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎรในฐานะเป็นองค์กรที่มีหน้าที่เลือกผู้แทนของชาติ ดังนั้นการเลือกตั้งของราษฎรจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิใช่การใช้สิทธิ ชาติจึงมีสิทธิที่จะต้องมอบอำนาจเลือกตั้งให้ราษฎรที่เห็นว่าเหมาะสมได้ การเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบทั่วถึง มีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้
  2. คนแต่ละคนไม่ได้เป็นผู้แทนของราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งที่เลือกตนเท่านั้น ผู้แทนทั้งหมดถือเป็นผู้แทนของขาติและไม่อยู่กายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

จากแนวความคิดของทฤษฎีทั้งสองดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าได้ส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งที่แตกต่างกัน ดังนี้คือ

ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนั้น ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง การเลือกตั้งเป็นสิทธิของราษฎรทุกคนมิใช่หน้าที่ และราษฎรแต่ละคนจะใช้สิทธินั้นหรือไม่ก็ได้ จะมีการจำกัดสิทธิดังกล่าวไม่ได้

แต่ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น ถือว่าชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎร และราษฎรมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ การเลือกตั้งจึงมิใช่สิทธิแต่เป็นหน้าที่ ดังนั้น จึงอาจมีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้

 

ข้อ 4. นายเอกยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรือเสียหาย นอกจากนี้ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะหรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” ก็เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557ที่ให้การคุ้มครองไว้ จึงขอให้รับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อร้องเรียนในแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 43 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภค การผังเมือง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม สวัสดีภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 26 “ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ไห้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมและกฎหมาย”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งของศาลปกครอง และบทบัญญัติของ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 เป็นกฎหมายที่ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น ข้อร้องเรียนแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 กรณีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครอง

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสังไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรีอเสียหายนั้น ถือเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งคำฟ้องของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 แล้วจะเห็นได้ว่าในการพิจารณาอรรถคดีนั้นตุลาการศาลปกครอง มีอิสระในการใช้ดุลพินิจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายภายใต้บังคับของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยมีระบบตรวจสอบตามลำดับชั้นศาลตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้

ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของนายเอกไว้พิจารณานั้น เป็นอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงโดยอิสระ คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองในกรณีนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 ปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้นั้น จะเห็นได้ว่า ตาม พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5 ดังกล่าว ไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

และไม่ได้ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของนายเอกตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 43 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้

ดังนั้น พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 จึงไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 3 อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีแรก การที่นายเอกโต้แย้งดุลพินิจในการมีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองนั้น คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองดังกล่าวมิได้มีสถานะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ หรือมีสถานะเทียบเท่า กรณีนี้จึงมิใช่เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

กรณีที่ 2 เมื่อ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” นั้น มิได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเช่นเดียวกัน

สรุป

ข้อร้องเรียนทั้ง 2 กรณีของนายเอกรับฟังไม่ได้ และผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ต้องส่งเรื่องดังกล่าวทั้ง 2 กรณีไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ขอให้ท่านอธิบายถึงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาว่ามีวิธีการเลือกตั้งอย่างไร และการปกครองในระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญอย่างไร ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์เช่นกัน แต่เป็นการแบ่งแยกอำนาจในลักษณะค่อนข้างเด็ดขาด คือ ต่างฝ่ายต่างมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้ต่างเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อกัน ในระบบนี้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการกำหนดมาตรการแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการที่จะล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่นในระบบรัฐสภา

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญ พอสรุปได้ดังนี้

  1. มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐโดยประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีก็มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่เห็นสมควรให้บริหารประเทศได้
  2. ฝ่ายบริหาร ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา กล่าวคือ สภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และรัฐมนตรี ให้พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระไม่ได้
  3. ประธานาธิบดี ไม่มีอำนาจยุบสภา

การจัดการปกครองระบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงสามารถที่จะอยู่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งสถาบันประมุขแห่งรัฐหรือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

สถาบันประมุขแห่งรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม กล่าวคือ ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรคริพับลิกัน และพรรคเดโมแครตที่มีโอกาสสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อมาทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1

พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่ 2

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นั้น แต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน รวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีซองพรรคใดก็จะลงคะแนนให้แกํบุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะสรุปได้ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาซิก (438 + 100) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง – 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่ 3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

และรองประธานาธิบดี

แต่ถ้าหากเกิดกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคใดได้คะแนนเสียงดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เลือกตั้งรองประธานาธิบดี และให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดีจากผู้สมัครดังกล่าว

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิบไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ

ซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วยและนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ 3. ให้อธิบายถึงโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างน้อยต้องประกอบด้วยโครงสร้างหรือองค์ประกอบสำคัญใดบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

โครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มักมีโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศใดก็ตามประกอบไปด้วย ส่วนนำที่เป็นคำปรารภหรือคำนำของรัฐธรรมนูญฯ และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ ดังต่อไปนี้

  1. คำปรารภ (Preamble) จากการพิจารณาคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่าง ๆ กล่าวได้ว่าคำปรารภนั้น หมายความถึง คำนำ อารัมภบท และบทนำ (Preface, Introduction, Foreword) ในเรื่องราว

ของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น ดังเช่น คำปรารภที่มุ่งแสดงเหตุผลที่มาและจำเป็นแห่งการมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น หรือวางหลักเจตนารมณ์พื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือพรรณนาถึงเกียรติคุณของผู้จัดทำ ทั้งนี้ คำปรารภเป็นคนละส่วนกับส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ แต่อาจอาศัยคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ เป็นเครื่องมือช่วยในการตีความมาตราต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญฯ หรืออาจนำมาใช้ในการค้นหาเจตนารมณ์ของผู้ร่าง คำปรารภจึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

  1. เนื้อความของรัฐธรรมนูญ (Content) จากการพิจารณาเนื้อความของรัฐธรรมนูญฯซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อยู่ถัดจากคำปรารภจะโดยกำหนดเนื้อหาสาระเรียงลำดับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯดังต่อไปนี้

1)      การกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ (Organizational Section) ในทางทฤษฎีถือว่ากฎเกณฑ์การปกครองประเทศ เป็นสารัตถสำคัญในรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการบริหารประเทศ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศนั้นมิได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ ในรัฐที่การปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองระบอบเผด็จการต่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศทั้งสิ้น

2)      การกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (Bill of Rights) ในทางทฤษฎีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสารัตถสำคัญของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยกำหนดขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมผันแปรไปตามระบอบการปกครองในแต่ละรัฐ แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เฉพาะในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ส่วนใหญ่ต่างมิได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญฯแต่อย่างใด

3) การกำหนดกฎเกณฑ์อื่นในรัฐธรรมนูญ (Technical Provisions) เป็นการกำหนด กฎเกณฑ์เพื่อให้ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม (Procedures for amendment/Amendatory Provisions)

การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกฎหมายสูงสุด (Supremacy) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมือง (Civic Duties) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐ (State Policy) รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล (Interim Provisions) เป็นต้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้มีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) ดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะต้องผ่านการทำประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศก่อนก็ตาม แต่ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะต้องทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเหมือนอย่างที่เคยมีการทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2550 ดังนั้นจึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) กำหนดให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)

เหตุผลที่สมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ก็เพื่อจะช่วยสร้างความชอบธรรมและให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะช่วยลดความขัดแย้งและจะทำให้มีความรู้สึกว่าประชาชนก็มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 4. ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9

การสันนิษฐานว่าถ้าผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคลก็ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดนั้น และเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนเป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และเรื่องนี้ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญ ฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 6 “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 28 วรรคสอง “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้”

มาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวบการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(7) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ…”

มาตรา 211 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตน เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่นั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคหนึ่ง ประกอบรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ให้ศาลส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ศาลที่จะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งดังกล่าว หมายถึง ศาลที่กำลังพิจารณาคดีดังกล่าวเท่านั้นซึ่งกรณีตามอุทาหรณ์ย่อมหมายถึงศาลอาญามิใช่ศาลฎีกา ดังนั้น การที่ศาลฎีกามีมติให้ส่งคำร้องโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัย

ประเด็นที่ 2 คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่

การที่นายแดงได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แต่นายแดงก็มิได้ระบุว่าตามบทบัญญัติมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตราใด จึงต้องด้วยมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 กล่าวคือนายแดงไม่ได้ระบุมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 40 (7) ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ไว้ด้วย ดังนั้น คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ และเป็นคำร้องโต้แย้งที่รับฟังไม่ไต้

สรุป

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้รับฟังไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญในกรณ์ใดบ้าง

ธงคำตอบ

ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญดังนี้

  1. การจัดองค์กรภายในของรัฐ และการจำแนกภารกิจของรัฐ

รัฐธรรมนูญจะต้องมีการจัดองค์กรภายในของรัฐและการจำแนกภารกิจของรัฐ ซึ่งองค์กรดังกล่าวได้แก่ องค์กรที่ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ องค์กรรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล รวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ

  1. กำหนดหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ ภายใต้หลักการแบ่งแยกอำนาจ

รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ รวมทั้งกำหนดความสัมพันธ์ การถ่วงดุลอำนาจและการควบคุมตรวจสอบระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ เหล่านั้น

  1. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติของรัฐเพื่อให้ทันกับระบบสังคมและการเมือง

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดว่า ในการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองและคุ้มครองโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย เป็นต้น

  1. ประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล

รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลทั้งในฐานะสิทธิพลเมือง และสิทธิมนุษยชน เซ่น กำหนดให้บุคคลสามารถอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รวมทั้งสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เป็นต้น

  1. มีระบบการคัดคนดีที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมเข้าไปบริหารประเทศ และในขณะเดียวกันก็มีระบบที่คัดคนไม่ดีออกจากผู้ทำหน้าที่บริหารประเทศ

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเช้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ และการถอดถอนจากตำแหน่งของบุคคลต่าง ๆ ที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” (Verfassungsorgan) โดยการพิจารณาในทางรูปแบบ (Formelle Kriterien) และการพิจารณาในทางเนื้อหา (Substantielle Kriteien) และ“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” เป็น“องค์กรตามรัฐธรรมนูญ”หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” โดยการพิจารณาในทางรูปแบบและการพิจารณาในทางเนื้อหานั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การพิจารณาในทางรูปแบบ

(1)  พิจารณาจากการจัดตั้งหรือการเกิดขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดตั้งโดยตรงจากรัฐธรรมนูญ

(2)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการบัญญัติอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญ

  1. การพิจารณาในทางเนื้อหา

(1)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ององค์กร

องค์กรดังกลาวจะต้องเป็นองค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใด ในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบ หรือถ่วงดุลอำนาจอื่น

(2)  พิจารณาจากการบังคับบัญชา

องค์กรดังกล่าวจะต้องเป็น “อิสระ” คือจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา หรือการควบคุมกำกับขององค์กรหนึ่งหรือองค์กรใด

(3)  พิจารณาจากสถานะขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องมีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญด้วย

เมื่อพิจารณาความหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นั้นไม่เป็น “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” เพราะมีองค์ประกอบไม่ครบทั้งในทางรูปแบบและในทางเนื้อหา กล่าวคือ

  1. เมื่อพิจารณาในทางรูปแบบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ขององค์ภรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติและกฎหมายต่าง ๆ
  2. เมื่อพิจารณาในทางเนื้อหา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีใช่องค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใดในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจอื่น เป็นองค์กรที่ไม่เป็นอิสระ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายมดจำเลยยื่นคำโต้แย้งต่อศาลแรงงานกลางว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ที่บัญญัติว่า “…ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกหรือไม่…” ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 30 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 เนื่องจากบัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ถูกศาลพิพากษาให้รอการลงโทษต้องพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ๆ จะพ้นสภาพจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต่อเมื่อได้รับโทษจำคุกจริงเท่านั้น จึงขัดต่อความเสมอภาคที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้และกรณียังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแรงงานกลางจึงส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และ

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด และจะมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งในคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแรงงานกลางได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ

พ.ศ. 2550 มาตรา 30 หรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ข้อ 1. ให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ได้มีการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ย่อมมีผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยต่อไปว่า ดามมาตรา 9 (5) แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปนั้นเป็นเพราะว่าตามมาตรา 45 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งคำว่า “รัฐธรรมนูญนี้” หมายถึง รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ด้วย และตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธคักราช 2557 ก็มิได้มีบทบัญญัติมาตราหนึ่งมาตราใดที่ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่แต่อย่างใดเลย

และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

สรุป

ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป และต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

 

ข้อ 4. นายเอกจำเลยในคดียาเสพติดและเป็นข้าราชการได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า การที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกตนโดยอาศัย พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 โดยให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราขการต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น มาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค เพราะแม้ตนจะเป็นข้าราชการแต่ก็มีสิทธิเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 30 และมาตรา 31 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ดังนั้นมาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครอง จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 30 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”

มาตรา 31 “บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินิจฉัย หรือจริยธรรม”

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราขอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

การพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัยที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ เพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อวรรคหนึ่งหรือรัฐธรรมนูญนี้”

และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 ข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับพฟังได้หรือไม่

การที่นายเอกได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 ที่ให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการโดยต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองนั้น เห็นว่าตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองไว้แต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการที่มาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวได้กำหนดอัตราโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปนั้น เป็นแต่เพียงความแตกต่างในอัตราโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเท่านั้น เพราะโทษตามกฎหมายจะต้องเหมาะสมกับความผิดและได้สัดส่วนกับสถานะความรับผิดชอบของผู้กระทำความผิดและผลกระทบต่อสังคม กรณีจึงมิใช่ความแตกต่างในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่จะทำให้ขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของนายเอกจึงไม่สามารถรับฟังได้

ประเด็นที่ 2 หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 (1)ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยก็ต่อเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและตามมาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ก็บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวมิได้มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายเอกไม่สามารถรับฟังได้ และหากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

WordPress Ads
error: Content is protected !!