LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งนำบ้านและที่ดินไปเสนอขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท นายสองก็อยากได้แต่ไม่มีเงินสดครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งและนายสองจึงตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชำระราคาได้เป็นเวลา 10 เดือน เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบนายหนึ่งก็จะไปทำการโอนให้แก่นายสอง เมื่อเวลาผ่านไป 5 เดือน นายสามเห็นบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวอยากได้เมื่อรู้ว่านายหนึ่งเป็นเจ้าของจึงเสนอซื้อราคา 2 ล้านบาท โดยไม่ทราบเลยว่านายหนึ่งทำสัญญาขายให้แก่นายสองไปแล้วในราคา 1 ล้าน และมีการชำระราคามาได้ 5 เดือนแล้ว นายหนึ่งและนายสามไปทำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินโดยทำเป็นหนังสือจดทะเบียนชำระราคาส่งมอบทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันเรียบร้อย

1)      สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2)      นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขายที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 455

ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

  1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ
  2. มีการวางประจำ (มัดจำ) ไว้ หรือ
  3. มีการชำระหนี้บางส่วน

1)      สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญาซื้อขายประเภทใดมีผลในทางกฎหมายอย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งนำบ้านและที่ดินไปเสนอขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งและนายสองตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชำระได้เป็นเวลา 10 เดือน เดือนละ 1 แสนบาทเมื่อครบนายหนึ่งก็จะไปทำการโอนให้แก่นายสองนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันเมื่อได้ไปกระทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกันด้วยวาจา เพราะในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อฺขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

  1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสามได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทำตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคแรก

2)      นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายหนึ่ง

ซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกลาวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการชำระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชำระราคามาได้ 5 เดือน เป็นเงิน 5 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญาได้นำบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายสาม นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

สรุป

1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเช่นกัน

2) นายสองสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

 

 

ข้อ 2. ห้าเป็นพ่อค้าขายสินค้าประเภทรองเท้าใช้แล้วจากตลาดโรงเกลือ หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงทุกคู่ 50 บาท แต่ถ้าซื้อ 3 คู่คิดเพียง 100 บาท หกเลือกซื้อสินค้าไปได้ 3 คู่ ปรากฏว่าเมื่อถึงบ้านเช็ดทำความสะอาด ปรากฏสีลอก ตะเข็บหลุด หกจะฟ้องห้าว่ารองเท้าชำรุดบกพร่องได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1)     ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2)     ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3)     ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หกซื้อรองฟ้า 3 คู่ จากร้านของห้า และเมื่อถึงบ้านหกเช็ดทำความสะอาดรองเท้า ปรากฏว่าสีลอก ตะเข็บหลุดนั้น ย่อมถือว่ารองเท้าที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลัก ห้าผู้ขายจะต้องรับผิดต่อหกผู้ซื้อตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ห้าเป็นพ่อค้าขายสินค้าประเภทรองเท้าใช้แล้วจากตลาดโรงเกลือ หกในฐานะวิญญูชนย่อมทราบดีว่าเป็นของใช้แล้ว และหกก็เลือกด้วยตนเอง ราคาคู่ละ 50 บาท 3 คู่ ตกคู่ละไม่ถึง 50 บาท ย่อมมีโอกาสชำรุดได้อย่างมาก จึงเป็นกรณีที่หกผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน จึงเข้าข้อยกเว้นที่ห้าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473 (1) ดังนั้น หกจึงไม่สามารถฟ้องห้าให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

สรุป

หกจะฟ้องห้าว่ารองเท้าชำรุดบกพร่องไม่ได้

 

 

ข้อ 3. เจ็ดนำบ้านและที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท ไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากแปดไว้ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายในเวลา 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์ 15 เปอร์เซ็นต์ หลังจากรับซื้อฝากไว้แล้ว บ้านดังกล่าวปลูกสร้างที่จังหวัดเชียงรายในเขตเกิดแผ่นดินไหว เกิดถล่มทลายทั้งหลัง เหลือแต่เพียงที่ดินเท่านั้น เมื่อเจ็ดมาใช้สิทธิไถ่ดิน

1)      เจ็ดจะไม่ไถ่คืนได้หรือไม่

2)      ถ้าไถ่คืนจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1)      ตามกฎหมาย สัญญาขายฝากนั้น คือ สัญญาซื้อขายอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อทำสัญญากันแล้วกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่า ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ ซึ่งสิทธิในการไถ่นี้ เป็นสิทธิหรืออำนาจของผู้ขายหรือเจ้าของเดิมที่จะใช้สิทธิในการไถ่คืนหรือไม่ก็ได้ (มาตรา 491)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ็ดนำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับแปด โดยมีกำหนดไถ่คืนภายในเวลา 1 ปีนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่แปดรับซื้อฝากบ้านและที่ดินไว้แล้ว บ้านดังกล่าวซึ่งปลูกสร้างที่จังหวัดเชียงรายในเขตเกิดแผ่นดินไหว เกิดถล่มทลายทั้งหลัง เหลือแต่เพียงที่ดินเท่านั้น ดังนี้ เมื่อสิทธิในการไถ่เป็นสิทธิหรืออำนาจของเจ็ดเจ้าของเดิม เจ็ดย่อมที่จะเลือกไม่ไถ่บ้านและที่ดินคืนได้ตามมาตรา 491

2) ตามบทบัญญัติมาตรา 501 ได้กำหนดหน้าที่ของผู้ซื้อฝากเอาไว้ว่า ผู้ซื้อฝากจะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝากก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บ้านที่ขายฝากได้เกิดถล่มทลายลงทั้งหลังนั้น เป็นเพราะบ้านหลังดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นเขตแผ่นดินไหว หาได้เกิดจากความผิดของแปดผู้ซื้อฝากแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นโดยจะโทษแปดผู้มีหน้าที่รับไถ่มิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของแปดแต่เกิดจากภัยธรรมชาติและเป็นเหตุพ้นวิสัย ดังนั้น ถ้าเจ็ดจะไถ่บ้านและที่ดินคืน เจ็ดจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดตามมาตรา 501 ไม่ได้

สรุป

1) เจ็ดจะไม่ไถ่บ้านและที่ดินคืนได้

2) ถ้าเจ็ดจะไถ่บ้านและที่ดินคืน เจ็ดจะเรียกค่าสินไหมทดแทนราคาบ้านจากแปดไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 นางสาวส้มโอทำสัญญาซื้อขายล่อกับนางสาวส้มเช้ง โดยสัญญาซื้อขายระบุว่า “นางสาวส้มโอตกลงขายล่อซึ่งมีตั๋วรูปพรรณให้แก่นางสาวส้มเช้งในราคา 30,000 บาท โดยในวันทำสัญญานางสาวส้มโอได้รับเงินไว้จำนวน 10.000 บาท และเมื่อนางสาวส้มเช้งชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโออีก 20,000 บาท นางสาวส้มโอจะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้ง” ครั้นเมื่อถึงวันที่ 12 มีนาคม 2557 นางสาวส้มเช้งได้ชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโอครบถ้วนแล้ว แต่นางสาวส้มโอกลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้ง โดยอ้างว่าสัญญาซื้อขายล่อไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้

ให้วินิจฉัยว่านางสาวส้มเช้งสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อให้แก่ตนได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย ”

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้วก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวส้มโอตกลงขายล่อซึ่งมีตั๋วรูปพรรณให้แก่นางสาวส้มเช้งในราคา 30,000 บาท โดยในวันทำสัญญาซื้อขายกันนั้น นางสาวส้มโอได้รับเงินไว้จำนวน 10,000 บาท และเมื่อนางสาวส้มเช้งชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโออีก 20,000 บาท นางสาวส้มโอจะจดทะเบียนโอนล่อตัวดังกล่าวให้แก่นางสาวส้มเช้งนั้น ถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ในล่อซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขายกัน แต่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหน้า ดังนั้นสัญญาซื้อขายล่อระหวางนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้ง จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายตามมาตรา 456 วรรคสอง

และเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้ง เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จึงไม่ต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่อย่างใด สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

และเมื่อสัญญาจะซื้อจะขายล่อระหว่างนางสาวส้มโอและนางสาวส้มเช้งได้มีการทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายกัน

ดังนั้นเมื่อนางสาวส้มเช้งได้ชำระราคาล่อให้แก่นางสาวส้มโอครบถ้วนแล้ว แต่นางสาวส้มโอปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนล่อให้แก่นางสาวส้มเช้ง นางสาวส้มเช้งจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อ

ให้แก่ตนได้ เพราะสัญญาจะซื้อจะขายล่อดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามมาตรา 456 วรรคสองคือมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อนางสาวส้มโอฝ่ายที่ต้องรับผิดนั้นเอง

สรุป

นางสาวส้มเช้งสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นางสาวส้มโอจดทะเบียนโอนล่อให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. จันทร์ซื้อรถยนต์ 1 คันจากอังคารในราคา 1 แสนบาท มีการชำระราคาส่งมอบเรียบร้อย หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน มีดำพาตำรวจมาขอรถยนต์คืนโดยอ้างว่าเป็นรถของตนที่ถูกขโมยมา จันทร์ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ เชื่อว่าเป็นรถของดำจริง จึงคืนรถให้แก่ดำไป

  1. จันทร์จะฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่
  2. ภายในกำหนดอายุความเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับแต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

การรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ พิจารณาได้ดังนี้

  1. จันทร์จะฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่นั้น เห็นว่า การที่ดำพาตำรวจมาติดตามเอารถยนต์ของตนคืนจากจันทร์นั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทำให้ผู้ซื้อคือจันทร์ไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้น จันทร์จึงสามารถฟ้องอังคารว่าตนถูกรอบสิทธิได้
  2. เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จันทร์ได้ยอมคืนรถยนต์ไห้แก่ดำไป จึงถือเป็นกรณีที่ผู้ซื้อซึ่งถูกรอนสิทธิได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ดังนั้นจันทร์จึงต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

สรุป

  1. จันทร์สามารถฟ้องอังคารว่าตนถูกรอนสิทธิได้
  2. จันทร์จะต้องฟ้องภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่ได้คืนรถยนต์ให้แก่ดำ

 

ข้อ 3 นายไก่นำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังลือและจดทะเบียนขายฝากนายไข่ไว้ มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาท และกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท เมื่อเวลาฝานไป 11 เดือน นายไก่ไปขอไถ่บ้านคืนพร้อมเงิน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาท นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าไม่ถึงกำหนดเวลา และสินไถ่ไม่ครบคำปฏิเสธของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย ”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่นำบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไก่ได้ไปขอไถ่ทรัพย์คืนพร้อมเงิน 1,150,000 บาท ดังนี้นายไข่จะปฏิเสธไม่ได้ เพราะเหตุว่านายไก่ได้ขอใช้สิทธิในการไถ่ก่อนครบ 1 ปี และภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

(มาตรา 494 (1)) และในส่วนเงินสินไถ่นั้นตามมาตรา 499 วรรคสอง ได้กำหนดไว้ว่า ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบหาต่อปีให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ดังนั้น เมื่อมีการกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี การที่นายไก่นำเงิน 1,150,000 บาท มาเป็นสินไถ่จึงเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้องแล้ว กล่าวคือ ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี เท่ากับ 1,150,000 บาท(มาตรา 499 วรรคสอง) ดังนั้น คำปฏิเสธของนายไข่ที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลา และสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

คำปฏิเสธของนายไข่รับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1. วันที่ 1 ตุลาคม 2556 นางส้มเช้งทำหนังสือสัญญาซื้อขายกระบือซึ่งมีตั๋วรูปพรรณจากนางแตงโมในราคา 50,000 บาท และเกวียนในราคา 50,000 บาท โดยในวันทำสัญญานางแตงโมได้มอบกระบือและเกวียนให้แก่นางส้มเช้ง ส่วนนางส้มเช้งก็ได้ชำระเงินจำนวน 60,000 บาท ให้แก่นางแตงโมแล้วแต่เงินส่วนที่เหลือตกลงจะชำระให้ในวันที่ 14 ตุลาคม 2556 ครั้นเมื่อถึงกำหนดวันดังกล่าว นางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโมได้ ดังนี้หากนางแตงโมมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำปรึกษาเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคแรก หรือเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือมีการวางประจำ (มัดจำ)ไว้ หรือได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. สัญญาซื้อขายกระบือ เมื่อกระบือมีตั๋วรูปพรรณจึงถือว่าเป็นสัตว์พาหนะ และเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการทำสัญญาซื้อขายกระบือระหว่างนางส้มเช้งกับนางแตงโมนั้น ทั้งสองมิได้มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนเพื่อโอนกรรมสิทธิ์กันแต่อย่างใด สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษมาตรา 456 วรรคแรก ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

เมื่อสัญญาซื้อขายกระบือระหว่างนางส้มเช้งกับนางแตงโมได้ทำเป็นหนังสือสัญญากันแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายกระบือจึงตกเป็นโมฆะ ดังนั้นเมื่อนางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโม นางแตงโมจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

  1. สัญญาซื้อขายเกวียน เมื่อเกวียนเป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ธรรมดามิใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สัญญาซื้อขายเกวียนจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้น ไม่ต้องกระทำตามแบบตามที่มาตรา 456 วรรคแรกได้กำหนดไว้ กล่าวคือ ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์

และเมื่อสัญญาซื้อขายเกวียนซึ่งตกลงราคากัน 50,000 บาท เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคา 20,000 บาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ได้มีหสักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนางส้มเช้ง และได้มีการชำระหนี้บางส่วน โดยนางส้มเช้งได้ชำระราคาเกวียนให้แก่นางแตงโมแล้วจำนวนหนึ่งและนางแตงโมได้ส่งมอบเกวียนให้แก่นางส้มเช้งแล้ว ดังนั้น เมื่อนางส้มเช้งไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นางแตงโม นางแตงโมย่อมสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ เพราะมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีตามมาตรา 456 วรรคสามประกอบวรรคสอง

สรุป

หากนางแตงโมมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางแตงโมตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 นายจันทร์ขโมยรถยนต์ของนายอาทิตย์มาขายให้นายอังคาร นายอังคารซื้อโดยสุจริต ปรากฏว่านายอังคารถูกศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้นายแดงเป็นเงิน 3 แสนบาท นายอังคารไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ในชั้นบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันนี้ไปจากนายอังคารและขายทอดตลาด นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อได้ ต่อมานายพุธมารู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้เป็นของนายอาทิตย์ที่ถูกขโมยมาและไม่อยากได้ไว้ นายพุธขายรถยนต์คันนี้ให้นายพฤหัส นายพฤหัสซื้อโดยสุจริต หลังจากนั้นอีก 5 วัน นายอาทิตย์มาพบรถยนต์คันนี้อยู่กับนายพฤหัสและขอให้นายพฤหัสคืนให้ตน โดยนายอาทิตย์แสดงทะเบียนรถยนต์ว่าเป็นรถยนต์ของตนพร้อมกับใบแจ้งความที่เจ้าพนักงานตำรวจออกให้ นายพฤหัสเห็นเอกสารและหลักฐานก็ยอมคืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์

อีก 5 เดือนต่อมา นายพฤหัสมาเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิ นายพุธมาถามท่านว่า นายพุธจะต้องรับผิดในการที่นายพฤหัสคืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์หรือไม่ ท่านจะให้คำตอบแก่นายพุธอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 479 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันหลุดไปจากผู้ซื้อทั้งหมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการรอนสิทธิก็ดี หรือว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งเป็นเหตุให้เสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่การที่จะใช้ หรือเสื่อมความสะดวกในการใช้สอย หรือเสื่อมประโยชน์อันจะพึงได้แต่ทรัพย์สินนั้นและซึ่งผู้ซื้อหาได้รู้ในเวลาซื้อขายไม่ก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด”

มาตรา 482 “ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดังกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าไม่มีการฟ้องคดี และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของผู้ซื้อได้สูญไปโดยความผิดของผู้ซื้อเอง…”

มาตรา 1330 “สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ท่านว่ามิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อรถยนต์มาได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยสุจริตเพราะไม่รู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้เป็นของนายอาทิตย์ที่ถูกขโมยมา นายพุธย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1330 แม้รถยนต์คันนี้จะไม่ใช่ของนายอังคารลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ตาม นายพุธก็ไม่เสียสิทธิในรถยนต์คันนี้ และจะมีสิทธิดีกว่านายอาทิตย์ และเมื่อนายพุธขายต่อให้นายพฤหัส นายพฤหัสก็มีสิทธิในรถยนต์คันนี้เช่นเดียวกับนายพุธ

เมื่อต่อมานายอาทิตย์ได้เรียกให้นายพฤหัสคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่ตน ซึ่งนายพฤหัสก็ยอมคืนให้แก่นายอาทิตย์ ทำให้รถยนต์คันนี้หลุดไปจากการครอบครองของนายพฤหัส ซึ่งโดยหลักแล้วนายพฤหัสก็ชอบที่จะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิได้ตามมาตรา 475 ประกอบมาตรา 479

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายพฤหัสได้คืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์ไปโดยไม่มีการฟ้องคดีนั้นนายพุธย่อมพิสูจน์ได้ว่าสิทธิของนายพฤหัสได้สูญไปเพราะความผิดของนายพฤหัสเองตามมาตรา 482(1) ดังนั้นนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้

สรุป

นายพุธไม่ต้องรับผิดในการที่นายพฤหัสคืนรถยนต์คันนี้ไห้นายอาทิตย์

 

ข้อ 3 แดงขายกำไลทองวงหนึ่งให้ดำในราคา 200,000 บาท และในการตกลงซื้อขายครั้งนั้นดำยังให้แดงมีโอกาสซื้อกำไลทองวงนั้นคืนได้ในราคาที่ขายให้ตนแต่ไม่ได้กำหนดเวลาซื้อคืน ขายไปได้สามปีกับสองเดือน แดงไม่มีเงินมาซื้อกำไลทองวงนั้นคืน แดงจึงได้เขียนจดหมายมายังดำว่าตนขอขยายกำหนดเวลาซื้อกำไลวงนั้นคืนออกไปอีกหนึ่งปี ดำได้เขียนจดหมายตอบแดงว่าดำตกลงยินดีที่จะให้แดงขยายกำหนดเวลาซื้อคืนออกไปอีกหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่แดงได้รับจดหมายฉบับนี้ในราคาที่ดำซื้อมา หลังจากแดงได้รับจดหมายจากดำเก้าเดือน แดงได้นำเงิน 200,000 บาท มาขอซื้อกำไลวงนั้นกลับคืน ดำจะไม่ยอมขายกำไลวงนั้นคืนแดงให้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาดรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่แดงขายกำไลทองให้ดำในราคา 200,000 บาท และในการตกลงซื้อขายกันในครั้งนั้นดำยังให้แดงมีโอกาสซื้อกำไลทองวงนั้นคืนได้ในราคาที่ขายให้ตน ดังนี้ถือว่าสัญญาระหว่างแดงและดำเป็นสัญญาขายฝากตามมาตรา 491 และเมื่อในสัญญานั้นไม่ได้กำหนดเวลาในการซื้อคืนไว้ กำหนดเวลาในการไถ่จึงต้องใช้กำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ไนมาตรา 494(2) กล่าวคือ แดงจะต้องไถ่กำไลทองวงนั้นคืนภายในกำหนดเวลา 3 ปีนับแต่เวลาซื้อขาย

และเมื่อเวลาได้ผ่านไปแล้ว 3 ปี 2 เดือน แดงไม่มีเงินมาซื้อกำไลทองวงนั้นคืน แต่ได้เขียนจดหมายมายังดำว่าตนขอขยายกำหนดเวลาซื้อกำไลทองวงนั้นออกไปอีก 1 ปี ซึ่งดำก็ได้เขียนจดหมายตอบแดงว่าดำตกลงยินดีที่จะให้แดงขยายกำหนดเวลาไถ่ออกไปอีก 1 ปีนับตั้งแต่วันที่แดงได้รับจดหมาย กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการขยายกำหนดเวลาในการไถ่ แต่เป็นกรณีที่ดำได้ให้คำมั่นแก่แดงว่าจะขายคืนกำไลทองวงนั้นให้แก่แดง โดยมีกำหนดเวลา 1 ปี ดังนั้นเมื่อแดงได้นำเงิน 200,000 บาท มาขอซื้อกำไลทองวงนั้นคืนหลังจากได้รับจดหมายจากดำเพียง 9 เดือน ซึ่งยังไม่ครบ 1 ปี ดำจะไม่ยอมขายกำไลทองวงนั้นคืนให้แก่แดงไม่ได้ เพราะอยู่ในกำหนดเวลาคำมั่นที่ดำได้ให้ไว้กับแดง

สรุป

ดำจะไม่ยอมขายกำไลทองวงนั้นคืนแก่แดงไม่ได้ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การปกครองในระบบรัฐสภามีสาระสำคัญอย่างไร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 ถือว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างใกล้ชิด และตามทัศนะของนักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เช่น ศาสตราจารย์โมริส โฮริอู (Maurice Hauriou) การปกครองในระบบรัฐสภาจะมีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. ประมุขของรัฐซึ่งไม่ต้องรับผิดทางการเมืองในระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย 2 องค์กร คือ ประมุขของรัฐและคณะรัฐมนตรี

ประมุขของรัฐอาจมีฐานะเป็นกษัตริย์ หรือประธานาธิบดี และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

  1. คณะรัฐมนตรีซึ่งต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทางบริหารประเทศแทนประมุข เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชางานประจำกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดต่อรัฐสภา กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือทั้งคณะ และถ้ามีมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง
  2. เพื่อให้อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติสมดุลกัน ระบบรัฐสภาได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรียุบสภานิติบัญญัติได้

สำหรับประเทศไทยนั้น เมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 แล้ว ไม่ถือว่าเป็นการปกครองในระบบรัฐสภา เนื่องจากตามมาตรา 265 ได้บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่และในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งจากบทบัญญัติดังกล่าวทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังคงมีอำนาจและสามารถใช้อำนาจรัฐได้ต่อไป โดยองค์กรเดียวสามารถใช้อำนาจได้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการทำให้ไม่มีการแบ่งแยกและถ่วงดุลอำนาจกันตามระบบรัฐสภา จึงมีผลให้การปกครองของประเทศไทยในปัจจุบันนั้นไม่ใช่การปกครองในระบบรัฐสภา

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญและหลักความชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญแก่ตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“รัฐธรรมนูญ” เป็นกฎหมายสูงสุดหรือกฎหมายหลักที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย และนอกจากนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดขอบเขตเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนที่พึงต้องปฏิบัติว่ามีอย่างไรบ้าง

อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองประเทศนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้กับประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ “รัฐสภา” และโดยทั่วไปแล้วรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (เว้นแต่รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง) โดยจำนวนสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนเท่าใด และมีวิธิการเลือกตั้งอย่างไรนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชนนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปก็จะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน… คน (ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติ

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ซึ่งในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการโดยองค์กรต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นเป็นการใช้อำนาจต่อประชาชนและมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคน (รวมทั้งข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่งด้วย)ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น ในการได้มาซึ่งอำนาจและการใช้อำนาจดังกล่าว จึงต้องเป็นการได้มาซึ่งอำนาจ รวมทั้งเป็นการใช้อำนาจที่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย โดยเฉพาะหลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือการได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ เหล่านั้น จะต้องมีการดำเนินการโดยถูกต้องตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ และในการใช้อำนาจดังกล่าว ต้องสามารถตรวจสอบได้โดยประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ หรือโดยหน่วยงานหรือองค์กรตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญและหลักความชอบด้วยกฎหมายมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน รวมทั้งข้าพเจ้าในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น

 

ข้อ 3. ให้อธิบายถึงแนวความคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม(Constitutionalism) และจากแนวความคิดดังกล่าวนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยอย่างน้อยจะต้องประกอบไปด้วยหลักการใดบ้าง (อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจนในแต่ละหลักการ)

ธงคำตอบ

แนวความคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) เป็นแนวความคิดที่มุ่งเน้นถึงรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีเจตนารมณ์ที่สำคัญคือให้เป็นเครื่องมือในการกำหนดรูปแบบการปกครองและกำหนดกลไกอันเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการจัดองค์กรด้านบริหารรัฐกิจ หรือการจัดองค์กรบริหารของรัฐสมัยใหม่ซึ่งเป็นการใช้รัฐธรรมนูญในลักษณะสัญญาประชาคม เพื่อจำกัดและควบคุมการใช้บังคับอำนาจรัฐของฝ่ายผู้ใช้อำนาจปกครองหรือรัฐบาล เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดแก่สังคม และเป็นการสร้างเสถียรภาพและประสิทธิภาพให้เกิดแก่ฝ่ายผู้ใช้อำนาจปกครองหรือรัฐบาลในระบบการเมือง ซึ่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นภายใต้กรอบแนวความคิดรัฐธรรมนูญนิยม จะต้องมีสาระสำคัญอย่างน้อย 6 ประการ ดังต่อไปนี้ คือ

  1. หลักการรับรองและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และรับรองความ

เสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และหากมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้จะต้องมีการแก้ไขเยียวยา

  1. หลักการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติที่ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เช่น สร้างระบบให้มีการล้มรัฐบาลได้ยากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างมาตรการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย เช่น กำหนดมาตรการในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์

หรือถ้าจะไล่นายกรัฐมนตรีคนเก่าก็จะต้องเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพื่อให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปได้เปรียบเทียบกัน เป็นต้น

  1. หลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไว้ด้วย เช่น ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น ซึ่งหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น จะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก หลักการใช้อำนาจรัฐจะต้องขอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐจะใช้อำนาจของรัฐก้าวล่วงเข้าไปในสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจรัฐไว้รัฐจะทำมิได้

ประการที่สอง คนทุกคนที่อยู่ในรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

  1. หลักการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
  2. หลักการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐและการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการถ่วงดุลของการใช้อำนาจดังกล่าว คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการไว้อย่างชัดเจน
  3. หลักนิติรัฐ กล่าวคือ ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ ดังนั้นในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐทางด้านบริหารด้านนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้เท่านั้น

 

ข้อ 4. คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลฯ ได้มีคำสั่งแจ้งแก่นายเอกตามที่ได้อุทธรณ์ว่า “การที่สำนักงานป.ป.ช.มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทผู้ว่าการไฟฟ้าฯ ให้นายเอกทราบและเพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานเอาผิดเนื่องจากร่ำรวยผิดปกตินั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วเพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยแก่สาธารณชน หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งฯสามารถใช้สิทธิต่อศาลปกครองได้ต่อไป” ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของคณะกรรมการวินิจฉัยฯ ได้ละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ในกรณีใดหรือไม่

เพราะเหตุใด และหากนายเอกจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 213 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ” ท่านจะแนะนำนายเอกในกรณีนี้อย่างไรเพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในการตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”

มาตรา 25 “สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยนอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของฺประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น”

มาตรา 41 “บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ

(1) ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ ”

มาตรา 213 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ”

วินิจฉัย

กรณีอุทาหรณ์ การที่นายโทผู้ว่าการไฟฟ้าฯ ได้ยื่นข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ต่อ ป.ป.ช. นั้น ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลและไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องเปิดเผยแก่สาธารณะแต่อย่างใด และการที่นายเอกได้ขอข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทที่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. นั้นก็เพื่อรวบรวมและนำไปเป็นหลักฐานเอาผิดนายโทในทางคดีเท่านั้น นายเอกจึงไม่อาจเข้าถึงข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่นได้ เพราะการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในกรณีนี้ถือเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่นโดยไม่มีเหตุอันควร ดังนั้น การที่คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลฯ ได้มีคำสั่งแจ้งแก่นายเอกตามที่ได้อุทธรณ์ว่า การที่สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายโทนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วนั้น จึงไม่ได้เป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ให้การคุ้มครองไว้แต่อย่างใด (ตามมาตรา 4 มาตรา 25 และมาตรา 41) นายเอกจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยกรณีนี้ไม่ได้ เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 213 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

สรุป

ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่นายเอกว่า นายเอกจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิซา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อพิจารณาถึงสถานะของรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงสุดนั้น มีผลทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้เพราะเหตุใด และวิธีการที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการใดบ้างอธิบายมาให้เข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำหนดรูปแบบและหลักการปกครองตลอดจนวิธีการดำเนินการปกครองไว้อย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจสูงสุดในรัฐ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของประชาชนที่พึงกระทำต่อรัฐกับรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งรัฐจะใช้อำนาจล่วงละเมิดมิได้

เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ

  1. ในแง่ที่มา ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม ที่สมาชิกในสังคมทุกคนร่วมกันตกลงกันสร้างขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม รัฐธรรมนูญจึงอยู่เหนือทุกส่วนของสังคมการเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง ทุกฝ่ายจักต้องให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
  2. ในแง่เนื้อหา รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการจัดระเบียบโครงสร้างการเมืองการปกครองส่วนบนของรัฐ ผ่านทางการสร้างองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ (รัฐสภา/คณะรัฐมนตรี/ศาล) ซึ่งตัวรัฐธรรมนูญก็ได้มอบอำนาจไปให้ใช้ (อำนาจนิติบัญญัติ/อำนาจบริหาร/อำนาจตุลาการ) รวมทั้งบัญญัติรับรองถึงสิทธิเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนไว้ด้วย เพื่อจำกัดอำนาจแห่งรัฐมิให้มีมากจนเกินไป
  3. ในแง่รูปแบบ วิธีการจัดทำและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีข้อแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญถูกจัดทำขึ้นและแก้ไขได้ยากกว่ากฎหมายธรรมดาอื่นใด เพราะจำต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ และมากหลักเกณฑ์ เช่น ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เป็นต้น

ส่วนวิธีการที่จะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการใช้ปกครองประเทศ โดยเขียนขึ้นมาตามรูปแบบ หลักการ และวิธีการภายใต้กฎกติกาของระบอบการปกครองนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย จะต้องเขียนระบุลงไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อระบอบการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เป็นต้น

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) และจากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องประกอบไปด้วยหลักการสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญที่อย่างน้อยต้องประกอบด้วยหลักการอะไรบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

แนวคิดเกี่ยวกับธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) คือแนวคิดที่ต้องการสร้างรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมและสมบูรณ์แบบขึ้นมา เพื่อเป็นหลักกติกาสำคัญในการปกครอง รับรองหลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หลักที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพ หลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้หลักนิติธรรมและหลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้เสียงข้างมาก ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

จากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นอย่างน้อยจะต้องมีหลักการที่สำคัญ 6 ประการ ดังนี้คือ

  1. หลักการรับรองและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และรับรองความ

เสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และหากมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้จะต้องมีการแก้ไขเยียวยา

  1. หลักการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติที่ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เช่น สร้างระบบให้มีการล้มรัฐบาลได้ยากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างมาตรการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย เช่น กำหนดมาตรการในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์

หรือถ้าจะไล่นายกรัฐมนตรีคนเก่าก็จะต้องเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพื่อให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปได้เปรียบเทียบกัน เป็นต้น

  1. หลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไว้ด้วย เช่น ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น ซึ่งหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น จะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก หลักการใช้อำนาจรัฐจะต้องขอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐจะใช้อำนาจของรัฐก้าวล่วงเข้าไปในสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจรัฐไว้รัฐจะทำมิได้

ประการที่สอง คนทุกคนที่อยู่ในรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

  1. หลักการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
  2. หลักการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐและการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการถ่วงดุลของการใช้อำนาจดังกล่าว คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการไว้อย่างชัดเจน
  3. หลักนิติรัฐ กล่าวคือ ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ ดังนั้นในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐทางด้านบริหารด้านนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้เท่านั้น

 

ข้อ 3. นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ซึ่งสภาฯ ให้ความเห็บชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแข้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ศาลแขวงฯ เห็นว่า จากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องจึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้อง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณาและไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายและเหตุผลประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 5 วรรคหนึ่ง “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 212 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 5 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 ซึ่งคำว่า “กฎหมาย” ในที่นี้ หมายถึง กฎหมายในความหมายของรัฐธรรมนูญ คือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด (เฉพาะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว)หรือกฎหมายอื่นที่เทียบเท่า เช่น ประกาศคณะปฏิวัติ เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวซึ่งสภาฯ ให้ความเห็นชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ…” ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวนั้น เป็นเพียงกฎหรือคำสั่งที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจกฎหมายแม่บท คือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่กฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติจึงมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัย

และเมื่อข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งนั้นมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง นายเอกจึงไม่อาจโต้แย้งเพื่อให้ศาลแขวงฯ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ศาลแขวงฯ มีอำนาจวินิจฉัยได้เองและไม่ต้องรอการพิจารณาพีพากคดีไว้ชั่วคราวแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลแขวงฯ เห็นว่าจากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้องนั้น ย่อมถือว่า การกระทำของศาลแขวงฯ ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

สรุป

การที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณา และไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

 

ข้อ 4. นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (มาตรา 12 บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน) ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจที่จะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 ในกรณีใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไปหรือไม่เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”

มาตรา 27 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือ

ผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม

บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ไนกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองสมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม”

มาตรา 231 “ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 230 ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณี ดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า…”

มาตรา 252 “สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ที่ว่า “บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน” ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปนั้น เป็นกรณีที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย (มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นด้วยตามคำร้องเรียนของนายทองประสงค์ ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 231 (1) ที่จะรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณาได้

(ข) ตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ที่บัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ นั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะสำหรับบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ เท่านั้น มิได้ใช้กับบุคคลทั่ว ๆ ไป อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติของกฎหมายท้องถิ่นที่ได้บัญญัติสอดคล้องกับมาตรา 252 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น จึงไม่ถือว่าบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 แต่อย่างใด

(ค) เมื่อบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป เพราะกรณีนี้ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 231 (1)

สรุป

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณา

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ปัจจุบันคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสนั้น มองเตสกิเออร์มีสมมุติฐานว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมีอำนาจขึ้นมาและมีทางที่จะใช้อำนาจได้อย่างกว้างขวางแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะใช้อำนาจตามใจชอบ โดยเขาได้เขียนไว้ในหนังสือ “เจตนารมณ์ทางกฎหมาย” หรือ Del’ Esprit Des Lois โดยกล่าวว่า เสรีภาพของประชาชนจะมีได้ก็แต่เฉพาะในรัฐชนิดที่ผ่อนปรนไม่ตึงเครียดและไม่ใช่ว่าจะมีในรัฐชนิดนี้ทุกรัฐไป จะมีได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการเมาอำนาจจนใช้อำนาจเกินไป แต่อย่างไรก็ดีย่อม เป็นที่รู้และเห็นกันเป็นนิจว่า บุคคลผู้ใช้อำนาจทุกคนมักจะใช้อำนาจจนเกินเลยเสมอและมักจะใช้อำนาจจนถึงขอบเขตสุด แม้แต่ในเรื่องการทำบุญกุศลก็เช่นกัน ก็มักจะทำกันจนถึงขอบเขตสุด

ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจจนเกินขอบเขต จึงจำต้องมีการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และควรให้องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งอำนาจในการควบคุมนโยบายทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้ ได้แก่ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและการพิพากษาอรรถคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดหรือวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างเอกชน ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ ศาล

ซึ่งองค์กรต่าง ๆ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) รัฐบาล และศาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้น จะต้องมีความเป็นอิสระต่างหากจากกัน และไม่ควรให้องค์กรดังกล่าวใช้อำนาจเกินกว่าหนึ่งอำนาจ เพราะจะเป็นทางชักจูงให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขตได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดและกำหนดให้อำนาจแต่ละอำนาจหยุดยั้งหรือถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพราะถ้าไม่มีการแบ่งแยกอำนาจแล้ว การใช้กฎหมายก็จะเลื่อนลอยกันตามอำเภอใจ บังคับผันแปรไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจบริหาร ซึ่งถ้าใครไม่กระทำตามความประสงค์นั้นผู้มีอำนาจก็จะลงโทษตามความพอใจของตน กฎหมายก็จะเลื่อนลอย บ้านเมืองก็จะไม่มีความสงบสุข

ดังนั้น การที่มาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 บัญญัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้งหรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุดนั้น จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์อย่างชัดเจน

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน ดังนี้คือ

“รัฐธรรมนูญ” เป็นกฎหมายสูงสุดหรือกฎหมายหลักที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย และนอกจากนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดขอบเขตเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนที่พึงต้องปฏิบัติว่ามีอย่างไรบ้าง

อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองประเทศนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้กับประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ “รัฐสภา” และโดยทั่วไปแล้วรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (เว้นแต่รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง) โดยจำนวนสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนเท่าใด และมีวิธิการเลือกตั้งอย่างไรนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชนนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปก็จะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน… คน (ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติ

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ในการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยรัฐสภา อำนาจบริหารโดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการโดยศาลนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวจึงต้องเป็นการใช้อำนาจที่เป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย และนอกจากนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักประโยชน์สาธารณะ และหลักความสุจริต เป็นต้น

ซึ่ง “หลักความสุจริต” นั้น หมายความว่า การได้มาซึ่งอำนาจและการใช้อำนาจต่าง ๆดังกลาวนั้น จะต้องเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม เช่น การได้มาซึ่งอำนาจนั้นจะต้องได้มาโดยสุจริต และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และการใช้อำนาจนั้นจะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนโดยส่วนรวม โดยเสมอภาคกัน และโดยไม่มีอคติ เป็นต้น

 

ข้อ 3. ให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแนวความคิดหรือทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนกับอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ และแต่ละแนวความคิดหรือทฤษฎีลังกล่าวส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งอย่างไร เพราะเหตุใด อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั้นมาจากแนวคิดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย รุสโซ (Rousseau)ในวรรณกรรมชื่อ “สัญญาประชาคม”(Social Contract) โดยรุสโซ เชื่อว่า “สังคมเกิดขึ้นเพราะราษฎรในสังคมสมัครใจสละสภาพธรรมชาติอันเสรีของตนเพื่อมาทำสัญญาประชาคมขึ้น สังคมจึงเกิดจากการสัญญามิใช่การข่มขู่บังคับ ดังนั้นราษฎรทุกคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของสังคมหรืออำนาจอธิปไตยมิใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ที่เป็นเจ้าของดังที่อธิบายกันมาตลอด” ตัวอย่างที่รุสโซ อ้างก็คือ“สังคมหนึ่งมีสมาชิก 10,000 คน สมาชิกแต่ละคนย่อมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยคนละ 1/10,000 ดังนั้น ราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน โดยไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งหมดได้

จากทฤษฎีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งส่วนแห่งอำนาจตนอันนำมาสู่หลักการคือ “การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง” เพราะถือว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่หน้าที่จึงไม่อาจมีการจำกัดสิทธิได้ ดังที่รุสโซ กล่าวว่า “สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรที่จะมาพรากจากประชาชนได้”
  2. การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น หมายถึง แนวคิดที่ว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ และมนุษย์ได้ทำสัญญาหรือก่อพันธะผูกพันกันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะโอนอำนาจอธิปไตยที่ตนมีอยู่ให้แก่สังคม และสังคมที่ว่านี้ก็คือชาตินั่นเอง

จากทฤษฎีดังกล่าวก่อให้เกิดผลดามกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่ใช่ปวงชนหรือราษฎร อำนาจเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎรในฐานะเป็นองค์กรที่มีหน้าที่เลือกผู้แทนของชาติ ดังนั้นการเลือกตั้งของราษฎรจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิใช่การใช้สิทธิ ชาติจึงมีสิทธิที่จะต้องมอบอำนาจเลือกตั้งให้ราษฎรที่เห็นว่าเหมาะสมได้ การเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบทั่วถึง มีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้
  2. คนแต่ละคนไม่ได้เป็นผู้แทนของราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งที่เลือกตนเท่านั้น ผู้แทนทั้งหมดถือเป็นผู้แทนของขาติและไม่อยู่กายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

จากแนวความคิดของทฤษฎีทั้งสองดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าได้ส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งที่แตกต่างกัน ดังนี้คือ

ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนั้น ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง การเลือกตั้งเป็นสิทธิของราษฎรทุกคนมิใช่หน้าที่ และราษฎรแต่ละคนจะใช้สิทธินั้นหรือไม่ก็ได้ จะมีการจำกัดสิทธิดังกล่าวไม่ได้

แต่ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น ถือว่าชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎร และราษฎรมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ การเลือกตั้งจึงมิใช่สิทธิแต่เป็นหน้าที่ ดังนั้น จึงอาจมีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้

 

ข้อ 4. นายเอกยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรือเสียหาย นอกจากนี้ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะหรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” ก็เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557ที่ให้การคุ้มครองไว้ จึงขอให้รับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อร้องเรียนในแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 43 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภค การผังเมือง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม สวัสดีภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 26 “ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ไห้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมและกฎหมาย”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งของศาลปกครอง และบทบัญญัติของ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 เป็นกฎหมายที่ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น ข้อร้องเรียนแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 กรณีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครอง

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสังไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรีอเสียหายนั้น ถือเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งคำฟ้องของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 แล้วจะเห็นได้ว่าในการพิจารณาอรรถคดีนั้นตุลาการศาลปกครอง มีอิสระในการใช้ดุลพินิจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายภายใต้บังคับของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยมีระบบตรวจสอบตามลำดับชั้นศาลตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้

ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของนายเอกไว้พิจารณานั้น เป็นอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงโดยอิสระ คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองในกรณีนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 ปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้นั้น จะเห็นได้ว่า ตาม พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5 ดังกล่าว ไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

และไม่ได้ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของนายเอกตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 43 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้

ดังนั้น พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 จึงไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 3 อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีแรก การที่นายเอกโต้แย้งดุลพินิจในการมีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองนั้น คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองดังกล่าวมิได้มีสถานะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ หรือมีสถานะเทียบเท่า กรณีนี้จึงมิใช่เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

กรณีที่ 2 เมื่อ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” นั้น มิได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเช่นเดียวกัน

สรุป

ข้อร้องเรียนทั้ง 2 กรณีของนายเอกรับฟังไม่ได้ และผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ต้องส่งเรื่องดังกล่าวทั้ง 2 กรณีไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ขอให้ท่านอธิบายถึงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาว่ามีวิธีการเลือกตั้งอย่างไร และการปกครองในระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญอย่างไร ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์เช่นกัน แต่เป็นการแบ่งแยกอำนาจในลักษณะค่อนข้างเด็ดขาด คือ ต่างฝ่ายต่างมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้ต่างเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อกัน ในระบบนี้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการกำหนดมาตรการแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการที่จะล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่นในระบบรัฐสภา

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญ พอสรุปได้ดังนี้

  1. มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐโดยประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีก็มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่เห็นสมควรให้บริหารประเทศได้
  2. ฝ่ายบริหาร ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา กล่าวคือ สภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และรัฐมนตรี ให้พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระไม่ได้
  3. ประธานาธิบดี ไม่มีอำนาจยุบสภา

การจัดการปกครองระบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงสามารถที่จะอยู่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งสถาบันประมุขแห่งรัฐหรือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

สถาบันประมุขแห่งรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม กล่าวคือ ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรคริพับลิกัน และพรรคเดโมแครตที่มีโอกาสสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อมาทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1

พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่ 2

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นั้น แต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน รวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีซองพรรคใดก็จะลงคะแนนให้แกํบุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะสรุปได้ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาซิก (438 + 100) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง – 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่ 3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

และรองประธานาธิบดี

แต่ถ้าหากเกิดกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคใดได้คะแนนเสียงดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เลือกตั้งรองประธานาธิบดี และให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดีจากผู้สมัครดังกล่าว

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิบไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ

ซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วยและนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ 3. ให้อธิบายถึงโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างน้อยต้องประกอบด้วยโครงสร้างหรือองค์ประกอบสำคัญใดบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

โครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มักมีโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศใดก็ตามประกอบไปด้วย ส่วนนำที่เป็นคำปรารภหรือคำนำของรัฐธรรมนูญฯ และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ ดังต่อไปนี้

  1. คำปรารภ (Preamble) จากการพิจารณาคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่าง ๆ กล่าวได้ว่าคำปรารภนั้น หมายความถึง คำนำ อารัมภบท และบทนำ (Preface, Introduction, Foreword) ในเรื่องราว

ของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น ดังเช่น คำปรารภที่มุ่งแสดงเหตุผลที่มาและจำเป็นแห่งการมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น หรือวางหลักเจตนารมณ์พื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือพรรณนาถึงเกียรติคุณของผู้จัดทำ ทั้งนี้ คำปรารภเป็นคนละส่วนกับส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ แต่อาจอาศัยคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ เป็นเครื่องมือช่วยในการตีความมาตราต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญฯ หรืออาจนำมาใช้ในการค้นหาเจตนารมณ์ของผู้ร่าง คำปรารภจึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

  1. เนื้อความของรัฐธรรมนูญ (Content) จากการพิจารณาเนื้อความของรัฐธรรมนูญฯซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อยู่ถัดจากคำปรารภจะโดยกำหนดเนื้อหาสาระเรียงลำดับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯดังต่อไปนี้

1)      การกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ (Organizational Section) ในทางทฤษฎีถือว่ากฎเกณฑ์การปกครองประเทศ เป็นสารัตถสำคัญในรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการบริหารประเทศ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศนั้นมิได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ ในรัฐที่การปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองระบอบเผด็จการต่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศทั้งสิ้น

2)      การกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (Bill of Rights) ในทางทฤษฎีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสารัตถสำคัญของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยกำหนดขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมผันแปรไปตามระบอบการปกครองในแต่ละรัฐ แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เฉพาะในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ส่วนใหญ่ต่างมิได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญฯแต่อย่างใด

3) การกำหนดกฎเกณฑ์อื่นในรัฐธรรมนูญ (Technical Provisions) เป็นการกำหนด กฎเกณฑ์เพื่อให้ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม (Procedures for amendment/Amendatory Provisions)

การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกฎหมายสูงสุด (Supremacy) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมือง (Civic Duties) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐ (State Policy) รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล (Interim Provisions) เป็นต้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้มีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) ดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะต้องผ่านการทำประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศก่อนก็ตาม แต่ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะต้องทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเหมือนอย่างที่เคยมีการทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2550 ดังนั้นจึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) กำหนดให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)

เหตุผลที่สมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ก็เพื่อจะช่วยสร้างความชอบธรรมและให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะช่วยลดความขัดแย้งและจะทำให้มีความรู้สึกว่าประชาชนก็มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 4. ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9

การสันนิษฐานว่าถ้าผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคลก็ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดนั้น และเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนเป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และเรื่องนี้ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญ ฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 6 “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 28 วรรคสอง “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้”

มาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวบการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(7) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ…”

มาตรา 211 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตน เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่นั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคหนึ่ง ประกอบรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ให้ศาลส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ศาลที่จะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งดังกล่าว หมายถึง ศาลที่กำลังพิจารณาคดีดังกล่าวเท่านั้นซึ่งกรณีตามอุทาหรณ์ย่อมหมายถึงศาลอาญามิใช่ศาลฎีกา ดังนั้น การที่ศาลฎีกามีมติให้ส่งคำร้องโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัย

ประเด็นที่ 2 คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่

การที่นายแดงได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แต่นายแดงก็มิได้ระบุว่าตามบทบัญญัติมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตราใด จึงต้องด้วยมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 กล่าวคือนายแดงไม่ได้ระบุมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 40 (7) ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ไว้ด้วย ดังนั้น คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ และเป็นคำร้องโต้แย้งที่รับฟังไม่ไต้

สรุป

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้รับฟังไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญในกรณ์ใดบ้าง

ธงคำตอบ

ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญดังนี้

  1. การจัดองค์กรภายในของรัฐ และการจำแนกภารกิจของรัฐ

รัฐธรรมนูญจะต้องมีการจัดองค์กรภายในของรัฐและการจำแนกภารกิจของรัฐ ซึ่งองค์กรดังกล่าวได้แก่ องค์กรที่ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ องค์กรรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล รวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ

  1. กำหนดหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ ภายใต้หลักการแบ่งแยกอำนาจ

รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ รวมทั้งกำหนดความสัมพันธ์ การถ่วงดุลอำนาจและการควบคุมตรวจสอบระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ เหล่านั้น

  1. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติของรัฐเพื่อให้ทันกับระบบสังคมและการเมือง

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดว่า ในการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองและคุ้มครองโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย เป็นต้น

  1. ประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล

รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลทั้งในฐานะสิทธิพลเมือง และสิทธิมนุษยชน เซ่น กำหนดให้บุคคลสามารถอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รวมทั้งสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เป็นต้น

  1. มีระบบการคัดคนดีที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมเข้าไปบริหารประเทศ และในขณะเดียวกันก็มีระบบที่คัดคนไม่ดีออกจากผู้ทำหน้าที่บริหารประเทศ

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเช้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ และการถอดถอนจากตำแหน่งของบุคคลต่าง ๆ ที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” (Verfassungsorgan) โดยการพิจารณาในทางรูปแบบ (Formelle Kriterien) และการพิจารณาในทางเนื้อหา (Substantielle Kriteien) และ“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” เป็น“องค์กรตามรัฐธรรมนูญ”หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” โดยการพิจารณาในทางรูปแบบและการพิจารณาในทางเนื้อหานั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การพิจารณาในทางรูปแบบ

(1)  พิจารณาจากการจัดตั้งหรือการเกิดขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดตั้งโดยตรงจากรัฐธรรมนูญ

(2)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการบัญญัติอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญ

  1. การพิจารณาในทางเนื้อหา

(1)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ององค์กร

องค์กรดังกลาวจะต้องเป็นองค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใด ในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบ หรือถ่วงดุลอำนาจอื่น

(2)  พิจารณาจากการบังคับบัญชา

องค์กรดังกล่าวจะต้องเป็น “อิสระ” คือจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา หรือการควบคุมกำกับขององค์กรหนึ่งหรือองค์กรใด

(3)  พิจารณาจากสถานะขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องมีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญด้วย

เมื่อพิจารณาความหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นั้นไม่เป็น “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” เพราะมีองค์ประกอบไม่ครบทั้งในทางรูปแบบและในทางเนื้อหา กล่าวคือ

  1. เมื่อพิจารณาในทางรูปแบบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ขององค์ภรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติและกฎหมายต่าง ๆ
  2. เมื่อพิจารณาในทางเนื้อหา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีใช่องค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใดในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจอื่น เป็นองค์กรที่ไม่เป็นอิสระ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายมดจำเลยยื่นคำโต้แย้งต่อศาลแรงงานกลางว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ที่บัญญัติว่า “…ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกหรือไม่…” ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 30 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 เนื่องจากบัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ถูกศาลพิพากษาให้รอการลงโทษต้องพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ๆ จะพ้นสภาพจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต่อเมื่อได้รับโทษจำคุกจริงเท่านั้น จึงขัดต่อความเสมอภาคที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้และกรณียังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแรงงานกลางจึงส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และ

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด และจะมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งในคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแรงงานกลางได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ

พ.ศ. 2550 มาตรา 30 หรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ข้อ 1. ให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ได้มีการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ย่อมมีผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยต่อไปว่า ดามมาตรา 9 (5) แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปนั้นเป็นเพราะว่าตามมาตรา 45 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งคำว่า “รัฐธรรมนูญนี้” หมายถึง รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ด้วย และตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธคักราช 2557 ก็มิได้มีบทบัญญัติมาตราหนึ่งมาตราใดที่ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่แต่อย่างใดเลย

และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

สรุป

ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป และต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

 

ข้อ 4. นายเอกจำเลยในคดียาเสพติดและเป็นข้าราชการได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า การที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกตนโดยอาศัย พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 โดยให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราขการต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น มาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค เพราะแม้ตนจะเป็นข้าราชการแต่ก็มีสิทธิเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 30 และมาตรา 31 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ดังนั้นมาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครอง จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 30 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”

มาตรา 31 “บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินิจฉัย หรือจริยธรรม”

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราขอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

การพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัยที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ เพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อวรรคหนึ่งหรือรัฐธรรมนูญนี้”

และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 ข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับพฟังได้หรือไม่

การที่นายเอกได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 ที่ให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการโดยต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองนั้น เห็นว่าตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองไว้แต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการที่มาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวได้กำหนดอัตราโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปนั้น เป็นแต่เพียงความแตกต่างในอัตราโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเท่านั้น เพราะโทษตามกฎหมายจะต้องเหมาะสมกับความผิดและได้สัดส่วนกับสถานะความรับผิดชอบของผู้กระทำความผิดและผลกระทบต่อสังคม กรณีจึงมิใช่ความแตกต่างในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่จะทำให้ขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของนายเอกจึงไม่สามารถรับฟังได้

ประเด็นที่ 2 หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 (1)ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยก็ต่อเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและตามมาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ก็บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวมิได้มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายเอกไม่สามารถรับฟังได้ และหากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ทฤษฎีของรุสโซ (Jean Jacque Rousseau) ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หมายถึงอะไร และมีผลตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร การที่มีการเสนอแนวคิดให้มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน มาใช้อำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั้นมาจากแนวคิดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย รุสโซ (Rousseau)ในวรรณกรรมชื่อ “สัญญาประชาคม” (Social Contract) โดยรุสโซ เชื่อว่า “สังคมเกิดขึ้นเพราะราษฎรในสังคมสมัครใจสละสภาพธรรมชาติอันเสรีของตนเพื่อมาทำสัญญาประชาคมขึ้น สังคมจึงเกิดจากการสัญญามิใช่การข่มขู่บังคับ ดังนั้นราษฎรทุกคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของสังคมหรืออำนาจอธิปไตยมิใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ที่เป็นเจ้าของดั่งที่อธิบายกันมาตลอด” ตัวอย่างที่รุสโซ อ้างก็คือ

“สังคมหนึ่งมีสมาชิก 10,000 คน สมาชิกแต่ละคนย่อมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยคนละ 1/10,000 ดังนั้น ราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน โดยไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิบไตยทั้งหมดได้

จากทฤษฎีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งส่วนแห่งอำนาจตนอันนำมาสู่หลักการคือ “การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง” เพราะถือว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่หน้าที่จึงไม่อาจมีการจำกัดสิทธิได้ ดังที่รุสโซ กล่าวว่า “สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรที่จะมาพรากจากประชาชนได้”
  2. การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

ดังนั้น กรณีที่มีการเสนอแนวคิดให้มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน มาใช้อำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ทั้งนี้เพราะถ้ามีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน วุฒิสมาชิกเหล่านั้นก็มิใช่ผู้แทนของราษฎร มิใช่บุคคลที่ราษฎรมอบอำนาจให้ไปทำหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐสภา และบุคคลเหล่านั้นก็มิได้อยู่ภายใต้อาณัติของราษฎร แต่จะไปอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ที่แต่งตั้งตนให้เป็นวุฒิสมาชิกเท่านั้น

และถ้ามีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน ตามแนวคิดดังกล่าว ความชอบธรรมของวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งนั้นย่อมขึ้นอยู่กับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา กล่าวคือ ยิ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภามีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้นเท่าไร ความชอบธรรมของวุฒิสภาก็มีน้อยลงเท่านั้น

 

ข้อ 2. รูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภามีอะไรบ้าง และการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองอาจแก้ไขปัญหาแท้จริงซึ่งเกิดจากปัญหาทางการเมืองในทางปฏิบัติได้หรือไม่ อย่างไร หากพิจารณาจากรูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภา จงอธิบาย

ธงคำตอบ

รูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภามี 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. ระบบรัฐสภาแบบคู่กับระบบรัฐลภาแบบเดี่ยว

ระบบรัฐสภาแบบคู่ คือ ระบบที่กษัตริย์มีอำนาจในการบริหารประเทศอยู่พอสมควร มิใช่เป็นเพียงประมุขของรัฐเท่านั้น และรัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อประมุขของรัฐด้วย ระบบรัฐสภาแบบคู่จะสามารถดำเนินไปด้วยดี เมื่อประมุขของรัฐกับเสียงข้างมากในสภาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่หากมีการปลดหัวหน้ารัฐบาลโดยประมุขของรัฐหรือเกิดการไม่ให้ความไว้วางใจของสภาต่อรัฐบาลและมีการยุบสภา ปรากฏว่าผู้เลือกตั้งยังคงเลือกฝ่ายข้างมากเข้าสภาอีก ประมุขของรัฐก็ไม่สามารถยุบสภาได้อีก ประมุขของรัฐจำต้องบริหารประเทศร่วมกับฝ่ายข้างมากในสภา กรณีนี้บทบาทของประมุขของรัฐจะลดลงอย่างมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งกันไม่สิ้นสุด ระบบรัฐสภาแบบคู่จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมีข้อเสีย ประการแรกคือ อาจก่อให้เกิดปัญหาโดยตรงต่อประมุขของรัฐและประการที่สอง คือ อาจนำไปสู่ความชะงักงันของสถาบันได้ ระบบนี้จึงถูกยกเลิกในประเทศที่นำไปใช้ไนเวลาต่อมา

ส่วนระบบรัฐสภาแบบเดี่ยว คือระบบที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อสภาเท่านั้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อประมุขของรัฐ

  1. ระบบรัฐสภาแบบสองพรรคกับระบบรัฐสภาแบบหลายพรรค

ระบบรัฐสภาแบบสองพรรค คือ ระบบที่ให้โอกาสแก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งในสองพรรคที่จะมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ทำให้พรรคนั้นสามารถดำเนินการบริหารประเทศตามนโยบายที่หาเสียงไว้อย่างไม่ต้องวิตกกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลมากนัก แต่ก็อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้หากว่าระบบสองพรรคไม่ค่อยสมบูรณ์ โดยมีพรรคการเมืองพรรคที่สามเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาด และเป็นพรรคที่คอยฉวยโอกาสจะเข้าร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านได้เสมอ

ส่วนระบบรัฐสภาแนบหลายพรรค คือ ระบบที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคและโดยทั่วไปจะไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลได้จึงเป็นรัฐบาลผสม ระบบนี้จะมีความเป็นเอกภาพน้อยและอาจเกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลได้

  1. ระบบรัฐสภาแบบธรรมดากับระบบรัฐสภาแบบหที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้

ระบบรัฐสภาแบบธรรมดา คือ ไม่ต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ระบบรัฐสภาจึงเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ส่วนระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้ คือ การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาความบเสถียรภาพของรัฐบาล และหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์การลาออกของรัฐมนตรี โดยกำหนดเงื่อนไขบางประการไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น บังคับให้สมาซิกสภาต้องคำนึงอย่างรอบคอบก่อนที่จะบังคับให้รัฐบาลลาออก ดังนั้น การที่จะให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองจะต้องมีเงื่อนไขที่ยุ่งยากพอสมควร เช่น มีการกำหนดระยะเวลาที่จะลงมติไม่ไว้วางใจ กำหนดเรื่องคะแนนเสียงข้างมาก หรือกำหนดว่าจะต้องหาทายาทในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เสียก่อน ระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้จึงมีวิธีการค่อนข้างละเอียดและสลับซับซ้อนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา

การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมือง อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาแท้จริงซึ่งเกิดจากปัญหาทางการเมืองในทางปฏิบัติได้ หากพิจารณาจากรูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภาในระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้ เพราะแม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่โดยทั่วไปแล้วในทางปฏิบัติผลที่ได้รับมักจะไม่สมหวังเท่าที่ควร

 

ข้อ 3. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน(รวมทั้งข้าพเจ้า)ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครอง เพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ฯ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

และนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย

เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะทีเป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ 4. นายเอกได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่ากรณีบทบัญญัติตามมาตรา 8 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นผู้มีสิทธิเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำหนดให้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (1) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนวันที่ได้รับการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคลซึ่งจะกระทำมิได้ บทบัญญัติดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อหลักความเสมอภาคของบุคคลตามมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่บัญญัติรับรองไว้ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า หากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับคำร้องไว้พิจารณาและส่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในการตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ฉบับที่ 27/2557 “เพื่อให้องค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไต้อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้ มีผลบังคับใช้ต่อไป

  1. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552” และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552

มาตรา 14 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา”

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 ประกอบประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 27/2557 ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับเรื่องไว้พิจารณาและจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อมีกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งคำว่า “กฎหมาย” ตามความหมายดังกล่าวนี้ หมายความถึงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือกฎหมายอนที่มีค่าเทียบเท่าพระราชบัญญัติ

กรณีตามอุทาหรณ์ การยื่นคำร้องของนายเอกต่อผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น เป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติมาตรา 8 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับขัวคราว) พ.ค. 2557 หรือไม่ ซึ่งเป็นการโต้แย้งว่า “บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”ขัดต่อ “บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” ด้วยกันหรือไม่ มิใช่เป็นการยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ

ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2522 มาตรา 14 (1) ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับเรื่องไว้พิจารณาและเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน จะไม่รับคำร้องของนายเอกไว้พิจารณาและจะไม่ล่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะไม่รับคำร้องไว้พิจารณา และจะไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การลงคะแนนแสดงประชามติ (Referendum) หมายถึงอะไร และประชามตินั้นอาจมีได้ในกรณีใดบ้างขอให้อธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การลงคะแนนแสดงประชามติ หรือ การออกเสียงประชามติ (Referendum) หมายถึง การนำร่างกฎหมายหรือร่างรัฐธรรมนูญออกให้ประชาชนทั้งประเทศในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ (รับรองหรือไม่รับรอง)โดยวิธีลงคะแนนเสียงซึ่งเป็นวิธีการส่วนหนึ่งของการจัดทำกฎหมาย

ในการลงคะแนนแสดงประชามตินั้น ประชามติอาจมีได้หลายกรณีด้วยกัน คือ

  1. ประชามติก่อนที่สภานิติบัญญัติจะลงมติในร่างกฎหมาย และประชามติภายหลังที่สภานิติบัญญัติได้ลงมติในร่างกฎหมายแล้ว
  2. ประชามติสำหรับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือสำหรับร่างกฎหมายธรรมดาก็ได้
  3. ประชามติอาจมีลักษณะเป็นการบังคับคือต้องขอให้ราษฎรลงคะแนนเสียงเสมอไปหรืออาจมีลักษณะไม่บังคับ คืออยู่ในดุลพินิจของผู้ประกาศใช้ว่าจะสมควรนำร่างกฎหมายให้ราษฎรลงคะแนนเสียงหรือไม่

สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีการออกเสียงประชามติเป็นครั้งแรก คือการลงมติออกเสียงว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ที่ได้บัญญัติให้มีการนำระบบการออกเสียงประชามติมาใช้กับร่างรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับตัวนักศึกษาอย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสภาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหารหมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

และนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ3. ตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษใครมีอำนาจที่แท้จริงระหว่างสภาสามัญและคณะรัฐมนตรี และเหตุใดระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษไม่นำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภา จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษนั้น คณะรัฐมนตรีซึ่งมาจากเสียงข้างมากในสภาสามัญจะมีอำนาจที่แท้จริง แม้ว่าแต่เดิมเมื่อศตวรรษที่แล้วจะมินักวิชาการกล่าวว่า

อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงจะอยู่ที่สภาสามัญ คณะรัฐมนตรีเป็นเพียงคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของสภาซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากสภาสามัญ โดยสภาสามัญมิโอกาสที่จะบังคับให้รัฐบาลออกทันทีที่สภาสามัญไม่ไว้วางใจอำนาจของสภาสามัญจึงมีอยู่มาก

แต่ในปัจจุบัน ความเห็นดังกล่าวนั้นจะไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง เพราะปัจจุบันสภาสามัญเป็นเพียงเวทีทางการเมืองของฝ่ายค้านเท่านั้น แต่คณะรัฐมนตรีจะมีเสถียรภาพเป็นอย่างมาก และมีอำนาจทางการเมืองค่อนข้างมาก เพราะเป็นสถาบันที่มีวิธีการที่แท้จริงในการบริหารประเทศ คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่คล้ายกับเป็นผู้นำของสภาสามัญ และในความเป็นจริงคณะรัฐมนตรีเป็นผู้จัดเตรียมร่างกฎหมาย และมีอำนาจเป็นอย่างมากในสภาสามัญ เช่น เรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุมสภา การยุบสภา เป็นต้น

และเหตุที่ระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษไม่นำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภานั้น ก็เนื่องมาจากการเกิดความสมดุลกับระหว่างอำนาจ โดยมีการจำกัดอำนาจทางการเมืองที่มีลักษณะเด่นหรือลักษณะเฉพาะ ได้แก่

(1)     การจำกัดขอบเขตโดยสถาบันทางการเมือง ซึ่งมาจากลักษณะทางจิตใจหรืออุปนิสัยใจคอของคบอังกฤษที่ยึดถือประเพณีของชาวอังกฤษที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ สภาขุนนาง และสถาบันตุลาการ และ

(2)     ความสมดุลระหว่างรัฐบาลเสียงข้างมากกับฝ่ายค้าน โดยเป็นความไว้วางใจกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากความสมดุลแต่เดิมระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา โดยหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอาจได้รับเชิญจากนายกรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาหารือกันในกรณีที่เกิดปัญหาบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาติต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

ข้อ 4. บางแดงมีไข้สูงจึงเข้ารักษาทีโรงพยาบาลจังหวัดน่าน จากนั้น 7 วัน นางแดงถึงแก่ความตาย โดยแพทย์ระบุว่าเนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ต่อมานายดำซึ่งเป็นสามีมีความสงสัยเกี่ยวกับการตาย จึงยื่นคำร้องต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติคนป่วย ซึ่งเป็นเอกสารอาการป่วยของผู้ป่วยและบันทึกการให้การรักษาของแพทย์ ทางโรงพยาบาลฯ มีหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องปกปิดและระเบียบของโรงพยาบาลฯเอกสารเกี่ยวด้วยผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) จะต้องถูกเก็บไว้เป็นเอกสารลับของทางราชการและนายดำเองก็ไม่ใช่ “บุคคล” ผู้ทรงสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะเป็นผู้ร้องขอได้ และการใช้สิทธิของนายดำยังเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพต่อผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตามรัฐธรรมนูญฯ ด้วย รวมทั้งภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ก็ไม่ได้บัญญัติรับรองให้สิทธิแก่บุคคลที่จะร้องขอในกรณีนี้ได้แต่อย่างใด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ สามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้อธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 28 วรรคแรก “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอบ ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”

มาตรา 56 “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราฃการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน หรือส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่นหรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อพิจารณาประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 28 วรรคแรก และมาตรา 56 และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 แล้ว สามารถแยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 สิทธิการได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลในการครอบครองของหน่วยราชการถือเป็นสิทธิที่นายดำเคยได้รับการคุ้มครองมาก่อนหน้านี้ตามมาตรา 56 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ดังนั้น จึงย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นี้ด้วย

ประเด็นที่ 2 เมื่อนางแดงได้ถึงแก่กรรมแล้ว การที่นางแดงจะยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติการรักษาย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ ดังนั้น นายดำผู้ยื่นคำร้องในฐานะสามีตามกฎหมายของนางแดงจึงมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ และตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอทราบข้อมูลของนางแดงที่ถึงแก่กรรมได้ ดังนั้นนายดำจึงเป็น “บุคคล” ผู้ทรงสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะเป็นผู้ร้องขอข้อมูลในกรณีนี้ได้ตามรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2550 มาตรา 56 ประกอบรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4

ประเด็นที่ 3 เวชระเบียนประวัติการรักษาของนางแดง เป็นเอกสารที่แสดงถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและการให้การรักษาของแพทย์ จึงเป็นเอกสารของทางราชการที่เป็นข้อมูลของผู้ป่วยอันเกี่ยวเนื่องจากการรักษาพยาบาล ดังนั้น การใช้สิทธิของนายดำทียื่นคำร้องขอทราบข้อมูลของนางแดงภริยาที่ถึงแก่กรรมต่อโรงพยาบาล จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ ของบุคคลอื่นและไม่ได้เป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วยและแพทย์ที่ทำการรักษาแต่อย่างใด (ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550มาตรา 28 วรรคแรก และมาตรา 56 ประกอบรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4)

ดังนั้น การที่นายดำซึ่งเป็นสามีและมีความสงสัยเกี่ยวกับการตายของนางแดงภริยาได้ยื่นคำร้องต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติคนป่วย ซึ่งเป็นเอกสารอาการป่วยของผู้ป่วยและบันทึกการให้การรักษาของแพทย์ แต่ทางโรงพยาบาลฯ มีหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการให้ได้ โดยมีข้ออ้างต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ จึงไม่สามารถรับฟังได้

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ ไม่สามารถรับฟังได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!