THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดมีคำที่บอกอาการหรือลักษณะของคน
1. ว่องไว้ ซุบซิบ กระแทก
2. เตลิด กระเตื้อง ขวักไขว่
3. แช่มช้อย ล่ำสัน คล่องแคล่ว
4. อ่อนหวาน ทรหด พลุกพล่าน

ตอบ 3 หน้า 44, 47 (52067), 62 – 63 (H) ความหมายแฝง คือ ความ หมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งจะแนะรายละเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้น ๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกอาการหรือลักษณะของคนบางจำพวก ได้แก่
1. ลักษณะของผู้หญิง เช่น อ้อนแอ้น, แช่มช้อย,อ่อนหวาน, นิ่มนวล ฯลฯ
2. ลักษณะของผู้ชาย เช่น บึกบึน,ล่ำสัน,ทรหด ฯลฯ
3. ลักษณะของเด็ก เช่น งอแง,โยเย,จ้ำม่ำ ฯลฯ
4. ลักษณะของคนแก่ เช่น งกเงิ่น,หง่อม,ง่องแง่ง ฯลฯ
5. ลักษณะของคนที่แข็งแรงและขยันขันแข็ง เช่น ว่องไว,คล่องแคล่ว,กระฉับกระเฉง ฯลฯ

2. ข้อใดไม่ใช่คำที่แยกเสียงแยกความหมาย
1. กวด – ขวด
2. กว้าง – ขว้าง
3. กริบ – ขลิบ
4. กำจัด – ขจัด

ตอบ 4 หน้า 51 – 58 (52067), 65 – 66 (H) การ แยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสันสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อมและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ คำว่า กวด – ขวด, กว้าง –ขว้าง, กริบ – ขลิบ เป็นต้น (ส่วนคำว่า กำจัด – ขจัด เป็นคำที่ไม่แยกความหมาย หรือมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ขับไล่ ปราบ หรือทำให้สิ้นไป)

3. ข้อใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
1. เขาเป็นคนหนักแน่
2. เขาเป็นคนโลเล
3. เขาเป็นแม่งาน
4. เขาเป็นทหารผ่านศึก

ตอบ 1 หน้า 62 – 63, 67 – 73 (52067), 67 – 74 (H) คำซ้อน คือ คำ เดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1. คำ ซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสำคัญ) ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น หน้าตา,เล็กน้อย, หนักแน่น ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขรม),ทรัพย์สิน (สันสกฤต + ไทย) ฯลฯ
2. คำซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น โลเล (สระโอ + เอ), เอะอะ (สระเอะ + อะ) ฯลฯ

4. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
1. เธอไม่ชอบกู้หนี้ยืมสิน
2. เธอเป็นแม่ครัวมือหนึ่ง
3. เธอมีทรัพย์สินมากมาย
4. เธอชอบเอะอะโวยวาย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
1. มีของนา ๆ ชนิด
2. มีเด็กชายตัวดำ ๆ ใส่เสื้อสีแดง ๆ
3. มีผ้าลาย ๆ เรขาคณิต
4. มีเจ้าหน้าที่ ๆ รับผิดชอบเรื่องนี้

ตอบ 2 หน้า 76 – 77 (52067), 76 (H) คำซ้ำ คือ คำ คำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น คำซ้ำที่ซ้ำคำขยาย ได้แก่ ตัวดำ ๆ (ตัวไม่ดำเสียทีเดียว แต่มีลักษณะไปทางดำ),เสื้อสีแดง ๆ (เสื้อไม่แดงทั้งตัว แต่มีสีแดงมากและเห็นชัดกว่าสีอื่น) เป็นต้น

6. ประโยคใดเป็นคำประสม
1. น้ำแข็งแล้ว
2. น้ำ / แข็ง / แล้ว
3. น้ำ / แข็งหมดแล้ว
4. น้ำแข็ง / หมดแล้ว

ตอบ 4 หน้า 80 – 81 (52067), 78 – 81 (H) คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่ง ความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง)ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนับเดียว เช่น คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นนามและคำขยายเป็นวิเศษณ์ ได้แก่ น้ำแข็ง หมายถึง น้ำชนิดหนึ่งที่แข็งเป็นก้อนด้วยความเย็นจัดตามธรรมชาติหรือทำขึ้น เป็นต้น หรืออาจเป็นคำประสมที่นำคำไทยมาประสมกับคำอังกฤษ ได้แก่ รถเมล์ ตู้โชว์ เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยวเรียงกัน)

7. ข้อใดมีคำประสมทุกคำ
1. ในตู้โชว์มีเสื้อลายสีสวย
2. เขาขึ้นรถเมล์ไปซื้อน้ำแข็ง
3. เขาอยู่กินกับภรรยามาหลายปี
4. มีคนอยู่ในบ้านพักอย่างหนาแน่น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

8. ข้อใดใช้คำว่า “ผลัด” ไม่ถูกต้อง
1. ผลัดเวร
2. ผลัดเสื้อ
3. ผลัดเปลี่ยน
4. ผัดวันประกันพรุ่ง

ตอบ 4 คำว่า “ผลัด” หมายถึง เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร หรือ เป็นลักษณนามเรียกการผลัดเปลี่ยนเวรยาม เช่น เปลี่ยนเวรวันละ 3 ผลัด (ส่วนคำว่า “ผัด” หมายถึง ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวัน ผัดหนี้ หรือขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ดวันประกันพรุ่ง)

9. “น้องปันกำลังปั่นจักรยาน ส่วนน้องปั๋นกำลังปั้นดิน” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
1. มีระบบเสียงสูงต่ำ
2. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล
3. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
4. มีลักษณนามกับคำขยายบอกจำนวนนับ

ตอบ 1 หน้า 2, 33 – 37 (52067), 10, 55 , 59 (H) ระบบเสียงสูงต่ำ (เสียง วรรณยุกต์) ในภาษาไทย คือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมาย โดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ปัน (เสียงสามัญ) = แบ่ง แต่ในที่นี้ใช้เป็นเชื่อคน,ปั่น (เสียงเอก) = ทำให้หมุน,ปั้น (เสียงโท) = เอาสิ่งอ่อน ๆ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว มาปั้นให้เป็นรูปตามที่ต้องการ เป็นต้น

10. ประโยคใดแสดงกาล
1. เขากำลังกินข้าว
2. เขากินข้าวหรือยัง
3. เขายังไม่ได้กินข้าว
4. เขากินข้าวกับอะไร

ตอบ 1 หน้า 121 – 123 (52067) การแสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไรซึ่งต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอกกาลเวลาที่ต่างกันดังนี้

1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ อยู่, กำลัง, กำลัง..อยู่, กำลัง….อยู่แล้ว
2. บอกอนาคต ได้แก่ จะ, กำลังจะ, กำลังจะ..อยู่,กำลังจะ..อยู่แล้ว
3. บอกอดีต ได้แก่ ได้, ได้..แล้ว, ได้..อยู่แล้ว , เพิ่ง,มา

11. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น
1. ใจ
2. จด
3. จิ๋ว
4. จ้อง

ตอบ 2 หน้า 8 -14 (52067), 17 , 25 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่ 28 เสียง คือ
1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว)
2. สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว)
(ส่วน “จิ๋ว” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว อิ แต่ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ อิ + ว (อิ + อุ) = จิ๋ว)

12. คำใดสะกดด้วยสระ อื + อา + อี
1. มวย
2. ไม้
3. แมว
4. เมื่อย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067), 24, 28 (H) คำ ว่า “เมื่อย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น เอือ + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อื + อา +อี =เมื่อย

13. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
1. เจ้า
2. แจว
3. เจือ
4. เจี๊ยบ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

14. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
1. ไล่
2. ลุก
3. ลาย
4. เลือน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

15. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
1. โลภ
2. เลข
3. ลึก
4. ลวด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 11.ประกอบ

16. คำว่า “เที่ยว”มีเสียงสระใด
1. อี +อา + อุ
2. อู + อา + อี
3. อี + อา +อู
4. อื + อา + อี

ตอบ 3 หน้า 14 (52067), 24, 26 (H) คำว่า “เที่ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เที่ยว

17. คำว่า “น้ำ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าคำอื่น
1. น้ำตาตกใน
2. แม่น้ำเจ้าพระยา
3. น้ำดื่มน้ำใช้
4. น้ำใจคนไทย

ตอบ 2 หน้า 15 – 16, 40 – 42, 90 – 91 (52067), 33 – 34, 60 – 61, 80 – 81 (H) อัตรา การออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพุดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตร สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำพยางค์หน้าที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) เช่น คำว่า “น้ำ” ใน น้ำตา น้ำดื่มน้ำใช้ น้ำใจ ซึ่งเป็นคำประสมจะออกเสียงพยางค์หน้าสั้นราว 1 มาตรา ส่วนคำว่า “น้ำ” ใน แม่น้ำ จะออกเสียงพยางค์หรือคำท้ายยาวราว 2 มาตรา เป็นต้น

18. ข้อใดกระจายคำว่า “สรรค์” ไม่ถูกต้อง
1. พยัญชนะต้น = สร
2. สระ = สระอะ
3. ตัวสะกด = แม่กน
4. วรรณยุกต์ = เสียงจัตวา ไม่มีรูปวรรณยุกต์

ตอบ 1 หน้า 28 – 29 (52067) คำว่า “สรรค์” (ออกเสียงว่า สัน) เป็นคำยืมมาจากภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า สร้างให้มีให้เป็นขึ้น โดยมี “ส” เป็นพยัญชนะต้น ใช้สระอะ ใช้วรรณยุกต์เสียงจัตวา (ไม่มีรูปวรรณยุกต์) และใช้ตัวสะกดแม่กน (น ณ ร ล ฬ ญ ) ซึ่งในที่นี้คือ สรรค์ (ส่วนเสียงที่ไม่ต้องการออกเสียงจะใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตฆ่าเสียงเสีย)

19. พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
1. เคว้งคว้าง
2. เก้งก้าง
3. ฟุ่มเฟือย
4. ขวนขวาย

ตอบ 3 หน้า 19 (52067), 40 – 41 (H) พยัญชนะเสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วน เพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปาก แต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ ) และ ฟ (ฝ)

20. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
1. จริงจัง
2. ขวักไขว่
3. สร้างสรรค์
4. ทรวดทรง

ตอบ 2 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้
1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วมเสียง สระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กวาง, ขวักไขว่, ขวาน, ผลุด ฯลฯ
2. เสียงกล้ำ กันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง), สร้าง (ส้าง),ทรวดทรง (ชวดซง), แทรก (แซก) ฯลฯ

21. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำ ไม่ถูกต้อง
1. เธอรูปร่างกะทัดรัด
2. เธอรีบไปกะทันหัน
3. เธอเป็นคนกะป้ำกะเป๋อ
4. เธอชอบกินหมูกะทะ

ตอบ 4 ข้อความในตัวเลือกข้างต้นเขียนตัวควบกล้ำไม่ถูกต้อง จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เธอชอบกินหมูกระทะ

22. ข้อใดใช้ตัวสะกดเดียวกับคำว่า “มารค”
1. ราก
2. ราด
3. ราง
4. ราน

ตอบ 1 หน้า 27 – 29 (52067), 50 – 53 (H) พยัญชนะ ท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยจะมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมมาจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนะท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ ตามโดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมดเพียง 8 เสียงเท่านั้น ดังนั้น
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3.แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว

23. คำว่า “แทรก” อ่านออกเสียงแบบใด
1. อ่านแบบอักษรนำ
2. อ่านแบบเรียงพยางค์
3. อ่านแบบควบกล้ำแท้
4. อ่านแบบควบกล้ำไม่แท้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

24. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
1. ขนมคุ้กกี้ของฉัน
2. โน้ตบุ๊คของเธอ
3. เสื้อเชิ้ตของเขา
4. ขนมเค๊กของน้อง

ตอบ 2 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น โน้ตบุ๊คของเธอ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ขนมคุกกี้ของฉัน, เสื้อเชิ้ตของเขา,ขนมเค้กของน้อง)

25. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
1. สมุด สนอง สนิท
2. เสม็ด แสลง สยอง
3. สดับ สบาย เสบียง
4. สลวย สยาม สนาม

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น สดับ ( สะ – ดับ), สบาย ( สะ – บาย), เสบียง (สะ – เบียง) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นออกเสียงแบบนำกันมา หรืออักษรนำ (เสียง ห นำ) ได้แก่ สะ – หมดุ, สะ – หนอง, สะ – หนิด, สะ – เหม็ด,สะ – แหลง, สะ – หยอง, สะ – หลวย, สะ – หยาม, สะ – หนาม)

26. ข้อใดออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ)

1. สระว่ายน้ำ
2. ชุดรุดทรุดโทรม
3. ซากปรักหักพัง
4. ปลักวัวปลักควาย

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น ปรัก (ปะ – หรัก) ในคำว่า “ซากปรักหักพัง” เป็นต้น

27. ข้อใดมีคำเป็นมากว่าคำตาย
1. นัด แนะ นึก นับ
2. นอน ใน นาฎ แนบ
3. นัก เน่า นาก นอน
4. น้ำ หนาว นก น้อย

ตอบ 4 หน้า 28 (52067), 51 – 53 (H) คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ)

28. ข้อใดมีคำตายทุกคำ
1. กัก เกิด เก็บ เกลียด
2. กอด กับ เก้า กิน
3. ไก่ กบ กัด กราย
4. เกรียบ แก้ม ก้อง แก้ว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 27. ประกอบ

29. ข้อใดใช้คำถูกต้อง
1. เขาเลิกราจากกันไป
2. รักจึงได้แรมรา
3. จะมัวร่ำลากันทำไม่
4. รักแท้ไม่มีวันแรมลา

ตอบ 2 คำว่า “แรมรา) หมายถึง ค่าย ๆ เหินห่างและทอดทิ้งไปในที่สุด (ส่วนตัวเลือกอื่นใช้คำไม่ถูกต้องจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เขาเลิกราจากกันไป,จะมัวล่ำลากันทำไม่,รักแท้ไม่มีวันแรมรา)

30. ข้อใดคำอุปมาสื่อความหมาย
1. แม่ซื้อตุ๊กตาให้น้อง
2. น้องสาวฉันชื่อตุ๊กตา
3. ตุ๊กตาตัวนี้น่ารักจัง
4. ไม่อยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถใคร

ตอบ 4 หน้า 48 – 49 (52067), 64 (H) คำอุปมา คือ คำ ที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. คำอุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา ( นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก), ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) ฯลฯ
2. คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กลับเนื้อกลับตัว (เลิกทำชั่วหันมาทำดี),แมวนอนหวด(ซื่อจนเซ่อ),แมวขโมย (คอยจ้องฉกฉวยลูกเมียงเขาเวลาเขาเผลอ) ฯลฯ

31. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทั้ง 2 คำ
1. ตอม่อ อนึ่ง
2. ระรื่น ลูกกระดุม
3. ฉะฉาน กระเฉด
4. ยะยิบยะยับ ตกกะใจ

ตอบ 1 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากแว้ง มะแว้ง,หมากขาม มะขาม,หมากค่า มะค่า, เมื่อรืน มะรืน
2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตัวขาบ ตะขาบ, ตัวโขง ตะโขง,ตัวเข็บ ตะเข็บ,ตัวปลิง ตะปลิง,ตอม่อ ตะม่อ
3. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาน ๆ ฉะฉาน,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
5. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,เลาะ ๆ ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ช้าพลู ชะพลู,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น

32. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกันทั้ง 2 คำ
1. กระดุกกระดิก กระฟัดกระเฟียด
2. กระชากกระชั้น กระออดกระแอด
3. กระเสือกกระสน กระแอมกระไร
4. กระโตกกระตาก กระจุกกระจิก

ตอบ 4 หน้า 95 (52067), 85 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่น
โตกตาก กระโตกกระตาก,จุกจิก กระจุกกระจิก, ดุกดิก กระดุกกระดิก, ชากชั้น กระชากกระชั้น, เสือกสน กระเสือกกระสน , อักอ่วน กระอักกระอ่วน ฯลฯ

33. ข้อใดไม่ใช่อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด
1. กระสับการส่าย
2. กระอักกระอ่วน
3. กระปอดกระแปด
4. กระเสาะกระแสะ

ตอบ 2 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียมแนวเทียบผิด สับส่าย กระสับกระส่าย,ปอดแปด กระปอดกระแปด,เสาะแสะ กระเสาะกระแสะ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่น ๆที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอน แล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร, จมูกปาก จมูกจะปาก ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ)

34. คำอุปสรรคเทียมคำใดที่ไม่ได้เป็นชื่อสัตว์
1. ตะโขง
2. ตะเข็บ
3. ตะปลิง
4. ตะขาบ

ตอบ 3 หน้า 93 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ) คำว่า “ตะ” เป็นคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงมาจากคำว่า “ตัว” ส่วนใหญ่มักใช้นำหน้าชื่อสัตว์ เช่น ตะโขง ตะเข็บ ตะขาบ ฯลฯ แต่ที่นำมาใช้เรียกของอื่นโดยอนุโลมก็มี เช่น ตะปลิง หมายถึง เหล็กที่ใช้เกาะวัตถุที่แยกให้ติดกัน โดยมากเรียกคำเต็มว่า ตัวปลิง

ตั้งแต่ข้อ 35. – 37. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. ทำอะไรอยู่
2. ทำอะไรเกินตัว
3. ทำอะไรสักอย่าง
4. ทำอะไรให้หน่อย

35. ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า
ตอบ 2 หน้า 103 (52067), 90 (H) ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

36. ข้อใดเป็นประโยคคำถาม
ตอบ 1 หน้า 102 – 103 (52067), 93 (H) ประโยคคำถาม หมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

37. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง
ตอบ 3 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยค ที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “ อย่า ห้าม จง ต้อง” มา นำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

ตั้งแต่ข้อ 38. – 40. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. แม่ทำขนม 2. แม่ชอบทำขนม 3. แม่ทำขนมหม้อแกง 4. แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง

38. ข้อใดไม่มีภาคขยาย
ตอบ 1 หน้า 94 (H) ประโยค ที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำ ประกอบไปด้วย ภารประธาน + ภาคแสดง (กริยา และกรรม) ซึ่งทั้ง 2 ภาคอาจมีคำขยายเข้ามาเสริมความให้สมบูรณ์ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น แม่ทำขนม (ประธาน + กริยา + กรรม)

39. ข้อใดมีทั้งภาคขยายกริยาและกรรม
ตอบ 4 หน้า 105 (52067), 95 – 96 (H) ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทำ และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทำ ซึ่งเรียกว่าคุณศัพท์ เช่น แม่ของฉันทำขนม (ขยายประธาน),แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง (ขยายกรรม)
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตำแหน่งอยู่หน้าคำกริยา เช่น แม่ชอบทำขนม (ขยายกริยา “ทำ”) หรือมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยาก็ได้ เช่น แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง (ขยายกริยา “ทำ”)

40. ภาคขยายกริยาในข้อใดอยู่หน้าคำกริยา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ประโยคในข้อใดไม่มีประธาน
1. น้องถูกดุ
2. น้องร้องไห้
3. น้องเล่นซุกซน
4. พี่แกล้งน้อง

ตอบ 1 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การ แสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “น้องถูกดุ” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยา แล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ดุน้อง เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค

42. ข้อใดไม่มีคำนามที่ทำหน้าที่กรรมของประโยค
1. พ่อตื่นนอน
2. พ่อชงกาแฟ
3. พ่อแปรงฟัน
4. พ่อกินข้าว

ตอบ 1 หน้า 108 (52067), 97 (H) คำนามทำหน้าที่ต่าง ๆ ในประโยคได้ดังนี้
1. เป็นประธาน เช่น พ่อตื่นนอน
2. เป็นกรรม เช่น พ่อชงกาแฟ พ่อแปรงฟัน พ่อกินข้าว
3. ขยายประธาน เช่น ครูใหญ่ญาติเธอลาออก
4. ขยายกรรม เช่น ฉันเห็นเด็กชุ่มคนใช้เธอ
5. เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขายังเป็นเด็ก
6. เป็นลักษณนามทั้งที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ กับที่ใช้ตามนามที่มาข้างหน้าเพราะไม่มีลักษณนามสำหรับคำนั้น ๆ เช่น ห้องหลายห้อง ปากปากเดียว ฯลฯ

43. คำนามในข้อใดแสดงเพศไม่ชัดเจน
1. พระสวดมนต์
2. ยายช้อยชอบกินหมาก
3. ป้าแช่มไปซื้อของ
4. น้ามีไปตลาด

ตอบ 2 หน้า 2, 109 – 110 (52067), 6 – 7, 97 – 98 (H) คำ นามในภาษาไทยบางคำก็ระบุเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย ตา ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี สะใภ้ หญิง สาว ป้า ยาย ฯลฯ แต่คำบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อตองการแสดงเพศให้ชัดเจนจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม เด็กสาว น้าสาว ฯลฯ

44. คำสรรพนามใดแสดงความเฉพาะเจาะจงมากที่สุด
1. นั่นของเธอ
2. นั้นของฉัน
3. นี่ของเธอ
4. นี้ของเธอ

ตอบ 4 หน้า 111, 115 – 116 (52067), 99 (H) คำ สรรพนามที่บอกความจำเพาะเจาะจง ได้แก่ นี้,นั้น,โน้น,นี่,นั่น,โน่น, นั่นแน่,นั่นแน่ะ,นั่นซิ,นั่นไง,นั่นเป็นไร,นั่นแหละ ฯลฯ ซึ่งตามธรรมดาจะใช้ “นั่น / นี่”แทนของอะไรก็ได้สุดแต่ใกล้ตัวหรือไกลตัว แต่ถ้าใช้ “นั้น / นี้” จะต้องเจาะจงลงไปว่าของนั้นคืออะไร เช่น นี่ของเธอ (ของอาจมีมากกว่าหนึ่ง) แต่ถ้าต้องการเจาะจงลงไปให้มากที่สุดก็ใช้ว่า นี้ของเธอ (ของอาจมีเพียงหนึ่ง)

ตั้งแต่ข้อ 45. – 46. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. นิดชอบพี่เป้ค่ะ
2. พี่เป้เป็นนักร้องรูปหล่อนะ
3. นิดไปดูคอนเสิร์ตกับพี่ไหม
4. นิดขอไปด้วยคนค่ะ

45. ข้อใดมีเฉพาะสรรพนามบุรุษที่ 3

ตอบ 2 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 3 คือ คำที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียงส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จำเป็นต้องกล่าวคำดีงาม เช่น ต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคำว่า คุณ พ่อ แม่ นาย นาง นางสาว นำหน้าชื่อให้เหมาะสมกับโอกาสด้วย

46. ประโยคในข้อใดมีสรรพนามกำกวม อาจเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 2 หรือ 3

ตอบ 1 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 2 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้ที่พูด้วย เช่น คุณ เธอ ท่าน เรา เจ้า แก ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้ที่พูดด้วยเพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่
1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ
2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่แทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ
3. ใช้เรียกบรรดาศักดิ์แทน เช่น ท่านขุน คุณหลวง เจ้าคุณ คุณหญิง ฯลฯ
4. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทน เช่น คุณน้อย ติ๋ว ต๋อย นุช แดง เป้ ฯลฯ(คำว่า “พี่เป้” ในตัวเลือกข้อ 1 อาจเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 2 หรือ 3 ก็ได้)(ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ)

47. ข้อใดมีกริยาช่วยแสดงกาล
1. เขามาหาเธอ
2. เขาไปเที่ยวมา
3. เขามาทำงานสาย
4. เขาไม่มาสอบ

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ) โดยประโยค “เขาไปเที่ยวมา” ย่อมแสดงอดีตว่า ได้กลับจากที่อื่นมาถึงที่พัก

48. ข้อใดมีกริยาช่วยแสดงภาวะของอารมณ์
ตอบ 3 หน้า 123 – 126 (52067), 101 (H) คำที่แสดงมาลา (แสดงภาวะหรืออารมณ์) อาจใช้กริยาช่วยได้แก่ คง พึง จง ต้อง อาจ โปรด ย่อม เห็นจะ ฯลฯ หรือใช้คำอื่น ๆ ได้แก่ น่า นา เถอะ เถิด ซิ ซี ซินะ นะ น่ะ ละ ล่ะ เล่า หรอก ดอก ฯลฯ มาช่วยแสดง เช่น เขาต้องไปหาเธอเป็นการแสดงความแน่ใจมั่นใจของผู้พูด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีกริยาช่วยแสดงกาล) (ดูคำอธิบายข้อ 10.ประกอบ)

49. ข้อใดไม่มีกริยาช่วย
1. จอยร้องเพลงเพราะมาก
2. เจี๊ยบกำลังเต้น
3. เชอรี่จะไปดูหนัง
4. แอนนาอยากไปวัด

ตอบ 1 หน้า 120 (52067), 100 – 101 (H) คำ กริยาช่วย คือ คำที่ช่วยบอกเนื้อความของกริยาให้แจ่มแจ้งชัดเจน โดยจะบอกให้รู้เกี่ยวกับกาล (เวลา) มาลา (ภาวะหรืออารมณ์) และวาจก(ความสัมพันธ์ระหว่างคำกริยากับคำอื่นในประโยค)ซึ่งแต่ละคำจะมีความ หมายต่างกันไป ได้แก่ คง อาจ น่าจะ กำลัง ควร ต้อง ได้ จะ แล้ว อยู่ อยาก ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 50. – 51. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. สมชายเป็นคนโสด
2. มากหมอมากความ
3. บ้านนี้ส่งเสียงดัง
4. บางคืนมืด บางคืนสว่าง

50. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ

ตอบ 1 หน้า 130 – 131 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ ได้แก่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ฯลฯ นอก จากนี้ยังมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับที่เป็น “หนึ่ง” กับ “สอง” อีกหลายคำแต่ก็มีความต่างกัน ซึ่งจะนำมาใช้แทนกันไม่ได้ เช่น เดียว เดี่ยว คี่ โสด คู่ ฯลฯ (ส่วนคำว่า “มาก”ในตัวเลือกข้อ 2 เป็นคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้)

51. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกความแบ่งแยก

ตอบ 4 หน้า 133 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนแบ่งแยก ได้แก่ ต่าง ต่าง ๆ ละ ทุก บ้าง บาง ฯลฯ เช่น บางคืนมืด บางคืนสว่าง (ไม่ได้หมายความว่าทุกคืนหรือตลอดไป)

52. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
1. เธออยากไปวัดไหน
2. คนไหนคนรักเธอ
3. คนอะไรไม่รักดี
4. เธอบอกรักเขาวิธีใด

ตอบ 3 หน้า 137 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ใด ไหน อะไร ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับคำคุณศัพท์บอกคำถาม แต่คำคุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหนและไม่ได้เป็นการถาม เช่น อย่างใดอย่างหนึ่ง คนอะไรไม่รักดี คนไหนก็เหมือนกัน ฯลฯ

53. ข้อใดไม่สามารถละบุรพบทได้
1. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ
2. กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง
3. วัวของใครเข้าคอกคนนั้น
4. ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

ตอบ 2 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมาเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น วัวของใครเข้าคอกคนนั้น(วัวใครเข้าคอกคนนั้น), ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว (ให้ทุกข์ท่านทุกข์นั้นถึงตัว) ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม (ส่วนตัวเลือกข้อ 1 ไม่มีคำบุรพบท)

54. ข้อใดใช้คำบุรพบทตามแทนได้
1. ของ ๆ ใครของใครก็ห่วง
2. สุดแต่ใจจะไขว่คว้า
3. รักเธอด้วยหัวใจบริสุทธิ์
4. ฉันกับเธอคือสุขนิรันดร์

ตอบ 2 หน้า 144 – 145 (52067) คำว่า “ตาม” เป็น คำบุรพบทที่นำหน้าคำวิเศษณ์ คำนามหรือคำบุรพบทเองเพื่อขยายความให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะใช้ในความว่า “แล้วแต่ / สุดแต่ / ตามใจ” คือ สุดแต่ใจ แล้วแต่ใจ เช่น สุดแต่ใจจะไขว่คว้า / ตามใจจะไขว่คว้า เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 55. – 57. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. ฝนตกรถจึงติด2. ถ้าฝนไม่ตกรถคงไม่ติด
3. ฝนตกราวกับฟ้ารั่ว
4. ฉันจะไปหาเธอแม้รถจะติด

55. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งกัน
ตอบ 4 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่,แต่ว่า,แต่ทว่า,จริงอยู่…แต่,ถึง…ก็, กว่า…ก็ (ประโยค “ฉันจะไปหาเธอแม้รถจะติด” มีความหมายเหมือนกับสันธานที่เชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้หรือคาดคะเน แต่คำว่า “แม้” มีความหมายขัดแย้งกันมากกว่า)

56. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้
ตอบ 2 หน้า 156 – 157(52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า…ก็,ถ้า…จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า,เว้นแต่,นอกจาก

57. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน
ตอบ 3 หน้าที่ 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว…ก็, แล้ว….จึง, ครั้น….ก็, เมื่อ…ก็,ครั้น….จึง,เมื่อ….จึง,พอ….ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง,ทั้ง..ก็, ทั้ง..และ, ก็ได้, ก็ดี,กับ,และ

58. ข้อใดไม่ใช่คำอุทาน
ตอบ 2 หน้า 159 (52067), 109 (H) คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจ ได้แก่
1. อารมณ์ตกใจ เช่น อ๊ะ,โอ๊ะ,อุ๊ย,ว้าย,ตายเชียว,ตายแล้ว,ตายจริง (อาจอุทานแสดงความตกใจหรือแปลกใจก็ได้)ฯลฯ
2. อารมณ์ดีใจ เช่น โอ้โฮ,เอ้อเฮอ,อุ๋ย,แหม ฯลฯ
3. อารมณ์แปลกใจ เช่น เอ๋อ,เอ๋,เอ๊ะ,อุ๊,อื้อฮือ ฯลฯ
4. อารมณ์เสียใจ เช่น โธ่,โถ,โธ่เอ๋ย,พุทโธ่ ฯลฯ
5. อารมณ์โกรธ เช่น ฮึ,เฮอะ,เชอะ.เอออุเหม่ ฯลฯ

59. ข้อใดคือลักษณนามของไม้ไต่คู้
1. ไม้
2. ต้น
3. ตัว
4. เครื่องหมาย

ตอบ 3 หน้า 160 – 167 (52067), 109 – 110 (H) คำลักษณนาม คือ คำ ที่ตามหลังคำบอกจำนวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้างหน้าคำ บอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียวแต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบ เทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และการเทียบแนวเทียบ เช่น พันธบัตร พินัยกรรม บริคณห์สนธิ ปริญญาบัตร (ฉบับ), ไม้เอก ไม้โท ไม้ตรี ไม้จัตวาไม้ไต่คู้ ไม้ทัณฑฆาต ไม้หันอากาศ (ตัว) ฯลฯ

60. ข้อใดคือลักษณนามของพันธบัตร
1. ใบ
2. แผ่น
3. ฉบับ
4. พันธบัตร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 61. – 70. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

เราคงจะสังเกตได้นะครับว่า ทุกวันนี้คนไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้าน “ความเป็นไทย” มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปบรรยายให้กับครูทั่วประเทศในประเด็นด้านเอกลักษณ์แห่งชาติ ซึ่งหลากหลายคนเมื่อถามไปว่า
ความเป็นไทยคืออะไร ? หรือ ความเป็นไทยเป็นอย่างไร ?

สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือเสียงเงียบสงัด หรือไม่ก็คำตอบประมาณว่าธงชาติไทยหรือศิลปวัฒนธรรมไทย
ทั้งนี้ในมุมมองของผม ความเป็นไทยนั้นต้องศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เข้าใจที่มาและที่ไปของเชื้อชาติและความดิ้นรนของบรรพบุรุษหลายร้อยปีกว่าจะสามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นดั่งทุกวันนี้
การที่เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์ได้ผู้ศึกษามีความจำเป็นต้องมีทักษะในการเรียนรู้ และที่สำคัญก็คือเข้าใจการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

คือ อ่านออกเขียนได้ แต่เท่านี้ยังไม่พ่อ ผมขอเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าต้องสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน
เราคงต้องยอมรับว่าภาษาไทยในวันนี้ผิดเพี้ยนและแตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะมี
คำศัพท์แปลก ๆ ออกมาแบบที่ตั้งตัวไม่ติด อาทิ เดี๋ยวนี้ได้รับ เอสเอ็มเอสแปลก ๆ ประมาณว่าใช้ภาษาไทยแบบ
วัยรุ่น อาทิ จิ่งดิ แปลว่า จริงเหรอ มาแว้ว แปลว่า มาแล้ว หรือ ชิมิ ชิมิ ซึ่งตีความหมายออกมาเป็นใช่ไหมใช่ไหม
บางทีคุยกับเด็กรุ่นใหม่เวลาเห็นผู้หญิงสวยก็พูดออกมาว่า “ โอ้โฮแหล่มจริง ๆ เธอคนนั้นห่านมาก ๆ ”แปลว่าเธอคนนั้นสุดยอด สวยจริง ๆ

แต่ที่ฮิตล่าสุดคือพูดแบบเหวงเหวง ซึ่งไม่รู้ว่าอ้างอิงจากใคร แต่มีความหมายสะท้อนถึงความไม่ชัดเจนไม่ตรงประเด็น โหวงเหวง นั่นแหละครับ

ทั้ง หมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างการใช้ภาษาไทยในสังคมยุคปัจจุบันแต่จะว่าไปแล้ว แทบจะทุกสังคมและทุกวัฒนธรรมย่อมมีความผิดเพี้ยนทางด้านภาษาอยู่แล้ว
เพียงแต่จะมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง

เพราะภาษามีความเป็นพลวัตของตัวเอง ต้องทันตามบริบทของสังคม และปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้คนในสังคม

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ภาษาไทยจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอคือแก่นของความเป็นภาษาไทยจะถูกทำลายและละเลยไปมากกว่านี้หรือไม่

สุด ท้ายเราคงได้แต่หวังว่าภาษาไทยที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการควรที่จะได้รับการ ดำรงรักษาให้ลูกหลานในอนาคตได้สืบทอดต่อไป มิใช่ค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยแนวทางและการใช้ศัพท์ใหม่ ๆ

วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๙ กรกฎาคมของทุกปี เพื่อ ระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ ๒๙ กรกฎคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า “ เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียงคือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ

ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่า ๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก

ดังนั้นวัตถุประสงค์ของวันภาษาไทยแห่งชาติได้แลเห็นว่าเป็นวันที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อกระตุ้น และปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติ ให้ตะหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจทำนุบำรุงส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

สังคมไทยในปัจจุบันอยู่ท่ามกลางยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม และไม่ใช่วัฒนธรรมของประเทศไทยเราอย่างเดียว แต่เป็นวัฒนธรรมต่างแดน เราคงบอกไม่ได้ว่าห้ามให้คนรุ่นใหม่บริโภควัฒนธรรมของเขา

แต่คำถามสำคัญก็คือ เราจะสามารถทำให้คนรุ่นใหม่และเห็นถึงความสำคัญของความเป็นไทยได้อย่างไร
เพราะบางทีมันเป็นเรื่องยาก ในการดำรงรักษาภาษาไทยให้ดี มันเป็นความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน กับสิ่งที่เราควรระลึกถึง ซึ่ง เป็นเรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างโลกที่เปลี่ยนแปลงกับความสวยงามใน อดีต เอาแคนักร้องบางคนเมื่อก่อนร้องเพลงไทยชัดมากเสียเหมือเกิน

แต่เดี๋ยวนี้ต้องลากเสียงจะได้ฟังแล้วเนียนซึ่งบางทีมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนาดบทความของผมชิ้นนี้ก็ยังมีการใช้ภาษาที่แตกต่างและอาจจะไม่มีในพจนานุกรรมก็ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งสำคัญอยู่ที่การเข้าใจ ความสำคัญของภาษาไทย การใช้ภาษาไทยอย่างถูกวิธี ถูกกาลเทศะ

ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรให้ความสำคัญมากกว่านี้

(จากคอลัมน์ “วัยทวีนส์” โดยเอกลักษณ์ ยิ้มวิไล หนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ หน้า ๒๐)

61. ความที่ให้อ่านเป็นวรรณกรรมประเภทใด
1. ข่าว
2. บทความ
3. ความเรียง
4. ปาฐกถา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความเรียง คือ งาน เขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตหรือประสงการณ์ซึ่งอาจจะเป็น ข้อเท็จจริง ทัศนคติ ข้อคิดเห็น หรือข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจากนั้นจึงสรุปให้เห็นความสำคัญของ เรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

62. จุดประสงค์ที่ผู้เขียนนำเสนอคืออะไร
1. ให้ความรู้
2. ให้ความรู้และความรู้สึก
3. ให้ข้อมูลและความคิด
4. วิเคราะห์และวิจารณ์

ตอบ 3 ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการนำเสนอ คือ ให้ข้อมูลและแสดงความคิดของตนเองเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน พร้อมทั้งทิ้งประเด็นเพื่อให้ผู้อ่านนำไปคิดพิจารณา

63. โวหารการเขียนเป็นแบบใด
1. บรรยาย
2. อธิบาย
3. อภิปราย
4. พรรณนา

ตอบ 3 หน้า 74 (46134), (คำบรรยาย) โวหารเชิงอภิปราย คือ โวหารที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็นซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ เพื่อ นำไปสู่ข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านให้คล้อยตามความคิดเห็นนั้น ๆ โดยผู้เขียนจะแสดงทัศนะรอบด้านทั้งในด้านบอกและลบเพื่อทิ้งท้ายให้ผู้อ่าน เก็บไปคิด แต่แท้จริงแล้วผู้เขียนมีประเด็นไว้ในใจแล้ว มักใช้ในการสั่งสอนชักจูงใจ และการตอบโต้กันทางหน้าหนังสือพิมพ์

64. ทำนองเขียนเป็นแบบใด
1. ภาษาเขียน
2. ภาษาพูด
3. ภาษาปาก
4. ทั้ง 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 58 (46134) ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วง ทำนองเขียนที่ใช้คำ ง่าย ๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีการใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากเป็นส่วนใหญ่

65. สารัตถะสำคัญของเรื่องคืออะไร
1. ภาษาไทยสำคัญกว่าธงชาติไทย
2. ภาษาไทยสำคัญกว่าศิลปวัฒนธรรมไทย
3. การใช้ภาษาไทยให้ถูกตามหลักภาษาและกาลเทศะเป็นเรื่องควรคำนึง
4. ความสำคัญของความเป็นไทยท่ามกลางอิทธิพลวัฒนธรรมต่างชาติเป็นเรื่องสำคัญ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ การใช้ภาษาไทยให้ถูกตามหลักภาษาและกาลเทศะเป็นเรื่องควรคำนึง

66. คำใดใช้ผิดจากความหมายเดิม
1. ซึ่งเป็นสิ่งดี
2. ตระหนักถึง
3. และเห็นว่า
4. ประมาณว่า

ตอบ 4 คำว่า “ประมาณ” หมายถึง กะหรือคะเนให้ใกล้เคียงจำนวนจริงหรือให้พอเหมาะพอควร เช่นประมาณราคาไม่ถูก,ราว ๆ เช่น ประมาณ 3 – 4 เดือน แต่ปัจจุบันได้มีการนำคำว่า “ประมาณว่า”มาใช้ผิดจากความหมายเดิม และกลายเป็นคำฟุ่มเฟือยไป

67. ข้อความที่ให้อ่านเป็นผลงานของผู้ใด
1. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล
2. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน
3. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล และอาจารย์ผู้บรรยาย
4. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล และผู้ออกข้อสอบ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ข้อความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า “จาก…” หมายถึง ข้อความที่ให้อ่านเป็นผลงานของผู้เขียนเดิมทั้งหมด คือ เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล โดยผู้ออกข้อสอบไม่ได้มีส่วนร่วม ใด ๆ ในข้อความที่นำมาให้อ่าน

68. คำตอบของผู้รับฟังคำบรรยาย เรื่องเอกลักษณ์ไทยเป็นอย่างไร
1. ถูกต้อง 50%
2. ถูกต้องเกินครึ่ง
3. แตกต่างจากทัศนะของผู้บรรยาย
4. แตกต่างจากความเชื่อที่สือต่อกันมา

ตอบ 3 จากข้อความ….ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปบรรยายให้กับครูทั่วประเทศในประเด็นด้านเอกลักษณ์แห่งชาติ ซึ่งหลากหลายคนเมื่อถามไปว่า ความเป็นไทยคืออะไร ? หรือ ความเป็นไทยเป็นอย่างไร ? สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือเสียงเงียบสงัด หรือไม่ก็คำตอบ ประมาณว่าธงชาติไทยหรือศิลปวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ในมุมมองของผม ความเป็นไทยนั้นต้องศึกษาเชิงประวัติศาสตร์กล่าวคือ เข้าใจที่มาและที่ไปของเชื้อชาติและความดิ้นรนของบรรพบุรุษหลายร้อยปีกว่าจะ สามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นดั่งทุกวันนี้

69. ข้อความใดไม่ถูกต้อง
1. ทุกภาษาย่อมมีความผิดเพี้ยน
2. ภาษาต้องเปลี่ยนตามบริบทของสังคม
3. วันภาษาไทยแห่งชาติคือวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505
4. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยการใช้ภาษาไทย

ตอบ 3 จากข้อความ….วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ ใน วันที่ 29 กรกฎคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

70. ภาษาไทยในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงเรื่องใดบ้าง
1. ความหมายและการออกเสียง
2. โครงสร้างของประโยค
3. การสะกดการันต์
4. ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 จากข้อความ…เราคงต้องยอมรับว่าภาษาไทยในวันนี้ผิดเพี้ยนและแตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย โดย เฉพาะมีคำศัพท์แปลก ๆ ออกมาแบบที่ตั้งตัวไม่ติด… อาทิ จิ่งดิ แปลว่า จริงเหรอ มาแว้ว แปลว่า มาแล้ว หรือ ชิมิ ชิมิ ซึ่งตีความหมายออกมาเป็นใช่ไหมใช่ไหม…ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างการ ใช้ภาษาไทยในสังคมยุคปัจจุบัน

ตั้งแต่ข้อ 71. – 80. เลือกคำที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด เพื่อเติมลงในช่องว่าระหว่างข้อความต่อไปนี้

ใน 71. เดือน 72. ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเผยแพร่ความรู้และความงดงามของผ้าชาวเขาทั้ง 6 เผ่า ที่ทอโดยสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จึงได้จัดนิทรรศการ 73. โดยมีท่านผู้หญิงจรุงจิตทีขะระ และท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร 74. ในพิธีเปิด ที่มาของผลิตภัณฑ์ของชาวเขา เริ่มจากการ 75. เยี่ยมราษฎรในภาคเหนือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งสอง 76. 77. ที่จะให้มูลนิธิฯ 78. อาชีพเพื่อเป็น 79. สำหรับชาวไทยภูเขาเพื่อให้ชาวเขา 80.

71. 1. โอกาส
2. พระโอกาส
3. วโรกาส
4. พระวโรกาส

ตอบ 1 คำว่า “โอกาส” และ “วโรกาส” เป็น คำที่มีความหมายไปในทางเดียวกัน แต่ “วโรกาส” จะใช้เฉพาะเมื่อขอโอกาสจากพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ และเมื่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ให้โอกาสเท่านั้น ส่วน กรณีอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นโอกาสพิเศษหรือโอกาสอันยิ่งใหญ่ของพระมหา กษัตริย์หรือเจ้านายพระองค์ใด ให้ใช้คำว่า “โอกาส”ทั้งหมด

72. 1. สิงหาคม
2. ประสูติ
3. พระราชสมภพ
4. พระบรมราชสมภพ

ตอบ 3 พระราชสมภพ หมายถึง เกิด ใช้กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราชและพระบรมราชกุมารี (ส่วนคำว่า “พระบรมราชสมภพ” ใช้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ”ประสูติ” ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า

73. 1. ผ้าไหมไทย
2. ผ้าไหมนานาชาติ
3. ผ้าชาวเขา
4. ผ้าสวยงาม

ตอบ 3 ข้อ ความดังกล่าวควรเติมคำว่า “ผ้าชาวเขา” เนื่องจากข้อความก่อนหน้ามีว่า…เพื่อเผยแพร่ความรู้และความงดงามของผ้าชาว เขาทั้ง 6 เผ่า… ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จึงได้จัดนิทรรศการผ้าชาวเขา

74. เป็นประธาน
2. ทรงเป็นประธาน
3. เป็นองค์ประธาน
4. ทรงเป็นองค์ประธาน

ตอบ 1 หน้า 111 – 112 (H) คำว่า “ท่านผู้หญิง” ปัจจุบัน เป็นคำนำหน้าชื่อสตรีที่สมรสแล้ว และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในชั้นทุติยจุล จอมเกล้าวิเศษขึ้นไปจึงไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ เพราะราชาศัพท์เป็นถ้อยคำที่ใช้กับบุคคลต่อไปนี้
1. พระบรมวงศานุวงศ์ไทยในระดับหม่อมเจ้า
2. เจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ
3. ตัวละครที่สมมุติว่าเป็นเจ้านาย
4. สมเด็จพระสังฆราช

75. 1. ทรงพระดำเนิน
2. เสด็จพระดำเนิน
3. เสด็จพระราชดำเนิน
4. ทรงเสด็จพระราชดำเนิน

ตอบ 3 หน้า 113 (H) เสด็จพระราชดำเนิน / เสด็จฯ หมายถึง เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 โดยห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว จะเติม “ทรง” เฉพาะหน้าคำกริยาสามัญเพื่อทำให้คำนั้นเป็นราชาศัพท์เท่านั้น

76. 1. ท่าน
2. องค์
3. พระองค์
4. พระองค์ท่าน

ตอบ 3 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3 )ได้แก่
1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน)
2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

77. 1. มีพระราชดำรัส
2. ทรงมีพระราชดำรัส
3. มีพระราชดำริ
4. ทรงมีพระราชดำริ

ตอบ 3 หน้า 117 (H) คำกริยา มี / เป็น เมื่อใช้เป็นราชาศัพท์มีข้อสังเกตดังนี้
1. หากคำที่ตามหลัง มี / เป็น เป็น นามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคำกริยา มี / เป็น อีก เช่น มีพระราชดำริ (มีคำพูด), มีพระราชดำริ (มีความคิด), เป็นพระราชธิดา เป็นลูกสาว) ฯลฯ
2. หากคำที่ตามหลัง มี / เป็น เป็นคำสามัญ ให้เติม “ทรง” หน้าคำกริยา มี / เป็น เพื่อทำให้เป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงมีลูกสุนัข, ทรงเป็นผู้แทนพระองค์ ฯลฯ

78. 1. อนุรักษ์
2. ส่งเสริม
3. เผยแพร่
4. รักษา

ตอบ 2 คำว่า “ส่งเสริม” หมายถึง ช่วย เหลือสนับสนุนให้ดีขึ้น (ส่วน “อนุรักษ์” หมายถึง ให้คงเดิม, “เผยแพร่” หมายถึง โฆษณาให้แพร่หลาย, รักษา” หมายถึง ระวัง ดูแล ป้องกัน สงวนไว้)

79. 1. คุณค่า
2. ศิลปะ
3. รายได้เสริม
4. ผลประโยชน์

ตอบ 3 คำ ว่า “รายได้เสริม” หมายถึง เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากเดิม (ส่วน “คุณค่า” หมายถึงสิ่งที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าสูง, “ศิลปะ” หมายถึง ฝีมือทางการช่าง การทำให้วิจิตรพิสดดาร, “ผลประโยชน์” หมายถึง ประโยชน์ที่ได้รับ)

80. 1. กินอิ่มนอนอุ่น
2. กินดีอยู่ดี
3. มีภูมิปัญญา
4. รักษาวัฒนธรรม
ตอบ 2 คำว่า “กินดีอยู่ดี” หมายถึง มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ขัดสนฝืดเคือง

ตั้งแต่ข้อ 81. – 85. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1. พูดเป็นไฟ พูดเป็นต่อยหอย พูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
2. ได้แกงเทน้ำพริก ได้ทีขี่แพะไล่ ได้คืบจะเอาศอก
3. ได้สติ ได้ฤกษ์ ได้หน้าลืมหวัง
4. ได้ดิบได้ดี เด็ดปลีไม่มีใย เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด

81. ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 119 – 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้
1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น พูดเป็นไฟ (พูดคล่องเหลือเกิน), พูดเป็นต่อยหอย (พูดฉอด ๆ ไม่หยุดปาก), พูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ (พูดห้วน ๆ), ได้ดับได้ดี (ได้ดี)
2. คำ พังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เขากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ได้แกงเทน้ำพริก (ได้ใหม่ลืมเก่า), ได้ทีขี่แพะไล่(ซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นเพลี๋ยงพล้ำลง), ได้คืบจะเอาศอก (ต้องการได้มากกว่าที่ได้มาแล้ว),เด็ดปลีไม่มีใย (ตัดขาด ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด)
3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติงคำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด (ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย)

82. ข้อใดเป็นคำพังเพยทั้งหมด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

83. ข้อใดเรียบลำดับถูกต้องตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

84. ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตเลย

ตอบ 3 ข้อ ความในตัวเลือกข้อ 3 เป็นคำกริยาทั้งหมด ได้แก่ ได้สติ (ได้คิด กลับระลึกขึ้นได้),ได้กฤษ์ (ถึงเวลาอันเป็นมลคล),ได้หน้าลืมหลัง (หลง ๆ ลืม ๆ)

85. ข้อใดมีความหมายที่เหมือนกันปรากฏอยู่มากที่สุด

ตอบ 1 ดูคำอธิบาย 81. ประกอบ

86. ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

1. แค็ตตาล็อก เคาน์เตอร์ เครดิท
2. เคลิบเคลื้อม เครื่องกล เคียบฟัน
3. คำกริยา คำวิเศษณ์ ลักษณะนาม
4. เดียรดาษ เดียรัจฉาน ไดโนเสาร์
ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เครดิท เคลิบเคลื้อม เคือบฟัน ลักษณะนาม ซึ่งที่ถูกต้องคือ เครดิต เคลิบเคลิ้ม เคลือบฟัน ลักษณะนาม

87. คำทับศัพท์ต่อไปนี้ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
1. เฮลิคอปเตอร์ อินเตอร์เน็ต ฮอร์โมน
2. โหวด มอเตรอร์ไซด์ แฮนบอล
3. อะตอม อะลูมิเนียม ฝรั่งเศส
4. สเปน ชาวสวิส เมืองสวิต

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ โหวต มอเตอร์ไซต์ แฮนบอล ซึ่งที่ถูกต้องคือ โหวด มอเตอร์ไซต์ แฮนต์บอล

88. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
1. ใบโหระพา ใบแมงรัก ใบกระเพรา
2. แมลงสาบ แมงดา หอยแมลงภู่
3. ถั่วลิสง ถั่วพู ถามไถ่
4. เถลือกถลน เถลไถล แถลงการณ์
ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ใบแมงรัก ซึ่งที่ถูกต้องคือ ใบแมงลัก

89. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับด้วยคำที่สะกดผิด
1. ลูกกระพราวน พลุกพล่าน พาลรีพาลขวาง พึมพำ
2. พระภูมิ พระหทัย พระหฤทัย พระทับ
3. พรวดพราด พร้อมมูน บกพร่อง ไหมพรหม
4. พบพาน พานหยากไย่ พานจะเป็นลม พานทอง

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ พร้อมมูน ไหมพรหม ซึ่งที่ถูกต้องคือ พร้อมมูล ไหมพรม

90. ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
1. ลิขสิทธิ์ ลิงโลด ลำเลิก
2. ลิปสติก ลิฟต์ โลดลิ่ว
3. ไล่เลียง ไล่เลี่ย ไม้ไล่
4. ริดรอน ลำไย รำไพ่

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ริดรอน ลำไย รำไพ่ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลิดรอน ลำไย ลำไพ่

91. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
1. ภาพ
2. เสียงพูด
3. ตัวอักษร
4. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การ ใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกัน ดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษาลักษณะภาษา หรือไวยกรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

92. การสื่อความหมายทางภาษาหมายถึงการกระทำอย่างไร
1. อ่านและเขียน
2. พูดและเขียน
3. อ่านและฟัง
4. พูดและอ่าน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การ พูดและการเขียนเป็นการสื่อความหมายทางภาษาเพื่อนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ ส่วนการอ่านและการฟังเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความ จำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง

93. การใช้ภาษาอย่างใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
1. เขียนและฟัง
2. เขียนและอ่าน
3. ฟังและพูด
4. อ่านและฟัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
1. กาละ
2. เทศะ
3. บุคคล
4. ทุกข้อที่กล่าวแล้ว

ตอบ 4 หน้า 6 – 10, 15 – 16 (46134) คำ ในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ
2. คำ ที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

95. การใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการกระทำอย่างไร
1. การฝึกฝน
2. การสังเกต
3. การเรียนรู้
4. การเอาใจใส่

ตอบ 1 หน้า 1, 81 (46134) การจะใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ประการ แรกจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องส่วนประกอบหรือระบบของภาษาเสียก่อน จากนั้นจึงต้องรู้จักใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม และทดลองฝึกฝนจนกระทั่งใช้ภาษาได้ผลตามความมุ่งหมาย เพราะการที่จะใช้ภาษาได้ดีหรือไม่เพียงไรนั้น จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญ

96. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรืองใดมากที่สุด
1. ระดับ
2. น้ำหนัก
3. ความหมาย
4. ภาพพจน์

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการ แปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

97. การศึกษาลักษณะภาษาไทย เพื่อประโยชน์อย่างไร
1. สอบได้คะแนนดี
2. ใช้ภาษาได้ถูกต้อง
3. ความรู้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
4. เพิ่มประสบการณ์ให้มากขึ้น

ตอบ 2 หน้า 1 (46134) ความ สำคัญของการศึกษาลักษณะภาษาไทยอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้ภาษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คือ สามารถพูด เขียน ฟัง และอ่านอย่างได้ผลสมความมุ่งหมาย

98. ข้อใดคือลักษณะของคำสแลงที่เกี่ยวกับระดับของคำ
1. ภาษาไม่สุภาพ
2. ภาษาที่มีความหมายแคบ
3. ภาษาที่เกิดง่ายตายเร็ว
4. ภาษาที่มีความหมายกว้าง

ตอบ 1 หนา 8 – 9 (46134), (คำบรรยาย) คำสแลง คือ คำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งความหมายของคำจะไม่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะ เป็นความหายที่กลุ่มกำหนดขึ้นใช้กันเองภายในกลุ่ม โดยมักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไปจึงถือเป็นคำภาษาปาก ที่ไม่สุภาพ ซึ่งไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการและกึ่งทางการเด็ดขาด เช่น กิ๊ก แอ๊บแบ๊ว วีน ชิวชิว เด็กแว้น งานเข้า ฯลน

99. “ปาดหน้า ฉุน ยิงดับ” เป็นภาษาประเภทใด
1. ภาษาเขียน
2. ภาษาโฆษณา
3.ภาษาพูด
4. ภาษาหนังสือพิมพ์

ตอบ 4 หน้า 9 (46134) ภาษาหนังสือพิมพ์ เป็นคำที่ใช้กันในวงการหนังสือพิมพ์ มักจะเป็นคำแปลก ๆ ที่สะดุดตาและเร้าความสนใจ ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจได้ด้วยความเคยชิน เช่น เทกระจาด สาดกระสุน สังหารโหด บินด่วน ปาดหน้า ฉุน ยิงดับ ฯลฯ

100. “นายมงคลขับรถชนช้างตาย” เป็นภาษาประเภทใด
1. ภาษาฟุ่มเฟือย
2. ภาษากำกวม
3. ภาษาสแลง
4. ภาษาที่ใช้สำนวนต่างประเทศ

ตอบ 2 หน้า 11 (46134) การ ใช้คำที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคำนึงถึงถ้อยคำแวดล้อม เพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กำกวม เพราะคำชนิดนี้ต้องอาศัยถ้อยคำซึ่งแวดล้อมอยู่เป็นเครื่องช่วยกำหนดความหมาย เช่น นายมงคลขับรถชนช้างตาย (คำว่า “ช้าง” อาจหมายถึงสัตว์หรือชื่อคนก็ได้)ดังนั้นจึงควรแก้ไขให้มีความหมายแจ่มชัดลงไปเป็น นายมงคลขับรถชนช้างตัวนั้นตาย

101. ข้อใดเป็นภาษาไม่เป็นทางการ
1. ราคาเท่าใด
2. ราคาเท่าไร
3. ราคาเท่าไหร่
4. ราคาเป็นอย่างไร

ตอบ 3 หน้า 15 (46134) คำ บางคำจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับกาลเทศะ กล่าวคือ ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการก็ควรใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ แต่ถ้าในโอกาสที่เป็นทางการก็ควรใช้คำให้เหมาะสม จะใช้คำระดับอื่นไม่ได้เป็นอันขาด เช่น ราคาเท่าใด ราคาเท่าไร ราคาเป็นอย่างไร ฯลฯ ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

102. คำว่า “เพลารถ เพลาเช้า” เป็นคำประเภทใด
1. คำพ้องรูป
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องพยางค์
4. คำพ้องความหมาย

ตอบ 1 หน้า 14 (46134) คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา”อาจจะอ่านว่า “เพ – ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

103. คำว่า “สัน สรร สรรค์ สัณฑ์” เป็นคำประเภทใด
1. คำพ้องรูป
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องความหมาย
4. คำพ้องพยางค์

ตอบ 2 หน้า 14 (46134) คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป) ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น สัน (สิ่งที่มีลักษณะนูนสูงขึ้นเป็นแนวยาว),สรร (เลือก คัด),สรรค์ (สร้างให้มีให้เป็นขึ้น), สัณฑ์ (ชัฏ ดง ที่รก) ฯลฯ

104. การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร
1. มีน้ำหนัก
2. มีความเหมาะสม
3. มีความถูกต้อง
4. มีความชัดเจน

ตอบ 1 หน้า 19 (46134) การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะ ช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้า ใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับข้อความนั้น ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

105. หนังสือของราชบัณฑิตยสถานเล่มใดที่ใช้ค้นคำ
1. พจนานุกรม พ.ศ. 2525
2. พจนานุกรม พ.ศ. 2542
3. พจนานุกรม พ.ศ. 2550
4. พจนานุกรม พ.ศ. 2553

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ราช บัณฑิตยสถาน เป็นหน่วยงานที่จัดทำพจนานุกรม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยจะให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (บอกคำเขียน) การออกเสียงคำอ่าน (บอกคำอ่าน) และนิยามความหมาย (บอกความหมาย) ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น ซึ่งพจนานุกรรมฉบับทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542

106. ประโยคใดใช้คำฟุ่มเฟือย
1. เขาถูกเลือกเป็นหัวหน้าชั้น
2. เขาเป็นคนดีจึงได้เป็นหัวหน้าชั้น
3. มันเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้เป็นหัวหน้าชั้น
4. เขาพึ่งได้รับคัดเลือกมาเป็นหัวหน้าชั้นคนใหม่

ตอบ 3 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น มันเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้เป็นหัวหน้าชั้น, แพทย์ทำการตรวจรักษาคนไข้ ฯลฯ

107. การใช้คำที่ไม่จำเป็นทำให้บกพร่องเรื่องใด
1. ชัดเจน
2. น้ำหนัก
3. ถูกต้อง
4. เหมาะสม
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

108. การใช้ภาษาเพื่อตกลงทางธุรกิจ ควรเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
1. ภาษากระชับรัดกุม
2. ภาษามีน้ำหนัก
3. ภาษาที่ใช้ถูกต้องชัดเจน
4. ภาษาที่ใช้ความเหมาะสม

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในภาษาพูดและภาษา เขียน คือ ความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไปเข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

109. การลำดับความทำให้ประโยคมีลักษณะ
1. ถูกต้อง
2. รัดกุม
3. ชัดเจน
4. เหมาะสม

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ
1. การรวบความให้กระชับ 2. การลำดับความให้รัดกุม 3. การจำกัดความ

110. การเว้นวรรคทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
1. รัดกุม
2. มีน้ำหนัก
3. ชัดเจน
4. มีภาพพจน์

ตอบ 3 หน้า 37 – 38, 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ
1. การเรียงคำให้ถูกที่
2. การขยายความให้ถูกที่
3. การใช้คำหรือประโยคตามแบบภาษาไทย
4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
5. การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

111. “แพทย์ทำการตรวจรักษาคนไข้” เป็นการใช้คำในลักษณะใด
1. ใช้คำกำกวม
2. ใช้คำผิดความหมาย
3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
4. ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

112. การทำประโยคให้รัดกุมทำได้ด้วยวิธีใด
1. ตัดคำ
2. ถ่วงคำ
3. ถ่วงความ
4. รวบความ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 109. ประกอบ

113. การใช้คำ “รุมกันเป็นห่วง” เป็นการใช้คำไม่เหมาะแก่สิ่งใด
1. กาละ
2. บุคคล
3. เทศะ
4. ข้อความ

ตอบ 4 หน้า 16 – 17 (46134) การใช้คำให้เหมาะกับข้อความ คือ คำ บางคำจะเหมาะกับข้อความอย่างหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับข้อความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ความหมายก็ไม่ต่างกันดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เช่น ควรใช้ว่า พากันเป็นห่วง, รุมกันเข้าไปซื้อของ, ชนะอย่างท่วมท้น, แพ้อย่างยับเยิน เป็นต้น

114. “มีคนล้มตาย บาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก” เป็นประโยคไม่เหมาะสมด้วยเหตุใด
1. เรียงลำดับคำ
2. ใช้คำฟุ่มเฟือย
3. ใช้คำกำกวม
4. ใช้คำผิดความหมาย

ตอบ 1 หน้า 37 (46134) การ เรียงลำดับคำให้ถูกที่ คือ ต้องวางประธาน กริยา หรือกรรมให้ตรงตามตำแหน่ง เพื่อให้ข้อความถูกต้องชัดเจน เช่น มีคนล้มตาย บาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก เป็นประโยค ที่เรียบลำดับคำไม่ชัดเจน จึงควรแก้ไขโดยเรียงลำดับคำให้ถูกที่เป็นมีคนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก

115. หน่วยงานใดที่กำหนดเรื่องคำเขียนคำอ่าน
1. มหาวิทยาลัย
2. ราชบัณฑิตยสถาน
3. สำนักนายกฯ
4. กรมประชาสัมพันธ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 105. ประกอบ

116. เดือนใดเป็นเดือนสำคัญสำหรับภาษาไท
1. กรกฎาคม
2. มิถุนายน
3. กันยายน
4. สิงหาคม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

117. “พระสงฆ์บิณฑบาตรตอนเช้าตรู่ทุกวัน” ประโยคนี้บกพร่องด้วยเหตุใด
1. เขียนคำผิด
2. ใช้คำผิดความหมาย
3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
4. วางส่วนขยายผิดที่

ตอบ 1 ประโยคดังกล่าวเขียนคำผิด จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น พระสงฆ์บิณฑบาตตอนเช้าตรู่ทุกวัน(คำว่า “บิณฑบาต” หมายถึง กิริยาที่พระภิกษุสามเณรรับของที่เขานำมาใส่บาตร)

118. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการภาษาไทยอย่างไร
1. ทรงประดิษฐ์อักษรไทย
2. ทรงก่อให้เกิดวันภาษาไทยแห่งชาติ
3. ทรงก่อตั้งหน่วยงานบัญญัติคำภาษาไทย
4. ทรงคิดคำศัพท์ภาษาไทยและให้ใช้อย่างเป็นทางการ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

119. ภาษาไทยและตัวอักษรไทยสะท้อนให้เห็นสิ่งใดมากที่สุด
1. ประเพณีของชาติไทย
2. วัฒนธรรมทางภาษาของชาติไทย
3. พัฒนาการทางภาษาของชาติไทย
4. ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติไทย

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภาษา ไทยและตัวอักษรไทยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางภาษาของชนชาติไทยซึ่งมีภาษา ที่เป็นของเราเองมาตั้งแต่พ่อขุนรวมคำแหงทรงเริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรและตัวเลข ไทยขึ้นเมื่อพ.ศ. 1826 จากนั้นก็พัฒนามาเป็นภาษาที่สวยงาม มีศิลปะในการนิพนธ์ จนกลายเป็นหนังสือที่เรียกว่า “วรรณคดี” เช่น ร้อยแก้วเรื่องสามก๊ก ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน)

120. “ภาษาไทยเป็นภาษาที่สวยงาม” สอดคล้องกับข้อใด
1. ภาษาหนังสือพิมพ์
2. ร้อยแก้วเรื่องสามก๊ก
3. อักษรพ่อขุนรามคำแหง
4. การคัดอักษรไทยตัวบรรจง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด) 120 ข้อ)

1. คำว่า “น้ำ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าข้ออื่น ๆ
1. น้ำตา
2. ห้องน้ำ
3. น้ำแข็ง
4. น้ำประปา

ตอบ 2 หน้า 15 – 16 , 40 – 42 , 90 -91 (52067), 33 – 34, 60 – 61, 80 81 (H) อัตราการออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพูดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของ เสียงคือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตรา สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) และหากเป็นคำเดี่ยวที่มีจังหวะเว้นระหว่างคำ น้ำหนักเสียงจะเสมอกัน เช่น คำว่า “ห้องน้ำ” เป็นคำประสม จึงลงเสียงเน้นที่พยางค์ท้ายยาว 2 มาตรา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “น้ำ” ที่อยู่พยางค์หน้าไม่ได้ลงเสียงเน้นจึงออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา)

2. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
1. จริงจัง
2. ทรงผม
3. สร้างสรรค์
4. ขวนขวาย

ตอบ 4 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้
1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือพยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วม เสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กราบกราน,เขลา,ขวาย,คลุกเคล้า,ตรอง,ปลา,ผลุด ฯลฯ
2. เสียงกล้ำ กันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง), สร้าง (ส้าง), สระ (สะ), แทรก (แซก),ทราบ (ซาบ), ทรง (ซง) ฯลฯ

3. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำไม่ถูกต้อง
1. เขาชอบกินหมูกระทะ
2. เธอรีบไปกะทันหัน
3. เธอใช้คำกะทัดรัดดี
4. เขาทำงานกระตือรือร้นดี

ตอบ 1 คำที่เขียนตัวควบกล้ำผิด ได้แก่ กระทะ ซึ่งที่ถูกต้องคือ กระทะ

4. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
1. ขนมคุกกี้หอมหวาน
2. ขนมเค้กร้านอร่อย
3. เสียงโน้ตดนตรีไพเราะ
4. เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโปรด

ตอบ 2 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น ขนมเค้กร้านอร่อย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ขนมคุกกี้หอมหวาน เสียงโน้ตดนตรีไพเราะ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโปรด

5. “นายจางเป็นลูกจ้างที่ร้านละจ่างเขาชอบเรียกช้างว่า จ๊าง จ๊าง” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
1. มีระบบเสียงสูงต่ำ
2. มีคำขยายบอกจำนวนนับ
3. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
4. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล

ตอบ 1 หน้า 2, 33 – 37 (52067),10,55, 58 (H) ระบบ เสียงสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์)ในภาษาไทยคือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมาย โดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น จาง (เสียงสามัญ)=น้อยไป แต่ในที่นี้ใช้เป็นชื่อคน,จ่าง (เสียงเอก) = สว่าง แต่ในที่นี้เป็นชื่ออาหารจีน (บะจ่าง),จ้าง(เสียงโท)= ผู้รับทำงาน เรียกลูกจ้างหรือผู้รับจ้าง เป็นต้น

6. ประโยคใดแสดงกาล
1.ไปกินข้าวกันไหม
2. กินข้าวกันเถอะ
3. กินข้าวแล้ว
4. กินข้าวเวลาใด

ตอบ 3 หน้า 2, 121 –123 (52067),7 – 8 (H) การ แสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไรซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอก กาลเวลาที่ต่างกันแล้ว เช่น จะ (บอกอนาคต),กำลัง/อยู่(บอกปัจจุบัน,ได้/แล้ว (บอกอดีต) ฯลฯ ยังมีคำกริยาวิเศษณ์หรือกิยาบางคำช่วยแสดงกาล โดยอาศัยเหตุการณ์และสภาแวดล้อมเป็นเครื่องชี้ดังนี้
1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ เดี๋ยวนี้, ขณะนี้, ตอนนี้, วันนี้ ฯลฯ
2. บอกอนาคต ได้แก่ พรุ่งนี้, มะรืนนี้, ปีหน้า, เดือนหน้า, ฯลฯ
3. บอกอดีต ได้แก่ เมื่อวานนี้, เมื่อก่อนนี้, เมื่อปีก่อน, เพิ่ง, มา ฯลฯ

7. ข้อใดมีคำบ่งบอกเพศ
1. เป็นแม่ทัพคนเก่ง
2. เป็นแม่ครัวโรงแรม
3. เป็นแม่พิมพ์ของชาติ
4. เป็นแม่กองการทำงาน

ตอบ 2 หน้า 2, 85,109 –110 (52067),6 – 7, 97 – 98 (H) คำ นามในภาษาไทยบางคำก็ระบุเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย ตา ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ชี สะใภ้ หญิง สาว ป้า ยาย ฯลฯ นอกจากนี้คำประสมบางคำก็สามารถบ่งบอกเพศได้แจ่มแจ้งอยู่ในตัว เช่น แม่ครัว (ผู้หญิงที่ทำครัว), พ่อครัว (ผู้ชายที่ทำครัว)แต่บางคำก็ไม่สามารถบ่งบอกเพศได้ต้องอาศัยความแวดล้อม ประกอบ เช่น แม่ทัพ (ผู้คุมกองทัพ),แม่พิมพ์ (ครูอาจารย์ที่ถือเป็นแบบอย่างความประพฤติ),แม่กอง (ผู้เป็นนายกอง หัวหน้างาน) ฯลฯ

8. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
1.กอง แกง กิน
2. ไก่ เกลียด กลัง
3. เก่า ก้าว แกะ
4. แก้ว ก้อย โกง

ตอบ 1 หน้า 8-14 (52067),17, 26, 29 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่ 28 เสียง คือ 1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว) 2. สระ ผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว) (ส่วนคำว่า “แก้ว” กับ “ก้อย” ลงท้ายด้ายพยัญชนะกึ่งสระ ย/ว จึงอาจเป็นได้ทั้งสระเดี่ยวเสียงยาว และสระผสม 2 เสียง คือ สระแอ + ว (แอ + อู) = แก้ว และสระออ + ย (ออ + อี) = ก้อย

9. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้นมากที่สุด
1. เพื่อน พู่ เพลา พอง พรุ่ง
2.พิง ไพร่ พอ เพลิน พัง
3. พัน ไพ่ พลุ พราน เพียง
4. พัก พูด เพราะ พริก แพะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ (คำที่ใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น ได้แก่ พรุ่ง พิง พัง พัน พลุ พัก เพราะ พริก แพะ

10. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
1. เขิน
2. แข็ง
3. เขา
4. ขัด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

11. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
1.ไล่
2. ลาว
3. เล่า
4. เลิศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

12. คำใดสะกดด้วยสระ อื + อา + อี
1. เมิน
2. แมว
3. เมีย
4. เมื่อย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067),24, 28, (H) คำ ว่า “เมื่อย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่ง เป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น เอือ + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อื + อา + อี = เอือย เช่น เมื่อย

13.คำใดสะกดด้วยสระ อี + อา + อู
1. เปรี้ยว
2. เปล่า
3. ปลุก
4. เปลี่ยน

ตอบ 1 หน้า 14 (52067),24, 26, (H) คำว่า “เปรี้ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เอียว เช่น เปรี้ยวเคี้ยว

14. “คำว่าไทยซึ้งใจมิใช่ทาสเขา” ประโยคนี้คำใดใช้สระผสม
1. คำ ไทย ใช่ เขา
2 . ว่า ซึ้ง ใจ ทาส
3. ไทย ใจ ใช่ เขา
4. ซึ้ง ใจ ใช่ ทาส

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

15.พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
1. กึกก้อง
2. จ๋อมแจ๋ม
3. ฟองฟู่
4. มอมแมม

ตอบ 3 หน้า 19 (52067), 41 (H) พยัญชนะ เสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะต้นที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วนเพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่ เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปากแต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ) และ ฟ (ฝ) เป็นต้น

16. “เสด็จทางชลมารค” ข้อใดอ่านถูกต้อง
1. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – มาด
2. สะ – เด็ด – ทาง – ชน – มาก
3. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาด
4. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาก

ตอบ 4 คำว่า “เสด็จทางชลมารค” อ่านว่า สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาก

17. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
1. วาสนา
2. ปริศนา
3. นาตยา
4. สยาม

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น นาตยา (นาด – ตะ – ยา), ขจร (ขะ – จอน), ขจี (ขะ – จี), ทวี (ทะ – วี) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นออกเสียงแบบนำกันมา หรืออักษรนำ (มีเสียง ห นำ)ได้แก่ วาด – สะ – หนา,ปริด – สะ – หนา,สะ – หยาม)

18. ข้อใดออกเสียงเป็นอักษรนำ (นำกันมา) ทุกคำ
1. สละ ขจร ปลัด
2. สมุด ขยะ จริต
3. ขจี สมุน ถนัด
4. ขยี้ สมาน ทวี

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น สมุด (สะ- หมุด),ขยะ (ขะ – หยะ),จริต (จะ – หริด), สละ (สะ –หละ), ปลัด (ปะ – หลัด), สมุน (สะ – หมุน), ถนัด (ถะ – หนัด), ขยี้ (ขะ – หยี้), สนาม (สะ – หนาม) เป็นต้น (ดูคำอธิบายข้อ 17 ประกอบ)

19. “บุญนำพา กลับมาถึงถิ่น ทรุดกายลงจูบดิน” ข้อความนี้มีคำตายกี่คำ
1. 2 คำ
2. 3 คำ
3. 4 คำ
4. 5 คำ

ตอบ 2 หน้า 28 (52067), 51 (H) (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ)
คำ เป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคำที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงยาวรวมทั้งสระอำ ใอ ไอ เอา (เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว) เช่น บุญ นำ พา มา ถึง ถิ่น กาย ลง ดิน เป็นต้น ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคำที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงนั้น (ยกเว้นสระอำ ใอ ไอ เอา) เช่น กลับ ทรุด เป็นต้น

20. ข้อใดมีคำตายมากว่าคำเป็น
1. พระ ตัก น้ำ รด บาตร
2. พระ ดัง เสก น้ำ มนต์
3. พระ หาย ไป จาก วัด
4. พระ สงฆ์ กวาด ลาน วัด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ (คำตาย เช่น พระ ตัก รด บาตร เสก จาก วัด กวาด)

21. ข้อใดกระจายคำว่า “โหล” ถูกต้อง
1. พยัญชนะต้น = ห
2. สระ = สระโอะ
3. ตัวสะกด = ล
4. วรรณยุกต์ = เสียงจัตวา

ตอบ 4 หน้า 8, 17 , 35 – 36 (52067), 17, 37 (H) คำ ว่า “โหล” (ออกเสียงว่า โหล) มีพยัญชนะต้นคือ “หละ”เป็นพยัญชนะคู่เรียงกัน 2 ตัว และออกเสียงทั้งคู่ ใช้สระโอ ไม่มีตัวสะกด และมีวรรณยุกต์เสียงจัตวา(แต่ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์)

22. ข้อใดใช้คำถูกต้อง
1. พระสงฆ์ออกบิณฑบาตร
2. เธอชอบผัดวันประกันพรุ่ง
3. เขามีเครื่องรางของขลัง
4. คุณยายไปบังสุกุลที่วัด

ตอบ 2 คำที่เขียนผิด ได้แก่ บิณฑบาต เครื่องลาง บังสุกุล ซึ่งที่ถูกต้องคือ บิณฑบาต เครื่องราง บังสุกุล

23. ข้อใดไม่ใช่คำอุปาสื่อความหมาย
1. เพลงนี้ถูกใจจริง ๆ
2. อาหารร้านนี้ถูกปากฉันมาก
3. วันนี้ฉันถูกหวย
4. ฉันคุยกันเขาถูกคอกันเหลือกิน

ตอบ 3 หน้า 48 – 49, 86 (52067), 64, 80 (H) คำ อุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. คำ อุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา (นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก),ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) เป็นต้น
2. คำ อุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งส่วนมากเป็นคำประสม เช่น ถูกใจ (ชอบ ต้องใจ), ถูกปาก (อร่อย),ถูกคอ (ชอบพอ ถูกอัธยาศัยกัน) เป็นต้น (ส่วนคำว่า “ถูกหวย” เป็นความหมายโดยตรงไม่ใช่คำเปรียบเทียบ)

24. คำว่า “ราด – ลาด” จัดเป็นคำประเภทใด
1. คำที่มีความหมายเหมือนกัน
2. คำแยกเสียงแยกความหมาย
3. เป็นคำอุปสรรคเทียม
4. คำพ้องเสียงพ้องความหมาย

ตอบ 2 หน้า 51, 53 – 55 (52067), 65 – 66 (H) การ แยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ พยัญชนะต้น ร กับ ล มีเสียงต่างกัน เช่น “ราด- ลาด” แปลว่า ทำให้แผ่กระจายออกไปเหมือนกันแต่ “ราด” เป็นการเทของเหลว เช่น น้ำให้กระจายแผ่ไป หรือให้เรี่ยรวดไปทั่ว ส่วน “ลาด” เป็นการปูให้แผ่ออกไป เช่น ลาดพรม ปูลาดอาสนะ เป็นต้น

25. “ข้างนอกฝนตก………ในบ้านน้ำประปาก็ไหล……..” ควรเติมคำใดลงในประโยค
1. กะปริบกะปรอย/ กะปริดกะปรอย
2. กะปริดกะปรอย/กะปริบกะปรอย
3. กระปริดกระปรอย/ กระปริบกระปรอย
4. กระปริบกระปรอย/ กระปริดกระปรอย

ตอบ 1 หน้า 56 – 57 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ) การ แยกเสียงแยกความหมายที่พยัญชนะตัวสะกดต่างกัน ได้แก่ แม่กดกับแม่กบ เช่น “กะปริบประปรอย- กะปริดกะปรอย” แปลว่า มีลักษณะไหล ๆ หยุด ๆ ทีละเล็กทีละน้อย คล้าย ๆ กัน แต่คำว่า “กะปริบกะปรอย” มักใช้กับฝนที่หยาดลงมาทีละน้อย

26. ข้อใดมีคำประสมอยู่ในประโยค
1. พี่น้องของฉันไปท่องเที่ยว
2. พ่อแม่ขึ้นรถไปเที่ยววัด
3. ฉันขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สยาม
4. ลูกหลานไปเยี่ยมคุณย่า

ตอบ 3 หน้า 65, 80, 82 (52067), 69, 78 – 79 (H) คำ ประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น(คำตัวตั้ง)ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว ได้แก่ คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นคำนามและคำขยายเป็นคำนามด้วยกัน เช่น รถไฟฟ้า หมายถึง รถที่พ่วงกันเป็นขบวนยาวโดยขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แล่นไปตามราง เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำซ้อนเพื่อความหมาย ได้แก่ พี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลาน)

27. ประโยคใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
1. เขาอยู่กับพ่อตาแม่ยาย
2. ชาวบ้านอำเภอนี้สามัคคีกันดี
3. เธอเป็นคนหงุดหงิดตลอดเวลา
4. แถวนี้คนอยู่หนาแน่นต้องระมัดระวังให้ดี

ตอบ 4 หน้า 62 – 75 (52067), 67- 74 (H) คำซ้อน คือ คำเดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. คำซ้อนเพื่อความหมาย(มุ่งที่ ความหมายเป็นสำคัญ) ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น หนาแน่น,ฆ่าฟัน,เดือดร้อน ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขมร) ฯลฯ หรือเป็นคำภาษาอื่นซ้อนกันเอง เช่น รูปภาพ (บาลีสันสกฤต + บาลีสันสกฤต) ฯลฯ 2. คำซ้อนเพื่อเสียง(มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น หงุดหงิด (สระอุ + อิ), เหวอะหวะ (สระเออะ + อะ) ฯลฯ

28. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
1. ผู้ร้ายฆ่าฟันชาวบ้าน
2. ผู้รายทำให้ชาวบ้านเดือนร้อน
3. ผู้ร้ายถูกตำรวจจับเข้าคุก
4. ผู้ร้ายถูกทำร้ายจนมีแผลเหวอะหวะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 27 ประกอบ

29. “แต่ละวัน ๆ คนหน้าขาว ๆ ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ๆ จะออกไปวิ่งที่หน้าบ้าน”
ข้อใดอ่านคำที่เขียนด้วยไม้ยมกถูกต้อง
1. แต่ละวัน ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ…..
2. แต่ละวัน ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ สีดำ…..
3. แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ…..
4. แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว หน้าขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ สีดำ…..

ตอบ 3 ข้อความนี้ อ่านว่า แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ จะออกไปวิ่งที่หน้าบ้าน

30. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
1. เจ้าหน้าที่ ๆ รับผิดชอบ
2. คนดี ๆ เขาไม่พูดเช่นนี้
3. พื้นที่ ๆ ใช้เพาะปลูก
4. คนมั่งมี ๆ เงินทองมากมาย

ตอบ 2 หน้า 76 – 77 (52067), 76 (H) คำ ซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น คำซ้ำที่ซ้ำคำขยายนามแสดงพหูพจน์หรือเน้นลักษณะ ได้แก่ คนดี ๆ เขาไม่พูดเช่นนี้,มีแต่ปลาเป็น ๆ เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่ใช้คำซ้ำ เพราะเป็นคำที่พูดติดต่อเป็นความเดียวกัน และเป็นคำคนละประเภทกัน)

31. ยะยิบยะยับ เป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดใด
1. กร่อนเสียง
2. แบ่งคำผิด
3. เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
4. เทียบแนวเทียบผิด

ตอบ 1 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากอึก มะอึก,หมากขาม มะขาม,เมื่อรืน มะรืน
2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตอม้อ ตะม่อ,
ตาราง ตะราง,ต้นเคียน ตะเคียน,ต้นขบ ตะขบ
3. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาด ๆ ฉะฉาด,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
5. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,เลาะ ๆ ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ผู้ญาณ พยาน, ชาตา ชะตา,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น

32. คำใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด
1. กระโดกกระแดก
2. กระโผลกกระเผลก
3. กระชุ่มกระชวย
4. กระโชกกระชาก

ตอบ 3 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียมแนวเทียบผิด เช่นชุ่มชวย กระชุ่มกระชวย,ปรี้เปร่า กระปรี้กระเปร่า,ดี๋ด๋า กระดี๋กระด๋า,จุ๋มจิ๋ม กระจุ๋มกระจิ๋ม,เจิดเจิง กระเจิดกระเจิง

33. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทุกคำ
1. สะดือ กระดุม สะใภ้
2. ตะม่อ ตะราง มะอึก
3. ตะเคียน มะขาม กระจอก
4. ฉะนั้น กระโฉม ละเลาะ

ตอบ 2 หน้า 94 (52067), 84 – 85 (H), (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ)ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด ซึ่งเกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกันโดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วยเสียง “กะ” เช่น ลูกดุม ลูกกระดุม , นกจอก นกกระจอก,ผักโฉม ผักกระโฉม,จักจั่น จักกะจั่น,ผักสัง ผักกระสัง,ผักเฉด ผักกระเฉด,ตุ๊กตา ตุ๊กกะตา

34. ข้อใดเรียงลำดับคำอุปสรรคเทียมจากการกร่อนเสียง แบ่งคำผิด เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน และเทียบแนวเทียบผิด
1. จักจั่น ตะขบ กระดุกกระดิก กระปรี้กระเปร่า
2. กระสัง มะรืน กระจุกกระจิก กระดี๋กระด๋า
3. ชะตา ผักกระเฉด กระปลกกระเปลี้ย กระจุ๋มกระจิ๋ม
4. ฉะฉาด ตุ๊กตา กระเจิดกระเจิง กระอักกระอ่วน

ตอบ 3 หน้า 95 (52067), 85 (H),(ดู คำอธิบายข้อ 31,32และ 33 ประกอบ) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่น ดุกดิก กระดุกกระดิก,จุกจิก กระจุกกระจิก,ปลกเปลี้ย กระปลกกระเปลี้ย,อักอ่วน กระอักกระอ่วน

ข้อ 35 – 36 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. แมวจับหนู

2. หนูวิ่งเร็ว

3. แมวจับหนูตัวเล็ก

4. แมวสีดำกระโดด

35. ข้อใดมีส่วนขยายกรรม

ตอบ 3 หน้า 105 (52067), 95 – 96 (H) ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทำ และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทำ ซึ่งเรียกว่า คุณศัพท์ เช่น แมวสีดำกระโดด (ขยายประธาน),แมวจับหนูตัวเล็ก (ขยายกรรม)
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตำแหน่งอยู่หน้าคำกริยา เช่น แม่ชอบทำขนม(ขยายกริยา “ทำ”)หรือมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยาก็ได้ เช่น หนูวิ่งเร็ว (ขยายกริยา “วิ่ง”)

36. ข้อใดมีส่วนขยายกริยา

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 35 ประกอบ

37. ข้อใดมีครบทั้งภาคประธาน กริยา และกรรม
1. ฟ้าร้องครืน ๆ
2. ฝนตกทั้งคืน
3. นกกระจอกเทศวิ่งเร็ว
4. ผีเสื้อกันน้ำหวาน

ตอบ 4 หน้า 94 (H) ประโยค ที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำ ประกอบไปด้วยภาคประธาน + ภาคแสดง (กริยา และกรรม) ซึ่งทั้ง 2 ภาคอาจมีคำขยายเข้ามาเสริมความให้สมบูรณ์ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น ผีเสื้อ (ประธาน) กิน (กริยา) น้ำหวาน (กรรม) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่มีกรรม มีแต่ภาคประธาน กริยา และส่วนขยายกริยาเท่านั้น)

38. ข้อใดไม่มีภาคประธาน
1. นักเรียนเข้าแถว
2. นักเรียนวิ่งเร็ว
3. นักเรียนชอบวิชาพละ
4. นักเรียนถูกตี

ตอบ 4 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “นักเรียนถูกตี” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยาแล้วละภาคประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ตีนักเรียน เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำนาม “นักเรียน” เป็นประธานของประโยค)

ข้อ 39 – 41 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. ไม่ใกล้ไม่ไกล

2. ใกล้เข้าไปอีกนิด

3. ใกล้ไปไหม

4. อย่ามาเข้าใกล้นะ

39. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ 4 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วนคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

40. ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ 3 หน้า 102 – 103 (52067), 93 (H) ประโยคคำถาม หมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

41. ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ 1 หน้า 103 (52067), 90 (H) ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

42. ข้อใดมีคำนามทั้งเพศชายและเพศหญิง
1. แม่ชวนคุณป้าไปซื้อของ
2. พ่อไปหาพระที่วัด
3. เณรกับแม่ชีช่วยกันกวาดล้านวัด
4. แม่ผัวรักลูกสะใภ้มาก

ตอบ 3 ดูคำอธิบานข้อ 7 ประกอบ

43. “กล้วยทอดกินอร่อย” กล้วยเป็นคำนามที่ทำหน้าที่ใดของประโยค
1. ประธาน
2. ส่วนขยายประธาน
3. กรรม
4. ส่วนขยายกรรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบาย ข้อ 38 ประกอบ (ประโยค “กล้วยทอดกินอร่อย” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยา แล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่กินกล้วย เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค)

44. ข้อใดไม่ใช่สรรพนามแสดงคำถาม
1. เขาหายไปไหน
2. เรื่องไปถึงไหนแล้ว
3. ไหนล่ะเพลงที่เธอชอบ
4. ไหน ๆ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว

ตอบ 4 หน้า 111,116 – 1118 (52067), 99 (H) สรรพนาม ที่บอกคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหนซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น เขาหายไปไหน, เรื่องไปถึงไหนแล้ว, ไหนล่ะ เพลงที่เธอชอบ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของหรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

45. ข้อใดมีสรรพนามเชื่อมประโยค
1. ต่างรักต่างชอบ
2. ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์
3. นี่แหละรัก
4. ไหนล่ะคือรัก

ตอบ 2 หน้าที่ 111,119 (52067), 98,100 (H) สรรพนาม ที่ใช้แทนนามและเชื่อมประโยค ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ซึ่งจะใช้ในรูปประโยคที่มีประโยคเล็กซ้อนกับประโยคใหญ่ และสามารถทำให้คำที่ตามหลังมาทั้งหมดกลายเป็นคำขยายได้ เช่น ฉันรักคนที่ไม่เห็นแก่ตัว, ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์,ครูซึ่งใจดีย่อมไม่ดู,ความจริงอันปรากฏขึ้นมา ฯลฯ

46. คำว่าพ่อในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1
1. ไปหาพ่อเถอะ
2. ฟังพ่อนะ
3. พ่อได้ยินไหม
4. พ่อนอนหลับแล้ว

ตอบ 2 หน้า 112 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 1 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้พูดเอง เช่น ฉัน ดิฉัน อิฉัน กระผม ข้าพเจ้า เรา ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้พูดเพื่อความสนิทสนมรักใคร่ได้แก่ 1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ 2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานแทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ 3. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นจริงแทน เช่น น้อย ติ๋ว ต๋อย นุช แดง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “พ่อ” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 และ 3)

47. ข้อใดไม่มีคำกริยาช่วยแสดงกาล
1. เขาชอบกินข้าวคนเดียว
2. เขาจะไปกินข้าวกับเธอ
3. เขากินข้าวอยู่ที่บ้าน
4. เขาเพิ่มกินข้าว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

48. ข้อใดเป็นกริยาการีต
1. ไปไหว้พระ
2. ไปดูหนัง
3. ไปตรวจโรค
4. ไปซื้อของ

ตอบ 3 หน้า 128 (52067), (คำบรรยาย) คำ กริยาธรรมดาที่มีความหมายเป็นการีต (ทำให้) เป็นคำที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ และมีความหมายเฉพาะเป็นที่รู้กัน ซึ่งดูเหมือนว่าประธานเป็นผู้กระทำกริยานั้นเอง แต่ที่จริงแล้วประธานเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น ไปดูหมอ (ที่จริงคือ ให้หมอดูโชคชะตาให้ตน),ไปตรวจโรค (ที่จริงคือ ให้หมอยาตรวจโรคให้ตน),ไปตัดเสื้อทำผม (ที่จริงคือ ให้ช่างตัดเสื้อและทำผมให้ตน)เป็นต้น

49. คำว่า “มา” ในข้อใดไม่ใช่กริยาแท้
1. เขามาช้า
2. เขาไปเที่ยวมา
3. เขาไม่มานานแล้ว
4. เขาน่าจะมา

ตอบ 2 หน้าที่ 123 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ) คำว่า “มา” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วยถ้าเป็นกริยาช่วยจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยา แท้ โดยจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ ได้แก่ “มา” ที่เป็นกริยาช่วยจะแสดงอดีต เช่น เขาไปเที่ยวมา (แสดงอดีตว่า ได้กลับจากที่อื่นมาถึงที่พัก) หรือแสดงทิศทางเข้าหาตัวผู้พูด เช่น หันมาทางนี้ เอามานี่ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “มา” เป็นกริยาแท้หมายถึง เคลื่อนออกจากที่เข้าหาตัวผู้พูด)

50. คำคุณศัพท์ในข้อใดแสดงความชี้เฉพาะมากกว่าข้ออื่น ๆ
1. เขาอยู่นี่ไง
2. เขาอยู่ตรงนี้
3. เขาอยู่นั่นไง
4. เขาอยู่ตรงนั้น

ตอบ 2 หน้า 135 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์ขยายนามที่ชี้เฉพาะได้แก่ นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น โน่น ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำสรรพนามที่บอกความจำเพาะเจาะจง แต่ถ้าใช้เป็นคำคุณศัพท์จะต้องอยู่หลังคำนาม โดยคำว่า “นี่/นั่น/โน่น” จะใช้ขยายนามที่ไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร หรือเป็นของชนิดไหน แต่ถ้าใช้ “นี้/นั้น/โน้น” จะขยายนามที่ชี้เฉพาะมากกว่า เช่น เขาอยู่ตรงนี้ (ชี้เฉพาะที่ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด),เขาอยู่ตรงนั้น (ชี้เฉพาะที่ที่อยู่ไกลตัวออกไป)ฯลฯ

51. “ทุกวันฉันฝันถึงเธอ” ประโยคนี้มีคำคุณศัพท์ชนิดใด
1. ขอกจำนวนแบ่งแยก
2. บอกจำนวนนับไม่ได้
3. ขยายนามชี้เฉพาะ
4. บอกความไม่ชี้เฉพาะ

ตอบ 1 หน้า 133 – 134 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์บอกจำนวนแบ่งแยก ได้แก่ ต่าง ต่าง ๆ ละ ทุก บ้าง บาง ฯลฯ เช่น ทุกวันฉันฝันถึงเธอ (คำว่า “ทุก” ใช้ไว้หน้านามเพื่อขยายนามนั้นบอกจำนวนที่เป็นสองหรือมากกว่านั้น แยกกันไปที่ละจำนวน เป็นจำนวนที่กำหนดแน่ไม่มีเว้นอาจแยกเป็นทีละหนึ่งเช่น ทุกวัน)

52. “ฉันฝันถึงเธอเสมอ” ประโยคนี้มีคำกริยาวิเศษณ์ชนิดใด
1. บอกประมาณ
2. บอกความแบ่งแยก
3. บอกอาการและภาวะ
4. บอกเวลา

ตอบ 1 หน้า 139 (52067), 103 (H) คำ กริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้สามารถใช้เป็นคุณศัพท์ได้แทบทุกคำ เช่น ฉันฝันถึงเธอเสมอ (คำว่า “เสมอ” ใช้ขยายเพื่อบอกเวลาหลายครั้ง หรือบอกประมาณหลายครั้ง)

53. ข้อใดสามารถละบุรพบทใด
1. เขาเป็นคนของประชาชน
2. คำบอกรักของเขามีค่ามาก
3. น้ำตาของเขาเหือดหายไปกับความรัก
4. คำว่ารักของเขาก้องอยู่ในใจฉันเสมอ

ตอบ 3 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น น้ำตาของเขาเหือดหายไปกับความรัก (น้ำตาเขาเหือดหายไปกับความรัก) เป็นต้น แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

54. ขอใดไม่สามารถใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้
1. เขาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง
2. ดอกไม้ช่อนี้สำหรับเธอ
3. เยาอยากคุยกับเธอสองต่อสอง
4. เราควรพูดจากันด้วนดี

ตอบ 4 หน้า 144 – 146(52067), 105 – 106 (H) คำบุรพบท “ด้วยดี” กับ “โดยดี” จะมีความหมายคล้ายกัน แต่บางกรณีก็ใช้แทนกันไม่ได้ เช่น พูดจากกันด้วยดี (พูดกันด้วยอัธยาศัยไมตรี),พูดจากันโดยดี (ยอมพูดจากปรึกษาหารือ หรือประนีประนอมกันเมื่อเกิดการขัดแย้ง) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้ เช่น เขาใช้ชีวิตอยู่ตาม/โดยลำพัง,ดอกไม้ช่อนี้สำหรับ/เพื่อเธอ,เขาอยากคุยกับเธอ สองต่อสอง ซึ่งคำว่า “ต่อ” ในที่นี้มีความหมายเท่ากับ “กับ/และ”)

ข้อ 55. – 57 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. น้ำท่วมเพราะฝนตกหนัก

2. ฝนหยุดตกแล้ว แต่น้ำยังคงท่วมอยู่

3. ถ้าฝนไม่ตก น้ำคงไม่ท่วม

4. ครั้นฝนตก ดินก็ถล่มลงมา

55. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ 4 หน้าที่ 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว…ก็, แล้ว….จึง, ครั้น….ก็, เมื่อ….ก็,ครั้น….จึง,เมื่อ….จึง,พอ….ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง,ทั้ง…ก็, ทั้ง…และ, ก็ได้, ก็ดี,กับ,และ

56. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้

ตอบ 3 หน้า 156 – 157(52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า…ก็,ถ้า…จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า,เว้นแต่,นอกจาก

57. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งกัน

ตอบ 2 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่,แต่ว่า,แต่ทว่า,จริงอยู่…แต่,ถึง…ก็, กว่า…ก็

58. คำอุทานใดมีความหมายว่าเอิกเกริก
1. อื้ออึง
2. อึกทึก
3. ครื้นครั่น
4. ครึกครื้น

ตอบ 4 หน้า 159 – 160 (52067), 109 (H) คำอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคำวิเศษณ์ ได้แก่
1.อื้ออึง หมายถึง ลั่น ดังลั่น
2. อื้อฉาว หมายถึง เซ็งแซ่ โจษจัน
3. อึกทึก หมายถึง เอ็ดอึง
4.ครึกโครม หมายถึง ดังตึงตัง น่าตื่นเต้น
5.ครืน หมายถึง เสียงดังลั่น
6.ครื้นครั่น หมายถึง กึงก้อง 7.ครึกครื้น หมายถึง เอิกเกริก

59. ข้อใดจับคู่คำนามกับคำลักษณะนามไม่ถูกต้อง
1. แว่นตา – คู่
2. จอบ – เล่ม
3. คำร้อง – ฉบับ
4. เข็มทิศ – อัน

ตอบ 1 หน้า 160 – 165 (52067), 109 – 110 (H) คำ ลักษณะนาม คือคำที่ตามหลังคำบอกจำนวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้าง หน้าคำบอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียวแต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบ เทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และการเทียบแนวเทียบ เช่น แว่นตา เข็มทิศ ใบพัด (อัน),จอบ (เล่ม),คำร้อง ใบรับรอง ใบลา ใบสำคัญคู่จ่าย (ฉบับ), ใบเสมา ใบขับขี่ ใบสั่ง ใบมีดโกน ใบเลื่อย (ใบ),ใบสุทธิ ใบเสร็จ(ฉบับ/ใบ),ใบปลิว (ใบ/แผ่น)เป็นต้น

60. ข้อใดใช้คำลักษณะนามใบทุกคำ
1. ใบเสมา ใบขับขี่ ใบสั่ง
2. ใบรับรอง ใบลา ใบมีดโกน
3. ใบเลื่อย ใบสุทธิ ใบพัด
4. ใบปลิว ใบสำคัญคู่จ่าย ใบเสร็จ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 59 ประกอบ

ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความนี้

ที่ อำเภอหนึ่งเขามีงานเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์และสืบสานศิลปะการทอผ้า ตีนจกเอกไว้ไม่ให้สูญไปเป็นประจำทุกปีมาหลายปีแล้วละ งานนี้เป็นงานที่น่ารักมาก ชื่อว่างาน (นามสมมุติอีกเช่นกัน) “เทศกาลฮู้รักษาผ้าซิ่นตีนจก” อะไรทำนองนี้ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่างานชื่ออะไร แต่อยู่ที่ว่างานนี้มีคำว่า “ตีน” และ “ซิ่น” อยู่ด้วย
ที นี้นายอำเภอ (ซึ่ง “มะสะลุม” สันนิษฐานเอาเองว่าท่านคงไม่ใช้คนท้องถิ่น) ท่านก็เกิดนิมิตคิดใหม่ทำใหม่ขึ้นมาว่า งานนี้น่ะชื่อน่าเกลียดแท้ มีคำว่า “ตีน” ซึ่งไม่สุภาพแล้วยังไม่พอ ซ้ำยังมีคำว่า “ซิ่น” ซึ่งฟังดูแล้วไม่เพราะไม่เป็นมงคล (ฟังแล้วเหมือน “สิ้น”) อีกด้วย น่าจะเปลี่ยนชื่อเสียงใหม่ ให้ฟังดูไพเราะเสนาะหู อย่างเช่น “งานเทศกาลเบิกฟ้าผ้าเชิงจกกนกพัสตราภรณ์” อะไรบ้า ๆ ทำนองนี้ (นี่ก็นามสมมุติอีกเหมือนกัน..เดี๋ยวนี้ไม่ได้…จะพูดอะไรต้องระวังปาก)

พวกเราพลพรรคนักจ้อทั้งหลายฟังแล้วก็อดวิพากษ์กันไม่ได้ว่ามันเรื่องอะไรของแกวะ ทำไมถึงได้มีความคิดสร้างสรรค์ถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เอาเวลาไปคิดอย่างอื่นที่มันประเทืองปัญญา และมีประโยชน์มากกว่านี้ ไปวุ่นวายกับชื่อที่ชาวบ้านเค้าตั้งมาดีแล้ว ถูกต้องชัดเจนทำไมกัน ชื่อเดิมของเขาฟังดูก็ตรงประเด็นไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย ทั้งยังได้กลิ่นอายพื้นบ้านอีกด้วย

“มะสะลุม” นั้นมาคิดดูแล้วก็ให้นึกเสียดายว่า ในอดีตชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นและแสดงออกถึงประวัติศาสตร์ ตลอดจนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ถูกฝ่ายราชการทำลายไปด้วยความหวังดีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากแล้ว ทำให้สูญเสียงความหมายและรากภาษาดั้งเดิม จน ในบางครั้งคนในท้องถิ่นรุ่นหลัง ๆ นั้นเอง ก็ยอมรับเอาชื่อและความหมายใหม่ซึ่งเพี้ยนไปแล้วนั้นเข้าไว้โดยเข้าใจผิดและ บางครั้งถึงกับเอาความหมายผิด ๆ นั้น ไปใช้ออกแบบตามสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นเสียด้วย

อย่างเช่น อำเภอ “ร้องกวาง” เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันว่า หมาย ถึง ที่ซึ่งมีกวางมา “ร้อง” ถึงกับเขียนไว้ในประวัติอำเภอและทำเป็นรูปกวางกำลังร้อง (ถ้าดูไม่ดีอาจนึกว่าเป็นรูปหมาหอน) แต่ความจริงคำที่ถูกต้องนั้นคือ “ล้องกวาง” คำว่า “ล้อง” เป็นคำที่ใช้เรียกภูมิประเทศชนิดหนึ่งในภาษาเหนือ (เช่นเดียวกับภาษากลางมีคำว่า “บาง” เป็นต้น) และที่ “ล้อง” แห่งนี้มันมี “กวาง” เขาจึงเรียกว่า “ล้องกวาง” (ส่วนกวางมันจะ “ร้อง” หรือไม่ร้องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์)
บ้าน “สงเปลือย” นี่ก็อีก…บางทีก็เพี้ยนหนักเป็น “สงฆ์เปลือย” (อุ๊ยตายว้านกรี๊ด! ทั้งโป๊ ทั้งบาป)ที่จริงเขาชื่อ “สงเปือย” ต่างหาก “เปือย” เป็นภาษาอีสาน เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง

คนไทยเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ อายเรื่องที่ไม่ควรจะอาย แต่เรื่องที่ควรจะอาย กลับไม่อาย “ซิ่นตีนจก” แล้วมันจะเป็นไรไปหรือครับ คำว่า “ซิ่น” ก็เขียนต่างจาก “สิ้น” ความหมายก็ต่างกันเป็นคำพ้องเสียง ใคร ๆ ก็รู้ ส่วนคำว่า “ตีน” ก็ไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย มันต้องดู “บริบท ( Contex)” ด้วย คำว่า “ตีน” นั้นมันจะอยู่ส่วนไหนของประโยค ถ้า อยู่อย่างที่กล่าวมาแล้ว คนทั่ว ๆ ไปเขาก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร (ไม่ใช่อยู่ดี ๆ พูดว่า “ตีนแน่ะ” อย่างนี้ก็ค่อนข้างหยาบคายนะครับ..ไม่ควรพูด)

คำว่า “ตีน” นั้น คนไทยเราใช้พูดกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงฯ ก็ยังกล่าวถึง “เบื้องตีนนอน” ของกรุงสุโขทัยว่ามีอะไรบ้าง (ลองไปหาอ่านกันเองนะครับ)แปลกที่เบื้องตีนนอนของคนไทยสมัยสุโขทัยนั้นน่ะ หมายถึง “ทิศเหนือ” ไม่ยักใช่ทิศใต้ หรือทิศตะวันตกแสดงว่าคนไทยสมัยก่อนมีความนิยมนอนเอาหัวไปทางทิศใต้ เอาตีนไปทางทิศเหนือ ต่างจากความนิยมในปัจจุบันที่นิยมนอนเอาหัวไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก แล้วเอาตีนไปทางทิศใต้ หรือทิศตะวันตก

ต่อมาคนไทยเราก็เริ่ม (ดัดจริต) เปลี่ยนคำว่า “ตีน” บางคำมาเป็น “เท้า” แทน เช่น คำพังเพยว่า “มือไม่พาย เอาตีนราน้ำ” (เหมือน บางคน) เดี๋ยวนี้ก็นิยมพูดกันว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” นัยว่าสุภาพขึ้น หรือบางทีก็หลบไปใช้คำว่า “เชิง” (ซึ่งความจริงนั้นเป็นภาษาเขมร) แทน เช่น “ตีนดอย” “ตีนเขา” ก็ว่า “เชิงเขา” แต่ก็ยังมีอีกหลายคำที่เปลี่ยนจาก “ตีน” เป็นคำอื่นไม่ได้ ฟังแล้วไม่เป็นภาษาคนเลยทีเดียว อย่างเช่น “ตีนกา” (ที่ปรากฏอยู่บนหน้าคุณทั้งหลายที่อายุอ่อนกว่าหน้านั่นแหละ) จะให้เปลี่ยนเป็น “เท้ากา” หรือ “เชิงกา” ก็ฟังดูบ้า ๆ บอ ๆ ถึงมีที่เปลี่ยนไปเป็นภาษาบาลีเลยว่า “กากบาท”(ซึ่งแปลตรงตัวว่าตีนกา) แต่เราก็ใช้กันในคนละความหมายมานานแล้ว (แหมก็ใครอยากมี “กากบาท” ขึ้นเต็มหน้าบ้างล่ะแย่ยิ่งกว่า “ตีนกา” อีกนะ)

(เรียบเรียงและตัดจากเรื่อง อายตีน คอลัมน์ เลียบท่าพาที โดย “มะสะลุม” หนังสืออนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ 44 ฉบับที่ 3)

61. แนวคิดหลักของข้อความที่ให้อ่านคืออะไร
1. ภาษาถิ่นและภาษากลางสื่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ต่างกัน
2. ความหวังดีแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้ชื่อที่ถูกต้องกับความหมายเดิมถูกเปลี่ยนไป
3. ภาษาเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
4. ภาษาต่างถิ่นต่างสมัยย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ ความหวังดีแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำใช้ชื่อที่ถูกต้องกับความหมายเดิมถูกเปลี่ยนไป

62. ผู้เขียนมีความเห็นอย่างไรต่อชื่องาน “เทศกาลฮู้รักษาผ้าซิ่นตีนจก”
1. ไม่น่าฟัง ไม่สุภาพ ไม่เป็นมลคล
2. ไม่สามารถสื่อความหมายให้กับคนในภูมิภาคอื่น ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง
3. ตรงประเด็น ไม่หยาบคาย มีกลิ่นอายพื้นบ้าน
4. ชัดเจน มีประโยชน์ ประเทืองปัญญา

ตอบ 3 จาก ข้อความ…ไปวุ่นวายกับชื่อที่ชาวบ้านเค้าตั้งมาดีแล้ว ถูกต้องชัดเจนทำไมกัน ชื่อเดิมของเขาฟังดูก็ตรงประเด็น ไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย ทั้งยังได้กลิ่นอายพื้นบ้านอีกด้วย

63. ชื่อสถานที่ที่เป็นที่ต้องเป็นภาษาบ่งบอกลักษณะใด
1. สื่อความหมายแคบ
2. ต้องอาศัยบริบทจึงจะเข้าใจได้
3. สื่อความหมายได้เฉพาะรุ่น
4. สื่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์

ตอบ 4 จาก ข้อความ…. ในอดีตชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นและประวัติศาสตร์ตลอดจนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ถูกฝ่ายราชการ ทำลายไปด้ายความหวังดีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์มามากแล้ว ทำให้สูญเสียงความหมายและรากภาษาดั้งเดิม จนในบางครั้งคนในท้องถิ่นรุ่นหลัง ๆ นั้นเอง ก็ยอมรับเอาชื่อและความหมายใหม่ซึ่งเพี้ยนไปแล้วนั้นเข้าไว้โดยเข้าใจผิด

64. ชื่อสถานที่บางแห่งในปัจจุบันอยู่ในลักษณะใด
1. มีความเป็นสากล
2. ใช้สื่อความหมายได้เข้าใจทั่วประเทศ
3. สูญเสียความหมายและรากภาษาดั้งเดิม
4. ออกเสียงและเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63 ประกอบ

65. เบื้องตีนนอน ในสมัยสุโขทัยแสดงถึงอะไร
1. การใช้ภาษาบริสุทธิ์ในสมัยนั้น
2. คนไทยในอดีตเห็นความสำคัญของเท้า
3. คนไทยในอดีตไม่อายในเรื่องที่ไม่ควรอาย
4. ความนิยมในการกำหนดทิศทางนอนของอดีตและปัจจุบันตรงกันข้ามกัน

ตอบ 4 จากข้อความ…. แปลกที่เบื้องตีนนอนของคนไทยสมัยสุโขทัยนั้นน่ะ หมายถึง “ทิศเหนือ” ไม่ยักใช่ทิศใต้ หรือทิศตะวันตกแสดงว่าคนไทยสมัยก่อนมีความนิยมนอนเอาหัวไปทางทิศใต้ เอาตีนไปทางทิศเหนือ ต่างจากความนิยมในปัจจุบันที่นิยมนอนเอาหัวไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก แล้วเอาตีนไปทางทิศใต้ หรือทิศตะวันตก

66. การเลี่ยงใช้คำว่า ตีน ในภาษาปัจจุบันอยู่ในลักษณะใด
1. ไม่สามารถทำได้กับทุกคำเพราะไม่สื่อความหมายชัดเหมือนเดิม
2. ทำให้ภาษามีความหลากหลายจากการใช้คำพ้องความหมาย
3. ทำให้สื่อความหมายระหว่างภาคให้เข้าใจสะดวกขึ้น
4. ยังมีความลักลั่นเพราะพื้นฐานการศึกษาของผู้ใช้ภาษาต่างกัน

ตอบ 1 จากข้อความ… ต่อมาคนไทยเราก็เริ่ม (ดัดจริต) เปลี่ยนคำว่า “ตีน” บางคำมาเป็น “เท้า” แทน… แต่ก็ยังมีอีกหลายคำที่เปลี่ยนจาก “ตีน” เป็นคำอื่นไม่ได้ ฟังแล้วไม่เป็นภาษาคนเลยทีเดียว อย่างเช่น “ตีนกา” (ที่ปรากฏอยู่บนหน้าคุณทั้งหลายที่อายุอ่อนกว่าหน้านั่นแหละ) จะให้เปลี่ยนเป็น “เท้ากา” หรือ “เชิงกา” ก็ฟังดูบ้า ๆ บอ ๆ

67. ข้อความที่ให้อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด
1. ข่าว
2. บทความ
3. เรื่องสั้น ๆ
4. ปาฐกถา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปาฐกถา หมายถึง งานเขียนที่แสดงความคิดเห็นโดยคนคนเดียว หรืออาจจะเป็นความรู้และความคิดที่ได้มาจากวิทยากรเพียงคนเดียว

68. โวหารที่ใช้เป็นการเขียนแบบใด
1. บรรยาย
2. อธิบาย
3. อภิปราย
4. พรรณนา

ตอบ 2 หน้า 72 (46134),(คำบรรยาย) โวหาร เชิงอธิบาย คือโวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบการเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง เช่น การอธิบายความหมายของคำ กฎเกณฑ์ ทฤษฎีและวิธีการต่าง ๆ

69. ท่วงทำนองเขียนแบบใด
1. เรียบง่าย เป็นภาษาเขียน
2. กระชับรัดกุม
3. สละสลวย เป็นภาษาพูด
4. ชัดเจน เป็นภาษาพูด

ตอบ 4 หน้า 62 (46134) ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบชัดเจนแจ่มแจ้ง คือ อ่านเข้าใจง่ายไม่คลุมเครือซึ่งขึ้นอยู่กับการเลือกใช้คำง่าย ๆ ตรงความหมาย ผูกประโยคและเรียบเรียงข้อความดี มีเว้นวรรคและย่อหน้าถูกต้อง ทั้งนี้จะมีการใช้ภาษาพูดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เกิดความเป็นกันเอง

70. ข้อความที่ให้นักศึกษาอ่านเป็นการนำเสนอจากผู้ใด
1. “มะสะลุม”
2. ผู้เขียนเดิมและผู้ออกข้อสอบ
3. “มะสะลุม”
4. ผู้เขียนเดิมและผู้บรรยาย

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ข้อ ความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า “เรียบเรียงและตัดจาก..” หมายถึง ข้อความที่ให้อ่านเป็นการนำเสนอจากผู้เขียนเดิมและผู้ออกข้อสอบ โดยผู้ออกข้อสอบได้ตัดข้อความของผู้เขียนเดิมมกเรียบเรียงใหม่ ซึ่งอาจจะมีการปรับถ้อยคำ หรือตัดข้อความบางตอนที่ยาวเกินไปออก

ข้อ 71.-80. เลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดของแต่ละข้อ เพื่อเติมลงในช่วงว่างระหว่างข้อความที่เว้นไว้

ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พสกนิการยัง 71. 72. เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกใน 73. ของ 74.
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 75. ให้สำนักการสังคีต กรมศิลปากรซึ่งเป็นวงดนตรีไทยที่มาประโคมย่ำยาม 76. 77. ของพระบาทสมเด็จพระมลกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 78. 79. สมเด็จฯเจ้าฟ้าเพชรรัตน์นำมาใส่ทำนองไทยเดิม 80. วันละเพลงที่งานดังกล่าวด้วย

71. 1. เข้าเฝ้าฯ พระศพ
2. เข้าถวายอาลัยพระศพ
3. เข้าสักการะพระศพ
4 เข้าถวายสักการะพระศพ

ตอบ 3 เข้าสักการะพระศพ หมาย ถึง ทำความเคารพพระศพ ซึ่งคำว่าสักการะนั้นถวายกันไม่ได้ ถ้าจะใช้คำว่า “ถวาย” ควรเป็นการมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ เช่น วางพวงมาลาถวายสักการะพระศพ

72. 1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
2. สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
3. สมเด็จพระมาตุจฉา
4. สมเด็จพระปิตุจฉา

ตอบ 2 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ หมาย ถึง พี่สาว น้องสาว ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมหากษัตริย์ (ส่วนคำว่า “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ” หมายถึง พี่สาวของพระมหากษัตริย์, “สมเด็จพระมาตุจฉา” หมายถึง น้าที่เป็นน้องสาวแม่, “สมเด็จพระปิตุจฉา” หมายถึง อาที่เป็นน้องสาวของพ่อ)

73. 1. พระกรุณา

2. พระกรุณาธิคุณ

3. พระมหากรุณา

4. พระมหากรุณาธิคุณ

ตอบ 2 พระกรุณาธิคุณ หมาย ถึง พระคุณอันยิ่งที่มีความกรุณา ซึ่งหากต้องการเน้นว่าเป็นพระคุณที่ใหญ่หลวง ก็ให้ใช้ว่าพระมหากรุณาธิคุณ แต่ในที่นี้ใช้เพียงพระกรุณาธิคุณจะเป็นการสมควรกว่า (ส่วนคำว่า “พระกรุณา” หมายถึง ความกรุณา, “พระมหากรุณา” หมายถึง ความกรุณาที่ใหญ่หลวง)

74. 1. ท่าน
2. องค์ท่าน
3. พระองค์
4. พระองค์ท่าน

ตอบ 3 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่
1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นภาษาปาก)
2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ
5

75. 1. โปรด
2.ทรงโปรด
3. โปรดเกล้า
4. โปรดเกล้าฯ
ตอบ 4 หน้า 113 (H) โปรดเกล้าฯ (โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม) หมายถึง ทรงมีพระเมตตาและพอพระราชหฤทัยให้ (ส่วนคำว่า “โปรด” หมายถึง ชอบ รัก เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้วจึงไม่ควรเติม “ทรง” ซ้อนราชาศัพท์เข้าไปอีก)

76. 1. นำ
2. คัด
3. เชิญ
4. อัญเชิญ

ตอบ 4 อัญเชิญ หมายถึง เชิญด้วยความเคารพนับถือ (ส่วนคำว่า “นำ” หมายถึง พา เช่น นำมา, “คัด” หมายถึง ลอกข้อความหรือลวดลายออกมาจากต้นฉบับ, “เชิญ” หมายถึง แสดงความปรารถนาเพื่อขอให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความเคารพหรืออ่อนน้อม)

77. 1. บทประพันธ์
2. บทพระนิพนธ์
3. บทพระราชนิพนธ์
4. เรื่องที่ทรงแต่ง

ตอบ 3 หน้า 113 (H) บทพระราชนิพนธ์ หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเอง ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินีและพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “บทประพันธ์” หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง, “บทพระนิพนธ์”หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเอง ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า, “เรื่องที่ทรงแต่ง” ใช้กับเจ้านายชั้นรองลงมาถึงหม่อมเจ้า)

78. 1. ชนก
2. พระบิดา
3. พระชนก
4. พระราชชนก

ตอบ 4 พระราชชนก หมายถึง พ่อ ใช้กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งในที่นี้ก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

79. 1. ของ
2. ใน
3. แห่ง
4. ไม่ต้องใช้คำใด ๆ

ตอบ 2 หน้า 151 – 152 (52067) คำ ว่า “ใน” หมายถึง แห่ง ของ ใช้เป็นคำสุภาพนำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับเจ้านายในราชวงศ์ (ส่วนคำว่า “ของ” ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้ครอบครองซึ่งเป็นบุคคลสามัญ, “แห่ง” ใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของโดยเฉพาะที่เป็นนามธรรม)

80. 1. บรรเลง
2. ขับร้อง
3. ทรงบรรเลง
4. ทรงขับร้อง

ตอบ 2 ขับ ร้อง หมายถึง ร้องเพลงเป็นทำนอง ซึ่งในที่นี้สำนักการสังคีต กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาบุคคลที่เป็นสามัญชนมาขับร้อง จึงไม่ต้องเติม “ทรง” เพื่อทำให้เป็นคำราชาศัพท์ (ส่วนคำว่า “บรรเลง” หมายถึง ทำเพลงด้วยเครื่องดุริยางค์ให้เป็นที่เจริญใจ)

81. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด
1. เหล็กใน เหล็กกล้า เหล็กไหล เหลือเข็ญ
2. เหลาะแหละ เหิรห่าง แห่แหน เหี้ยมเกียม
3. แหนงหน่าย ใบโหระพา ใบกระเพาะ ใบแมงลัก
4. แหลกลาญ โหวงเหวง หมิ่นเหม่ หนุบหนับ

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เหิรห่าง แห่แหน เหี้ยมเกียม ซึ่งที่ถูกต้อง คือ เหินห่าง เหี้ยมเกรียม

82. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
1. แสลงโรค สเน่ห์ เสถียรภาพ
2. คำสแลง สุลุ่ย สุร่าย สุลต่าน
3. สุญญากาศ สุขภัณฑ์ สัญลักษณ์
4. สัณฐาน สัญชาตญาณ สันนิษฐาน

ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ สเน่ห์ ซึ่งที่ถูกต้อง คือ เสน่ห์

83. ข้อใดมีคำที่สะกดผิดปรากฏอยู่ด้วย
1. ยุคเข็ญ ยีราฟ เยินยอ
2. ไยดี เยื่อใย ผ้าเยียรบับ
3. แยบยล โยนกลอง เยื้องกาย
4. กลิ่นยี่หร่า ไม่ยี่หระ ยิ้มกริ่ม

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ไข่พะโร้ พอกพูล พ้องพาล ซึ่งที่ถูกต้องคือ สัมพันธ์ ผูกพัน พันธกรณี

ข้อ 86. – 90. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1.ร้อนตัว ร้อน ๆ หนาว ๆ ร้อนผ้าเหลือ 2. หน้าซื่อใจคต หน้าเนื้อในเสือ หน้าสิ่วหน้าขวาน
3. นกรู้ ไม่ร่มนกจับ ไก่อ่อนสอนขับ
4. ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ซื้อความหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ

86. ข้อใดเป็นคำพังเพยทั้งสิ้น

ตอบ 2 หน้า 199- 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น นกรู้ (ผู้ที่มีไหวพริบ รู้เท่าทันเหตุการณ์หรือภัยที่จะมาถึงตน), ไม้ร่มนกจับ (ผู้มีวาสนาย่อมมีคนมาพึ่งบารมี),ไก่อ่อนสอนขับ(ผู้มีประสบการณ์น้อย ยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน)

2. คำพังเพย หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น หน้าซื่อใจคด (มีสีหน้าดูซื่อ ๆ แต่มีนิสัยคดโกง),หน้าเนื้อใจเสือ (มีหน้าตาแสดงความเมตตาแต่ใจเหี้ยมโหด), หน้าสิ่วหน้าขวาน (อยู่ในระยะอันตรายเพราะอีกฝ่ายหนึ่งกำลังโกรธหรือมีเหตุการณ์วิกฤต), ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ (ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะว่าอย่างใด ผู้น้อยก็ต้องคล้อยตามไปอย่างนั้นเพราะกลัวหรือประจบ),ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ (ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน)

3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ (ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของแพง หรือทำอะไรไม่เหมาะกับกาลเวลาย่อมได้รับความเดือดร้อน)

87. ข้อใดมีแต่สำนวน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88. ข้อใดมีความหมายไปในทางลบทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

89. ข้อความที่มีความหมายตรงกันข้ามปรากฏอยู่

ตอบ 3 ข้อความที่มีความหมายตรงกันข้าม ได้แก่ นกรู้กับไก่อ่อนสอนขับ (ดูคำอธิบายข้อ 86.ประกอบ)

90. ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตปรากฏอยู่เลย

ตอบ 1 ข้อ ความในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำกริยาทั้งหมด ได้แก่ ร้อนตัว (กลัวว่าโทษหรือความเดือดร้อนจะมาถึงตัว), ร้อน ๆ หนาว ๆ (ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการคล้ายจะเป็นไข้เพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวหรือมีความเร่าร้อนใจกลัว ว่าจะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิ), ร้อนผ้าเหลือง (อยากสึก)

ข้อ 91 – 95 จงเลือกคำที่มีความหมายต่างจากคำอื่น ๆ

91. 1. บทความ
2. สารคดี
3. วารสาร
4. นวนิยาย

ตอบ 3 คำ ว่า “วารสาร” หมายถึง หนังสือที่ออกตามกำหนดเวลา เช่น วารสารราชบัณฑิตยสถานวารสารศิลปากร วารสารกรมการแพทย์ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมหรือข้อเขียนในรูปร้อยแก้วประเภทต่างๆ)

92. 1.สามแว่น
2. สวมรอย
3. สวมเสื้อ
4. สวมหมวก

ตอบ 2 คำ ว่า “สวมรอย” หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง(ส่วนตัวเลือกข้อ อื่นเป็นกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก,นุ่ง เช่น สวมกางเกง,ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

93. 1. พัดชา
2. พัดชัด
3. พัดโบก
4. พัดยศ

ตอบ 1 คำว่า “พัดชา” หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้โบกลม หรือพัดให้เย็น

94. 1. สีขาว
2. สีเข้ม
3. สีขาบ
4. สีเขียว

ตอบ 2 คำว่า “สีเข้ม” หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีขาว = มีสีอย่างสำลี, สีขาบ = สีน้ำเงินแก่อบม่วง, สีเขียว = มีสีอย่างใบไม้สด ฯลฯ)

95. 1. ทำนา
2. ทำไร่
3. ทำสวน
4. ทำเหมือง

ตอบ 4 คำว่า “ทำเหมือง” หมายถึง การประกอบอาชีพขุดแร่หรือหาแร่ในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้ทุนและแรงงานในการผลิตจำนวนมาก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ)

96. ข้อใดใช้ลักษณนามเดียวกับ “ซอ”
1. หนังสือ
2. ดินสอ
3. รถ
4. ปากกา

ตอบ 3 หน้า 162,164 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ) คำลักษณนามที่เป็นการอนุโลมตามแนวเทียบ เช่น คำลักษณนาม “คัน” ใช้สำหรับรถยนต์ ไวโอลิน ช้อน เบ็ด จักร ร่ม ซอ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ หนังสือ เล่ม, ดินสอ แท่ง, ปากกา ด้าม)

97. ลักษณนามของ “ลูกคิด” คืออะไร
1. ลูก
2. เครื่อง
3. อัน
4. ราง

ตอบ 4 (ดู คำอธิบายข้อ 59. ประกอบ) คำลักษณนาม “ราง” จะใช้เฉพาะสิ่งที่มีลักษณะเป็นราง เช่น ลูกคิดรางหนึ่ง,ระนาด 2 ราง, รางรถไฟ 3 ราง เป็นต้น

98. “คนขยันไม่ย่อท้อ…ความยากลำบาก” ใช้บุรพบทคำใด
1. กับ
2. ต่อ
3. ใน
4. แก่

ตอบ 2 หน้า 146 (52067), 105 – 106 (H) คำ ว่า “ต่อ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เกี่ยวกับการให้การรับ แต่มักจะใช้นำหน้าความที่เป็นผู้รับต่อหน้า เผชิญหน้าเป็นที่ประทุษร้าย เช่น คนขยันไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก (ความยากลำบากที่เห็นอยู่ต่อหน้า)

99. “เขาเน้นเสมอว่ากลัวอะไร…ความจน” ใช้บุรพบทคำใด
1. ต่อ
2. ซึ่ง
3. ใน
4. กับ

ตอบ 4 หน้า 144 (52067),105 (H) คำว่า “กับ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ได้ยินกับหู เขียนกับมือ ฯลฯ หรือใช้นำหน้าทำที่เป็นเครื่องประกอบ เครื่องเกี่ยวเนื่องกัน เช่น พูดกับเพื่อน กลัวอะไรกับความยากจน ฯลฯ

100. “เขามาโรงเรียน…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ใช้สันธานใด
1. กับ
2. ด้วย
3. แต่
4. มิฉะนั้น

ตอบ 3 หน้า 155 – 156 (52067), (ดูคำอธิบาย) 57. ประกอบ) คำ ว่า “แต่” เป็นสันธานที่ใช้เชื่อมความที่ขัดแย้งกัน ซึ่งใช้เชื่อมได้ทั้งที่ประธานคนเดียวกันทำกริยาต่างกัน เช่น เขามาโรงเรียนแต่ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตกฯลฯ หรือประธานคนละคนกันก็ได้ เช่น ฉันชอบแมวแต่น้องชอบหมา ฯลฯ

101. ความสำเร็จของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. ผู้ส่งสาร
2. ผู้รับสาร
3. ลักษณะของสาร
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1 (46134) ประสิทธิภาพหรือความสำเร็จของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กันองค์ประกอบต่อไปนี้
1.ผู้ส่งภาษา (ผู้ส่งสาร) ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน 2. สาร (ลักษณะของภาษา) 3.ผู้รับภาษา (ผู้รับสาร) ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

102. ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด
1. พูดและฟัง
2. ฟังและเขียน
3. อ่านและฟัง
4. เขียนและอ่าน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

103. ปัญหาการใช้ภาษาที่เห็นได้ชัดเจนคือข้อใด
1. อ่านและเขียน
2. เขียนและพูด
3. ฟังและอ่าน
4. พูดและฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัญหา การใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การเขียนและพูด ซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้อยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือ สื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

104. การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
1. เขียนและอ่าน
2. ฟังและอ่าน
3. พูดและฟัง
4. ฟังและเขียน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การ ฟังและการอ่านเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความรู้ หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

105. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
1. ภาพ
2. เสียงพูด
3. ตัวอักษร
4. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกันดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษา หรือไวยากรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

106. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

1. ระดับของคำ
2. น้ำหนักของคำ
3. ความหมายของคำ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ ของคำในข้อความที่เรียบเรียบขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการ แปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

107. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
1. กาละ
2. เทศะ
3. บุคคล
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 6-10, 15 – 16 (46134) คำ ในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตาม การยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2. คำ ที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาดคำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

108. คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด
1. ทางการ
2. กึ่งทางการ
3. ไม่เป็นทางการ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

109. ในโอกาสไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้
1. คำปาก
2. คำสุภาพ
3. คำภาษาถิ่น
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

110. ข้อใดใช้ภาษาเขียน
1. เมื่อไหร่เขาจะมา
2. อย่างไรก็ตาม
3. เธอจะมายังไง
4. ของราคาเท่าไหร่

ตอบ 2 หน้า 6 – 7 (46134) ระดับ ของคำในภาษาไทยมีศักดิ์ต่างกัน เวลานำไปใช้ก็ใช้ในที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้คำให้เหมาะสม กล่าวคือ คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำที่ใช้ในภาษาแบบแผน หรือภาษาเขียนของทางราชการ เช่น เมื่อใด เมื่อไร เท่าไร อย่างไร ฯลฯ ส่วนคำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ คำที่ใช้ในการพูดหือการเขียนอย่างไม่เป็นทางการ เช่น เมื่อไหร่ เท่าไหร่ ยังไง ฯลฯ

111. คำว่า “เพลาเช้า เพลารถ” เป็นคำประเภทใด
1. คำเหมือน
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องความหมาย
4. คำพ้องรูป

ตอบ 4 หน้า 14 (46134) คำ พ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกันดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “เพ – ลา” (กาล คราว เช่น เพลาเช้า เพลาเย็น) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน เช่น เพลารถ)ฯลฯ

112. คำว่า “สรร สรรค์ สัน สันต์” เป็นคำประเภทใด
1. คำเหมือน
2. คำพ้องรูป
3. คำพ้องเสียง
4. คำเปรียบเทียบ

ตอบ 3 หน้า 14 (46134) คำ พ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป)ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น สรร (เลือก คัด),สรรค์ (สร้างให้มีให้เป็นขึ้น),สัน (สิ่งที่มีลักษณะนูนสูงขึ้นเป็นแนวยาว),สันต์ (เงียบ สงบ สงัด) ฯลฯ

113. การใช้ประโยคควรเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
1. มีน้ำหนัก
2. รัดกุม
3. ถูกต้อง
4. กระชับ

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็กและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

114. การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
1. ถูกต้อง
2. รัดกุม
3. มีน้ำหนัก
4. มีภาพพจน์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

1. การรวบความให้กระชับ
2. การจำกัดความ

115. ความถูกต้องชัดเจนของประโยคขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. การเรียงคำ
2. การเว้นวรรค
3. การขยายความ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 37 – 38, 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้ คือ
1.การเรียงคำให้ถูกที่
2. การขยายความให้ถูกที่
3.การใช้คำตามแบบภาษาไทย
4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
5.การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

116. ข้อเขียนใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์
1. ข่าว
2. ตำรา
3. บทความ
4. หนังสือเรียน

ตอบ 3 หน้า 44 (46134), (คำบรรยาย) ประโยค ที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้ลึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและ รู้สึกขัดเขิน

117. “ตำรวจตามจับ 5 คนร้าย” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. เรียงคำไม่ถูก
2. ขยายความไม่ถูก
3. ไม่มีกริยาสำคัญ
4. ไม่ใช้ลักษณนาม

ตอบ 4 หน้า 167 (52067), 12 – 13 (46134) การ ใช้ลักษณนามจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลัก คือ รู้ว่าจะใช้กับคำนามคำใดและใช้ที่ใด ซึ่งลักษณนามจะใช้ตามหลังจำนวนนับ เช่น หนังสือ 5 เล่ม ฯลฯและใช้ตามหลังนามเมื่อต้องการเน้นข้อความนั้น เช่น หนังสือเล่มนั้น ฯลฯ

118. “เขาเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปตลาด” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. ไม่มีกริยาสำคัญ
2. ไม่กระชับ
3. ไม่รัดกุม
4. ไม่เกี่ยวข้องกัน

ตอบ 4 หน้า 40 (46134) ข้อ ความในประโยคหนึ่ง ๆ ควรจะมีเพียงอย่างเดียว หรือควรจะต้องเกี่ยวข้องกันไม่ควรให้กระจัดกระจายไปเป็นคนละเรื่อง ดังนั้นการใช้ประโยคหรือข้อความซ้อนกันจึงต้องระมัดระวังเรื่องใจความให้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น เขาเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปตลาด(ข้อความไม่เกี่ยวข้องกัน)จึงควรแก้ไข เป็น เข้าเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปโรงเรียน

119. “ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตก่อสร้าง” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. ขยายความไม่ถูก
2. ใช้คำฟุ่มเฟือย
3. ไม่เกี่ยวข้องกัน
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตก่อสร้าง (ใช้คำฟุ่มเฟือย)จึงควรแก้ไขเป็น ห้ามคนเข้าไปในเขตก่อสร้าง)

120. “เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง” ประโยคนี้ลักษณะอย่างไร
1. ถูกต้อง
2. เรียงคำไม่ถูก
3. ใช้คำขยายไม่ถูก
4. ไม่ใช้คำตามแบบภาษาไทย

ตอบ 4 หน้า 38 (46134), (ดูคำอธิบายข้อ 115.ประกอบ) การ ใช้คำตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผู้ขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ เช่น เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง (เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขเป็น เขาอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งจะทำให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องทีสุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ

  1. “สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้งยามสาย” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
  2. มีระบบเสียงสูงต่ำ
  3. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล
  4. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
  5. มีลักษณนามมากับคำขยายบอกจำนวนนับ

ตอบ 3 หน้า 2 (52067), 4 – 5 (H) ลักษณะ ภาษาไทที่เป็นภาษาคำโดดประการหนึ่ง คือ คำคำเดียวกันอาจมีความหายใช้ได้หลายหน้าที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปคำเลย จะรู้ความหมายและหน้าที่ได้ก็ด้วยการดูตำแหน่งในประโยค เช่น ข้อความข้างต้นมีคำว่า “สาย” และ “หยุด” อย่างละ 2 คำ ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายและหน้าที่แตกต่างกันไป

  1. ประโยคใดแสดงกาล
  2. ทำไมไม่ไปกินข้าว
  3. เขากินข้าวแล้ว
  4. เขายังไม่ได้กินข้าว
  5. เขากินข้าวกับใคร

ตอบ 2 หน้า 212 – 123 (52067) การแสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไร ซึ่งต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอกกาลเวลาที่ต่างกันดังนี้

  1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ อยู่, กำลัง, กำลัง.. อยู่, กำลัง…อยู่แล้ว
  2. บอกอนาคต ได้แก่ จะ, กำลังจะ, กำลังจะ..อยู่, กำลังจะ…อยู่แล้ว
  3. บอกอดีต ได้แก่ ได้, แล้ว, ได้..แล้ว, ได้…อยู่แล้ว, เพิ่ง, มา
  4. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น
  5. ใต้
  6. เต่า
  7. ต้อง
  8. ตก

ตอบ 4 หน้า 8 -14 (52067), 17 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่28 เสียง คือ 1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว) 2. สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว)

  1. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
  2. เรือ รอด
  3. รีด แรง
  4. ไร่ ร้าย
  5. เรื่อย ร้อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำใดสะกดด้วยสระ อา + อี
  2. ขาด
  3. เขา
  4. ไข่
  5. ขาย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067), 24,27 (H) คำว่า “ขาย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น อา + ย หรือเป็นสระผสม 2 เสียงก็ได้ เช่น อา + อี = อาย เช่น ขาย ราย (ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ)

  1. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
  2. ใส่
  3. สาย
  4. สูญ
  5. เสื่อม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
  2. โกรธ
  3. กรีด
  4. กรอบ
  5. เกรียม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำว่า “เปรี้ยว” มีเสียงสระใด
  2. อี + อา + อุ
  3. อี + อา + อู
  4. อู + อา + อี
  5. อื + อา + อี

ตอบ 2 หน้า 14 (52067), 24,26 (H) คำว่า “เปรี้ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เอียว เช่น เปรี้ยว เคี้ยว

  1. คำว่า “กระ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าคำอื่น
  2. กระดาษ
  3. ผิดตกกระ
  4. กระดำกระด่าง
  5. กระกานดำ

ตอบ 2 หน้า 15 – 16 , 40 – 42, 90 – 91 (52067), 33 – 34 , 60 – 61 , 80 – 81 (H) อัตรา การออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพูดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตรา สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) เช่น คำว่า “ผิวตกกระ” เป็นคำประสม จึงออกเสียงพยางค์หลัง คือ “กระ” ยาว 2 มาตรา (ส่วนคำว่า “กระ” ในตัวเลือกข้ออื่นไม่ใช่ประสม และเป็นสระเสียงสั้นจึงออกเสียงเพียง 1 มาตรา)

  1. ข้อใดกล่าวถึงคำว่า “แหนหวง” ถูกต้อง
  2. พยางค์แรกใช้ “หน” เป็นพยัญชนะต้น
  3. พยางค์ที่สองใช้ “หว” เป็นพยัญชนะต้น
  4. ทั้งสองพยางค์ใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้น
  5. พยางค์แรกใช้ “หน” พยางค์ที่สองใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้น

ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 21 – 22 (52067),37 , 44 (H) พยัญชนะต้น คือ พยัญชนะที่วางอยู่ต้นพยางค์หรือหน้าพยางค์ แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้

  1. พยัญชนะเดี่ยว คือ พยัญชนะต้นที่มีเสียงเดียว เช่น คำว่า “แหนหวง” จะใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้นทั้งสองพยางค์ และออกเสียง “ห” เพียงเสียงเดียว
  2. พยัญชนะ คู่ คือ พยัญชนะต้น 2 ตัวเรียงกันและออกเสียงทั้งคู่ หรือออกเสียงเพียงเสียงเดียวก็ได้ เช่น คำว่า “หนาม” จะใช้ “หน” เป็นพยัญชนะต้นและออกเสียงทั้งคู่
  3. พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
  4. ฟ้า
  5. ค้า
  6. ม้า
  7. ล้า

ตอบ 1 หน้า 19 (52067), 40 – 41 (H) พยัญชนะเสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะต้นที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วน เพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปาก แต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ) และ ฟ (ฝ)

  1. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
  2. จริง
  3. สร้าง
  4. ขวาน
  5. ทราบ

ตอบ 3 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้

  1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วมเสียง สระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กวาง,ขวักไขว่,ขวาน,ขลัง,ขลาด,โขลง,ผลุด ฯลฯ
  2. เสียงกล้ำกันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง),สร้าง,(ส้าง),สระ (สะ),แทรก (แซก),ทราบ (ซาบ) ฯลฯ
  3. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำถูกต้อง
  4. เธอรูปร่างกระทัดรัด
  5. เธอรีบไปกะทันหัน
  6. ฝนตกกระปริบประปรอย
  7. เธอชอบกินหมูกระทะ

ตอบ 2 คำที่เขียนตัวควบกล้ำผิด ได้แก่ กะทัดรัด กระปริบกระปรอย กระทะ ซึ่งที่ถูกต้องคือ กะทัดรัด กะปริบกะปรอย กระทะ

  1. ข้อใดใช้ตัวสะกดเดียวกับคำว่า “รัก”
  2. มาส
  3. มาร
  4. มารค
  5. มาตร

ตอบ 3 หน้า 27 – 29 (52067), 50 – 53 (H) คำ ว่า “เกียรติ์” (ออกเสียงว่า เกียน)และคำว่า(ส่วนเสียงที่ไม่ต้องการออกเสียงจะใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตฆ่า เสียงเสีย)โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมดเพียง 8 เสียงเท่านั้น ดังนั้น

  1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
  2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

3.แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

  1. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
  2. แม่กง ได้แก่ ง
  3. แม่กม ได้แก่ ม
  4. แม่เกย ได้แก่ ย
  5. แม่เกอว ได้แก่ ว
  6. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
  7. ที่นี่ขายขนมคุกกี้
  8. ที่นี่ขายโน๊ตบุ๊ค
  9. ที่นี่ขายเสื้อเชิ๊ต
  10. ที่นี่ขายขนมเค๊ก

ตอบ 1 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น ที่นี่ขายขนมคุกกี้(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ ถูกต้องเป็น ที่นี่ขายโน้ตบุ๊ค,ที่นี่ขายเสื้อเชิ้ต,ที่นี่ขายขนมเค้ก

  1. “สระว่ายน้ำ” คำว่า สระ อ่านออกเสียงแบบใด
  2. อ่านแบบอักษรนำ
  3. อ่านแบบเรียงพยางค์
  4. อ่านแบบควบกล้ำแท้
  5. อ่านแบบอักษรนำ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

  1. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
  2. สง่า ฉวี สนอง
  3. พิทยา นิรชา รจนา
  4. ปริศนา ดลยา สยาม
  5. วาสนา มรกต สนิท

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียบพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น พิทยา (พิด –ทะ-ยา),นิรชา (นิ- ระ- ชา), รจนา (รด- จะ –นา),ดลยา (ดน – ละ- ยา),มรกต (มอ – ระ –กด) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำที่ออกเสียงแบบนำกันมาหรืออักษรนำหรือมีเสียง ห นำ)

  1. ข้อใดออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ)
  2. เขม่น ขลัง ขยาด ขมัง
  3. ขนม ขนาด ขนาน แขนง
  4. เขม่า ขยาย โขมง ขลาด
  5. โขลง ขนุน เขยื้อน ขยี้

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษร) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้าทีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น ขนม (ขะ – หนม),ขนาด (ขะ –หนาด), ขนาน (ขะ – หนาน), แขนง (ขะ – แหนง), เขม่น (ขะ –เหม่น), ขยาด (ขะ – หยาด), ขมัง (ขะ – หมัง), เขม่า (ขะ – เหม่า), ขยาย (ขะ – หยาย),โขมง (ขะ – โหมง), ขนุน (ขะ – หนุน), เขยื้อน (ขะ – เหยื้อน), ขยี้ (ขะ – หยี้) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำที่ออกเสียงแบบควบกล้ำแท้) (ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ)

  1. ข้อใดมีคำเป็นทุกคำ
  2. ยืด ยัน ยาม
  3. ยาง แยม ย่อย
  4. ยักษ์ ยศ ยับ
  5. ใย ยูง ยอด

ตอบ 2 หน้า 28 (52067), 51 – 53 (H) คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ)

  1. ข้อใดมีคำตายมากที่สุด
  2. เปลี่ยนเคราะห์เป็นโชคลาภ
  3. เปลี่ยนโรคเป็นครู
  4. เปลี่ยนแพ้เป็นสู้
  5. เปลี่ยนหดหู่เป็นกำลัง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

  1. จากข้อ 20. คำตอบข้อใดมีคำเป็นทุกคำ
  2. ข้อ 1
  3. ข้อ 2
  4. ข้อ 3
  5. ข้อ 4

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

  1. “ฉันเห็นใบไม้จำนวนมากร่วง….ลงไปในน้ำ”ควรเติมคำใดลงในช่องว่าง
  2. กรู
  3. พรู
  4. ตก
  5. หล่น

ตอบ 2 คำ ว่า “พรู” หมายถึง ร่วมลงมาพร้อมกันมาก ๆ เช่น ดอกพิกุลร่วงพรู (ส่วนคำวา “กรู” หมายถึง อาการที่ไปพร้อม ๆกันโดยเร็ว เช่น วิ่งกรูกันไป, “ตก” หมายถึง กิริยาที่ลดลงสู่ระดับต่ำในอาการอย่างพลัดลง หล่นลง, “หล่น” หมายถึง ตกลงมา ร่วงลง)

  1. ข้อใดใช้คำอุปมาสื่อความหมาย
  2. กินใจ
  3. กินข้าว
  4. กินมาก
  5. กินมูมมาม

ตอบ 1 หน้า 48 – 49 , 86 (52067), 64, 80 (H) คำอุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. คำ อุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา (นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก), ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร)ฯลฯ
  2. คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กินใจ (แคลงใจ สงสัย ไม่วางใจสนิท), แมวนอนหวด (ซื่อจนเซ่อ),แมวขโมย (คอยจ้องฉกฉวยลูกเมียเขาเวลาเขาเผลอ)ฯลฯ
  3. คำว่า “ราด – ลาด” เป็นคำประเภทใด
  4. คำประสม
  5. คำไม่แยกเสียงไม่แยกความหมาย
  6. คำแยกเสียงแยกความหมาย
  7. คำไม่แยกเสียงแต่แยกความหมาย

ตอบ 3 หน้า 51, 53 – 55 (52067), 65 – 66 (H) การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การ เปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ พยัญชนะต้น ร กลับ ล มีเสียงต่างกัน เช่น “ราด – ลาด” แปลว่าทำให้แผ่กระจายออกไปเหมือนกัน แต่ “ราด”เป็นการเทของเหลว เช่น น้ำให้กระจายแผ่ไปหรือให้เรี่ยราดไปทั่ว ส่วน “ลาด” เป็นการปูให้แผ่ออกไป เช่น ลาดพรม ปูลาดอาสนะ เป็นต้น

  1. ข้อใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
  2. ดูเนื้อตัวซิสกปรกน่าดู
  3. อย่าเป็นคนเกะกะเกเร
  4. ไปตัดเสื้อที่หน้าปากซอย
  5. มัวแต่บ่นงึมงำอยู่นั้นแหละ

ตอบ 1 หน้า 62 – 64, 67 – 70 (52067), 67 – 74 (H) คำซ้อน คือ คำ เดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนาองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

  1. คำ ซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสำคัญ)ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น เนื้อตัว,เดือดร้อน ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขมร)ฯลฯ หรือเป็นคำภาษาอื่นซ้อนกันเอง เช่น สนุกสนาน (เขมร + บาลีสันสกฤต)ฯลฯ
  2. คำ ซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น เกะกะ (สระเอะ + อะ), เกเร (สระเอ + เอ), งึมงำ (สระอึ + อำ), โอ้เอ้ (สระโอ + เอ) ฯลฯ
  3. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
  4. อย่าเป็นคนหลายใย
  5. อย่ามัวสนุกสนานให้มากนัก
  6. อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย
  7. อย่าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

  1. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
  2. แผนที่ ๆ จะเดินทาง
  3. คนดี ๆ น้ำใจใช้ใบหน้า
  4. วันหนึ่ง ๆ เธอทำอะไรบ้าง
  5. เจ้าหน้าที่ ๆ จะเดินทาง

ตอบ 3 หน้า 76 – 78, 132 (52067), 76 – 77 (H) คำ ซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ ได้แก่ คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ เช่น วันหนึ่ง ๆ หมายถึง ทีละวัน ๆ ไป และมีหลายวัน (แต่ถ้าใช้ “วันหนึ่ง” เป็นคำเดี่ยวจะหมายถึงวันเดียว แต่ไม่กำหนดแน่ว่าวันไหน)

  1. ประโยคใดใช้คำประสม
  2. เขานั่งรถไฟตู้นอน
  3. เขานั่งรถไปท่องเที่ยว
  4. เขานั่งเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
  5. เขาชอบเดินทางทางเรือ

ตอบ 1,3 หน้า 80 – 81, 85 – 86, 88 (52067), 78 – 81 (H) คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำ ขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว ได้แก่

  1. คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม เช่น รถไฟตู้นอน แม่น้ำ ฯลฯ
  2. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา และมีความหมายไปในเชิงอุปมา เช่น ตัดเสื้อ อกหัก ฯลฯ
  3. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยาวิเศษณ์ เช่น นอกหน้า คอตก ฯลฯ
  4. “ชาดคนตัดเสื้อนั่งคอตกเพราะอกหัก” มีคำประเภทใดอยู่มากที่สุด
  5. คำซ้อน
  6. คำประสม
  7. คำซ้ำ
  8. คำภาษาต่างประเทศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

  1. ข้อใดใช้คำว่า “ผัด” ไม่ถูกต้อง
  2. ผัดเวร
  3. ผัดหน้า
  4. ผัดผ่อน
  5. ผัดวันประกันพรุ่ง

ตอบ 1 คำ ว่า “ผัด” หมายถึง ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวัน ผัดหนี้, เอาแป้งลูบหน้าเพื่อให้หน้านวล เช่น ผัดหน้า, ผัดพอให้ทุเลาหรือหย่อนคลายลง เช่น ผัดผ่อน,ขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง ( ส่วนคำว่า “ผลัด” หมายถึง เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ผลัดขน)

  1. กระป้ำประเป๋อ เป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดใด
  2. กร่อนเสียง
  3. แบ่งคำผิด
  4. เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
  5. เทียบแนวเทียบผิด

ตอบ 4 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น ป้ำเป๋อ กระป้ำประเป๋อ, ปุ่มป่ำ กระปุ่มกระป่ำ,ทบทั่ง กระทบกระทั่ง,ฉับเฉง กระฉับกระเฉง, ฯลฯ

  1. ข้อใดเป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดกร่อนเสียงทั้ง 2 คำ
  2. อนึ่ง กระเฉด
  3. ละลิบ ระคน
  4. ตะคร้อ อะไร
  5. ฉะฉาด ขยิก

ตอบ 3 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ”ได้แก่

  1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากแว้ง มะแว้ง,หมากขาม มะขาม,หมากค่า มะค่า, เมื่อรืน มะรืน
  2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตัวขาบ ตะขาบ,

ต้นขบ ตะขบ,ตาวัน ตะวัน,ต้นคร้อ ตะคร้อ

  1. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
  2. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาด ๆ ฉะฉาด,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
  3. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,ลิบ ๆ ละลิบ
  4. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ผู้ญาณ พยาน, ช้าพลู ชะพลู,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น
  5. ข้อใดเป็นคำอุปสรรคชนิดเดียวกันทั้ง 2 คำ
  6. กระทบกระทั่ง กระโชกกระชาก
  7. กระดุกกระดิก กระฉับกระแฉง
  8. กระปุ่มกระป่ำ กระจู๋กระจี๋
  9. กระปอดดกระแปด กระอักกระอ่วน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ หรือกระ” เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่นโชกชาก กระโชกกระชาก, ดุกดิก กระดุกกระดิก, อักอ่วน กระอักกระอ่วน ฯลฯ)

  1. คำอุปสรรคในข้อใดมีความหมายเป็นการีต ที่แปลว่าทำให้
  2. ขยุกขยิก
  3. ชะดีชะร้าย
  4. ประเดี๋ยว
  5. สะสวย

ตอบ 1 หน้า 96 – 98 (52067), 86 – 87 (H) อุปสรรค เทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

  1. “ชะ / ระ / ปะ / ประ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย,ระคน,ระคาย,ระย่อ,ปะปน, ปะติดปะต่อ,ประเดี๋ยว,ประท้วง,พะรุงพะรัง,พะเยิบ,สมยอม,สะสาง,สะพรั่ง,สะสวย ฯลฯ
  2. ใช้ “ ข ค ป ผ พ๐ มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายเป็นการีต แปลว่า “ทำให้” เช่น ขยุกขยิก,ขยิบ,ขยี้,ขยำ,ปลุก,ปลด,ปละ,ปรุ ฯลฯ
  3. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง
  4. ลูกชิ้นกินอร่อย
  5. ลวกลูกชิ้นให้สุก ๆ
  6. ลูกชิ้นอะไรน่ะ
  7. ใส่ลูกชิ้นด้วยนะ

ตอบ 2 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยค คำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

  1. ข้อใดเป็นประโยคขอร้องหรือชักชวน
  2. ห้ามกลับรถ
  3. อย่าแซงทางโค้ง
  4. ขับรถถูกกฎ ลดอุบัติเหตุ
  5. ม.รามคำแหง 100 เมตร

ตอบ 3 หน้า 102 (52067), 92 – 93 (H) ประโยค ขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตาม ที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คำพูดนั้นจะคล้ายกับประโยคคำสั่ง แต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคำว่า “โปรด,กรุณา” อยู่ข้างหน้าประโยคส่วนในภาษาพูดนั้นมักจะมีคำว่า “เถอะ,น่ะ,นะ,ซิ,ซี, เถอะนะ,น่า ฯลฯ” อยู่ในประโยคด้วย

  1. ข้อใดเป็นประโยคชนิดเดียวกันทั้ง 2 ประโยค
  2. เล่นเกมแก้กลุ้ม – ไม่ไปไม่ได้หรือ
  3. เล่นเกมทำไม – ไปด้วยกันหน่อย
  4. เล่นเกมด้วนกันนะ – อย่าออกไป
  5. เลิกเล่นเกมเดี๋ยวนี้ – ออกไปได้แล้ว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

ข้อ 38. – 40. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. เจาะสนาม 2. ข่าวภาคค่ำ 3. คุณพระช่วย 4. ชิมไปบ่นไป
  2. ข้อใดมีภาคกรรม

ตอบ 1 หน้า 105 (52067), 94 – 96 (H) คำในประโยคแบ่งออกเป็น 4 ภาค ได้แก่

  1. ภาคผู้กระทำหรือประธาน มักอยู่หน้าคำกริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด เช่น คุณพระช่วย ฯลฯ
  2. ภาคแสดงหรือกริยา มักอยู่หลังประธานและอยู่หน้ากรรม แต่จะไม่มีกรรมก็ได้ เช่น คุณพระช่วย,เจาะสนาม ฯลฯ และกริยาอาจมีมากกว่าหนึ่งก็ได้ เช่น ชิมไปบ่นไป (มีเฉพาะภาคกริยา)
  3. ภาคผู้ถูกกระทำหรือกรรม มักอยู่หลังกริยา เช่น เจาะสนาม ฯลฯ ภาคขยาย แบ่งออกเป็น ส่วนขยายประธานหรือกรรม (คุณศัพท์) เช่น ข่าวภาคค่ำ (ขยายประธาน),นักร้องร้องเพลงไทยเดิม (ขยายกรรม) ฯลฯ และส่วนขยายกริยา (กริยาวิเศษณ์) เช่น นักร้องร้องเพลงเพราะ ฯลฯ
  4. ข้อใดมีภาคประธานกับกริยา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

  1. ข้อใดมีเฉพาะภาคกริยาเพียงอย่างเดียว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

  1. คำกริยาในข้อใดทำหน้าที่คำนาม
  2. ขี้เกียจได้ดี
  3. ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
  4. ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
  5. รักแท้ย่อมแพ้เงิน

ตอบ 4 หน้า 108 – 109 (52067), คำกริยาที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม เช่น หาบดีกว่าคอน นอนดีกว่านั่ง รักแท้ย่อมแพ้เงิน ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม เช่น ขี้เกียจได้ดี,ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์,ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ฯลฯ )

  1. คำนาม “แดง” ในข้อใดเป็นกรรมของประโยค
  2. แดงดีใจมาก
  3. แดงได้รับคำชม
  4. แดงขอบคุณครู
  5. แดงเป็นเด็กดี

ตอบ 2 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การแสดงการก หมายถึง ความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “แดงได้รับคำชม” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยาแล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ให้คำชมแดง เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำนาม “แดง” เป็นประธานของประโยค)

  1. “นิด” ในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2
  2. พ่อไปหานิดมา
  3. นิดกินข้าวหรือยัง
  4. นิดอยู่บ้านยายน้อย
  5. นิดแกเป็นเด็กเรียนเก่ง

ตอบ 2 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนามบุรุษที่ 2 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้ที่พูดด้วย เช่น คุณ เธอ ท่าน เรา เจ้า แก ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้ที่พูดด้วยเพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่

  1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ
  2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่แทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ
  3. ใช้เรียกบรรดาศักดิ์แทน เช่น ท่านขุน คุณหลวง เจ้าคุณ คุณหญิง ฯลฯ
  4. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทน เช่น ติ๋ว ต๋อย นิด แดง เป้ ฯลฯ

(ส่วนตัวเลือกข้ออื่น “นิด” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง)

  1. ข้อใดเป็นสรรพนามที่บอกคำถาม
  2. ทำอะไรถึงมาสาย
  3. ใคร ๆ ก็ไม่รักผม
  4. อะไรก็ดูดีไปหมด
  5. ไหน ๆ เรื่องก็แดงขึ้นแล้ว

ตอบ 1 หน้า 111, 116 – 118 (52067), 99 (H) สรรพนาม ที่บอกคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น ใครมา, ทำอะไร, ข้อใดผิด, ไปไหนมา ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

  1. ข้อใดเป็นสรรพนามที่บอกความเฉพาะเจาะจง
  2. บ้างร้องบ้างเต้น
  3. ต่างคนต่างอยู่
  4. ที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริง
  5. นั่นแหละเธอควรรับไปพิจารณา

ตอบ 4 หน้า 111, 116 – 118 (52067), 99 (H) สรรพนามที่บอกความเฉพาะเจาะจง ได้แก่ นี้, นั้น, โน้น, นี่,นั่น, โน่น ฯลฯ ซึ่งคำทั้งหมดนี้ใช้แทนสิ่งที่พูดถึง อะไรก็ได้เพราะไม่ได้ระบุชื่อในขณะนั้นนอกจากนี้ยังมีคำที่สร้างขึ้นใหม่ ได้แก่ นั่นแน่, นั่นแน่ะ,นั่นซิ,นั่นแหละ,นั่นไง,นั่นเป็นไร ฯลฯ ซึ่งใช้เป็นคำอุทานโดยส่วนมาก และแต่ละคำก็มีความหมายเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไป

  1. คำว่า “ไป” ในข้อใดเป็นกริยาช่วย
  2. จะไปไหม
  3. เป็นอะไรไป
  4. ไปด้วยกันไหม
  5. ฉันไปไม่ได้

ตอบ 2 หน้า 120 – 122 (52067), 100 – 101 (H) คำ ว่า “ไป” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วยดังนั้นถ้าจะดูว่าเป็นกริยาแท้หรือกริยา ช่วยต้องดูที่ตำแหน่งในประโยค และเสียงหนักเบาของคำนั้น ๆ กล่าวคือ ถ้าเป็นกริยาช่วยจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยาแท้ และจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ เช่น เป็นอะไรไป,ทำไป,กินไป ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำว่า “ไป” เป็นกริยาแท้ หมายถึง เคลื่อนออกจากที่)

  1. ข้อใดไม่มีกริยาช่วย
  2. เด็กดีต้องตั้งใจเรียน
  3. น้องจะสอบพรุ่งนี้
  4. ครูสอนหนังสือ
  5. แดงกำลังอ่านหนังสือ

ตอบ 3 หน้า 120 (52067), 100 – 101 (H) คำ กริยาช่วย คือ คำที่ช่วยบอกเนื้อความของกริยาแท้ให้แจ่มแจ้งชัดเจน โดยจะบอกให้รู้เกี่ยวกับกาล (เวลา) มาลา (ภาวะหรืออารมณ์) และวาจา (ความสัมพันธ์ระหว่างคำกริยากับคำอื่นในประโยค) ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายต่างกันไป ได้แก่ คง อาจ น่าจะ กำลัง ควร ต้อง ได้ จะ แล้ว อยู่ อยาก ฯลฯ

  1. คำกริยาในข้อใดไม่ได้ความบริบูรณ์
  2. ฝนตก
  3. นกร้อง
  4. แมวกิน
  5. รถวิ่ง

ตอบ 3 หน้า 120 (52067), 100 (H) คำกริยาแท้แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1. คำกริยาที่ได้ความบริบูรณ์อยู่ในตัว ไม่ต้องมีกรรมมาช่วย เช่น ฝนตก , น้องร้อง, รถวิ่ง, ฯลฯ 2. คำกริยาที่ยังไม่ได้ความบริบูรณ์ ต้องมีกรรมมาช่วย เช่น แมวกิน (ปลา) ฯลฯ หรือต้องมีส่วนเสริมความ ถ้าเป็นกริยา “เป็น / เหมือน / คล้าย / เท่า” เช่น เขาเป็นคน, เราเหมือนแม่, เธอคล้ายพ่อ, ตัวเขาสูงเท่าเธอ ฯลฯ

ข้อ 49. – 50 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. ของเหลือ เกลือขาด
  2. หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์

3.ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ

  1. บางคนร้อง บางคนเต้น
  2. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกภาวะ

ตอบ 4 หน้า 130 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกลักษณะหรือภาวะ (ลักษณคุณศัพท์) แบ่งออกเป็น

  1. บอกลักษณะ ได้แก่ สูง ต่ำ ดำ ขาว ดี เลว งาม สวย น่ารัก แข็ง อ้วน ผอม ล่ำสัน กำยำ อดทน ฯลฯ
  2. บอกภาวะ ได้แก่ เจ็บ ป่วย ตาย เป็น หัก พัง แตก เดาะ ทรุด เซ เท เอียง บอบช้ำ ฟกช้ำ ร้อง เต้น ฯลฯ ซึ่งบางคำอาจใช้เป็นคำกริยาได้
  3. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้

ตอบ 1 หน้า 130 – 132 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ แบ่งออกเป็น 1. บอกจำนวนนับได้ ได้แก่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ เดียว เดี่ยว คี่ โสด คู่ ฯลฯ 2. บอกจำนวนนับไม่ได้ หรือบอกจำนวนประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ฯลฯ

  1. “รักน้อย ๆ แต่รักนาน ๆ” ประโยคนี้ใช้คำกริยาวิเศษณ์ชนิดใด
  2. บอกเวลา
  3. บอกประมาณ
  4. บอกความแบ่งแยก
  5. บอกความชี้เฉพาะ

ตอบ 2 หน้า 139 (52067), 103 (H) คำ กริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย นาน ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้สามารถใช้เป็นคุณศัพท์ได้แทบทุกคำ

  1. ข้อใดละบุรพบทได้
  2. เธอต้องไปกับฉัน
  3. แดงกำลังคุยกับครู
  4. เขาชอบกินข้าวกับแกงจืด
  5. เขาชอบอยู่กับบ้าน

ตอบ 4 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น เธอต้องไปกับฉัน, แดงกำลังคุยกับครู, เขาชอบกินข้าวกับแกงจืด ฯลฯ จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เขาชอบอยู่กับบ้าน (เขาชอบอยู่บ้าน) เป็นต้น

  1. ข้อใดใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้
  2. เรื่องนี้จบลงด้วยดี
  3. หนังสือของเธอหายไป
  4. ครูให้ขนมแก่นักเรียน
  5. ปล่อยมันไปตามยถากรรม

ตอบ 1 หน้า 144 – 145 (52067), คำบุรพบทที่นำหน้าคำวิเศษณ์ “ด้วยดี” จะมีความหมายคล้าย “โดยดี” จึงสามารถใช้แทนกันได้ เช่น เรื่องนี้จบลงด้วย / โดยดี ฯลฯ แต่ในบางกรณี “ด้วยดี” กับ “โดยดี” ก็ยังไม่เหมือนกันทีเดียวนัก เช่น พูดจากกันด้วยดี (พูดกันด้วยสันถวไมตรีด้วยอัธยาศัยไมตรี), พูดจากกันโดยดี (ยอมพูดจาปรึกษาหารือ หรือประนีประนอมกันในกรณีที่เกิดการขัดแย้งกันขึ้น) เป็นต้น

ข้อ 54. – 56. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. เมื่อเห็นหน้าเพื่อน เขาก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ
  2. ถ้าเพื่อนไม่โทรมา เขาก็อาจเป็นฝ่ายโทรไป
  3. เขาคิดถึงเพื่อน เพราะไม่ได้พบกันมานาน
  4. กว่าเพื่อนจะมาถึงบ้าน เขาก็หลับไปแล้ว
  5. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งไปคนละทาง

ตอบ 4 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่, แต่ว่า, แต่ทว่า, จริงอยู่…แต่, ถึง..ก็, กว่า…ก็

  1. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้

ตอบ 2 หน้า 156 – 157 (52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า..ก็, ถ้า..จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า, เว้นแต่ , นอกจาก

  1. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ 1 หน้า 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว..ก็, แล้ว..จึง,ครั้น..ก็, เมื่อ..ก็, ครั้น..จึง, เมื่อ..จึง, พอ..ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง, ทั้ง..ก็, ทั้ง..และ, ก็ได้, ก็ดี, กับ, และ

  1. ข้อใดใช้คำอุทานในฐานะคำกริยาไม่ถูกต้อง
  2. ชาวบ้านพากันพุทโธที่ผู้ร้ายใจอำมหิตถูกจับ
  3. ฉันไม่อยากขัดใจเพื่อนจึงเออออไปด้วย
  4. เขาเสียคนเพราะถูกผู้ใหญ่โอ๋มาตั้งแต่เด็ก
  5. ผู้คนต่างตกใจที่ได้ยินเสียงเอะอะ

ตอบ 1 หน้า 159 (52067), 109 (H) คำอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคำกริยา ได้แก่

  1. เออออห่อหมก หมายถึง ตกลงเห็นคล้อยตามไปด้วย
  2. เอออวย หมายถึง พลอยเห็นตามไปด้วย 3. เอะอะ หมายถึง ทำเสียงดังโวยวาย
  3. โอ๋ หมายถึง เอาใจ อย่างเอาใจเด็ก
  4. พุทโธ หมายถึง สงสาร เห็นใจ (ใช้เป็นปฏิเสธว่า ไม่พุทโธ)
  5. โอละพ่อ หมายถึง กลับตรงกันข้าม ผิดคาด
  6. ข้อใดคือลักษณนามของคำว่า “โครงการ”
  7. เรื่อง
  8. บท
  9. สำนวน
  10. โครงการ

ตอบ 4 หน้า 162 (52067), 110 (H) คำ ลักษณนามที่เป็นคำซ้ำกันคำที่มาข้างหน้าคำบอกจำนวนนับเนื่องจากมีคำเป็นอัน มากที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ จึงต้องใช้คำคำเดียวกับคำที่มาข้างหน้าคำบอกจำนวนนับนั้น เช่น โครงการ 1 โครงการ, สะพาน 2 สะพาน ฯลฯ

  1. คำใดใช้คำลักษณนามเดียวกันคำว่ารถยนต์
  2. ไวโอลิน
  3. เลื่อย
  4. เคียว
  5. เครื่องยนต์

ตอบ 1 หน้า 162, 164 (52067), คำลักษณนามที่เป็นการอนุโลมตามแนวเทียบ เช่น คำลักษณนาม “คัน”ใช้สำหรับรถยนต์ ไวโอลัน ช้อน เบ็ด จักร ร่ม ซอ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ เลื่อย ปื้น, เคียว เล่ม, เครื่องยนต์ เครื่อง)

  1. ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้ง 2 คำ
  2. คูหา – ห้องนอน
  3. สักวา – ลำนำ
  4. เครื่องแบบ – เครื่องบันทึกเสียง
  5. คำร้อง – คำขวัญ

ตอบ 2 คำลักษณนาม “บท” ใช้สำหรับสักวา (กลอน) ลำนำ สุภาษิต เสภา กาพย์ โคลง บทเรียน บทเพลง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ คูหา คูหา , ห้องนอน ห้อง, เครื่องแบบ ชุด,เครื่องบันทึกเสียง เครื่อง, คำร้อง ฉบับ, คำขวัญ คำขวัญ)

ข้อ 61. – 65. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. พลอยฟ้าพลอยฝน, ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า, ฝนตกอย่าเชื่อดาว มีเมียสาวอย่าเชื่อแม่ยาย
  2. น้ำไหลไฟดับ, น้ำซึมบ่อทราย, น้ำหนึ่งใจเดียวกัน
  3. น้ำมาปลากันมด น้ำลดมดกินปลา, ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน, ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
  4. น้ำน้อยแพ้ไฟ, น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ, น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
  5. ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 119 – 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

  1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น น้ำไหลไฟดับ (เร็วและคล่องใช้กับกริยาพูด), น้ำซึมบ่อทราย (หามาได้เรื่อย ๆ),น้ำหนึ่งใจเดียวกัน (มีความคิดเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน),พลอยฟ้าพลอยฝน(ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ ก็ร่วมรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย)
  2. คำ พังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เขากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น น้ำมาปลากันมด น้ำลดมดกินปลา (ทีใครทีมัน),ฝนตกขี้หมู่ไหล คนจัญไรมาพบกัน (พลอยเหลวไหลไปด้วยกัน),ฝนทั่งให้เป็นเข็ม(เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่า จะสำเร็จผล),ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า (การทำอะไร ๆ จะให้ถูกใจคนทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้)
  3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติงคำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น น้ำน้อยแพ้ไฟ (ฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก),น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ(อย่าขัดขวางผู้ที่ มีอำนาจ), น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก (แม้จะไม่พอใจก็ต้องแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม),ฝนตกอย่าเชื่อดาว มีเมียสาวอย่าเชื่อแม่ยาย (อย่าไว้วางใจใครหรืออะไรจนเกินไป)
  4. ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. ข้อใดล้วนเป็นสุภาษิตทั้งสิ้น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. ข้อใดเรียงลำดับตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. “ฝน” ในข้อใดที่มีความหมายแตกต่างจาก “ฝน”อื่น ๆ ในกลุ่มตัวเลือกข้อ 1. กับ 3. ข้างต้น

ตอบ 3 “ฝน”ในตัวเลือกข้อ 3 คือ “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” เป็นคำกริยาที่มีความหมายว่า ลับ เช่น ฝนมีด ฝนทั่ง (ทั่ง : แท่งเหล็กสำหรับช่างใช้รองรับในการตีโลหะ) ส่วน “ฝน” ในประโยคอื่นเป็นคำนามที่มีความหมายว่า น้ำที่ตกลงมาจากเมฆเป็นเม็ด ๆ

ข้อ 66. – 75. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

น้ำเหนือหลากมาไหลบ่าพัดวนเจิ่งล้นท่วมฝั่ง

สายชลไหลหลั่งระลอกพลิ้วลงใต้

ฝนเหนือตั้งเค้าทั่วไป เมฆดำคร่ำฟ้ารำไร

แมกไม้ผลิใบรอฝนมา

เพลง น้ำเหนือบ่า

ประพันธ์เพลง ไพบูลย์ บุตรขัน

ขับร้อง ทูล ทองใจ

บทเพลงแห่งฤดูน้ำหลาก เปลี่ยน ความลำบากเป็นเสียงเพลง บรรเลงอารมณ์สุนทรีย์ไปกับสายน้ำในยามหลากหลั่งประเดประดัง ทั้งน้ำเหนือหลากมา น้ำทะเลหนุนดัน และน้ำฝนดีเปรสชั่นฉ่ำโชก กรุงเทพฯซึ่งอยู่เกือบปลายสุดของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงถึงเวลาได้เล่นเพลงเรือ บนทางด่วน..ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า

สมัยยังไม่มีเขื่อน ฤดูน้ำหลากเป็นฤดูหนึ่งเมื่อถึงเวลากลางหรือปลายฤดูฝน น้ำหลากต้องมาท่วมท้นคนก็ถือเป็นปกติ เป็นปกติคือมีการปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้ไม่เดือดร้อนกับน้ำท่วม เช่น เตรียมโคกหรือดินดอนไว้เป็นที่อพยพหมูหมาวัวควายไก่กาไปไว้ หมู่บ้านของผมที่ปทุมธานีอันเป็นที่ราบลุ่มตอนล่างพื้นที่จะต่ำกว่าที่ราบลุ่มตอนบนกลางหมู่บ้านเขาจะขุดดินมาถมเป็นโคกสูงกว้าง พอน้ำท่วมมาทุกครัวเรือนก็สามารถไปใช้บริการโคกเนินนี้ได้

ยังไม่นับการเป็นอยู่ที่สอดคล้องกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ปลูกบ้านใต้ถุนสูง – สูงมาก ในฤดูอื่นก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็น ราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพายหรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลาก การเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหนๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

ฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปูอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิดดอกสันตะวาที่แกงส้มเสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้นหายห่วง มีชุกชุมชนิดแทบจะเอื้อมหยิบเอาตรงข้างสำรับได้เลย เพราะน้ำท่วม ปลา ก็จะว่ายเวียนมาเลาะหากินอยู่แถวข้างครัวปลาสร้อยว่ายมาเป็นฝูง ๆ เป็นพันเป็นหมื่นตัวให้ยกยอเอามาหมักทำน้ำปลา เด็ดกว่าอื่นใดคือ มีกุ้งก้ามกรามตัวโต ๆ ก้ามสีคราม ๆ ม่วง ๆ ว่ายมาตามแม่น้ำให้คนจับกินจับขาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

และหากน้ำท่วมนานเป็นเดือน คนเราก็คิดหาวิธีปลูกพริกผักสวนครัว โดยเอาผักตบชวามาถมทับกันเป็นแพหนา ๆ แล้วงมดินเลนมาโปะทับอีกที กลายเป็นแปลงดินลอยน้ำอยู่ได้เป็น 2 – 3 เดือน พอจะปลูกพืชผักสวนครัว หรือกระทั่งปลูกอ้อยก็ยังได้ ผักตบชวาที่เน่าเปื่อยก็เป็นปุ๋ยไปในตัว…ฉลาดดีไหมภูมิปัญญาชาวบ้านยุคไม่มีเขื่อน

ไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่า เราเป็นเมืองลุ่มถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง

แต่เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเขื่อนมามีเขื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลากหากฝนไม่ตกมากพอ ครั้นปีใดน้ำหลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลำเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้า สร้างอีกสักสิบเขื่อนน้ำจะยังท่วมอีกไหม…ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่ายก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำเป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทำลาย ฯลฯ

อีหลักอีเหลื่ออย่างนี้ยังจะมีอารมณ์ร้องเพลง น้ำเหนือบ่า ตามทูล ทองใจ อีกไหมนี่

(จากคอลัมน์ คมเคียวคมปากกา โดยไผ่เสี้ยว นาน้ำใส หนังสือพิมพ์ คม – ชัด – ลึก ประจำวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2545)

  1. ในเรื่องน้ำหลากประเด็นใดที่แตกต่างกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
  2. ฤดูกาล
  3. ความรู้
  4. ความรู้สึก
  5. ความคิด

ตอบ 4 จากข้อความ…. ไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่าเราเป็นเมืองลุ่ม ถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง แต่ เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเขื่อนมามีเขื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลากหากฝนไม่ตกมากพอครั้นปีใดน้ำ หลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลำเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

  1. ข้อใดสรุปพฤติกรรมของคนในอดีตเมื่อถึงฤดูน้ำหลากได้อย่างถูกต้อง
  2. เป็นฤดูที่อากาศดีที่สุด
  3. เป็นฤดูที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
  4. เป็นช่วงที่สามารถปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
  5. เป็นโอกาสเดียวที่ชาวบ้านจะได้แสดงภูมิปัญญาท้องถิ่น

ตอบ 3 จากข้อความ.. ฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปูอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิดดอกสันตะวาที่แกงส้มเสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้นหายห่วง มีชุกชุม…เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

  1. ผู้เขียนมีทัศนะต่อ “บ้านใต้ถุนสูง”อย่างไร
  2. ล้าสมัยเหมาะสมเฉพาะในอดีต
  3. ปรับให้เป็นประโยชน์ได้ทุกฤดู
  4. เป็นที่นิยมแต่ในต่างจังหวัด
  5. สิ้นเปลืองทั้งค่าวัสดุและแรงงานก่อสร้าง

ตอบ 2 จากข้อความ…ปลูกบ้านใต้ถุนสูง – สูงมาก ในฤดูอื่นก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็น ราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพายหรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลาก การเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหน ๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

  1. น้ำหลากมีผลอย่างไรต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร
  2. ฤดูน้ำท่วมเสียหาย
  3. ได้ประโยชน์จากพันธุ์ไม้น้ำ
  4. มีทั้งที่งอกงามและเสียหาย
  5. ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาปลูกพืชลอยน้ำ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

  1. สิ่งใดในโลกปัจจุบันที่มีใช้ต่างจากอดีตและได้รับผลกระทบจากฤดูน้ำหลากมากที่สุด
  2. อาหาร
  3. อากาศ
  4. พาหนะ
  5. พาหะนำโรค

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 66. และ 68. ประกอบ

  1. ผู้เขียนมีทัศนะอย่างไรต่อเขื่อน
  2. ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม
  3. ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ
  4. ธรรมชาติยังมีอิทธิพลมากกว่าเขื่อน
  5. เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณเขื่อน

ตอบ 3 จากข้อความ….กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้า สร้างอีกสักสิบเขื่อนน้ำจะยังท่วมอีกไหม…ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่ายก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำเป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทำลาย ฯลฯ

  1. แนวคิดหลักของข้อความที่ให้อ่านคืออะไร
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงกับฤดูกาล
  3. ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์
  4. ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี
  5. ธรรมชาติก็คือธรรมชาติหาความแน่นอนใด ๆ มิได้

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี

  1. วรรณกรรมที่ให้อ่านจัดเป็นประเภทใด
  2. ข่าว
  3. บทวิจารณ์
  4. ปาฐกถา
  5. ความเรียง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ความเรียง คือ งานเขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตหรือประสบการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริง ทัศนคติ ข้อคิดเห็น หรือข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจากนั้นจึงสรุปให้เห็นความสำคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

  1. โวหารการเขียนส่วนใหญ่เป็นแบบใด
  2. บรรยาย
  3. อธิบาย
  4. อภิปราย
  5. พรรณนา

ตอบ 2 หน้า 72 (46134), (คำบรรยาย) โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบการเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง เช่น การอธิบายกฎเกณฑ์ ทฤษฎี และวิธีการต่าง ๆ

  1. ท่วงทำนองเขียนจัดเป็นแบบใด
  2. เป็นภาษาพูด ใช้คำมีภาพพจน์
  3. เรียบง่าย
  4. กระชับรัดกุม
  5. สละสลวย

ตอบ 1 หน้า 42,57,63(46134), ผู้เขียนมีท่วงทำนองเขียนแบบที่ใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากเป็นส่วนใหญ่และมีการใช้คำที่มีภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกนึกเห็นเป็นภาพขึ้นในใจ ส่งผลให้ท่วงทำนองเขียนมีน้ำหนัก สามารถเร้าให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกสนใจและประทับใจ

  1. ข้อใดสะกดถูกทุกคำ
  2. การประปา ปราชญ์เปรื่อง
  3. ประสีประสา ปราศัย ปฏิสันถาร
  4. ปกฏิหาริย์ ไปรษณียบัตร ประสบการณ์
  5. ปล้นสะดม ปลาสเตอร์ ปะแล่ม ๆ

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ปราชญ์เปรื่อง ปราศัย ไปรษณีย์บัตร ซึ่งที่ถูกต้องคือ ปราดเปรื่อง ปราศรัย ไปรษณียบัตร

  1. ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
  2. บำเหน็จ สูจิบัตร บรรเทา
  3. บุคคลากร บิณฑบาต เบญจเพศ
  4. เบรก แบ่งสันปันส่วน บูรณปฏิสังขรณ์
  5. บังสุกุล บันลือ บาดทะยัก

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ บุคคลากร บิณฑบาตร เบญจเพศ บูรณปฏิสังขรณ์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ บุคลากร บิณฑบาต เบญจเพส บูรณปฏิสังขรณ์

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
  2. สเปน เวิร์ลด์ อิเล็กโทน
  3. ไอศกรีม เอเชีย วิดีโอ
  4. อาคเนย์ อาเซีย วีดิทัศน์
  5. หญ้าฝรั่น สนุกเกอร์ เทคนิค

ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เวิร์ลด์ วิดีโอ ซึ่งที่ถูกต้องคือ เวิลด์ วีดิโอ

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด
  2. มหรสพ มัธยัสถ์ มุขเด็จ มุตเกิด
  3. เรื่องมโนสาเร่ ภูตผี อยู่ในภวังค์ ภารกิจ
  4. เภทภัย แมงกะพรุน เชือกมนิลา มลทิน
  5. มลายู ยุงก้นปล่อง มาตรการ มังสะวิรัติ

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ยุงก้นป่อง มังสะวิรัติ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ยุงก้นปล่อง มังสวิรัติ

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก
  2. วิกฤตการณ์ รักษาการ อุบัติการณ์
  3. ปรากฏการณ์ รักษาการณ์ โครงการ
  4. เห็นกาลไกล แผนการ อุดมการณ์
  5. ดนตรีการ สถานการณ์ สังเกตการณ์

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เห็นกาลไกล อุดมการ ซึ่งที่ถูกต้องคือ เห็นการณ์ไกล อุดมการณ์

ข้อ 81. – 90. เลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดในแต่ละข้อเพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

การแข่งขันกีฬา (81.) ไม่เพียงแต่จะเป็นที่สนใจของคนรักที่กีฬาจากทั่วโลก บรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในยุโรปก็ (82.) เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น (83.) ของกษัตริย์ (84.) ซึ่ง (85.) ในประเทศกรีซไต้ (86.) เพื่อ (87.) ฟุตบอล เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ (88.) (89.) (90.) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2แห่งอังกฤษเสด็จทรงเชียร์การแข่งขันเรือแคนู

  1. 1. โอลิมปิค
  2. โอริมปิค
  3. โอลิมปิก
  4. โอริมปิก

ตอบ 3 โอลิมปิก หมายถึง การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศซึ่งจัดให้มีขึ้นทุก ๆ 4 ปี ในประเทศต่าง ๆ ตามแต่จะตกลงกัน

  1. 1. สนใจ
  2. ทรงสนใจ
  3. สนพระทัย
  4. ทรงสนพระหทัย

ตอบ 3 หน้า 111 , 113 (H) (คำบรรยาย) การเติม “ทรง” หน้ากริยาราชาศัพท์ ตามหลักเกณฑ์จะเติมเพื่อทำให้เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงพระราชสมภพ (เกิด), ทรงพระดำเนิน (เดิน) ฯลฯ แต่ห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคำกริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น สนพระทัย (สนใจ),เสด็จ พระราชดำเนิน / เสด็จฯ(เดินทางไปโดยยานพาหนะ), ทอดพระเนตร (ดู/ชม) เป็นต้น (ซึ่งในข้อนี้บรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงยุโรป เป็นเจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ จึงต้องใช้คำราชาศัพท์)

  1. 1. ชายา
  2. พระชายา
  3. มเหสี
  4. พระมเหสี

ตอบ 4 พระมเหสี หมายถึง ชายาของพระเจ้าแผ่นดิน โดยต้องมีคำว่า “พระ” นำหน้าคำนามสามัญเพื่อให้แตกต่างจากสามัญชนโดยทั่วไป (ส่วนคำว่า “พระชายา” หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงซึ่งเป็นภรรยาของพระราชวงศ์)

  1. 1. เสปน
  2. เสปญ
  3. สเปน
  4. สเปญ

ตอบ 3 สเปน เป็นชื่อเรียกประเทศประเทศหนึ่งในยุโรปใต้ มีเมืองหลวงชื่อ มาดริด และมีประชากรประมาณ 40.1 ล้านคน (ข้อมูล ปี พ.ศ. 2553)

  1. 1. ทรงประสูติ
  2. ทรงพระราชสมภพ
  3. มีพระประสูติกาล
  4. มีพระประสูติการ

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ) คำว่า “ทรงพระราชสมภพ” หมายถึง เกิด ใช้กับพระมหากษัตริย์พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “ประสูติ” = เกิด ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าลงไป, “มีพระประสูติกาล” = เวลาเกิด, “มีพระประสูติการ” = การเกิด)

  1. 1. เสด็จ
  2. เสด็จฯ
  3. ทรงพระดำเนิน
  4. ทรงเสด็จพระราชดำเนิน

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ) คำว่า “เสด็จพระราชดำเนิน / เสด็จฯ” หมายถึง เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “เสด็จ” = เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าลงไป)

  1. 1. ทรงชม
  2. ทรงดู
  3. ทอดพระเนตร
  4. ทรงทอดพระเนตร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

  1. 1. ธิดา
  2. พระธิดา
  3. พระราชธิดา
  4. สมเด็จพระราชธิดา

ตอบ 3 พระราชธิดา หมายถึง ลูก สาวของพระเจ้าแผ่นดิน โดยต้องมีคำว่า “พระราช” นำหน้าคำนามสามัญเพื่อใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์และพระราชินี (ซึ่งในข้อนี้มีความหมายว่าเป็นธิดาของสมเด็จพระราชินีนาถ จึงต้องใช้ราชาศัพท์ว่า พระราชธิดา)

  1. 1. ท่านเดียว
  2. องค์เดียว
  3. องก์เดียว
  4. พระองค์เดียว

ตอบ 4 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

  1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน)
  2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
  3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
  4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ
  5. 1. แห่ง
  6. ของ
  7. ใน

ตอบ 3 หน้า 151 – 152 (52067) คำว่า “ใน” หมายถึง แห่ง ของ ใช้เป็นคำสุภาพนำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับเจ้านายในราชวงศ์ (ส่วนคำว่า “ของ” ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้ครอบครองซึ่งเป็นบุคคลสามัญ “แห่ง” ใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของโดยเฉพาะที่เป็นนามธรรม, “ณ” เป็นคำบ่งเวลาหรือสถานที่ว่าตรงนั้นตรงนี้)

ข้อ 91. – 95. จงเลือกคำที่มีความหมายต่างจากคำอื่น ๆ

  1. 1. บทความ
  2. สารคดี
  3. วารสาร
  4. นวนิยาย

ตอบ 3 คำว่า “วารสสาร” หมายถึง หนังสือ ที่ออกตามกำหนดเวลา เช่น วารสารราชบัณฑิตยสถานวารสารศิลปากร วารสารกรมการแพทย์ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมหรือข้อเขียนในรูปร้อยแก้วประเภทต่าง ๆ)

  1. 1. สวมแว่น
  2. สวมรอย
  3. สวมเสื้อ
  4. สวมหมวก

ตอบ 2 คำว่า “สวมรอย” หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง (ส่วน ตัวเลือกข้ออื่นเป็นกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก, นุ่ง, เช่น สวมกางเกง, ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

  1. 1. พัดชา
  2. พัดชัก
  3. พัดโบก
  4. พัดยศ

ตอบ 1 คำว่า “พัดชา” หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ใบกลม หรือพัดให้เย็น)

  1. 1. สีขาว
  2. สีเข้ม
  3. สีขาบ
  4. สีเขียว

ตอบ 2 คำว่า “สีเข้ม” หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีขาว = มีสีอย่างสำลี, สีขาบ = สีน้ำเงินแก่อมม่วง, สีเขียว = มีสีอย่างใบไม้สด เป็นต้น)

  1. 1. ทำนา
  2. ทำไร่
  3. ทำสวน
  4. ทำเหมือง

ตอบ 4 คำว่า “ทำเหมือง” หมายถึง การ ประกอบอาชีพขุดแร่หรือหาแร่ในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้ทุนและแรง งานในการผลิตจำนวนมาก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ)

  1. ลักษณนามของ “ซอ” คืออะไร
  2. เล่ม
  3. อัน
  4. คัน
  5. ด้าม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

  1. ลักษณนามของ “ลูกคิด” คืออะไร
  2. ลูก
  3. เครื่อง
  4. อัน
  5. ราง

ตอบ 4 คำลักษณนาม “ราง” จะใช้เฉพาะสิ่งที่มีลักษณะเป็นราง เช่น ลูกคิดรางหนึ่ง, ระนาด 2 ราง, รางรถไฟ 3 ราง เป็นต้น

  1. “คนขยันไม่ย่อท้อ…..ความยกลำบาก” ใช้บุรพบทคำใด
  2. กับ
  3. ต่อ
  4. ใน
  5. แก่

ตอบ 2 หน้า 146 (52067), 105 – 106 (H) คำ ว่า “ต่อ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เกี่ยวกับการใช้การรับแต่มักจะใช้นำหน้าความที่ เป็นผู้รับต่อหน้า เผชิญหน้าเป็นที่ประทุษร้าย เช่น คนขยันไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก (ความยากลำบากที่เห็นอยู่ต่อหน้า)

  1. “เขาเน้นเสมอว่ากลัวอะไร..ความจน” ใช้บุรพบทใด
  2. ต่อ
  3. ซึ่ง
  4. ใน
  5. กับ

ตอบ 4 หน้า 144 (52067), 105 (H) คำว่า “กับ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ได้ยินกับหู เขียนกับมือ ฯลฯ หรือใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องประกอบ เครื่องเกี่ยวเนื่องกัน เช่น พูดกับเพื่อน กลัวอะไรกับความจน ฯลฯ

  1. “เขามาโรงเรียน…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ใช้สันธานใด
  2. กับ
  3. ด้วย
  4. แต่
  5. มิฉะนั้น

ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ) คำว่า “แต่” เป็นสันธานที่ใช้เชื่อมความที่ขัดแย้งกัน ซึ่งใช้เชื่อมได้ทั้งที่ประธานคนเดียวกันทำกริยาต่างกัน เช่น เขามาโรงเรียนแต่ไม่เรียนหนังสือ ฯลฯ หรือประธานคนละคนกันก็ได้ เช่น ฉันชอบแมวแต่น้องชอบหมา ฯลฯ

  1. ความสำเร็จของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด
  2. ผู้รับภาษา
  3. ผู้ส่งภาษา
  4. ลักษณะของภาษา
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1 (46134) ประสิทธิภาพหรือความสำเร็จของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้

  1. ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน
  2. สาร (ลักษณะของภาษา)
  3. ผู้รับภาษา ซึ่งจะให้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน
  4. ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด
  5. พูดและฟัง
  6. ฟังและเขียน
  7. อ่านและฟัง
  8. เขียนและอ่าน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 101. ประกอบ

  1. ปัญหาการใช้ภาษาที่เห็นได้ชัดเจนคือข้อใด
  2. อ่านและเขียน
  3. เขียนและพูด
  4. ฟังและอ่าน
  5. พูดและฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การ เขียนและพูดซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษา ที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือ สื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

  1. การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
  2. เขียนและอ่าน
  3. ฟังและอ่าน
  4. พูดและฟัง
  5. ฟังและเขียน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การฟังและการอ่านเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความ คิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

  1. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
  2. ภาพ
  3. เสียงพูด
  4. ตัวอักษร
  5. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การใช้ภาษา หมายถึง การ สื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกันดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษาหรือไวยากรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

  1. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
  2. ระดับของคำ
  3. น้ำหนักของคำๆ
  4. ความหมายของคำ
  5. ทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ขอคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของ คำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปล ความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

  1. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
  2. กาละ
  3. เทศะ
  4. บุคคล
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 6 – 10 , 15 – 16 (46134) คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มี การกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความหมายเหมาะสมแก่บุคคลและการเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างหันตามความหมายเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

  1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ
  2. คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ
  3. คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด
  4. ทางการ
  5. กึ่งทางการ
  6. ไม่เป็นทางการ
  7. ทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

  1. ในโอกาสไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้
  2. คำปาก
  3. คำสุภาพ
  4. คำภาษาถิ่น
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

  1. ภาษาระดับใดที่มีปัญหาในการใช้มากที่สุด
  2. ทางการ
  3. กึ่งทางการ
  4. ไม่เป็นทางการ
  5. ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 7 (46134),(คำบรรยาย) ภาษาระดับทางการ คือ คำ ที่ใช้กันในภาษาที่เป็นแบบแผนหรือภาษาของทางราชการ เช่น การแสดงปาฐกถา การเขียนหนังสือราชการ ฯลฯ จึงเป็นระดับภาษาที่มีปัญหาในการใช้มากที่สุด เพราะผู้ใช้ต้องคำนึงถึงหลักภาษาและมีระเบียบแบบแผนในการใช้อย่างเคร่งครัด (ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ)

  1. การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร
  2. ชัดเจน
  3. ถูกต้อง
  4. เหมาะสม
  5. มีน้ำหนัก

ตอบ 4 หน้า 19 (46134) การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะ ช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้า ใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับข้อความนั้น ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

  1. คำชนิดใดที่ความหมายขึ้นอยู่กับการออกเสียง
  2. คำพ้อง
  3. คำพ้องรูป
  4. คำพ้องเสียง
  5. คำเปรียบเทียบ

ตอบ 2 หน้า 14 (46134) คำพ้องรูป คือ คำ ที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “ เพ – ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

  1. “ตำรวจตามจับ 2 มหาโจร” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. เรียงคำไม่ถูก
  3. ขยายความไม่ถูก
  4. ไม่มีกริยาสำคัญ
  5. ไม่ใช้ลักษณนาม

ตอบ 4 หน้า 167 (52067), 12 – 13 (46134) การใช้ลักษณนามจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลัก คือ รู้ว่าจะใช้กับคำนามคำใดและใช้ที่ใด ซึ่งลักษณนามจะใช้ตามหลังจำนวนนับ เช่น หนังสือ 5 เล่ม ฯลฯ และใช้ตามหลังนามเมื่อต้องการเน้นข้อความนั้น เช่น หนังสือเล่มนั้น ฯลฯ หากใช้ลักษณนามไม่ถูกต้องก็จะทำให้เข้าใจความหมายผิดและทำให้เสียลักษณะ เฉพาะของภาษา เช่น ตำรวจตามจับ 5 มหาโจร (ไม่ใช้ลักษณนาม) จึงควรแก้ไขเป็น ตำรวจตามจับมหาโจร 5 คน

  1. “เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปตลาด” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ไม่มีกริยาสำคัญ
  3. ไม่กระชับ
  4. ไม่รัดกุม
  5. ไม่เกี่ยวข้องกัน

ตอบ 4 หน้า 40 (46134) ข้อ ความในประโยคหนึ่ง ๆ ควรจะมีเพียงอย่างเดียว หรือควรจะต้องเกี่ยวข้องกันไม่ควรให้กระจังกระจายไปเป็นคนละเรื่อง ดังนั้นการใช้ประโยคหรือข้อความซ้อนกันจึงต้องระมัดระวังเรื่องใจความให้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปตลาด (ข้อความไม่เกี่ยวข้องกัน) จึงควรแก้ไขเป็น เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปวิ่งออกกำลังกาย

  1. “ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตนั้น” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ขยายความไม่ถูก
  3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
  4. ไม่เกี่ยวข้องกัน
  5. ทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตนั้น (ใช้คำฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขเป็น ห้ามคนเข้าไปในเขตนั้น

  1. การใช้ประโยคเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
  2. มีน้ำหนัก
  3. รัดกุม
  4. ถูกต้อง
  5. กระชับ

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือ ความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

  1. การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
  2. ถูกต้อง
  3. รัดกุม
  4. มีน้ำหนัก
  5. มีภาพพจน์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

  1. การรวบความให้กระชับ
  2. การลำดับความให้รัดกุม
  3. การจำกัดความ
  4. ความถูกต้องชัดเจนของประโยคขึ้นอยู่กับสิ่งใด
  5. การเรียงคำ
  6. การเว้นวรรค
  7. การขยายความ
  8. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 37 – 38 , 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ

  1. การเรียงคำให้ถูกที่
  2. การขยายความให้ถูกที่
  3. การใช้คำตามแบบภาษาไทย
  4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
  5. การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
  6. ข้อเขียนใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์
  7. ข่าว
  8. ตำรา
  9. บทความ
  10. ทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 44 (46134), (คำบรรยาย) ประโยค ที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรน้ำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

  1. “เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง” ประโยคนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ถูกต้อง
  3. เรียงคำไม่ถูก
  4. ใช้คำขยายไม่ถูก
  5. ไม่ใช้คำตามแบบภาษาไทย

ตอบ 4 หน้า 38 (46134), (ดูคำอธิบายข้อ 118. ประกอบ) การ ใช้คำตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ เช่น เขาพบตัวเองอยู่ในบ้านร้าง(เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขเป็น เขาอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งจะทำให้ข้อความกะทัดรัดเข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน

 

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

ลักษณะภาษา

1 เมื่อเรียนภาษาไทยทำไมจึงมีการเปรียบเทียบภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศ

(1) ทำให้เรียนภาษาต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

(2) ทำให้ฟังและพูดภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น

(3) ทำให้เขียนและอ่านภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น

(4) ทำให้เข้าใจลักษณะของภาษาไทยมากยิ่งขึ้น

ตอบ (4) ทำให้เข้าใจลักษณะของภาษาไทยมากยิ่งขึ้น

จุดมุ่งหมายในการเรียนเรื่องลักษณะภาษาไทยประการหนึ่ง คือ เพื่อให้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร และอังกฤษ ซึ่งนอกจากจะทำให้เข้าใจลักษณะภาษาอื่นแต่ละภาษาแล้ว ก็ยังทำให้เห็นและเข้าใจลักษณะภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้นด้วย

2 ภาษาซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็น “แม่ภาษาไทย”ควรมีลักษณะอย่างไร

(1) เป็นภาษาที่คนไทยยืมคำมาใช้มาก

(2) เป็นภาษาในสังคมที่มีวัฒนธรรมสูงกว่าวัฒนธรรมไทย

(3) เป็นภาษาในสังคมที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับวัฒนธรรมไทย

(4) เป็นภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย

ตอบ (4) เป็นภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย

ภาษาที่ถือเป็น “แม่ภาษาไทย” คือ ภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย ซึ่งถึงแม้ว่าภาษาไทยจะมีความเกี่ยวข้องกับภาษาต่างๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภาษาไทยจะมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาเหล่านั้น และก็ไม่ถือว่าภาษาเหล่านั้นเป็นแม่ของภาษาไทยด้วย เพราะภาษาแต่ละภาษาก็มีลักษณะเฉพาะตนเอง

3 ทำไมภาษาไทยจึงมีคำยืมจากภาษาต่างประเทศมาก

(1) เพราะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับสังคมต่างภาษา (2) เพราะภาษาไทยมีคำน้อยจึงไม่พอใช้

(3) เพราะคนไทยนิยมวัฒนธรรมต่างชาติ (4) เพราะสังคมไทยยังด้อยพัฒนา

ตอบ (2) เพราะภาษาไทยมีคำน้อยจึงไม่พอใช้

ในปัจจุบันสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ความจำเป็นในการใช้คำใหม่ให้เพียงพอแก่การพูดจามีมากยิ่งขึ้น ประกอบกับภาษาไทยมีพัฒนาการทางด้านคำน้อย ทำให้คำเดิมของไทยซึ่งเป็นคำโดดไม่พอใช้ในภาษา จึงต้องยืมคำภาษาอื่นมาใช้ สร้างคำใหม่ขึ้น หรืออาจจะเกิดคำใหม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงทางภาษาบางประการ

4 ข้อใดแสดงวิธีการบอกเพศตามแบบภาษาคำโดด

(1) เด็กหนุ่ม (2) น้ำพริกหนุ่ม (3) หนุ่มเมืองจันท์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) เด็กหนุ่ม

คำนามในภาษาไทยบางคำก็แสดงเพศได้ในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ ลูกเขย ชาย หนุ่ม ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี ลูกสะใภ้ หญิง สาว นางพยาบาล แม่พิมพ์ของชาติ ฯลฯ แต่คำในภาษาคำโดดบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม เด็กสาว น้าชาย ฯลฯ

5 ข้อใดมีหลักฐานแสดงว่าภาษามีระบบสูงต่ำ

(1) อย่าเอากล่องไปคั่นไว้ที่ขั้นบันได (2) นี่คือขันใส่น้ำอย่างธรรมดา คุณขันอะไร

(3) ในขั้นนี้ ต้องขันน็อตก่อน (4) พอไก่ตัวผู้ขัน ไก่ตัวเมียก็ขานรับ

ตอบ (3) ในขั้นนี้ ต้องขันน็อตก่อน

ระบบสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์)ในภาษาไทย คือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมายโดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ขั้น (เสียงโท) = ชั้นที่ทำลดหลั่นกันเป็นลำดับ ขัน (เสียงจัตวา) = ทำให้ตึงหรือแน่นด้วยวิธีหมุนกวดเร่งเข้าไป เป็นต้น

6 สระเดี่ยวปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) บ่อน (2) บ่อย (3) เบี้ยว (4) เบา

ตอบ (1) บ่อน

เสียงสระในภาษาไทยมี 28 เสียง แบ่งออกเป็น

1 สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อา อึ อื เออะ เออ (สระกลาง) อิ อี เอะ เอ แอะ แอ (สระหน้า) อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ (สระหลัง)

2 สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอือะ เอือ เอา อาว ไอ อาย (สระกลาง) เอียะ เอีย (สระหน้า) อัวะ อัว (สระหลัง) (ส่วน “บ่อย” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว ออ แต่ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ ออ+ย (ออ+อี) = บ่อย

7 สระผสมปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) หมี (2) เหมา (3) โหมด (4) หมู

ตอบ (2) เหมา

ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

8 พยัญชนะต้นในข้อใดมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย

(1) หนี (2) สี (3) พี่ (4) จี๋

ตอบ (3) พี่

พยัญชนะเสียงหนัก คือ พยัญชนะต้นที่เวลาออกเสียงจะมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย หรือมีลมหายใจพุ่งออกมาจากหลอดลมโดยแรง (แรงกว่าพยัญชนะเสียงอื่น) และไม่ถูกขัดขวาง ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ) เป็นต้น (ส่วน “หนี” เสียง ห จะหายไป เพราะพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว ) ที่มี ห หรือ อ นำหน้า จะไม่ออกเสียง ห หรือ อ)

9 หากอุดจมูก จะออกเสียงคำใดได้ยาก

(1) สอง (2) ของ (3) ตอง (4) น้อง

ตอบ (4) น้อง

พยัญชนะนาสิก คือ พยัญชนะระเบิดที่เสียงออกทางจมูกซึ่งเกิดจากอวัยวะในการออกเสียงปิดสนิท ณ จุดใดจุดหนึ่งในปาก แต่เพดานอ่อนลดต่ำลงทำให้ลมเปลี่ยนทางไปออกทางจมูกทันทีที่คลายการปิดกั้น ดังนั้นหากอุดจมูกก็จะออกเสียงได้ยาก ได้แก่ พยัญชนะต้น ง น ม

10 คำว่า “ลาว” ออกเสียงใกล้เคียงกับข้อใด

(1) อา+อี (2) อา+อู (3) อี+อา (4) อู+อา

ตอบ (2) อา+อู

ถ้าออกเสียง อา ไม่ให้ขาดเสียง และแทนที่จะให้ลิ้นทอดราบกับปาก กลับค่อยๆกระดกลิ้นขึ้นจนเกือบจดเพดานในระดับของ อู เสียงนั้นก็จะเป็นสระผสม อา + อู เช่น ลาว ราว สาว ชาว ฯลฯ แต่ถ้าออกเสียง อา แล้วกระดกลิ้นสูงไป จดเพดานอ่อนเข้า ก็จะกลายเป็นเสียง อา มี ว สะกด หรือ อา+ว = อาว เช่นกัน

11 แม่กด ปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) เพศ

(2) เกตุ

(3) เศษ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

พยัญชนะท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนะท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ตาม โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมด 8 เสียงดังนี้

1 แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ

2 แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

3 แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

4 แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ

5 แม่กง ได้แก่ ง

6 แม่กม ได้แก่ ม

7 แม่เกย ได้แก่ ย

8 แม่เกอว ได้แก่ ว

12 พยางค์ที่สองของคำว่า “สมานฉันท์” ถ้าออกเสียงแบบเคียงกันจะมีวรรณยุกต์ใด

(1) สามัญ

(2) เอก

(3) โท

(4) จัตวา

ตอบ (1) สามัญ

การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น คำว่า สมานฉันท์ (สะ-มา-นะ-ฉัน) มีพยางค์ที่ 2 คือ มา ซึ่งเป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่ไม่มีตัวสะกด และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง 5 เสียง แต่เวลาเขียนต้องมีอักษรเสียงกลาง (เสียง อ) หรือเสียงสูง (เสียง ห) ช่วยนำ ได้แก่ มา (เสียงสามัญ) หม่า (เสียงเอก) ม่า (เสียงโท) ม้า (เสียงตรี) และหมา (เสียงจัตวา) เป็นต้น

13 พยางค์ที่สองของคำว่า “สมานฉันท์” ถ้าออกเสียงแบบนำกันมาจะมีเสียงวรรณยุกต์ใด

(1) สามัญ (2) เอก (3) โท (4) จัตวา

ตอบ (4) จัตวา

การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น คำว่า สมานฉันท์ (สะ-หมาน-นะ-ฉัน) มีพยางค์ที่ 2 คือ หมาน ซึ่งเป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว ( ง น ม ย ร ล ว ) ที่มีตัวสะกดคำเป็น (แม่กน) และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง 5 เสียง แต่เวลาเขียนต้องมีอักษรเสียงกลาง (เสียง อ ) หรือเสียงสูง (เสียง ห ) ช่วยนำ เช่น มาน (เสียงสามัญ) หม่าน (เสียงเอก) ม่าน (เสียงโท) ม้าน (เสียงตรี) และหมาน (เสียงจัตวา)

14 ข้อใดมีการออกเสียงพยางค์ทั้งแบบคำเป็นและคำตาย

(1) นายจ้าง (2) นายตรวจ (3) นายทุน (4) นายเวร

ตอบ (2) นายตรวจ

คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และ แม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 11 ประกอบ)

15 ข้อใดใช้วรรณยุกต์ผิด

(1) ไปนะคะ (2) ไปละค่ะ (3) ไปนะค่ะ (4) ไปไหมค๊ะ

ตอบ (4) ไปไหมค๊ะ

เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ เอก โท ตรี และจัตวา ซึ่งในคำบางคำรูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน เช่นคำว่า คะ ในตัวเลือกข้างต้นใช้รูปวรรณยุกต์ผิด เพราะค๊ะ เป็นพยัญชนะเสียงคู่ (ค ฆ ช ฌ ท ฑ ฒ ธ พ ภ ฟ ซ ฮ ) ที่ไม่มีตัวสะกด และสระเสียงสั้น (สระอะ) จึงผันได้ 2 เสียง คือ เสียงโท (ใช้ไม้เอก) และเสียงตรี (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น ไปไหมคะ

16 ในภาษามาตรฐาน คำว่า “น้ำมัน” ในข้อใดออกเสียงสั้นกว่าข้ออื่น

(1) น้ำมันหมดแล้ว รถวิ่งต่อไปไม่ได้ (2) น้ำมันหมดแล้ว คอแห้งจริงๆ

(3) น้ำมันไปหมดแล้ว คงเอามาดื่มไม่ได้ (4) ออกเสียงเท่ากันทุกข้อ

ตอบ (1) น้ำมันหมดแล้ว รถวิ่งต่อไปไม่ได้

อัตราการออกเสียงสั้น ยาวตามภาษามาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นจะมีความยาวในการออกเสียง 1 มาตรา ส่วนสระเสียงยาวนั้นจะมีความยาว 2 มาตรา ทั้งนี้การลงเสียงเน้นในคำจำทำให้คำแต่ละคำมีอัตราเสียงสั้นยาวต่างกัน นั่นคือ คำหรือพยางค์ ที่ลงเสียงเน้นจะออกเสียงยาว 2 มาตรา แต่ส่วนที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นจะออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา โดยถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย ส่วนคำที่ไม่เน้นก็มักจะสั้นลง เช่นคำว่า “น้ำมัน” ในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำประสมจึงออกเสียงพยางค์หลัง 2 มาตรา และพยางค์หน้าเพียง 1 มาตรา (ส่วน “น้ำ / มัน” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำดี่ยวที่แยกกันจึงออกเสียงยาวเท่ากัน พยางค์ละ 2 มาตรา

17 ในภาษาพูด คำว่า “ระ” ในข้อใดลงเสียงเน้น

(1) ปีระกา (2) ระงมไพร (3) ลูกระนาด (4) ตึกระฟ้า

ตอบ (4) ตึกระฟ้า

(ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ) การลงเสียงเน้นในภาษาพูด นอกจากจะออกเสียงสั้นยาวตามแบบแผนที่กำหนดไว้แล้ว บางครั้งอาจสังเกตได้จากการเว้นจังหวะระหว่างคำ เช่น คำว่า ตึกระฟ้า จะลงเสียงเน้นที่ “ระ” กับ “ฟ้า” เสมอกัน เพราะระหว่างคำทั้งสองมีจังหวะเว้นระหว่างคำ ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมักลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย

18 ข้อใดมีคำที่มีความหมายแฝง

(1) ปูหลน (2) ปูอัด (3) ปูดำ (4) ปูจ๋า

ตอบ (2) ปูอัด

ความหมายแฝง คือ ความหมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งแนะรายละเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้นๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกทิศทางเข้าใน หรือเข้าข้างใน เช่น ฉีด (เอายาฉีดเข้าไปในร่างกาย) บุกรุก (ล่วงล้ำเข้าไป) อัด ยัด (ดันเข้าไปให้แน่น) ฯลฯ

19 ข้อใดใช้คำในเชิงอุปมา

(1) หมอใช้ปลิงเกาะแผลเพื่อดูดพิษ (2) เขาช่วยดึงปลิงที่เกาะขาเธอทิ้ง

(3) เขาเกาะเธอเหมือนปลิง (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) เขาเกาะเธอเหมือนปลิง

คำอุปมาคือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 คำอุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น เต่า (ช้า งุ่มง่าม) ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อย เพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) ฯลฯ

2 คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กินน้ำเห็นปลิง (รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เหมือนจะกินน้ำเห็นปลิงอยู่ในน้ำก็กินไม่ลง) ฯลฯ

20 ข้อใดใช้คำอุปมาได้อย่างถูกต้องที่สุด

(1) กินน้ำเห็นลิง (2) กินน้ำเห็นปลิง (3) กินน้ำเห็นสิงห์ (4) กินน้ำเห็นจริง

ตอบ (2) กินน้ำเห็นปลิง

ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ

21 ข้อใดใช้คำแยกเสียงแยกความหมาย

(1) คุณพจีมีวจีอันไพเราะ

(2) เขาช่วยบอกวิธีทำพิธีให้เรา

(3) คุณวัชราเป็นเพื่อนกับคุณพัชรา

(4) เขาตั้งชื่อลูกสาวฝาแฝดว่าพนาลีกับวนาลี

ตอบ (2) เขาช่วยบอกวิธีทำพิธีให้เรา

การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้นๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน เช่น คำว่า “วิธี” กับ “พิธี” (มีพยัญชนะต้นบางเสียงต่างกัน) หมายถึง ทำให้ถูกตามแบบอย่าง ธรรมเนียม แต่ “วิธี” เป็นการทำให้ถูกตามทำนอง กฎเกณฑ์ หรือหนทางที่จะทำ ส่วน “พิธี” เป็นการทำให้ถูกตามลัทธิ หรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อความขลังหรือสิริมงคล

22 ข้อใดมีคำที่ใช้แม่กดกับแม่กนเพื่อแยกความหมาย

(1) เสียงออด เสียงอ่อย (2) เสียงอ่อย เสียงอ้อน

(3) เสียงออด เสียงอ้อน (4) เสียงอ่อน เสียงอ้อน

ตอบ (3) เสียงออด เสียงอ้อน

(ดูคำอธิบายข้อ 21 ประกอบ) คำว่า “ออด” กับ “อ้อน” (มีพยัญชนะ ตัวสะกดต่างกัน คือ แม่กด กับแม่กน) หมายถึง ทำอาการพร่ำร้องขอคล้ายกัน แต่ “ออด” เป็นอาการพร่ำอ้อนวอนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วน “อ้อน” เป็นอาการพร่ำรำพันในลักษณะงอแงอย่างเด็ก

23 ข้อใดมีคำซ้อน

(1) ปลาแก้มช้ำรูปร่างคล้ายปลาตะเพียน (2) แก้มคางเปื้อนหมด

(3) เขาชอบกินชมพู่แก้มแหม่ม (4) เธอเคยเห็นมะม่วงแก้มแดงไหม

ตอบ (2) แก้มคางเปื้อนหมด

คำซ้อน คือ คำเดี่ยว 2 , 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น เช่น คำซ้อนที่ความหมายจะปรากฏที่คำต้นหรือคำท้ายคำใดคำเดียวตรงตามความหมายนั้นๆ ส่วนอีกคำหนึ่งไม่มีความหมายปรากฏ เช่น แก้มคาง (ในความแก้มคางเปื้อนหมด) เป็นการพูดแบบไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งความหมายจะอยู่ที่คำต้น (ส่วน “แก้ม” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสม)

24 ข้อใดมีคำเดี่ยวเรียงกัน

(1) อยู่กินข้าวกันก่อนนะ อย่าเพิ่งไป (2) เขาและเธออยู่กินกันมานาน

(3) ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนะกินอยู่ลำบาก (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) อยู่กินข้าวกันก่อนนะ อย่าเพิ่งไป

คำบางคำเป็นคำเดี่ยว แต่มีลักษณะเหมือนคำซ้อน คำซ้ำ และคำประสม ซึ่งในภาษาเขียนเราไม่อาจทราบได้ ถ้าไม่มีข้อความแวดล้อมเข้ามาช่วย แต่ในภาษาพูดเราใช้วิธีลงเสียงเน้น เช่น คำว่า “อยู่ / กิน” มนตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันมีความหมายเพียงอยู่และกิน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำซ้อนเพื่อความหมายที่สับคำกันโดยคำว่า “อยู่กิน” หมายถึง การดำเนินชีวิตฉันสามีภรรยา ส่วน “กินอยู่” หมายถึง พักอาศัย)

25 ข้อใดมีคำซ้ำ (ในที่นี่ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) เขามีที่ที่สุวรรณภูมิ (2) เขามีที่ที่สวยมาก (3) กินอาหารเป็นที่ที่สิ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) กินอาหารเป็นที่ที่สิ

คำซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อนแต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น กินอาหารเป็นที่ๆสิ เป็นต้น (ส่วน “ที่ที่” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยว เพราะ “ที่” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “ที่” คำหลังเป็นคำบุรพบท)

26 ข้อใดแสดงจำนวนมากกว่าหนึ่ง (ในที่นี้ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) หน้าตาออกจะบ้านบ้าน (2) ตรวจเป็นบ้านบ้านไปซิ (3) บ้านบ้านนี้แพงมาก (4) ทุกข้อ

ตอบ (2) ตรวจเป็นบ้านบ้านไปซิ

คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ ถ้ามีคำว่า “เป็น” มาข้างหน้า นอกจากจะบอกว่าจำนวนนั้นมีมากกว่าหนึ่งแล้ว ยังแยกความหมายออกไปเป็นทีละหนึ่งด้วย เช่น ตรวจเป็นบ้านๆไปซิ (ตรวจทีละบ้าน แต่มีหลายบ้าน) ฯลฯ (ส่วน “บ้านๆ” ในตัวเลือกข้อ 1 หมายถึง ธรรมดาๆ ชาวบ้านทั่วไป ซึ่งเป็นคำซ้ำที่ซ้ำคำนามแล้วความหมายต่างออกไปจากความหมายเดิม เราจึงใช้เป็นคำขยาย และ “บ้าน” ในตัวเลือกข้อ 3 ไม่ใช่คำซ้ำ แต่เป็นคำเดี่ยว เพราะ “บ้าน” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “บ้าน” คำหลังเป็นคำลักษณะนาม ซึ่งควรแก้ไขเป็น บ้านหลังนี้แพงมาก จึงจะถูกต้อง)

27 คำในข้อใดเป็นคำที่มีโครงสร้างเหมือนกับคำว่า “แก้วเก้าเนาวรัตน์”

(1) รูปเขียน (2) รูปภาพ (3) รูปถ่าย (4) รูปสี

ตอบ (2) รูปภาพ

คำว่า “แก้วเก้าเนาวรัตน์” “อิทธิฤทธิ์ และรูปภาพ เป็นคำซ้อนเพื่อความหมายที่มีโครงสร้างเหมือนกัน กล่าวคือ เป็นการนำคำที่คนยังไม่สู้เข้าใจความหมายดีนัก เช่น เนาวรัตน์ (แก้ว 9 อย่าง ) อิทธิ (ฤทธิ์) ภาพ (รูป) ฯลฯ มาซ้อนกับคำที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจและคุ้นเคยดีอยู่แล้วเป็นแก้วเก้าเนาวรัตน์ อิทธิฤทธิ์ รูปภาพ จึงทำให้เข้าใจความหมายของคำที่ไม่รู้ได้ทันที เพราะคำที่นำมาซ้อนกันต้องมีความหมายคล้ายกัน

28 ข้อใดไม่ใช่คำประสม

(1) ปลุกใจ (2) ปลุกลูก (3) ปลุกระดม (4) ปลุกผี

ตอบ (2) ปลุกลูก

คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป มาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริงๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว เช่น คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา โดยคำตัวตั้งเป็นคำกริยา มีคำอื่นๆตามมีความหมายไปในเชิงอุปมา และมีที่ใช้เฉพาะ ได้แก่ ปลุกใจ (เร้าใจให้กล้าหาญหรือกระตือรือร้น) ปลุกระดม (เร้าใจและยุยงให้ประชาชนลุกฮือขึ้น) ปลุกผี (รื้อฟื้นเรื่องที่ยุติแล้วขึ้นมาใหม่) ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกที่ 2 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันมา

29 คำประสมในข้อใดมีลักษณะเดียวกับคำว่า “เรียงเบอร์”

(1) เข้าวิน (2) รถซิ่ง (3) เช็กบิล (4) โกอินเตอร์

ตอบ (2) รถซิ่ง

คำสร้างใหม่นอกจากจะสร้างจากคำไทยด้วยกันแล้ว ก็ยังมีคำอีกจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยอาศัยคำต่างประเทศมาประสมกัน หรือใช้คำไทยประสมกับคำต่างประเทศ เช่น เรียงเบอร์ ประกอบด้วยคำไทย (เรียง) + คำอังกฤษ (เบอร์ มาจากพยางค์หลังของ Number) รถซิ่ง ประกอบด้วยคำไทย (รถ) + คำอังกฤษ (ซิ่ง มาจากพยางหลังของ Racing ) ฯลฯ

30 คำประสมในข้อใดประกอบด้วยคำกริยา 2 คำ

(1) คิดเลข (2 ) เผาขน (3) วาดเขียน (4) กำลังเขียน

ตอบ (3) วาดเขียน

คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา โดยมีคำตัวตั้งและมีคำขยายเป็นคำกริยามีความสำคัญเท่ากันเหมือนเชื่อด้วย “และ” อาจสับหน้าสับหลังกันได้ ซึ่งคำใดอยู่ต้นถือเป็น ตัวตั้ง ส่วนคำท้ายเป็นคำขยาย เช่น เที่ยวเดิน – เดินเที่ยว พิมพ์ดีด – ดีดพิมพ์ ติดต่อ – ต่อติด ให้หา – หาให้ วาดเขียน – เขียนวาด เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 31 – 34 จงพิจารณาคำเกิดใหม่ต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) มะขาม ตะวัน สะดือ

(2) จักกะจั่น กะปู กระโฉม

(3) กระโดกกระเดก กระโตกกระตาก กระแทกกระทั้น

(4) กระจู๋กระจี๋ กระชุ่มกระชวย กระซุบกระซิบ

31 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน

ตอบ (3) กระโดกกระเดก กระโตกกระตาก กระแทกกระทั้น

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้คอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “ก” เหมือนกัน เช่น โดกเดก กระโดกกระเดก โตกตาก กระโตกกระตาก แทกทั้น กระแทกกระทั้น

32 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง

ตอบ (1) มะขาม ตะวัน สะดือ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสีย “อะ” ได้แก่

1 “มะ” ที่นำหน้าชื่อผลไม้ ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น

หมากปราง มะปราง หมากขาม มะขาม หมากค่า มะค่า เมื่อรืน มะรืน

2 “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น

ตัวขาบ ตะขาบ ต้นขบ ตะขบ ตาวัน ตะวัน

3 “สะ” เช่น สายดือ สะดือ สาวใภ้ สะใภ้

4 “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น ฉาดๆ ฉะฉาด เฉื่อยๆ ฉะเฉื่อย

5 “ยะ / ระ / ละ” เช่น รื่นๆ ระรื่น ยิบๆยับๆ ยะยิบยะยับ เลาะๆ ละเลาะ

6 “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร ส่วนคำอื่นๆที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่

ผู้ญาณ พยาน ช้าพลู ชะพลู เฌอเอม ชะเอม เป็นต้น

33 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด

ตอบ (4) กระจู๋กระจี๋ กระชุ่มกระชวย กระซุบกระซิบ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด เป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น จู๋จี๋ กระจู๋กระจี๋ ชุ่มชวย กระชุ่มกระชวย ซุบซิบ กระซุบกระซิบ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอนแล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร จมูกปาก จมูกจปาก ฯลฯ

34 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด

ตอบ (2) จักกะจั่น กะปู กระโฉม

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด เกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วย เสียง “กะ” เช่น จักจั่น จักกะจั่น ตกใจ ตกกะใจ ฯลฯ หรือหน้าคำที่เป็นชื่อนก เช่น นกปูด กะปูด นกจิบ กะจิบ ฯลฯ ชื่อผัก เช่น ผักโฉม กระโฉม ผักสัง กะสัง ฯลฯ

และชื่อสิ่งที่มีลักษณนามคำว่า “ลูก” นำหน้า เช่น ลูกดุม กะดุม ฯลฯ

35 ข้อใดไม่ใช่คำอุปสรรคเทียมที่เลียนแบบภาษาเขมร

(1) สะสวย (2) ประเดี๋ยว ประท้วง

(3) ปะติดปะต่อ พะรุงพะรัง (4) ฉะฉาน ละเลาะ

ตอบ (4) ฉะฉาน ละเลาะ (ดูคำอธิบายข้อ 32 ประกอบ)

อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

1 “ชะ / ระ / ปะ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย ระคน ระคาย ระย่อ ปะปน ปะติดปะต่อ ประเดี๋ยว ประท้วง พะรุงพะรัง พะเยิบ สมยอม สะสาง สะพรั่ง สะสวย ฯลฯ

2 ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายว่า “ทำให้” เช่น ขยิบ ขยี้ ขยำ ปลุก ปลด ปละ ปรุ ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 36 – 39 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) ทนายคนเก่ง (2) นายดำปรึกษาทนาย

(3) เขาไม่ชอบอาชีพทนาย (4) ทนายแดงว่าความชนะ

36 คำว่าทนายในข้อใดเป็นกรรมของประโยค

ตอบ (2) นายดำปรึกษาทนาย

ภาคผู้ถูกกระทำ เรียกว่า กรรมของประโยค มักจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยา และอาจมีคำขยายกรรมหรือไม่ก็ได้ เช่น นายดำ (ประธาน) ปรึกษา (กริยา) ทนาย (กรรม) ฯลฯ แต่กรรมก็สามารถอยู่หน้ากริยาได้ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายประธานแต่ไม่ใช่ประธาน เช่น เสื้อตัวนี้ (กรรม + ขยายกรรม) ใคร (ประธาน) ตัด (กริยา) ฯลฯ

37 คำว่าทนายในข้อใด เป็นส่วนขยายกรรมของประโยค

ตอบ (3) เขาไม่ชอบอาชีพทนาย

ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่

1 คุณศัพท์ขยายผู้กระทำกริยา (ประธาน) หรือขยายผู้ถูกกระทำ (กรรม) เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (ประธาน+ขยายประธาน) เขา (ประธาน) ไม่ชอบ (กริยา) อาชีพทนาย (กรรม+ขยายกรรม)

2 กริยาวิเศษณ์ขยายกริยา เช่น ทนายแดง (ประธาน) ว่าความชนะ (กริยา+ขยายกริยา) ฯลฯ

38 ข้อใดมีส่วนขยายกริยา

ตอบ (4) ทนายแดงว่าความชนะ (ดูคำอธิบายข้อ 37 ประกอบ)

39 ข้อใดมีเฉพาะส่วนประธาน

ตอบ (1) ทนายคนเก่ง

ภาคผู้แสดงหรือผู้กระทำกริยา เรียกว่า ประธานของประโยค มักจะมีตำแหน่งอยู่หน้ากริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด และอาจมีคำขยายประธานหรือไม่ก็ได้ เช่น ทนายคนเก่ง (ประธาน+ขยายประธาน) ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 40 – 42 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ฟังทางนี้ (2) โปรดฟังอีกครั้ง (3) ฟังอยู่รึเปล่า (4) ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด

40 ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ (4) ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด

ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

41 ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ (1) ฟังทางนี้

ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว

42 ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ (3) ฟังอยู่รึเปล่า

ประโยคคำถามหมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

43 “นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงชอบออกกำลังกาย” คำนาม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหน้าที่ใดของประโยค

(1) ผู้ทำกริยา (2) ผู้ถูกกระทำ (3) ขยายผู้ทำกริยา (4) ขยายผู้ถูกกระทำ

ตอบ (3) ขยายผู้ทำกริยา ดูคำอธิบายข้อ 37 ประกอบ

44 คำนามในข้อใดแสดงเพศไม่ชัดเจนทั้ง 2 คำ

(1) ลูกเขย กำนัน (2) ผู้ใหญ่บ้าน สะใภ้

(3) แม่พิมพ์ของชาติ นางพยาบาล (4) นายทะเบียน คนขับรถประจำทาง

ตอบ (4) นายทะเบียน คนขับรถประจำทาง ดูคำอธิบายข้อ 4 ประกอบ

45 คำนามแสดงพจน์ข้อใดขัดกับความหมายของประโยค

(1) เด็กๆนั่งเล่นอยู่คนเดียว (2) แดงกับดำมาคู่กัน

(3) นักศึกษาหลายคนจับกลุ่มคุยกัน (4) ผึ้งบินมาเป็นฝูง

ตอบ (1) เด็กๆนั่งเล่นอยู่คนเดียว

การแสดงพจน์ (จำนวน) มีดังนี้

1 ใช้คำบอกจำนวนหนึ่ง (เอกพจน์) เช่น โสด เดียว หนึ่ง ฯลฯ

2 ใช้คำบอกจำนวนสอง (พหูพจน์ ) เช่น สอง คู่ ฯลฯ

3 ใช้คำบอกจำนวนมากกว่าสอง (พหูพจน์) เช่น กลุ่ม หมู่ ฝูง พวก โขลง ครอก ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีต่างๆเพื่อบอกพหูพจน์ ได้แก่ ใช้คำขยาย เช่น มาก มากมาย หลาย ฯลฯ ใช้คำบอกจำนวนนับ เช่น สาม สี่ ฯลฯ และใช้คำซ้ำ เช่น เด็กๆ หนุ่มๆ ฯลฯ ดังนั้นคำว่า เด็กๆ (หลายคน) จึงขัดกับคำว่า คนเดียว

46 ข้อใดเป็นสรรพนามแทนตัวผู้พูด

(1) ติ๋วมาโน่นแล้ว (2) ติ๋วอยากพบเธอ (3) ติ๋วขอกลับก่อนนะ (4) ฝากบอกติ๋วด้วยนะ

ตอบ (3) ติ๋วขอกลับก่อนนะ

สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ฉัน ดิฉัน อิฉัน กระผม ข้าพเจ้า ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่นๆ แทนตัวผู้พูด เพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่

1 ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทนตัวผู้พูด เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ฯลฯ

2 ใช้ตำแหน่งในการงานแทนตัวผู้พูด เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ

3 ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทนตัวผู้พูด เช่น ติ๋ว ต๋อย นุช ฯลฯ (ส่วน “ติ๋ว” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง)

47 ข้อใดใช้สรรพนามไม่เหมาะสมกับฐานะขอบุคคล

(1) ศรรามเขาเป็นนักแสดง (2) อาจารย์ท่านไม่สบาย

(3) ยายแจ๋วแกไม่อยากเป็นคนใช้ (4) นายกรัฐมนตรีสมัครแกชอบทำกับข้าว

ตอบ (4) นายกรัฐมนตรีสมัครแกชอบทำกับข้าว

สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง มีที่ใช้ต่างๆกันดังนี้

1 เขา ใช้ได้ทั้งชายและหญิง อาจใช้ขยายนามข้างหน้าเพื่อให้ฟังสนิทเป็นกันเอง

2 มัน ใช้แทนผู้ที่พูดถึงต่ำกว่าผู้พูด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ถูกใจ หรืออาจใช้ด้วยความถือสนิทเมื่อผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ ลูกน้อง คนสนิท

3 แก ใช้แทนบุคคลน่าเวทนาที่ไม่เคารพนับถือนักแต่ถ้าใช้กับเด็กเล็กๆจะแสดงความเอ็นดูรักใคร่

4 ท่าน ใช้แทนผู้ที่พูดถึงที่เคารพนับถือ

48 ข้อใดเป็นสรรพนามแสดงความไม่เฉพาะเจาะจง

(1) อะไรที่เธอถือมา (2) อันไหนเป็นของเธอ (3) ใครๆก็ไม่รักผม (4) ผู้ใดยังไม่ได้รับของขวัญ

ตอบ (3) ใครๆก็ไม่รักผม

สรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่แสดงคำถาม แต่สรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอยๆ ไม่ชี้เฉพาะว่าเป็นใคร อะไร หรือที่ไหน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามที่แสดงคำถาม ซึ่งต้องการคำตอบ)

49 ข้อใดใช้คำกริยาซ้อนคำกริยา

(1) ถวายพระพร (2) ถวายอาลัย (3) ถวายของที่ระลึก (4) ถวายความจงรักภักดี

ตอบ (2) ถวายอาลัย

คำกริยา คือ คำที่กล่าวถึงการกระทำหรือกิริยาอาการของคน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งคำกริยาบางคำจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัว เมื่อพูดก็เข้าใจความหมายได้ครบถ้วน แต่บางคำก็ต้องอาศัยกรรมหรือส่วนขยายมาช่วย เช่น คำว่า “ถวายอาลัย” (แสดงความระลึกถึงด้วยความเสียดาย) เป็นคำกริยาซ้อนคำกริยา คือ ถวาย (มอบให้) + อาลัย (ห่วงใย ระลึกถึง) (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำกริยา + คำนาม)

50 ข้อใดเป็นกริยาเดี่ยว

(1) เขาวิ่งราวกับจรวด (2) โจรวิ่งราวกระเป๋าถือ

(3) หนังสือเล่มนี้กินใจผู้อ่าน (4) แดงกับดำกินใจกัน

ตอบ (1) เขาวิ่งราวกับจรวด

ประโยค “เขาวิ่ง / ราวกับจรวด” ในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันโดยมีคำว่า “วิ่ง” (ก้าวไปโดยเร็วยิ่งกว่าเดิน) เป็นคำกริยาเดี่ยวๆ และมีคำว่า “ราวกับ” เป็นคำสันธานเชื่อมความเปรียบเทียบกัน (ส่วน “วิ่งราว” และ “กินใจ” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสมที่ทำหน้าที่ได้อย่างกริยา)

51 ข้อใดเป็นคำลงท้ายคำกริยา

(1) กินเข้าไปได้

(2) กินเข้าไปเถอะ

(3) กินได้แล้ว

(4) กำลังกินอยู่

ตอบ (2) กินเข้าไปเถอะ

คำอื่นๆที่ไม่ใช่กริยาช่วย แต่เป็นคำลงท้ายประโยคหรือเป็นคำลงท้ายคำกริยา ได้แก่ เถอะ เถิด นะ น่ะ น่า เถอะนะ เถอะน่า นา ละ ล่ะ ซิ ซี ซิน่ะ หรอก ดอก ฯลฯ

52 ข้อใดมีทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์

(1) รถเก่าวิ่งช้า (2) เด็กอ้วนชอบกิน (3) น้ำน้อยแพ้ไฟ (4) วันใสวัยสวย

ตอบ (1) รถเก่าวิ่งช้า

คำวิเศษณ์ คือ คำที่ทำหน้าที่ขยายความให้ชัดเจนสมบูรณ์ขึ้น แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้

1 คำวิเศษณ์ขยายนาม เรียกว่า คำคุณศัพท์ เช่น รถเก่า เด็กอ้วน น้ำน้อย วันใสวัยสวย ฯลฯ

2 คำวิเศษณ์ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ หรือขยายกริยาวิเศษณ์ เรียกว่า คำกริยาวิเศษณ์ ซึ่งบางทีก็เป็นคำๆเดียวกับคุณศัพท์ จึงต้องสังเกตตำแหน่งและดูความในประโยค เช่น วิ่งช้า กินมูมมาม ฯลฯ

53 “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นคำคุณศัพท์ประเภทใด

(1) บอกภาวะ (2) บอกจำนวนนับ (3) บอกจำนวนนับไม่ได้ (4) บอกจำนวนแบ่งแยก

ตอบ (3) บอกจำนวนนับไม่ได้

คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้ (ประมาณคุณศัพท์) ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด หลาย ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทั้ง ฯลฯ

54 “ของของใคร ของใครก็ห่วง ของใครใครก็ต้องหวง”

ประโยคที่ยกมานี้ปรากฏคำบุรพบทกี่แห่ง

(1) 1 แห่ง (2) 2 แห่ง (3) 3 แห่ง (4) 4 แห่ง

ตอบ (1) 1 แห่ง

คำว่า “ของ” ที่เป็นคำ บุรพบทใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของ จะมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “แห่ง” แต่ในภาษไทยไม่สู้จะได้ใช้คำนี้แสดงความเป็นเจ้าของนัก เพราะถ้าพูดโดยละ “ของ” เสีย ความหมายก็จะไม่ผิดไปจากเดิม (ยกเว้นแต่ในกรณีที่ละไม่ได้) เช่น ประโยค “ของของใคร ของใครก็ห่วง ของใครใครก็ต้องหวง” มีคำว่า “ของ” เป็นคำบุรพบทเพียง 1 แห่ง นอกจากนั้น “ของ” จะเป็นคำนาม หมายถึง สิ่งต่างๆ (โดยละ “ของ” ที่เป็นคำบุรพบทออกเสีย)

55 ข้อใดสามารถละบุรพบทได้

(1) ณ ราตรีหนึ่ง (2) คืนหนังสือโดยด่วน

(3) เป็นกำลังใจให้แก่เธอ (4) โทรศัพท์คุยกับเพื่อน

ตอบ (3) เป็นกำลังใจให้แก่เธอ

คำบุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยา และคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น เป็นกำลังใจให้แก่เธอ (เป็นกำลังใจให้เธอ) เป็นต้น แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ จะละได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

ตั้งแต่ข้อ 56 – 57 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 2 ข้อต่อไป

(1) เขาไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องทำงาน (2) เขาอาจจะเรียนไปทำงานไป

(2) เขาเรียนเก่งแต่หางานทำไม่ได้ (4) พอเรียนจบเขาก็ได้งานทำ

56 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน

ตอบ (1) เขาไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องทำงาน

คำสันธานที่เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ เพราะ เพราะว่า ด้วย ด้วยว่า เหตุว่า อาศัยที่ ค่าที่ เพราะฉะนั้น ดังนั้น จึง เลย เหตุฉะนี้ ฯลฯ

57 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ (4) พอเรียนจบเขาก็ได้งานทำ

คำสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็ แล้ว แล้ว…ก็ แล้ว…จึง ครั้น…ก็ เมื่อ…..ก็ ครั้น…จึง เมื่อ…จึง พอ….ก็

58 คำอุทานในข้อใดแสดงความตกใจ

(1) ตายจริงๆหรือ (2) ตายจริงเป็นผู้หญิงหรือนี่

(3) ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน (4) ตายจริง ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ

ตอบ (3) ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน

คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจเมื่อตกใจ ดีใจ เสียใจ หรือแปลกใจ ซึ่งคำอุทานแต่ละคำจะกำหนดได้ยากว่าใช้แสดงอารมณ์อะไร จึงต้องดูข้อความแวดล้อมประกอบด้วย เช่น คำว่า “ตายจริง” อาจอุทานแสดงความตกใจ เช่น ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน ฯลฯ หรือแสดงความแปลกใจก็ได้ เช่น ตายจริงเป็นผู้หญิงหรือนี่ ตายจริง ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ฯลฯ

59 ข้อใดคือคำลักษณนามของพระเมรุ

(1) องค์ (2) หลัง (3) แท่น (4) ชุด

ตอบ (1) องค์

คำลักษณนาม คือ คำที่ตามหลังคำบอกจำนวนเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้างหน้าคำบอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียว แต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และ การเทียบแนวเทียบ เช่น พระเมรุ (องค์) เทวดา (องค์) เทวสถาน (หลัง / แห่ง) ธำมรงค์ (วง)

ธรรมจักร (วง) บายศรี (สำรับ) บาตร (ใบ / ลูก) นกหวีด (ตัว) นางไม้ (ตน) ฯลฯ

60 ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้ง 2 คำ

(1) เทวดา เทวสถาน

(2) ธำมรงค์ ธรรมจักร

(3) บายศรี

(4) นกหวีด นางไม้

ตอบ (2) ธำมรงค์ ธรรมจักร ดูคำอธิบายข้อ 59 ประกอบ

การใช้ภาษา

ตั้งแต่ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามโดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

มะเขือพวงแก้เบาหวาน วิจัยพบสรรพคุณเจ๋ง เตือนอย่ากินมากเกินไป

ผ.ศ.ดร. ไชยวัฒน์ ไชยสุต อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สถาบันนวัตกรรมสุขภาพก้าวหน้า เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับมะเขือพวงว่า มะเขือพวงเป็นพืชที่อยู่คู่ครัวไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงเนื้อ แกงป่า น้ำพริกกะปิ หรือผัดเผ็ดบางชนิด ซึ่งตำรับอาหารที่เราได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณกาลนั้น บรรพบุรุษของเรามิได้คำนึงถึงรสชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงทางด้านสรรพคุณของเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ไว้อีกด้วย

ทั้งนี้มะเขือพวงมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนไทยหลายประการ คือ ช่วยเจริญอาหารและย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ปวด ฟกช้ำ ปวดกระเพาะ ฝีบวมหนอง อาการบวมอักเสบ ขับปัสสาวะ

มะเขือพะวงมีสารจำพวกไฟโตนิวเทรียนท์ที่จะช่วยร่างกายในสภาวะขาดแคลนสารอาหารให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ และกลุ่มสารทอร์โวไซด์ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในกระแสเลือดได้และกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเทอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของคอเลสเทอรอลในลำไส้ด้วย จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง สารอีกตัวหนึ่งที่ค้นพบในมะเขือพะวงคือซาโปนิน ทำให้มะเขือพวงมีฤทธิ์ขับเสมหะ

จากการศึกษาพบว่า มะเขือพวงนั้นเป็นพืชที่มีเส้นใยสูงมาก โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า และมากกว่ามะเขือเปราะถึง 65 เท่า แม้ว่าจะมีผักหลายชนิดที่มีสารเส้นใยสูง แต่มะเขือพวง ก็ยังได้รับสมญานามเป็น “ราชาแห่งผักพื้นบ้านในเรื่องของสารเส้นใย” เนื่องจากมะเขือพวงมีสารเส้นใยมากที่สุดเมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยเกือบทั้งหมด เส้นใยในมะเขือพวงมีชื่อเรียกว่า เพกติน เป็นสารที่ละลายน้ำได้ สารนี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้ ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อีกด้วย

“เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของบรรพบุรุษของไทย มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้”

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักเกิดโรคแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลล์ในอวัยวะต่างๆ และโดยมากมักจะเป็นโรคไตร่วมด้วยในภายหลัง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องมีการคุมพฤติกรรมการกินการอยู่อย่างเคร่งครัด เพื่อจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเป็นปกติ แต่จากที่พบมานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผู้ป่วยยังติดนิสัยการกินการอยู่แบบเดิมๆ จึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นมา และในบางรายอาการลุกลามจนถึงต้องตัดอวัยวะต่างๆ เรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อทางจิตใจของผู้ป่วยและญาติเป็นอย่างยิ่ง (จากผลวิจัยในหนูที่เป็นเบาหวาน พบว่า น้ำตาลและอนุมูลอิสระในเลือดของหนูลดลง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีเพราะอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน)

ผ.ศ.ดร.ไชยวัฒน์กล่าวเตือนด้วยว่า แม้ว่ามะเขือพวงจะมีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระได้จริงและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองที่เป็นเบาหวานได้ แต่จากการวิจัยของเรายังค้นพบสารที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย หากได้รับในปริมาณที่มาก นั่นคือ สารอัลคาลอยด์ในมะเขือพวงเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้บริโภคในปริมาณที่มากเกินไป ในปัจจุบันมีการศึกษาพัฒนามะเขือพวงโดยนำมาอบแห้งและผ่านกรรมวิธีลดปริมาณสารอัลคาลอยด์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในรูปแบบของชามะเขือพวง จากการทดสอบกับอาสาสมัครที่เป็นเบาหวาน โดยให้ดื่มชามะเขือพวงในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน พบว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เมื่อร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะโรคแทรกซ้อนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสรรพคุณของมะเขือพวงขอรายละเอียดได้ที่สถาบันนวัตกรรมสุขภาพก้าวหน้า โทร. 0-2251-8008

(ตัดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551 หน้า 1 และ 2)

61 ข้อความที่ให้อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด

(1) ข่าว (2) บทความ (3) บทวิจัย (4) บทวิเคราะห์

ตอบ (1) ข่าว

ข่าว คือ เหตุการณ์ ความรู้ หรือความเห็น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญน่าสนใจและได้รับการเผยแพร่ไปสู่ผู้อ่าน โดยมีการอ้างอิงที่มาของผู้ให้ข้อมูล (แหล่งข่าว) และมีโปรยหัว (พาดหัวข่าว) ประกอบอยู่ด้วยทุกครั้ง (ในหนังสือพิมพ์รายวัน หน้า 1 และ 2 โดยทั่วไปจะเป็นข่าว)

62 จุดประสงค์ในการนำเสนอคืออะไร

(1) แสดงทัศนะ (2) ให้ข้อมูล (3) วิเคราะห์อาการ (4) วิจารณ์โรคภัย

ตอบ (2) ให้ข้อมูล

ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการนำเสนอ คือ ต้องการให้ข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสรรพคุณของมะเขือพวง และโทษที่ผู้บริโภคจะได้รับหากบริโภคมากเกินไป

63 โวหารที่ใช้คืออะไร

(1) บรรยาย (2) อธิบาย (3) บรรยายและอธิบาย (4) อภิปราย

ตอบ (3) บรรยายและอธิบาย

โวหารที่ใช้ในการเขียนข้อความนี้ ได้แก่

1 โวหารเชิงบรรยาย เป็นโวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องตามที่ผู้เขียนได้รู้ได้เห็นมา ซึ่งเป็นการสื่อสารในแนวกว้าง คือ ให้ข้อมูลอย่างกว้างๆ และมีหลายประเด็น

2 โวหารเชิงอธิบาย เป็นโวหารที่ใช้ชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุผล การยกตัวอย่างประกอบ การเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง

64 ท่วงทำนองเขียนเป็นแบบใด

(1) ภาษาแบบแผน (2) ภาษากึ่งแบบแผน

(3) เรียบง่ายมีคำสแลงปน (4) มีทั้งภาษาพูดและภาษาปาก

ตอบ (3) เรียบง่ายมีคำสแลงปน

ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทำนองเขียนที่ใช้คำง่ายๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีคำสแลงปนในส่วนของโปรยหัว (พาดหัวข่าว) เช่น คำว่า เจ๋ง (ดีมาก) เป็นต้น

65 สารัตถะสำคัญของข้อความคืออะไร

(1) สิ่งใดมีคุณก็ย่อมมีโทษ (2) สมุนไพรไทยให้คุณมากกว่าโทษ

(3) ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง (4) มะเขือพวงสามรถบริโภคได้ทั้งสดๆและเป็นสินค้าแปรรูป

ตอบ (3) ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง

แนวคิด (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะของเรื่องนี้ ได้แก่ ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง

66 “มะเขือพวงอยู่คู่ครอบครัวไทยมาช้านาน” แสดงถึงอะไร

(1) วัฒนธรรมการกินของไทย (2) ความสามารถของบรรพบุรุษไทย

(3) ภูมิปัญญาของคนไทยในอดีต (4) คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

ตอบ (4) คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

จากข้อความ มะเขือพวงเป็นพืชที่อยู่คู่ครัวไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงเนื้อ แกงป่า น้ำพริกกะปิ หรือผัดเผ็ดบางชนิด ซึ่งตำรับอาหารที่เราได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณกาลนั้น บรรพบุรุษของเรามิได้คำนึงถึงรสชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงทางด้านสรรพคุณของเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ไว้อีกด้วย

67 สารใดให้ผลแตกต่างจากสารอื่นๆ

(1) เพกติน (2) อัลคาลอยด์ (3) ทอร์โวไซด์ (4) ไฟโตนิวเทรียนท์

ตอบ (2) อัลคาลอยด์

จากข้อความ (มะเขือพะวงมีสารจำพวกไฟโตนิวเทรียนท์ที่จะช่วยร่างกายในสภาวะขาดแคลนสารอาหารให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ และกลุ่มสารทอร์โวไซด์ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในกระแสเลือดได้)

(เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ )

(แต่จากการวิจัยของเรายังค้นพบสารที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย หากได้รับในปริมาณที่มาก นั่นคือ สารอัลคาลอยด์ในมะเขือพวงเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้บริโภคในปริมาณที่มากเกินไป )

68 เหตุใดจึงต้องใส่มะเขือพวงลงในอาหารไทยหลายชนิด

(1) เป็นพืชสวนครัวปลูกริมรั้วได้

(2) เพิ่มความสวยงามเพราะมีสีและขนาดที่เหมาะสม

(3) สามารถลดทอนสิ่งที่จะให้ผลเสียจากเครื่องปรุงนั้นๆ

(4) มีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาวและมะเขือเปราะ

ตอบ (3) สามารถลดทอนสิ่งที่จะให้ผลเสียจากเครื่องปรุงนั้นๆ

จากข้อความ (เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของบรรพบุรุษของไทย มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้)

69 สิ่งที่ผู้บริโภคควรระวังคืออะไร

(1) เครื่องปรุง (2) รสชาติ (3) ความสะอาด (4) ปริมาณ

ตอบ (4) ปริมาณ ดูคำอธิบายข้อ 67 ประกอบ

70 ข้อความในวงเล็บสื่อความหมายใด

(1) นำมาจากหนังสือพิมพ์รายวัน (2) นำบางตอนมาจากสื่ออื่น

(3) นำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาเขียนใหม่ (4) แต่งข้อความจากเรื่องที่อ่านมา

ตอบ (2) นำบางตอนมาจากสื่ออื่น

ข้อความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า (ตัดจาก) หมายถึง นำบางตอนมาจาก…. โดยจะนำเรื่องของผู้เขียนเดิมมาตัดออกบางส่วน แต่ไม่ได้ปรับแต่งถ้อยคำหรือดัดแปลงสำนวนภาษาของผู้เขียนเดิม

ตั้งแต่ข้อ 71 – 80 จงเลือกราชาศัพท์ที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดในแต่ละข้อ เพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

แม้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (71) ของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ ได้ (72) แล้ว แต่ (73) และ (74) ในด้านต่างๆ ยังเป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรทั้งปวง นอกจาก (75) จะได้ทรงสืบสาน (76) ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีด้านการแพทย์และสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคแล้ว ยังได้ (77) ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์เพื่อการส่งเสริมวิชาการทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา และดนตรี (78) มีจำนวนไม่น้อยทั้งด้านประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว และเรื่องของ (79) และ (80) ทั้งสองพระองค์ ได้แก่ เรื่องเวลาเป็นของมีค่า และเจ้านายเล็กๆยุวกษัตริย์

71 (1) พระพี่นาง

(2) พระภคินี

(3) พระกนิษฐภคินี

(4) พระเชษฐภคินี

ตอบ (4) พระเชษฐภคินี

พระเชษฐภคินี หมายถึง พี่สาว ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุดกับความหมายของคำว่า (4) พระเชษฐภคินีของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ส่วนพระพี่นาง หมายถึง พี่สาว พระภคินี หมายถึง พี่หญิง น้องหญิง พระกนิษฐภคินี หมายถึง น้องสะใภ้)

72 (1) สวรรคต (2) ทิวงคต (3) สิ้นพระชนม์ (4) สิ้นชีพิตักษัย

ตอบ (3) สิ้นพระชนม์

สิ้นพระชนม์ หมายถึง ตาย มักใช้กับเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมเด็จพระสังฆราช (ส่วนตัวเลือกอื่นหมายถึงตายเช่นกัน แต่สวรรคตใช้กับพระมหากษัตริย์ ทิวงคตใช้กับพระยุพราช และสิ้นชีพิตักษัยใช้กับหม่อมเจ้า)

73 (1) พระกรณียกิจ (2) พระราชกรณียกิจ (3) พระปณิธาน (4) พระราชปณิธาน

ตอบ (1) พระกรณียกิจ

พระกรณียกิจ หมายถึง กิจที่พึงทำ ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” จะใช้กับเจ้านาย 5 พระองค์ในรัชกาลปัจจุบัน คือ

1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ

3 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

4 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร

5 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

(ส่วนพระปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา)

74 (1) พระอัจฉริยภาพ (2) พระราชภารกิจ (3) พระราชกรณียกิจ (4) พระราชดำรัส

ตอบ (1) พระอัจฉริยภาพ

พระอัจฉริยภาพ หมายถึง ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก (ส่วน พระราชภารกิจ / พระราชกรณียกิจ หมายถึง กิจที่พึงทำ พระราชดำรัส หมายถึง พูด ) ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

75 (1) ท่าน (2) พระองค์ (3) พระองค์ท่าน (4) องค์ท่าน

ตอบ (2) พระองค์

คำสรรพนามราชาศัพท์ ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

1 พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้า และเหนือขึ้นไป

2 ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีราชชนนีเป็นอัครมเหสี

3 เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

4 ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

76 (1) พระดำรัส (2) พระปณิธาน (3) พระราชดำริ (4) พระราชปณิธาน

ตอบ (4) พระราชปณิธาน

พระราชปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะข้อความกล่าวถึง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จึงควรใช้ราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” (ส่วนพระราชดำริหมายถึง คิด) ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

77 (1) ประทาน (2) ทรงประทาน (3) พระราชทาน (4) ทรงพระราชทาน

ตอบ (1) ประทาน

ประทาน หมายถึง ให้ ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะห้ามเติม “ทรง” :ซ้อนคำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น ทรงประทาน ทรงพระราชทาน ฯลฯ แต่ให้เติม “ทรง” เฉพาะหน้าคำกริยาสามัญเพื่อทำให้คำนั้นเป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงวิ่ง ทรงเป็นประธาน ฯลฯ คำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

78 (1) นิพนธ์ (2) พระนิพนธ์ (3) พระราชนิพนธ์ (4) พระราชดำรัส

ตอบ (2) พระนิพนธ์

พระนิพนธ์ หมายถึง แต่งหนังสือ (ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ)

79 (1) เสด็จแม่ (2) สมเด็จแม่ (3) ทูลกระหม่อมแม่ (4)พระองค์แม่

ตอบ (2) สมเด็จแม่

สมเด็จ หมายถึง คำยกย่องหน้าฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดหรือแต่งตั้ง ใช้นำหน้าคำนามสามัญที่เป็นคำไทยและบอกตำแหน่งพระญาติ ซึ่งเป็นเจ้านายด้วยกัน เช่น สมเด็จแม่ (ใช้กับสมเด็จพระบรมราชชนนี) เป็นต้น

80 (1) พระเชษฐา (2) พระอนุชา (3) พระชามาดา (4) พระปิตุลา

ตอบ (2) พระอนุชา

พระอนุชา หมายถึง น้องชาย (ส่วนพระเชษฐา หมายถึง พี่ชาย พระชามาดา หมายถึง ลูกเขย พระปิตุลา หมายถึง ลุง ซึ่งเป็นพี่ของพ่อ)

ตั้งแต่ข้อ 81 – 85 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

(1) ข้าวก้นบาตร ข้าวแดงแกงร้อน ไข่ในหิน

(2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

(3) เสียการเสียงาน เสียกำช้ำกอบ ก่อแล้วต้องสาน

(4) สามใบเถา สามวันดีสี่วันไข้ สามเพลงตกม้าตาย

81 ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ (4) สามใบเถา สามวันดีสี่วันไข้ สามเพลงตกม้าตาย

ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิตมีดังนี้

1 สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมาก และเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น สามใบเถา (เรียกพี่น้องผู้หญิง 3 คนว่าสามใบเถา) สามวันดีสี่วันไข้ (เจ็บออดๆแอดๆอยู่เสมอ) สามเพลงตกม้าตาย (แพ้ ยุติเร็ว) เสียการเสียงาน (ทำให้งานที่มุ่งหวังไว้บกพร่องหรือเสียหาย) ข้าวแดงแกงร้อน (บุญคุณ) ไข่ในหิน (ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง) ฯลฯ

2 คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลางๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ข้าวใหม่ปลามัน (อะไรที่เป็นของใหม่ก็ถือว่าดี) ข้าวยากหมากแพง (ภาวะขาดแคลนอาหาร) ข้าวเหลือเกลืออิ่ม (บ้านเมืองที่บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร) เสียกำช้ำกอบ (เสียน้อยแล้วยังต้องเสียมากอีก) ฯลฯ

3 สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น ก่อแล้วต้องสาน (เริ่มอะไรแล้วต้องทำต่อให้เสร็จ) ฯลฯ

82 ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ (2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ

83 ข้อใดเรียงลำดับถูกต้องตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ (3) เสียการเสียงาน เสียกำช้ำกอบ ก่อแล้วต้องสาน

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ

84 ข้อใดมีข้อความที่ไม่ใช่สำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตปรากฏอยู่ด้วย

ตอบ (1) ข้าวก้นบาตร ข้าวแดงแกงร้อน ไข่ในหิน

ข้าวก้นบาตร หมายถึง อาหารที่เหลือจากพระฉันแล้วที่ศิษย์วัดได้อาศัยกิน (ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ)

85 ข้อใดมีความหมายที่สื่อสภาวะตรงกันข้ามอยู่ในข้อเดียวกัน

ตอบ (2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ ข้าวยากหมากแพง ตรงข้ามกับ ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

86 ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด

(1) รณรงค์ รกร้าง ลายรดน้ำ (2) ระเห็จ รกราก ละเลียด

(3) ร่องแร่ง รกเลี้ยว รองเง็ง (4) ร่อนทอง ร้อนรน รกชัฏ

ตอบ (3) ร่องแร่ง รกเลี้ยว รองเง็ง

คำที่สะกดผิด ได้แก่ รกเลี้ยว ซึ่งที่ถูกต้องคือ รกเรี้ยว

87 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก

(1) ลำเลิก หาลำไผ่ เสื่อลำแพน

(2) ล็อกเกต ลองกอง ละหมาด

(3) ลัคนา ลังถึง ลัดเลาะ

(4) ลักกะปิดลักกะเปิด ละลาบละล้วง ผลลัพท์

ตอบ (4) ลักกะปิดลักกะเปิด ละลาบละล้วง ผลลัพท์

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ลักกะปิดลักกะเปิด ผลลัพท์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลักปิดลักเปิด ผลลัพธ์

88 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) โพล้เพล้ แตกโพละ โพนทะนา

(2) พิศวาส พิรี้พิไร พินาส

(3) พิษสง พุทธมามกะ เพชฆาต

(4) เพียบพร้อม แพขนานยนตร์ แพร่งพราย

ตอบ (1) โพล้เพล้ แตกโพละ โพนทะนา

คำที่สะกดผิด ได้แก่ พินาส เพชฆาต แพขนานยนตร์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ พินาศ เพชฌฆาต แพขนานยนต์

89 ข้อใดสะกดผิดทุกคำ

(1) ปล้องไผ่ จอมปลวก ปลดเกษียณ

(2) นาฏดนตรี เนรเทศ เนรมิต

(3) ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ

(4) ปลาบปลื้ม ปลั๊กไฟ ปลอมแปลง

ตอบ (3) ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ

คำที่สะกดผิดได้แก่ ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ต้นปาล์ม ปลาปักเป้า หวานปะแล่มๆ

90 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) ลอตเตอรี่ ล้างสต๊อก ส่งแฟ๊กซ์

(2) มอร์ฟีน มักกะโรนี คัท – เอ๊าท์

(3) โคม่า เคาน์เตอร์ เซรามิค

(4) อินเทอร์เน็ต ฮ็อตไลน์ เว็บไซต์

ตอบ (4) อินเทอร์เน็ต ฮ็อตไลน์ เว็บไซต์

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ส่งแฟ๊กซ์ คัท – เอ๊าท์ เซรามิค ซึ่งที่ถูกต้องคือ ส่งแฟกซ์ คัตเอาท์ เซรามิก

91 วันภาษาไทยแห่งชาติคือวันที่ 29 เดือนใด

(1) กรกฎาคม

(2) กันยายน

(3) สิงหาคม

(4) ธันวาคม

ตอบ (1) กรกฎาคม

วันภาษาไทยแห่งชาติตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี โดยรัฐบาลได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันสำคัญตั้งแต่ พ.ศ. 2542 เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่องภาษาไทยร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

92 วันภาษาไทยแห่งชาติกำหนดขึ้นเนื่องมาจากพระองค์ใด

(1) พระเจ้าอยู่หัว (2) สมเด็จพระนางเจ้าฯ (3) สมเด็จพระเทพรัตนฯ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) พระเจ้าอยู่หัว ดูคำอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 สิ่งใดเกิดขึ้นหลังสุดในประเทศไทย

(1) ภาษา (2) ตัวอักษร (3) ตัวเลข (4) วรรณคดี

ตอบ (4) วรรณคดี

ประเทศไทยเรามีภาษาใช้ที่เป็นของเราเองมาช้านานแล้ว ซึ่งเริ่มตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงทรงเริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรและตัวเลขไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1826 จากนั้นก็พัฒนามาเป็นภาษาเขียน และมีการเรียบเรียงให้สละสลวย มีศิลปะของการนิพนธ์จนกลายเป็นหนังสือที่เรียกว่า วรรณคดี

94 ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

(1) ผู้รับภาษา (2) ผู้ส่งภาษา (3) ลักษณะของภาษา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้

1 ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน

2 สาร (ลักษณะของภาษา)

3 ผู้รับภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

95 ผู้รับภาษาใช้ภาษาลักษณะใด

(1) พูดและฟัง (2) ฟังและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (3) อ่านและฟัง ดูคำอธิบายข้อ 94 ประกอบ

96 การใช้ภาษาหมายถึงการใช้สิ่งใด

(1) เสียง (2) ตัวหนังสือ (3) ระบบสัญลักษณ์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ระบบสัญลักษณ์

การใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียนอันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารถึงกัน ดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษา หรือไวยากรณ์ต่างๆที่จัดขึ้นมาอย่างมีระบบระเบียบ

97 ผู้ส่งภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด

(1) เขียนและพูด (2) พูดและฟัง (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (1) เขียนและพูด ดูคำอธิบายข้อ 94 ประกอบ

98 ปัญหาการใช้ภาษาลักษณะใดที่สามารถเห็นได้ชัดเจน

(1) อ่านและเขียน (2) พูดและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (2) พูดและเขียน

ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การพูดและเขียนซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือสื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

99 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ใด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

(1) 2525 (2) 2542 (3) 2545 (4) 2551

ตอบ (2) 2542

พจนานุกรมที่ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (คำเขียน) การออกเสียงอ่านและนิยามความหมาย ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น

100 การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด

(1) อ่านและฟัง (2) เขียนและพูด (3) ฟังและเขียน (4) พูดและอ่าน

ตอบ (1) อ่านและฟัง

การอ่านและการฟังเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

101 การศึกษาระดับของคำเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) ความคิด

(2) สังคม

(3) สัญลักษณ์

(4) ทุกข้อ

ตอบ (2) สังคม

คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1 คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2 คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

102 หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) น้ำหนัก

(2) ระดับ

(3) ความหมาย

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ความหมาย

หน้าที่ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

103 การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด

(1) กาละ (2) เทศะ (3) บุคคล (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

104 คำประเภทใดที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการได้

(1) คำปาก (2) คำสุภาพ (3) คำเฉพาะวิชา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

105 คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

106 ความหมายของคำสแลงมีลักษณะอย่างไร

(1) ชัดเจน (2) ไม่ชัดเจน (3) มีน้ำหนัก (4) มีภาพพจน์

ตอบ (2) ไม่ชัดเจน

คำสแลง คือ คำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความหมายของคำจะไม่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะเป็นความหมายที่กลุ่มกำหนดขึ้นใช้กันเองภายในกลุ่ม โดยมักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไปจึงถือเป็นคำภาษาปากที่ไม่สุภาพ ซึ่งไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการและกึ่งทางการเด็ดขาด เช่น กิ๊ก ซ่า โจ๋ ฯลฯ

107 คำโฆษณาสามารถนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้พูด (2) ใช้เขียน (3) ใช้เป็นทางการ (3) ใช้อย่างไม่เป็นทางการ

ตอบ (3) ใช้อย่างไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

108 การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร

(1) ชัดเจน (2) ถูกต้อง (3) เหมาะสม (4) มีน้ำหนัก

ตอบ (4) มีน้ำหนัก

การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับข้อความนั้นๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

109 คำชนิดใดความหมายขึ้นอยู่กับการออกเสียง

(1) คำพ้อง (2) คำพ้องรูป (2) คำพ้องเสียง (4) คำเปรียบเทียบ

ตอบ (2) คำพ้องรูป

คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “เพ-ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

110 คำชนิดใดที่ความหมายขึ้ยอยู่กับการเขียน

(1) คำพ้อง (2) คำพ้องรูป (2) คำพ้องเสียง (4) คำเปรียบเทียบ

ตอบ (2) คำพ้องเสียง

คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป) ไม่เหมือนกัน เช่น กันย์ (สาวรุ่น) กัน (กีดขวาง โกนให้เป็นเขตเสมอกัน) กรรณ (หู) ฯลฯ ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย

111 การใช้คำตามแบบภาษาไทยทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) มีน้ำหนัก

(2) ถูกต้อง

(3) กระชับ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (2) ถูกต้อง

การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ

1 การเรียงคำให้ถูกที่ 2 การขยายความให้ถูกที่ 3 การใช้คำตามแบบภาษาไทย

4 การใช้คำให้สิ้นกระแสความ 5 การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

112 การเขียนประโยคควรคำนึงถึงข้อใดมากที่สุด

(1) ความรัดกุม

(2) ความถูกต้อง

(2) ความมีน้ำหนัก

(4) ความมีภาพพจน์

ตอบ (2) ความถูกต้อง

สิง่ที่ควนเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและเขียน คือ ความถูกต้องชัดเจน เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าในไม่ตรงกันกับผู้พูดและผู้เขียนอีกด้วย

113 ประโยคที่มีน้ำหนักควรนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้พูด (2) ใช้เขียน (3) ใช่ได้ทั่วไป (4) ใช่เท่าที่จำเป็น

ตอบ (4) ใช่เท่าที่จำเป็น

ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้น มักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้ว จะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

114 การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) รัดกุม (2) มีน้ำหนัก (3) มีความหมาย (4) มีภาพพจน์

ตอบ (1) รัดกุม

การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

1 การรวบความให้กระชับ 2 การลำดับความให้รัดกุม 3 การจำกัดความ

115 การเขียนประโยคให้กระชับทำได้ด้วยวิธีใด

(1) ถ่วงความ (2) เล่นความ (3) จำกัดความ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) จำกัดความ ดูคำอธิบายข้อ 114 ประกอบ

116 การเขียนแบบใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและมีภาพพจน์

(1) ข่าว (2) ตำรา (3) บทความ (4) หนังสือราชการ

ตอบ (3) บทความ ดูคำอธิบายข้อ 113 ประกอบ

117 การเว้นวรรคไม่ถูกต้องทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ไม่ชัดเจน (2) ไม่รัดกุม (3) ไม่มีน้ำหนัก (4) ไม่มีภาพพจน์

ตอบ (1) ไม่ชัดเจน ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

118 การเขียนตอบข้อสอบควรใช้ภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (2) กึ่งทางการ

ในโอกาสกึ่งทางการ เช่น การเขียนตอบข้อสอบอัตนัย การใช้คำจะไม่เคร่งครัดเหมือนโอกาสที่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ปล่อยปละเหมือนการใช้คำในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งควรจะต้องพิจารณาใช้คำให้เหมาะสม เช่น อาจใช้คำเฉพาะวิชา (ศัพท์บัญญัติ) และคำเฉพาะอาชีพได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำต่ำหรือคำหยาบ คำหนังสือพิมพ์ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น และคำโบราณ

119 บุคคลระดับใดที่ต้องใช้ราชาศัพท์ด้วย

(1) หม่อมเจ้า (2) หม่อมหลวง (3) หม่อมราชวงศ์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) หม่อมเจ้า

ราชาศัพท์ คือ ศัพท์หรือถ้อยคำสุภาพที่ใช้เพื่อแสดงความเคารพนับถือ โดยจะใช้กับพระพุทธเจ้า พระราชวงศ์ไทยในระดับหม่อมเจ้าและเหนือขึ้นไป (พระองค์เจ้า เจ้าฟ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ) พระภิกษุสงฆ์ในระดับสมเด็จพระสังฆราช (เจ้า) เจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ และตังละครที่สมมุติว่าเป็นเจ้านาย

120 คำประเภทใดที่ไม่ควรใช้ในการตอบข้อสอบ

(1) คำเฉพาะวิชา (2) คำเฉพาะอาชีพ (3) คำสแลง (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) คำสแลง ดูคำอธิบายข้อ 106 และ 118 ประกอบ

 

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค   1  ปีการศึกษา 2554

 

ข้อสอบกระบวนวิชา  RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

 

คำสั่ง     ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

 

  1. “ความหลง ความสงสัย วนเวียนพัวพันด้วยความโง่” มีความหมายสอดคล้องกับข้อใด

 

  1. โลภะ

 

  1. โทสะ

 

  1. โมหะ

 

  1. ราคะ

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) อกุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือเหตุแห่งความชั่ว มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้

 

  1. โลภะ (ความอยากได้) คือ ความเป็นผู้มีความทะยานอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน

 

  1. โทสะ (การคิดประทุษร้าย) คือ ความโกรธหรือไม่พอใจอย่างแรง ผูกพยาบาท คิดร้ายต่อผู้อื่น

 

  1. โมหะ (ความหลง) คือ ความประมาท ความหลง ความสงสัย ความโง่งมงาย มัวเมาในอบายมุขอันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง

 

  1. หลักคุณธรรมพื้นฐานของความสำเร็จคือข้อใด

 

  1. มีความตั้งใจ

 

  1. รู้จักใช้ความคิด

 

  1. สวดมนต์ไหว้พระ

 

  1. รู้จักเมตตา

 

ตอบ 1 หน้า 356, 135 (H), 149 (H), 216 (H) อิทธิบาท 4 คือ คุณธรรมที่เป็นพื้นฐานนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต การทำงาน และการศึกษา ประกอบด้วย

 

  1. ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักงาน พอใจจะทำ ทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้เสร็จอย่างดี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจที่ดีอันดับแรกในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้น

 

  1. วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน ขยันหมั่นกระทำด้วยความพยายาม มีความตั้งใจ เข้มแข็ง อดทน ไม่ท้อถอย

 

  1. จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทำด้วยความอุทิศตัวและใจ

 

  1. วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทำงานด้วยปัญญา รู้จักไตร่ตรองพิจารณา ใคร่ครวญหาเหตุผล ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

 

  1. “ไม่ทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ” หมายความตามข้อใด

 

  1. ความเข้มแข็ง

 

  1. เอาชนะอุปสรรค

 

  1. ระงับความฟุ้งซ่าน

 

  1. ดีใจแต่พอดี

 

ตอบ 3 (คำ บรรยาย) คำว่า “ไม่ทะเยอทะยานอย่างบ้าๆ” หมายถึง ให้รู้จักสงบใจ และระงับความฟุ้งซ่านหวั่นไหวในใจให้ได้ ในเมื่อมีเหตุที่ทำให้เกิดความทะเยอทะยานอยากจนเกินพอดี กลายเป็นกิเลสที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมี ไม่มีความพอดีในชีวิต ก็รู้จักระงับความอยากความฟุ้งซ่านนั้น เพื่อเป็นเครื่องช่วยให้เกิดความยั้งคิดได้

 

  1. วิชิตขับรถด้วยความเร็วเกินกว่า 80 กิโลเมตร จึงพุ่งชนไหล่ทางบนทางด่วน บ่งชี้พฤติกรรมที่ไม่พึงปฏิบัติข้อใด

 

  1. หลงตัว

 

  1. ลืมตัว

 

  1. อวดดี

 

  1. ประมาท

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ความ ประมาท หมายถึง การขาดความรอบคอบ ขาดความระมัดระวังเพราะทะนงตน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือผู้ที่ดื่มสุราแล้วเมาก็จะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวัง ซึ่งจะทำให้ประสบอุบัติเหตุ เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

 

  1. ผู้บริหารและนักการเมืองพึงมีคุณธรรมข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. ไม่ริษยา

 

  1. ไม่คดโกง

 

  1. ไม่เกียจคร้าน

 

  1. ไม่ผิดศีลธรรม

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) คุณธรรม สำคัญที่สุดที่ผู้บริหารและนักการเมืองพึงมี คือ ความเป็นผู้มีศีลธรรมซึ่งจะส่งผลให้บุคคลผู้นั้นมีความประพฤติ การกระทำ และความคิดที่ถูกต้อง สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ รู้จักเว้นในสิ่งที่ควรเว้น กระทำในสิ่งที่ควรกระทำ โดยมีสำนึกที่มุ่งประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก

 

  1. คนช่างสังเกตมักฝึกตนตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. ค้นหาคำตอบจากตำรา

 

  1. ฟังผู้รู้บรรยาย

 

  1. ค้นคว้าจากพจนานุกรม

 

  1. ซักถามปัญหา

 

ตอบ 4 หน้า 230, 22 (H), (คำบรรยาย) วิธีฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตมีดังนี้

 

  1. พยายาม ดูสิ่งต่างๆ อย่างถี่ถ้วน ไม่มองผ่านสิ่งใด โดยใช้ปัญญาช่วยดูเพื่อให้เห็นสิ่งนั้นๆ ตามที่เป็นจริง และต้องหมั่นเป็นคนช่างสงสัย ช่างซักถามปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ตนได้พบเจอ

 

  1. พยายามทำให้การสังเกตของตนถูกต้อง โดยจะต้องทำเสมือนว่าจะต้องถูกใครสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตและพร้อมที่จะตอบคำถาม

 

  1. ข้อใดบ่งชี้ความเป็นผู้มีคุณธรรมอย่างชัดเจนที่สุด

 

  1. พิจารณาใคร่ครวญ

 

  1. ปฏิบัติดีอยู่เสมอ

 

  1. เป็นพลเมืองดี

 

  1. ทราบข่าวสารของบ้านเมือง

 

ตอบ 2 หน้า 229 (H), (คำบรรยาย) คุณธรรม (Virtue) คือ ความประพฤติปฏิบัติตนดีอยู่เสมอทั้งทางกาย วาจา และจิตใจจนเคยชินเป็นนิสัย หรือหมายถึงการประพฤติปฏิบัติด้านกาย วาจา ใจ ที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติหรือผู้อื่นไม่เดือดร้อน และสังคมมีความสุข

 

  1. นักศึกษาจะมีส่วนร่วมเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศได้ตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. รู้ว่าตนเป็นคนไทย

 

  1. รับประทานข้าวหมดจาน

 

  1. มิให้มีนิสัยมักง่าย

 

  1. รักชาติ ศาสนา กษัตริย์

 

ตอบ 4 หน้า 258, 275 – 276, (คำบรรยาย) แนว ทางปฏิบัติในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศที่สำคัญที่สุด คือ มีความรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ ซึ่งหมายถึง มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยยอมสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติมีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ รักวินัย ซื่อตรงต่อหน้าที่ ช่วยทะนุบำรุงส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ให้ความร่วมมือเผยแพร่และเทิดทูนเกียรติคุณของชาติ

 

  1. การอยู่ร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน เป็นหลักของพลเมืองดีที่พึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดตามข้อใด

 

  1. นิ้วของเรายาวไม่เท่ากัน

 

  1. การเรียกชื่อนิ้วไม่เหมือนกัน

 

  1. นิ้วแต่ละนิ้วย่อมมีหน้าที่ไม่เหมือนกัน

 

  1. ไม่สามารถทำให้นิ้วเท่ากันและทำหน้าที่เท่ากัน

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) หลัก ของพลเมืองดีประการหนึ่ง คือ บุคคลพึงปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน ไม่แบ่งพวกเขาพวกเรา เพราะถึงแม้ว่านิ้วมือของคนเราจะยาวไม่เท่ากันหรือทุกคนต่างมีความแตกต่าง กัน มีฐานะความเป็นอยู่ไม่เท่าเทียมกัน แต่ก็ต้องอยู่ร่วมกันด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน และปฏิบัติต่อกันด้วยความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและมีความสุข

 

  1. คุณธรรมข้อใดเสริมสร้างความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติได้ในภาวะวิกฤต

 

  1. ความสามัคคี

 

  1. การอยู่ร่วมกัน

 

  1. เมตตาต่อผู้มีฐานะต่ำกว่า

 

  1. รู้สิทธิหน้าที่ของตนเองและต่อเพื่อนร่วมชาติ

 

ตอบ 1 หน้า 123 (H) ความ สามัคคี ถือเป็นคุณธรรมที่ช่วยเสริมสร้างความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติได้ในภาวะ วิกฤต ดังพระบรมราโชวาทตอนหนึ่งว่า “…คราวใดที่ชาวไทยมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อประเทศชาติแล้ว ชาติก็ได้รอดพ้นจากภัยพิบัติสู่ความสุขความเจริญ แต่คราวใดที่ขาดความสามัคคีกลมเกลียวกัน ก็ต้องประสบเคราะห์กรรมกันทั้งชาติ…”

 

  1. ทุกศาสนามีคำสอนที่สอดคล้องตรงกันตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. จิตใจใสสะอาด

 

  1. ปฏิบัติตามหลักศีลธรรม

 

  1. มีขันติธรรม

 

  1. มีอุปนิสัยงดงาม

 

ตอบ 2 หน้า 168, 159 (H), (คำบรรยาย) ศาสนา ทุกศาสนาต่างมีคำสั่งสอนที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกศาสนาล้วนมุ่งอบรมสั่งสอนให้บุคคลทุกคนเป็นคนดีมีคุณธรรมและมีความเมตตา กรุณาเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ โดยมีคำสอนที่สอดคล้องตรงกันเป็นสำคัญที่สุดก็คือ สอนให้บุคคลปฏิบัติตามหลักศีลธรรมของแต่ละศาสนา

 

  1. สมถะ สันโดษ เป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องตามข้อใด

 

  1. พอใจในสิ่งที่เรียบง่าย

 

  1. ได้ทำ ได้ปฏิบัติ

 

  1. ได้เกิดความเข้าใจ

 

  1. ได้มีชีวิตที่เจริญและสุขสงบ

 

ตอบ 1 หน้า 137 (H) พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ข้อหนึ่งว่า ให้มีความสันโดษ ซึ่งหมายถึง การพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ พอใจในสิ่งที่เรียบง่าย หรือเป็นอยู่อย่างสมถะ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

 

  1. ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด มีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

 

  1. ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกำลัง มีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

 

  1. ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควรในรูปลักษณ์ของตนเอง และฐานะที่เป็นอยู่

 

  1. นักกีฬาพิการได้รับเหรียญรางวัลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก บ่งชี้ความมีคุณธรรมข้อใด

 

  1. ความตั้งใจ

 

  1. ความคิด

 

  1. ความเข้มแข็ง

 

  1. ความไม่พ่ายแพ้แก่ชีวิต

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ความ ไม่พ่ายแพ้แก่ชีวิต หมายถึง การไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรคต่างๆ ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาหรือความบกพร่องทางร่างกาย และพยายามยืนหยัดลุกขึ้นต่อสู้ชีวิต โดยมีความมุ่งมั่นมานะพยายาม ไม่ท้อแท้หรือไม่ท้อถอย เพื่อพิสูจน์ตัวเอง หรือเพื่อให้ได้รับผลสำเร็จตามที่ตนได้ตั้งเป้าหมายไว้

 

  1. นิโรธ หมายความตามข้อใด

 

  1. ความพลัดพราก

 

  1. ดิ้นรนทะยานอยาก

 

  1. ดับตัณหา

 

  1. ดำริชอบ

 

ตอบ 3 หน้า 170-171, 176, 672-673, 75 (H) อริยสัจ 4 หมาย ถึง ความจริงหรือสัจธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ซึ่งพุทธศาสนาได้มุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญาและเหตุผลอย่างเป็นระบบ และเป็นขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้

 

  1. ทุกข์ คือ ปัญหาที่ทำให้บุคคลรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจ อันเป็นรูปธรรมที่ทุกคนควรกำหนดรู้ตามความเป็นจริง

 

  1. สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหาหรือบ่อเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาหรือความอยาก (โลภะ โทสะ โมหะ) ของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรละเลิกหรือละทิ้ง

 

  1. นิโรธ คือ หนทางในการดับทุกข์ (ดับตัณหา) หรือความพ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรทำให้รู้แจ้ง

 

  1. มรรค คือ ทางแก้ทุกข์หรือวิธีการดับทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรนำไปปฏิบัติให้เกิดหรือเจริญขึ้น

 

  1. เมื่อถูกนินทาว่าร้าย ควรยึดหลักคุณธรรมข้อใด

 

  1. วิริยะ

 

  1. ขันติ

 

  1. จาคะ

 

  1. ทาน

 

ตอบ 2 หน้า 384-385, 137 (H), 193 (H) หลักขันติ (ความอดทน) แบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้

 

  1. ความอดทนต่อความลำบากตรากตรำ คือ อดทนต่อการทำหน้าที่การงาน ไม่ย่อท้อหรือเกียจคร้าน

 

  1. ความอดทนต่อทุกขเวทนา คือ อดทนต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ ทุกข์ที่เกิดจากสังขารของเราเอง

 

  1. ความอดทนต่อความเจ็บใจ คือ อดทนต่อการที่คนอื่นทำให้เราต้องผิดหวัง หรือพูดจานินทาว่าร้าย ต่อว่าให้เจ็บช้ำใจ

 

  1. ความอดทนต่ออำนาจกิเลศ คือ อดทนต่อความอยากต่างๆ ที่เป็นกิเลศทั้งทางใจและทางกาย

 

  1. อวิโรธนํ ในทศพิธราชธรรม หมายความตามข้อใด

 

  1. การสละ

 

  1. ความไม่โกรธ

 

  1. ความไม่ผิดคำสอน

 

  1. ความไม่เบียดเบียน

 

ตอบ 3 หน้า 96-99 (H), 108-109 (H) หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย

 

  1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา

 

  1. สีลัง (ศีล) คือ รักษาความสุจริต

 

  1. ปะริจจาคัง (บริจาค) คือ บำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ

 

  1. อาชชะวัง (ความซื่อตรง) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง

 

  1. มัททะวัง (ความอ่อนโยน) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม

 

  1. ตะปัง (ความพากเพียร) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส

 

  1. อักโกธัง (ไม่โกรธ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา

 

  1. อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) คือ มีอหิงสานำร่มเย็น

 

  1. ขันติ (อดทน) คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ

 

  1. อวิโรธนัง (อวิโรธนํ – ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่ผิดไปจากคำสอน) คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

 

  1. หัวหน้าส่วนราชการนำเจ้าหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องตามคุณธรรมข้อใด

 

  1. ใช้ลาภยศในทางที่ถูก

 

  1. ถึงคราวจะเสียก็ไม่เสียใจ

 

  1. รักษาความดี

 

  1. รู้โทษของความผิด

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การ ใช้ลาภยศในทางที่ถูก หมายถึง เมื่อได้ลาภยศมาแล้วก็ไม่หลงใหลในลาภยศที่ตนได้มา ไม่หลงตัวลืมตัว ใช้ลาภยศและตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ถูกเพื่อประโยชน์สุขแก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ใช้ลาภยศนั้นในทางที่เสียหาย หรือใช้ทรัพย์และอำนาจไปในทางคุกคามข่มเหงรังแกผู้อื่น ตลอดจนสร้างความเดือดร้อนเบียดเบียน ทำความเสียหายแก่โลกและชีวิตได้

 

  1. ความสุขที่แท้คือหลักคิดตามข้อใด

 

  1. จะมีความสุขดีไม่ช้านัก

 

  1. จะมีความสุขยิ่งกว่าผู้อื่นออกจะยาก

 

  1. เชื่อว่าคนอื่นๆ เป็นสุขยิ่งกว่าที่เขาเป็นจริงๆ

 

  1. สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี

 

ตอบ 4 หน้า 171 (H) พุทธศาสนาได้สอนถึงธรรมที่จะนำไปสู่ความสุขที่แท้จริงไว้ดังนี้

 

  1. สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี 2. การไม่เบียดเบียนกันเป็นสุขในโลก 3. ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง คือความพอใจจะทำให้เรามีความสุขซึ่งเป็นทรัพย์อันลำค่าของมนุษย์ 4. ฆ่าความโกธรได้เป็นสุข 5. ผู้ประพฤติธรรมย่อมอยู่เป็นสุขทั้งโลกนี้โลกหน้า

 

  1. ข้อใดหมายความถึงการมีอวิชชา

 

  1. ทุกคนเกิดมาแต่ตัวเท่ากันหมด

 

  1. ยศบรรดาศักดิ์เป็นของสมบัติ

 

  1. ระลึกถึงความจริงได้ว่าชีวิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร

 

  1. รู้อะไรเหมือน ๆ กัน แต่รู้ผิดจากความจริง

 

ตอบ 4 หน้า 106 (H) การมี “อวิชชา” ที่แปลว่า ไม่รู้ มิได้หมายความว่าไม่รู้อะไรเลยเหมือนอย่างก้อนดินแต่หมายถึง รู้อะไรเหมือน ๆ กัน แต่รู้ผิดจากความจริง หรือรู้ไม่จริงเท่ากับไม่รู้

 

  1. การไม่รู้จักตนเอง หมายความตามข้อใด

 

  1. ยกพวกไปตีกันต้องการแสดงว่าเก่งกล้า

 

  1. ขวนขวายจะได้ฐานะสูงกว่าที่ตนควรจะได้

 

  1. ต้องการให้ทุกคนเสมอกันไปหมด

 

  1. เห็นผู้อื่นได้รับผลดีจากความดีเกิดความริษยา

 

ตอบ 2 หน้า 106 (H) การไม่รู้จักตนเอง หมายถึง ความไม่รู้จักตนเองโดยฐานะต่าง ๆ เกี่ยวแก่ความรู้ ความสามารถ และตำแหน่งหน้าที่อันควรแก่ตน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ขวนขวายจะได้ฐานะที่สูงกว่าที่ตนควรจะได้ หรือน้อยใจในเมื่อไม่ได้ฐานะที่คิดเอาเองว่าตนควรจะได้

 

  1. ข้อใดไม่ใช่ทุจริตทางกาย

 

  1. ลักทรัพย์

 

  1. ฆ่าสัตว์

 

  1. ละเมิดคู่ครองผู้อื่น

 

  1. พูดส่อเสียด

 

ตอบ 4 หน้า 132 (H) , (คำบรรยาย) ลักษณะของคนพาลมี 3 ประการ ได้แก่

 

  1. คิดชั่ว (ทุจริตทางใจ) คือ การมีจิตคิดอยากได้ในทางมโนทุจริต มีความพยาม คิดปองร้ายผู้อื่น และมีมิจฉาทิฐิ (เห็นผิดเป็นชอบ)

 

  1. พูดชั่ว (ทุจริตทางวาจา) คือ คำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริต เช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

 

  1. ทำ ชั่ว (ทุจริตทางกาย) คือ ทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริต เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร และพฤติกรรมผิดในกามหรือละเมิดคู่ครองผู้อื่น

 

  1. สำนวนสุภาษิตในข้อใดตรงกับคำว่า “พอประมาณ”

 

  1. กบในกะลาครอบ

 

  1. นกน้อยทำรังแต่พอตัว

 

  1. ตักน้ำรดหัวตอ

 

  1. ดินพอกหางหมู

 

ตอบ 2 หน้า 198 (H) , 206 (H), 209 (H) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป พอควรแก่อัตภาพโดยไม่เบียดตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ หรือตรงกับสำนวนสุภาษิตไทยว่า “นกน้อยทำรังแต่พอตัว” (ทำอะไรให้พอเหมาะกับฐานะหรือความสามารถของตน)

 

  1. ปัจฉิมโอวาทของพระพุทธองค์ในเรื่อง การยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทสอดคล้องกับมรรค 8 ในข้อใด

 

  1. สัมมาสติ

 

  1. สัมมาทิฐิ

 

  1. สัมมาสมาธิ

 

  1. สัมมาวายามะ

 

ตอบ 1 หน้า 675,81 (H) , (คำบรรยาย) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) คือ ระลึกไปในที่ตั้งของสติที่ดีทั้งหลาย หรือการมีสติระลึกอยู่เป็นนิจว่าเราเป็นใคร มีหน้าที่อะไร และกำลังทำอะไรอยู่ไม่เป็นเผลอ ไม่ประมาท ดำรงอยู่ด้วยความรู้ตัวอยู่เป็นปกติ ตามหลักธรรมที่เรียกว่า “สติปัฏฐาน 4” ได้แก่ 1. ระลึกได้เมื่อรู้สึกสบาย หรือไม่สบาย 2. ระลึกได้เมื่อรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ 3. ลึกได้ว่าจิตกำลังเสร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว 4. ระลึกได้ว่าอารมณ์อะไรกำลังผ่านเข้ามาในจิตใจ

 

  1. ข้อใดเป็นคุณธรรมสู่ความสำเร็จในชีวิต การทำงาน และการศึกษา

 

  1. หิริ โอตตัปปะ

 

  1. เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

 

  1. ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

 

  1. ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา

 

ตอบ 3 ดูคำตอบข้อ 2. ประกอบ

 

  1. ข้อใดมิใช่ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถฟื้นฟูและสร้างใหม่ได้

 

  1. ปิโตรเลียม

 

  1. ถ่านหิน

 

  1. แร่ธาตุ

 

  1. ป่าไม้

 

ตอบ 4 หน้า 462 – 463 , 240 – 241 (H) ทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป ตาสามารถกลับพื้นตัวใหม่ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ฯลฯ 2. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไปแต่ไม่อาจสร้างหรือทำให้มีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติทางธรรมชาติของดิน แร่ธาตุ ฯลฯ 3. ประเภทใช้แล้วหมดไป แต่ยังสามารถนำมายุบให้กลับมาเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนำกลับมาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่น สังกะสี ทองแดง ทองคำ เหล็ก เงิน ฯลฯ 4. ประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไปฟื้นฟูและนำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน (ปิโตรเลียม) ก๊าซ ฯลฯ

 

  1. ข้อใดมิใช่วิธีการอนุรักษ์ดิน

 

  1. การปลูกพืชคลุมดิน

 

  1. การปลูกพืชหมุนเวียน

 

  1. การใช้ปุ๋ยอินทรีย์

 

  1. การเผาทำลายซากพืชในพื้นที่เกษตร

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การอนุรักษ์ดินทำได้หลายวิธีดังนี้ 1. ปลูกพืชคลุมดิน จะเป็นการช่วยยึดดิน ลดแรงปะทะของลมและฝน 2. ปลุกพืชหมุนเวียน เป็นการปลูกพืชมากกว่าสองชนิดสลับเปลี่ยนลงในที่ดินแปลงเดียวกัน เพื่อรักษาธาตุอาหารในดินในสมดุล 3. ปรับปรุงดิน เป็นการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงในดินเพื่อเพิ่มแร่ธาตุสารอาหารในดิน 4. ใช้วิธีการไถกลบซากพืชเพื่อคืนแร่ธาตุกลับสู่ดินและเพิ่มอินทรียวัตถุ แทนการเผาทำลายซากพืช ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม

 

  1. ข้อใดเป็นประโยชน์ของป่าโกงกาง

 

  1. ป้องกันภัยจากคลื่นสึนามิ

 

  1. ช่วยย่อยสารพิษที่จมอยู่ในโคลน

 

  1. ป้องกันแสงแดดให้แก่สัตว์น้ำ

 

  1. ดูดซับเกลือแร่ที่เจือปนในน้ำเค็ม

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ประโยชน์ของป่าชายเลน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ป่าโกงกาง” มีดังนี้

 

  1. ช่วยป้องกันรักษาชายฝั่งทะเลจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ 2. เป็นแนวกำบังคลื่นลมที่เคลื่อนเข้าปะทะชายฝั่ง และช่วยป้องกันภัยจากคลื่นสึนามิ 3. เป็นที่วางไข่และฟักตัวอ่อนของสัตว์ทะเล 4. เป็นแนวกำบังกระแสน้ำเชี่ยวที่ปากแม่น้ำและพายุหมุน 5. ช่วยทำให้เกิดการงอกของแผ่นดินขยายออกไปสู่ทะเล ฯลฯ

 

  1. ข้อใดกล่าวถึงสิ่งแวดล้อมไม่ถูกต้อง

 

  1. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

 

  1. เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

 

  1. สิ่งแวดล้อมทางสังคมก่อให้เกิดสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ

 

  1. สิ่งแวดล้อมมีทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต

 

ตอบ 3 หน้า 462 – 463 , 240 (H) สิ่งแวดล้อมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

 

  1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ ดิน แหล่งน้ำ ลักษณะ ภูมิประเทศ ลักษณะภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ภูเขา ทะเลสาบ มหาสมุทร อุทยานธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของสวนป่า ตลอดจนสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงมนุษย์

 

  1. สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น ได้แก่ สิ่งก่อสร้างโบราณวัตถุ เครื่องมือเครื่องใช้ ศิลปกรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และศาสนา

 

  1. ข้อใดเป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น

 

  1. ขนบธรรมเนียม ประเพณี

 

  1. ศิลปกรรม แหล่งน้ำ

 

  1. โบราณวัตถุ อุทยานธรรมชาติ

 

  1. ความเจริญเติบโตของสวนป่า

 

ตอบ 1 ดุคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

 

  1. ข้อใดเป็นวิธีการหรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนที่สุด

 

  1. การใช้บทโทษที่รุนแรง

 

  1. การนำเทคโนโลยีมาใช้

 

  1. การให้การศึกษาแก่ประชาชน

 

  1. การจ้างต่างชาติมาแก้ไขปัญหา

 

ตอบ 3 หน้า 243 (H) (คำ บรรยาย) ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นส่วนใหญ่จะเกิดมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้นไม่ ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหามลพิษ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เกิดมาจากการกระทำที่ไม่อยู่บนพื้นบานของความสมดุลพอดี รวมทั้งความเห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบของมนุษย์ ดังนั้นการแก้ปัญหา สิ่งแวดล้อมให้ได้ผลและยั่งยืนที่สุดจึงต้องแก้ที่พฤติกรรมของประชาชนใน สังคมก่อนเป็นสำคัญ เช่น การให้การศึกษา และการปลูกฝังจิตสำนึก เป็นต้น

 

  1. กิจกรรมใดต่อไปนี้ส่งผลต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด

 

  1. การนั่งเรือชมหิ่งห้อย

 

  1. การให้อาหารสัตว์ข้างทาง

 

  1. การไปตั้งค่ายพักแรมกลางป่า

 

  1. การสร้างสนามกอล์ฟใกล้เนินเขา

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การนั่งเรือชมหิ่งห้อย เป็น กิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน้อยที่สุด โดยนักท่องเที่ยวควรใช้เรือพายแทนการใช้เรือยนต์ และควรพายไปเงียบ ๆ กับตะเตียงส่องทางแทนการใช้สปอตไลท์ ระหว่างที่ชมก็ไม่ควรส่งเสียงดังหรือถ่ายรูปเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับระบบนิเวศและวิถีชีวิตชุมชน

 

  1. ปัญหาสิ่งแวดล้อมในข้อใดเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ

 

  1. ภาวะโลกร้อน

 

  1. ป่าไม้ถูกทำลาย

 

  1. ประชากรเพิ่มมากขึ้น

 

  1. การเสียสมดุลทางธรรมชาติ

 

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ป่าไม้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต หากป่าไม้ถูกทำลายลงไปมาก ๆ ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามมา เนื่องจากป่าไม้มีความสัมพันธ์กับทรัพยากรน้ำ ดิน อากาศ สัตว์ป่า และมนุษย์ ซึ่งผลกระทบจากการทำลายป่าไม้ได้แก่ 1. เกิดการชะล้างพังทลายของดิน 2. เกิดน้ำท่วมในฤดูฝน และเกิดความแห้งแล้งในฤดูแล้ง 3. เกิดปัญหาภาวะโลกร้อน 4. พืชและสัตว์ป่ามีจำนวนและชนิดลดลง ฯลฯ

 

  1. อุปกรณ์ไฟฟ้าในข้อใดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

 

  1. พัดลม

 

  1. ตู้เย็น

 

  1. เตาถ่าน

 

  1. โทรทัศน์

 

ตอบ 2 หน้า 467 – 468, (คำบรรยาย) ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะตู้เย็นมีสารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFC) เป็นสารที่ใช้ความเย็นซึ่งมีผลทำให้ชั้นโอโซนเบาบางลงและเกิดรูรั่ว ส่งผลให้รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) สามารถแผ่เข้ามาสู่ผิวโลกได้อย่างเข้มข้น จนทำให้โลกมีอุณหภูมิที่ร้อนจัดและก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก

 

  1. โครงการแก้มลิงเป็นโครงการในพระราชดำริเกี่ยวข้องกับด้านใด

 

  1. การบริหารจัดการป่าไม้

 

  1. การบริหารจัดการสัตว์ป่า

 

  1. การบริหารจัดการดิน

 

  1. การบริหารจัดการน้ำ

 

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) โครงการแก้มลิง เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เกี่ยวกับพื้นที่หน่วงน้ำ (Detention Area) หรือขุดบ่อน้ำพัก ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขต ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง โดยจะประกอบด้วยการขุดลอกและกำจัดวัชพืชตามคูคลองต่าง ๆ รวมทั้งปรับปรุงและก่อสร้างสถานีสูบน้ำ เพื่อระบายน้ำส่วนเกินออกจากพื้นที่ลุ่มให้ไหลมารวมกันในบ่อพักน้ำ (ลักษณะเดียวกับที่ลิงสะสมกล้วยไว้ที่กระพุ้งแก้ม) จนเมื่อในทะเลลดลงจึงค่อยระบายน้ำลงทะเล

 

  1. ข้อใดเป็นต้นเหตุแห่งความดี

 

  1. โลภะ โทสะ โมหะ

 

  1. อโลภะ อโทสะ อโมหะ

 

  1. โลภ โกธร หลง

 

  1. กิเลส ตัณหา อุปาทาน

 

ตอบ 2 (คำบรรยาย) กุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือต้นเหตุแห่งความดีทั้งปวง ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศลมูล มีอยู่ 3 ประการดังนี้ 1 อโลภะ (ความไม่อยากได้) คือ ความเป็นผู้ไม่มีความทะยานอยาก ไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน 2. อโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย) คือ ความไม่โกธร ไม่ผูกพยาบาท 3. อโมหะ (ความไม่หลง) คือ ความไม่หลงงมงายไม่มัวเมาในอบายมุข อันเป็นเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง ให้เป็นผู้มีสติปัญญามั่นคง

 

  1. ข้อใดมิใช่บ่อเกิดแห่งปัญญา

 

  1. สุตมยปัญญา

 

  1. จินตมยปัญญา

 

  1. ภาวนามยปัญญา

 

  1. กายกรรมปัญญา

 

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 , 185 – 186 (H), (คำบรรยาย) ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ซึ่งจะเกิดประกอบกับจิต โดยที่มาหรือบ่อเกิดของหลักปัญญา มีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่

 

  1. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาความรอบรู้ที่เกิดจากการฟัง

 

  1. จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิด

 

  1. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา

 

  1. ปัจจัยในข้อใดที่ฟังแล้วไม่ก่อให้เกิดปัญญา

 

  1. ฟังแล้วจดบันทึก

 

  1. ฟังเพราะสนใจใฝ่รู้

 

  1. ฟังเพื่อต้องการจับผิด

 

  1. ฟังแล้วมีคำถามข้อสงสัย

 

ตอบ 3 หน้า 200, 185 (H), (ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ) สุตมยปัญญา คือ ปัญญา ความรอบรู้ที่เกิดจากการฟังธรรม ฟังครูสอนวิชาการต่าง ๆ หรือศึกษาเล่าเรียนจากการอ่านหนังสือค้นคว้าวิชาการ โดยการฟังที่ก่อให้เกิดปัญญาต้องเป็นการฟังเพราะสนใจใฝ่รู้ เมื่อฟังแล้วก็ต้องจดบันทึกหรือเกิดคำถามข้อสงสัย แต่ต้องไม่ใช่การฟังเพื่อต้องการจับผิดผู้อื่น หรือฟังสิ่ง ที่ทำให้เกิดกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่สบายใจ หรือเป็นเหตุให้ผู้ฟังเกิดอกุศลมูลนิธิจิตคิดทำชั่ว ซึ่งหากฟังสิ่งไม่ดี จิตก็จะไม่ดีไปด้วย

 

  1. การคบคนดีมีความหมายตรงกับข้อใด

 

  1. กัลยาณมิตตตา

 

  1. สมชีวิตา

 

  1. รูปขันธ์

 

  1. สัญญาขันธ์

 

ตอบ 1 หน้า 408, 87 (H), 132 (H) กัลยาณมิตตตา คือ รู้จักคบคนดีหรือคบบัณฑิต ซึ่งหมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจดีงาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง อันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยชักนำเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควร ทำ ให้เรามีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ทำให้รู้เห็นช่องทางและโอกาสต่าง ๆ ในการทำงาน และรู้จักปฏิบัติต่อทรัพย์ของตนอย่างถูกต้อง ไปถูกบาปมิตรชักจูงไปในทางอบายมุข ซึ่งจะทำให้ทรัพย์สินไม่เพิ่มพูนหรือมีแต่จะหดหายลง

 

  1. ข้อใดเป็นผลกระทบน้อยที่สุดจากการสร้างเขื่อน

 

  1. สัตว์ป่าจำนวนมากไร้ที่อยู่อาศัย

 

  1. ทรัพยากรป่าไม้ถูกทำลาย

 

  1. สัตว์น้ำวางไข่ได้ยากเพราะบริเวณแหล่งน้ำกว้าง

 

  1. สัตว์ป่าจำนวนมากต้องอพยพไปหาที่อยู่ใหม่

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การ สร้างเขื่อน เป็นสิ่งวิธีการพัฒนาแหล่งน้ำให้มีน้ำใช้ในเวลาที่ขาดแคลนแต่อีกด้านหนึ่งก็ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะการก่อสร้างเขื่อนจำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ทำให้ต้องตัดไม้ทำลายป่า พอสร้างเขื่อนเสร็จ ป่าส่วนหนึ่งก็จะจมหายไปในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งทำให้แหล่งอาหารและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายไป เป็นผลให้สัตว์ป่าต้องอพยพไปหาที่อยู่ใหม่ หรือบางชนิดก็อาจสูญพันธุ์และส่งผลให้จำนวนสัตว์ป่าลดน้อยลงไป

 

  1. ข้อใดหมายถึงสัมมาอาชีวะ

 

  1. กระทำชอบ

 

  1. เลี้ยงชีพชอบ

 

  1. เพียรชอบ

 

  1. ระลึกกชอบ

 

ตอบ 2 หน้า 674 – 675, 81 (H) มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่

 

  1. สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) 2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) 3. สัมมาวาจา (วาจาชอบ) 4. สัมมากัมมันตะ (การชอบงาน) 5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพ) 6. สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) 7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ)

 

  1. ใครมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์เอกลักษณ์ของชาติ

 

  1. เต้ยแต่งกายแบบสากลนิยม

 

  1. ติ๋มชอบรับประทานอาหารจีน

 

  1. เกษไหว้พ่อแม่ก่อนไปทำงาน

 

  1. แก้วพูดภาษาถิ่นกับเพื่อน ๆ

 

ตอบ 3 หน้า 361 , 369 – 370 , 214 – 215 (H) , 230 (H) เอกลักษณ์ ของชาตินั้นนอกจากจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความเป็นชาติและลักษณะไทยว่าแตก ต่างจากชาติอื่นแล้ว ยังมีความสำคัญต่อความอยู่รอดความมั่งคง และความเจริญก้าวหน้าของชาติไทยอีกด้วย ซึ่งการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์เอกลักษณ์ของชาติที่คนไทยควรธำรงรักษาไว้ก็ คือ การพูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง การไหว้ทำความเคารพผู้มีพระคุณหรืออาวุโสกว่า การแต่งกายแบบไทย การกินอาหารไทย ฯลฯ

 

  1. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรม

 

  1. เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันได้

 

  1. เป็นสิ่งที่ห้ามเปลี่ยนแปลง

 

  1. เกิดจากการอบรมสั่งสอน

 

  1. ช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน

 

ตอบ 2 หน้า 420, (บรรยาย) วัฒนธรรม คือ สิ่ง ที่มนุษย์สร้างขึ้น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาจากการเรียนรู้ การอบรมสั่งสอน และประสบการณ์ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงามมีคุณค่าควรที่คนในสังคมจะประพฤติปฏิบัติเพื่อ ช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีแบบแผน ทั้งนี้วัฒนธรรมจะมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี และมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาตามสภาวะแวดล้อมของสังคมมนุษย์

 

  1. “ไฟในอย่านำออก” มีความหมายว่าอย่างไร

 

  1. อย่านำความลับต่าง ๆ ไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง

 

  1. อย่านำความทุกข์ในใจไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง

 

  1. อย่านำความลับหรือความทุกข์ร้อนมาวิจารณ์ภายในครอบครัว

 

  1. อย่านำความลับหรือความไม่ดีในครอบครัวไปเล่าให้คนภายนอกฟัง

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พระพุทธเจ้าได้ให้โอวาทในการเป็นแม่ศรีเรือนไว้ประการหนึ่ง คือ “ไฟในอย่านำออก” หมายถึง อย่านำความลับหรือความไม่ดีงามภายในครอบครัวไปบอกเล่าให้คนภายนอกได้รับรู้ และ “ไฟนอกอย่านำเข้า” หมาย ถึง อย่านำคำนินทาว่าร้ายเสียดสีด้วยความอิจฉาริษยาจากบุคคลภายนอกมาสู่ครอบครัว อันจะเป็นเหตุทำให้เกิดเรื่องไม่ดีงามและความบาดหมาง

 

  1. เมื่อเรามีความทุกข์เกิดขึ้น ควรปฏิบัติอย่างไรเป็นอันดับแรก

 

  1. ดับทุกข์

 

  1. หาสาเหตุแห่งทุกข์

 

  1. หาวิธีการดับทุกข์

 

  1. แก้ไขสาเหตุแห่งทุกข์

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

 

  1. คุณพ่อไม่อนุญาตให้มาลีไปชมการแสดงคอนเสิร์ตของเบิร์ด มาลีเสียใจมาก สาเหตุความทุกข์ที่แท้จริงของมาลีคืออะไร

 

  1. กรรม

 

  1. ตัณหา

 

  1. หิริ

 

  1. จิต

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

 

  1. ข้อใดจัดเป็นมโนกรรม

 

  1. นิ่มช่วยพยุงคนแก่ข้ามถนน

 

  1. น้อยพูดปลอมใจเพื่อนที่สอบตก

 

  1. นวลรู้สึกสงสารเด็กที่นั่งร้องไห้

 

  1. นกเล่นกีฬากับน้องอย่างสนุกสนาน

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) มโนกรรม 3 คือ การ ทำความดีทางใจ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีจิตใจบริสุทธิ์มองโลกในแง่ดี มีความสงสารและปรารถนาให้คนอื่นพันทุกข์ และประสบแต่ความสุขมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. การไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง 2. การไม่อาฆาตพยาบาทหรือจองเวรกับใคร 3. มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและตรงตามความเป็นจริง

 

  1. ความเป็นคนไทยพิจารณาได้จาก ยกเว้นสิ่งใด

 

  1. ชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย

 

  1. ความเป็นผู้มีคุณธรรมในจิตใจ

 

  1. ความเป็นอิสระไม่ชอบขึ้นกับใคร

 

  1. การประพฤติปฏิบัติที่มีลักษณะกดขี่ข่มเหง

 

ตอบ 4 หน้า 230 (H) ความเป็นไทย หรือความเป็นคนไทย พิจารณาได้จากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้

 

  1. เอกลักษณ์เฉพาะของคนไทย ภาษาไทย เครื่องแต่งกาย กิริยามารยาท ศิลปะ ดนตรีไทยกีฬา และขนบธรรมเนียมประเพณี 2. การดำเนินชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย สงบชอบช่วยเหลือ 3. ความเป็นผู้มีคุณธรรมในจิตใจ ใจดี อดทน เสียสละ จริงใจ 4. รักความเป็นอิสระ ไม่ชอบขึ้นกับใคร

 

  1. การทตัวหรูหรา ฟุ่มเฟือย เที่ยวกลางคืน เป็นสาเหตุของปัญหาในข้อใด

 

  1. สุขภาพเสื่อมโทรม

 

  1. อาชญากรรม

 

  1. อบายมุข

 

4.ทุจริต

 

ตอบ 3 หน้า 661, 145 (H), 171 (H) อบายมุข เป็นหนทางแห่งความเสื่อม มีอยู่ 6 ประการ คือ

 

  1. ติดสุรายาเมา เสพสิ่งเสพติด 2. เอาแต่เที่ยวกลางคืน เที่ยวไม่รู้เวลา เป็นนักเลงผู้หญิง หรือนักเลงผู้ชาย 3. จ้องหาแต่รายการบันเทิง เที่ยวดุการละเล่น 4. เหลิงไปหาการพนัน 5. พัวพันมั่วสุมมิตรชั่ว หรือคบคนชั่วเป็นมิตร 6. มัวจมอยู่ในความเกียจคร้าน ไม่ทำการงาน

 

  1. ธนูชอบประดิษฐ์ของใช้จากเศษวัสดุ การกระทำของธนูเป็นการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีอย่างไร

 

  1. ใฝ่หาความรู้

 

  1. ปฏิบัติตามกฎหมาย

 

  1. สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

  1. อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พลเมืองดีมีลักษณะที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ได้แก่ การลดความเห็นแก่ตัว และเสียสละแรงกายและใจเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ช่วย กันดูแลรักษาทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติ รวมทั้งช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การประดิษฐ์ของใช้จากเศษวัสดุ เพื่อช่วยลดปัญหาขยะมูลฝอย เป็นต้น

 

  1. การกระทำในข้อใดเป็นการรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบบประชาธิปไตย

 

  1. เป็นสมาชิกชมรม

 

  1. ผลิตเครื่องใช้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

  1. เสียภาษีอาการทุกปีตามกำหนดเวลา

 

  1. นำเสนอชิ้นงานแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของประเทศ

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) หน้าที่สำคัญของชนชาวไทยในการรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบบประชาธิปไตย คือ การเสียภาษีอากรให้รัฐทุกปีตามกำหนดเวลาที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อ ที่รัฐจะได้นำเงินรายได้จากการจัดเก็บมาใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ และจัดบริการขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน ซึ่งภาษีที่รัฐกำหนดให้เก็บมีหลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาษีได้นิติบุคคล ภาษีการค้า ค่าอาการแสตมป์ ภาษีศุลกากร ภาษีสรรพสามิต ฯลฯ

 

  1. หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยมีหลายประการ ยกเว้นข้อใด

 

  1. อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน

 

  1. มีกฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง

 

  1. ประชาชนใช้อำนาจปกครองด้วยตนเอง

 

  1. รัฐบาลต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชน

 

ตอบ 3 หน้า 190 (H), (บรรยาย) หลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญมีดังนี้

 

  1. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ

 

  1. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้งตัวแทนเพื่อไปใช้สิทธิใช่เสียงแทนตน

 

  1. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นมูลฐานของประชาชน

 

  1. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง ฯลฯ

 

  1. ข้อใดเป็นข้อดีของการปกครองระบบประชาธิปไตย

 

  1. ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ

 

  1. สามารถตัดสินใจในการดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

 

  1. เหมาะสมกับประเทศที่ยากจนหรือประเทศที่กำลังพัฒนา

 

  1. เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพได้เสมอกัน

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ข้อดีของการปกครองระบบประชาธิปไตยมีดังนี้

 

  1. เปิด โอกาสให้ประชาชนส่วนข้างมากดำเนินการปกครองประเทศ โดยประชาชนาส่วนข้างน้อยมีสิทธิที่จะดำรงอยู่และทำการคัดค้านการปกครองของ ฝ่ายข้างมากได้

 

  1. เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนใช้สิทธิเสรีภาพได้อย่างเสมอกัน

 

  1. ถือกฎหมายเป็นมาตรฐานในการดำเนินการปกครอง โดยใช้กฎหมายบังคับแก่ทุกคนส่งผลให้ทุกคนเสมอกันโดยกฎหมาย ฯลฯ

 

  1. เก๋แอบหยิบรองเท้าคู่ใหม่ของผู้มาทำบุญ ซึ่งวางไว้หน้าโบสถ์ แล้วเอารองเท้าคู่เก่าของเธอวางไว้แทนการกระทำของเก๋ขาดคุณธรรมข้อใด

 

1 . ศีล

 

  1. ความซื่อสัตย์สุจริต

 

  1. ความเมตตากรุณา

 

  1. สังคหวัตถุ 4

 

ตอบ 2 หน้า 191 – 192 (H), (คำบรรยาย) ความ ซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา มีความซื่อตรงจริงใจทั้งทางความคิด คำพูด และการกระทำทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จริงใจในสิ่งที่ถูกที่ควรถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่จะช่วยขจัดปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

 

  1. ประเพณีในข้อใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

 

  1. พิธีสืบชะตา

 

  1. พิธีบายศรีสู่ขวัญ

 

  1. ประเพณีสารทเดือนสิบ

 

  1. การทำขวัญข้าว

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา ชาวบ้านที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ คือ การที่ชาวบ้านเชื่อว่ามีเทพเจ้าสถิตอยู่ในดิน น้ำ ป่าเขา และสถานที่ทุกแห่ง ดังนั้นเวลาจะทำอะไรต้องขออนุญาตและทำด้วยความเคารพ จึงได้มีประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงการรู้คุณของธรรมชาติที่ได้ให้ชีวิตแก่ตน เช่น ประเพณีทำขวัญข้าวหรือสู่ขวัญข้าว เพื่อเป็นการขอขมาและขอบคุณพระแม่โพสพหรือเทพีแห่งข้าว เป็นต้น

 

  1. การกระทำในข้อใดเป็นการระลึกชอบ

 

  1. แดงตั้งใจอ่านหนังสือให้จบเล่ม

 

  1. แมวรู้ว่าตนเป็นนักศึกษาจึงตั้งใจเรียน

 

  1. ชายพยายามเก็บเงินเพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์

 

  1. มุกหลีกเลี่ยงการพูดกับเหมี่ยวที่มีนิสัยก้าวร้าว

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

 

  1. การประสบความสำเร็จในการงานนั้น จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนใด

 

  1. วิริยะ ฉันทะ วิมังสา จิตตะ

 

  1. ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

 

  1. ฉันทะ จิตตะ วิริยะ วิมังสา

 

  1. จิตตะ วิริยะ ฉันทะ วิมังสา

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

 

  1. เจตนาชอบชวนเดือนฉานไปอ่านหนังสือทุกเช้าก่อนเข้าเรียน ทำให้เดือนฉายมีความรู้รอบตัวหลายอย่างเหตุการณ์นี้สอดคล้องกับข้อใด

 

  1. กายกรรม

 

  1. ความพยายาม

 

  1. ความเอาใจใส่

 

  1. คบบัณฑิต

 

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

 

  1. ข้อใดสอดคล้องกับคุณของอริยสัจ 4

 

  1. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

 

  1. การแก้ปัญหาด้วยปัญญาและเหตุผล

 

  1. การแก้ปัญหาร่วมกันเป็นหมู่คณะ

 

  1. การแก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติ

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

 

  1. วิทย์ ไปเล่นไพ่กับเพื่อนเป็นการสังสรรค์หลังเลิกงาน และมีการดื่มสุราเพื่อความเพลิดเพลิน การกระทำของวิทย์จะเป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์ในเรืองใด

 

  1. เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ

 

  1. เสียทรัพย์ เสียมิตร

 

  1. เสียสุขภาพ เสียทรัพย์ เสียเวลา

 

  1. เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ เสียชื่อเสียง

 

ตอบ 4 หน้า 136 (H), (คำบรรยาย) , (ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ) โทษ ของการเล่นการพนัน ได้แก่ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ ทำให้เสียชื่อเสียงและเป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อนทำให้ไม่มีใครประสงค์จะ แต่งงานด้วย นอกจากนี้เมื่อเล่นชนะย่อมก่อเวร และเมื่อเล่นแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป ส่วนโทษของการดื่มสุรายาเมา ได้แก่ ทำให้เสียทรัพย์ ทำให้เสียสุขภาพทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ทำให้เสียชื่อเสียงผู้คนติเตียน ทำให้ลืมไม่รู้จักอาย และบั่นทอนกำลังปัญญา

 

  1. ข้อความคู่ใดที่มีความสัมพันธ์กันถูกต้องที่สุด

 

  1. ฉันทะ – การเอาใจใส่

 

  1. จิตตะ – การใช้ปัญญาประกอบการทำงาน

 

  1. วิมังสา – การไตร่ตรองพิจารณา

 

  1. วิริยะ – ความสนใจในสิ่งที่กระทำ

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

 

  1. “มนุษย์ แปลว่า ผู้มีใจสูง” ใจมนุษย์จะสูงได้เพราะมีสิ่งต่าง ๆ บรรจุอยู่ภายใน ข้อใดไม่ใช่

 

  1. ความรู้

 

  1. คุณธรรม

 

  1. ฐานะดี

 

  1. ความสงบสุข

 

ตอบ 3 หน้า 64 (H) คำว่า “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีใจสูง ซึ่งใจมนุษย์จะได้สูง เพราะมีสิ่งเหล่านี้บรรจุอยู่ภายใน ได้แก่ 1. ความรู้ 2. ความสามารถ 3. คุณธรรม 4. อุดมคติ 5. อุดมการณ์ 6. ความสงบสุข

 

  1. นวล ผ่องเป็นคนผิวคล้ำ ซ้ำหน้าตาไม่สวย แต่เธอไม่รู้สึกเดือนร้อน พอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเองและไม่คิดจะไปทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า การกระทำของนวลผ่อง ตรงกับมงคลในข้อใดมากที่สุด

 

  1. อดทน

 

  1. สันโดษ

 

  1. มีวินัย

 

  1. ว่านอนสอนง่าย

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

 

  1. การปฏิบัติในข้อใดที่แสดงว่าผู้ปฏิบัติยึดสิ่งที่เป็นมงคลผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ในมงคลสูตร

 

  1. การไหว้ศาลพระภูมิ

 

  1. การทำบุญกระดูกบรรพบุรุษ

 

  1. การบวชในช่วงปิดภาคฤดูร้อน

 

  1. การอุทิศศพให้โรงพยาบาล

 

ตอบ 1 หน้า 132 (H), (คำบรรยาย) มงคลสูตร หรือ มงคล 38 ประการ เป็นพระสูตรหรือหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธมงคลภาย นอกที่นับถือเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆ ว่าเป็นมงคลหรือมีมงคล โดยอธิบายว่ามงคลของมนุษย์และเทวดาย่อมเกิดจากการกระทำซึ่งถือเป็นมงคลภายใน คือ ต้องกระทำความดี และความดีนั้นจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ามงคลได้โดยไม่ต้องไปอ้อนวอนกราบไหว้ศาล พระภูมิหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการขอมงคลจากนอกตัว

 

  1. คำ คมจากเรื่องสามก๊ก “เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย” คำคมนี้เตือนเราในเรื่องใด

 

  1. ความมานะอดทน

 

  1. อย่าแข่งบุญแข่งวาสนา

 

  1. การศึกษาเล่าเรียน

 

  1. การรู้จักกาลเทศะ

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ปรัชญา คำคมตอนหนึ่งของท่านขงเบ้งในเรื่องสามก๊ก ได้เตือนสติเราให้รู้จักมีความมานะอดทนไว้ว่า “เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้วลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”

 

  1. สำนวนไทยในข้อใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการไม่คบคนพาล

 

  1. เอาทองไปรู่กระเบื้อง

 

  1. เอาเนื้อไปแลกกับหนัง

 

  1. เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ

 

  1. เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) สำนวน ไทยที่ว่า “เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน” หมายถึง แสดงความรู้หรืออวดรู้กับผู้ที่รู้เรื่องดีกว่า (ส่วนสำนวนไทยที่ว่า เอาทองไปรู่กระเบื้อง เอาเนื้อไปแลกกับหนัง และเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ จะเกี่ยวข้องกับการไม่คบคนพาล และมีความหมายไปในทางเดียวกัน คือ โต้ตอบหรือทะเลาะกับคนพาลหรือมีคนที่มีฐานะต่ำกว่า เป็นการไม่สมควร)

 

  1. สำนวนไทยในข้อใดเตือนสติเรื่อง ความพอประมาณ

 

  1. นกน้อยทำรังแต่พอตัว

 

  1. ฝนทั้งให้เป็นเข็ม

 

  1. ขี่ช้างจับตั๊กแตน

 

  1. เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

 

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

 

  1. หลักคิดข้อใดที่ตรงข้ามกับหลักคิดของเศรษฐกิจพอเพียง

 

  1. ประชานิยม

 

  1. บริโภคนิยม

 

  1. ทุนนิยม

 

  1. สังคมนิยม

 

ตอบ 2 หน้า 205 (H), (คำบรรยาย) ลัทธิบริโภคนิยม หมายถึง การนิยมบริโภคสิ่งต่าง ๆ ฟุ่มเฟือยเกินความต้องการที่จำเป็นในชีวิต และเกินกว่ามาตรฐานะรายได้ของตนหรือของประเทศ ซึ่งถือเป็นลัทธิที่ตรงข้ามกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง คือ พอเหมาะพอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป ไม่สุดโต่ง ไม่โลภมาก ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินฐานะ แต่ให้ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและคุณธรรม ดังนั้นเศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นหลักคิดที่อยู่ตรงกลางระหว่างความตระหนี่ถี่เหนียว (ไม่ใช่แม้จะเป็นสิ่งจำเป็น) และความสุลุ่ยสุราย (ใช้จนไม่เหลือ ใช้เกินความจำเป็น)

 

  1. เศรษฐกิจพอเพียงต่างจากความตระหนี่ในข้อใด

 

  1. ใช้จ่ายให้น้อยที่สุด

 

  1. หากำไรสูงสุด

 

  1. ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและคุณธรรม

 

  1. เก็บออมให้ได้มากที่สุด

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

 

  1. “ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ” เป็นการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงกับอาชีพใด

 

  1. นักธุรกิจ

 

  1. ประชาชนทั่วไป

 

  1. ข้าราชการ

 

  1. เกษตรกร

 

ตอบ 4 หน้า 201 (H) ทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เด่นชัดที่สุด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระราชดำรินี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรที่มักประสบปัญหา ทั้งภัยธรรมชาติและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการทำการเกษตรให้สามารถผ่าน พ้นช่วงเวลาวิกฤติโดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำได้โดยที่ไม่เดือนร้อนและยากลำบากนัก

 

  1. นักปราชญ์กล่าวว่า “เราไม่ต้องกลัวคำวิพากษ์วิจารณ์” เหตุผลในข้อใดที่ไม่สนับสนุนคำกล่าวนี้

 

  1. คำวิจารณ์เป็นกระจกวิเศษสำหรับผู้ถูกวิจารณ์

 

  1. การรับฟังคำวิจารณ์อย่างมีสติ คือ โอกาสในการพัฒนาตนเอง

 

  1. การไม่ถูกวิจารณ์เลย แสดงว่าสิ่งที่เราทำไม่มีคุณค่าพอ

 

  1. ผู้วิจารณ์คนอื่นจะถูกกลืนหายไปจากกาลเวลา

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) นัก ปราชญ์กล่าวว่า “เราไม่ต้องกลัวคำวิพากษ์วิจารณ์” เพราะการไม่ถูกวิจารณ์เลยแสดงว่าสิ่งที่เราทำไปไม่มีคุณค่าพอที่เขาจะ วิจารณ์เรา และคำวิจารณ์ก็ถือเป็นกระจกวิเศษสำหรับผู้ถูกวิจารณ์ให้ได้รับทราบข้อดีและ ข้อด้อยของตน ซึ่งหากเรารับฟังคำวิจารณ์อย่างมีสติก็จะถือเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาและ ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น

 

  1. การแก้ปัญหาในข้อใดไม่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา

 

  1. จงระงับความโกธรด้วยความเมตตา

 

  1. จงระงับความโลภด้วยการให้

 

  1. จงระงับความฟุ้งซ่านด้วยสมาธิ

 

  1. จงระงับความสุรุ่ยสุร่ายด้วยความตระหนี่

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พุทธศาสนาได้ให้แนวทางการแก้ปัญหาชีวิตไว้ดังนี้

 

  1. พึงระงับความโลภและความตระหนี่ด้วยการให้ทาน 2. พึงระงับความโกธรด้วยความเมตตา 3. พึงระงับความหลงด้วยวิชชา (ปัญญา) 4. พึงระงับความฟุ้งซ่านด้วยการเจริญสมาธิ 5. พึงระงับความสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยด้วยความมัธยัสถ์ (จำเป็นใช้ ไม่จำเป็นไม่ใช้) ฯลฯ

 

  1. บริษัทยา คิดค้นผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ได้ แต่จำหน่ายในราคาแพงมาก ๆ จนผู้ป่วยโรคเอดส์ไม่มีโอกาสเข้าถึงยาได้ การกระทำดังกล่าวตรงกับบาป 7 อย่างต่อสังคม ของมหาตมะ คานธี ในข้อใด

 

  1. หาความสำราญโดยไม่ยั้งคิด

 

  1. ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน

 

  1. มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี

 

  1. วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์

 

ตอบ 4 หน้า 109 – 110 (H), (คำบรรยาย) ท่านมหาตมะ คานธี กล่าวว่าสิ่งต่อไปนี้ธรรมแห่งมนุษย์ซึ่งมีอยู่ 7 ประการ 1. เล่นการเมืองโดยไม่มีอุดมการณ์หรือหลักการ 2. หาความสำราญโดยไม่ยั้งคิด 3. ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน 4. มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี 5. ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม 6. วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์ 7. บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ

 

  1. ภูมิปัญญาชาวบ้าน เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด

 

  1. การทำมาหากิน

 

  1. สืบสานวัฒนธรรม

 

  1. ความรู้ความสามารถของบุคคล

 

  1. ความอดทนอดกลั้นต่อสู้ชีวิต

 

ตอบ 1 หน้า 431 ,221 (H), (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาชาวบ้าน (Popular Wisdom) หมายถึง ความ รู้ของชาวบ้าน ซึ่งเรียนรู้มาจากบรรพบุรุษที่ได้สร้างสรรค์และถ่ายทอดสืบต่อกันมาซึ่ง ภูมิปัญญาชาวบ้านมักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการทำมาหากิน เช่น การจับปลา การปลูกพืชการเลี้ยงสัตว์ การทอผ้า การทำเครื่องมือการเกษตร ฯลฯ

 

  1. แนวคิดพื้นฐานภูมิปัญญาชาวบ้านเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย “ร่างกายมีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง 4” หมายถึงอะไร

 

  1. ปัจจัย 4

 

  1. แร่ธาตุ 4 ชนิด

 

  1. อากาศ อาหาร เครื่องนุ่งห่มปัจจัย 4

 

  1. ดิน น้ำ ลม ไฟ

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) แนว คิดพื้นฐานของภูมิปัญญาชาวบ้านเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย หรือที่เรียกกันว่าการแพทย์แผนโบราณนั้น มีหลักการเรื่องความสมดุลของชีวิตว่า คนมีสุขภาพดีเมื่อร่างกายมีความสมดุลระหว่างาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเมื่อคนเจ็บไข้ได้ป่วยเนื่องจากธาตุขาดความสมดุลก็จะมีการปรับธาตุโดย ใช้ยาสมุนไพรหรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อให้ร่างกายมีความสมดุลขึ้น เช่น คนเป็นไข้ตัวร้อน หมอยาพื้นบ้านจะให้ยาเย็นเพื่อลดไข้ เป็นต้น

 

  1. จะมีวิธีการอย่างไรกับความสัมพันธ์เหนือสิ่งธรรมชาติ

 

  1. ทำบุญ

 

  1. บูชายัญ

 

  1. ตั้งจิตอธิษฐาน

 

  1. สวดมนต์อ้อนวอน

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา ชาวบ้านที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ คือ การที่ชาวบ้านรู้ว่ามนุษย์เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของจักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยความเร้นลับ มีพลังและอำนาจที่เขาไม่อาจจะหาคำอธิบายได้ และความเร้นลับดังกล่าวยังรวมไปถึงญาติพี่น้องและผู้คนที่ล่วงลับไปแล้ว ดังนั้นชาวบ้านจึงมีวิธีการรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขา โดยการทำบุญและรำลึกถึงอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรือในโอกาสสำคัญ

 

  1. ภูมิปัญญาของผู้มีความรู้ความสามารถ การถ่ายทอดความรู้ในชนรุ่นหลังมีจุดประสงค์อย่างไร

 

  1. เพื่อค้าขาย

 

  1. เพื่ออนุชนรุ่นหลัง

 

  1. เพื่อประโยชน์ส่วนตน

 

  1. เพื่อประโยชน์แก่สังคม

 

ตอบ 4 หน้า 431 , 211 (H), (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทย (Wisdom) หมายถึง ความ รู้ ความสามารถและวิธีการที่คนไทยค้นคว้า รวบรวม ปรับปรุง เพื่อถ่ายทอดมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่งหรืออนุชนรุ่นหลังโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ชนรุ่นหลังนำไปใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมจนเกิดมีคุณค่า

 

  1. ปัญหาภูมิปัญญาไทยที่สำคัญที่สุดคือเรื่องใด

 

  1. สูญหาย

 

  1. ถูกนำไปดัดแปลง

 

  1. ถูกนำไปใช้ผิดเป้าหมาย

 

  1. ถูกชาวต่างชาตินำไปใช้เป็นของตน

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปัญหาภูมิปัญญาไทยที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีดังนี้

 

  1. สูญหายและถูกทำลายเพราะภัยสงครามในอดีต และความขัดแย้งทางการเมือง

 

  1. ถูกชาวต่างชาตินำไปใช้เป็นของตนโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งนับเป็นปัญหาภูมิปัญญาไทยที่

 

สำคัญที่สุด 3. ไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศในการวางมาตรการคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ 4. ฐานข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยมีอยู่กระจัดกระจาย 5. ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลโดยตรง

 

  1. พระราชดำรัชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” พอเพียงหมายความว่าอย่างไร

 

  1. ไม่ละโมบ โลภมาก

 

  1. ความพอประมาณ ความมีเหตุผล

 

  1. ไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัด

 

  1. การดำรงชีวิตอย่างมั่นคง

 

ตอบ 2 หน้า 197 (H) ความพอเพียง หมาย ถึง ความประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผล กระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า “ความพอเพียงนี้ อาจจะมีของหรูหราก็ได้แต่ว่าต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียงปฏิบัติตนก็พอเพียง”

 

  1. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่ออะไรเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. เพื่อให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลก

 

  1. เป็นพระราชภารกิจเพื่อการเกษตร

 

  1. เพื่อแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของราษฎร

 

  1. เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกร

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงไว้ซึ่งธรรม หมายความว่า ทรง ปกครองประชาชนโดยปฏิบัติพระองค์ตามหลักธรรมราชาสำหรับกษัตริย์และทรงปฏิบัติ พระราชากรณียกิจเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่พสกนิกรชาวไทย ทำให้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตของประชาชนตลอดจนมาถึงปัจจุบัน

 

  1. หลักการทำงานร่วมกันที่สำคัญที่สุดคือเรื่องใด

 

  1. ต้องช่วยกันทำงาน

 

  1. ต้องกล้าเผชิญหน้าร่วมกัน

 

  1. ต้องร่วมกันรับผิดชอบ

 

  1. ต้องระดมความคิดเห็นด้วยกัน

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) หลักปฏิบัติในการทำงานร่วมกันเป็นทีมมีดังนี้ 1. ต้องช่วยกันทำงานตามหน้าที่และความรับผิดชอบของตน 2. มี การแลกเปลี่ยนหรือระดมความคิดเห็นร่วมกันในการทำงาน 3. เมื่อมีปัญหาหรืออุปสรรคในการทำงาน ต้องกล้าเผชิญหน้าเพื่อจัดการปัญหาร่วมกัน 4. ต้องถือกฎกติกาและกรอบในการทำงานเดียวกัน 5. ต้องร่วมกันรับผิดชอบในความสำเร็จและความล้มเหลวของงานเป็นสำคัญที่สุด

 

  1. ช่วงเวลาใดที่ถือเป็นเวลาที่สำคัญที่สุด

 

  1. อดีต

 

  1. ปัจจุบัน

 

  1. อนาคต

 

  1. ปัจจุบัน อนาคต

 

ตอบ 2 (คำบรรยาย) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบัน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ ใช่อยู่กับอดีตหรืออนาคต ทั้งนี้ก็เพื่อให้อยู่กับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเน้นให้บุคคลรู้จักฝึกสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่าไปคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต พยายามให้อยู่กับปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และให้อยู่กับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่

 

  1. ทุกศาสนาต่างมีคำสั่งสอนที่แตกต่างกันไปในรายละเอียด แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือเรื่องใด

 

  1. ละเว้นความชั่ว

 

  1. บริจาคทาน

 

  1. สอนให้เป็นคนดี

 

  1. มีความขยันอดทน

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

 

  1. ภูมิปัญญาท้องถิ่น คือสิ่งของใดต่อไปนี้

 

  1. งอบ

 

  1. เตาถ่าน

 

  1. รองเท้า

 

  1. เครื่องนุ่งห่ม

 

ตอบ 1 หน้า 431 , 211 (H), (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย หมายถึง องค์ความรู้ของกลุ่มบุคคลในท้องถิ่น รวมถึงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มพื้นบ้าน ผลิตภัณฑ์ในการทำมาหากิน เช่น สุ่ม ข้อง ไซ งอบ กะโล่ ฯลฯ

 

  1. การสร้าง “ฝาย” เป็นภูมิปัญญาเกี่ยวกับเรื่องใด

 

  1. การป้องกันน้ำท่วม

 

  1. การคมนาคม

 

  1. การเก็บกักน้ำ

 

  1. การระบายน้ำ

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การสร้างฝ่าย (Check Dam) เป็นภูมิปัญญาของภาคเหนือเพื่อเก็บกักน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ราบ โดยมีลักษณะเป็นสิ่งก่อสร้างที่ขวางหรือกั้นทางน้ำ ซึ่งปกติมักจะกั้นลำหัวหรือธารขนาดเล็กในบริเวณที่เป็นน้ำ หรือพื้นที่ที่มีความลาดชันสูงให้สามารถกักตะกอนอยู่ได้ และหากเป็นช่วงที่น้ำไหลแรงก็สามารถชะลอการไหลของน้ำให้ช้าลง และกักเก็บตะกอนเอาไว้ไม่ให้ไปทับถมน้ำตอนล่าง จึงถือเป็นวิธีเป็นวิธีการอนุรักษ์ดินและน้ำได้ดีมากวิธีการหนึ่ง

 

  1. บุคคลใดต่อไปนี้คือผู้อนุรักษ์ร้องเพลงพื้นบ้าน (เพลงอีแซว)

 

  1. พุ่มพวง ดวงจันทร์

 

  1. ขวัญจิต ศรีประจันต์

 

  1. สุทธิราช วงษ์เทวัญ

 

  1. หวังเต๊ะ

 

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ขวัญจิต ศรีประจันต์ ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน – อีแซว) ถือ เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการอนุรักษ์เพลงพื้นบ้านภาคกลาง เนื่องจากท่านได้อุทิศชีวิตในการอนุรักษ์ เผยแพร่ และถ่ายทอดเพลงอีแซวให้กับลูกศิษย์และผู้สนใจมาโดยตลอด นอกจากนี้ท่านยังได้ใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือสถาบันการศึกษาและหน่วย งานราชการในการเป็นวิทยากรสาธิต รวมทั้งรับแขกบ้านแขกเมืองด้วยการแสดงำพื้นบ้านติดต่อกันมาอย่างยาวนาน

 

  1. ปฏิจจสมุปบาท ท่านเข้าใจว่าอย่างไร

 

  1. การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยซึ่งกันและกัน

 

  1. กฎที่ว่าด้วยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย

 

  1. กระบวนการแห่งการเกิดทุกข์

 

  1. เหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดทุกข์

 

ตอบ 1 หน้า 85 (H), (คำบรรยาย) ปฏิจจสมุปทาน เป็น หลักธรรมข้อหนึ่งในพุทธศาสนาที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมกันแห่งธรรมทั้ง หลายเพราะอาศัยกัน หรือการที่สิ่งทั้งหลายอาศัยซึ่งกันและกันจึงเกิดมีขึ้น โดยพุทธศาสนาสอนว่าทุกชีวิตมีส่วนเป็นเหตุเป็นผลเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาด สายเมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ก็เป็นเหตุให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสืบต่อกันเป็นลูกโซ่ ไม่รู้จักจบสิ้น

 

  1. ข้อใดแสดงว่าเป็นผู้ “เกิดปัญญา”

 

  1. รู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็น

 

  1. ทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัยอาศัยกันและกัน

 

  1. เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง

 

  1. มีโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ถูกต้อง

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ภาวะ ทางปัญญาของผู้บรรลุนิพพานนั้น เมื่อกลายเป็นผู้ที่ “เกิดปัญญา” คือ ผู้ที่รู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็น เห็นอาการที่มันเกิดจากเหตุปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกันจึงมีขึ้นก็จะเข้าใจโลก และชีวิตตามที่เป็นจริง หรือเรียกว่าเกิดมีโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้ความยืดถือทิฐิและทฤษฎีทั้งหลายในทางอภิปรัชญา รวม ทั้งความสงสัยในปัญหาต่าง ๆที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ (อัพยากตปัญหา) เช่น โลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง เป็นต้น ก็พลอยหายหมดไปด้วยพร้อมกันอย่างเป็นไปเอง

 

  1. บุคคลใดมี “สติ” ควบคุมตนได้ เรียกว่าคนประเภทใด

 

  1. คนหลุดพ้น

 

  1. คนพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส

 

  1. คนผู้ชนะตนเอง

 

  1. คนที่ฝึกแล้ว

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ผู้มี “สติ” ควบคุมตนได้ เรียกว่าเป็นคนที่ฝึกแล้ว หรือผู้ชนะตนเอง ซึ่งเป็นยอดของผู้ชนะสงคราม มีจิตหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวโยกคลอนไปตามอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เปรียบเหมือนภูเขาหินใหญ่ไม่ หวั่นไหวด้วยแรงลม หรือเหมือนผืนแผ่นดินที่รองรับทุกสิ่งไม่ขัดเคืองผูกใจเจ็บต่อใคร ไม่ว่าใครจะทิ้งของดีของเสีย หรือของสะอาดไม่สะอาดลงไป

 

  1. การเปรียบเทียบใบบัวที่ไม่เปียกน้ำ และดอกที่เกิดในโคลน แต่สะอาดสวยงามบริสุทธิ์ไม่เปื้อนโคลนท่านเข้าใจอย่างไร

 

  1. เปรียบกับคนอื่นที่ไม่ติดความชั่ว

 

  1. เปรียบกับความหลุดพ้นเป็นอิสระ

 

  1. เปรียบกับการไม่ติดในกาม ไม่ติดบุญบาป ไม่ติดอารมณ์

 

  1. เปรียบกับคนที่มีจิตใจสะอาด

 

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภาวะ ทางจิตของผู้บรรลุนิพานที่สำคัญเป็นพื้นฐาน คือ ความหลุดพ้นเป็นอิสระ หมายถึง ความไม่ติดในสิ่งที่ต่าง ๆ เริ่มต้นตั้งแต่ไม่ติดในกาม ไม่ติดในบาปบุญ ไม่ติดในอารมณ์อันจะเป็นเหตุให้ต้องรำพึงหลังหวังอนาคต ซึ่งความหลุดพ้นเป็นอิสระนี้มักเปรียบเทียบกับใบบัวที่ไม่เปียกน้ำ และดอกบัวที่เกิดในโคลนตม แต่สะอาดสวยงามบริสุทธิ์ไม่เปื้อนโคลน

 

  1. คำตรงข้ามของปุถุชนคือข้อใด

 

  1. วิญญูชน

 

  1. อนารยชน

 

  1. อริยชน

 

  1. ปัญญาชน

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คำว่า “ปุถุชน” หมายถึง คนธรรมดาทั่ว ๆ ไป ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน หมายถึง ผู้ที่มีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยกิเลสตัณหา อุปาทาน อกุศลธรรม..” ส่วนคำว่า “อริยชน” หมายถึง บุคคลผู้เป็นอริยะ เป็นผู้ที่ได้ความพอใจไม่พอใจ ไม่หลงไปตามอารมณ์ที่เข้ามาตกกระทบสัมผัสได้

 

  1. ข้อใดเป็นปัจจัยให้คนประพฤติชั่วมากที่สุด

 

  1. ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 

  1. ความโลภ ความโกธร ความหลง

 

  1. อวิชชา ตัณหา อุปาทาน

 

  1. ขาดสติ

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้คนประพฤติชั่วมากที่สุด ได้แก่

 

  1. อวิชชา หมายถึง ความไม่รู้ตามความเป็นจริง หรือตามสภาวะที่ทำให้เกิดอัตตาหรือตัวตนขึ้นมาเป็นที่ข้องขัด

 

  1. ตัณหา หมายถึง ความ อยากที่จะให้อัตตาหรือตัวตนเกี่ยวข้องกับสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอาการที่ สนองความขาดความพร่องของอัตตา หรือหล่อเลี้ยงเสริมขยายอัตตานั้น

 

  1. อุปาทาน หมายถึง ความยึดติดกับสิ่งหรือภาวะอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีคามหมายสำคัญต่อการสนองอัตตา ทั้งนี้เพื่อความยิ่งใหญ่เข้มแข็งมั่นคงอัตตาหรือตัวตนนั้น

 

  1. ข้อใดไม่ใช่งานหลักของผู้หลุดพ้น (นิพพาน)

 

  1. ประพฤติตัวเป็นแบบอย่างในคุณธรรม

 

  1. การให้ความรู้ ส่งเสริมสติปัญญา

 

  1. การแนะนำสั่งสอนให้ความเข้าใจแก่ผู้อื่น

 

  1. ปลีกวิเวกอยู่คนเดียว ละทิ้งทุกอย่าง

 

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ผู้ที่บรรลุนิพพาน (ผู้หลุดพ้น) ถือ เป็นผู้ที่ทำประโยชน์ตนเสร็จสิ้นแล้วก็จะต้องดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อ ปฏิบัติประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งงานหลักของผู้ที่บรรลุนิพพานแล้วได้แก่ การแนะนำสั่งสอน การให้ความรู้ การส่งเสริมสติปัญญาและคุณธรรมต่าง ๆ ตลอดจนการดำเนินชีวิตและการประพฤติตัวเป็นแบบอย่างในทางที่มีความสุข มีคุณธรรม และเป็นชีวิต ที่ดีงาม ซึ่งคนภายหลังจะถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตามได้

 

  1. โรคของสัตว์แบ่งเป็นกี่ชนิด ประกอบด้วยอะไรบ้าง

 

  1. 3 ชนิด คือ โรคทางกาย โรคทางใจ และโรคทางวิญญาณ

 

  1. 2 ชนิด คือ โรคทางกาย และโรคทางใจ

 

  1. ในปัจจุบันมีโรคมากมายนับไม่ได้

 

  1. 2 ชนิด โรคที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม

 

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ท่านพุทธทาสภิกขุได้แบ่งโรคของสัตว์โลกออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่

 

  1. โรคทางกาย คือ การเจ็บป่วยทางร่างกาย ก็ไปหาโรงพยาบาลตามธรรมดา

 

  1. โรคทางใจ คือ การเจ็บป่วยทางใจ จิตไม่สมประกอบหรือโรคทางจิตก็ไปหาโรงพยาบาลประสาทหรือโรงพยาบาลประสาทหรือโรงพยาบาลโรคจิต

 

  1. โรคทางวิญญาณ คือ โรคทางสติปัญญา ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าซึ่งจะรักษาด้วย “ธรรม” เพื่อช่วยขจัดโรคทางวิญญาณ

 

  1. ข้อใดเป็นส่วนประกอบของขันธ์ห้า

 

  1. รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

  1. รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

 

  1. ตา หู จมูก ลิ้น กาย

 

  1. สุข ทุกข์ ไม่สุข มาทุกข์

 

ตอบ 1 หน้า 209 – 210 , (คำบรรยาย) ขันธ์ 5 (เบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ปัญญา) หมายถึง ร่างกายของคนเรา ซึ่งแยกร่างกายออกเป็นส่วน ๆ ตามสภาพได้ 5 ส่วน ได้แก่

 

  1. รูป ได้แก่ ส่วนที่ผสมกันของธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ เช่น ผม หนัง กระดูก โลหิต ฯลฯ

 

  1. เวทนา ได้แก่ ความรู้สึกต่อสิ่งที่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

 

  1. สัญญา ได้แก่ ความจำในสิ่งที่ได้รับและรู้สึก

 

  1. สังขาร ได้แก่ ระบบคิดปรุงแต่ง แยกแยะสิ่งที่ได้รับ รู้สึก และจำได้

 

  1. วิญญาณ ได้แก่ ระบบการรับรู้สิ่งนั้น ๆ หลังจากแยกแยะแล้ว

 

  1. ยาป้องกันไม่ให้เกิดโรค ทางธรรมเรียกว่าอะไร

 

  1. ธรรมารมณ์

 

  1. เทพโอสถ

 

  1. ธรรมโอสถ

 

  1. อโรคาโอสถ

 

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ท่าน พุทธทาสภิกขุได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคทั้งหลายของสัตว์โลกทั้งปวง ได้ทรงประทาน “ธรรมโอสถ” เพื่อความมีจิตปกติ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งจะเป็นยาที่ช่วยรักษา แก้ไข และป้องกันไม่ให้เกิดโรคทั้งปวง เพราะถ้าจิตปกติแล้วโรคทางกาย โรคทางใจ และโรคทางวิญญาณก็จะไม่เกิดขึ้น ที่สูงกว่านั้นก็คือ จะพ้นจากอารมณ์ร้ายที่มาบีบคั้นจิตใจ ปลอดภัยจากความโลภ ความโกธร และความหลง

 

  1. พระพุทธศาสนาทรงให้สัมมาทิฐิเป็นข้อแรกในมรรค 8 เพราะเหตุใด

 

  1. ความยุ่งยากต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกระดับล้วนมีสาเหตุจากการขาดสติสัมมาทิฐิ

 

  1. สัตว์ทั้งปวงล่วงพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงด้วยสัมมาทิฐิ

 

  1. สัมมาทิฐิเป็นรุ่งอรุณแห่งกุศลกรรมทั้งหลาย

 

  1. สัมมาทิฐิเป็นตัวนำให้เกิดธรรมะข้ออื่นอย่างครบถ้วน

 

ตอบ 4 หน้า 674 , (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 40. ประกอบ) สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงจัดให้สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) เป็นธรรมะข้อแรกของมรรค 8 ก็เนื่องมาจากสัมมาทิฐิเป็นตัวนำร่องให้เกิดองค์มรรคอื่น ๆ อย่างครบถ้วน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสวงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิตฉันใด สัมมาทิฐิก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตเพื่อการตรัสรู้ตามที่เป็นจริงซึ่งอริยสัจ 4 ประการฉันนั้น… สัมมาทิฐิเป็นหัวหน้าอย่างไร เมื่อมาสัมมาทิฐิสัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวาจาจึงพอเหมาะสมได้….”

 

  1. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานมาจากคำตอบในข้อใดต่อไปนี้

 

  1. ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

 

  1. การปรับตัวของสังคมไทย

 

  1. วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย

 

  1. วิถีชีวิตยุคใหม่ของสังคมไทย

 

ตอบ 3 หน้า 58 (H), 198 (H) กรอบ แนวคิดจองปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทยซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

 

  1. คุณลักษณะของการมีภูมิคุ้มกัน ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

 

  1. การคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสภาพการณ์

 

  1. การเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

 

  1. การคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

  1. การตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

 

ตอบ 2 หน้า 58 (H), 198 (H), (คำบรรยาย) คุณลักษณะของ “การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตังเอง” ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การ เตรียมตัวให้พร้อมที่ตะรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้ง ใกล้และไกล เช่น การเตรียมความพร้อมของประเทศไทยสำหรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น

 

  1. การเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสาประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นับได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงข้อใด

 

  1. ความพอประมาณ

 

  1. ความมีเหตุผล

 

  1. การมีภูมิคุ้มกัน

 

  1. การมีส่วนร่วม

 

ตอบ 3 ดุคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ

 

  1. ข้อใดต่อไปนี้เป็นเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

 

  1. พอประมาณ

 

  1. คุณธรรม

 

  1. ภูมิคุ้มกัน

 

  1. มีเหตุผล

 

ตอบ 2 หน้า 58 (H), 199 (H) การตันสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐาน ดังนี้ 1. เงื่อนไข ความรู้ ประกอบด้วยความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกันเพื่อประกอบการ วางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนการปฏิบัติ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความอดทนมีความพากเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต ไม่โลภ ไม่ตระหนี่

 

  1. เป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะสมกับประชาชนกลุ่มใด

 

  1. ระดับผู้บริหาร

 

  1. ระดับปฏิบัติการ

 

  1. ประชาชนทั่วไป

 

  1. ประชาชนทุกระดับ

 

ตอบ 4 หน้า 200 (H) เป้า ประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะมุ่งเน้นถึงแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับประชาชนใน ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จงถึงระดับรัฐ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลางโดย เฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์

 

  1. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมมากที่สุด

 

  1. พึ่งพาตนเองได้

 

  1. ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

 

  1. ความมั่นคงปลอดภัย

 

  1. การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

 

ตอบ 2 หน้า 200 (H) ประโยชน์ ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยน แปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

 

  1. จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงตรงกับข้อใดต่อไปนี้

 

  1. การฟื้นฟูเศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น

 

  1. การต่อยอดทางเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน

 

  1. การแก้ปัญหาหนี้สินของชาติ

 

  1. การสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจ

 

ตอบ 3 หน้า 195 – 197 (H), 205 (H) , (คำบรรยาย) พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นครั้งแรกในงานพระราช ทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 แต่ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ที่แท้จริงจะเริ่มขึ้น เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ทั้งนี้เพื่อให้เป็นแนวทางใหม่ในการแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและปัญหา หนี้สินของชาติ

 

  1. ทฤษฏีอันเกิดจากแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คือทฤษฏีใดต่อไปนี้

 

  1. ทฤษฏีระบบ

 

  1. ทฤษฎีใหม่

 

  1. ทฤษฎีจูงใจ

 

  1. ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

 

  1. ความรู้อันเกิดจากการทดลองปฏิบัติ เป็นความรู้ที่มาจากส่วนใดต่อไปนี้

 

  1. ตำรา

 

  1. ประสบการณ์

 

  1. คำบอกเล่า

 

  1. การคิดไตร่ตรอง

 

ตอบ 2 หน้า 185 (H) ความรู้มีบ่อเกิดหรือที่มาดังนี้

 

  1. ประสบการณ์ คือ ความรู้อันเกิดจากการทดลองปฏิบัติ หรือความรู้ที่ได้จากการสรุปบทเรียน

 

  1. คำบอกเล่า คือ ความรู้อันเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้

 

  1. ตำรา คือ ความรู้อันเกิดจากนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ

 

  1. การคิดไตรตรองจากที่มาของความรู้ 3 ข้อข้างต้น

 

  1. ข้อใดไม่ใช่ที่มาของปัญญาตามหลักปัญญา 3

 

  1. การฟัง

 

  1. ความรู้ฝังลึก

 

  1. ความรู้นามธรรม

 

  1. ความรู้รูปธรรม

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

 

  1. ความรู้ที่อยู่ในรูปของตำรา เอกสาร คู่มือ จัดเป็นความรู้ประเภทใด

 

  1. ความรู้ชัดแจ้ง

 

  1. ความรู้ฝังลึก

 

  1. ความรู้นามธรรม

 

  1. ความรู้รูปธรรม

 

ตอบ 1 หน้า 186 (H) ความรู้แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้

 

  1. ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่ฝังอยู่ในสมองของคน โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ ความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด

 

  1. ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในรูปของตำรา เอกสาร วารสาร คู่มือ คำอธิบาย และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น วีซีดี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และฐานข้อมูล

 

  1. ลักษณะของความรู้สำคัญ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

 

  1. ความรู้ทั่วไป

 

  1. ความรู้เฉพาะทาง

 

  1. ความรู้ที่เป็นสัจจะ

 

  1. ความรู้ใหม่ๆ

 

ตอบ 3 หน้า 65 (H), 186 (H) ลักษณะของความรู้ที่สำคัญ คือ ความรู้ที่เป็นสัจจะ หมายถึง รู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยมนุษย์จะแสวงหาสัจจะจาก 2 ส่วน ได้แก่

 

  1. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือ การหาความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ หรือตามสรรพวิชาต่าง ๆ

 

  1. ความ รู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือ การหาความรู้ตามหลักความเชื่อของแต่ละลัทธิศาสนาซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดในการ แสวงหาความรู้เพื่อทำให้เกิดความสงสุข

 

  1. เป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาความรู้ตามหลักความเชื่อ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

 

  1. ทำให้เข้าใจตนเอง

 

  1. ทำให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

 

  1. ทำให้เกิดความสงสุข

 

  1. ทำให้เกิดการยอมรับทางสังคม

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

 

  1. ความรู้ที่มีลักษณะเป็นสัจจะ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

 

  1. รู้ในเรื่องทั่ว ๆ ไป

 

  1. รู้ในสิ่งที่ควรรู้

 

  1. รู้ในทุก ๆ เรื่อง

 

  1. รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้

 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

 

  1. ความรู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือความรู้ในลักษณะใด

 

  1. ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

 

  1. ความรู้ตามศาสตร์ต่าง ๆ

 

  1. ความรู้ตามหลักความเชื่อ

 

  1. ความรู้ตามแนวคิดทฤษฎี

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

 

  1. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือความรู้ในลักษณะใด

 

  1. ความรู้ตามหลักความเชื่อ

 

  1. ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

 

  1. ความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ

 

  1. ความรู้ตามสมัยนิยม

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

 

  1. ข้อใดไม่ใช่แนวคิดด้านคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส

 

  1. เป้าหมายแห่งชาติ

 

  1. ความรอบคอบ

 

  1. ความรู้เกี่ยวกับความดี

 

  1. ปราชญ์เป็นผู้มีความรู้จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

 

ตอบ 2 หน้า 189 (H), (คำบรรยาย) แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

 

  1. เป้าหมายแห่งชีวิตมนุษย์ คือ การได้อยู่ในสังคมที่ดีงามเหมาะสม และได้รับความยุติธรรม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์

 

  1. ความรู้เกี่ยวกับความดีที่สังคมพึงกระทำให้กันหรือแสดงออกต่อกัน

 

  1. ปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

 

  1. “อำนาจและความยุติธรรม” เป็นแนวคิดคุณธรรมทางการเมืองของใคร

 

  1. อริสโตเติล (Aristotle)

 

  1. เพลโต (Plato)

 

  1. โสเครติส (Socrates)

 

  1. โคลเบิร์ก (Kohlberk)

 

ตอบ 2 หน้า 189 (H) แนวคิดด้านคุณธรรมทางการเมืองของเพลโต (Plato) ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ อุตมรัฐ (The Republic) ซึ่งประกอบด้วยแนวความคิดที่สำคัญดังนี้ 1. อำนาจและความยุติธรรม 2. การปกครองเป็นศิลปะ 3. ราชาปราชญ์ควรเป็นผู้ทรงคุณธรรม คือ เป็นผู้เสียสละ และเป็นผู้ที่ไม่ควรมีทรัพย์สินและครอบครัว 6. ผู้ปกครองเป็นปราชญ์ที่ทรงคุณธรรมจึงปกครองด้วยปัญญา

 

  1. “การกระทำความดีและยกย่องคนดี” เป็นแนวคิดด้านคุณธรรมทางการเมืองของใคร

 

  1. โสเครติส (Socrates)

 

  1. เพลโต (Plato)

 

  1. อริสโตเติล (Aristotle)

 

  1. ออกัสก๊อง (Orguskong)

 

ตอบ 1 หน้า 189 (H) แนวคิดคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

 

  1. ปัญญา (Wisdom) 2. ความกล้าหาญ (Courage) 3. การควบคุมตนเอง (Temperance) 4. ความยุติธรรม (Justice) 5. การกระทำความดีและยกย่องคนดี (Piety)

 

  1. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของเศรษฐกิจได้ครอบคลุมมากที่สุด

 

  1. ระบบการผลิตที่ครบวงจร

 

  1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า

 

  1. งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่าย การบริโภค

 

  1. การลงทุนที่ต้องการผลกำไร

 

ตอบ 3 หน้า 388 , 191 (H) ราชบัณฑิตสถานได้ให้ความหมายของ “เศรษฐกิจ” ที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ในชุมชนและในสังคมทั่วไป

 

  1. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่หลักคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ

 

  1. ความมีวินัย

 

  1. ความซื่อสัตย์

 

  1. ความเกรงใจ

 

  1. ความมีน้ำใจ

 

ตอบ 3 หน้า 191 – 192 (H) หลักคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่

 

  1. ความขยัน 2. ความประหยัด 3. ความซื่อสัตย์ 4. ความมีวินัย

 

  1. ความสุภาพ 6. ความสะอาด 7. ความสามัคคี 8. ความมีน้ำใจ

 

  1. คำตอบในข้อใดคือหลักธรรมที่ทำให้โลกดำรงอยู่ได้

 

  1. อิทธิบาท

 

  1. พรหมวิหาร

 

  1. โลกบาลธรรม

 

  1. สังคหวัตถุ

 

ตอบ 3 หน้า 193 (H), 238 (H) โลกบาล ธรรม คือ ธรรมะสำหรับคุ้มครองโลก ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ทำให้โลกดำรงอยู่ได้ เพราะจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยควบคุมจิตใจของมนุษย์ให้อยู่ในความดี ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีระเบียบไม่สับสน มีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1. หิริ หมายถึง ความละอายแก่ใจต่อการที่จะทำความชั่วหรือบาปทุกชนิด เมื่อคิดจะทำชั่วแล้วไม่กล้าทำ 2. โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อผลจากการทำชั่วกลัวว่าความชั่วจะทำให้เกิดผลร้ายต่อตนเองและผู้อื่น

 

  1. เพราะเหตุใดจึงจัดความละอายแก่ใจและความเกรงกลัว เป็นคุณธรรมที่คุ้มครองโลก

 

  1. กุศโลบายให้เกิดความกลัว

 

  1. สร้างจิตสำนึกที่ถูกต้อง

 

  1. แนวทางให้คนปฏิบัติ

 

  1. ปรับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 118. ประกอบ

 

  1. คุณธรรมในข้อใดที่ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความงดงาม

 

  1. การให้

 

  1. การวางตัวเสมอต้นเสมอปลาย

 

  1. การบำเพ็ญตนเป็นประโยชน์

 

  1. ความอดทน

 

ตอบ 4 หน้า 193 (H) คุณธรรมที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความงดงาม หรืออันทำให้งาม มีอยู่ 2 ประการได้แก่ 1. ขันติ คือ ความอดทน ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น อดทนต่อราคะ (ความกำหนัดยินดี) อดทนต่อโทสะ (การประทุษร้ายผู้อื่น) อดทนต่อโมหะ (ความโง่เขลาเบาปัญญาที่เกิดขึ้น) อดทนต่อการล่วงเกินหรือคำด่าของผู้อื่น อดทนต่อความยากลำบาก ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ) 2. โสรัจจะ คือ ความเสงี่ยมทางกาย วาจา และใจ ซึ่งบางครั้งจะใช้คำว่า “อวิโรธนัง” (ความไม่มีอะไรพิรุธ) นอกจากนี้ความโกธรหรือใจเย็นก็ทำให้งดงามได้เหมือนกัน

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ความรู้คู่คุณธรรมมุ่งปลูกฝังสำนึกในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. สำนึกนำทีจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

2. สำนึกนำที่จะรักษาองค์กร

3. สำนึกนำที่จะรักษาสิ่งที่ดีงามไว้ให้เป็นมรดกของประเทศชาติ

4. สำนึกนำรับผิดชอบดูแลบ้านเมือง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้คู่คุณธรรม นั้นคือนอกจากจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ดี เก่งเรียน เก่งงาน เก่ง วิชาการ เฉลียวฉลาด มีเหตุผลแล้วบัณฑิตรามคำแหงยังต้องเป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีความกตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริตขยันอดทน และที่สำคัญที่สุดคือ การมีสำนึกนำรับผิดชอบดูแลบ้านเมือง โดยต้องนำวิชาการที่ได้ศึกษามาไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

2. มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯในเรื่องใด

1. การแสดงดนตรี

2. การแสดงหุ่นกระบอก

3. การแสดงโขน

4. การแสดงศิลปะพื้นบ้าน

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) มหาวิทยาลัยรมคำแหงได้ก่อตั้งโขนรามขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 และวิชาการแสดงโขนก็ได้ถูกบรรจุให้เป็นวิชาหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏกรรมไทยเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสืบทอดโขน และยังเป็นการร่วมมือสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ตลอดไป

3. นักศึกษาจะมีส่วนร่วมยกย่องมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ตามข้อใดเป็นสำคัญ

1. ร่วมคิด

2. ร่วมทำ

3. ร่วมภาคภูมิใจ

4. ร่วมช่วยเชิดชู

ตอบ 4 (คำบรรยาย) นักศึกษาจะมีส่วนร่วมยกย่องมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดย การร่วมช่วยเชิดชูชื่อเสียงเกียรติคุณของสถาบัน คือ การดำรงตนให้สมฐานะสมศักดิ์ศรีความเป็นบัณฑิต ไม่ใช้ความรู้เพื่อความได้เปรียบ หรือประพฤติตนไม่ดีงาม อันจะทำให้ตัวเองและสถาบันเสื่อมเสียชื่อเสียง

4. ข้อใดเป็นการพัฒนาที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง

1. ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

2. ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน

3. ทำวันนี้ให้ดียิ่งขึ้น

4. ทำวันนี้ให้ดีอย่างไม่มีจุดสุดท้าย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การพัฒนาตนเองที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง คือ ทำวันนี้ให้ดีอย่างไม่มีจุดสุดท้ายหรือวันนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำ ให้ดีอย่างเต็มศักยภาพและเต็มความสามารถ โดยควรทำเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะถ้ารอถึงพรุ่งนี้อาจจะสานเกินไป และไม่ต้องไปวัดว่าสิ่งที่ทำนั้นดีที่สุดดียิ่งขึ้น หรือดีกว่าเมื่อวาน

5. ทำดีในข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. ทำดีเราเห็น

2. ทำดีเราทราบ

3. ทำดีเราได้

4. ทำดีเราสุขใจ

ตอบ 4 หน้า 244 – 245 , 41 (H) คุณธรรม หมายถึง ความ สามารถแยกแยะได้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดดีไม่ดีแล้วทำแต่สิ่งดีไปโดยตลอด จึงเป็นลักษณะที่ดีงามของบุคคลที่มีการยอมรับและเห็นคุณค่าอันเป็นพื้นฐาน การแสดงออกของการกระทำที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม โดยผู้ที่มีคุณธรรมจะถือส่าหน้าที่ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วยความ รู้สึกสำนึกว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำและจงใจปฏิบัติด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “ทำดีเราสุขใจ”

6. การพึ่งตนเองได้ หมายความตามข้อใด

1. แบ่งเวลาในการเรียนได้

2. จะทำสิ่งที่ดีงามในชีวิต

3. ก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

4. จะไม่เป็นภาระกับใคร

ตอบ 4 หน้า 257 , 377 – 378 (บรรยาย) การพึ่งตนเอง หมายถึง การ เคารพตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถที่จะกระทำการใด ๆ ให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง และไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาหรือเป็นภาระแก่ผู้อื่นหรือหมู่คณะ จึงเป็นความสามารถในการดำรงตนเองได้อย่างอิสระมั่นคง สมบูรณ์ และสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาและเบียดเบียนผู้อื่นซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “ อดอย่างเสือ ล่าเหยื่อด้วยตนเอง”

7. การฝึกอาชีพของนักศึกษาอาจส่งผลดีต่ออนาคตอย่างไร

1. โอกาสได้งานทำ

2. เข้าใจระบบการทำงาน

3. ได้เรียนรู้งาน

4. ได้รับแนวคิด

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การฝึกอาชีพหรือฝึกงานของนักศึกษามีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ เพื่อ ให้ใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น สามารถวางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบข้าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะหรือการเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ส่วนจุดมุ่งหมายรองลงมาก็คือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้แก่นักศึกษาว่าจะได้รับแนวคิด ได้ เรียนรู้งาน และได้เข้าใจระบบการทำงาน จนอาจส่งผลดีต่ออนาคต คือ มีโอกาสได้ทำงานสูง เนื่องจากมีประสบการณ์จากการฝึกงานในด้านนั้น ๆ มาบ้างแล้ว

8. ในการฝึกอาชีพของใดเป็นจุดหมายสำคัญน้อยที่สุด

1. การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น

2. การวางตัวเข้ากับสภาพรอบข้าง

3. การเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

4. การสร้างความเชื่อมั่น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9. รู้รักษาตัวรอด หมายความตามข้อใด

1. กล้าเผชิญปัญหา

2. แก้ไขปัญหาได้

3. การปฏิบัติงานจริง

4. ใช้ความรู้คู่คุณธรรมดำรงชีวิต

ตอบ 4 (คำบรรยาย) รู้รักษาด้วยรอดเป็นยอดดี หมายถึง คน เราควรหมั่นศึกษาหาความรู้ให้มากเพราะเป็นของดีมีประโยชน์ แต่ที่ดีกว่านั้นคือการนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้พึ่งพาตน เองได้ ไม่ใช่มีแต่ความรู้ แต่ความสามารถในการ จัดการปัญหาไม่มีเลย ดังนั้นรู้รักษาตัวรอดจึงต้องใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการดำรงชีวิต เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุลวงไปได้ด้วยตนเอง และสามารถพาตัวเองให้รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

10. ในสังคมข้อมูลข่าวสาร การศึกษาสำคัญอย่างไร

1. การเตรียมงาน

2. การเตรียมตัว

3. การสร้างฐานความรู้

4. การต่อสู้แข่งขัน

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) มรศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารนั้น การศึกษานับว่ามีบทบาทสำคัญในด้านการสร้างฐานความรู้ (Base of Knowledge) เพื่อช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพและมีคุณภาพ สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้

11. รามคำแหงขยายโอกาสทางการศึกษาสู่ภูมิภาคและต่างประเทศ หมายความได้ตามข้อใด

1. เป็นกำลังสำคัญของมหาวิทยาลัย

2. ตั้งหน้าตั้งตาเรียน

3. มีความมุ่มมั่น

4. อยู่ที่ไหนก็จบรามฯ ได้

ตอบ 4 หน้า 47 (H) (คำบรรยาย) รามคำแหงขยายโอกาสทางการศึกษาไปสู่ภูมิภาคและต่างประเทศ หมายถึง อยู่ที่ไหนก็สามารถจบรามฯ ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการให้ การ เติมเต็ม และมีเมตตาแก่พี่น้องและลูกหลานไทยทั้งในส่วนภูมิภาคและต่างประเทศที่ยังขาด โอกาสทางการศึกษาโดยมีเป้าหมายที่จะสร้างนักปราชญ์ราชบัณฑิตชาวไทยในท้อง ถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศและต่างประเทศ

12. ข้อใดเป็นการกระทำที่บ่งชี้ความมีคุณธรรมสูงสุด

1. ทำด้วยความเชื่อมั่น

2. ทำอย่างมีเป้าหมายชัดเจน

3. ทำด้วยความพากเพียรเรียนรู้

4. ทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13. รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงถึงข้อใดอย่างชัดเจน

1. รามคำแหงขยายโอกาสทางการศึกษา

2. รามคำแหงเจริญงอกงาม

3. รามคำแหงเป็นสมบัติของชาติ

4. รามคำแหงเป็นบ่อน้ำสำคัญให้ลูกหลานได้กินน้ำจากบ่อนี้

ตอบ 2 หน้า 584 – 585 (คำบรรยาย) รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงให้เห็นว่า รามคำแหงเจริญงอกงามไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการ ด้านชื่อเสียงเกียรติคุณ ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงก้าวหน้าขึ้นไปมากมายและยังก้าวล้ำหน้ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพของบัณฑิตที่นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศต่างประเมินและตรวจสอบคุณภาพแล้ว ได้ผลออกมาตรงกันว่ามีคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐบาลแต่อย่างใด

14. ข้อใดไม่บ่งชี้คุณธรรม

1. เราเรียนต้องได้ความรู้

2. แบ่งเวลาเป็นปรับตนได้

3. จบมาแล้วสู่การสู้งาน

4. มีมานะอดทน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นเป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของสำนึกน้อยที่สุดล

1. เรียนเพื่อรู้

2. เรียนเพื่อปริญญา

3. เรียนเพื่อพ่อแม่

4. เรียนเพื่อประกอบอาชีพ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของการรู้สำนึกนั้น มิใช้เรียนเพื่อให้ได้ปริญญาหรือวิทยฐานะเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการเรียนเพื่อรู้ เพื่อ พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่จะดำรงชีพและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญคือ เรียนเพื่อพ่อแม่ผู้มีอุปกรณ์ที่ได้ส่งเสริมและเลี้ยงดูเรามา อันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที

16. ข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรมอย่างชัดเจน

1. เราจะดำรงชีวิตอย่างไร

2. เราจะมีอาชีพสำรองไว้

3. เราจะทำอาชีพโดยสุจริต

4. เราจะศรัทธาเชื่อมั่นมุ่งเป้าหมาย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

17. การปฏิบัติในข้อใดแสดงความมีคุณธรรม

1. มีอะไรพูดกันตรง ๆ

2. สงสัยอะไรก็ถาม

3. ไม่แน่ใจก็ตรวจสอบ

4. ผิดพลาดก็ขอโทษ และแก้ไข

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

18. หากนักศึกษาไปต่างประเทศ การปรับตัวในข้อใดจะเป็นผลดีอย่างชัดเจน

1. ปรับเวลา

2. ปรับอาหารการกิน

3. ปรับชีวิตการเป็นอยู่

4. ปรับทัศนคติความเชื่อ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้น นอกจากนักศึกษาจะต้องปรับตัวในเรื่องเวลาที่แตกต่างกัน ปรับตัวในเรื่องอาหารการกิน และปรับชีวิตความเป็นอยู่แล้ว สิ่ง สำคัญทีสุดก็คือการปรับตัวในเรื่องทัศนคติความเชื่อให้สอดคล้องกับผู้คนใน ประเทศนั้น ๆ โดยต้องรู้และเข้าใจวัฒนธรรมประเพณี รู้ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะเป็นที่ยอมรับของคนในประเทศนั้น ๆ

19. ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานไป เรียนไป

2. เรียนรู้สู้ชีวิต

3. รู้จักความทุกข์ ความผิดหวัง

4. รู้คุณค่าของเงิน

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในการรู้คุณค่าของเงิน รู้จักใช้ออมทรัพย์สินตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมทั้งรู้จักดำรงชีวิตให้อยู่อย่างพอเพียง มีความพอประมาณ เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ส่วนตน

20. ข้อใดเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด

1. รู้จักว่าความสุขเป็นอย่างไร

2. รู้จักคำว่าทุกข์เป็นอย่างไร

3. รู้จักว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร

4. รู้ร้อน รู้หนาว สัมผัสได้ในชีวิตจริง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด คือ การ รู้เท่าทันในกฎของธรรมชาติอย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ร้อน รู้หนาว เรียนรู้และสัมผัสได้ในความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อพบร้อนพบหนาวมากไปน้อยไปก็สงบใจอดทน เปรียบเสมือนกับความทุกข์เมื่อมีเกิดขึ้น ก็ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดาดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อไม่ยึดไม่ติดแล้ว ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์

21. การประชุม ซึ่งเป็นผลที่ดีในองค์กรคือข้อใด

1. การให้ความร่วมมือ

2. การประสานงาน

3. การเข้าใจที่ตรงกัน

4. การลดข้อผิดพลาดในการทำงาน

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การประชุม หมายถึง บุคคลที่ 2 คน ขึ้นไปมาร่วมปรึกษาหารือ ชี้แจงอธิบาย เสนอแนะ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เกิดความร่วมมือเกิดความเข้าใจที่ตรงกัน และเป็นเครื่องมือในการติดต่อประสานงานแล้ว ยังส่งผลดีที่สุดต่อองค์กรคือ เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้อง ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เนื่องจากมีการดำเนินงานที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

22. นวัตกรรมเกิดได้จากการกระทำในข้อใด

1. ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

2. อย่าไปมองคนอื่นทำไมไม่ทำ

3. ถ้าเสร็จแล้วต้องคิดต่อยอด

4. ถ้าทำแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายควรหลีกเลี่ยง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คำว่า “นวัตกรรม” หมายถึง การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีใหม่ ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ การ เปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการคิดพัฒนาต่อยอด โดยกสนมราสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้นจะต้องมีความแปลกใหม่อย่าง เห็นได้ชัด และต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

23. มองตนออกมีความหมายตรงกับข้อใด

1. เราต้องตามโลกให้ทัน

2. เราต้องเลือกรับเอาแต่สิ่งดี เหมาะสม

3. เราต้องรักษาความเป็นไทย

4. เราไม่รู้จักตัวตนของตนเอง

ตอบ 4 หน้า 88 (H) 106 (H) (คำบรรยาย) มองตนออก หมายความว่า การรู้จักตัวตนของตนเองสำนึกได้ว่าตนเองเป็นใคร มีนิสัยอย่างไร มีข้อดีด้อยอะไร จึงเป็นความรู้จักตนเองโดยฐานะต่าง ๆ เกี่ยวแก่ความรู้ความสามารถและตำแหน่งหน้าที่อันควรแก่ตน

24. คิดว่าตนเองวิเศษ หมายความตามข้อใด

1. ดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร

2. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

3. แลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน

4. แลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวคิด

ตอบ 1 หน้า 37 (H) สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน เพราะ คิดว่าตนเองวิเศษ คือ คิดว่าตนเองดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงดังนั้นในการเรียนจึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดย เรียนอย่างมีความรู้ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ต่างเป็นครูกันละอย่าง ถ้ามีอาวุโสสูงดีแล้วก็มาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์แนวความคิดซึ่งกันและ กัน

25. เป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้คือข้อใด

1. มีความรู้แล้วใช้ความรู้ได้

2. มีสติปัญญาได้ด้วยการศึกษา

3. มีคุณธรรมแล้วต้องดำเนินกิจการอย่างมีคุณธรรม

4. สร้างปัญญาขจัดอวิชชา

ตอบ 4 หน้า 38 – 39 (H) เป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การสร้างสติปัญญาเพื่อขจัดอวิชชาโดยการเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ไม่ควรรู้ก็อย่าไปรู้ พอมีสติปัญญาแล้วต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผล ไม่ตามกระแสสังคมที่ผิด ซึ่งเรียกว่า โยนิโสมนสิการ

26. อวิชชามีความหมายสมบูรณ์ตามข้อใด

1. รู้ไม่ถูกทาง

2. รู้ในสิ่งไม่ควรรู้

3. ไม่รู้ในสิ่งควรรู้

4. ได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

ตอบ 4 หน้า 38 (H) อวิชชา แปลว่า ไม่ รู้ แล้วก็แปลว่ารู้ทั้งสองอย่าง เพราะอวิชชา หมายถึง ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือ สิ่งที่ควรรู้กลับไม่รู้ แล้วไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ หรือรู้ไม่ถูกทาง สิ่งที่เขาไม่ให้รู้ก็ไปรู้เข้าให้ดังนั้นความหมายที่สมบูรณ์ของคำว่า “อวิชชา” จึงแปลได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

27. บุคคลสี่เหล่าเปรียบกับดอกไม้ชนิดใด

1. ดอกดาวเรือง

2. ดอกบัว

3. ดอกบานไม่รู้โรย

4. ดอกทานตะวัน

ตอบ 2 หน้า 574 (คำบรรยาย) พุทธศาสนาได้แบ่งประเภทของบุคคลโดยเปรียบเทียบกับดอกบัว 4 เหล่า คือ 1. ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำพร้อมที่จะบาน เปรียบได้กับคนที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง 2. ดอกบัวที่กำลังโผล่พ้นน้ำ เปรียบได้กับคนที่ฉลาดปานกลาง ซึ่งต้องใช่เวลาอบรมสั่งสอนมากกว่าพวกแรก 3. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำเปรียบได้กับคนที่ฉลาดน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนมาก แต่สามารถพัฒนาให้มีความรู้ได้ 4. ดอกบัวที่อยู่ในโครนตน เปรียบได้กับคนที่มีสติปัญญาโง่ทึบ ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถพัฒนาตนและไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ถูกผิดได้

28. บุคคลผู้ขาดสติปัญญามักประพฤติตนตามข้อใด

1. ไตร่ตรอง

2. เหตุผล

3. ตามกระแส

4. โยนิโสมนสิการ

ตอบ 3 หน้า 39 (H) บุคคลผู้ขาดสติปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลว่าสิ่งนั้นดีจริงหรือไม่ ที่ว่าดีดีอย่างไร ไม่ดีนั้นไม่ดีอย่างไร โดยสิ่งที่ควรก็ไม่รู้ สิ่งที่ควรไตร่ตรองก็ไม่ได้ไตร่ตรอง จึงมักตามกระแสสังคมที่ผิด แสดงว่าไม่มีโยนิโสมนสิการ หรือไม่มีกระบวนการสร้างสติปัญญานั้นเอง

29. การศึกษาที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. รู้

2. จำ

3. คิด

4. ประยุกต์

ตอบ 4 หน้า 40 (H) หลัก การศึกษาเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงในระดับปริญญาตรีนั้นปรารถนาให้นัก ศึกษาจำได้แล้วรู้จักคิด คือ จำได้ คิดได้ จำได้ ว่าตำราว่าอย่างไร ใครเขาว่าอย่างไรหรือหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร แล้วนำไปคิดว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคมประเทศชาติ

30. การมาเรียนที่รามคำแหงจะได้อะไรเป็นสำคัญที่สุด

1. พบสิ่งที่แปลกใหม่

2. สั่งสมฐานความรู้

3. ได้สอบทานความรู้

4. พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด

ตอบ 2 หน้า 39 (H) การมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยรมคำแหง นอกจากจะได้พบสิ่งที่แปลกใหม่ พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด และได้สอบทานความรู้กับผู้รู้แล้ว นักศึกษายังได้สั่งสมความรู้ให้เป็นฐานความรู้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องของการสั่งสม บางที่เรียกว่าจิตวิญญาณ ซึ่งทุกคนควรที่จะปรับฐานความคิดให้ไปในทางเดียวกัน

31. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติตามหลักการลามสูตร

1. ต้องตรวจสอบพิสูจน์ได้

2. เชื่อตาม ๆ กันมา

3. ทดลองได้

4. เป็นวิทยาศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 (H) หลัก กาลามาสูตรในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่มีเหตุผลในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ทดลองได้ ตรวจสอบพิสูจน์ได้ไม่ใช้ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมา โดยไม่ใช้เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่

32. ข้อใดคือความมุ่งหวังสูงสุดที่มีต่อบัณฑิตรามคำแหง

1. สั่งสมอบรมวิชาการ

2. วิจัยวิชาการ

3. นำวิชาการไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

4. นำวิชาการไปใช้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

33. ข้อใดคือความรู้คู่คุณธรรมที่แท้จริง

1. มีความรู้ ไม่มีคุณธรรม

2. มีคุณธรรม ไม่มีความรู้

3. มีความรู้ มีคุณธรรม

4. มีคุณธรรม มีความรู้อย่างมีดุลยภาพกัน

ตอบ 4 หน้า 40 – 41 (H) ในเรื่องความรู้คู่คุณธรรม ถ้าหากมีแต่ความรู้ ไม่มีคุณธรรมก็ใช่ไม่ได้หรือหากมีแต่คุณธรรมไม่มีความรู้ก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะความรู้คู่คุณธรรมที่แท้จริงจะต้องมีทั้งความรู้และคุณธรรมอย่างมีดุลยภาพกัน จะต้องให้ทั้งสองอย่างมี ทั้งสองอย่างเกิดถึงใช้ได้

34. ข้อใดไม่ใช่ความหมายที่แท้ของวิสัยทัศน์

1. คาดการณ์ได้ ทำนายได้

2. หยั่งรู้กาลในอนาคต

3. คิดได้ว่าจะมีอย่างนั้นเกิดขึ้น

4. มองเห็นภาพที่เป็นจริงได้

ตอบ 1 หน้า 41 (H) คนเราจะต้องมีวิสัยทัศน์ คือ หยั่งรู้กาลไกลในอนาคต สามารถคิดได้ว่าจะมีอย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่คาดการณ์หรือทำนายได้ แต่ เป็นการมองเห็นภาพที่เป็นจริงโดยเวลาคิดก็ควรคิดเป็นวงจรให้ครบ ตั้งแต่วิสัยทัศน์ไปถึงวิสัย คือ ต้องรู้จักวิธีการทำให้เกิดผล และต้องมีวิสัยทน คือ ต้องอดทน

35. คิดอย่างไรมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายความตามข้อใด

1. คิดต่อยอด

2. คิดเป็นวงจร

3. คิดเป็นวิทยาศาสตร์

4. คิดเป็นนวัตกรรม

ตอบ 3 หน้า 39 (H) คิดอย่างมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายถึง การ ใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผลและใช้ความรู้พื้นฐานต่าง ๆ มาประกอบประมวลกันแล้วค่อยตัดสิน โดยความคิดนั้นต้องสามารถทดลองและพิสูจน์ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คิดเป็นวิทยาศาสตร์

36. ทะนงตน มีความหมายตามข้อใด

1. มีชาตินิยม

2. อยู่ในสังคมอย่างสันติสุข

3. ไม่คิดด้อยกว่าใคร

4. ไม่ยกตนข่มท่าน

ตอบ 2 หน้า 41 – 42 (H) การ ทะนงตนในชาติพันธุ์ มิได้หมายความว่าให้หลงชาติหรือปลึกให้มรชาตินิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกไม่ใช่ แต่เป็นการอยู่ในสังคมอย่างสันติสุขได้โดยที่ไม่คิดว่าจะด้อยกว่าใคร แล้วก็ไม่ต้องยกตนข่มท่าน เพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง

37. ปัญญาชนพึงปฏิบัติตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. คุณธรรมนำชีวิต

2. พัฒนาสังคมให้เข็มแข็งมีคุณภาพ

3. นำชาติบ้านเมืองมาสู่ความเจริญมั่นคงสันติสุข

4. พร้อมอุทิศตน

ตอบ 3 หน้า 43 (H) ผู้เป็นบัณฑิตหรือปัญญาชนควรยึดหลักคุณธรรมนำชีวิต พร้อม อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความ เจริญอย่างมั่นคง วัฒนา สถาพร และสันติสุขสืบไป

38. เป็นครูคนละอย่าง มีความหมายที่แท้ตามข้อใด

1. มีความรู้แตกต่างกัน

2. มีความถนัดแตกต่างกัน

3. โอกาสที่ได้รับแตกต่างกัน

4. การไม่ดูถูกกันและกัน

ตอบ 4 หน้า 49 – 52 (H) “ครู คนละอย่าง” หรือ “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง คนเรามีความรู้ความถนัดไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือวันนี้อาจรู้ทุกเรื่อง แต่วันพรุ่งนี้ก็เริ่มจะไม่รู้ เพราะโลกเรามีความรู่ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรู้จักให้เกียรติคนอื่นไม่ดูถูกกันและกัน ไม่ยกตนข่มท่านเพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง โดยต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด และประสบการณ์จากกันและกันได้

39. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย

1. สัมพันธภาพที่ดีระหว่างสถาบัน

2. ความสามัคคีสมานสามัคคี

3. การถือเรื่องแพ้หรือชนะเป็นใหญ่

4. ความเป็นมิตรในหมู่นักศึกษา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เป้าหมายของการแข่งกีฬามหาวิทยาลัย คือ เพื่อความสมัครสมานสามัคคีเพื่อให้เกิดความเป็นมิตรในหมู่นักศึกษา และเพื่อสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสถาบัน โดยมุ่งปลุกฝังให้นักศึกษามีน้ำใจอดทน ให้ความร่วมมือ ไม่เอาเปรียบกัน และที่สำคัญที่สุดคือ ให้มีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เล่นกีฬาแข่งขันเพื่อเอาชนะกันอย่างเดียว ซึ่งหากผู้ใดปฏิบัติได้จึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาปัญญาชนที่แท้จริง

40. ข้อใดจึงได้ชื่อว่านักกีฬาปัญญาชนที่แท้

1. ความมีน้ำใจนักกีฬา

2. การทำหน้าที่ให้สมบูรณ์

3. การปฏิบัติตนให้สมกับเป็นผู้ได้รับการศึกษาสูง

4. การเสริมสร้างความร่วมมือทางสร้างสรรค์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41 นักศึกษาจะได้รับการบริการอย่างดีเยี่ยมตามนโยบายข้อใดของมหาวิทยาลัย

1. Course on Demand

2. Super Service

3. E – learning

4. E – testing

ตอบ 2 (คำบรรยาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้นำระบบสุดยอดแห่งการบริการ หรือที่เรียกว่า “Super Service” มาใช้ในการรับสมัครนักศึกษาใหม่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553 เพื่อให้ขั้นตอนการรับสมัครเป็นไปด้วยความเร็ว และให้นักศึกษาได้รับการบริการอย่างดีเยี่ยม โดยระบบ Super Service นี้ได้พัฒนาการมาจากระบบ One stop Service ซึ่งเป็นขั้นตอนการให้บริการแบบครบวงจรเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ที่เคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.)

42. โปรกอล์ฟท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการจัดการกอล์ฟของรามคำแหง

1. โปรธงชัย ใจดี

2. โปรประหยัด มากแสง

3. โปรบุญชู เรืองกิจ

4. โปรชัพชัย นิราช

ตอบ 2 (คำบรรยาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดการเรียนการสอนโครงการบริหาธุรกิจบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารจัดการกอล์ฟมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 โดย มีคณาจารย์สายกอล์ฟที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในกีฬากอล์ฟอยู่จำนวน มาก ซึ่งที่ผ่านมาโครงการ ฯ ได้รับความร่วมมือในการดำเนินงานต่าง ๆ จากนักกอล์ฟทุกกลุ่มทั้งโปรกอล์ฟ นักกอล์ฟมืออาชีพและนักกอล์ฟมือสมัครเล่นจากทั่วประเทศ เช่น ธงชัย ใจดี , บุญชู เรืองกิจ , ชัพชัย นิราช , พรหม มีสวัสดิ์ เป็นต้น

43. นักศึกษาพึงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สูงสุดตามข้อใด

1. เรียนรู้วิชาที่สาขากำหนด

2. เรียนจบหลักสูตร ไปประกอบอาชีพ

3. ฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

4. พัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 3 หน้า 1, 1 (H) การ เรียนของบุคคลมิได้มุ่งให้ผู้เรียนรู้เฉพาะวิชาที่สาขากำหนด หรือเรียนจบหลักสูตรสำเร็จการศึกษาไปประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจของ แต่ละบุคคลเพราะหากบุคคลใดฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็จะก่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ สามารถพัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพในการปฏิบัติงานได้เต็มกำลังความสามารถของบุคคล

44. สังคมส่วนรวมได้ประโยชน์มาจากข้อใด

1. สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ

2. สมบูรณ์ด้วยปัญญา

3. สมบูรณ์ด้วยความรู้และคุณธรรม

4. มีวัฒนธรรมการดำรงชีวิต มุ่งผลดีต่อบ้านเมือง

ตอบ 4 หน้า 1, 1 (H) (คำบรรยาย) การ จัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม จริยธรรม และที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ก็คือ การมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต โดยมุ่งผลดีต่อบ้านเมืองเป็นสำคัญเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

45. การใฝ่ศึกษาบ่งชี้ข้อใดอย่างชัดเจน

1. ด้านวิชาการ

2. ด้านความคิดริเริ่ม

3. ด้านความกล้าหาญในการแสดงออก

4. ด้านความกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า

ตอบ 1 หน้า 2,2 (H) (คำบรรยาย) เจตนา ในการจัดการศึกษาข้อหนึ่งของมหาวิทยาลัย คือ มุ่งจะอบรมนักศึกษาให้เป็นคนเก่ง หรือให้มีความเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ รอบตัว เช่น ในด้านวิชาการจากการใฝ่ศึกษาใฝ่เรียนรู้ ด้านความคิดริเริ่ม ด้านความกล้าหาญสามารถในการแสดงออกและด้านความกระตือรือร้นที่จะก้าวหน้า เป็นต้น

46. ความพอเพียงสอดคล้องตามข้อใดเป็นสำคัญ

1. ความคิดพิจารณาที่รอบคอยกว้างไกล

2. ความนับถือและเกรงใจผู้อื่น

3. ความมัธยัสถ์พอเหมาะพอดีในการกระทำ

4. ความรู้จักผิดชอบชั่วดี

ตอบ 3 หน้า 405 – 406 , (คำบรรยาย) คำว่า “พอ เพียง “ ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองทำเท่านั้นแต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน ไม่หรูหรา ไม่ฟุ่มเฟือย พอในความต้องการ มีความโลภน้อยเบียนเบียดคนอื่นน้อย พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก ซึ่งพอเพียงนี้ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ มีความมัธยัสถ์พอเหมาะพอดีในการกระทำ และดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย

47. นักศึกษาควรเรียนอย่างไร

1. รู้กว้าง

2. รู้สึก

3. รู้จริง

4. เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

ตอบ 4 หน้า 5, 26 – 27 , 5 (H) , 29 – 30 (H) ใน สังคมแห่งการเรียนรู้ นักศึกษาควรเรียนเพื่อให้รู้กว้างรู้ลึก รู้จริง และที่สำคัญทีสุดคือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นระบบการศึกษาจึงต้องเป็นการศึกษาที่ผสมผสานทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยหรือที่เรียกว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” (Lifelong Education)

48. ข้อใดเป็นการศึกษาเพื่อสิ่งแวดล้อม

1. อ่านออกเสียงได้ มีอาชีพ

2. ดำรงตนสมฐานะความเป็นมนุษย์

3. มีคุณธรรมกำกับความรู้ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้

4. ประหยัดใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ 4 หน้า 7,7 (H) ความ รู้ที่จำเป็นสำหรับทศวรรษหน้าประการหนึ่ง คือ ต้องมีความรู้ที่จะประหยัดและใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญของทศวรรษ ศตวรรษ และสหัสวรรษหน้าที่ประชากรมีแต่จะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรไม่ได้เพิ่มเติมตามไปด้วยหรือเพิ่มแต่ช้ากว่าจำนวนประชากร

49. ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. ใช้เทคโนโลยีร่วมกับหน่วยการเรียน

2. ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพ

3. ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา

4. พัฒนาให้คนใช้เทคโนโลยีเป็น

ตอบ 2 หน้า 7 , 10 , 7 (H) 10 (H) (คำบรรยาย) การ นำเทคโนโลยีมาใช้นั้นได้มีการพูดกันมากในเรื่องการพัฒนาคนให้ใช้เทคโนโลยี เป็น และการใช้เทคโนโลยีการแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่การที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดต้องคิดว่า จะ ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพหรือมีประสิทธิภาพได้อย่างไร นอกจากนั้นมีการวางแผนการใช้งานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้หรือ ไม่หรือผู้ใช้มีความเข้าใจเทคนิคการใช้เครื่องมือนั้นเพียงพอแค่ไหน

50. ข้อใดเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ

1. ใช้เงินน้อยลง

2. ใช้ความคิดให้มาก

3. สร้างกำลังใจ

4. ฝึกความอดทน

ตอบ 2 หน้า 8 , 8 (H) (คำบรรยาย) เครื่อง มือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ คือ การใช้ความคิดให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาไตรตรองในการแก้ปัญหาด้วยจิตใจที่เข็มแข็ง ไม่ท้อแท้ ดังปาฐกถาด้านการศึกษาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตอนหนึ่ง ที่ว่า “…มีศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่มี เราก็ใช้เงินให้น้อยลง ใช้ความคิดให้มากขึ้นหน่อยเราก็จะไปได้ไม่อับจน อันนี้ก็เป็นเนื่องของกำลังใจ

51. ข้อใดสอดคล้องกับการทำบัญชีครัวเรือนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

1. ฝึกทำงบประมาณ

2. จัดลำดับความต้องการ

3. ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

4. ใช้อย่างถนอม

ตอบ 1 หน้า 9,9 (H) (คำบรรยาย) การทำบัญชีครัวเรือนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง หมาย ถึงการจดบันทึกรายรับรายจ่ายประจำวันของครัวเรือนและนำข้อมูลที่ได้มา พิจารณาหาวิธีการเพิ่มรายรับและลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เกิดความพอดี หากมีส่วนที่เหลือก็ให้เก็บออมไว้เพื่อใช้ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับการฝึกทำงบประมาณ เพื่อวางแผนที่เกี่ยวกับรายได้และควบคุมค่าใช้จ่าย

52. การคิดมีคุณค่าอย่างยิ่ง สอดคล้องตามข้อใด

1. สุตมยปัญญา

2. จินตมยปัญญา

3. ปุจฉา

4. ลิขิต

ตอบ 2 หน้า 11 – 12 , 11 – 12 (H) หลักการศึกษา “สุ จิ ปุ ลิ” ประกอบด้วย

1. สุ – สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง 2. จิ – จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง รู้จักใช่เหตุผลวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ 3. ปุ – ปุจฉา คือ การถาม 4. ลิ – ลิขิต คือ การจดบันทึก

53. “เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน” ข้อใดมีความหมายที่ต่าง

1. ให้พอเพียงกับตัวเอง

2. อุ้มชูตัวเองได้

3. พึ่งพาตนเองได้

4. พอเพียงในหมู่บ้าน อำเภอ

ตอบ 3 หน้า 57 (H) “เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน” หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง ความ พอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควรบางสิ่งบางอย่างที่ ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไรไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก

54. ข้อใดเป็นพระราชดำริที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้

1. ต้องเพียรและอดทน

2. ต้องไม่ใจร้อน

3. ต้องไม่พูดมาก ไม่ทะเลาะกัน

4. ต้องทำโดยเข้าใจกัน

ตอบ 4 หน้า 57 (H), (คำบรรยาย) พระ ราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ คือ ต้องทำโดยเข้าใจกัน หมายความว่า ไม่ว่าจะคิดทำสิ่งใดต้องทำด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยใช้สติปัญญาพิจารณาถึงเหตุผลและประโยชน์ของชาติเป็นหลักรู้จักเอาใจเขามา ใส่ใจเรา ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “….ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..”

55. ผลสัมฤทธิ์ส่วนตนและส่วนรวมของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือข้อใด

1. พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน

2. รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง

3. ซื่อสัตย์ สุจริต ขยันอดทน แบ่งปัน

4. ชีวิตสมดุล เศรษฐกิจมั่นคง สังคมยั่งยืน

ตอบ 4 หน้า 57 – 58 (H) ผล สัมฤทธิ์ส่วนตัวและส่วนรวมจากการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ ชีวิตสมดุล เศรษฐกิจมั่นคง และสังคมยั่งยืน โดยเป้าหมายที่สำคัญคือการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุดด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี

56. “รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน” หมายความตามข้อใด

1. จิตใจเข็มแข็ง พึ่งตนเองได้

2. มีจิตสำนึกที่ดี

3. มีความเอื้ออาทร

4. นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม

ตอบ 4 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) เจ้า พระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมจริยาว่า “ให้รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน”หมายความว่า ให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนรู้จักเห็นคุณค่าของส่วนรวม จนสามารถที่จะสละเวลา ความสุขส่วนตัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญขึ้นได้

57. ลดการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า เพื่อรักษ์โลก เป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องตามข้อใด

1. เป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ

2. ประหยักไปในทางที่ถูกต้อง

3. การประพฤติชอบ

4. ประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องสุจริต

ตอบ 2 หน้า 257 , 59 (H) (คำบรรยาย) การประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง หมายถึง รู้จัก ใช่ รู้จักออมทรัพย์สิน เวลา และทรัพยากรต่าง ๆ ทั้งส่วนตนและส่วนรวมตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด โดยต้องรู้จักใช้สิ่งต่าง ๆ ด้วยความชาญฉลาดและก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดรวมทั้งมีระยะเวลาการใช้งานยาวนานที่สุดด้วย

58. สมหมายได้รับรางวัลเรียนดีและยังคงพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามข้อใด

1. พยายามไม่ก่อความชั่ว

2. พยายามลดละความชั่ว

3. พยายามก่อความดี

4. พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น

ตอบ 4 หน้า 59 (H), (คำบรรยาย) การปฏิบัติตนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงประการหนึ่ง คือ ปฏิบัติตนในแนวที่ดี ลดละ สิ่งยั่วกิเลสให้หมดไปสิ้นไป และเพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม แต่ให้เจริญยิ่งขึ้น ดังพระบรมราโชวาทที่ว่า “…พยายามก่อความดีให้แก่ตัวเองเสมอ พยายามรักษาและเพิ่มพูนความดีที่มีอยู่นั้นให้งอกงามสมบูรณ์ขึ้น…”

59. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติ

1. ความเจริญที่แสวงหาด้วยความเป็นธรรม

2. ความเจริญที่ได้มาโดยบังเอิญ

3. ความเจริญที่ได้ด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียน

4. ความเจริญจากการขวนขวายใฝ่หาความรู้

ตอบ 2, 3 หน้า 59 (H) พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนหนึ่งว่า “…ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียนจากผู้อื่น…”

60. ในฐานะนักศึกษารามคำแหง พึงปฏิบัติตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. สัจวาจา

2. เกียรติยศ

3. การทำตัวให้เรียบร้อย

4. การปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องสมบูรณ์

ตอบ 4 หน้า 60 (H) (คำบรรยาย) สิ่ง สำคัญที่นักศึกษารามคำแหงพึงปฏิบัติ คือ การปฏิบัติหน้าที่ของนักศึกษาให้ถูกต้องสมบูรณ์ มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข็มแข็งอดทน โดยต้องรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องประพฤติปฏิบัติตามเหตุและผล รู้ว่าตนมีหน้าที่และความรับผิดชอบอะไรจะต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุผลสำเร็จ ตามหน้าที่และความรับผิดชอบนั้น ๆ

61. ขจัดคอร์รัปชั่นได้ด้วยคุณธรรม ข้อใดเป็นสำคัญ

1. ระมัดระวังกายใจให้มั่นคงเที่ยงตรง

2. ให้มีความสัตย์สุจริต

3. ให้มีความสมัครสมานสามัคคี

4. มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข็มแข็ง อดทน อดกลั้น

ตอบ 2 หน้า 60 (H) (คำบรรยาย) ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา มีความซื่อตรงจริงใจทั้งทางความคิด คำพูดและการกระทำทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จริงใจในสิ่งที่ถูกที่ควร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมไม่คิดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลวกลวง ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่จะช่วยขจัดปัญหาต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

62. ความรู้จากการนึกคิดข้อใด

1. โสตวิญญาณ

2. จักขุวิญญาณ

3. มโนวิญญาณ

4. กายวิญญาณ

ตอบ 3 หน้า 62 – 63 (H) ความรู้ระดับวิญญาณแบ่งออกเป็น 6 ประเภทได้แก่

1. จักขุวิญญาณ คือ ความรู้จากการเห็นและการจำได้

2. โสตวิญญาณ คือ ความรู้จากการได้ยินเสียงดัง เบา ไพเราะ

3. ฆานวิญญาณ คือ ความรู้จากการได้กลิ่นเหม็น หอม

4. ชิวหาวิญญาณ คือ ความรู้จากการู้รสหวาน มัน เค็ม

5. กายวิญญาณ คือ ความรู้จากการสัมผัสว่าแข็ง นิ่ม หรือกระด้าง

6. มโนวิญญาณ คือ ความรู้จากการนึกคิดว่าดี ชั่ว หรือหยาบ

63. ข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง

2. เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน

3. ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน

4. ย่อมเสียที่ ที่ตน ได้เกิดมา

ตอบ 1 หน้า 64 (H) คำว่า “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีใจสูง ซึ่งใจมนุษย์จะสูงได้ เพราะมีสิ่งเหล่านี้บรรจุอยู่ภายใน ได้แก่ 1. ความรู้ 2. ความสามารถ 3. คุณธรรม 4. อุดมคติ 5. อุดมการณ์ 6. ความสงบสุข

64. ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว มรรค 8 เป็นคุณธรรมที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับข้อใด

1. ความตัวต้นเป็นตัวรู้

2. ความตัวปลายเป็นตัวแรง

3. สามารถดับทุกข์ที่เกิดได้

4. ป้องกันความทุกข์ที่ยังไม่เกิดได้

ตอบ 3 หน้า 674 – 675 , 77 – 78 (H) 81 (H) มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่

1. สัมมาทิฐิ (ความชอบ) 2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

3. สัมมาวาจา (วาจา) 4. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ)

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ)

7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ)

65. บุคคลที่ต้องการคำอธิบายคือข้อใด

1. อุคฆติตัญญู

2. วิปจิตัญญู

3. เนยยะ

4. ปทปรมะ

ตอบ 2 หน้า 78 – 79 (H) ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวถึงลักษณะของบุคคลไว้ 4 จำพวก ได้แก่

1. อุคฆติตัญญู คือ เฉียบแหลม ฉลาดมาก พอพูดขึ้นมาก็เข้าใจหมด หรือพูดคำเดียวรู้เรื่องรู้แจ้งทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย 2. วิปจิตัญญู คือบุคคลที่ต้องการคำอธิบายจึงจะรู้เรื่อง 3. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะนำไปได้ มีปัญหาทึบ แต่พอจะฝึกฝนกันได้ด้วยความยากลำบาก 4. ปทปรมะ คือ บุคคลที่มีความถ่วงอย่างยิ่ง ทั้งโง่และดื้อ จนเหลือที่ใครจะนำได้

66. ค่านิยมมีความหมายที่ตรงข้ามกับข้อใด

1. อุดมคติ

2. อุดมการณ์

3. คุณธรรม

4. ความรู้ ความสามารถ

ตอบ 4 หน้า 71 (H) (คำบรรยาย) ค่านิยม (Values) จะมีความหมายสอดคล้องกับคำว่าอุดมคติ อุดมการณ์ และคุณธรรม ซึ่งหมายถึง ความ สามารถของบุคคลที่จะแยกแยะว่าอะไรคือสาระและสาระของชีวิต จึงเป็นคุณภาพจิตฝ่ายดีที่จะแยกแยะสิ่งดี – ไม่ดี เพื่อให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นบุคคลที่ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อความได้เปรียบ หรือฉกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมโดยรวม

67. ข้อใดเป็นการคิดเพื่อตัดสินใจ

1. คิดวิเคราะห์

2. คิดสังเคราะห์

3. คิดเปรียบเทียบ

4. คิดเชิงบูรณาการ

ตอบ 3 หน้า 68 – 70 (H) ความสามารถทางใจ คือ ความสามารถในการคิดมีหลายแบบ ได้แก่1. คิดวิเคราะห์ คือ คิดแยกแยะให้เห็นตัวประกอบต่าง ๆ 2. คิดสังเคราะห์ คือ คิดรวมตัวประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ หรือเรียกว่าคิดสร้างสรรค์ 3. คิดเชิงบูรณาการ คือ คิดในลักษณะของการขยายขอบเขตของการคิด 4. คิดเปรียบเทียบ คือ คิดนำเอาของสองสิ่งขึ้นมาเปรียบเทียบเพื่อหาความแตกต่าง และตัดสินใจ ฯลฯ

68. การกำหนดวิสัยทัศน์ ในการคิดตามข้อใดเป็นสำคัญ

1. คิดอย่างเข้าถึงความจริง

2. คิดอย่างมีลำดับขั้นตอน

3. คิดอย่างมีเหตุผล

4. คิดอย่างมีเป้าหมาย

ตอบ 1 หน้า 41 (H) 73 (H) (คำบรรยาย) โยนิโสมนสิการ คือ การคิดเป็น มีองค์ประกอบ 4 ส่วนดังนี้

1. อุบายมนสิการ คือ การคิดอย่างเข้าถึงความจริง โดยการกำหนดวิสัยทัศน์เพื่อมองเห็นภาพที่เป็นจริงได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันดำรงอยู่และดับสิ้นไปเป็นธรรมดา 2. ปถมนสิการ คือ การคิดอย่างมีลำดับขึ้นตอนไม่สับสน 3. การณมนสิการ คือ การคิดอย่างมีเหตุผล 4. อุปปาทกมนสิการ คือ การคิดอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน

69. กัลยาณมิตรเป็นคุณธรรมตามข้อใด

1. ความรักแบบชู้สาว

2. ความรักฉันเพื่อน

3. ความรักแบบเพื่อน

4. ความรักจากพระผู้เป็นเจ้า

ตอบ 2 หน้า 79 (H) (คำบรรยาย) กรีกโบราณมีแนวคิดเรื่องความรัก 3 แบบ ซึ่งศาสนาคริสต์ได้สอนต่อเนื่องมาดังนี้ 1. Erose ได้แก่ ความรักแบบชู้สาวหรือกามราคะ ซึ่งเป็นความรักของหนุ่มสาว 2. Philos ได้แก่ ความ รักฉันเพื่อน ซึ่งตรงกับกัลยาณมิตร (ปรโตโฆสะที่ดี) ในทางพุทธศาสนา คือ มีผู้แนะนำสั่งสอน ที่ปรึกษา เพื่อนที่คบหาและบุคคลแวดล้อมที่ดี 3. Agape ได้แก่ ความรักจากพระเจ้า หรือความรักแบบพี่น้องร่วมโลก

70. มนุษย์ควรได้รับการพัฒนาที่ดีที่สุดตามข้อใด

1. การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล

2. การพัฒนามนุษย์ให้มีสมาธิ

3. การพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา

4. การพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม

ตอบ 4 หน้า 80 (H) การฝึกฝนและพัฒนามนุษย์นั้น ทางพุทธศาสนาจัดวางเป็นหลักที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” คือ การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งหากพัฒนาครบทั้ง 3 ด้าน ก็จะทำให้บุคคลพัฒนาการอย่างมีบูรณาการ และถือเป็นการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพและดีที่สุด

71. การฝึกวิสัยคือสิกขาตามข้อใด

1. ศีลสิกขา – วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ

2. จิตตสิกขา – เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ

3. ปัญญาสิกขา – ความเห็นชอบ ดำริชอบ

4. ไตรสิกขา – หลักสำคัญของการพัฒนามนุษย์

ตอบ 1 หน้า 675 , 80 – 81 (H) การปฏิบัติตามมรรคที่มีองค์ 8 สามารถย่อลงได้ในไตรสิกขาดังนี้ 1. ศีล (ศีลสิกขา) คือ การฝึกฝนในด้านพฤติกรรม หรือการฝึกวินัย ได้แก่ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) และสัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) 2. สมาธิ (จิตตสิกขา) คือ การฝึกในด้านจิต หรือระดับจิตใจ ได้แก่ สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) 3. ปัญญา (ปัญญาสิกขา) คือ การฝึกหรือพัฒนาในด้านการรู้ความจริง ได้แก่ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

72. แปลความคิดเป็นการกระทำ หมายความตามข้อใด

1. ชำนาญในการใช้ภาษา

2. ประพฤติดี รสนิยมดี

3. มีวิจารณญาณใฝ่รู้

4. นำความคิดมาปฏิบัติได้

ตอบ 4 หน้า 83 (H) ผู้ที่สามารถนำความคิดของตนมาสู่การปฏิบัติได้ คือ ผู้ที่สามารถแปลความคิดเป็นการกระทำ เพราะเป็นผู้มีความคิดแน่ชัดเป็นของตนเอง และเป็นความคิดที่ประกอบด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่เป็นความคิดที่ไปคัดลอกหรือเลียนแบบมา โดยขาดพิจารณาหรือความเข้าใจอย่างถูกต้อง

73. ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดในข้อใดสำคัญที่สุด

1. EQ – ความฉลาดด้านการจัดการอารมณ์

2. AQ – ความฉลาดรู้สู้ปัญญา

3. GQ – ความลาดรู้เท่าทันโลก

4. HQ – ความฉลาดรักษาสุขภาพของตน

ตอบ 3 หน้า 83 – 85 (H) (คำบรรยาย) ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดที่สำคัญที่สุดได้แก่ ความ ฉลาดรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี วิทยากร และสรรพสิ่งทั้งหลายไม่วิ่งตามกระแสสังคมโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาแยกแยะสิ่งถูก – ผิด นอกจากนี้ยังต้องรู้จักบูรณาการความคิดระดับโลกมาปฏิบัติในระดับท้องถิ่นได้ (Global and Local Integration)

74. อนาคตความมุ่งหวัง หมายความตามข้อใด

1. รู้สึกว่าตนเองมีเป้าหมายในชีวิต

2. รู้สึกกล้าที่จะปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

3. รู้สึกเปิดเผยและถ่อมตน

4. รู้สึกศรัทธามั่นคงและมีเสน่ห์ในตนเอง

ตอบ 1 หน้า 87 (H) การ พัฒนาตนเองในด้านคุณลักษณะส่วนบุคคลที่จำเป็นประการหนึ่ง ได้แก่ ความรู้สึกว่าตนเองมีเป้าหมายในชีวิต คือ บุคคลจะต้องพัฒนาตนเองให้มีเป้าหมายในชีวิตมีอนาคต มีความมุ่งหวัง โดยเชื่อว่าตนเองสามารถพัฒนาได้

75. สติเป็นเครื่องช่วยให้บรรจุตามข้อใดที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด

1. มองตนออก

2. บอกตนได้

3. ใช้ตนเป็น

4. เห็นตนชัด

ตอบ 4 หน้า 55 (H) 88 (H) (คำบรรยาย) การฝึกพัฒนาตนเองไห้มีสติ คือ ความรู้จักตนเองโดยสติจะเป็นเครื่องช่วยให้บุคคลมองตนออก (รู้จักตัวตนของตนเองว่าเป็นใคร) บอก ตนได้ (บอกตนได้ว่ามีหน้าที่อะไรและต้องทำอะไร) ใช้ตนเป็น (ใช้ความรู้ความสามารถของตนไปในทางที่ถูก) และที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งถือเป็นจุดประสงค์ของการเรียนความรู้คู่คุณธรรมก็คือเห็นตนชัด (ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เตือนตนได้ว่าสิ่งใดดี – ไม่ดี)

76. ทานัง หมายความจามข้อใด

1. พึงชนะความโกธร ด้วยความไม่โกธรตอบ

2. ชนะความเลว ด้วยความดี

3. ชนะความตระหนี่ ด้วยการให้

4. ชนะคนพูดพล่อย ๆ ด้วยคำพูดจริง

ตอบ 3 หน้า 88 (H), 96-98 (H) ,108-109 (H) หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย

1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา

2. สีลัง (ศีล) คือ รักษาความสุจริต

3. ปะริจจาคัง (บริจาค) คือ บำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ

4. อาชชะวัง (ความซื่อตรง) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง

5. มัททะวัง (ความอ่อนโยน) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม

6. ตะปัง (ความพากเพียร) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส

7. อักโกธัง (ไม่โกรธ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา

8. อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) คือ มีอหิงสานำร่มเย็น

9. ขันติ (อดทน) คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ

10. อวิโรธนัง (อวิโรธนํ – ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่ผิดไปจากคำสอน) คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

77. ข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย

2. หยาบบ่มีเกลอกราย เกลื่อนใกล้

3. ดุจดวงศศิฉาย ดาวดาษ ประดับนา

4. สุริยส่องดาราไร้ เมื่อร้อนแรงแสง

ตอบ 1 หน้า 89 (H) 100 (H) 105 (H) คุณธรรมสังคหวัตถุ 4 ได้แก่ 1. ทาน คือ การให้ปันมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 2. ปิยะวาจา คือ การพูดถ้อยคำไฟเราะอ่อนหวาน ดังโครงโลกนิติตอนหนึ่งว่า “อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย…” 3. อัตถจริยา คือ การทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น 4. สมานัตตา คือ การวางตัวสม่ำเสมอ ไม่ทอดทิ้ง เอาตัวเข้าสมาน

78. ข้อใดเป็นธรรมะในพรหมวิหาร 4

1. เมตตา กรุณา

2. สัมมาอาชีวะ

3. สำรวมในกาม

4. สัจจะ สติสัมปชัญญะ

ตอบ 1 หน้า 100 – 101 (H) 105 (H) พรหมวิหาร 4 ได้แก่ 1. เมตตา คือ ความรัก ความหวังดีปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข 2. กรุณา คือ ความสงสารเห็นใจ ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ 3. มุทิตา คือ ความรู้สึกพลอยชื่นชม เบิกบานพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข 4. อุเบกขา คือ ความรู้สึกวางเฉย มีใจเป็นกลาง ไม่ลำเอียงเข้าข้างคนใดคนหนึ่ง

79. อ่อนน้อมถ่อมตน สอดคล้องตามข้อใด

1. คบคนดี

2. ยกย่องคนดี

3. ยอมรับฟังคำสั่งสอนของผู้รู้

4. ชื่นชมคนดีมีศีลธรรม

ตอบ 3 หน้า 155 , 91 (H) (คำบรรยาย) ความอ่อนน้อมถ่อมตน คือ การ แสดงกิริยาวาจาอย่างมีคารวะรู้จักให้เกียรติผู้ที่อยู่ในฐานะสูงกว่าหรือ เป็นผู้ใหญ่กว่า มีความสุภาพอ่อนโยน ยอมรับฟังคำสั่งสอนของผู้รู้ โดยไม่อวดดี และไม่อวดเก่งว่าตนเองเหนือกว่าคนอื่น จึงเป็นคุณธรรมที่ตรงข้ามกับความเย่อหยิ่งทะนงตน

80. ข้อใดบ่งชี้การขาดคุณธรรม

1. พูดง่าย

2. รับฟังเหตุผล

3. กระด้างกระเดื่อง

4. ไม่ดื้อรั้น

ตอบ 3 หน้า 92 (H) หลักจริยธรรมและคุณธรรมของพระราชวรมุนีประการหนึ่ง คือ เป็นคนที่พูดกันง่ายไม่ดื้อรั้น ไม่กระด้างกระเดื่อง รู้จักรับฟังเหตุผล และพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงตนเอง

81. นักศึกษาพึงปฏิบัติต่อบิดามารดาตามข้อใด

1. ขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระ

2. รักษาสมบัติส่วนรวม

3. อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

4. ไม่นิ่งดูดายในสาธารณประโยชน์

ตอบ 1 หน้า 206, 92 (H) นักศึกษาพึงปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบต่อบิดามารดาและครอบครัวดังนี้

1. เคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบิดามารดา

2.ขวนขวายช่วยเหลือกิธุระของบิดามารดาตามควรแก่โอกาส

3.ไม่นำความเดือนร้อนมาให้ครอบครัว

4.รักษาและเชิดชูชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

82. เศรษฐกิจของประเทศจะเจริญ หากประชาชนปฏิบัติตามข้อใด

1. ประชาชนต้องเป็นผู้ใคร่ธรรม

2. ประชาชนมีแต่คนขยัน

3. ประชาชนมีรสติมั่นคง สันโดษ

4. ประชาชนมีปัญญาเหนืออารมณ์

ตอบ 2 หน้า 92 (H) หลักจริยธรรมของพระราชวรมุนีประการหนึ่ง คือ มีความขยันหมั่นเพียร โดยประชาชนในสังคมรัฐใดมีแต่คนขยันไม่เกียจคร้าน สังคมนั้นจะไม่ลำบาก ระบบเศรษฐกิจจะดีและเจริญก้าวหน้า ทุกคนจะไม่ยากจน เหมือนดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่ชนผู้ขยัน”

83. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายความตามข้อใด

1. คิด พูด ทำด้วยความเมตตา

2. มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน

3. ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

4. ประสานงานประสานประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 159 , 93 (H) (คำบรรยาย) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายถึง การแสดงน้ำใจดีต่อผู้อื่นด้วยวาจา และใจ ตลอดจนการให้เป็นวัตถุและสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ ใจแคบเห็นแก่ตัวต่างคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งการเอื้อเฟื้อที่ถูกต้องควรเป็นการอุดหนุนเจือจุนคนที่สมควรอุดหนุนโดย ไม่เป็นที่เดือนร้อนแก่ผู้อื่นและสังคม

84. นักศึกษาแต่งกายเรียบร้อย ไม่นำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบ เป็นการปฏิบัติตามข้อใด

1. ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต

2. ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกฎกติกา

3. ทำความคิดความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง

4. มั่นคงอยู่ในเหตุในผล

ตอบ 2 หน้า 258 , 93 (H) การ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกฎกติกา คือ การที่บุคคลควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบแบบแผน และขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเพื่อความสงบสุขในชีวิตของตน และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งสอดคล้องกับคุณธรรมเรื่องความมีระเบียบวินัย

85. การปฏิบัติตามข้อใดจะขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้

1. รู้สึกว่าเป็นประเทศของทุกคน

2. ต้องเข้าหากันแก้ปัญหา

3. ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว

4. ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ

ตอบ 2 หน้า 94 (H) วิธีปฏิบัติที่ช่วยขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้ดีที่สุด คือ ทุกคนต้องเข้าหากัน แก้ปัญหาด้วยความสันติ ดัง พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “ประเทศของเราไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมี อยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร…”

86. ปัญหาที่เป็นอุปสรรคของการพัฒนาบ้านเมืองคือข้อใด

1. เมื่อไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต

2. ทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป

3. ถ้าสุจริตขอให้ต่ออายุได้ถึง 100 ปี

4. ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตราย เพราะว่าผู้ที่ทำด้วยความตั้งใจในธรรม

ตอบ 1 หน้า 94 (H) ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาบ้านเมือง คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นดังพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอน หนึ่งว่า “ทำอย่างไรจึงจะปราบทุจริตได้ถ้ามีทุจริตแล้วบ้านเมืองพัง ที่เมืองไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต..เพราะว่าผู้ว่าฯ ซีอีโอต้องเป็นคนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้…”

87. ผู้บริหารหรือนักการเมืองพึงมีสำนึกในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานอย่างผู้รู้จริง มีผลงานประจักษ์

2. อดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมมะความถูกต้อง

3. อ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่าย ประหยัด

4. มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก

ตอบ 4 หน้า 94 (H) (คำบรรยาย) คุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดของผู้บริหารหรือนักการเมืองที่ดี คือ มีความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจ และเหนือสิ่งอื่นใดควรมีสำนึกที่มุ่งประโยชน์ของส่วนใหญ่เป็นหลักหรือเพื่อ ส่วนรวม มิใช่เพื่อตนเองหรือเพื่อคนส่วนน้อย โดยควรคิดถึงประโยชน์ของประเทศและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

88. วิริยะพละ หมายความตามข้อใด

1. ตั้งใจขยันหมั่นเพียร

2. สุจริตกตัญญู

3. รักประชาชน เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน

4. พึ่งตนเอง ส่งเสริมคนดี คนเก่ง

ตอบ 1 หน้า 95 (H) 100 (H) 124 (H) พละ คือ ธรรมอันเป็นพลัง 4 ประการ ดังนี้

1. ปัญญาพละ ได้แก่ กำลังปัญญาความรอบรู้ รู้คิด รู้ทำ รู้ตน รู้งาน 2. วิริยะพละ ได้แก่ กำลังความเพียรความพยายามมิหยุดหย่อน มีอสังขาริกวิริยะ คือ ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ตั้งใจจริง 3. อนวัชชะพละ ได้แก่ กำลังสุจริตหรือกำลังบริสุทธิ์ มีกำลังแห่งการงานที่ไม่มีโทษหรือข้อเสียหาย 4. สังคหพละ ได้แก่ กำลังหารสงเคราะห์ ทำตนให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์

89. ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วยสามัคคี หมายความตามข้อใด

1.ความน่าเชื่อถือมีกฎเกณฑ์

2. ความโปร่งใส

3. การมีส่วนร่วม

4. ความสามารถคาดการณ์ได้

ตอบ 3 หน้า 95 (H) (คำบรรยาย) ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วนสามัคคี หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมืองจะสำเร็จได้หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งตรงกับหลักสำคัญของ ธรรมาภิบาล (Good Governance) ประการหนึ่ง คือ การมีส่วนร่วม (Participation) ของ ประชาชน เช่น การมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

90. ผู้นำต้องยึดหลักข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ค่านิยม ซื่อสัตย์ โปร่งใส

2. กฎหมาย เป็นธรรม

3. ประสิทธิภาพ

4. ความจริงใจ

ตอบ 1 หน้า 95 – 96 (H) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แนะว่า การ ใช้จริยธรรมและคุณธรรมในการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้นำจะต้องสำนึกที่จะนำสิ่งที่ดีไปใช้และขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป โดยต้องยึดหลักมาตรฐานจริยธรรมที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และค่านิยม นอกจากนี้ยังต้องยึดหลักกฎหมาย ความมั่นคงของรัฐ ความเป็นธรรม และประสิทธิภาพในการในการบริหารงาน

91. ความซื่อตรงหมายความตามข้อใด

1. ทานัง

2. สีลัง

3. ปะริจจาคัง

4. อาชชะวัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

92. ความอ่อนโยน หมายความตามข้อใด

1. มัททะวัง

2. ตะปัง

3. อวิหิงสา

4. อวิโรธนัง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

93. ข้อใดเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาอิสลาม

1. จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

2. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ

3. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

4. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า

ตอบ 2 หน้า 681 – 684 , 101 (H) มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามธรรมนูญชีวิตของศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่ามุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1. การกล่าวคำปฏิญาณตน 2. การทำละหมาด (นมัสการ) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศชาอุดิอาระเบีย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาคริสต์)

94. การขยันทำมาหากิน หมายความตามข้อใด

1. อุฏฐานสัมปทา

2. อารักขสัมปทา

3. กัลยาณมิตตตา

4. สมชีวิตา

ตอบ 1 หน้า 408 , 120 (H) หัวใจหลักเศรษฐี (อุ อา กะ สะ) ทางพุทธศาสนา ประกอบด้วย

1. อุฏฐานสัมปทา (อุ) คือ ถึงความพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร ขยันทำงานหาเงิน

2. อารักขสัมปทา (อา) คือ ถึงพร้อมด้วยการรักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้

3. กัลยาณมิตตตา (กะ) คือ รู้จักคบคนหรือมีกัลยาณมิตร มีเพื่อนดีมากมาย

4. สมชีวิตา (สะ) คือ ใช้จ่ายเหมาะสม มีความเป็นอยู่พอดีหรือสมดุล

95. คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยงบ่งชี้ให้เห็นคุณธรรมข้อใด

1. ความเพียรที่บริสุทธิ์

2. ความกตัญญูรู้คุณ

3. ปัญญาที่เฉียบแหลม

4. กำลังกายที่สมบูรณ์

ตอบ 2 หน้า 130 (H) คุณทองแดง สุนัข ทรงเลี้ยง บ่งชี้ให้เห็นคุณธรรมเรื่องความกตัญญูรู้คุณดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงยกย่องว่า “ผิดกับคนอื่นที่เมื่อกลายมาเป็นคนสำคัญแล้วมักจะลืมตัว และดูหมิ่นผู้มีพระคุณซึ่งเป็นคนต่ำต้อย”

96. การเสียสละ เป็นฆราวาสธรรมตามข้อใด

1. สัจจะ

2. ทมะ

3. ขันติ

4. จาคะ

ตอบ 4 หน้า 104 (H) (คำบรรยาย) ฆราวาสธรรม 4 ประกอบด้วย

1. สัจจะ คือ ความจริง ความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมาทั่งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อวิชาชีพ

2. ทมะ คือ การฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ

3. ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น

4. จาคะ คือ การเสียสละแบ่งปัน

97. บัณฑิตรามคำแหงพึงปฏิบัติตามข้อใด

1. พวกไม่รู้ไม่ชี้ – เศษสวะสังคม

2. พวกไม่รู้แต่ชี้ – เกิดโกลาหล

3. พวกที่รู้แต่ไม่ชี้ – เห็นแก่ตัว

4. พวกที่รู้แล้วชี้ – ชี้นำสังคม

ตอบ 4 หน้า 560 , 110 – 111 (H) ประเภทของคนในสังคมมีอยู่ 4 ประเภท ได้แก่

1. พวกไม่รู้ไม่ชี้ เป็นพวกเศษสวะสังคม ไม่ยอมรับรู้สิ่งที่ดี 2. พวกไม่รู้แต่ชี้ เป็นพวกที่ทำให้เกิดโกลาหล ทำความยุ่งยากให้แก่บ้านเมือง เพราะตนเองไม่รู้แต่ชี้นำสังคม 3. พวกที่รู้แต่ไม่ เป็นพวกเห็นแก่ตัว คิดแต่ว่าทำอย่างไรแล้วจะได้เท่าไร 4. พวก ที่รู้แล้วชี้ เป็นพวกที่เมื่อรู้และเข้าใจสิ่งใดก็จะชี้นำสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่บัณฑิตรามคำแหงพึงปฏิบัติ ดังคำขวัญที่ว่า “เปลวเทียนให้แสงรามคำแหงให้ทาง”

98. นักศึกษาจะมีส่วนร่วมสำคัญในการธำรงสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยคุณธรรมข้อใด

1. ความมีไหวพริบ

2. ความจงรักภักดี

3. ความรู้จักนิสัยคน

4. ความรู้จักผ่อนผัน

ตอบ 2 หน้า 116 (H) ความจงรักภักดี แปลว่า การยอมเสียสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน คือ ถึง แม้ว่าตนจะต้องได้รับความเดือนร้อนรำคาญ ตกระกำลำบาก หรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด ก็ยอมได้ทั้งสิ้นเพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

99. มิตรแม้พึงปฏิบัติตามข้อใด

1. อย่าใฝ่ตนให้เกิน 2. ที่ผิดช่วยเตือนตอบ 3. อย่าคะนึงถึงโทษท่าน 4. เมื่อพาทีพึงตอบ

ตอบ 2 หน้า 662 – 663 , 166 (H) 121 (H) รู้ถึงมิตรแท้ หรือมิตรด้วยใจจริงประการหนึ่ง คือ มิตรแนะนำประโยชน์ ซึ่งมีลักษณะ 4 ประการ ได้แก่ 1. จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปรามไว้ดังที่สุภาษิตพระร่วงได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “…ที่ผิดช่วยเตือนตอบ” 2. แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี 3. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง 4. บอกทางสุขทางสวรรค์ให้

100. ร่างกายที่สมบูรณ์ ความมีสติปัญญา เป็นหลักความรุ่งเรืองตามข้อใด

1. เลือกหาถิ่นทีเหมาะสม

2. เลือกคบคนดี

3. ตั้งตนไว้ถูก

4. เตรียมทุนที่ดี

ตอบ 4 หน้า 125 (H) หลักแห่งความเจริญรุ่งเรืองมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่

1. เลือกหาถิ่นทีเหมาะสม คือ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี

2. เลือกคบคนดี คือ รู้จักเลือกคบหาบุคคลผู้รู้ ผู้ทรงที่จะเกื้อกูลความเจริญก้าวหน้างอกงาม

3. ตั้งตนไว้ถูก คือ รู้จักตั้งเป้าหมายชีวิตและการงานให้ดีงามปฏิบัติไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง

4. เตรียมทุนที่ดี คือ ความมีสติปัญญาร่างกายสมบูรณ์ รู้จักรักษาสุขภาพตน แก้ไขปรับปรุงตนด้วยการศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนความชำนาญ

101. นอกจากจริยธรรมแล้ว การนวดไทยต้องประกอบด้วยข้อใดเป็นสำคัญ

1. ยึดถือสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย

2. ประกอบอาชีพเต็มความสามารถ

3. ไม่ล่วงเกินผู้ป่วย

4. ติดตามความรู้เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมรรถภาพ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาด้านการนวดแผนไทย หรือนวดแผนโบราณ เป็นการนวดที่เป็นศาสตร์บำบัดและรักษาโรคแขนงหนึ่งของการแพทย์แผนไทย โดย จะเน้นในลักษณะการยึดเส้นและการกดจุด ซึ่งผู้นวดที่ดีจำเป็นต้องมีความรู้ทั้งทางทฤษฏีและฝึกฝนปฏิบัติการนวดจนมี ความชำนาญ โดยยึดถือสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

102. ประชาธิปไตยคือหลักตามข้อใด

1. รักสิทธิเสรีภาพ

2. ประนีประนอม

3. จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

4. ยึดหลักธรรม ธำรงประเพณี

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การนิยามคำว่า “ประชาธิปไตย” จะประกอบไปด้วยหลักการ 2 หลักการ คือ ความเสมอภาคและอิสรภาพ ซึ่งถูกสะท้อนให้เห็นผ่านทางความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคนที่มีสิทธิ เข้าถึงอำนาจโดยเท่าเทียมกัน ส่วนอิสรภาพนั้นได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งจะต้องได้รับการคุ้มครองเสมอกันโดยรัฐธรรมนูญดังนั้นสิทธิเสรีภาพจึง เป็นรากฐานที่สำคัญของการปกครองในระบบประชาธิปไตย

103. วิถีชีวิตไทยพึงปฏิบัติคือข้อใด

1. การพนัน เสี่ยงโชค

2. ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์

3. รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขาด

4. เลียนแบบการบริโภค

ตอบ 3 (คำบรรยาย) วิถี ชีวิตที่คนไทยพึงปฏิบัติ คือ รักสงบและสันติ ไม่มีนิสัยก้าวร้าวเกะกะระรานผู้อื่นแต่เมื่อถึงคราวรบเพื่อชาติก็ควรสู่จน ใจขาดดิ้น ดังเช่นเนื้อหาในเพลงชาติไทยตอนหนึ่งที่ว่า “ไทยรี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่…”

104. คุณธรรมตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือข้อใด

1. ไม่ปิดประเทศ

2. ไม่ประมาท

3. ไม่ปฏิเสธทุนนิยม

4. ไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การ ดำเนินชีวิตตามหลักคุณธรรมในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการประพฤติตนที่ตั้ง อยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอดีความพอประมาณความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนมุ่งเน้นการใช้ความรอบรู้ ความรอบครอบและคุณธรรม ประกอบการวางแผนและการตัดสินใจกระทำการต่าง ๆ อย่างผู้มีปัญญาโดยไม่สร้างความเดือนร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น

105. ภูมิปัญญาการคมนาคมข้อใด ต่างจากพวก

1. การขุดคลอง

2. ตลาดน้ำ

3. เรือนแพในน้ำ

4. เกวียนเทียมด้วยวัวหรือควาย

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา ด้านการคมนาคมขนส่งของคนไทย จะเกี่ยวข้องกับเครื่องมือเครื่องใช้หรือยานพาหนะที่สอดคล้องกับสภาพท้อง ถิ่น เช่น การขุดคลองเพื่อโดยสารด้วยเรือพายเรือหางยาว , การปลูกเรือนแพในน้ำ , การใช้เกวียนเทียมด้วยวัวหรือควาย , การใช้หนวนที่เป็นเลื่อนสำหรับบรรทุกข้าวหรือสิ่งอื่น ๆ ไปตามทุ่งนา เป็นต้น

106. การกวน หมักดอง เป็นภูมิปัญญาตามข้อใด

1. การปลูกข้าว พืชผัก ผลไม้

2. การจับปลาในแม่น้ำลำคลอง

3. การถนอมอาหารทีเหลือจากการบริโภค

4. การนำพืชผักสมุนไพรมาประกอบอาหาร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา การถนอมอาหารที่เหลือจาการบริโภค เพื่อทำให้สามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้นาน และสามารถรับประทานได้ตลอดฤดูกาล โดยที่อาหารไม่บูดเน่าเสียหรือต้องทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำได้หลายวิธี เช่น การตากแห้ง การเชื่อมกวน การหมักดองการแช่อิ่ม การแช่แข็ง ฯลฯ

107. ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. ดอกแคต้องนำก้านเกสรออกก่อนปรุงอาหาร

2. สายบัวต้องลอกเปลี่ยนที่หุ้มออกก่อน

3. ดอกโสนต้องเก็บตอนเช้าจะรสหวาน

4. ขี้เหล็กต้องต้มเทน้ำทิ้งหลาย ๆ ครั้งก่อนปรุงอาหาร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการนำพืชผักสมุนไพรมาประกอบอาหารมีดังนี้

1. การนำดอกแคมาทำอาหาร ต้องเด็ดก้านเกสรสีเหลืองออกก่อนเพื่อทำให้ไม่มีรสขม

2. สายบัวที่นำมาใช้เป็นผักต้องลอกเอาเปลือกหุ้มออกแล้วเด็ดดอกบัวทิ้ง

3. ดอกโสนควรเก็บในช่วงเย็น เพราะจำทำให้ได้ดอกตูม น่ารับประทาน

4. ขี้เหล็ก จะมีดอกตูมและใบอ่อนที่มีรสขม จึงต้องต้มเทน้ำทิ้งหลายๆ ครั้งก่อนถึงจะนำมาปรุงเป็นอาหารได้ ฯลฯ

108. ข้อใดไม่ใช่สมุนไพรร้อน

1. ข่า

2. ผักกระเฉด

3. โหระพา

4. กระเทียม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) สมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย กะเพรา โหระพา กระเทียม มะกรูด พริก พริกไทย ฯลฯ ส่วนสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็นมีหลายชนิด ได้แก่ ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักชะอม ตำลึง บวบ ฟัก แตงต่าง ๆ ถั่วงอก หัวไซเท้า มังคุด ชมพู่ แตงโม แคนตาลูป สับปะรด ส้มโอ ส้มเช้ง กล้วยน้ำว้า ฯลฯ

109. ข้อใดไม่ใช่สมุนไพรเย็น

1. ชมพู่

2. ผักชะอม

3. มะกรูด

4. ตำลึง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

110. ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. กะเพรา – ขับลม

2. โหระพา – แก้ฟกซ้ำ

3. กระถิน – บำรุงไต

4. มะเขือพวง – ลดความดันโลหิต

ตอบ 3 หน้า 452 (คำบรรยาย) ตัวอย่างพืชสมันไรที่ใช้สรรพคุณทางยามีดังนี้

1. กะเพรา ช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ฯลฯ

2. โหระพา ใช้ต้มดื่มแก้วิงเวียน ช่อยย่อยอาหาร ใช้ตำพอกหรือประคบแก้ไขข้ออักเสบแผลฟกซ้ำจากการหกล้มหรือถูกกระทบกระแทก ฯลฯ

3. กระถิน ช่วยลดน้ำตาลในเลือด บำรุงตับ ถ่ายพยาธิ แก้โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ

4. มะเขือพวง ช่วยปรับระบบขับถ่ายให้สมดุล ช่วยเจริญอาหาร บำรุงธาตุ ช่วยลด คอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต ฯลฯ

111. สมุนไพรตามข้อใดมีธาตุเหล็ก

1. พริกขี้หนู

2. มะละกอสุก

3. หัวปลี

4 ตำลึง

ตอบ 4 หน้า 452 แร่ธาตุที่พบว่ามีในสมุนไพรมีดังนี้

1. ธาตุเหล็ก มีในดอกและใบขี้เหล็ก มะเขือพวง ตำลึง รำข้าว และงา

2. แคลเซียม มีในผักกระถิน ใบยอ มะเขือพวง ถั่ว งา และน้ำตาลทรายแดง

3. ฟอสฟอรัส มีในรำข้าว ข้าวโพด งาดำ ถั่วต่าง ๆ มะเขือพวง และผลไม้ต่าง ๆ

4. วิตามินซี มีในมะข้ามป้อม มะขามเทศ มะยม มะนาว ผักสีเขียว และส้ม

112. ภูมิปัญญาเกี่ยวกับสี ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. สีแดง – จากครั่ง

2. สีเหลือง – จากดอกทานตะวัน

3. สีดำ – จากการเผากาบมะพร้าว

4. สีม่วง – จากดอกอัญชัน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาเกี่ยวกับสีที่ได้จากธรรมชาติมีดังนี้ 1. สีแดง ได้จากครั่ง กระเจี๊ยบแดง ข้าวแดง หัวบีท ฯลฯ 2. สีเหลือง ได้จากขมิ้น ดอกคำฝอย หญ้าฝรั่น ฟักทองลูกตาลสุก ฯลฯ 3. สีดำ ได้จากการเผากะลาหรือกาบมะพร้าว ดอกดิน ฯลฯ 4. สีม่วง ได้จากอัญชัน ลูกผักปรัง ข้าวเหนียวดำ ฯลฯ 5. สีเขียว ได้จากใบเตย ย่านาง ฯลฯ

113. ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. รสฝาด – ขับเสมหะ

2. รสมัน – ปวดเมื่อย

3. รสขม – ร้อนใน

4.รสหอมเย็น – บำรุงหัวใจ

ตอบ 2 หน้า 452 (คำบรรยาย) รสของยามีสรรพคุณดังนี้ 1. รสฝาด มีสรรพคุณสำหรับสมานแผลทั้งภายนอกและภายใน ชะล้างบาดแผล แก้บิด ปิดธาตุ แก้ท้องร่วง ขับเสมหะ 2. รสมัน สรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงเส้นเอ็น บำรุงร่างกาย บำรุงไขข้อ ทำให้เกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย 3. รสขม มีสรรพคุณบำรุงโลหิต แก้โรคทางโลหิต โรคดี แก้โลหิตพิการ เจริญอาหาร แก้ร้อนในกระหายน้ำ 4. รสหอมเย็น มีสรรพคุณทำให้ชื่นใจ บำรุงหัวใจ บำรุงครรภ์ ฯลฯ

114. ข้อใดเป็นภูมิปัญญาการรักษาภายนอก

1. ยาดอง

2. ยาเป่า

3.ยาต้ม

4. ยาลูกกลอน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาการรักษาภายนอก หมายถึง ยาที่ใช้ภายนอกร่างกาย เพื่อหวังผลในการรักษาเฉพาะที่ ได้แก่ ยาทา (ยาน้ำ ครีม ขี้ผึ้ง) ยาหยอด ยาดม ยาชำระล้างบาดแผล ยาเป่าเข้าลำคอเพื่อรักษาอาการเจ็บคอ ฯลฯ ส่วนภูมิปัญญาการรักษาภายใน หมายถึง ยาที่ใช้ภายในร่างกาย เพื่อหวังผลในทางรักษาทั้งตัว ได้แก่ ยาดอง ยาต้ม นาลูกกลอน ยาฉีด ฯลฯ

115. วันสำคัญข้อใดไม่ถูกต้อง

1. วันเข้าพรรษา – ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8

2. วันเยาวชนแห่งชาติ – 20 กันยายน

3. วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ – 18 สิงหาคม

4. วันอนุรักษ์มรดกไทย – 2 เมษายน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) วันเข้าพรรษา ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์อธิษฐานว่าจะจำพรรษาอยู่ ณ ที่ ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูกาลเพาะปลุกตามอาชีพเกษตรกรรมของประชาชน ทั้งนี้เพื่อมิให้พระสงฆ์ต้องจาริกผ่านไร่นาและเหยียบย่ำพืชกล้าเสียหาย อันจะส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือนร้อน

116. คำขวัญข้อใดระบุจังหวัดไม่ถูกต้อง

1. ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน – ยะลา

2. เมืองชาละวัน แข่งเรือยาว – พิจิตร

3. แดนปราสาทขอม หอมกระเทียมดี – ศรีสะเกษ

4. เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ – สมุทรสาคร

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) คำขวัญประจำจังหวัดสมุทรสาคร คือ เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์ (ส่วนคำขวัญประจำจังหวัดสมุทรสงคราม คือ ดอนหอยหลอด ยอดลิ้นจี่มีอุทยาน ร.2 แม่กลองไหลผ่าน นมัสการหลวงพ่อบ้านแหลม)

117. นักศึกษาไม่พึงปฏิบัติตามข้อใด

1. พูดถึงชาติในลักษณะที่ยกย่อง

2. นั่งสำรวจไม่พูดคุยเสียงดังในศาสนาสถาน

3. ติเตียนเมื่อผู้อื่นทำผิด

4. ใช้รถใช้ถนนโดยเคารพกฎเกณฑ์

ตอบ 3 หน้า 186 – 187 (คำบรรยาย) สิ่ง ที่นักศึกษาพึงปฏิบัติเพื่อให้เป็นที่รักของบุคคลอื่น คือ เมื่อเห็นผู้อื่นทำสิ่งใดผิดพลาดไปบ้างทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเสียบ้างอย่าไปตำหนิติเตียนหรือเยาะเย้ยถากถาง เพราะทุกคนย่อมผิดพลาดได้แม้แต่ตัวเราเองจึงควรให้อภัย เปิดโอกาสให้เขาได้ลองใหม่ ทำใหม่ และถือว่าสิ่งที่ผิดพลาดนั้นเป็นบทเรียน

118. สื่อควรมีบทบาทด้านสิ่งแวดล้อมตามข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. รับรู้ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น

2. ตระหนักผลกระทบจากการทำลายสิ่งแวดล้อม

3. กดดันผู้นำนักธุรกิจร่วมรับผิดชอบ

4. เปิดโปงปัญหาช่วยเหลือสังคมมีข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) บทบาท ของสื่อด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุด คือ การพิทักษ์ปกป้องสิ่งแวดล้อมและผลประโยชน์ของชาติจากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ต่าง ๆ โดยการเปิดโปงประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้สังคมมี ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้สังคมไทยตื่นตัวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

119. ปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคตจากภาวะโลกร้อนคือข้อใด

1. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

2. พายุ อุทกภัย ภัยแล้งรุนแรงขึ้น

3. ผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ผู้คน

4. ปัญหาต่อแหล่งทรัพยากร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผล กระทบภาวะโลกร้อน นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเกิดการละลายของน้ำแข็ง ทั่วโลก ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น สภาวะอากาศแปรปรวน เกิดพายุ อุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงแล้ว ก็ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคต หากมนุษย์ยังไม่หยุดเพิ่มความร้อนให้กับโลกและปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างที่เป็นอยู่ คือ อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดระดับที่ผู้คนและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะอยู่รอดได้

120. ใช้ก๊าชธรรมชาติช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามข้อใด

1. การทำเกษตรแบบยั่งยืน

2. หยุดการทำลายป่าไม้

3. ปกป้องแหล่งน้ำของประเทศ

4. ใช้พลังงานสะอาด

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) การ นำก๊าซธรรมชาติมาใช้พลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง ถือเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด ไม่มีสีไม่มีกลิ่น และไม่มีพิษ จึง ไม่สร้างมลพิษให้กับสภาพแวดล้อม เพราะจากการศึกษาพบว่าเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจะมีระดับการปล่อยสาร พิษที่ต่ำและไม่ก่อให้เกิดฝุ่นละอองหรือเขม่าจากท่อไอเสีย

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดไม่ใช่วัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล (Biodiesel)

1. ปาล์ม

2. ถั่วลิสง

3. ดอกทานตะวัน

4. ดอกบัวตอง

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ไบโอดีเซล (Biodiesel) เป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันพืชและไขมันสัตว์ เช่น ปาล์ม สบู่ดำ มะพร้าว ทานตะวัน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดเรพ ละหุ่ง งา ฯลฯ และน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เช่น น้ำมันทอดไก่ แคบหมู ปาท่องโก๋ โรตี หรือกล้วยแขกนำมาทำปฏิกิริยาทางเคมี Transesterification ร่วมกับแอลกอฮอล์ จนเกิดเป็นสารเอสเตอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล

2. การประกอบอาชีพในข้อใดไม่สามารถนำวัตถุดิบเหลือใช้มาผลิตไบโอดีเซล

1. การขายกล้วยแขก

2. การขายไก่ทอด

3. การขายผลไม้ดอง

4. การขายโรตีทอด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3. ข้อใดไม่ใช่การปฏิบัติที่นำหลัก Reuse (นำสิ่งของมาดัดแปลงใช้ใหม่แบบอื่น)

1. นำขวดแก้วที่ใช้แล้วไปหมุนเวียนผลิตใหม่

2. นำขวดพลาสติกมาดัดแปลงเป็นกระถางต้นไม้

3. นำกระป๋องน้ำอัดลมมาดัดแปลงเป็นของเล่น

4. การใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนการใช้กระดาษทิชชู่

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) Reuse เป็น มาตรการลดปริมาณขยะโดยการใช้ซ้ำ ใช้วัสดุให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่จะทิ้งไป หรือนำสิ่งของมาดัดแปลงใช้ใหม่แบบอื่น เช่น การนำขวดพลาสติกมาดัดแปลงเป็นกระถามต้นไม้, การนำกระป๋องน้ำอัดลมมาดัดแปลงเป็นของเล่น, การใช้ผ้าเชิดหน้าแทนกระดาษทิชชู่ และการนำก๊าซธรรมชาติมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์ เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้อ 1 เป็นการลดปริมาณขยะด้วยวิธีการ Recycle)

4. ข้อใดเป็นพลังงานทดแทนที่เป็นพลังงานสิ้นเปลือง

1. พลังงานน้ำ

2. พลังงานลม

3. พลังงานชีวมวล

4. พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ

ตอบ 4 (ความ รู้ทั่วไป) พลังงานทดแทน หมายถึง พลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีใช้อยู่ในท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาด้านมลพิษและแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานในอนาคต ซึ่งสามารถแบ่งออกตามแหล่งที่ได้มาเป็น 2 ประเภท คือ

1. พลังงาน ทดแทนจากแหล่งที่ใช้แล้วหมดไป อาจเรียกว่า พลังงานสิ้นเปลือง ได้แก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินน้ำมัน และทรายน้ำมัน เป็นต้น

2. พลังงาน ทดแทนจากแห่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนนำมาใช้ได้อีก เรียกว่า พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ น้ำ และไฮโดรเจน เป็นต้น

5. ข้อใดไม่ใช่พลังงานทดแทนประเภทพลังงานหมุนเวียน

1. แสงอาทิตย์

2. ลม

3. ชีวมวล

4. หินน้ำมัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6. ข้อใดไม่ใช่หลักการ Recycle (หมุนเวียนผลิตใหม่)

1. นำเศษกระดาษเหลือใช้ไปขายโรงงาน

2. นำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดกลับมาใช้ใหม่

3. นำตะกั่ว ทองแดงที่ทิ้งแล้วมาหลอมเปลี่ยนสภาพ

4. การนำก๊าซธรรมชาติมาทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) Recycle เป็น มาตรการลดปริมาณขยะโดยการนำวัสดุที่ใช้แล้วแต่ยังสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ ใหม่ ได้แก่ ขวดแก้ว พลาสติก กระดาษ สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง เหล็ก ดีบุก น้ำเสีย ฯลฯ มาแปรรูปหรือหมุนเวียนผลิตใหม่โดยกรรมวิธีต่างๆ ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับขยะในเมืองใหญ่ได้ดีที่สุด เช่น การนำเศษกระดาษเหลือใช้ไปหมุนเวียนผลิตใหม่, การนำน้ำที่ใช้แล้วมาบำบัดกลับมาใช้ใหม่, การนำเศษเหล็ก ตะกั่ว และทองแดงที่ทิ้งแล้วมาหลอมเปลี่ยนสภาพ เป็นต้น (ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ)

7. วัสดุข้อใดไม่เหมาะกับการ Recycle (หมุนเวียนผลิตใหม่)

1. ขวดแก้ว

2. พลาสติก

3. กระดาษ

4. ไม้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

8. การปฏิบัติในข้อใดเป็นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ได้ผลมากที่สุด

1. การปลูกฝังจิตสำนึก

2. แสวงหาลู่ทางป้องกันภัยพิบัติจากธรรมชาติ

3. งดการนำเข้าของเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

4. แสวงหาแหล่งทรัพยากรใหม่จากเพื่อนบ้าน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ปัญหา ด้านสิ่งแวดล้อมนั้นส่วนใหญ่จะเกิดมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้นไม่ว่าจะ เป็นการตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาขยะมูลฝอย ปัญหามลพิษ ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เกิดมาจากการกระทำที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของความสมดุลพอดี รวมทั้งความเห็นแก่ตัวและขาดความรับผิดชอบของมนุษย์ ดังนั้นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ได้ผลและยั่งยืนที่สุดจึงต้องแก้ที่ พฤติกรรมของประชาชนในสังคมก่อนเป็นสำคัญ เช่น การให้การศึกษา และการปลูกฝังจิตสำนึก เป็นต้น

9. ข้อใดเป็นประโยชน์จากการใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเราน้อยที่สุด

1. ทำให้ลดความกังวลใจลง

2. น้อมจิตไปสู่สมาธิและสร้างปัญญา

3. มองธรรมชาติรื่นรมย์ ทำให้จิตสงบ

4. เป็นแหล่งทรัพยากรที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการดำรงชีพ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ประโยชน์ จากการใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือพัฒนาตนเอง ได้แก่ ทำให้มนุษย์มองธรรมชาติอย่างรื่นรมย์ ช่วยลดความกังวลใจ ความคับข้องใจ และความไม่สบายใจต่างๆ จนส่งผลให้จิตของมนุษย์เกิดความสงบเยือกเย็น มีสมาธิ และเกิดปัญญาในการคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ

10. การที่ผู้ประกอบการโรงแรมและการท่องเที่ยวไม่ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลอง แสดงว่ามีคุณธรรมข้อใดมากที่สุด

1. จาคะ

2. ขันติ

3. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

4. คืนกำไรให้สังคม

ตอบ 3 การ กระทำดังกล่าวแสดงว่าผู้ประกอบการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ ส่วนตัวเพราะในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นจะเอาแต่ข้างตนเองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ถ้าเอาแต่ส่วนตัวแล้วคนอื่นเดือดร้อนก็ไม่ควรอย่างยิ่ง

11. ข้อใดไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการไม่ทิ้งเศษเหล็กเหลือใช้

1. เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

2. เพื่อแปรสภาพสำหรับการใช้ประโยชน์ใหม่

3. เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

4. นำไปสร้างปะการังเทียม

ตอบ 4 หน้า 464, (คำบรรยาย) การ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ โดยใช้อย่างประหยัดและไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมีการพัฒนาปรับปรุงและบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เสื่อมโทรม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดคือการมีทรัพยากรไว้ใช้นานๆ ดังนั้นการอนุรักษ์จึงไม่ได้หมายถึงการเก็บรักษาเอาไว้เฉยๆ หรือการไม่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ (ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ)

12. การปฏิบัติในข้อใดประหยัดไฟน้อยที่สุด

1. ไม่ควรใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังน้อย

2. ลดความร้อนในห้องโดยการติดตั้งม่าน มู่ลี่

3. ตั้งอุณหภูมิห้องปกติที่ 25º C

4. ไม่ควรนำเครื่องถ่ายเอกสารไว้ในห้องปรับอากาศ

ตอบ 1 หน้า 470 – 471, (คำบรรยาย) วิธีปฏิบัติเพื่อประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อนมีดังนี้

1. ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีกำลังวัตต์ต่ำและมีฉลากประหยัดไฟเบอร์ห้า

2. ปลูกต้นไม้ใหญ่ในบริเวณบ้านเพื่อบังแสงแดด

3. ใช้แสงธรรมชาติช่วยในตัวอาคารเพื่อให้มีแสงสว่าง

4. ลดความร้อนในห้องด้วยการติดตั้งม่านหรือมู่ลี่

5. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25º C

6. ไม่ควรนำอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดความร้อน เช่น เตารีด เตาไฟฟ้า เครื่องถ่ายเอกสาร ตู้เย็น ฯลฯ มาไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ

7. หมั่นดูแลทำความสะอาดหลอดไฟฟ้าไม่ให้มีฝุ่นเกาะ

8. ไม่ควรเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้และให้ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน

9. ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

10. ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก หรือใช้ถุงพลาสติกซ้ำเพื่อลดปริมาณขยะ

11. ลดการใช้รถยนต์ด้วยการใช้วิธี Car Pool คือ นั่งรถไปด้วยกัน หรือใช้วิธีเดิน ขี่จักรยาน ขึ้นรถประจำทาง ฯลฯ

13. การปฏิบัติในข้อใดช่วยลดภาวะโลกร้อนได้น้อยที่สุด

1. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟฟ้าไม่ให้มีฝุ่นเกาะ

2. ควรเสียบปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทิ้งไว้เมื่อเลิกใช้งาน

3. ใช้แสงธรรมชาติช่วยในตัวอาคารเพื่อให้มีแสงสว่าง

4. ตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14. การปฏิบัติในข้อใดประหยัดน้ำมันน้อยที่สุด

1. ไม่ควรบรรทุกของในรถมากเกินไป

2. ไม่ควรติดฟิล์มกรองแสงป้องกันความร้อน

3. ควรตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง

4. ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ควรเปิดเครื่องปรับอากาศพร้อมกับสตาร์ทเครื่อง

ตอบ 2 หน้า 471-472, 478-479, (คำบรรยาย) ข้อปฏิบัติในการประหยัดน้ำมันมีดังนี้

1. ขับรถไม่เกิน 90 กม./ชม.

2. เติมลมยางให้พอดีและตรวจเช็คลมยางสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

3. ตรวจสอบทำความสะอาดไส้กรองอากาศเป็นประจำทุก 2,500 กม.

4. ติดตั้งฟิล์มกรองแสงเพื่อป้องกันความร้อน

5. ไม่บรรทุกของหนักเกินไป

6. ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ควรปิดเครื่องปรับอากาศและไฟหน้าเพราะจะทำให้ประหยัดน้ำมัน

7. อย่าสตาร์ทเครื่องยนต์ไว้เฉยๆ ขณะจอดคอย เพราะจนทำให้รถหนักและสิ้นเปลืองน้ำมัน

8. ใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อ จะช่วยประหยัดน้ำมันมากกว่ารถยนต์ขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ฯลฯ

15. การปฏิบัติในข้อใดประหยัดน้ำมันมากที่สุด

1. ควรตรวจสอบทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุก 2,500 กม.

2. เมื่อติดเครื่องยนต์ ควรอุ่นเครื่องยนต์ก่อนออกตัวทุกครั้ง

3. ควรขับรถยนต์แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แทนขับเคลื่อน 2 ล้อ

4. ควรขับรถยนต์ด้วยความเร็ว 120 กม./ชั่วโมง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. ข้อใดตรงกับความหมายของสัมมาอาชีวะมากที่สุด

1. การทำมาหาเลี้ยงชีพโดยฉ้อโกง

2. การทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต

3. การประกอบอาชีพด้วยความเมตตา

4. การประกอบอาชีพอย่างขาดสติ

ตอบ 2 หน้า 351, 409, 675, (คำบรรยาย) สัมมา อาชีวะ (เลียงชีพชอบ) หมายถึง เว้นจากมิจฉาอาชีวะ (อาชีพที่ผิด) หรือการประกอบอาชีพที่ถูกต้อง เลี้ยงชีพโดยสุจริต หรือสำเร็จชีวิตด้วยอาชีพที่ชอบด้วยกฎหมายและธรรมะ คือ ไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดศีลธรรม ไม่ประกอบอาชีพที่เบียดเบียนก่อความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ชีวิตอื่น สังคม หรือที่จะทำให้ชีวิต จิตใจ และสังคมเสื่อมโทรม ตกต่ำ ซึ่งตรงกับพุทธภาษิตที่ว่า “ธมฺเมน วิตฺตเมเสยฺย” (บุคคลพึงหาเลี้ยงชีพโดยทางชอบธรรม)

17. การเก็บสิ่งของที่ไม่ใช่ของตนส่งคืนเจ้าของ จัดเป็นคุณธรรมข้อใด

1. อโลภะ

2. อโทสะ

3. อโมหะ

4. มิจฉาทิฐิ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) กุสลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือต้นตอของความดีทั้งปวง ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ตรงกันข้ามกับอกุศลมูล มี 3 ประการดังนี้

1. อโล ภะ (ความไม่ยากได้) คือ ความเป็นผู้ไม่มีความทะยานอยาก ไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน เป็นผู้ที่มีสติระลึกรู้ตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดๆ ก็มีแต่ความยินดีและพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่เท่านั้น

2. อโทสะ (ความไม่คิดประทุษร้าย) คือ ความไม่โกรธ ไม่ผูกพยาบาท ใช้ปัญญาในการประกอบการตัดสินใจต่างๆ

3. อโมหะ (ความไม่หลง) คือ ความไม่หลงงมงาย ไม่มัวเมาในอบายมุข ไม่ประมาทอันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง ให้เป็นผู้มีสติปัญญามั่นคง ใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองโดยยึดหลักเหตุผล

18. การปฏิบัติในข้อใดช่วยลดภาวะโลกร้อนได้น้อยที่สุด

1. ควรปลูกต้นไม้ใหญ่ในบริเวณบ้าน

2. ควรใช้วิธี Car Pool (นั่งไปทำงานด้วยกัน)

3. ควรทิ้งถุงพลาสติกที่ใช้แล้วไม่ควรใช้ซ้ำ

4. ควรถอดปลั๊กที่ชาร์ทแบตมือถือเมื่อมีไฟเต็มแล้ว

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

19. ข้อใดไม่ใช่การอนุรักษ์แบบยั่งยืน

1. ไม่นำทรัพยากรมาใช้ควรเก็บไว้

2. การใช้ทรัพยากรให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด

3. การใช้ทรัพยากรกอย่างเหมาะสมให้ได้ประโยชน์สูงสุด

4. การนำของเสียมาใช้ประโยชน์ (Recycle) เพื่อให้มลพิษน้อยลง

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน (Sustainable Utilization) หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด เมื่อใช้แล้วเกิดมลพิษน้อยที่สุดหรือไม่เกิดเลย หรือเมื่อเกิดของเสียและมลพิษในสิ่งแวดล้อมแล้วก็ต้องหาวิธีบำบัดกำจัด ให้ฟื้นคืนสภาพและนำของเสียมาใช้ประโยชน์หรือรีไซเคิล (Recycle) เพื่อให้มลพิษในสิ่งแวดล้อมลดน้อยลง ซึ่งส่งผลให้เกิดการใช้อย่างยั่งยืนและอย่างมีประสิทธิภาพ

20. การสร้างที่อยู่อาศัยให้สิ่งมีชีวิตในทะเลจากยางรถยนต์ จัดเป็นการอนุรักษ์ในลักษณะใด

1. ฟื้นฟู

2. ป้องกัน

3. ซ่อมแซม

4. กักเก็บ

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบการฟื้นฟู (Rehabilitation) หมายถึงการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรมเพื่อให้อยู่ในสภาพปกติ ซึ่งอาจใช้เวลามากหรือน้อยแล้วแต่สภาพที่เสื่อมโทรม เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อีกและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเสริมสร้างที่อยู่อาศัยให้สิ่งมีชีวิตในทะเลด้วยการสร้างแนวปะการังเทียม จากแท่งคอนกรีตหรือยางรถยนต์ และการปลูกป่า เป็นต้น

21. วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศกรีซ หรือประเทศอื่นๆ จะไม่เกิดหรือไม่รุนแรง หากรัฐบาลประเทศนั้นๆ บริหารประเทศตามข้อใด

1. เศรษฐกิจฟองสบู่

2. เศรษฐกิจพอเพียง

3. เศรษฐกิจแบบทุนนิยม

4. เศรษฐกิจแบบชาตินิยม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การ ดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่ตั้ง อยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอดี ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนมุ่งเน้นการใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนและการตัดสินใจกระทำการต่างๆ อย่างผู้มีปัญญา โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้มีเป้าหมายที่สำคัญ คือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน

22. คำอธิบายในข้อใดไม่ใช่การดำเนินธุรกิจแบบ “ได้ประโยชน์ตนไม่เสียประโยชน์ท่าน”

1. แสวงหากำไรสูงสุด

2. ได้กำไรดีแต่ไม่หน้าเลือด

3. โรงงานนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

4. บริษัทของเราเสียภาษีมากอยู่ลำดับต้นๆ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ใน การทำกิจการใดๆ บุคคลพึงตระหนักว่าตัวเรา คนอื่น และที่สำคัญคือส่วนรวมได้ประโยชน์จากการกระทำนั้นหรือไม่ ซึ่งการสร้างประโยชน์ของบุคคลแบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1. ประโยชน์ตน คือ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง 2. ประโยชน์ท่าน คือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่น 3. ประโยชน์ร่วมกัน คือ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง

23. สำนวนไทยในข้อใดเตือนใจเรื่อง การประสานประโยชน์อยู่ร่วมกันได้อย่างดี

1. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

2. ตำข้าวสารกรอกหม้อ

3. มือใครยาว สาวได้สาวเอา

4. ผ่อนสั้นผ่อนยาว

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สำนวน ไทยที่ว่า “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” หมายถึง รู้จักประนีประนอมในปัญหาต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน ผ่อนปรนหรืออะลุ่มอล่วยกัน และสามารถประสานประโยชน์อยู่ร่วมกันได้อย่างดี (ส่วน “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หมายถึง ไม่ว่าจะการใดๆ ควรคิดทำด้วยตนเอง, “ตำข้าวสารกรอกหม้อ” หมายถึง หาเพียงแค่พอกินไปมื้อหนึ่งๆ, “มือใครยาว สาวได้สาวเอา” หมายถึงสภาพสังคมที่ไร้กฎเกณฑ์ ปล่อยให้คนทำตามอำเภอใจ ใครดีใครได้)

24. จากสัปปุริสธรรม 7 ข้อ “รู้บุคคล รู้ชุมชน” จะใกล้เคียงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องใด

1. พอประมาณ

2. มีเหตุผล

3. มีภูมิคุ้มกัน

4. มีคุณธรรม

ตอบ 2 หน้า 185-186, 256, (คำบรรยาย) จาก หลักสัปปุริสธรรมข้อ “ปริสัญญุตา” (รู้จักชุมชนว่า ควรประพฤติตนในชุมชนนั้นอย่างไร) และ “บุคคลัญญุตา” (รู้จักบุคคลในความแตกต่างและปฏิบัติต่อบุคคลอื่นตามสถานะ) จะใกล้เคียงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่อง “ความมีเหตุมีผล” คือ รู้จักพิจารณาเหตุและผลที่ตามมา ซึ่งการตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจาก การกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถปรับตัวเองได้อย่างมีคุณภาพ

25. คำพูดในข้อใด คือเหตุผลของคนพอเพียง

1. ใครๆ เขาก็มีกัน

2. ไม่มีก็อายเขาตาย

3. ราคาพอเหมาะ แบบเรียบ ใช้ได้นาน

4. อยากได้กำลังอินเทรนด์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 24. ประกอบ

26. “ดาราเปิดร้านเสริมสวยและสปา เพราะเห็นคนอื่นเขาทำแล้วประสบความสำเร็จ แต่เธอเสริมสวยไม่เป็น” การกระทำนี้บกพร่องในเรื่องใด

1. ความพอประมาณ

2. เงื่อนไขด้านความรู้

3. เงื่อนไขด้านคุณธรรม

4. เงื่อนไขการดำเนินชีวิต

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ตาม แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “เงื่อนไขด้านความรู้” ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณา ให้เชื่อมโยงกันเพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ

27. ครอบครัวใดมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

1. ทุกวันอาทิตย์พี่น้องจะมาทานข้าวร่วมกันที่บ้านแม่

2. พ่อจะพาครอบครัวไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์

3. เด็กชายเก็บเงินได้หลายหมื่น แจ้งตำรวจหาเจ้าของ

4. ชายหนุ่มยิงคู่กรณี สาเหตุขับรถปาดหน้ากัน

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ระบบภูมิคุ้มกันด้านสังคมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้

1. ลักษณะ ภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง ได้แก่ การรู้รักสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกัน การมีคุณธรรม หรือใฝ่ในศาสนธรรม สังคมสีขาว อยู่เย็นเป็นสุข และการมีทุนทางสังคมสู’

2. ลักษณะ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ การระแวงและทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่างคนต่างอยู่ทุศีลหรือห่างไกลศีลธรรม เป็นเหยื่อแห่งอบายมุขทั้งปวง อยู่ร้อนนอนทุกข์ และการมีทุนทางสังคมต่ำ

28. ใครมีความพอประมาณในการใช้เวลา

1. เนียงเตรียมการสอนทั้งคืนแทบไม่ได้นอน

2. นุกไปเที่ยวกับเพื่อน กลับบ้านเกือบตีสอง

3. นุ่นเรียนกวดวิชาทุกวันจนเครียดหนัก

4. โหน่งจะเล่นกีตาร์หลังจากอ่านหนังสือเสมอ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “ความพอประมาณ” มีความหมายดังนี้

1. ความพอเหมาะพอดีแก่ประโยชน์ของตน ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

2. พอควรแก่อัตภาพ ไม่ทำอะไรเกินฐานะของตน

3. ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

29. ชุมชนใดขาดภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อม

1. ชาวบ้านช่วยกันรักษาป่าและแหล่งต้นน้ำ

2. ชาวบ้านจัดเวรยามตรวจระวังไฟป่า

3. ที่ว่างกลางซอยกลายเป็นที่ทิ้งขยะของชาวบ้าน

4. ครูพานักเรียนสำรวจแหล่งน้ำของหมู่บ้าน

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ระบบภูมิคุ้มกันด้านสิ่งแวดล้อมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้

1. ภูมิ คุ้มกันเข้มแข็ง ได้แก่ มีความรู้สำนึกและหวงแหนในสิ่งแวดล้อม มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจากฝ่ายบริหาร สร้างสุขนิสัย สะอาดเป็นระเบียบ และอยู่กับธรรมชาติ

2. ภูมิคุ้มกันบกพร่องได้แก่ ขาดความรู้และขาดสำนึก ขาดนโยบาย-ผู้บริหารไม่สนใจเต็มไปด้วยทุกขนิสัย สกปรกขาดระเบียบ และทำลายธรรมชาติ

30. การบริหารงานบุคคลในข้อใดไม่ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง

1. ใช้คนให้ตรงกับงาน

2. มีสิ่งจูงใจในการทำงาน

3. คัดเลือกบุคลากรที่สามารถ

4. มอบตำแหน่งให้กับผู้ใกล้ชิด

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การบริหารงานบุคคลตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1. การสรรหา คือ ผู้ที่ดำเนินการสรรหาจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม โดยคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถจริงๆ เข้ามาทำงาน 2. การพัฒนา คือ ให้พัฒนาบุคลากรตามความจำเป็นและควรมีการศึกษาถึงความต้องการในการพัฒนาก่อน 3. การรักษาไว้ คือ การให้สิ่งจูงใจในการทำงาน การให้สิทธิประโยชน์และให้หลักประกันที่มั่นคงในการทำงาน 4. การใช้ประโยชน์ คือ การแต่งตั้งบุคคลให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้คนให้ตรงกับงาน

31. ข้อใดคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างสังคมให้เจริญก้าวหน้า

1. ครอบครัว

2. วัด

3. โรงเรียน

4. รัฐบาล

ตอบ 1 (คำบรรยาย) จุด เริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการสร้างสังคมให้เจริญก้าวหน้าจะต้องเริ่มที่ครอบ ครัวเป็นอันดับแรก เพราะหากคนในครอบครัวอบอุ่น รักใคร่สามัคคี ปรองดองกัน ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ก็จะเป็นรากฐานทำให้สังคมและประเทศชาติเจริญก้าวหน้าและเกิดความสงบสุขอย่าง แท้จริงและยั่งยืน

32. “ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ใครทำสิ่งใดย่อมได้รับผลตามการกระทำนั้นๆ” ความเชื่อของฉันตรงกับมรรค 8 ในข้อใด

1. ความเห็นถูกต้อง

2. การตั้งสติถูกต้อง

3. ความพยายามถูกต้อง

4. มีสมาธิตั้งมั่นถูกต้อง

ตอบ 1 หน้า 351, 674-675, 77 (H) มรรค 8 หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มีดังนี้

1. สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) คือ มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เห็นในอริยสัจ 4 หรือเห็นผลตามความเป็นจริง

2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) คือ คิดออกจากสิ่งที่ผูกพันให้เป็นทุกข์

3. 3. สัมมาวาจา (วาจาชอบ) คือ เว้นจากการฆ่า การทรมาน การลักขโมย และการประพฤติผิดในกาม

4. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) คือ เว้นจากการฆ่า การทรมาน การลักขโมย และการประพฤติผิดในกาม

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีวิตชอบ) คือ การประกอบอาชีพสุจริต

6. สัมมา วายามะ (เพียรพยายามชอบ) คือ เพียงระวังบาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อมแต่ให้เจริญยิ่งขึ้น

7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) คือ ระลึกไปในที่ตั้งของสติที่ดีทั้งหลาย

8. สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) คือ ทำใจให้เป็นสมาธิ มีสมาธิตั้งมั่นถูกต้อง

33. การกระทำในข้อใดเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดิน

1. จับสัตว์ป่าสงวนไปขาย

2. ปลูกบ้านล้ำลงไปในคลอง

3. เทขยะลงแม่น้ำลำคลอง

4. แจ้งเบาะแสคนร้ายแก่ทางราชการ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การตอบ แทนบุญคุณแผ่นดิน คือ การประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี เป็นสถาบันที่ดีเป็นองค์กรที่ดี และเป็นตัวอย่างที่ดี โดยมุ่งกระทำแต่ความดีเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เช่น หยุดการกระทำทุกอย่างที่เป็นการทำลายหรือทำร้ายธรรมชาติและสัตว์ป่า หรือการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีและให้ความร่วมมือกับทางราชการ เป็นต้น

34. ข้อใดคือผลเสียที่เกิดจากการประมาทในปัญญาความรู้ของตนเอง

1. เป็นคนหยิ่งผยอง

2. มีความคิดคับแคบ

3. ไม่มั่นใจในตนเอง

4. ขาดการสนับสนุนจากคนอื่น

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผู้ ที่ประมาทในปัญญาความรู้ความสามารถของตนเองว่าทำไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ จึงประเมินคุณค่าของตัวเองต่ำกว่าความเป็นจริงไม่มีความมั่นใจในตนเอง และมักคิดอยู่เสมอว่าตนเองไม่ใช่คนที่สำคัญที่สุด

35. นักศึกษาอยากได้เกรด G จึงตั้งใจจะอ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้ทำตามที่ตั้งใจ ผลคือ ไม่ได้ G สาเหตุที่ทำให้นักศึกษาไม่ได้ G คืออะไร

1. ขาดความต่อเนื่องในการเรียน

2. ขาดศรัทธาในการเรียน

3. ไม่จริงใจต่อตัวเอง

4. ไม่เชื่อมั่นในตนเอง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) กุศลบายในการปฏิบัติงานหรือกิจการต่างๆ ให้ได้ผลดีมีอยู่ 5 ประการ คือ

1. สร้าง ศรัทธาความเชื่อถือในงานที่ทำ โดยเริ่มต้นที่ใจ ความศรัทธาจึงถือเป็นคุณธรรมที่ต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อใจศรัทธาแล้วจะเกิดฉันทะ (พอใจจะทำ)

2. ไม่ประมาทในปัญญาความรู้ความสามารถของตนเองและผู้อื่น

3. รักษาความจริงใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

4. กำจัดจิตใจที่ต่ำทราม รวมทั้งสร้างเสริมความคิดจิตใจที่สะอาดและเข้มแข็ง

5. รู้จักสงบใจ

36. “ใน กระจกเงา ฉันเห็น…ฉัน ดูเหมือนฉันทุกอย่าง แต่มือขวาของฉัน ไม่ใช่มือขวาของเขา หัวใจข้างซ้ายของฉันกลับอยู่ข้างขวาของเขา เรากับเงายังไม่เหมือนกัน แล้วจะหวังอะไรกับคนอื่นให้เหมือนเรา” ข้อความนี้ไม่ได้เตือนเราในเรื่องใด

1. ตนเป็นที่พึ่งของตน

2. ความไม่ยึดมั่นถือมั่น

3. ความคาดหวังในบุคคลอื่น

4. ความอดทนในทุกสถานการณ์

ตอบ 2 (คำบรรยาย) กุศลบายในการปฏิบัติงานหรือกิจการต่างๆ ให้ได้ผลดีมีอยู่ 5 ประการ คือ

1. สร้าง ศรัทธาความเชื่อถือในงานที่ทำ โดยเริ่มต้นที่ใจ ความศรัทธาจึงถือเป็นคุณธรรมที่ต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อใจศรัทธาแล้วจะเกิดฉันทะ (พอใจจะทำ)

2. ไม่ประมาทในปัญญาความรู้ความสามารถของตนเองและผู้อื่น

3. รักษาความจริงใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

4. กำจัดจิตใจที่ต่ำทราม รวมทั้งสร้างเสริมความคิดจิตใจที่สะอาดและเข้มแข็ง

5. รู้จักสงบใจ

37. คำกล่าวในข้อใดแสดงว่าเป็นผู้ที่ประหยัด

1. กินครึ่งเททิ้งครึ่ง

2. กินเท่าที่มี มีเท่าที่จะกิน

3. มีสลึงกินบาท

4. กินล้างผลาญ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) คำ ว่า “ประหยัด” หมายถึง การใช้ในสิ่งที่จำเป็นและใช้อย่างคุ้มค่า โดยสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ควรเก็บออมเอาไว้ ดังคำกล่าวที่ว่า “กินเท่าที่มี มีเท่าที่จะกิน” (กินในสิ่งที่มีอยู่หรือมีเพียงพอกับที่จำเป็นต้องกิน) ดังนั้นคำว่า “ประหยัด” จึงอยู่ตรงกลางระหว่างคำว่า “ตระหนี่ถี่เหนียว” (ไม่ใช้แม้จะเป็นสิ่งจำเป็น) กับคำว่า “สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย” (ใช้จนไม่เหลือหรือใช้โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็น)

38. ระบบอะไรที่กำลังทำร้ายคนไทยและเป็นต้นตอความหายนะของโลก

1. บริโภคนิยม

2. สังคมนิยม

3. ประชานิยม

4. ธรรมนิยม

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ลัทธิ บริโภคนิยม หมายถึง การนิยมบริโภคสิ่งต่างๆ ฟุ่มเฟือยเกินความต้องการที่จำเป็นในชีวิต และเกินกว่าฐานะรายได้หรือความสามารถในการผลิตของคนหรือของประเทศซึ่งถือ เป็นระบบที่ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทย หรือเศรษฐกิจฟองสบู่ และเป็นต้นตอแห่งความหายนะทางด้านเศรษฐกิจของโลก

39. “การฝึกตนเป็นคุณสมบัติของบัณฑิต” การประพฤติตนตามคำกล่าวนี้จะเกิดผลตามข้อใด

1. จะเป็นคนขวางโลก 2. จะเป็นคนหลงตน มองแต่ตนเอง

3. จะมีสติ ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา 4. จะมีสุขภาพดี แข็งแรง อายุยืน

ตอบ 3 (คำบรรยาย) “บัณฑิต ย่อมฝึกตน” หมายความว่า คนดีหรือคนมีปัญญาย่อมฝึกตน คือ อบรมตนให้เป็นคนดี โดยพยายามศึกษาให้รู้ว่าความดีและความชั่วเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีความดี แล้วก็ไม่ประมาทตั้งใจทำความดี โดยใช้สติและปัญญาแก้ไขปัญหาเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้ถูกต้องและอยู่ใน สังคมได้อย่างมีความสุข เป็นพลเมืองดี และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

40. “ดอกบัวเกิดมาจากโคลนตม แต่เมื่อพ้นจากโคลนตมก็จะชูดอกสวยสง่างาม” การกระทำในข้อใด ตรงข้ามกับข้อความนี้

1. ลูกพนักงานเก็บขยะรับปริญญา

2. ทั้งคู่กล่าวว่าที่ขโมยเพราะยากจน

3. เมื่อเลิกเล่นพนันแล้ว เขาก็ตั้งใจประกอบอาชีพสุจริต

4. เธอตัดสินใจเข้ารับการบำบัดยาเสพติด

ตอบ 2 (คำบรรยาย) พุทธศาสนาได้เปรียบเทียบสติปัญญาที่แตกต่างกันของมนุษย์ไว้กับดอกบัว 4 เหล่า คือ

1. ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำพร้อมที่จะบาน เปรียบได้กับคนที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง

2. ดอกบัวที่กำลังโผล่พ้นน้ำ เปรียบได้กับคนที่ฉลาดปานกลาง ซึ่งต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนมากกว่าพวกแรก

3. ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำเปรียบได้กับคนที่ฉลาดน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนมาก แต่ก็สามารถพัฒนาให้มีความรู้ได้

4. ดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม เปรียบได้กับคนที่มีสติปัญญาโง่ทึบ ซึ่งบางทีก็ไม่สามารถพัฒนาตนและไม่สามารถแยกแยะสิ่งถูกผิดได้

41. “การใช้เงินเป็นเบี้ย” แสดงค่านิยมในเรื่องใด

1. รักพวกพ้อง

2. ความเอื้ออาทร

3. ความสุรุ่ยสุร่าย

4. ความโอบอ้อมอารี

ตอบ 3 (คำบรรยาย) สำนวน ที่ว่า “การใช้เงินเป็นเบี้ย” หมายถึง ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่รู้จักคุณค่าของเงิน อันเป็นค่านิยมที่ไม่ดีของสังคมไทยซึ่งควรปรับเปลี่ยนแก้ไขให้เลิกทำตัว หรูหราฟุ่มเฟือยแต่ให้คิดก่อนที่จะใช้เงินจับจ่ายซื้อของ

42. ข้อใดหมายถึงความกตัญญู

1. ทำบุญให้บุพการีที่ล่วงลับ

2. เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ทุกอย่าง

3. รู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตน

4. ยกย่องสรรเสริญผู้ที่ตนรักเคารพ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ หรือรู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตนเป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น ซึ่งบุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกัน แต่หมายถึงการระลึกถึงผู้มีบุญคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่งและตอบ แทนพระคุณด้วยการดูแลเอาใจใส่ทั้งทางร่างกายและจิตใจซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติ มีจิตใจที่ชุ่มชื่น มีความสุขใจในการกระทำ ทั้งนี้การแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณนั้นควรกระทำทุกเวลา ไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทำ

43. การช่วยเหลือวิธีใด เป็นการช่วยเหลือแบบยั่งยืน

1. ให้เงิน

2. แจกสิ่งของ

3. เลี้ยงดู

4. ให้โอกาส

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การ ช่วยเหลือแบบยั่งยืน คือ การช่วยให้คนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น การช่วยให้เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ทักษะหรือฝึกอาชีพ ให้โอกาสทำงานหรือให้โอกาสแสดงความสามารถ เป็นต้น

44. ข้อใดเป็นการแสดงความเคารพครู-อาจารย์

1. ประนมมือระหว่างอก แล้วยกขึ้นให้ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว

2. ประนมมือแล้วยกขึ้น ให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ค้อมหรือย่อตัวลง

3. ประนมมือแล้วยกขึ้น ให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ค้อมหรือย่อตัวลง

4. ประนมมือแล้วยกขึ้น ให้ปลายนิ้วชี้จรดปลายจมูก ค้อมหรือย่อตัวลง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การไหว้ตามประเพณีไทยมี 4 ลักษณะ ดังนี้

1. การไหว้ผู้มีฐานะเสมอกันหรือรับไหว้ ผู้ไหว้จะประนมมือกลางอก ปลายนิ้วตั้งตรงขึ้นเบื้องบน โดยอาจก้มหน้าลงเล็กน้อย

2. การไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงปลายสันจมูก แล้วก้มหน้าลง

3. การ ไหว้บิดามารดา ครู-อาจารย์ หรือผู้เป็นที่เคารพยิ่ง ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง

4. การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดตีนผมแนบหน้าผาก พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง

45. พฤติกรรมใดควรปฏิบัติ

1. ปิดปากขณะไอ จาม หรือหาว

2. พูดขณะอาหารเต็มปาก

3. นำบุรุษไปรู้จักสตรี

4. เอาช้อนของตนตักอาหารให้ผู้อื่น

ตอบ 1 หน้า 621-623, (คำบรรยาย) มารยาทในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ได้แก่

1. ไม่คนอาหารเพื่อเลือกแต่ของที่ตนชอบ

2. ไม่พูดหรือหัวเราะขณะอาหารเต็มปาก เพราะถือเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ เนื่องจากอาหารอาจจะกระเด็นออกจากปากไปถูกผู้อื่นได้

3. ใช้ ช้อนกลางตักอาหาร ไม่ใช้เครื่องใช้ที่เป็นส่วนของตนเองตักอาหารซึ่งเป็นของกลางเป็นอันขาด ทั้งนี้ประโยชน์จากการใช้ช้อนกลางก็คือ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ

4. หากจะไอหรือจามควรใช้มือหรือผ้าปิดปาก แล้วก้มหน้าลงเพื่อป้องกันการกระจายของโรค

5. ไม่บ้วนขากเสียงดังหรือเปรอะเปื้อน แต่ถ้าจำเป็นก็ควรทำให้มิดชิดเพื่อมิให้เป็นการแพร่เชื้อโรค ฯลฯ

46. เพราะเหตุใดจึงจำเป็นต้องพูดจาและแสดงกิริยาให้สุภาพ

1. เพื่อแสดงความเป็นผู้ดี

2. เพื่อแสดงว่าเป็นผู้มีการศึกษา

3. แสดงว่าได้รับการอบรม

4. แสดงว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรม

ตอบ 4 หน้า 420, (คำบรรยาย) วัฒนธรรม หมายถึง วิถีชีวิตร่วมกันของคนในสังคม เป็นแบบแผนการประพฤติ ปฏิบัติ และการแสดงออกซึ่งความรู้สึกนึกคิดในสถานการณ์ต่างๆ ที่สมาชิกในสังคมเดียวกันเข้าใจ ซาบซึ้ง ยอมรับ และใช้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมนั้น หรือหมายถึงสิ่งที่แสดงความเจริญงอกงามทางด้านจิตใจและวัตถุ ศีลธรรมความเป็นระเบียบแบบแผนร่วมกันในการดำเนินชีวิต รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าของประเทศและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน

47. เพราะเหตุใดจึงจำเป็นต้องอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีไทย

1. วัฒนธรรมต่างประเทศแพร่หลาย

2. เผยแพร่ความเป็นไทยให้เจริญก้าวหน้า

3. รักษาเอกลักษณ์ของสังคมไทย

4. คนไทยหันไปชื่นชมวัฒนธรรมตะวันตก

ตอบ 3 หน้า 422, (คำบรรยาย) เรา ต้องยอมรับว่าวัฒนธรรมของต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามาในสังคมไทยหลายอย่าง ช่วยเกื้อกูลให้สังคมไทยเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ แต่ในขณะที่เรากำลังชื่นชมวัฒนธรรมต่างชาติอยู่นั้น เราก็จำเป็นต้องอนุรักษ์วัฒนธรรมและประเพณีของไทยเราด้วยเพื่อรักษา เอกลักษณ์อันดีงามของสังคมไทยไม่ให้ต้องถูกกลืนหายไป

48. ข้อใดเป็นมารยาทในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์

1. รีบตักอาหารเฉพาะที่ตนจะรับประทาน

2. เลือกตักอาหารที่ตนชอบเอาไว้มากๆ

3. ตักอาหารไว้เผื่อเพื่อนที่ไปด้วยกัน

4. ตักอาหารทุกชนิดไว้ก่อน แล้วค่อยเลือกรับประทาน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) มารยาท ในการรับประทานอาหารแบบบุฟเฟต์ ได้แก่ ควรรีบตักอาหารเฉพาะที่ตนจะรับประทาน ซึ่งสาเหตุที่ต้องรีบก็เพราะอาหารแบบบุฟเฟต์นั้นทุกคนต้องบริการตัวเองจึงมี คนเข้าคิวรอที่จะตักอาหารต่อจากเราอีกมาก และที่สำคัญควรตักเฉพาะที่จะรับประทานไม่ควรตักเผื่อคนอื่นหรือตักเผื่อเอา ไว้มากๆ จนเหลือรับประทานไม่หมด

49. ข้อใดคือประโยชน์จากการใช้ “ช้อนกลาง”

1. ใช้แทนมือ

2. ใช้ชดน้ำแกง

3. ป้องกันโรคติดต่อ

4. ป้องกันอาหารปนเปื้อน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

50. ข้อใดเป็นจุดมุ่งหมายของการฝึกสมาธิ

1. เพื่อให้เรียนเก่ง

2. เพื่อให้มีคนนับถือ

3. เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง

4. เพื่อให้มีจิตใจแน่วแน่

ตอบ 4 หน้า 131-132, 205, 233 การ ฝึกสมาธิ คือ การใช้สติกำหนดระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา (อานาปานสติ) เพื่อทำให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวและแน่วแน่มั่นคง ไม่ปล่อยให้จิตถูกครอบงำจากอำนาจใดๆ และเมื่อจิตมีสติก็จะทำให้ใจสงบเยือกเย็น รู้จักละวาง ทำจิตใจให้สบาย เกิดความผ่อนคลาย ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งการฝึกสมาธินี้ควรทำโดยเฉพาะเมื่อรู้สึกเครียดไม่สบายใจ โกรธหรือกังวล เพราะจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส คิดแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม ทำให้เครื่องเสียดแทนหัวใจ (โทสจริต) ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจระงับไปได้

51. ข้ามถนนบริเวณใด จึงปลอดภัยจากการถูกรถยนต์ชน

1. ข้ามทางม้าลาย

2. ข้ามตรงสี่แยก

3. ข้ามบริเวณทางข้าม

4. ใช้สะพานลอย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การ ข้ามถนนควรข้ามโดยใช้สะพานลอยจึงจะปลอดภัยจากการถูกรถยนต์ชนมากที่สุด แต่ถ้าบริเวณนั้นไม่มีสะพานลอยก็ควรข้ามบนทางม้าลาย หรือข้ามบริเวณทางข้ามทุกครั้ง ไม่ควรกระโดดข้ามแผงกั้นกลางถนน โดยเวลาข้ามให้ดูสัญญาณไพ่จราจรให้ดี และควรมองซ้ายขวาให้แน่ใจก่อนข้ามถนน

52. การกระทำในข้อใดแสดงความไม่สุภาพ

1. ลุกนั่งมิให้มีเสียงดัง

2. ยืมของผู้อื่นแล้วส่งคืน

3. นั่งไขว้ห้างหน้าผู้ใหญ่

4. เคาะประตูก่อนเข้าห้องผู้อื่น

ตอบ 3 หน้า 625 ผู้ดี ย่อมนั่งด้วยกิริยาอันสุภาพต่อหน้าผู้ใหญ่ หมายความว่า เมื่ออยู่กับผู้ใหญ่ต้องรู้ที่นั่งของตนว่าตนควรจะนั่งที่แห่งใด และควรจะนั่งอย่างไร เช่น ผู้ใหญ่อยู่กับพื้นก็ควรนั่งกับพื้น และควรนั่งพับเพียบในระยะห่างพอควรแก่สถานที่และธุระที่ทำ ถ้าผู้ใหญ่นั่งเก้าอี้และก็อนุญาตให้เรานั่งเก้าอี้ด้วยก็ควรนั่ง แต่ไม่ควรนั่งไขว้ขาหรือกระดิกเท้าตามชอบใจควรนั่งด้วยท่าทางที่สุภาพเรียบ ร้อยควรแก่สถานที่และภาวะของตน

53. คุณค่าสำคัญที่สุดของหลักอริยสัจ 4 คือข้อใด

1. ทำงานใดก็ประสบแต่ความสำเร็จ

2. รู้ซึ้งถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้

3. ทำให้รู้คุณค่าของหลักธรรมที่สำคัญทางศาสนา

4. ทำให้เราแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยปัญญาและเหตุผล

ตอบ 4 หน้า 170-171, 176, 672-673, (คำบรรยาย) อริยสัจ 4 หมายถึง ความจริงหรือสัจธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ซึ่งพุทธศาสนาได้มุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาต่างๆ อย่างเป็นระบบด้วยปัญญาและเหตุผล ประกอบด้วย

1. ทุกข์ คือ ปัญหาที่ทำให้บุคคลรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจ อันเป็นรูปธรรมที่ทุกคนควรกำหนดรู้ตามความเป็นจริง

2. สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหาหรือบ่อเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาหรือความอยาก (โลภะ โทสะ โมหะ) ของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรละเลิกหรือละทิ้ง

3. นิโรธ คือ หนทางในการดับทุกข์หรือความพ้นทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรทำให้รู้แจ้ง

4. มรรค คือ ทางแก้ทุกข์หรือวิธีการดับทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรนำไปปฏิบัติให้เกิดหรือเจริญขึ้น

54. การกราบศพควรกราบอย่างไร

1. กราบแบมือ 1 ครั้ง

2. กราบแบมือ 3 ครั้ง

3. กราบโดยตั้งมือทั้งสองข้างประกอบกันไว้ 1 ครั้ง

4. กราบโดยตั้งมือทั้งสองข้างประกบกันไว้ 3 ครั้ง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การ ทำความเคารพศพ ให้นั่งคุกเข่าราบทั้งชายและหญิง จากนั้นจุดธูป 1 ดอก (ถ้าเป็นศพพระจุด 3 ดอก) ประนมมือยกธูปขึ้นให้ปลายนิ้วชี้อยู่ระหว่างคิ้ว ตั้งจิตขอขมาต่อศพแล้วปักธูปลงบนที่สำหรับปักธูป แล้วนั่งพับเพียบหมอบกราบแบบกระพุ่มมือตั้ง (ไม่แบมือ) 1 ครั้ง พร้อมอธิษฐานให้ดวงวิญญาณศพไปสู่สุคติ แล้วลุกขึ้น ถ้าเป็นศพของผู้ที่มีอายุน้อยกว่าเราไม่ต้องกราบหรือไหว้ เมื่อปักธูปลงแล้วให้นิ่งสงบและอธิษฐานเท่านั้น

55. การกำหนดจิตให้แน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนจิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เป็นการปฏิบัติในเรื่องใด

1. การสนทนา

2. การสังเกต

3. การฟัง

4. สมาธิ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

56. การให้คุณค่าและศักดิ์ศรีแก่ผู้อื่นทำได้หลายวิธี ยกเว้นข้อใด

1. กล่าวถึงส่วนดีของผู้อื่น

2. วางตนให้เหมาะสมกับบุคคล

3. รู้จักอดทนและควบคุมอารมณ์ของตน

4. พูดเรื่องความดีของตนให้ผู้อื่นฟัง

ตอบ 4 หน้า 181 การกระทำที่คำนึงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของผู้อื่น ได้แก่ การกระทำที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่ามนุษย์ชอบการยกย่องชมเชย การให้เกียรติ และการได้รับสิ่งดีๆ เช่น การแสดงกิริยาวาจาสุภาพกับผู้อื่น, การรู้จักใช้มารยาทในสังคมให้ถูกต้อง, การกล่าวถึงส่วนดีของผู้อื่นอย่างจริงใจ, ไม่พูดจายกตนข่มท่านหรือแสดงอาการดูถูกเหยียดหยาม, การยอมรับฟังความคิดเห็นหรือ คำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น, วางตนให้เหมาะสมกับบุคคล เวลา โอกาสและสถานที่, รู้จักอดทนและควบคุมอารมณ์ได้ ฯลฯ

57. การใช้ดอกอัญชันช่วยให้ผมดำเป็นเงางามไม่แตกปลาย เป็นภูมิปัญญาสาขาใด

1. เกษตรกรรม

2. แพทย์แผนไทย

3. ภูมิปัญญาท้องถิ่น

4. จัดการทรัพยากรธรรมชาติ

ตอบ 2 หน้า 436, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยสาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ภูมิปัญญาในด้านการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ เช่น การใช้ดอกอัญชันและส้มป่อยบำรุงรักษาเส้นผม, การนวดแผนไทย, การทำลูกประคบสมุนไพร ฯลฯ

58. คุณลักษณะใดของคนไทยที่ได้รับการยกย่องจากต่างชาติมากที่สุด

1. การแต่งกาย

2. มารยาท

3. อาหาร

4. ภาษา

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัจจุบัน คนไทยได้รับการยกย่องจากชาวต่างชาติมากที่สุดในเรื่องของการมีมารยาทที่ดี งาม ซึ่งเป็นกิริยาที่แสดงออกถึงความสุภาพอ่อนน้อมของคนไทย

59. วันที่ 13 เมษายน สำคัญอย่างไร

1. วันครอบครัว

2. วันปีใหม่ไทย

3. วันสงกรานต์

4. วันผู้สูงอายุแห่งชาติ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) สำหรับ ช่วงวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี นอกจากจะเป็นเทศกาลสงกรานต์หรือเทศกาลวันปีใหม่ไทยแล้ว ก็ยังมีความสำคัญ คือ รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็นวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันที่ 14 เมษายน เป็นวันครอบครัว

60. คำเตือนว่า “เมาไม่ขับ” มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร

1. ให้ทำตามกฎหมาย

2. ห้ามผิดศีลข้อ 5

3. ป้องกันไม่ให้ประมาท

4. ห้ามคนดื่มสุราขับรถ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความ ประมาท หมายถึง การขาดความรอบคอบ ขาดความระมัดระวังเพราะทะนงตน โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มสุราแล้วเมาจะทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังซึ่งจะทำให้ประสบอุบัติเหตุ เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

61. หลักการสำคัญของพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย คือข้อใด

1. รู้รักสามัคคี

2. ไปออกเสียงเลือกตั้ง

3. ปฏิบัติตนตามกฎหมาย

4. เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ

ตอบ 2 หน้า 368 หน้าที่ ทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญของคนไทยทุกคนที่อยู่ในวัยที่มีสิทธิเลือกตั้งทั้ง สมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นต่างๆ ก็คือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งคนไทยทุกคนจะต้องรู้จักหน้าที่ทางการเมืองของตนให้ถ่องแท้และประพฤติ ปฏิบัติให้ถูกต้อง

62. ข้อใดเป็นความหมายของ “การมีภูมิคุ้นกันที่ดีในตัว”

1. ระมัดระวังการใช้จ่าย

2. รักษาสุขภาพให้ดี

3. รักษาอารมณ์ให้ปกติ

4. เตรียมพร้อมรับผลกระทบ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการ ดังนี้

1. ความมีเหตุผล คือ รู้จักวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอย่างมีเหตุผล รอบคอบ รู้เขารู้เรา

2. ความพอประมาณ คือ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมดุล พอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

3. สร้างภูมิคุ้มกัน คือ เตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน

63. ค่านิยมในเรื่องใดเป็นวิกฤติวัฒนธรรมที่จำเป็นต้องปรับ ลดละเลิกเป็นอันดับแรกและสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง

1. ความฟุ้งเฟ้อ

2. ความขัดแย้ง

3. ความรุนแรง

4. ความไม่ซื่อสัตย์

ตอบ 1 หน้า 416, 422 ค่า นิยมอย่างหนึ่งที่คนไทยควรปรับเปลี่ยน ได้แก่ การนิยมความหรูหราและการจัดงานพิธีรวมทั้งงานเลี้ยงฉลองในวาระต่างๆ โดยคนไทยต้องเลิกทำตัวหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เปลี่ยนนิสัยชอบใช้ของแพง ของมียี่ห้อจากต่างประเทศ มาเป็นใช้ของที่มีคุณภาพ พอใช้ได้ ราคาพอสมควร และอุดหนุนสินค้าไทย การจัดงานต่างๆ ก็ควรจัดอย่างเรียบง่ายประหยัด และจัดเฉพาะงานที่สำคัญเท่านั้น

64. การกระทำในข้อใดแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

1. ร่วมกิจกรรมทางศาสนา

2. พูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง

3. แต่งกายถูกต้องตามกาลเทศะ

4. มีกิริยามารยาทเรียบร้อย

ตอบ 2 หน้า 361, 369-370, (คำบรรยาย) ความ ภาคภูมิใจหรือความสำนึกในความเป็นไทย หมายถึงความภาคภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นชาติไทยหรือเอกลักษณ์ไทย โดยการพูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี รักษาวัฒนธรรมอันดีงามรวมทั้งช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและอุดหนุนสินค้าไทย เพื่อความอยู่รอด ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าของชาติไทย

65. คุณธรรมชุดใดที่เป็นปัจจัยเกื้อกูลให้เกิดความสามัคคีในชาติ

1. ขยัน อดทน พึ่งตนเอง

2. ฉันทะ สัจจะ วินัย

3. เมตตา เอื้อเฟื้อ ไม่เอาเปรียบ

4. รอบคอบ มีสติ อะลุ่มอล่วย

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คุณธรรมชุดปัจจัยสนับสนุนที่จะเกื้อกูลให้เกิดความสามัคคีในหมู่คระหรือในชาติ ซึ่งจะส่งผลให้การงานต่างๆ ประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย

1. ความเมตตา

2. ความปรารถนาดีต่อกัน

3. ความเอื้อเฟื้อต่อกัน

4. ความไม่เห็นแก่ตัว

5. ความไม่เอารัดเอาเปรียบ

6. ความอะลุ่มอล่วยถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน

66. คำว่า “กษัตริย์นักพัฒนา” หมายถึงใคร

1. พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

2. พระพุทธเลิศหล้านภาลัย

3. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

4. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) พระ บาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่าทรงเป็น “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา” ทั้งนี้เพราะทรงมีพระราชหฤทัยเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาต่อพสกนิกรผู้ยากไร้และ ผู้ด้อยโอกาสโดยไม่ทรงแบ่งแยกสถานะ ศาสนา ชาติพันธุ์หรือหมู่เหล่า นอกจากนี้ยังทรงสดับรับฟังปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรและพระราชทานแนวทางการ ดำรงชีวิตเพื่อให้ประชาชนของพระองค์สามารถพึ่งตนเองได้อย่างเข้มแข็งและ ยั่งยืน

67. “คนส่วนมากอยากได้รับนับถือ อยากให้คนยกมือไหว้

แต่ตนเอกสิหนาว่าอย่างไร นับถือตนได้หรือไม่ด้วยใจจริง”

คำประพันธ์ไม่ได้เตือนในเรื่องใด

1. การปฏิบัติตน

2. ความไม่แน่นอน

3. การพิจารณาตนเอง

4. ความอยากมีอยากเป็น

ตอบ 2 จาก คำประพันธ์ข้างต้นได้เตือนสติเราว่า บุคคลทุกคนล้วนมีความอยากมีอยากเป็น คือ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อันเป็นเรื่องดีและชั่ว ดังนั้นบุคคลจึงควรพิจารณาตนเองและปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ เพื่อให้ปฏิบัติตนได้ถูกต้องเหมาะสม

68. สำนวนไทยในข้อใดที่เตือนสติตรงกับเงื่อนไขเรื่องมีความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) ในเศรษฐกิจพอเพียง

1. แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

2. ฝนทั่งให้เป็นเข็ม

3. ชักหน้าไม่ถึงหลัง

4. หนักเอาเบาสู้

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ) สำนวน ไทยที่ตรงกับเงื่อนไขความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง) ในเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” (พยายามทำสิ่งที่ยากเย็นด้วยความอุตสาหะบากปั่น จนแม้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ยังเป็นไปได้) เป็นต้น (ส่วน “แมงเม่าบินเข้ากองไฟ” หมายถึง คนที่หลงสิ่งลวงตาแล้ววิ่งเข้าไปหาโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ตน, “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” หมายถึง มีรายได้ไม่พอรายจ่าย, “หนักเอาเบาสู้” หมายถึง ขยันทำกิจการงานทุกชนิด ไม่เลือกงาน)

69. วันเข้าพรรษาเป็นวันที่พระสงฆ์ให้ความร่วมมือกับคนอาชีพใดในสมัยพุทธกาล

1. กรรมกร

2. เกษตรกร

3. พานิชกร

4. วิทยากร

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) วัน เข้าพรรษา เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์อธิษฐานว่าจะจำพรรษาประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลา 8 เดือนในฤดูฝน โดยมีสาเหตุมาจากในสมัยพุทธกาลพระสาวกของพระพุทธเจ้ามักจะเดินทางไปเผยแผ่ พระศาสนาไม่หยุดยั้งแม้แต่ในฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูกาลเพาะปลูกตามอาชีพเกษตรกรรม ของประชาชน ทำให้พระสงฆ์ที่จาริกไปต้องเดินผ่านไร่นาเหยียบย่ำพืชกล้าและพันธุ์ไม้เสีย หาย สัตว์เล็กสัตว์น้อยถึงแก่ความตายพระพุทธองค์จึงทรงกำหนดให้มีวันเข้าพรรษา เพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับความเสียหายและยังเป็นการหลีกเลี่ยงกรรมดังกล่าว

70. ข้อใดเป็นความหมายของศีลที่ถูกต้องที่สุด

1. ปกติ

2. ระเบียบวินัย

3. ความวุ่นวาย

4. ความกระทบและเบียดเบียน

ตอบ 2 หน้า 168 (คำบรรยาย) คำว่า “ศีล” แปลว่า ปกติ ระเบียบทางกาย วาจา ซึ่งหากผู้ใดรักษาศีลได้ก็จะทำให้การกระทำทางกาย วาจา ที่ผู้อื่นได้รู้เห็นเป็นระเบียบ งดงาม เจริญตาเจริญใจ ดังนั้นความหมายที่ถูกต้องที่สุด “ศีล” จึงหมายถึง ระเบียบวินัยที่กำหนดให้ยึดถือปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบและความงดงามแห่งหมู่คณะ หรือหลักปฏิบัติเพื่อความสงบเรียบร้อยทางกาย วาจา ที่เกี่ยวกับสังคมและส่วนรวม

71. ศาสนาคริสต์สอนเรื่องใดเป็นคุณธรรมข้อแรกในคัมภีร์ศาสนา

1. ความซื่อสัตย์สุจริต

2. ความอ่อนน้อมถ่อมตน

3. ความเชื่อฟัง

4. ความสามัคคี

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คุณธรรมสามประการแห่งนักบุญบริสุทธิ์ (Theological Virtues) เป็นหลักธรรม ที่บรรจุไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของศาสนาคริสต์ที่ว่าด้วยการหลุดพ้นจากอบายมุข อันได้แก่ 1. ความศรัทธา หมายถึง การเชื่อฟัง หรือความเชื่ออันมั่นคง 2. ความหวัง หมายถึง ความคาดหวัง หรือความปรารถนาที่จะได้รัย ซึ่งจะช่วยป้องกันความสิ้นหวังและการยอมจำนน 3. ความรักหรือความกรุณา หมายถึง ความไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนและทำด้วยความเต็มใจ

72. จะพัฒนาสำเร็จได้ คนต้องมีข้อใดมากที่สุด

1. ศีล

2. สมาธิ

3. ปัญญา

4.สติ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การฝึกฝนพัฒนามนุษย์ในทางพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น 3 ด้านดังนี้ 1. การพัฒนาด้านพฤติกรรม คือ กระบวนการฝึกพฤติกรรมและการติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมหรือโลกภายนอก เรียกว่า “อธิศีลสิกขา” 2. การพัฒนาด้านจิตใจ คือ กระบวนการฝึกจิตใจให้มีคุณธรรมและเจริญงอกงาม เรียกว่า “อธิจิตตสิกขา” 3. การ พัฒนาด้านสติปัญญา คือ กระบวนการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เรียกว่า “อธิปัญญาสิกขา” ซึ่งการฝึกพัฒนามนุษย์จะสำเร็จได้ บุคคลจะต้องมีปัญญามากที่สุด เพื่อให้ชีวิตมนุษย์ดำเนินไปสู่ความสมบูรณ์

73. ข้อใดเป็นจริยธรรม (ไม่ใช่คุณธรรม)

1. ขันติ

2. เคารพกติกา

3. เสียสละ

4.เมตตากรุณา

ตอบ 2 หน้า 241 – 244 , 86 (H) (คำบรรยาย) คำว่า “คุณธรรม” หมายถึง สภาพ คุณความดีเป็นเรื่องของกุศลธรรมที่ควรปลูกฝังใจจิตใจ มีลักษณะเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต สุภาพอ่อนน้อม เพียรพยายาม มีสติ มีขันติ เสียสละ เมตตากรุณา ฯลฯ ส่วนคำว่า “จริยธรรม” หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เป็นเรื่องราวของความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ดีงามควรจะเสริมสร้างให้เกิด ขึ้น มีลักษณะเป็นธรรมในแง่ของการกระทำ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ช่วยเหลือผู้อื่น เอื้ออาทรต่อผู้อื่น เคารพกติกา ฯลฯ

74. ความสามัคคีในหมู่คณะจะเกิดได้ยาก ถ้าขาดคุณธรรมในข้อใด

1. ความเพียร พึ่งตนเอง มีวินัย

2. จริงใจ รัยผิดชอบ กตัญญู

3. มีสติ รอบคอบ เที่ยงตรง

4. เมตตา เอื้อเฟื้อ ไม่เอาเปรียบ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

75. ใครคือบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมมากที่สุด

1. ผู้พิการทางสายตา

2. ผู้ไม่รู้จักพอ

3. ผู้มีความบกพร่องทางสติปัญญา

4.ผู้เกียจคร้าน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) บุคคลที่ก่อให้เกิดปัญญาสังคมมากที่สุด คือ คนที่ขาดคุณธรรมและจริยธรรม เช่น คนคดโกงที่ขาดความซื่อสัตย์สุจริต คนโลภมากที่ไม่รู้จักพอเพียง คนมักง่ายที่ขาดระเบียบวินัย คนเห็นแก่ได้ที่เห็นประโยชน์ส่วนตน พวกพ้อง มากกว่าประโยชน์ส่วนร่วม เป็นต้น

76. การกระทำในข้อใดเป็น “การคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง”

1. น้องยอมทำตามพี่ เพราะแกรงใจ

2. น้อยคิดรอบคอบแล้วจึงยกมือเห็นด้วย

3. หน่อยสงสารเพื่อนจึงยอมทำตามที่ขอ

4. นิดเกลียดหัวหน้าจึงยอมลงชื่อประท้วง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) หลักของคุณธรรมประการหนึ่ง ได้แก่ การคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง หมายถึง ก่อนที่จะพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือจะทำสิ่งใดต้องปฏิบัติตนดังนี้ 1. หยุดคิดก่อน เพื่อรวบรวมสติให้มั่น 2. ไม่โอนเอน โลเลตามผู้อื่น

3. ให้จิตสว่าง มองอะไรให้เป็นกลาง ให้มีอคติลำเอียง 4. ต้องฝึกฝนจนชำนาญ

77. ถ้านักศึกษามีความจริงใจต่อเพื่อน สิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นกับนักศึกษาเลยคือข้อใด

1. ความไว้วางใจ

2. ความกินแหนงแคลงใจ

3. ความร่วมมือ

4. ความสำเร็จของภารกิจ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การรักษาความจริงใจต่อตัวเอง คือ มี ความซื่อตรงและไม่หลอกตัวเองสามารถประเมินค่าตัวเองได้ถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลนั้นทำงานได้ตรงความสามารถของตัวเองจริง ๆ ส่วนการรักษาความจริงใจต่อผู้อื่น คือ มีความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ใจ ไม่โกหกหลอกลวงผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลนั้นประสบความสำเร็จในภารกิจต่าง ๆ ตลอดจนได้รับความเชื่อถือ ความร่วมมือ และความไว้วางใจจากผู้อื่น

78. รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา แสดงค่านิยมของคนไทยในเรื่องใด

1. รักอิสระ

2. ชอบสนุก

3. รู้บาปบุญคุณโทษ

4. เชื่อถือเรื่องผลของการกระทำ

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สุภาษิต “รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา” ความหมายว่า ใฝ่ ดีจะมีความสุขเจริญใฝ่ชั่วจะได้รับความลำบาก หรือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จึงเป็นการเตือนใจให้ประพฤติปฏิบัติดีและสะท้อนค่านิยมของคนไทยในด้านความ เชื่อถือเรื่องผลของการกระทำ (กรรม)

79. ลักษณะครอบครัวของชาวตะวันตกที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการเลี้ยงบุตร ได้แก่ข้อใด

1. สอนให้เคารพผู้ใหญ่

2. สอนให้เชื่อฟังผู้อาวุโส

3. ให้รู้จักคิดและพึ่งตนเอง

4. ให้ยึดถือแนวความคิดของคนเอง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ลักษณะครอบครัวของชาวตะวันตกที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการเลี้ยงดูบุตรได้แก่ การอบรม ให้รู้จักคิดและพึ่งตนเอง ซึ่งต่างจากครอบครัวไทยที่เลี้ยงดูแบบตามใจลูกมักจะเป็นศูนย์กลางของครอบ ครัวที่ได้รับการดูแลเอาอดเอาใจจึงทำให้เด็กขาดระเบียบวินัยพึ่งพาตนเองไม่ ได้ เอาแต่ใจตัวเอง

80. เมื่อนักศึกษาพบอาจารย์ครั้งแรกในแตะละวันควรทำอย่างไร

1. หลีกทางให้

2. ยิ้มทักทาย

3. กล่าวคำสวัสดี

4. ยกมือไหว้

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การ ยกมือไหว้เป็นการแสดงความเคารพตามระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมของคนไทยที่ได้ ยึดถือประพฤติปฏิบัติตลอดมาเป็นลำดับ จนเป็นแบบแผนหรือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ

81. สุชาติปฏิบัติตามนโยบายเมาไม่ขับ แสดงว่าสุชาติกำลังประคองหนทางดับทุกข์ในข้อใด

1. สัมมาวายามะ

2. สัมมาอาชีวะ

3. สัมมากัมมันตะ

4.สัมมาสติ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

82. ข้อใดเป็นมารยาทในการใช้ลิฟต์

1. รีบเข้าทันทีที่ลิฟต์เปิด

2. กดปุ่มทุกครั้งที่จะใช้ลิฟต์

3. ให้คนที่อยู่ในลิฟต์ออกก่อน

4. เข้าลิฟต์แล้วยืนตรงประตู

ตอบ 3 (คำบรรยาย) มารยาทในการใช้ลิฟต์ หากคนรอลิฟต์ไม่มากก็สามารถยืนได้ตามสบายแต่หากมีคนรอลิฟต์มากก็ควรเข้าแถวตามลำดับก่อน – หลัง และ แยกเป็นสองแถวสองข้างประตูเมื่อลิฟต์เปิดควรให้คนที่อยู่ในลิฟต์ออกก่อน และโดยปกติชายต้องให้หญิงเข้าและออกจากลิฟต์ก่อน ยกเว้นคนแน่นและไม่สะดวก

83. อาชีพใดสามารถนำวัตถุไปผลิตเชื้อเพลิง เอทานอล

1. ทำสวนมะพร้าว

2. ปลูกไร้อ้อย

3. ทำสวนยางพารา

4.ปลูกถั่วเหลือง

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) เอทานอล (Ethanol) เป็น แอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการนำเอาพืชมาหมักเพื่อเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล จากนั้นจึงเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ โดยใช้เอนไซม์หรือกรดบางชนิดช่วยย่อยเพื่อทำให้เป็นแอลอฮอล์บริสุทธิ์ 95% โดย การกลั่น แล้งจึงนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ ส่วนใหญ่เอทานอลจะผลิตจากพืชสองประเภท คือ พืชประเภทน้ำตาล เช่น อ้อย บีทรูต กากน้ำตาล ข้าวฟ่างหวาน เป็นต้น และพืชจำพวกแป้ง เช่น มันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพด เป็นต้น (ดูคำอธิบายข้อ 1 ประกอบ)

84. ข้อใดเป็นการรักษาสมดุลธรรมชาติได้ดีที่สุด

1. กำหนดพื้นที่ป่าสงวน

2. การกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด

3. การปลูกพืชหมุนเวียน

4. การสร้างสวนสัตว์เปิด

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) ดุลแห่งธรรมชาติ (Balance of Nature) หมายถึง การ รักษาสภาวะแวดล้อมในระบบนิเวศให้อยู่ในสภาพสมดุล เป็นภาวะแห่งความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมของกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีผลทำให้ จำนวนหรือปริมาณของกลุ่มสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มีอยู่ในธรรมชาติอย่างเหมาะสมสามารถควบคุมการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหารที่ ไหลเวียนอยู่ในสภาพที่สมดุลได้ทั้งหมดหรือเรียกว่าเป็นสภาวการณ์ที่ระบบ นิเวศมีความสมดุลภายในตัวเอง เช่น การกำหนดเขตป่าสงวนและสัตว์ป่าสงวน เป็นต้น

85. คนที่ชอบวงสรวงกราบไหว้ที่ของที่แปลกประหลาดผิดไปจากธรรมชาติ จัดว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมเช่นไร

1. มีสติสัมปชัญญะดี

2. มีปัญญาและไหวพริบ

3. มีศรัทธา แต่ขาดปัญญา

4. มีปัญญา แต่ขาดศรัทธา

ตอบ 3 หน้า 668, (คำบรรยาย) ชาว พุทธชั้นนำที่มีอุบาสกธรรม จะต้องมีศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาจึงจะทำให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง มีเหตุผล พอเหมาะพอดี ไม่งดงาย มั่นในพระรัตนตรัย ไม่หวั่นไหว ไม่แกว่งไกว ถือเป็นธรรมเป็นใหญ่และสูงสุด

86. ข้อใดเป็นคุณธรรมสำคัญของผู้ประกอบอาชีพค้าขาย

1. ขยัน

2. ประหยัด

3. ซื่อสัตย์

4.กตัญญู

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คุณธรรมสำคัญของผู้ประกอบอาชีพค้าขาย ได้แก่ ความซื่อสัตย์ (สัจจะ) ทั้งนี้เพราะเป้าหมายของผู้ยึดอาชีพค้าขายก็คือ กำไร ซึ่ง ได้จากการขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ดังนั้นผู้ค้าขายจึงควรมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ขายสินค้าเกินราคาไม่เอาเปรียบลูกค้าจนเกินไป รวมทั้งไม่นำสินค้าที่ไม่ดีหรือไม่ได้มาตรฐานมาหลอดขาย ฯลฯ

87. “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” มุ่งเน้นความสำคัญที่สุดตามข้อใด

1. มีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน

2. เรารู้บางเรื่องในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้

3. เขารู้หลานเรื่องในเรื่องที่เราไม่รู้

4. รู้จักให้เกียรติคนอื่น

ตอบ 4 หน้า 49 – 52 (H) “ครูคนละอย่าง” หรือ “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง คน เรามีความรู้ไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือวันนี้อาจรู้ทุกเรื่อง แต่วันพรุ่งนี้ก็เริ่มจะไม่รู้เพราะโลกเรามีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน เราจึงรู้บางเรื่องในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ในขณะที่คนอื่นก็รู้เรื่องที่เราไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรู้จักให้เกียรติคนอื่น ไม่ยกตนข่มท่านเพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง โดยต่างคนต้องสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แนวความคิดและประสบการณ์จากกันและกันได้

88. ประเทศต้องการบุคคลตามข้อใดเป็นสำคัญ

1. ผู้นำ

2. ผู้ขับเคลื่อน

3. ผู้รู้แจ้งในสังคม

4. ผู้มีสำนึกรับผิดชอบบ้านเมือง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ผู้มีคุณธรรม หมายถึง บุคคลที่มีความเป็นอยู่อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์และหลักการ ซึ่งการแสดงถึงคุณสมบัติของผู้มีคุณธรรม ได้แก่ การมีวินัย มีความรับผิดชอบมีความสุจริตเที่ยงธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม รู้รักสามัคคี และสิ่งสำคัญมากที่สุดที่ประเทศต้องการคือ การมีสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง

89. บัณฑิตพึงปฏิบัติตามข้อใดเป็นสำคัญ

1. การแต่งกายสุภาพเหมาะสม

2. การพูดจาสุภาพเหมาะสม

3. การมีชีวิตความเป็นอยู่เหมาะสม

4.การดำรงตนสมฐานะสมศักดิ์ศรี

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ภาระหน้าที่ที่สำคัญของบัณฑิต คือ การดำรงตนให้สมฐานะสมศักดิ์ศรีซึ่งประกอบด้วย 1. เป็นผู้มีความรู้ และไม่หยุดที่จะแสวงหาความรู้ 2. มีการแต่งกาย การพูดจา และมีชีวิตความเป็นอยู่เหมาะสม 3. เป็นผู้มีประโยชน์

90. “เพื่อส่วนรวม” หมายความตามข้อใด

1. สำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง

2. ไม่สร้างความเดือนร้อน

3. มุ่งสร้างความสุขความเจริญ

4.ช่วยพัฒนาชาติบ้านเมือง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) “เพื่อส่วนรวม” หมายถึง การ ทำประโยชน์เพื่อคนส่วนใหญ่ มิใช่เพื่อตนเองหรือเพื่อคนส่วนน้อย โดยมองเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว จนกระทั่งสามารถที่จะสละเวลา ความสุขส่วนตัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยพัฒนาสังคมและชาติบ้านเมือง ตลอดจนโลกที่เราอาศัยอยู่ได้

91. ข้อใดสอดคล้องกับการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยรมคำแหง

1. ได้โอกาสทางการศึกษา

2. ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อน

3. ได้รับความเมตตาข้อแนะนำจากอาจารย์

4.ได้กำลังใจจากกัลยาณมิตร

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ปรัชญาในการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีดังนี้

1. ส่ง เสริมความเสมอภาคทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลที่ประสงค์จะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยได้เข้ารับการ ศึกษาต่ออย่างทั่วถึง

2. ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม และมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม

92. ครูแก้วสะเพร่าตัดสินลงโทษนักเรียนโดยมิได้ไต่สวนความผิดให้รอบคอบ การกระทำของครูแก้วจัดอยู่ในข้อใด

1. ลำเอียงเพราะรัก

2. ลำเอียงเพราะโกรธ

3. ลำเอียงเพราะเขลา

4.ลำเอียงเพราะกลัว

ตอบ 3 หน้า 661 (คำบรรยาย) กระบวนการตัดสินใจเชิงพระพุทธประกอบด้วยการปราศจากอคติ 4 อย่างคือ 1. ฉันทาคติ คือ การลำเอียงเพราะรักใคร่ ชอบพอ 2. โทสาคติ คือ การลำเอียงเพราะเกลียด ชัง โกธร 3. โมหาคติ คือ การลำเอียงเพราะเขลา เบาปัญญา หลงผิด ไม่ไต่สวน ค้นหาความจริงให้รอบคอบ 4. ภยาคติ คือ การลำเอียงเพราะขลาดเกรงกลัว เกรงใจ

93. การกระทำในข้อใดเป็นความรับผิดชอบของนักศึกษาในฐานะเป็นเพื่อนร่วมสถาบัน

1. เลี้ยงดู ถนอมน้ำใจกัน

2. ตั้งใจเล่าเรียน

3. ช่วยแนะนำตักเตือนกัน

4.ไม่ทำลายทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย

ตอบ 3 หน้า 260 เพื่อนที่ดี คือ เพื่อน ที่มีความรับผิดชอบต่อเพื่อน ซึ่งจะช่วยแนะนำตักเตือนและให้อภัยเมื่อเพื่อนทำผิด ช่วยเหลือเพื่อนอย่างเหมาะสม ไม่ทะเลาะ ไม่เปรียบและเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน

94. ข้อใดเป็นสาเหตุของการคอร์รัปชั่น

1. โลภะ

2. โทสะ

3. โมหะ

4.จาคะ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ปัจจัยที่นำไปสู่ความเป็นคนดี คือ ความลดละกิเลส ซึ่งเป็นเครื่องที่ทำจิตใจให้เศร้าหมอง มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้ 1. โลภะ (ความโลภ) คือ ความอยากได้อยากมีไม่รู้จักพอ 2. โทสะ (ความโกรธ) คือ ความขุ่นเคืองใจ หรือไม่พอใจอย่างรุนแรง 3. โมหะ (ความหลง) คือ ความหมกมุ่น ความโง่ งมงาย มัวเมาในอบายมุข

95. “เสียชีพ อย่าเสียสัตย์” ตรงกับหลักธรรมข้อใด

1. ขันติ

2. จาคะ

3. สัจจะ

4. ทมะ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ฆราวาสธรรม 4 ประกอบด้วยหลักคุณธรรมดังนี้

1. สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมาทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อวิชาชีพ

2. ธรรมะ คือ การฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ 3. ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น

4. จาคะ คือ การเสียสละแบ่งปัน

96. สิ่งที่แสดงความเจริญงอกงามทางด้านจิตใจ วัตถุ ศีลธรรม และความเจริญของประเทศ เรียกว่าอะไร

1. อารยธรรม

2. วัฒนธรรม

3. ประเพณี

4. ขนบธรรมเนียม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

97. ใครเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการปกครองที่ดี

1. ขาวออกระเบียบโดยไม่ผ่านมิติที่ประชุม

2. แดงไม่เห็นความสำคัญของผู้อาวุโส

3. เขียวพบปะหารือกับเพื่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอ

4.ดำยกเลิกข้อตกลงโดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน

ตอบ 3 (คำบรรยาย) อปริหานิยธรรม เป็นหลักธรรมที่ใช้ในการปกครองมี 7 ประการ คือ 1. หมั่นประชุมพบปะหารือกันอย่างสม่ำเสมอ 2. พร้อมเพรียงกันประชุม เลิกประชุมและทำกิจกรรมร่วมกัน 3. ไม่บัญญัติหรือล้มเลิกข้อบัญญัติต่าง ๆ 4. ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ 5. ไม่ข่มเหงสตรี 6. เคารพบูชาสักการระเจดีย์ 7. ให้การอารักขาพระภิกษุสงฆ์และผู้ทรงศีล

98. การตัดสินในของใครมีเหตุผลเหมาะสม

1. ดำไม่รับส้มเข้าทำงานเพราะมีนามสกุลเดียวกับศัตรู

2. แดงเชื่อคำทำนายของหมอดูว่าจะโชคดี

3. เขียวไม่ใส่ชุดขาวดำไปงานวันเกิดญาติผู้ใหญ่

4. ขาวเห็นเพื่อนผู้ชายสนิทสนมกันก็คิดว่าพวกเขาเป็นเกย์

ตอบ 3 หน้า 621 การตัดสินใจดังกล่าวมีเหตุผลเหมาะสม เพราะการแต่งตัวจะต้องแต่งให้เหมาะกับงานที่จะไป ไม่ปล่อยให้มีอะไรที่น่ารังเกียจ เช่น เปรอะเปื้อนสกปรกโสมม หรือผิดระเบียบแบบแผนวัฒนธรรมประเพณี โดย ต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยตามโอกาสนั้น ๆ ได้แก่ ในงานศพควรใส่ชุดขาวดำไปเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้แก่ผู้เสียชีวิต แต่ไม่ควรใส่ไปในงานมงคลเด็ดขากเพราะถือว่าไม่สุภาพและเป็นการไม่ให้เกียรติ แก่เจ้าของงาน

99. เมื่อลูกมีความสุข พ่อแม่จะพลอยดีใจด้วย แต่เมื่อลูกมีความผิดหวัง พ่อแม่ก็เสียใจผิดหวังเหมือนกับลูกแสดงว่าพ่อแม่ขาดธรรมะในข้อใด

1.เมตตา

2. กรุณา

3. มุทิตา

4. อุเบกขา

ตอบ 1 หน้า 351 , 525 , 676 – 677 พรหมวิหาร 4 เป็น ธรรมประจำใจสำหรับผู้มีจิตใจประเสริฐหรือผู้ใหญ่ที่ต้องปกครองคนใต้บังคับ บัญชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และส่งเสริมให้เป็นผู้มีจิตใจ มีจิตใจกว้างขวาง ป้องกันใจไม่เป็นสุข ประกอบด้วย

1. เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการช่วยให้ผู้อื่นประสบแต่ความสุข

2. กรุณา คือ ความสงสารและปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3. มุทิตา คือ ความเบิกบานพลอยยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความสุข มีจิตใจดี และพร้อมให้การสนับสนุน

4. อุเบกขา คือ ความ มีใจเป็นกลางและมองตามสภาพความเป็นจริง มีจิตเรียบเที่ยงธรรมดุจตาชั่งไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง รู้จักวางเฉย สงบใจมองดูเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำด้วยพิจารณาในทางกรรมว่า ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลดีตอบสนอง ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลจากกระทำนั้น

100. คุณธรรมในข้อใดที่ช่วยให้เกิดความสามัคคีขึ้นในชุมชน

1. ความอดทน

2. การมีวินัย

3. ความรอบคอบ

4. การไม่เห็นแก่ตัว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

101 คำพูดในข้อใดที่เหมาะจะใช้แก้ไขนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง

1. ทำเดี๋ยวนี้

2. ใจเย็น ๆ อย่ารีบร้อน

3. ไม่เป็นไร

4. อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คน ที่มีนิสัยชอบผัดวันประกันพรุ่ง คือ คนที่ทำอะไรแล้วมักชอบเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่กระตือรือร้นเพราะประมาทในการใช้ชีวิต ซึ่งคำพูดที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้กับคนประเภทนี้ก็คือ ทำเดียวนี้ ทำให้เสร็จภายในวันนี้

102 การให้ทานในข้อใด ถือว่าเป็นการให้ที่สูงสุด

1. ให้สิ่งของเงินทอง

2. ให้วิชาความรู้

3. ให้ธรรมะ

4. ให้อภัย

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ทาน คือ การให้ที่มุ่งประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นหลัก แบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

1. อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ หรือเงินทอง

2. ธรรมทาน คือ การสอนให้ธรรมะเป็นความรู้ ซึ่งถือว่าเป็นการให้ทานที่ได้บุญสูงสุดดังพุทธพจน์ที่ว่า สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ (การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง)

3. อภัยทาน คือ การให้อภัยในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่จองเวร ไม่พยาบาท

103 ทรัพยากรที่กลับฟื้นตัวใหม่ได้คือข้อใด

1. ดิน

2. น้ำ

3. ลม

4. น้ำมัน

ตอบ 2 หน้า 462 – 463 (คำบรรยาย) ทรัพยากรธรรมชาติแบ่งตามลักษณะที่นำมาใช้ได้ 2 ประเภท ใหญ่คือ 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น เช่น ดวงอาทิตย์ ลม อากาศ ฯลฯ 2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วหมดสิ้นไป แบ่งออกเป็น ประเภทใช้แล้วหมดไปแต่สามารถกลับฟื้นตัวใหม่ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ฯลฯ ประเภทใช้แล้วหมดไปแต่ไม่อาจทำให้มีใหม่ได้ เช่น คุณสมบัติทางธรรมชาติของดิน ฯลฯ ประเภทที่ใช้แล้วหมดไปแต่ยังสามารถนำมายุบให้กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วกลับมาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เช่น โลหะต่าง ๆ ฯลฯ และประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป นำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมันก๊าด น้ำมัน ฯลฯ

104. ข้อใดเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความสงบเรียนร้อยทางกาย วาจา ที่เกี่ยวกับสังคมและส่วนรวม

1. ศีล

2. สมาธิ

3. ปัญญา

4. อุปาทาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

105. ปัจจุบันการพัฒนาในประเทศที่เจริญประสบปัญหาข้อใดมากที่สุด

1. ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ

2. เพิ่มของเสียสู่โลกมากขึ้นทุกทิศทาง

3. ประชากรเพิ่มขึ้น

4.ความต้องการอันไม่มีสิ้นสุดของมนุษย์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปัจจุบัน การพัฒนาในประเทศที่เจริญแล้วมักประสบปัญหาเรื่องความต้องการของมนุษย์ที่ ไม่มีวันสิ้นสุด เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ซึ่งมนุษย์คิดว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง จึงแสวงหาสิ่งเหล่านั้นอย่างไร้ขีดจำกัด ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ไม่มีประสิทธิภาพเพราะมุ่งแต่พัฒนาทางด้านวัตถุแต่ไม่พัฒนาด้านจิตใจ

106. ข้อใดไม่เกี่ยวกับการพัฒนามนุษย์

1. พฤติกรรม

2. จิตใจ

3. สมาธิ

4. ปัญญา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

107. ทิฏฐะ หมายถึงอะไร

1. ความคิดเห็น

2. ความไม่ประมาท

3.ความพอใจ

4.ความกระตือรือร้น

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ทิฐิ (อ่านว่า ทิดถิ) หมายถึง ความเห็น ความคิดเห็น มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “ทัศนะ” ซึ่งในทางพุทธศาสนาจะนิยมเขียนตามรูปศัพท์เดิมว่า “ทิฏฐะ” โดยมักใช้กับความเห็นของทั้งสองฝ่ายดี เรียกว่า สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และฝ่ายไม่ดี เรียกว่า มิจฉาทิฐิ (ความเห็นผิด)

108. พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับปัจจุบัน เพราะสาเหตุอะไร

1. เพื่อให้อยู่กับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น

2. ป้องกันความเศร้าหมอง

3. ทำให้ไม่ประมาท

4. เพื่อให้ความรู้สึกดี

ตอบ 1 (คำบรรยาย) พระพุทธเจ้าทรงสอนให้อยู่กับปัจจุบันนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อยู่กับอดีตหรืออนาคต ทั้งนี้เพื่อให้อยู่กับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น โดยเน้นให้บุคคลรู้จักฝึกสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่าไปคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต พยายามให้อยู่กับปัจจุบันให้อยู่กับสิ่งที่เรากำลังกระทำอยู่

109. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องปัจจุบันทรงต้องการเน้นข้อใด

1. สติ

2. ปัญญา

3. ญาณ

4. จิตใจ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

110. ความต้องการความรู้ของบุคคลข้อใดมีประโยชน์มากที่สุด

1. รู้เพื่อรู้

2. รู้เพื่อยังชีพ

3. รู้เพื่ออยู่ในสังคมอย่างสันติสุข

4. รู้เพื่อเป็นฐานความรู้ไม่รู้จบ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ประโยชน์เกี่ยวกับความต้องการความรู้ของบุคคลมีดังนี้

1.รู้เพื่อที่จะรู้ 2. รู้เพื่อให้สามารถยังชีพได้ 3. รู้เพื่อเป็นฐานความรู้ไม่รู้จบ

4.รู้เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุข ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์มากที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคมปัจจุบัน

111. ทางพ้นทุกข์ของชาวโลกคือการสะสมให้มีมาก ๆ แตกต่างกับทางพ้นทุกข์ของพระพุทธเจ้าอย่างไร

1. เสียสละทุกสิ่ง

2. ควรเป็นนักบวช

3. การไม่มีอะไรให้ยึดติด

4. มีพอดีและพอเพียง

ตอบ 3 (คำ บรรยาย) ทางพ้นทุกข์พระพุทธเจ้า คือ การไม่มีอะไรให้ยึดติด หรือการไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยพระองค์ทรงสอนให้ละ ให้ปล่อย ให้วาง สุขก็ไม่ยึด ทุกข์ก็ไม่ยึด ทำใจให้อยู่เหนือสุข – ทุกข์ เหนือดี – ชั่ว เหนือเหตุ – ผล ดังคำสอนให้เรา “อยู่ในโลกแต่ไม่ยึดติดกับโลก ผู้มีปัญญามองเห็นสัจธรรมว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ย่อมหาทางพ้นทุกข์ได้ตามแนวทางแห่งอริยมรรค”

112. หลักคำสอนของศาสนากล่าวว่า “ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส” นั้น ท่านเข้าใจว่าอย่างไร

1. จะทำดีต้องละชั่วด้วย

2. ทำดีไม่ต้องละชั่ว

3. ทำดีจิตใจเบิกบาน

4. ทำดี ละชั่ว คิดถึงกรรมดีแล้วสบายใจ

ตอบ 4 หน้า 202, (คำบรรยาย) โอวาทปาติโมกข์ เป็น หลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักและแนวทางที่พุทธศาสนิกชนควร นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันประกอบด้วยสาระสำคัญที่สรุปได้สั้น ๆ ดังนี้ การไม่ทำบาปทั้งปวง (การละเว้นความชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (การทำแต่ความดี) และ การทำจิตของตนให้ผ่องใส (การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หรือคิดถึงกรรมดีแล้วสบายใจ)

113. การกระทำในข้อใดแสดงว่า ผู้กระทำไม่มีอคติ

1. เด่นให้เกรด 4 แก่นักเรียนที่ได้คะแนนสูง

2. เดชให้ 2 ชั้น แก่พนักงานที่มีหน้าตาสวย

3. ดำรงให้เงินรางวัลแก่แม่ค้าที่ชมว่าเขาไม่แก่

4. ดุลให้เพื่อนลอกข้อสอบเพราะกลัวเพื่อนสอบตก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 76. และ 92. ประกอบ

114. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงมีพระราชดำรัสอย่างชัดเจนที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงเมื่อใด

1. 4 ธันวาคม 2517

2. 4 ธันวาคม 2540

3. 4 ธันวาคม 2542

4. 4 ธันวาคม 2550

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 และทรงมีพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อ เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่น คงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

115. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใดที่นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปเป็นนโยบายของรัฐบาล

1. ฉบับ พ.ศ. 2521

2. ฉบับ พ.ศ. 2534

3. ฉบับ พ.ศ. 2540

4. ฉบับ พ.ศ. 2550

ตอบ 4 (คำบรรยาย) แนว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) และยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า บริหาร ราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ

116. นิยามของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ข้อความที่ขีดเส้นใต้ หมายถึงข้อใด

1. ความรู้ ความคิด คุณธรรม

2. ความรู้พอประมาณ มีเหตุผล

3. พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน

4. มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน มีคุณธรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข หมายถึง ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข โดยคำว่า “3 ห่วง” คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ส่วนคำว่า “2 เงื่อนไข” คือ การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งเงื่อนไขความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และเงื่อนไข คุณธรรม (ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน)

117. องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้เชิดชูปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่ามีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ

1. 2540

2. 2547

3. 2547

4. 2550

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” (UNDP – Human Development Lifetime Achievement Award)แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยที่ได้จุดประกายการใช้ปรัชญา “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” ซึ่งเป็นปรัชญาที่มีประโยชนไปสู่อาณาอารยประเทศทั่วโลก โดยนายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้เดินทางมาถวายรางวัลเพื่อเชิดชุเกียรติ ซึ่งเป็นรางวัลหนึ่งเดียวในโลกนี้แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมา

118. คุณธรรมข้อใดที่จะคอบเหนี่ยวรั้งไม่ให้นักศึกษาติดพนันบอล

1. มีสติ

2. มีวินัย

3. ความอดทน

4. ความเชื่อ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คุณธรรม ชุดปัจจัยเหนี่ยวรั้งไม่ให้บุคคลประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดีแต่จะคอยส่ง เสริมให้การกระทำเป็นไปในทางที่ดีและรอบคอบ ประกอบด้วย

1. ความมีสติ 2. ความรอบคอบ 3. ความตั้งจิตให้ดี

119. สมบัติของผู้ดีข้อใดที่ไม่สามารถป้องกันไข้หวัด 2009

1. ไม่จามเสียงดังโดยไม่ป้องกำบัง

2. ไม่บ้วนขากเสียงดังหรือเปรอะเปื้อน

3. ไม่เอาช้อน/ส้อมของตนไปตักอาหารที่เป็นของกลาง

4. ไม่จิ้มควักล้วงแกะเการ่างกายในที่ประชุมชน

ตอบ 4 หน้า 621 , (ดูคำอธิบาย 45. ประกอบ) ผู้ดี ย่อมไม่จิ้มควักแกะเการ่างกายในที่ประชุมชนหมายถึง ผู้ดีไม่ควรจิ้มฟันหรือแปลงฟันโต๊ะอาหาร ไม่ควักล้วงแกะเการ่างส่วนใดส่วนหนึ่งหากมีความจำเป็นก็พึงปลีกตัวออกจากที่ ประชุมนั้นก่อนจึงจะทำ

120. ข้อใดไม่ใช่การดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง

1. ตนเป็นที่พึงแห่งตน

2. ผ่อนสั้นผ่อนยาว

3. เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง

4. กันไว้ดีกว่าแก้

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนว ดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการมุ่งเน้นความพอประมาณที่ต้องไม่สร้างความเดือนร้อนให้แก่ตนเองและผู้ อื่น โดยจะต้องรู้จักฉลาดคิด ฉลาดทำ มีเหตุผลกำกับดังนั้นสำนวนไทยที่สอดคล้องกับแนวคิดได้แก่ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน (ให้รู้จักคิดทำด้วยตนเอง) ผ่อนสั้นผ่อนยาว (รู้จักประนีประนอม อะลุ่มอล่วยกัน) กันไว้ดีกว่าแก้ (ป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นล่วงหน้าดีกว่ามาตามแก้ภายหลัง) เป็นต้น (ส่วน “เห็นช้างขี้ตามช้าง” หมายถึง การทำเลียนแบบคนใหญ่คนโตหรือคนมั่งทั้ง ๆ ที่ตนไม่มีกำลังทรัพย์หรือความสามารถพอ)

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1 การกระทำของใครไม่เข้าหลักเศรษฐกิจพอเพียง

1 สมศรีเป็นคนช่างพูด จะพูดโดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนบ้าง

2 สมหวังขายข้าวได้ราคาดี จึงเปลี่ยนรถใหม่ที่มีคุณภาพดีกว่าคันเก่า

3 สมเดชยังคงใช้เครื่องมือเก่า เพราะยังใช้งานได้ดี

4 สมจิตซื้อเครื่องปรับอากาศใหม่ เพราะเครื่องเก่าเสียบ่อยและเปลืองไฟ

ตอบ 1 สมศรีเป็นคนช่างพูด จะพูดโดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนบ้าง

การดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอดี ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนมุ่งเน้นการใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผนและการตัดสินใจกระทำการต่างๆอย่างผู้มีปัญญา โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่น

2 ข้อความใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

1 ประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจเอกชนได้น้อยมาก

2 ไม่ขัดกับการทำธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร

3 ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจแข่งขันได้อย่างยั่งยืน

4 เป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจร่วมมือกัน

ตอบ 1 ประยุกต์ใช้กับภาคธุรกิจเอกชนได้น้อยมาก

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจได้ โดยไม่ขัดกับหลักการของการแสวงหากำไร และยังช่วยส่งเสริมสังคมคุณธรรม เพราะการได้มาซึ่งกำไรของธุรกิจจะอยู่บนพื้นฐานของการไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น หรือแสวงหาผลกำไรจนเกินควรจากการเบียดเบียนผลประโยชน์ของสังคม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะก่อให้เกิดวิกฤตตามมา ตลอดจนการใช้ทรัพยากรในธุรกิจที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงจะคำนึงถึงความประหยัดและมีคุณภาพ เพื่อให้ธุรกิจสามารถร่วมมือกันและแข่งขันกันได้อย่างยั่งยืน

3 สำหรับภาคธุรกิจ “ความพอประมาณ” ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีจุดมุ่งหมายในข้อใดเป็นสำคัญ

1 เน้นกำไรสูงสุด 2 ขยายการลงทุนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

3 มุ่งผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น 4 เน้นการสร้างพันธมิตรธุรกิจ

ตอบ 3 มุ่งผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น

หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารงานสำหรับภาคธุรกิจ ดังนี้ 1 ความพอประมาณในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ การมีจุดมุ่งหมายที่มุ่งหวังผลประโยชน์ระยะยาวมากกว่าระยะสั้น 2 ความมีเหตุผลในการดำเนินธุรกิจ คือ การรู้จักลูกค้า รู้จักตลาด รู้จักคู่แข่ง และรู้จักตัวเอง 3 การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินธุรกิจ คือ การเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม โดยกระจายผลิตภัณฑ์และตลาดเพื่อลดความเสี่ยง ปรับผลิตภัณฑ์จากสินค้าฟุ่มเฟือยมาเป็นสินค้าที่ลูกค้าใช้ประจำ และกระจายตลาดในหลายประเทศเพื่อลดผลกระทบจากวัฏจักรเศรษฐกิจต่อสินค้าฟุ่มเฟือย

4 พฤติกรรมในข้อใดเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในการดำเนินธุรกิจ

1 เข้าใจในธุรกิจของตนอย่างถ่องแท้

2 พัฒนาความรู้ของพนักงานอย่างต่อเนื่อง

3 เน้นการผลิตเพื่อลูกค้าบางกลุ่มมากกว่าการผลิตเพื่อขายทั่วไป

4 กระจายผลิตภัณฑ์และตลาดเพื่อลดความเสี่ยง

ตอบ 4 กระจายผลิตภัณฑ์และตลาดเพื่อลดความเสี่ยง ดูคำอธิบายข้อ 3 ประกอบ

5 การกระทำในข้อใดไม่ใช่การส่งเสริมคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจ

1 รักษาความลับของลูกค้าอย่างเคร่งครัด 2 รักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้คงเดิม

3 ปกครององค์กรด้วยหลักความเมตตา 4 ใช้กระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ 4 ใช้กระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

การส่งเสริมคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีดังนี้ 1 มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 2 มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และรักษาความลับของลูกค้าอย่างเคร่งครัด 3 มีคุณธรรมกับสังคมรอบข้าง โดยการป้องกันผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมและจัดทำโครงการเพื่อสังคม 4 ส่งเสริมคุณธรรมให้เป็นวัฒนธรรมองค์การ โดยการปกครองด้วยหลักความเมตตา การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเคร่งครัดและยอมรับผลกระทบอย่างเท่าเทียมกันในช่วงวิกฤติ

6 ข้อใดไม่ใช่การสร้างภูมิคุ้มกันทางศีลธรรมแก่ลูกหลาน

1 มีฐานเครือญาติที่มั่นคง 2 มีเงินออมไม่ก่อหนี้

3 สอนลูกหลานให้รู้จักเก็บออมและทำบุญ 4 ฝึกใจตนเองให้เข้มแข็ง ปฏิเสธความชั่ว

ตอบ 2 มีเงินออมไม่ก่อหนี้

การสร้างภูมิคุ้มกันทางศีลธรรมแก่ลูกหลาน คือ การสร้างภูมิคุ้มกันต่อสิ่งชั่วร้ายทางศีลธรรม อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งมีวิธีการดังนี้

1 มีฐานเครือญาติที่มั่งคง 2 เน้นคำสอนของครอบครัวหรือตระกูล

3 พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม 4 สอนลูกให้รู้จักเก็บออมและทำบุญ

5 ฝึกใจตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ได้แก่ รู้จักข่มใจตนเอง ปฏิเสธความชั่วและยึดมั่นความดี

7 ชุมชนในข้อใดขาดภูมิคุ้มกันที่ดี

1 ชุมชนบางรักซอย 9 รักใคร่สามัคคีกัน 2 ชุมชนรามคำแหงเป็นชุมชนสีขาว

3 ชุมชนนางเลิ้งร่วมมือร่วมใจกัน 4 ชุมชนบางเขนต่างคนต่างอยู่

ตอบ 4 ชุมชนบางเขนต่างคนต่างอยู่

ระบบภูมิคุ้มกันด้านสังคมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1 ลักษณะภูมคุ้มกันเข้มแข็ง ได้แก่ การรู้รักสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกัน การมีคุณธรรมหรือใฝ่ในศาสนาธรรม สังคมสีขาว อยู่เย็นเป็นสุข และการมีทุนทางสังคมสูง

2 ลักษณะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่ การระแวงและทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่างคนต่างอยู่ ทุศีลหรือห่างไกลศีลธรรม เป็นเหยื่อแห่งอบายมุขทั้งปวง อยู่ร้อนนอนทุกข์ และการมีทุนทางสังคมต่ำ

8 การกู้เงินของใครไม่เหมาะสมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง

1 นาย ก กู้เงินไปไถ่ที่นา 2 นาย ข กู้เงินไปเรียนการทำอาหาร

3 นาง ค กู้เงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ให้ลูกชาย 4 นาง จ กู้เงินไปซื้อเครื่องซักผ้าเพื่อรับจ้างซักรีดผ้า

ตอบ 3 นาง ค กู้เงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ให้ลูกชาย

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธการเป็นหนี้ หรือการกู้ยืมเงินในภาคธุรกิจแต่จะเน้นการบริหารความเสี่ยงต่ำ หมายความว่า ถึงแม้จะกู้ยืมเงินมาลงทุนก็เพื่อดำเนินกิจการชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงมากนัก สามารถจัดการได้แก้ในภาวะที่โอกาสจะเกิดขึ้นจริงมีไม่มากนักก็ตาม โดยมีหลักการที่ควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติดังนี้

1 กู้เงิน > ลงทุน > มีรายได้ > ใช้หนี้ (หนี้เพื่อการลงทุน ก่อรายได้)

2 กู้เงิน > ซื้อของไม่จำเป็น > หนี้เพิ่ม (หนี้ไม่ก่อรายได้ ทำให้คนเป็นหนี้ขาดความมั่นใจ)

9 การกระทำของใครไม่พอประมาณ

1 เศรษฐีซื้อบ้านหลังใหญ่ 2 คนฐานะปานกลางซื้อบ้านหลังเล็ก

3 เด็กเล่นเกมคอมพิวเตอร์จนดึกดื่น 4 นายห้างไม่ปลดคนงานแต่ลดชั่วโมงทำงานแทน

ตอบ 3 เด็กเล่นเกมคอมพิวเตอร์จนดึกดื่น

ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “ความพอประมาณ” มีความหมายดังนี้

1 ความพอเหมาะพอดีแก่ประโยชน์ของตน ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

2 พอควรแก่อัตภาพ ไม่ทำอะไรเกินฐานะของตน

3 ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

10 สำนวนไทยในข้อใดที่ตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องพอประมาณและมีภูมิคุ้มกัน

1 สิบเบี้ยใกล้มือ ; กันไว้ดีกว่าแก้ 2 มิตรจิตรมิตรใจ ; นกน้อยทำรังแต่พอตัว

3 หวังน้ำบ่อหน้า ; สร้างวิมานในอากาศ 4 ขี่ช้างจับตั๊กแตน ; หนักเอาเบาสู้

ตอบ 1 สิบเบี้ยใกล้มือ ; กันไว้ดีกว่าแก้

สำนวนไทยที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีดังนี้

1 ความพอประมาณ คอ พอเหมาะพอดีต่อความจำเป็น เช่น สิบเบี้ยใกล้มือ (พอมองเห็นทางได้แม้จะเล็กน้อยก็หยิบฉวยไว้ก่อนดีกว่ามุ่งหวังจะเอาสิ่งใหญ่) นกน้อยทำรังแต่พอตัว (ทำอะไรให้พอเหมาะกับฐานะหรือความสามารถของตน)ฯลฯ

2 ความมีเหตุผล คือ มีเหตุผลในการกระทำสิ่งต่างๆเช่น กินน้ำให้เผื่อแล้ง (ทำอะไรให้คิดไกลไปถึงวันข้างหน้าด้วย) ผ่อนสั่นผ่อนยาว (รู้จักประนีประนอมในปัญหาต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน) ฯลฯ

3 การสร้างภูมิคุ้มกันในตัว คือ เตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น กันไว้ดีกว่าแก้ (ป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นล่วงหน้าดีกว่ามาตามแก้ภายหลัง) หนักเอาเบาสู้ (สู้งาน มานะบากบั่น) ฯลฯ

11 การกระทำในข้อใดที่แสดงว่า ค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

1 เคารพครูบาอาจารย์

2 กราบไหว้ภิกษุ – นักบวช

3 ยกย่องผู้อุทิศตนให้สังคม

4 ยอมรับนับถือคนรวยแม้ไม่สุจริต

ตอบ 4 ยอมรับนับถือคนรวยแม้ไม่สุจริต

ค่านิยมดั้งเดิมของสังคมไทยคือ การยกย่องผู้มีคุณธรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน เป็นต้น แต่ค่านิยมของสังคมไทยปัจจุบันกลับสะท้อนสิ่งต่างๆดังนี้

1 ยกย่องผู้มีเงิน ผู้ที่มีตำแหน่งสูง แม้จะเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรม

2 ลุ่มหลงในวัฒนธรรมและค่านิยมต่างประเทศ

3 ตกเป็นทาสวัตถุนิยมและบริโภคนิยมตามแนวคิดของต่างประเทศ จนกลายเป็นผู้แสวงหาความสุขทางวัตถุ ฯลฯ

12 “อย่าให้คำพูดเป็นนายเรา” คำกล่าวนี้เจตนาเตือนในเรื่องใด

1 อย่าพูดมาก 2 อย่าพูดก่อนเจ้านาย 3 พูดทุกคำที่คิด 4 หยุดคิดตั้งสติก่อนพูด

ตอบ 4 หยุดคิดตั้งสติก่อนพูด

คำกล่าวที่ว่า “อย่าให้คำพูดเป็นนายเรา” หมายความว่า ก่อนพูดเราคือนายของคำพูดแต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้พูดออกไปแล้ว คำพูดย่อมเป็นนายของเราเสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็ตามขอให้หยุดคิดตั้งสติก่อนพูด มิฉะนั้นอาจจะทำให้กลายเป็นคนที่ขาดความน่าเชื่อถือ รวมถึงเมื่อพูดอะไรออกไปแล้วก็ตาม ไม่ว่าคำพูดของเราจะก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียก็ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเองเสมอ

13 คำอธิบายในข้อใดไม่ตรงกันกับคำกล่าว “ความรู้คู่คุณธรรม”

1 ศาสนาให้สติปัญญา การศึกษาให้ความรู้ 2 การศึกษาและศาสนามีความสัมพันธ์กัน

3 ความดีเป็นตัวควบคุมความเก่ง 4 คุณธรรมเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิต

ตอบ 1 ศาสนาให้สติปัญญา การศึกษาให้ความรู้

คำว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” หมายถึง บุคคลจะมีความรู้เพียงอย่างเดียวไม่พอ หรือมีคุณธรรมอย่างเดียวก็ไม่พอเช่นกัน จะต้องมีทั้งสองสิ่งประกอบกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การศึกษา (ความรู้) และศาสนา (คุณธรรม) มีความสัมพันธ์กัน เพราะการศึกษาจะให้สติปัญญาความรู้ ส่วนศาสนาจะให้แนวทางปฏิบัติหรือหลักสำคัญในการดำเนินชีวิต ซึ่งได้แก่ หลักจริยธรรมและคุณธรรม ดังนั้นบุคคลที่สมบูรณ์จึงต้องมีทั้งความเก่งและความดีไปพร้อมๆกัน โดยให้ความดีเป็นตัวควบคุมความเก่งให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควร

14 ถ้านักศึกษาต้องการเรียนให้ได้ความรู้อย่างเต็มที่ คุณธรรมข้อแรกที่นักศึกษาต้องมีคืออะไร

1 มีศรัทธาในสิ่งที่เรียน 2 ไม่ดูถูกตนเอง 3 มีความจริงใจ 4 ไม่ประมาทปัญญาผู้อื่น

ตอบ 1 มีศรัทธาในสิ่งที่เรียน

กุศโลบายในการปฏิบัติงานหรือกิจการต่างๆให้ได้ผลดีมีอยู่ 5 ประการ คือ 1 สร้างศรัทธาความเชื่อถือในงานที่ทำ โดยเริ่มต้นที่ใจ ความศรัทธาจึงถือเป็นคุณธรรมที่ต้องมีเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อใจศรัทธาแล้วจะเกิดฉันทะ (พอใจจะทำ) 2 ไม่ประมาทในปัญญาความรู้ความสามารถของตนเองและผู้อื่น 3 รักษาความจริงใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 4 กำจัดจิตใจที่ต่ำทราม รวมทั้งสร้างเสริมความคิดจิตใจที่สะอาดและเข้มแข็ง 5 รู้จักสงบใจ

15 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของ “ความขยันหมั่นเพียร”

1 ดำ พยายามทำแบบฝึกหัดสม่ำเสมอ 2 แดงเป็นคนเอาการเอางานไม่ดูดาย

3 ขาวทำงานถูกต้องตามกฎเกณฑ์ 4 เขียวไม่ท้อถอยทำงานจนเสร็จ

ตอบ 3 ขาวทำงานถูกต้องตามกฎเกณฑ์

ความขยันหมั่นเพียร หมายความว่า การมีความวิริยะอุตสาหะหรือมุมานะพยายามเอาใจใส่ต่องานด้วยความกระตือรือร้น สม่ำเสมอ ไม่นิ่งเฉยหรือไม่ดูดายให้เวลาล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ท้อถอย หรือไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ เพื่อให้งานสำเร็จตามความมุ่งหมายหรือความต้องการ

16 การกระทำข้อขาดวินัย

1 บอลกลับเข้าพอหักก่อหอปิดเสมอ 2 บาสส่งรายงานตามกำหนดเวลา

3 เบสทิ้งขยะลงคลอง 4 บูมงดเหล้าเข้าพรรษา

ตอบ 3 เบสทิ้งขยะลงคลอง

การมีวินัยในตน หมายถึง การที่บุคคลมีความเชื่อและเต็มใจที่จะเชื่อถือตลอดจนบังคับให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ในการทำกิจกรรมส่วนตนและสังคมและสามารถที่จะตัดสินใจหรือใช้วิจารณญาณของตนได้โดยไม่ต้องให้บุคคลใดหรือกลุ่มใดมาบังคับ เช่น การรักษาสัญญากับตนเองหรือผู้อื่นจะกระทำหรืองดเว้นการกระทำใดๆ การตรงต่อเวลาที่มีการนัดหมายกัน การเคารพต่อกฎระเบียบของสังคมที่ยึดถือปฏิบัติร่วมกัน การรับผิดชอบตามบทบาทตามสถานภาพของตน เป็นต้น

17 ความขยันอดทนในการทำงานต่างๆ จะลดลงหรือหายไป ถ้านักศึกษาขาดคุณธรรมในข้อใด

1 ความตั้งใจจริง 2 ความเห็นแก่ตัว 3 ความสามัคคี 4 ความเมตตา

ตอบ 1 ความตั้งใจจริง

ความขยันอดทนในการทำงานใดๆ ให้สำเร็จได้ด้วยดีโดยตลอดนั้น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงเป็นส่วนใหญ่ เพราะความตั้งใจจริงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกำจัดความเกียจคร้าน ความอ่อนแอ และความท้อถอยได้อย่างดี โดยจะปลูกฝังความเอาใจใส่ ความขยันหมั่นเพียร และความอดทนเข้มแข็งให้เกิดขึ้นเป็นนิสัย

18 นักศึกษาไม่คล้อยตามคำโฆษณาสินค้า แสดงว่านักศึกษามีคุณธรรมในเรื่องใด

1 ไม่มีอคติ 2 มีสติรอบคอบ 3 ความรับผิดชอบ 4 ความอดทน

ตอบ 2 มีสติรอบคอบ

หลักการปฏิบัติตนในฐานะสมาชิกที่ดีของสังคมนั้น บุคคลต้องดำรงตนอย่างผู้มีวิจารณญาณ นั่นคือ มีสติรอบคอบ สามารถใช้ปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่างๆอย่างมีเหตุมีผล รู้จัดคิดวิเคราะห์โดยใช้สติปัญญาไต่สวนหาความจริงอย่างรอบคอบ ถ่องแท้ ไม่เลื่อนไหลไปตามกระแส ไม่เชื่อง่าย งมงาย หูเบา ใครหว่านล้อมอะไรก็คล้อยตาม

19 ค่านิยมของชาวตะวันตกข้อใดที่ไทยควรรับมาไว้เป็นแบบอย่าง

1 เสรีภาพในการทำงาน 2 การเห็นคุณค่าของงานมากกว่าบุคคล

3 มีความเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง 4 เห็นความสำคัญของวัฒนธรรมทางวัตถุ

ตอบ 2 การเห็นคุณค่าของงานมากกว่าบุคคล

ค่านิยมของชาวตะวันตกที่คนไทยควรรับมาไว้เป็นแบบอย่าง คือ การเห็นคุณค่าของงานมากกว่าบุคคล เพราะคนไทยชอบยึดถือตัวบุคคลเป็นหลัก รักพวกพ้องและมีความรู้สึกผูกพันกันเป็นส่วนตัว ทำให้ในการทำงานหรือเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งมักพิจารณาจากการเป็นพวกเขาพวกเรามากกว่าผลงานของบุคคลนั้นๆ

20 นิสัยคนไทยมักถือตนเป็นใหญ่ ทำให้เกิดผลต่อสังคมอย่างไร

1 ไม่ยอมรับคำแนะนำจากผู้อื่น 2 ไม่ช่วยกันรักษาสาธารณสมบัติ

3 ไม่ชอบรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น 4 ไม่ชอบทำตามแบบอย่างของผู้อื่น

ตอบ 1 ไม่ยอมรับคำแนะนำจากผู้อื่น

ลักษณะเด่นในนิสัยของคนไทยอย่างหนึ่ง คือ คนไทยมักถือตนเป็นใหญ่ มีความรู้สึกเกี่ยวกับการถือตัวมาก ชอบเอาดีเอาเด่นเฉพาะตัว ตลอดจนมีการแสดงออกในลักษณะที่ไม่ยอมกันไม่ลงให้กัน เวลาทำงานก็เลยทำงานเป็นทีมไม่ได้ เพราะแต่ละคนถือตัวมาก ต้องการเอาดีเอาเด่นคนเดียว ทำให้ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำจากผู้อื่น เพราะรู้สึกตัวเองจะด้อยลงไป จะแพ้เขาไม่ได้

21 ค่านิยมของชาวชนบทข้อใดที่ควรปรับปรุงแก้ไข

1 ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

2 ใครมาถึงเรือนชานต้องต้นรับ

3 ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน

4 รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ

ตอบ 1 ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ค่านิยมของชาวบนบทที่ควรแก้ไขคือ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ (ลงทุนไปโดยได้ผลประโยชน์ไม่คุ้มทุน ใช้จ่ายทรัพย์ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ เสียทรัพย์ไปโดยไม่ได้ประโยชน์อะไร) ซึ่งเป็นค่านิยมของความหรูหราและการจัดงานพิธีอย่างฟุ่มเฟือย

22 การกระทำในข้อใดแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

1 ร่วมกิจกรรมทางศาสนา 2 มีกริยามารยาทเรียบร้อย

3 แต่งกายได้ถูกต้องตามกาลเทศะ 4 พูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง

ตอบ 4 พูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง

ความภาคภูมิใจหรือความสำนึกในความเป็นไทย หมายถึง ความภาคภูมิใจในสิ่งต่างๆ ที่สะท้อนให้เห็นความเป็นชาติไทยหรือเอกลักษณ์ไทย โดยการพูดและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมประเพณี รักษาวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทั้งช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและอุดหนุนสินค้าไทย เพื่อความอยู่รอด ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้าของชาติไทย

23 ถ้าท่านกำลังเผชิญกับความเครียด ท่านควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อคลายเครียด

1 ทำสมาธิ 2 จดบันทึกคลายเครียด

3 ทำกิจกรรมที่ตนชอบ 4 หายใจลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ

ตอบ 1 ทำสมาธิ

เทคนิคในการคลายเครียดมีอยู่หลายวิธีดังนี้ 1 การจดบันทึกคลายเครียดโดยบันทึกรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดว่าเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไร สาเหตุคืออะไร และมีวิธีจัดการอย่างไร 2 การทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง ฯลฯ 3 ฝึกการหายใจลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ 4 ฝึกบริหารจิตโดยการทำสมาธิซึ่งเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดอย่างลึกที่สุดในระยะเวลาอันสั้น และถือเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด

24 ผู้มีจิตใจ ยินดีเมื่อผู้อื่นมีความสุข และพร้อมให้การสนับสนุน เป็นผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใด

1 เมตตา 2 กรุณา 3 มุทิตา 4 อุเบกขา

ตอบ 3 มุทิตา

พรมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจสำหรับผู้มีจิตใจประเสริฐหรือผู้ใหญ่ที่ต้องปกครองคนใต้บังคับบัญชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจและส่งเสริมให้เป็นผู้มีจิตใจดี มีจิตใจกว้างขวาง ป้องกันใจไม่เป็นสุข ประกอบด้วย

1 เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการช่วยให้ผู้อื่นประสบแต่ความสุข

2 กรุณา คือ ความสงสารและปรารถนาดีที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3 มุทิตา คือ ความเบิกบานพลอยยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความสุข มีจิตใจดี และพร้อมให้การสนับสนุน

4 อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลางและมองตามสภาพความเป็นจริง มีจิตเรียบเที่ยงธรรมดุจตาชั่งไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง รู้จักวางเฉย สงบใจมองดูเมื่อไม่มีกิจที่ควรทำด้วยพิจารณาในทางกรรมว่า ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลดีตอบสนอง ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น

25 การรู้จักสังเกตเป็นประโยชน์ต่อการทำงานอย่างไร

1 เกิดความรู้ 2 ก้าวหน้าในงานอาชีพ

3 เป็นคนละเอียดรอบคอบ 4 ทำงานสำเร็จโดยไม่เสียเวลา

ตอบ 4 ทำงานสำเร็จโดยไม่เสียเวลา

การรู้จักสังเกตจะทำให้เกิดความจำ เกิดความรู้และความคิดเป็นของตัวเอง เป็นคนละเอียดลออ มีไหวพริบ และมีสติปัญญา นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อการทำงาน คือ ทำให้ปฏิบัติภารกิจต่างๆได้สำเร็จ โดยไม่เสียเวลาหรือเสียแรงงานไปโดยเปล่าประโยชน์

26 การระลึกถึงผู้มีพระคุณด้วยการดูแลและเอาใจใส่ เป็นผลดีต่อผู้ปฏิบัติอย่างไร

1 มีความสุขใจในการกระทำ 2 มีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น

3 เกิดความรักสามัคคี 4 ได้รับการยกย่องจากผู้พบเห็น

ตอบ 1 มีความสุขใจในการกระทำ

ความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ เป็นคุณธรรมคู่กับความกตเวที คือ การตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น ซึ่งบุญคุณที่ว่านี้มิใช่ว่าตอบแทนกันแล้วก็หายกันไป แต่หมายถึงการระลึกถึงผู้มีบุญคุณที่เคยให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่งและตอบแทนพระคุณด้วยการดูแลเอาใจใส่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจที่ชุ่มชื้นมีความสุขใจในการกระทำ ทั้งนี้การแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณนั้นควรกระทำทุกเวลาไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทำ

27 ข้อใดเป็นการยกมือไหว้บิดามารดาได้ถูกต้อง

1 กระพุมมือไหว้โดยไม่แบมือ 2 ประนมมือยกขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว

3 ประนมมือยกขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก 4 ประนมมือขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง

ตอบ 3 ประนมมือยกขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก

การไหว้ตามประเพณีไทยมี 4 ลักษณะ ดังนี้

1 การไหว้ผู้มีฐานะเสมอกันหรือรับไหว้ ผู้ไหว้จะประนมมือกลางอก ปลายนิ้วตั้งตรงขึ้นเบื้องบน โดยอาจก้มหน้าลงเล็กน้อย

2 การไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงปลายสันจมูก แล้วก้มหน้าลง

3 การไหว้บิดามารดาหรือผู้อันเป็นที่เคารพยิ่ง ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายจมูกปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง

4 การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดตีนผมแนบหน้าผาก พร้อมกับค้อมหรือย่อตัวลง

28 ข้อใดเป็นจุดมุ่งหมายของการฝึกสมาธิ

1 เพื่อให้เรียนเก่ง 2 เพื่อให้มีสติปัญญาดี

3 เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง 4 เพื่อให้มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง

ตอบ 4 เพื่อให้มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง

การฝึกสมาธิ คือ การใช้สติกำหนดระลึกรู้ถึงลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา (อานาปานสติ) เพื่อทำให้จิตใจตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวและแน่วแน่มั่นคง ไม่ปล่อยให้จิตถูกครอบงำจากอำนาจใดๆ และเมื่อจิตมีสติก็จะทำให้ใจสงบเยือกเย็น รู้จักละวางทำให้จิตใจสบาย เกิดความผ่อนคลาย ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งการฝึกสมาธินี้ควรทำโดยเฉพาะเมื่อรู้สึกเครียด ไม่สบายใจ โกรธ หรือกังวล เพราะจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส คิดแก้ปัญหาต่างๆได้ดีกว่าเดิม ทำให้เครื่องเสียดแทงหัวใจ (โทสจริต) ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจระงับไปได้

29 ข้อใดเป็นท่านั่งบนเก้าอี้ที่เหมาะสม

1 นั่งเท้าแขน 2 นั่งขาชิด 3 นั่งไขว่ห้าง 4 นั่งถ่างขา

ตอบ 2 นั่งขาชิด

มารยาทในการนั่งเก้าอี้ที่เหมาะสม ควรนั่งให้ตัวตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ เท้าชิด เข่าและขาชิด มือวางไว้บนหน้าขา และควรนั่งเต็มเก้าอี้ อย่านั่งเก้าอี้ให้โยกหน้าหรือเอนหลัง ไม่ควรนั่งถ่างขา หรือไม่นั่งโดยเอาปลายเท้าหรือขาไขว้กันอย่าง “ไขว่ห้าง” แต่ถ้าจำเป็นต้องนั่งไขว่ห้างควรนั่งหันเท้าที่ไขว่ห้างห้อยลงขนานกับพื้น

30 การใช้ช้อนกลางที่ถูกต้องควรใช้อย่างไร

1 ใช้ตักแกงจืดขึ้นมาซด 2 ใช้ตักเฉพาะอาหารเผ็ด

3 ใช้ตักอาหารจากจานกลางโต๊ะมาใส่จานอาหารของเรา 4 ใช้ตักแบ่งอาหารให้สมาชิกในโต๊ะ

ตอบ 3 ใช้ตักอาหารจากจานกลางโต๊ะมาใส่จานอาหารของเรา

สมบัติของผู้ดีที่เป็นมารยาทในการรับประทานอาหารที่สำคัญประการหนึ่งคือ การใช้ช้อนกลางตักอาหารจาก

จานกลางโต๊ะมาใส่จานอาหารของตน ไม่ใช้เครื่องใช้ช้อนหรือส้อมที่เป็นส่วนของตนเองตักอาหารจากจานกลางเป็นอันขาด ทั้งนี้ประโยชน์จากการใช้ช้อนกลางก็คือ เพื่อป้องกันโรคติดต่อ

31 เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าการพูดหรือหัวเราะขณะอาหารเต็มปากเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ

1 อาหารจะติดคอ

2 อาหารจะเข้าไปในหลอดลม

3 อาหารจะหลุดออกจากปาก

4 อาหารจะกระเด็นไปถูกผู้อื่น

ตอบ 4 อาหารจะกระเด็นไปถูกผู้อื่น

มารยาทในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ได้แก่

1 ไม่คนอาหารเพื่อเลือกแต่ของที่ตนชอบ 2 ไม่พูดหรือหัวเราะขณะอาหารเต็มปาก เพราะถือเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ เนื่องจากอาหารอาจจะกระเด็นออกจากปากไปถูกผู้อื่นได้ 3 ไม่เคี้ยวอาหารเร็วจนเกินไป และควรหุบปากเวลาเคี้ยวอาหารเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง 4 ใช้ช้อนกลางตักอาหาร 5 หากจะไอหรือจามควรใช้มือหรือผ้าปิดปาก แล้วก้มหน้าลงเพื่อป้องกันการกระจายของโรค ฯลฯ

32 คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้พูดที่เราพูดด้วย เป็นคำสุภาพที่ใช้ได้กับบุคคลทุกระดับ ควรใช้คำใด

1 เรียกตามวัยวุฒิ 2 เรียกตามตำแหน่ง 3 เรียกตามชื่อ 4 เรียกว่าคุณ

ตอบ 4 เรียกว่าคุณ

คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้ที่เราพูดด้วยมีอยู่หลายคำ เช่น ใช้คำว่า “เธอ” กับบุคคลที่เสมอกันหรือเยาว์วัยกว่า ถ้ากับบุคคลที่อาวุโสกว่าใช้คำว่า “คุณ ท่าน ใต้เท้า” แต่คำสุภาพที่ใช้ได้ทุกโอกาสและกับบุคคลทุกระดับ คือ คำว่า “คุณ” บางคนใช้คำแทนตัวผู้ที่พูดด้วยว่า “พี่ ป้า น้า อา ยาย ลุง” โดยคิดว่าเป็นการแสดงความเป็นกันเอง แต่อาจทำให้ผู้ที่พูดด้วยไม่พอใจเพราะเขาไม่ใช่ญาติของผู้พูด นอกจากนี้ยังมีคำที่ถือว่าไม่สุภาพ แต่ชอบนำมาใช้กัน เช่น ลื้อ เจ้ เฮีย เป็นต้น

33 ถ้าจำเป็นต้องนั่งไขว่ห้าง ควรจะนั่งอย่างไร

1 นั่งกระดิกเท้าที่ไขว่ห้าง 2 หันเท้าที่ไขว่ห้างยื่นไปข้างหน้า

3 หันเท้าที่ไขว่ห้างห้อยลงขนานกับพื้น 4 หันฝ่าเท้าที่ไขว่ห้างออกไปด้านนอก

ตอบ 3 หันเท้าที่ไขว่ห้างห้อยลงขนานกับพื้น ดูคำอธิบายข้อ 29 ประกอบ

34 ข้อใดมิใช่ผลของภาวะโลกร้อน

1 อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น 2 แนวปะการังเปลี่ยนสี

3 การเผาซังข้าวโพด 4 น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย

ตอบ 3 การเผาซังข้าวโพด

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมีหลายประการ ดังนี้

1 การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก ทั้งที่เป็นธารน้ำแข้งและแหล่งน้ำแข้งที่ขั้วโลกเหนือ กรีนแลนด์

2 ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อาจทำให้เมืองสำคัญๆริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล

3 อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติ จนทำให้แนวปะการังเปลี่ยนสีเป็นสีขาว เติบโตช้า และอาจไม่สามารถสืบพันธุ์ได้

4 สภาวะอากาศแปรปรวน ซึ่งส่งผลให้เกิดพายุหมุนที่มีความถี่และรุนแรงมากขึ้น

5 บริเวณบางส่วนของโลกประสบกับภาวะแห้งแล้ง ฯลฯ

35 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัพยากรดินเสื่อมโทรม

1 ตัดไม้ทำลายป่า 2 ทำเหมืองแร่ 3 ปลูกพืชชนิดเดิมๆ 4 ปลูกอ้อยเพื่อส่งโรงงาน

ตอบ 1 ตัดไม้ทำลายป่า

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัพยากรดินเสื่อมโทรมมีดังนี้

1 การตัดไม้ทำลายป่า เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ดินเสื่อมคุณภาพ เพราะนอกจากจะทำให้ดินขาดธาตุอาหารที่ควรจะได้จากป่าแล้ว ยังทำให้ฝนตกลงมาชะล้างหน้าดินได้ง่ายยิ่งขึ้น

2 การปลูกพืชชนิดเดิมในที่ดินซ้ำๆกันหลายครั้งเป็นเวลานาน ทำให้แร่ธาตุและอินทรีย์สารจากดินหมดไปกลายเป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพืชบางชนิด เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด เป็นพืชที่ทำให้ดินเสื่อมเร็วกว่าปกติ

3 การทำเหมืองแร่ที่จำเป็นจะต้องมีการขุดเจาะ ระเบิดหรือฉีดน้ำ เพื่อให้ได้แร่ออกมาทำให้ดินสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อและไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีกเลย ฯลฯ

36 การไถกลบตอซังส่งผลต่อข้อใดน้อยที่สุด

1 อนุรักษ์ดิน 2 เพิ่มคุณภาพ 3 บรรเทาภาวะโลกร้อน 4 ป้องกันวัชพืช

ตอบ 4 ป้องกันวัชพืช

การไถกลบตอซัง หมายถึง การไถกลบวัสดุเศษซากพืชที่มีอยู่ในไร่น่าหลังจากทำการปลูกพืชต่อไป ซึ่งมีผลดีต่อการอนุรักษ์ดินดังนี้ 1 ปรับปรุงโครงสร้างของดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ทำให้ดินโปร่งร่วมซุย อุ้มน้ำได้ดี และความหนาแน่นของดินลดลง 2 เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุและหมุนเวียนธาตุอาหารพืชคืนสู่ดิน ทำให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น 3 เพิ่มผลผลิตให้กับพืชเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่มีการเผาตอซัง 4 บรรเทาภาวะโลกร้อนจากการเผาตอซังหลังการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ฯลฯ

37 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนแบบหมุนเวียน

1 การใช้พลังงานลม 2 การใช้พลังงานแสงอาทิตย์

3 การใช้ก๊าซชีวภาพจากขยะอินทรีย์ 4 การใช้ถ่านหินในโรงงานอุตสาหกรรม

ตอบ 4 การใช้ถ่านหินในโรงงานอุตสาหกรรม

พลังงานทดแทน หมายถึง พลังงานที่นำมาใช้แทนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่งพลังงานที่มีใช้อยู่ในท้องถิ่น ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาด้านมลพิษและแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานในอนาคต ซึ่งสามารถแบ่งออกตามแหล่งที่ได้มาเป็น 2 ประเภท คือ

1 พลังงานทดแทนจากแหล่งที่ใช้แล้วหมดไป อาจเรียกว่า พลังงานสิ้นเปลือง ได้แก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินน้ำมัน และทรายน้ำมัน เป็นต้น

2 พลังงานทดแทนจากแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วสามารถหมุนเวียนนำมาใช้ได้อีก เรียกว่า พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ น้ำ และไฮโดรเจน เป็นต้น

38 เทคโนโลยีสะอาดหมายถึงข้อใด

1 การลดมลพิษจากแหล่งกำเนิด 2 การเจือจางมลพิษจากแหล่งกำเนิด

2 การบำบัดมลพิษจากแหล่งกำเนิด 4 การกำจัดมลพิษจากแหล่งกำเนิด

ตอบ 1 การลดมลพิษจากแหล่งกำเนิด

เทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology : CT) หมายถึง การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือผลิตภัณฑ์เพื่อให้มีการใช้วัตถุดิบ พลังงาน และทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเปลี่ยนเป็นของเสียให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย จึงเป็นการลดมลพิษจากแหล่งกำเนิด รวมไปถึงการเปลี่ยนวัตถุดิบ การใช้ซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนการผลิตไปพร้อมกัน

39 พฤติกรรมข้อใดไม่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

1 นำขวดแก้วที่ใช้แล้วมาใส่น้ำดื่ม

2 การเติมออกซิเจนในน้ำเสียจากโรงงาน

3 การสร้างบ่อดักไขมันตามบ้านเรือน

4 ใช้สเปรย์ที่มีสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ

ตอบ 4 ใช้สเปรย์ที่มีสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ

สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) เป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตทางอุตสาหกรรม เช่น โฟม กระป๋องสเปรย์ สารทำความเย็นในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ซึ่งมีผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม โดยทำให้โลกร้อนขึ้นก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และทำลายบรรยากาศโลกจนเกิดรูรั่วในชั้นโอโซนได้

40 ข้อใดเป็นวิธีกำจัดขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน

1 Reuse 2 Repair 3 Reduce 4 Recycle

ตอบ 3 Reduce

หลัก 5 R ในการลดปริมาณขยะ ได้แก่

1 Reduce เป็นการลดการใช้หรือป้องกันให้มีขยะใหม่เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งถือเป็นวิธีกำจัดขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน เช่น ใช้ตะกร้า ปิ่นโต ถุงผ้า ฯลฯ ใส่อาหารหรือของแทนการใช้ถึงพลาสติก เลือกใช้สินค้าที่มีหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์น้อยและมีอายุการใช้งานยาวนาน ใช้สินค้าชนิดเติม เป็นต้น

2 Recycle เป็นการเอาวัสดุที่ยังสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ มาแปรรูปใช้ใหม่โดยกรรมวิธีต่างๆซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับขยะในเมืองใหญ่ได้ดีที่สุด

3 Reuse เป็นการใช้ซ้ำหรือใช้วัสดุให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่จะทิ้งไป

4 Repair เป็นการซ่อมแซมหรือนำสิ่งของที่ชำรุดมาซ่อมแซมเพื่อใช้งานอีกครั้ง

5 Reject เป็นการหลีกเลี่ยงการใช้ขยะพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี โดยหันมาใช้ปุ๋ยหมักจากธรรมชาติแทน

41 การปฏิบัติในข้อใดน่าจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับขยะในเมืองใหญ่ได้ดีที่สุด

1 เผาขยะ

2 ขุดหลุมฝังกลบ

3 นำไปทิ้งในพื้นที่ว่าง

4 นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่

ตอบ 4 นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ ดูคำอธิบายข้อ 40 ประกอบ

42 พฤติกรรมในข้อใดที่มีผลต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

1 การเดินสายกลาง

2 การลดการอุปโภคบริโภค

3 การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้

4 การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้

ตอบ 4 การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้

หลักการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพมีดังนี้

1 การสร้างจิตสำนึก 2 การศึกษา เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์

3 การลดอัตราการเสื่อมสูญ 4 การนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่

5 การใช้สิ่งประหยัดพลังงาน สิ่งทดแทนหรือพลังงานทดแทน

6 การใช้สิ่งที่มีคุณภาพรองลงมา 7 การสำรวจแหล่งทรัพยากรใหม่

8 การรู้จักป้องกัน 9 การลดการอุปโภคบริโภคเมื่อไม่จำเป็น

10 การเดินสายกลาง และนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้

43 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

1 การไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 2 การไม่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้

3 การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ 4 การปรับปรุงสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เสื่อมโทรม

ตอบ 2 การไม่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ โดยใช้อย่างประหยัดและไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งมีการพัฒนาปรับปรุงและบำรุงรักษาสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เสื่อมโทรม ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดคือการมีทรัพยากรไว้ใช้นานๆ ดังนั้นการอนุรักษ์จึงไม่ได้หมายถึงการเก็บรักษาเอาไว้เฉยๆ หรือการไม่นำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้

44 ข้อใดเป็นวิธีการปฏิบัติเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ดีที่สุด

1 การปรับเลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ 2 การนำเข้าของเทคโนโลยีจากต่างชาติ

3 ออกกฎหมายที่มีบทบัญญัติรุนแรงขึ้น 4 ประชุมหารือกับทุกประเทศเพื่อหาทางแก้ปัญหา

ตอบ 1 การปรับเลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์

วิธีการปฏิบัติเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนที่ดีที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ โดยการช่วยกันประหยัดและลดการใช้พลังงานในด้านต่างๆ ดังนี้ 1 ปิดสวิตช์ไฟทุกครั้งหลังเลิกใช้งาน 2 ไม่ควรเปิดไฟโดยไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นต้องเปิดไฟทิ้งไว้ทั้งคืนควรใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ 3 ควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเททุกครั้ง ก่อนเปิดเครื่องปรับอากาศประมาณ 15 นาที เพื่อทดแทนการใช้พัดลมระบายอากาศ 4 เลือกใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน เพื่อช่วยประหยัดไฟในการเปิดเครื่องปรับอากาศ 5 เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว อย่าใช้ตู้เย็นใหญ่เกินความจำเป็นเพราะจะกินไฟมาก 6 ไม่ควรรีดผ้าทีละชิ้นเพราะการเสียบปลั๊กเตารีดแต่ละครั้งจะมีช่วงสิ้นเปลืองไฟในเวลาที่รอให้ความร้อนสูงถึงระดับ 7 ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก 8 หันมาใช้ไม้ขีดไฟแทนไฟแช็ค เพราะไฟแช็คเป็นขยะที่ย่อยสลายยาก ฯลฯ

45 วัตถุดิบในข้อใดที่ใช้ผลิตไปโอดีเซล

1 สบู่ดำ 2 อ้อย 3 มันสำปะหลัง 4 แกลบ

ตอบ 4 แกลบ

ไบโอดีเซล เป็นพลังงานทดแทนเชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันพืชและไขมันสัตว์ เช่น ปาล์ม สบู่ดำ มะพร้าว ทานตะวัน ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เมล็ดเรพ ละหุ่ง งา ฯลฯ และน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เช่น น้ำมันทอดไก่ แคปหมู ปาท่องโก๋ หรือกล้วยแขก เพื่อนำมาทำปฏิกิริยาทางเคมี Transesterification ร่วมกับแอลกอฮอล์ จนเกิดเป็นสารเอสเตอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล (ส่วนพืชจำพวกแป้ง เช่น มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ฯลฯ ใช้ผลิตแก๊สโซฮอล์)

46 การผลิต Biogas ได้มาจากแหล่งวัตถุดิบแหล่งใดจึงเหมาะสมที่สุด

1 วัตถุดิบประเภทแป้ง 2 วัตถุดิบประเภทข้าวโพด

3 การหมักขยะอินทรีย์ 4 การหมักน้ำหมักชีวภาพ

ตอบ 3 การหมักขยะอินทรีย์

ก๊าซชีวภาพ (Biogas) เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ด้วยแบคทีเรียในกระบวนการทางเคมีโดยปราศจากออกซิเจน ซึ่งก๊าซที่ได้จะเป็นก๊าซมีเทน 55 – 75 % สามารถนำไปเผาไม้เพื่อให้ได้ความร้อนไปใช้งาน นำไปเป็นพลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าหรือผลิตก๊าซหุงต้มใช้ในครัวเรือน โดยวัตถุดิบที่นำมาผลิตก๊าซชีวิภาพที่สำคัญของไทย ได้แก่ มูลสัตว์จากฟาร์มปศุสัตว์โดยเฉพาะฟาร์มสุกรขนาดใหญ่ ขยะชุมชนเฉพาะส่วนที่เป็นขยะอินทรีย์ และน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เช่น โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โรงงานผลิตอาหารกระป๋อง

47 ร้านค้าใดไม่สามารถนำวัตถุดิบไปผลิตเชื้อเพลิงไปโอดีเซลได้

1 ไก่ทอด McDonald 2 ขายน้ำอ้อย 3 ขายปาท่องโก๋ 4 ทำสวนมะพร้าว

ตอบ 2 ขายน้ำอ้อย ดูคำอธิบายข้อ 45 ประกอบ

48 การสร้างบ่อดักไขมัน เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรใดโดยตรง

1 ทรัพยากรดิน 2 ทรัพยากรป่าไม้ 3 ทรัพยากรน้ำ 4 ทรัพยากรแร่ธาตุ

ตอบ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ มีดังนี้

1 การพัฒนาแล่งน้ำ ได้แก่ การขุดลอกหนองคลองบึง และแม่น้ำที่ตื้นเขินเพื่อให้สามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้น ตลอดจนการสร้างเขื่อนและอ่างกักเก็บน้ำ

2 การใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่ปล่อยให้น้ำสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และสามารถนำน้ำที่ใช้แล้วกลับมาหมุนเวียนใช้ได้ใหม่อีก

3 การควบคุมรักษาต้นน้ำลำธาร โดยการไม่ตัดไม้ทำลายป่าอย่างเด็ดขาด

4 ควบคุมมิให้เกิดมลพิษแก่แหล่งน้ำ เช่น ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง สร้างบ่อดักไขมัน เพื่อแยกไขมันออกจากน้ำก่อนปล่อยน้ำสู่ท่อน้ำสาธารณะ ฯลฯ

49 สิ่งก่อสร้างใดที่ทำลายที่อยู่ของสัตว์ป่ามากที่สุด

1 ฝายแม้ว 2 เขื่อน 3 คลองชลประทาน 4 ทำนบกั้นน้ำ

ตอบ 2 เขื่อน

การสร้างเขื่อน เป็นวิธีการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้ในเวลาที่ขาดแคลน แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เพราะการก่อสร้างเขื่อนจำเป็นต้องใช้พื้นที่จำนวนมาก ทำให้ต้องตัดไม้ทำลายป่า พอสร้างเขื่อนเสร็จ ป่าส่วนหนึ่งก็จะจมหายไปในอ่างเก็บน้ำ ซึ่งการที่ธรรมชาติถูกทำลายเช่นนี้ทำให้แหล่งอาหารและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายไป เป็นผลให้สัตว์ป่าบางชนิดอาจสูญพันธ์และจำนวนสัตว์ป่าลดน้อยลงไป

50 การปฏิบัติในข้อใดประหยัดพลังงานได้น้อยที่สุด

1 ปิดสวิตช์ไฟทุกครั้งหลังเลิกใช้งาน

2 ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำถ้าต้องการเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน

3 เปิดประตูเพื่อให้อากาศถ่ายเททุกครั้งก่อนใช้เครื่องปรับอากาศ

4 เลือกใส่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน

ตอบ 2 ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำถ้าต้องการเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ดูคำอธิบายข้อ 44 ประกอบ

51 ผู้ใดมีพฤติกรรมที่ช่วยลดโลกร้อนน้อยที่สุด

1 เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสม

2 รีดผ้าครั้งละชิ้นแทนหลายๆชิ้น

3 ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก

4 ใช้ไม้ขีดไฟแทนการใช้ไฟแช็ค

ตอบ 2 รีดผ้าครั้งละชิ้นแทนหลายๆชิ้น ดูคำอธิบายข้อ 44 ประกอบ

52 การใช้คอมพิวเตอร์ในลักษณะใดสามารถช่วยลดโลกร้อนได้มากที่สุด

1 ไม่เชื่อมต่อระบบเครือข่าย

2 ใช้คอมพิวเตอร์วันละ 1 ชั่วโมงและรักษาความสะอาด

3 ปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้ พิมพ์งานเมื่อจำเป็น

4 ใช้จอ LCD และปรับปรุงซอฟต์แวร์

ตอบ 3 ปิดเครื่องเมื่อไม่ใช้ พิมพ์งานเมื่อจำเป็น

วิธีใช้คอมพิวเตอร์อย่างชาญฉลาดเพื่อลดปัญหาโลกร้อน มีดังนี้

1 ปิดเครื่องและถอดปลั๊กเมื่อเลิกใช้งานแทนการใช้สกรีนเซฟเวอร์พักหน้าจอ

2 ใช้งานเท่าที่จำเป็น และเร่งทำงานให้เสร็จ ไม่เปิดโปรแกรมทิ้งไว้

3 ใช้จอขนาดเล็กหรือเปลี่ยนมาใช้จอ LCD (จอแบน) แทนจอแบบ CRT (คล้าย TV) เพราะจอ LCD จะประหยัดไฟมากกว่าถึง 60 %

4 ปรับปรุงซอฟต์แวร์และตั้งค่าให้เป็นระบบประหยัดพลังงาน

5 เลือกใช้ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ประหยัดไฟ ฯลฯ

53 อริยมรรคในข้อใดเกี่ยวข้องกับไตรสิกขาที่กล่าวถึงปัญญา

1 สัมมาทิฐิ 2 สัมมามติ 3 สัมมาวายามะ 4 สัมมากัมมันตะ

ตอบ 1 สัมมาทิฐิ

อริยมรรคหรือมรรค เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มีองค์ 8 ประการ สามารถย่อลงได้ในไตรสิกขา (ข้อที่พึงศึกษาปฏิบัติ) ซึ่งมีอยู่ 3 ประการ ดังนี้ 1 ศีล (ศีลสิกขา) ซึ่งตรงกับอริยมรรคคือ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) และสัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีวิตชอบ) 2 สมาธิ (จิตสิกขา) ซึ่งตรงกับอริยมรรคคือ สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) 3 ปัญญา (ปัญญาสิกขา) ซึ่งตรงกับอริยมรรคคือ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

54 ข้อใดกล่าวถึงสัมมาสมาธิได้ถูกต้องที่สุด

1 การเพ่งจิต 2 การทำให้จิตสงบนิ่ง

3 การบังคับให้จิตเกิดพลัง 4 การที่จิตหยั่งรู้อบายภูมิ

ตอบ 2 การทำให้จิตสงบนิ่ง

สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) คือ การทำใจให้เป็นสมาธิ เป็นการทำให้จิตสงบนิ่งตั้งมั่นแน่วแน่ในเรื่องที่ตั้งใจจะทำในทางที่ชอบ จึงเป็นสมาธิที่ใช้ถูกทางเพื่อจุดหมายในการหลุดพ้น เป็นไปเพื่อปัญญาที่รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง มิใช่เพื่อผลในทางสนองความอยากของตัวเอง โดยในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงลักษณะของสัมมาสมาธิไว้ดังนี้

1 สัมมาสมาธิ คือ การที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน

2 สัมมาสมาธิ คือ มีความตั้งมั่นแห่งจิตโดยชอบเป็นลักษณะ

55 หลักธรรมที่เน้นการละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ตรงกับข้อใด

1 อิทธิบาท 4 2 อหิงสา 8 3 ทิศ 10 4 โอวาทปาติโมกข์

ตอบ 4 โอวาทปาติโมกข์

โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักการและแนวทางที่พุทธศาสนิกชนควรนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ อันประกอบด้วยสาระสำคัญที่สรุปได้สั้นๆดังนี้ การไม่ทำบาปทั้งปวง (การละเว้นความชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม (การทำแต่ความดี) และการทำจิตของตนให้ผ่องใส (การทำจิตใจให้บริสุทธิ์)

56 สัมมาอาชีวะหมายถึงข้อใด

1 ชอบด้วยกลอุบายและกฎหมาย 2 ชอบด้วยเหตุและผล

3 ชอบด้วยตนและบุคคลอื่น 4 ชอบด้วยกฎหมายและธรรมมะ

ตอบ 4 ชอบด้วยกฎหมายและธรรมมะ

สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีวิตชอบ) หมายถึง เว้นจากมิจฉาอาชีวะ (อาชีพที่ผิด) หรือการประกอบอาชีพที่ถูกต้อง เลี้ยงชีพโดยสุจริต หรือสำเร็จชีวิตด้วยอาชีพที่ชอบด้วยกฎหมายและธรรมมะ คือ ไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดศีลธรรม ไม่ประกอบอาชีพที่เบียดเบียนก่อความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ชีวิตอื่น สังคม หรือที่จะทำให้ชีวิต จิตใจ และสังคมเสื่อมทรามตกต่ำ

57 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของ “พอเพียง”

1 สันโดษ 2 สมชีวิตา 3 มัตตัญญุตา 4 มัชฌิมาปฏิปทา

ตอบ 4 มัชฌิมาปฏิปทา

คำว่า “พอเพียง” ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ ซึ่งมีความหมายตรงกับหลักธรรมต่อไปนี้ 1 สันโดษ หมายถึง ความพอใจ ความยินดีด้วยของของตนซึ่งได้มาด้วยเรี่ยวแรงความเพียรโดยชอบธรรม ความยินดีด้วยปัจจัยสี่ตามมีตามได้ความรู้จักอิ่มรู้จักพอเพียง 2 สมชีวิตา หมายถึง ความเป็นอยู่พอดีหรือสมดุล คือ (เลี้ยงชีพแต่พอดี ไม่ให้ฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฝืดเคือง 3 มัตตัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้รู้จักความพอดี ความพอเหมาะ มามากเกินไป ไม่น้อยเกินไปในทุกๆเรื่อง (ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา หมายถึง ทางสายกลาง ข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆไม่หย่อนเกินไป ไม่ตึงเกินไป)

58 ข้อใดเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เกื้อหนุนให้คนได้รับความสำเร็จ

1 คบคนดี 2 ตั้งตนไว้ชอบ 3 ตั้งในถิ่นเหมาะสม 4 บุญในชาติก่อน

ตอบ 1 คบคนดี

มงคลชีวิต 38 ประการ เป็นสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นข้อควรปฏิบัติที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญก้าวหน้า ได้แก่

1 คบคนดีหรือบัณฑิต คือ คนที่มีจิตใจผ่องใสอยู่เป็นปกติ ทำให้มีความเห็นถูก ยึดถือค่านิยมที่ถูกต้อง สามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยปัญญา รู้ว่าอะไรดี – ชั่ว ถูก – ผิด บุญบาป ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้คนได้รับความสำเร็จและเจริญก้าวหน้า

2 ตั้งอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม คือ สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่เป็นพิษภัยแก่สุขภาพกายใจ แต่กลับสนับสนุนให้กิจการงานเป็นสัมมาอาชีพ ก้าวหน้าโดยง่าย และสร้างความดีได้เต็มที่

3 มีบุญวาสนามาก่อน คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในใจแล้วทำให้จิตใจใสสะอาด ส่งผลให้จิตใจชุ่มชื่น เป็นสุข ผ่อนคลายไม่ตึงเครียด

4 ตั้งตนไว้ชอบ คือ การตั้งเป้าหมายชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมไว้ถูกต้อง แล้วประคับประคองตนให้ดำเนินชีวิตไปตามเป้าหมายนั้นด้วยความระมัดระวัง ฯลฯ

59 กำนันแม้นรู้สึกยินดีเบิกบานใจมากที่ทราบข่าวว่านายสุข ลูกบ้านได้รับรางวัลลูกกตัญญูจากผู้ว่าราชการจังหวัด แสดงว่ากำนันแม้นมีคุณธรรมในข้อใด

1 เมตตา 2 กรุณา 3 มุทิตา 4 อุเบกขา

ตอบ 3 มุทิตา ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ

60 การกระทำในข้อใดมีคุณธรรมข้ออุเบกขา

1 การที่เขาตั้งใจเรียนอย่างจริงจังสมควรแล้วที่จะได้เกียรตินิยม

2 ถูกจับเสียบ้างก็ดี อยากขับรถซิ่งดีนัก

3 ใครนะช่างใจร้าย ทำได้แม้แต่หมาจรจัด

4 ดีใจด้วยนะที่ถูกล็อตเตอรี่ สักวันฉันคงโชคดีบ้าง

ตอบ 1 การที่เขาตั้งใจเรียนอย่างจริงจังสมควรแล้วที่จะได้เกียรตินิยม ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ

61 ผู้นำคนใดขาดสัมมาวาจา

1 ผู้ใหญ่บ้านจะทักทายลูกบ้านอย่างเป็นกันเองเสมอ

2 กำนันรับปากชาวบ้านไว้หลายเรื่องแต่ทำไม่ได้สักเรื่อง

3 นายอำเภออธิบายระเบียบการเบิกเงินผู้สูงอายุอย่างชัดเจน

4 ผู้ว่าราชการจังหวัดออกมาต้อนรับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างมีไมตรีจิต

ตอบ 2 กำนันรับปากชาวบ้านไว้หลายเรื่องแต่ทำไม่ได้สักเรื่อง

สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) คือ มีการเจรจาถูกต้อง พูดในสิ่งที่เป็นจริง มีประโยชน์ ไพเราะอ่อนหวาน พูดมีสาระ และพูดถูกกาลเทศะ โดยแสดงในทางเว้น (วจีสุจริต) หรือการไม่พูดชั่ว 4 ประการ คือ 1 ไม่พูดเท็จหรือพูดไม่จริง 2 ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้แตกสามัคคี 3 ไม่พูดคำหยาบ 4 ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ

62 นักการเมืองบางคนเคยร่ำรวย มีชื่อเสียงเกียรติยศ แต่ต่อมาถูกศาลลงโทษฐานฉ้อโกง ติดคุกหลายปี พฤติกรรมเหล่านี้แสดงธรรมะในเรื่องใด

1 อกุศลกรรม 2 โลกธรรม 3 พรหมวิหาร 4 สัปปุริสธรรม

ตอบ 2 โลกธรรม

ทุกอย่างในโลกล้วนเป็นอนิจจัง คือ ความไม่เที่ยงไม่แน่นอน ไม่ดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์ ทุกสิ่งเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา มีเกิดและมีดับไปในที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงของโลก คือ หลักโลกธรรม 8 ที่ว่า ได้ลาภ – เสื่อมลาภ ได้ยศ – เสื่อมยศ สรรเสริญ – นินทา สุข – ทุกข์ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาที่อยู่คู่มนุษย์ตลอดมา

63 ค่านิยมในข้อใดมีผลต่อการผลิตสินค้าของชุมชนน้อยที่สุด

1 สินค้าฟุ่มเฟือยจะขายดีในสังคมที่คนชอบฟุ้งเฟ้อ

2 สินค้าที่มีคุณภาพมีราคาย่อมเยาจะขายดีในสังคมที่พอเพียง

3 การโฆษณาสินค้าจะขายสินค้าได้มากเพราะเร้าใจให้ซื้อ

4 การพิจารณาความจำเป็น / ประโยชน์ของสินค้านั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

ตอบ 3 การโฆษณาสินค้าจะขายสินค้าได้มากเพราะเร้าใจให้ซื้อ

ค่านิยมของคนในสังคมก็มีผลต่อการผลิตสินค้าของชุมชนเช่นกัน เช่น ในสังคมที่คนชอบโก้ฟุ้งเฟ้อ สินค้าที่ฟุ่มเฟือยหรูหราโอ่อ่าก็จะขายดีกว่าสินค้าที่มีคุณภาพดี แต่ตรงกันข้ามอีกสังคมหนึ่งที่คนมีค่านิยมในทางชอบโก้ฟุ้งเฟ้อน้อย ก็จะซื้อสินค้าโดยมองถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง และจะพิจารณาถึงความจำเป็น ประโยชน์ของสินค้า และราคาที่ย่อมเยาก่อนตัดสินใจซื้อ ทำให้สินค้าที่ขายในสังคมสองประเภทนี้มีผลการขายในตลาดต่างกัน

64 กากระทำในข้อใดที่แสดงว่าผู้นั้นรู้จักปกป้องรักษาทรัพย์สินที่หามาได้อย่างดี

1 นิพินธ์ฝากเงินไว้เป็นทุนการศึกษาของลูก 2 นิวัฒน์เล่นหวยทุกงวดเพราะหวังรวย

3 นิยมจะไปบ่อนชายแดนเป็นประจำทุกเดือน 4 นิพัทธ์จะเที่ยวเธคบาร์เป็นประจำทุกสุดสัปดาห์

ตอบ 1 นิพินธ์ฝากเงินไว้เป็นทุนการศึกษาของลูก

อารักขสัมปทา หมายถึง ความถึงพร้อมด้วยการรักษา สามารถปกป้องคุ้มครองรักษาทรัพย์สินที่หามาโดยสุจริตนั้นให้คงอยู่ ให้ได้ประโยชน์ใช้สอยนานที่สุดทั้งนี้ให้รู้จักเก็บออมหรือจัดการกับทรัพย์สินให้เพิ่มพูนเจริญงอกงามขึ้น ไม่ให้สูญหายพินาศไปด้วยภัยต่างๆ หรือด้วยเหตุอันไม่ควร เช่น ดื่มสุรา เล่นการพนัน เป็นต้น

65 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับความสุขของคฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) ตามหลักพุทธศาสนา

1 สุขจากการมีทรัพย์ 2 สุขจากการมีคู่ครองที่ดี

3 สุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ 4 สุขจากการไม่เป็นหนี้

ตอบ 2 สุขจากการมีคู่ครองที่ดี

สุขของคฤหัสถ์ (กามโภคีสุข) คือ ความสุขอันชอบธรรมที่ผู้ครองเรือนควรพยายามทำให้เกิดขึ้นแก่ตนอยู่เสมอ มี 4 ประการ ดังนี้

1 อัตถิสุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ ภูมิใจว่าตนมีโภคทรัพย์ที่ได้มาด้วยความเพียรของตนโดยชอบธรรม

2 โภคสุข สุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ให้เกิดประโยชน์

3 อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ไม่ต้องทุกข์ใจ

4 อนวัชชสุข สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ ใครติเตียนไม่ได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ

66 พุทธสุภาษิต กล่าวว่า “พึงหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม” ใครมิได้ประพฤติตามพุทธภาษิตข้อนี้

1 แก้วเก็บกระดาษและพลาสติกใช้แล้วไปขาย 2 กิ่งรับสอนภาจีนในวันเสาร์ – อาทิตย์

3 กาญจน์ทำคุกกี้มาฝากขายที่โรงอาหารของบริษัท 4 แก้มเป็นเอเยนต์รับซื้อหวยใต้ดินส่งนายทุนใหญ่

ตอบ 4 แก้มเป็นเอเยนต์รับซื้อหวยใต้ดินส่งนายทุนใหญ่ ดูคำอธิบายข้อ 56 ประกอบ

67 ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับจริยธรรมกับการเมือง

1 จริยธรรมเป้นความดีส่วนบุคคล การเมืองเป็นความรับผิดชอบต่อสังคม

2 ความผิดทางการเมือง มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรระบุโทษ

3 จุดมุ่งหมายของการเมืองเพื่อความเป็นเลิศของแต่ละบุคคล

4 จริยธรรมเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละบุคคลประเมินผลยาก

ตอบ 3 จุดมุ่งหมายของการเมืองเพื่อความเป็นเลิศของแต่ละบุคคล

จริยธรรมกับการเมืองมีความแตกต่างกันดังนี้

1 จริยธรรมเป็นความดีส่วนบุคคล ในขณะที่การเมืองเป็นเรื่องความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคม

2 จริยธรรมเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละบุคคลจึงค่อนข้างยากแก่การประเมิน ในขณะที่การเมืองเป็น เรื่องภายนอกที่สามารถประเมินได้

3 ความผิดทางจริยธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้กระทำไม่ดีจะถูกลงโทษทางจิตใจและยากที่จะเลือนหายไป ในขณะที่ความผิดทางการเมืองจะมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรระบุโทษ

4 จริยธรรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นเลิศของแต่ละบุคคล ในขณะที่การเมืองมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นเลิศของสาธารณชน

68 จริยธรรมกับการเมืองจะผูกพันต่อกันเป็นอย่างดีจะต้องมีเรื่องใดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

1 อำนาจ – ความรู้ 2 ภาระ – หน้าที่ 3 อำนาจ – ผลประโยชน์ 4 สิทธิ – หน้าที่

ตอบ 4 สิทธิ – หน้าที่

จริยธรรมกับการเมืองจะมีผลผูกพันต่อกันได้เป็นอย่างดีนั้น จะต้องมีสิทธิและหน้าที่ (Rights and Duty) ของปัจเจกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอธิบายความหมายได้ดังนี้

1 สิทธิ คือ อำนาจหรือผลประโยชน์ของบุคคลที่กฎหมายรับรอง เช่น สิทธิของชุมชนที่จะดำรงชีพอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือคุณภาพชีวิตของตน ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะต้องได้รับความคุ้มครอง แต่ต้องไม่ก้าวก่ายหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่นในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม

2 หน้าที่ คือ ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐหรือสมาชิกของสังคม

69 การกระทำในข้อใดที่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น

1 ไพศาลคิดจะเปลี่ยนงานใหม่ 2 เทศบาลนำขยะมาทิ้งใกล้ชุมชนของเรา

3 อรนุชตัดสินใจเรียนต่อในประเทศไทย 4 โรงเรียนมุ่งหวังให้นักเรียนเป็นคนดี มีวินัย

ตอบ 2 เทศบาลนำขยะมาทิ้งใกล้ชุมชนของเรา ดูคำอธิบายข้อ 68 ประกอบ

70 การกระทำในข้อใดที่ขาดสำนึกจิตสาธารณะ (Public Mind)

1 สมาชิก จ.ส.100 ร่วมกันแจ้งข่าวจราจรใน กทม.

2 โครงการบวชป่าสืบชะตาแม่น้ำที่จังหวัดน่าน

3 นักเรียนและครูร่วมกันปลูกป่าชายเลน

4 การไม่รักษาความสะอาดของห้องน้ำในมหาวิทยาลัย

ตอบ 4 การไม่รักษาความสะอาดของห้องน้ำในมหาวิทยาลัย

การมีจิตใจหรือสำนึกสาธารณะ (Public Mind) หมายถึง การกระทำของเราเพื่อคนอื่น หรือการมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม ได้แก่ การที่บุคคลมีความรู้สึกเห็นคุณค่าของส่วนรวม ปรารถนาที่จะทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างกัน โดยการร่วมกันคิดร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม รวมถึงยอมรับหรือรับผิดชอบร่วมกันในผลของการกระทำนั้นๆเพื่อช่วยพัฒนาสังคมและชาติบ้านเมือง ตลอดจนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

71 ตามหลักปรัชญา หน้าที่สำคัญของมนุษย์คืออะไร

1 การฝึก – พัฒนา – เข้าใจตนเอง

2 การทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

3 การรับผิดชอบครอบครัว

4 การแสวงหาสัจธรรม

ตอบ 1 การฝึก – พัฒนา – เข้าใจตนเอง

หน้าที่สำคัญของมนุษย์แต่ละคนตามหลักปรัชญาและคำสอนทางศาสนา คือ การฝึกตนเอง พัฒนาตนเอง และเข้าใจตนเอง เพราะการเข้าใจจิตใจของตนเองเป็นบันไดสำคัญที่จะก้าวไปสู่ความเข้าใจจิตใจของผู้อื่น และการพัฒนาตนเองด้วยตนเองก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เป็นรากฐานที่จะช่วยเหลือพัฒนาบุคคลอื่นและสังคมได้ ดังนั้นผู้ที่มุ่งความเจริญจึงจำเป็นต้องพิจารณาดูตนเองและพัฒนาตนเองเสียก่อนที่จะไปพยายามพัฒนาคนอื่น

72 “ถ้ารัฐบาลจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ รัฐบาลจะต้องทำประชาพิจารณ์ก่อน” ข้อความนี้แสดงถึงสิทธิของประชาชนในด้านใด

1 สิทธิในร่างกาย 2 สิทธิทางเศรษฐกิจ 3 สิทธิในการชุมนุม 4 สิทธิของสตรี

ตอบ 2 สิทธิทางเศรษฐกิจ

สิทธิทางเศรษฐกิจ ตามรัฐธรรมนูญฯ ระบุว่า โครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม จะต้องมีการศึกษาสำรวจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาคม ถ้าไม่ศึกษาหรือศึกษาแล้วพบว่ามีผลกระทบก็ไม่สามารถดำเนินการสร้างได้ ยิ่งกว่านั้นประชาชนยังมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและทำประชาพิจารณ์ได้อีกด้วย

73 “รถไฟฟ้าควรมีลิฟต์ทุกสถานี เพื่อให้ประชาชนที่นั่งรถเข็นมีโอกาสใช้รถไฟฟ้าบ้าง”

ข้อความนี้แสดงถึงสิทธิของประชาชนในด้านใด

1 สิทธิทางเศรษฐกิจ 2 สิทธิในชีวิตร่างกาย 3 สิทธิโดยทั่วไป 4 สิทธิของผู้ด้อยโอกาส

ตอบ 4 สิทธิของผู้ด้อยโอกาส

สิทธิของผู้ด้อยโอกาสย่อมได้รับความคุ้มครอง ตามรัฐธรรมนูญฯโดยผู้ด้อยโอกาสไม่ว่าจะเป็นคนพิการ คนชรา คนยากไร้ เด็กหรือผู้หญิงตามรัฐธรรมนูญ จะได้รับการดูแลจากรัฐเพื่อที่จะให้มีโอกาสเท่าเทียมกับผู้มีโอกาสคนอื่นๆในสังคม

74 ข้อใดไม่ใช่ธรรมนูญชีวิตของศาสนาอิสลาม

1 การกล่าวคำปฏิญาณตน 2 การทำละหมาด

3 การปฏิบัติตนตามพระบัญญัติ 10 ประการ 4 การไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์

ตอบ 3 การปฏิบัติตนตามพระบัญญัติ 10 ประการ

มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามธรรมนูญชีวิตของศาสนาอิสลาม หรือที่เรียกว่ามุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่

1 การกล่าวคำปฏิญาณตน 2 การทำละหมาด (นมัสการ) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน

3 การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ 4 การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5 การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย (ส่วนพระบัญญัติ 10 ประการ เป็นธรรมนุญชีวิตของศาสนาคริสต์และศาสนายูดาห์)

75 ข้อใดคือลักษณะของบุคคลที่มีคุณลักษณะที่พึ่งตนเองมากที่สุด

1 กบเลือกนาย 2 อดอย่างเสือ ล่าเหยื่อด้วยตนเอง

3 โลเลเป็นไม้หลักปักเลน 4 น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า

ตอบ 2 อดอย่างเสือ ล่าเหยื่อด้วยตนเอง

การพึ่งตนเอง หมายถึง การเคารพตนเอง เชื่อมั่นในความสามารถที่จะกระทำการใดๆ ให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง และไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาหรือเป็นภาระแก่ผู้อื่นหรือหมู่คณะ จึงเป็นความสามารถในการดำรงตนอยู่ได้อย่างอิสระ มั่นคง สมบูรณ์ สามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาและเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “อดอย่างเสือ ล่าเหยื่อด้วยตนเอง”

76 ข้อใดแสดงว่าผู้คิดขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

1 ไม่มีสิ่งใดที่เกินความสามารถของฉัน 2 เมื่อตัดสินใจว่าจะเรียนแล้ว ฉันต้องเรียนให้จบเร็วที่สุด

3 ฉันจะไม่ประมาทเพราะใดใดในโลกล้วนอนิจจัง 4 ฉันควรฟังคำเตือนของเพื่อนๆดีไหมนะ

ตอบ 4 ฉันควรฟังคำเตือนของเพื่อนๆดีไหมนะ

บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเองว่ามีความสามารถที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ มักมีความคิดในเบื้องต้นดังนี้ ฉันไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดที่เกินความสามารถของฉัน เมื่อฉันตัดสินใจว่าจะทำแล้ว ฉันจะไม่ท้อถอยและทำจนประสบความสำเร็จให้ได้ ฉันจะไม่ประมาทเพราะใดใดในโลกล้วนอนิจจัง คุณควรทำด้วยตัวของคุณเองด้วยความมั่นใจ และไม่ควรทำตามผู้อื่น(ที่ด้อยกว่า) ฯลฯ

77 การกระทำของใครแสดงความรู้จักยับยั้งใจตนเองได้ดีที่สุด

1 นารีจะหน้าบึ้งทุกครั้งที่ถูกหัวหน้าตำหนิ 2 สีดานำเงินที่เก็บได้ไปคืนเจ้าของ

3 มารศรียอมเป็นภรรยาน้อยของสมชายเพราะรักเขามาก 4 ปรียาจะบีบแตรไล่รถคันหน้าเพราะขับช้า

ตอบ 3 มารศรียอมเป็นภรรยาน้อยของสมชายเพราะรักเขามาก

หลักทมะ หมายถึง การฝึกฝนจิตใจไม่ให้หวั่นไหววู่วามง่าย รู้จักข่มใจ แก้ไขปรับปรุงตนให้เจริญด้วยสติปัญญา และรู้จักระงับยับยั้งจิตใจของตนเองเมื่อได้พบเห็นสิ่งที่จะนำพาตนเองไปในทางที่ไม่ดี หรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมอันดีงาม สิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักของวัฒนธรรมหรือกฎหมายก็จะรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง สามารถยับยั้งตนเองได้ไม่ถลำลึกไปในการปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ผิด อันจะนำไปสู่การเป็นภาระของสังคมในอนาคต

78 การกระทำของใครมีผลดีต่อเศรษฐกิจของส่วนรวม

1 ไกด์ผีหลอกลวงนักท่องเที่ยวไปปลดทรัพย์

2 พ่อครัวแอบยักยอกอาหารกระป๋องจากภัตตาคาร

3 พนักงานขายดูแลลูกค้าอย่างดีทั้งก่อนและหลังการขาย

4 เจ้าหน้าที่พัสดุมาสายเสมอทำให้เบิกของไม่ค่อยได้

ตอบ 3 พนักงานขายดูแลลูกค้าอย่างดีทั้งก่อนและหลังการขาย

จริยธรรมของคนในสังคมย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจเป็นอันมาก เช่น หากในสังคมไม่มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จะกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว หรือคุณธรรม เช่น ความขยัน ความซื่อสัตย์ ความรักงาน และความตรงต่อเวลา ย่อมมีผลต่อคุณภาพของผลผลิตและการเพิ่มผลผลิตของเศรษฐกิจส่วนรวม

79 ข้อใดแสดงถึงคุณธรรมความรักชาติอย่างชัดเจน

1 โต้แย้งอย่างจริงจังด้วยเหตุผล 2 เคารพซึ่งกันและกัน

3 รับฟัง ไตร่ตรอง 4 ชั่งน้ำหนักประโยชน์ส่วนรวมก่อนตัดสินใจ

ตอบ 4 ชั่งน้ำหนักประโยชน์ส่วนรวมก่อนตัดสินใจ

คุณธรรมความรักชาติประการหนึ่ง คือ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและจงรักภักดีต่อชาติ โดยยอมสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ ดังนั้นในการคิดอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายนั้น ให้รู้จักคิดต่อยอดโดยมองประโยชน์ส่วนรวมเป็นใหญ่และรู้จักชั่งน้ำหนักประโยชน์ส่วนรวมก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร

80 วิธีคิดแบบ “กันไว้ดีกว่าแก้” ควรกระทำในระยะเวลาใด

1 การคาดการณ์ว่าจะเกิด 2 ห้วงเวลาก่อนจะเกิด 3 ห้วงเวลาขณะเกิด 4 ห้วงเวลาที่เกิดขึ้นแล้ว

ตอบ 1 การคาดการณ์ว่าจะเกิด

วิธีคิดแบบ “กันไว้ดีกว่าแก้” หมายถึง เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่ารอให้ปัญหาเกิดขึ้นป้องกันเหตุที่เกิดขึ้นเป็นการล่วงหน้าดีกว่ามาตามแก้ภายหลัง หรือป้องกันไว้ก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น คือ จะกระทำการใดต้องรู้จักวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้า จึงเป็นวิธีคิดที่ควรกระทำในระยะเวลาที่คาดการณ์ว่าจะเกิด เพื่อจะได้มีวิธีแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น

81 การ “อดออม” ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีความหมายสอดคล้องตามข้อใด

1 อยู่อย่างพอเพียง

2 อย่าวางใจใคร

3 ดูแลระมัดระวังทรัพย์สิน

4 พึงมีพึงเก็บ

ตอบ 1 อยู่อย่างพอเพียง

การอดออม หมายถึง การรู้จักใช้ รู้จักออมทรัพย์สินตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด มีความมัธยัสถ์พอเหมาะพอดีในการกระทำทั้งปวง รวมทั้งรู้จักดำรงชีวิตให้อยู่อย่างพอเพียง มีความพอประมาณ เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ส่วนตนและสังคม ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน

82 ข้อใดแสดงการเป็นมิตรเทียม

1 มีภัยอันตรายไม่ละทิ้ง 2 เพื่อนมีทุกข์พลอยไม่สบายใจ

3 เขาติเตียนเพื่อนก็เออออด้วย 4 เขาสรรเสริญเพื่อน ช่วยสนับสนุน

ตอบ 3 เขาติเตียนเพื่อนก็เออออด้วย

มิตรเทียม หรือศัตรูผู้มาในร่างมิตร (มิตรปฏิรูปก์) ประเภทหนึ่ง คือ คนหัวประจบ มีลักษณะ 4 อย่าง ได้แก่

1 จะทำชั่วก็เออออ 2 จะทำดีก็เออออ 3 ต่อหน้าสรรเสริญ 4 ลับหลังนินทา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นมิตรแท้ หรือมิตรด้วยใจจริง)

83 นักการเมืองควรมีคุณธรรมข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1 เผื่อแผ่แบ่งปัน 2 พูดจามีน้ำใจ 3 ช่วยเหลือเกื้อกูล 4 ซื่อสัตย์จริงใจ

ตอบ 4 ซื่อสัตย์จริงใจ

ผู้นำหรือนักการเมืองที่ดีควรตระหนักถึงความสุจริตจริงใจ 4 ประการ ดังนี้ 1 จริงต่อตนเอง คือ จริงต่อการกระทำและจริงต่อวาจา 2 จริงต่อผู้อื่น คือ มีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวงกัน 3 จริงต่อศาสนา คือ ประพฤติปฏิบัติดี 4 จริงต่อประเทศชาติ คือ มุ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม

84 การปกครองบ้านเมืองตามข้อใดจะทำให้ประชาชนมีความร่วมเย็นเป็นสุขอย่างแท้จริงได้

1 ประชาธิปไตย 2 อัตตาธิปไตย 3 โลกาธิปไตย 4 ธรรมาธิปไตย

ตอบ 4 ธรรมาธิปไตย

คนที่มีส่วนร่วมในการปกครองที่ดี ต้องมีหลักอธิปไตย 3 ประการ คือ

1 อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยความเคารพตน

2 โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยความเคารพเสียงหมู่ชน

3 ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ถือความถูกต้อง ดีงาม มีเหตุผล ชอบธรรม ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างแท้จริง

85 ในสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษาในข้อใดสำคัญที่สุด

1 รู้กว้าง 2 รู้ลึก 3 รู้จริง 4 เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง

ตอบ 4 เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง

ในสังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นสังคมที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน ระบบการศึกษาต้องเป็นการศึกษาที่ผสมผสานทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต หรือที่เรียกว่าการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งเป็นระบบการศึกษาที่สำคัญที่สุด

86 นักศึกษาพึงปฏิบัติตนอย่างไรในการอยู่ร่วมกันในสังคม

1 อ่านออกเขียนได้ มีอาชีพ

2 ดำรงตนสมฐานะความเป็นมนุษย์

3 มีคุณธรรมกำกับความรู้ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้

4 ประหยัดใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

ตอบ 3 มีคุณธรรมกำกับความรู้ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้

ในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น นักศึกษาพึงปฏิบัติตนให้มีคุณธรรมกำกับความรู้ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัย นอกจากนี้นักศึกษาต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ มีความเข้าใจผู้อื่น อันเป็นหลักพื้นฐานที่จะสามารถขจัดหรือลดความขัดแย้งและสร้างสันติภาพทั้งในระดับประเทศ รวมทั้งระดับประชาคมระหว่างประเทศสืบต่อไป

87 “พลศึกษา” ไม่ได้มุ่งเน้นข้อใด

1 การกินที่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ 2 การเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง

3 การดูแลทางจิตใจ 4 การใช้อุปกรณ์กีฬาและการแข่งขันเอาชนะ

ตอบ 4 การใช้อุปกรณ์กีฬาและการแข่งขันเอาชนะ

พลศึกษา หมายรวมถึงสุขศึกษา สุขาภิบาล ความสะอาด การกินที่ถูกต้องตามสุขบัญญัติ ตลอดจนการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์กีฬาแพงๆเสมอไป และไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาแข่งขันเอาชนะกันอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้พลศึกษายังต้องดูแลทางจิตใจด้วย เพราะกายกับจิตต้องพัฒนาคู่กันไป

88 “ครูคนละอย่าง” หมายความตามข้อใด

1 คิดว่าตนเองวิเศษ ตนเองดีแล้ว 2 คิดว่าตนเองเก่งแล้วไม่ฟังใคร

3 มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง 4 ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

ตอบ 4 ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน

“ครูคนละอย่าง” หรือ “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง คนเรามีความรู้ไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือวันนี้อาจรู้ทุกเรื่อง แต่วันพรุ่งนี้ก็เริ่มจะไม่รู้ เพราะโลกเรามีความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน เราจึงรู้บางเรื่องในเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ในขณะที่คนอื่นก็รู้หลายเรื่องที่เราไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรู้จักให้เกียรติคนอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน และการตระหนักว่าคนเรานั้นต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แนวความคิด และประสบการณ์ซึ่งกันและกันได้เสมอ

89 ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการพัฒนาตนเอง

1 เพื่อความสำเร็จสูงสุดในชีวิต 2 เพื่อบรรลุเป้าหมายที่กำหนด

3 เพื่อเอาชนะบุคคลอื่น 4 เพื่อให้ตนเป็นที่พึ่งของตนและสังคม

ตอบ 3 เพื่อเอาชนะบุคคลอื่น

การพัฒนาตนเอง (Self Development) หมายถึง การนำเอาศักยภาพของตนที่มีอยู่มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น เจริญงอกงามขึ้นในทุกๆด้าน โดยการกระทำของตนเอง ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ตนเป็นที่พึ่งของตนและสังคม เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆของตนเองบรรลุเป้าหมายที่กำหนด สามารถเอาชนะอุปสรรคและปัญหาต่างๆได้โดยตลอด เพื่อความสำเร็จสูงสุดและความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

90 คุณสมบัติทางใจข้อใดที่ทำให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ

1 ความมีอุดมการณ์ 2 ความช่างสังเกต 3 ความเพียร 4 ความเข้มแข็ง

ตอบ 3 ความเพียร

อิทธิบาท 4 คือ หลักธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จในชีวิต และเจริญก้าวหน้าในกิจการงานต่างๆประกอบด้วย

1 ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักงาน พอใจจะทำ ทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้สำเร็จอย่างดี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆด้วยความกระตือรือร้น

2 วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน ขยันหมั่นกระทำด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน ไม่ท้อถอย

3 จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทำด้วยความอุทิศตัวและใจ

4 วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทำงานด้วยปัญญา ใคร่ครวญหาเหตุผล ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

91 คนตรงต่อเวลาตรงกับจริยธรรมข้อใด

1 อุปนิสัยที่ดี

2 ความมีวินัย

3 ความมีมารยาท

4 ความรับผิดชอบ

ตอบ 2 ความมีวินัย ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ

92 การฝึกให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายในการทำงานควรปฏิบัติอย่างไร

1 กำจัดความใจร้อน หรือในเร็วด่วนได้

2 ทำงานช้าแต่สม่ำเสมอ ตรงต่อเวลา

3 นึกถึงวัตถุประสงค์และผลของงาน

4 รักษามาตรฐานและคุณค่าของตนเอง

ตอบ 2 ทำงานช้าแต่สม่ำเสมอ ตรงต่อเวลา

การฝึกให้เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย มีดังนี้ 1 ต้องไม่เป็นคนใจร้อนหรือทำอะไรเร่งรีบเกินไป 2 ในการทำงาน ทำงานให้ช้าลงแต่สม่ำเสมอและตรงต่อเวลา 3 หัดเป็นคนใจเย็น รู้จักใคร่ครวญ คิดหน้าคิดหลัง คิดอย่างสุขุม และทำให้ดีที่สุด 4 ทำงานให้มีวัตถุประสงค์และนึกถึงวัตถุประสงค์บ่อยๆ 5 หัดทำอะไรให้เป็นกิจวัตรประจำวัน

93 ความไต่ตรองแสดงออกอย่างไร

1 รู้จักวิเคราะห์ 2 รู้จักสังเคราะห์

3 การใคร่ครวญ ค้นหาข้อเท็จจริง 4 การสรุปหลักการเป็นของตนเอง

ตอบ 3 การใคร่ครวญ ค้นหาข้อเท็จจริง

ความไตร่ตรอง หมายถึง การคิดทบทวนประเมินผล คิดให้ลึกซึ้ง คิดใคร่ครวญเพื่อค้นหาว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือสิ่งถูกต้อง โดยอาศัยสติปัญญาและความรู้พื้นฐานต่างๆมาประกอบประมวลกันแล้วค่อยตัดสินใจ ซึ่งจะทำให้บุคคลรู้จักเลือกเชื่อสิ่งต่างๆด้วยเหตุผล ไม่ใช่เชื่อตามที่เขาว่ากัน หรือเชื่อตามหนังสือไปทุกอย่าง

94 การฝึกให้เป็นคนละเอียดต้องมีคุณสมบัติข้อใด

1 สติ 2 ปัญญา 3 สมาธิ 4 ขันติ

ตอบ 3 สมาธิ

การฝึกให้เป็นคนละเอียด คือ คิดในเชิงรายละเอียดที่มีลักษณะเกาะติดประสานและต่อเนื่องนำไปสู่ความลุ่มลึก จำเป็นต้องอาศัยสมาธิเป็นหลักเพื่อให้จิตใจจดจ่ออยู่กับที่กำลังกระทำ จนเกิดความตั่งมั่นรู้ชัดในสิ่งนั้นๆ ซึ่งย่อมจะทำให้การทำงานได้ผลดี ไม่ผิดพลาดแม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ

95 ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตต้องปฏิบัติอย่างไร

1 เรียกสติตลอดเวลา 2 ใช้ปัญญาช่วย ไม่มองผ่านสิ่งใด

3 ดูความแตกต่างคิดเปรียบเทียบสิ่งที่พบเห็น 4 หมั่นจดจำอดีตและปัจจุบัน

ตอบ 2 ใช้ปัญญาช่วย ไม่มองผ่านสิ่งใด

วิธีฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตมีดังนี้

1 พยายามดูสิ่งต่างๆอย่างถี่ถ้วน ไม่มองผ่านสิ่งใด โดยใช้ปัญญาช่วยดูเพื่อให้เห็นสิ่งนั้นๆตามที่เป็นจริง ไม่ใช่ตามที่ดูเหมือนจะเห็นหรือตามที่คิดเอาเอง

2 พยายามทำให้การสังเกตของตนถูกต้อง โดยจะต้องทำเสมือนว่าจะต้องถูกใครสอบถามเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกต และพร้อมที่จะตอบคำถาม

96 “การคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง” หมายความว่าอย่างไร

1 ไม่คิดเข้าข้างฝ่ายใดก่อน 2 ทำใจให้นิ่งๆมีสมาธิ

3 ไม่มีอคติลำเอียง 4 การคิดด้วยหลักวิชาการ

ตอบ 3 ไม่มีอคติลำเอียง

หลักของคุณธรรมประการหนึ่ง ได้แก่ การคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง หมายถึง ก่อนที่จะพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น หรือจะทำสิ่งใดต้องปฏิบัติตนดังนี้

1 หยุดคิดก่อน เพื่อรวบรวมสติให้มั่น 2 ไม่โอนเอน

3 ให้จิตสว่าง มองอะไรให้เป็นกลาง ไม่มีอคติลำเอียง 4 ต้องฝึกฝนจนชำนาญ

97 การที่นักเรียนแอบเจียดเงินค่าเทอมไปซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม

คำตอบข้อใดเป็นเหตุผลที่เหมาะสมที่สุด

1 เพราะเบียดเบียนตนเองและบิดามารดา 2 เพราะเงินนั้นเป็นหยาดเหงื่อของบิดามารดา

3 เพราะใช้เงินไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ 4 เพราะเป็นการใช้เงินเกินฐานะของตนเอง

ตอบ 1 เพราะเบียดเบียนตนเองและบิดามารดา

การกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม เพราะเป็นการกระทำที่เบียดเบียนตนเองและบิดามารดา ส่งผลให้ตนเองและบิดามารดาต้องเดือดร้อนในภายหลัง เนื่องจากมีเงินไม่พอจ่ายค่าเทอมจึงเป็นการกระทำที่ตรงกับสำนวนไทยว่า “เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง” หมายถึง เห็นคนร่ำรวยทำอะไรใหญ่โต ตัวเองไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเขา แต่อยากทำตามเขา เช่น เห็นเขามีเสื้อผ้าแบรนด์เนมก็อยากใส่บ้าง เห็นเขามีมือถือรุ่นใหม่ก็อยากมีบ้าง ทั้งๆที่ตัวเองมีรายได้น้อย จึงต้องไปกู้หรือหารายได้ในทางไม่สุจริต จนสร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและคนใกล้ชิด

98 สมศักดิ์ต้องขายที่นาหลายแปลงเพื่อส่งเงินให้ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพราะกลัวลูกจะไม่ทัดเทียมเพื่อนบ้าน การกระทำของสมศักดิ์ตรงกับสำนวนใด

1 กันไว้ดีกว่าแก้ 2 ขายผ้าเอาหน้ารอด 3 เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง 4 แมงเม่าบินเข้ากองไฟ

ตอบ 3 เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ดูคำอธิบายข้อ 97 ประกอบ

99 ศรรามเรียนคณะบริหารธุรกิจมาได้ 2 ภาคเรียน เกิดความท้อแท้อยากเลิกเรียน แต่สงสารแม่ที่อยากเห็นเขารับปริญญา นักศึกษาคิดว่าคุณธรรมในข้อใดที่จะช่วยกระตุ้นให้ศรรามหันกลับมามุมานะเรียนต่อจนสำเร็จ

1 ความกตัญญู 2 ความรอบคอบ 3 ความขยัน 4 ความเมตตา

ตอบ 1 ความกตัญญู

คุณธรรมชุดปัจจัยหล่อเลี้ยงที่ทำให้การทำงานต่างๆดำเนินต่อไปได้ด้วยดี ประกอบด้วย 1 ฉันทะ 2 สัจจะ

3 ความรับผิดชอบ 4 ความสำนึกในหน้าที่ 5 ความกตัญญู (ดูคำอธิบายข้อ 26 ประกอบ)

100 ข้อใดเป็นการใช้หลักการประชาธิปไตย

1 รับฟังเสียงส่วนน้อย 2 ทำตามใจที่ตนประสงค์

3 ใช้เหตุผลเพื่อยุติความขัดแย้ง 4 ลงโทษผู้ทำผิดอย่างรุนแรง

ตอบ 3 ใช้เหตุผลเพื่อยุติความขัดแย้ง

หลักการประชาธิปไตยที่สำคัญ ได้แก่

1 หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หมายถึง ประชาชนเป็นเจ้าของ มีอำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ

2 หลักความเสมอภาค หมายถึง ทุกคนที่เกิดมาเท่าเทียมกันในฐานะเป็นประชากรของรัฐ

3 หลักนิติธรรม หมายถึง ใช้หลักกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน

4 หลักเหตุผล หมายถึง ใช้เหตุผลที่ถูกต้องในการตัดสินใจหรือยุติความขัดแย้งรุยแรงในสังคม

5 หลักการถือเสียงข้างมาก หมายถึง การลงมติโดยยอมรับเสียงส่วนใหญ่

6 หลักการประนีประนอม หมายถึง ลดความขัดแย้งโดยการผ่อนหนักผ่อนเบา ร่วมมือกันเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ

101 ใครปฏิบัติตนตามหลักวิถีประชาธิปไตย

1 เอกทิ้งขยะบนถนน

2 ก้อยใช้ความรู้สึกตัดสินปัญหา

3 เจตกล่าวคำทักทายว่า “สวัสดี”

4 เนตรถือว่าความคิดของตนถูกเสมอ

ตอบ 3 เจตกล่าวคำทักทายว่า “สวัสดี”

พลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยมีแนวทางการปฏิบัติตนดังนี้ คือ 1 การแสดงความคิดอย่างมีเหตุผล 2 การรับฟังข้อคิดเห็นของผู้อื่น 3 การยอมรับเมื่อผู้อื่นมีเหตุผลที่ดี 4 การตัดสินใจโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก 5 การเคารพซึ่งกันและกันทั้งทางกายและวาจา ตลอดจนสิทธิของผู้อื่น และกฎระเบียบของสังคม 6 การมีจิตสาธารณะ คือ เห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมและรักษาสาธารณสมบัติ

102 การแผ่เมตตาหมายถึงข้อใด

1 ระลึกถึงผู้มีพระคุณ 2 อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ

3 ระลึกถึงพระรัตนตรัย 4 อธิษฐานให้มนุษย์และสัตว์มีความสุข

ตอบ 4 อธิษฐานให้มนุษย์และสัตว์มีความสุข

การแผ่เมตตา หมายถึง การอธิษฐานหรือส่งกระแสจิตของตนไปสู่ผู้อื่นทั้งที่เป็นเทวดา มนุษย์ และสัตว์ด้วยความหวังดีที่จะให้เขามีความสุข ได้รับความสมหวังในชีวิตเป็นการแสดงออกซึ่งน้ำใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมของผู้แผ่เมตตา ซึ่งจะทำให้ผู้ปฏิบัติเป็นประจำมีจิตใจอ่อนโยน เยือกเย็นลงได้ และทำให้มองเห็นว่าการที่มนุษย์หวังดีต่อกันนั้นเป็นทางนำให้โลกเกิดสันติสุขได้

103 การระงับความโกรธทำได้อย่างไร

1 เก็บความโกรธไว้ในใจ 2 ละวางทำจิตใจให้สบาย

3 พูดระบายความรู้สึกออกมา 4 แสดงความรู้สึกทางสีหน้า

ตอบ ละวางทำจิตใจให้สบาย ดูคำอธิบายข้อ 28 ประกอบ

104 ข้อใดเป็นการปฏิบัติเพื่อส่วนรวม

1 ขุดลอกคูคลอง 2 ปลูกต้นไม้ในบ้าน

3 หารายได้มาเลี้ยงครอบครัว 4 อบรมลูกหลานให้เป็นคนดี

ตอบ 1 ขุดลอกคูคลอง ดูคำอธิบายข้อ 70 ประกอบ

105 ข้อใดแสดงถึงความซื่อสัตย์สุจริต

1 ทำตามคำพูด 2 ทำตามที่ตนคิดว่าดี 3 ทำผิดแล้วยอมรับผิด 4 ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

ตอบ 4 ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา

ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา มีความซื่อตรงจริงใจทั้งทางความคิด คำพูดและการกระทำ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จริงใจในสิ่งที่ถูกที่ควร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง

106 ควรแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่เมื่อใด

1 เมื่อท่านชรา 2 เมื่อมีเวลาว่าง 3 เมื่อถึงวันสำคัญ 4 เวลาใดก็ได้

ตอบ 4 เวลาใดก็ได้ ดูคำอธิบายข้อ 26 ประกอบ

107 ข้อใดเป็นการทำดีทางกาย

1 ไม่คิดทำร้ายต่อผู้อื่น 2 ให้อภัยผู้ที่ทำผิดพลาด

3 พูดให้เกิดความสามัคคี 4 ช่วยพัฒนาชุมชนของตน

ตอบ 4 ช่วยพัฒนาชุมชนของตน

สุจริต แปลว่า การประพฤติดีงาม คือ มีความประพฤติดีประพฤติชอบ 3 ประการดังนี้

1 กายสุจริต คือ มีความสุจริตทางกาย ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง หรือประพฤติชอบด้วยกาย

2 วจีสุจริต คือ มีความสุจริตทางวาจา พูดสิ่งที่ดีงามถูกต้อง หรือประพฤติชอบด้วยวาจา

3 มโนสุจริต คือ มีความสุจริตทางใจ คิดสิ่งที่ดีงามถูกต้อง หรือประพฤติชอบด้วยใจ

108 คุณธรรมข้อใดทำให้ผู้ปฏิบัติประสบความสำเร็จ มีความเจริญ

1 อิทธิบาท 4 2 สังคหวัตถุ 4 3 พรหมวิหาร 4 4 ฆราวาสธรรม 4

ตอบ 1 อิทธิบาท 4 ดูคำอธิบายข้อ 90 ประกอบ

109 การฝึกตนด้วยการข่มใจ ปรับปรุงตนให้เจริญด้วยสติปัญญา เป็นการปฏิบัติตามคุณธรรมข้อใด

1 สัจจะ 2 ทมะ 3 ขันติ 4 จาคะ

ตอบ 2 ทมะ ดูคำอธิบายข้อ 77 ประกอบ

110 หลักธรรมใดเหมาะกับวัยผู้ใหญ่ เช่น ผู้นำ บิดามารดา ผู้บริหาร

1 อริยสัจ 4 2 สังคหวัตถุ 4 3 อิทธิบาท 4 4 พรหมวิหาร 4

ตอบ 4 พรหมวิหาร 4 ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ

111 ศาสนาพุทธเน้นการสอนในข้อใด

1 กฎแห่งกรรม

2 ความทุกข์

3 การดับทุกข์

4 ทุกข์และการดับทุกข์

ตอบ 4 ทุกข์และการดับทุกข์

ศาสนาพุทธมุ่งเน้นการสอนเรื่องการพ้นทุกข์เน้นสอนให้รู้จักทุกข์และวิธีการดับทุกข์ ให้พ้นจากความไม่รู้ความจริงในธรรมชาติอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จากกิเลสทั้งปวง คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยสัจธรรมที่เป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ 4 ได้แก่ 1 ทุกข์ คือ ปัญหา 2 สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหาหรือทุกข์ 3 นิโรธ คือ ความดับทุกข์หรือความพ้นทุกข์ 4 มรรค คือ ทางแก้ทุกข์หรือวิธีการดับทุกข์

112 การรักษาศีลอย่างมีสติ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร

1 ศิลปะในการมีสติ 2 สติสัมปชัญญะ 3 สติปัญญา 4 สติ โสรัจจะ

ตอบ 2 สติสัมปชัญญะ

การรักษาศีลอย่างมีสติ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สติสัมปชัญญะ เพราะคำว่าศีลในความหมายหนึ่ง แปลว่า มีสติดี (ความระลึกได้ในการกระทำ การพูด การคิด) และมีสัมปชัญญะดี (ความรู้ตัวที่เป็นไปในปัจจุบันในขณะที่กำลังทำ พูด คิด) ซึ่งธรรมทั้ง 2 ประการนี้ มีส่วนเกื้อกูลอย่างมากต่อการพัฒนาจริยธรรมและคุณธรรม หรือการทำความดีทุกอย่าง โดยสามารถที่จะรักษาศีลได้อย่างมีสติและรักษาวินัยคฤหัสถ์ได้อย่างบริบูรณ์หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสติและสัมปชัญญะ

113 เมื่อความแตกแยกเกิดขึ้นในสังคมใด บุคคลมักจะกล่าวอ้างเปรียบเทียบกับเรื่องเล่าเรื่องใด

1 พันท้ายนรสิงห์ 2 พระอภัยมณี 3 กษัตริย์ลิจฉวี 4 ขุนช้างขุนแผน

ตอบ 3 กษัตริย์ลิจฉวี

กษัตริย์ลิจฉวี เป็นเรื่องเล่าที่อยู่ในสามัคคีเภทคำฉันท์ของนายชิต บุรทัตกวีในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโทษของการแตกความสามัคคีกันระหว่างเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชี จนทำให้สังคมแตกแยก แบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายและนำไปสู่การเสียแคว้นวัชชีให้แก่พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ครองแคว้นมคธในที่สุด

114 อะไรไม่ใช่สิ่งที่ขัดขวางพัฒนาจริยธรรม

1 ตัณหา 2 มานะ 3 ทิฐิ 4 สติ

ตอบ 4 สติ

สิ่งที่มาขัดขวางการพัฒนาจริยธรรมและคุณธรรม ได้แก่

1 ตัณหา หมายถึง ความทะยานอยาก ซึ่งได้มาจากสิ่งที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

2 มานะ หมายถึง ความถือตัวหรือการเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นว่าตัวเองเหนือกว่า ด้อยกว่าหรือเสมอกับผู้อื่น

3 ทิฐิ หมายถึง ความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แบ่งออกเป็น สัมมาทิฐิ คือ ความเห็นชอบ เห็นถูกต้อง และมิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิดพลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับความจริง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ปิดกั้นความดีงามของมนุษย์ (ดูคำอธิบายข้อ 112 ประกอบ)

115 ข้อใดไม่ใช่วิธีใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

1 ไม่บริโภคเมื่อจำเป็น 2 ใช้สิ่งประหยัดพลังงาน

3 นำของเก่าที่ใช้ได้มาใช้ใหม่ 4 ใช้ของดีมีราคาที่ทนนาน

ตอบ 4 ใช้ของดีมีราคาที่ทนนาน ดูคำอธิบายข้อ 42 ประกอบ

116 ข้อความใดกล่าวไม่ถูกต้อง

1 การสร้างศรัทธาในงานที่ทำ เริ่มต้นที่ใจ 2 เมื่อใจศรัทธาแล้วจะเกิดฉันทะ (ความพอใจ)

3 ฉันทะจะช่วยให้กระตือรือร้นทำงาน 4 ความศรัทธาทำให้ใจอ่อนเชื่อง่าย

ตอบ 4 ความศรัทธาทำให้ใจอ่อนเชื่อง่าย ดูคำอธิบายข้อ 14 และ 90 ประกอบ

117 ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ที่เกิดจากการรักษาความจริงใจต่อผู้อื่น

1 เกิดความไว้วางใจ 2 ได้รับความร่วมมือ 3 มีความขยันอดทน 4 ทำงานสำเร็จราบรื่น

ตอบ 3 มีความขยันอดทน

การรักษาความจริงใจต่อผู้อื่น คือ มีความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ใจ ไม่โกหกหลอกลวงผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลนั้นประสบความสำเร็จในภารกิจต่างๆ ตลอดจนได้รับความเชื่อถือความร่วมมือ และความไว้วางใจจากผู้อื่น ส่วนการรักษาความจริงใจต่อตัวเอง คือ มีความซื่อตรงไม่หลอกตัวเอง สามารถประเมินค่าตัวเองได้ถูกต้อง ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลนั้นทำงานได้ตรงตามความสามารถของตัวเอง

118 การกระทำของใครแสดงว่ามีวินัยในตนเอง

1 ส้มไม่ยอมจ่ายค่าเก็บขยะของหมู่บ้าน 2 กล้วยอ่านตำราก่อนเรียนเสมอ

3 อ้อยขัยรถฝ่าไฟแดง 4 เงาะชอบตกปลาในบริเวณวัด

ตอบ 2 กล้วยอ่านตำราก่อนเรียนเสมอ ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ

119 คุณธรรมข้อใดที่ทำให้นารีต้องคิดทบทวนทุกครั้งที่จะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่

1 อดทน 2 ฉันทะ 3 มีวินัย 4 สัจจะ

ตอบ 1 อดทน

อดทนต่ออำนาจกิเลส คือ ความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ซึ่งเป็นการอดทนต่ออารมณ์อันน่าใคร่น่าเพลิดเพลินใจ อดทนต่อสิ่งที่เราอยากทำแต่ไม่สมควรทำ ในที่นี้มุ่งหมายถึงการไม่เอาแต่ใจตัว ไม่ยอมปล่อยตัวตามกระแสโลก และความเพลิดเพลิน เช่น ความสนุกสนาน การเที่ยวเตร่ การใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อต่างๆ หรือการได้ผลประโยชน์ในทางที่ไม่ควร เป็นต้น

120 คุณธรรมอันดับแรกที่คอยเหนี่ยวรั้ง ไม่ให้นักศึกษาประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง คือข้อใด

1 มีสติ 2 อดกลั้น 3 รอบคอบ 4 มีสัจจะ

ตอบ 1 มีสติ

คุณธรรมชุดปัจจัยเหนี่ยวรั้งไม่ให้บุคคลประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดีแต่จะคอยส่งเสริมให้การกระทำเป็นไปในทางที่ดีและรอบคอบ ประกอบด้วย 1 ความมีสติ 2 ความรอบคอบ 3 ความตั้งจิตให้ดี

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อความใดคือความหมายของภูมิปัญญาที่ถูกต้องที่สุด

1. การประกอบกิจการต่าง ๆ ของชุมชน

2. นำความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้

3. ความรอบรู้ สติปัญญาที่มีต่อการดำรงชีวิต

4.ความรอบรู้ที่สั่งสมมานาน นำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต

ตอบ 4 หน้า 431 , 433, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ความสามารถ ความเชื่อความสามารถทางพฤติกรรม และความสามารถในการแก้ปัญหาของมนุษย์ ซึ่งเป็นความรอบรู้ที่สั่งสมกันมานานตั้งแต่อดีต เพื่อนำมาปฏิบัติให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และยังเป็นองค์กรความรู้ที่พึ่งอนุรักษ์สืบสาน เพราะภูมิปัญญาจะเป็นตัวกำหนดการรับความเจริญทางวิทยาการสมัยใหม่และวัฒนธรรมต่างประเทศ

2. คุณค่าและความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ข้อใด

1. พื้นฐานการประกอบอาชีพ

2. เพื่อจรรโลงวิถีชีวิตให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ

3. เพื่อเป็นการพึ่งพาตนเอง และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

4. เอื้อประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและมั่นคง

ตอบ 3 หน้า 431, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย หมายถึง องค์ความรู้ของกลุ่มบุคคลในท้องถิ่นรวมถึงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีอยู่ ซึ่งมีคุณค่าและความสำคัญดังนี้

1. ช่วยธำรงวิถีชีวิตชนบทในแต่ละท้องถิ่นหรือแต่ละชุมชนให้คงอยู่

2. องค์ความรู้ของท้องถิ่นเป็นพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีชั้นสูง

3. แสดงถึงการพึ่งพาตนเอง และการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างคนกับคนคนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ฯลฯ

3. ภูมิปัญญาชาวอีสานที่เรียกว่า “หมอ” มีความหมายอย่างไร

1. หมอผู้เชียวชาญด้านการใช้ยาสมุนไพร

2. ผู้เชี่ยวชาญด้วยการใช้สมุนไพร

3. ผู้ที่ชุมชนยกย่องว่ามีภูมิปัญญาในทุกวิชาชีพ

4. ผู้ที่สามารถประกอบการงานได้ผลดี โดยใช้ภูมิปัญญา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาของชาวอีสานได้จัดระบบความสัมพันธ์ในชุมชน โดยให้มีผู้นำชาวบ้าน 2 แบบ ได้แก่

1. ผู้นำโดยอาวุโสของเครือญาติ คือ ผู้อาวุโสสูงสุดของสายตระกูล ซึ่งจะยกย่องให้เป็น “เจ้าโคตร”

2. ผู้ นำทางภูมิปัญญา คือ ผู้ที่ชุมชนยกย่องว่ามีภูมิปัญญาในทุกวิชาชีพ หรือมีความสามารถเฉพาะทาง ซึ่งจะได้รับการยกย่องให้เป็น “หมอ” เช่น หมอแคน หมอยา หมอธรรม หมอผีฟ้า หมอลำ เป็นต้น

4. เหตุใดคนไทยภายใต้จึงจัดให้มี “พิธีลอยเคราะห์”

1. เพื่อให้พ้นจากเคราะห์กรรม

2. ปลูกฝังให้คนในท้องถิ่นเกิดการเรียนรู้

3. เป็นประเพณีเพื่อความสนุกสนามรื่นเริง

4. เชื่อว่าเป็นผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คนไทยภาคใต้มีความเชื่อตามศาสนาพราหมณ์ว่า คน เราทุกคนมีช่วงเวลาที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุ ยามใดที่ดาวพระเคราะห์มาเสวยอายุก็จะเกิดโทษกับผู้นั้น คืออาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีเหตุการณ์ร้าย ๆ มากระทบต่อการดำเนินชีวิตของตัวเองและญาติมิตรดังนั้นจึงนิยมจัดให้มีพิธี ลอยเคราะห์เพื่อให้ตนพ้นจากเคราะห์กรรมนั้น ด้วยการนำต้นกล้วยมาทำเป็นแพ แล้วเอาผม เล็บ ขี้ไคล รวมทั้งดอกไม้ ธูปเทียน ใส่ในแพลอยน้ำไป

5. ข้อความใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับคำว่า “นายฮ้อย” ของภาคอีสาน

1. ชาวบ้านนำสินค้าไปขาย

2. ชาวบ้านนำสินค้าไปขายให้กับพ่อค้า

3. ชาวบ้านทำมาหากินเพียงเพื่อเป็นการยังชีพ

4. การเรียนรู้ของชาวบ้านเป็นระบบแลกเปลี่ยนสินค้า

ตอบ 1 (คำบรรยาย) “นาย ฮ้อย” เป็นภาษาท้องถิ่นของภาคอีสานที่เรียกกลุ่มบุคคลหรือชาวบ้านที่นำสินค้าไปขาย ในที่ต่าง ๆ โดยจะเรียกตามชื่อของประเภทสินค้า ดังนั้นคนที่ค้าขายวันควายจึงถูกเรียกขานว่า นายฮ้อยวัวควาย ซึ่งนับมีบทบาทสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชาวอีสานมากกว่ากลุ่มพ่อค้า สินค้าชนิดอื่น จนทำให้วีการค้าขายในลักษณะนี้กลายเป็นภูมิปัญญาของชุมชนตลอดมา

6. “นายขนมต้ม” เป็นคุณค่าของภูมิปัญญาไทยด้านใด

1. สืบทอดวัฒนธรรมไทย

2. ทำชื่อเสียงให้แก่ประเทศชาติ

3. วิธีปลูกฝังรักษาความเชื่อและบรรทัดฐานของสังคม

4. ภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิแก่คนไทย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) “นายขนมต้ม” นัก มวยไทยที่มีฝีเก่งในการใช้อวัยวะทุกส่วนของท่าของแม่ไม้มวยไทย และสามารถชกมวยไทยจนชนะพม่าได้ถึง 9 – 10 คนในคราวเดียวกันแม้ในปัจจุบันมวยไทยก็ยังถือว่าเป็นศิลปะชั้นเยี่ยม เป็นที่นิยมฝึกและแข่งขันกันในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ จึงนับเป็นมรดกทางภูมิปัญญาไทยที่สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรี เกียรติภูมิให้แก่คนไทย

7. ข้อความใดต่อไปนี้ไม่ใช่”การแพทย์แผนไทย”

1. ใช้สมุนไพร หัตถบำบัด

2. อิงความเชื่อทางสังคมและวัฒนธรรม

3. เป็นความรู้ที่มีเกณฑ์แน่นอนตายตัว

4. หมอรักษาวิธีใดได้ผลก็ใช้วิธีนั้นต่อ ๆ กันมา

ตอบ 3 หน้า 436, (คำบรรยาย) ภูมิปัญญา ไทยสาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ภูมิปัญญาไทยในด้านการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ จึงนับเป็นภูมิปัญญาที่อิงความเชื่อทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่ได้มี กฎเกณฑ์แน่นอนตายตัว หรือไม่ได้เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะอาศัยความรู้ที่ได้ผลหรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและสืบต่อกันมา เช่น ความรู้เรื่องการใช้สมุนไพรรักษาโรค การนวดแผนไทย (หัตถบำบัด) เป็นต้น

8. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงใช้ภูมิปัญญาสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเรื่องใด

1. สหกรณ์

2. เกษตรวิวัฒน์

3. เกษตรทฤษฎีใหม่

4. เกษตรพัฒนา

ตอบ 3 (บรรยาย) เกษตร ทฤษฎีใหม่ เป็นภูมิปัญญาไทยในสาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการ เกษตรที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานแก่พสกนิกรชาว ไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการแก้ไขปัญหาการเกษตรและเพื่อให้เกษตรกรไทยมีสภาพ ความเป็นอยู่อย่างพอเพียงเลี้ยงตัวเองในขั้นพื้นฐานได้ โดยมีหลักการเบื้องต้น คือ แบ่งพื้นที่ใช้สอย (10 ส่วน) ออกเป็น สระน้ำ 3 ส่วน (30%) นาข้าว 3 ส่วน (30%) พืชไร – สวน 3 ส่วน (30%) และบ้าน สาวนครัว สัตว์เลี้ยง 1 ส่วน (10%)

9. การมีชีวิตเพื่อสร้างสมคุณงามความดี หมายถึงข้อใด

1 หมั่นศึกษาหาความรู้

2. ดำเนินชีวิตด้วยความสงบ

3. ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจบริสุทธิ์

4. ประกอบอาชีพด้วยความซื่อสัตว์สุจริต

ตอบ 3 หน้า 202 (คำบรรยาย) การมีชีวิตเพื่อสร้างสมคุณงามความดี หมาย ถึง การทำความดีละเว้นความชั่ว และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งตรงกับหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ คือ โอวาทปาติโมกข์ อันเป็นหลักธรรมคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชาเพื่อให้พุทธ ศาสนิกชนนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

10. เมื่อมีความสันโดษเป็นคุณธรรมประจำใจ สามารถขจัดเรื่องใดออกไปได้

1. ความโลภ

2. ความเกียจคร้าน

3. ความอาฆาต

4. ความอิจฉาริษยา

ตอบ 1 หน้า 270, 353 , (คำบรรยาย) สันโดษ หมายถึง ความ พอใจในสิ่งที่ตนมี รู้จักความพอเหมาะไม่เกิดความละโมบจนเป็นเหตุให้ต้องทำทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งหากผู้ใดมีความสันโดษแล้วก็จะสามารถขจัดความละโมบโลภมากออกไปได้ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ความสันโดษ เป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” นั้นคือ ความพอใจจะทำให้เรามีความสุข ซึ่งเป็นทรัพย์อันล้ำค่าของมนุษย์

11. ความรู้ในรูปแบบของวิญญาณ เป็นความรู้ในลักษณะใด

1. ความรู้ที่เกี่ยวกับความจำ

2. ความรู้ที่เกี่ยวกับความเข้าใจ

3. ความรู้แจ้งในอารมณ์ที่มากระทบ

4. ความรู้ตามหลักสัจธรรม

ตอบ 3 หน้า 62 (H) (หู จมูก กาย และใจ โดยความรู้ในรูปแบบของวิญญาณนี้ แม้สัตว์เดรัจฉานก็มีความรู้เหมือนกันเพราะว่าสัตว์มีจิตสามารถรับรู้อารมณ์ภายนอกที่เห็นทางตา ได้ยินทางหู เหมือนกับมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่วคำบรรยาย) วิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งในอารมณ์ที่มากระทบทางตา

12. ความรู้ที่ก่อให้เกิดปัญญาที่สมบูรณ์ เข้าใจถึงแก่นแท้หรือหลักในการดำเนินชีวิต ตรงกับหลักของปัญญาตามข้อใด

1. ลิขิตมยปัญญา

2. สุตมยปัญญา

3. จินตมยปัญญา

4. ภาวนามยปัญญา

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 , 77 (H) (คำบรรยาย) ปัญญาเกิดจากความรอบรู้ ซึ่งจะเกิดประกอบกับจิตมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ 1. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาความรอบรู้ที่เกิดจากการฟังธรรมฟังครูสอนวิชาการต่าง ๆ หรือศึกษาเล่าเรียนจากการอ่านหนังสือ 2. จินตมยปัญญา คือ ได้เห็น หรือได้ศึกษาเล่าเรียนมา 3. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญา ที่เกิดจากการเจริญภาวนาหรือฝึกอบรมจิตใจให้มีสติ มีสมาธิ และเกิดปัญญาที่สมบูรณ์ รู้แจ้งเข้าใจถึงแก่นแท้หรือหลักในการดำเนินชีวิต

13. แนวคิดที่สำคัญของโสเครติส (Socrates) เกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

1. การปกครองเป็นศิลปะ

2. ปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้ จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

3. ธาตุแท้ของบุคคลในสังคม

4. อำนาจและความยุติธรรม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับคุณธรรมทางการเมืองของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้

1. เป้า หมายแห่งชีวิตมนุษย์ คือ การได้อยู่ในสังคมที่ดีงามเหมาะสม และได้รับความยุติธรรม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์

2. ความรู้เกี่ยวกับความดีที่สังคมพึงกระทำให้กันหรือแสดงออกต่อกัน

3. ปราชญ์เป็นผู้ที่มีความรู้จึงเป็นผู้มีคุณธรรม

14. “ราชาปราชญ์” ตามแนวคิดของเพลโต (Plato) เป็นผู้ทรงคุณธรรมในลักษณะอย่างไร

1. ผู้เสียสละ

2. เป็นผู้มีบารมี

3. เป็นผู้มีอำนาจ

4. เป็นผู้ที่มีทั้งอำนาจและบารมี

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ตามแนวคิดของ เพลโต (Plato) ผู้ที่จะเป็นราชาปราชญ์ได้ ควรเป็นผู้ทรงคุณธรรมในลักษณะดังนี้ 1. เป็นผู้เสียสละ 2. เป็นผู้ที่ไม่ควรมีทรัพย์สินและครอบครัว

15. ข้อใดต่อไปนี้คือหลักธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจ

1. การให้

2. ความซื่อสัตย์สุจริต

3. การรู้คุณและตอบแทนบุญคุณ

4. การเจรจาหรือการติดต่อสื่อสาร

ตอบ 2 (คำบรรยาย) หลัก ธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับการดำเนินธุรกิจ คือ ความซื่อสัตย์สุจริตซึ่งหมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ทำทุกอย่างตรงไปตรงมามีความซื่อตรงจริงใจทั้งทางความคิด คำ พูด และการกระทำทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จริงในใจสิ่งที่ถูกที่ควร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงผู้อื่นซึ่งจะส่งผลให้บุคคลได้รับความเชื่อถือ ความร่วมมือ และความไว้วางใจจากผู้อื่น

16. นักศึกษาคิดว่าเพราะเหตุใดจึงจัดความละอายแก่ใจและความเกรงกลัว เป็นธรรมโลกบาลหรือธรรมที่คุ้มครองโลก

1. ทำให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

2. เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน

3. เป็นการปกป้องคนดีในสังคม

4. เป็นหลักที่ใช้ในการควบคุมในสังคม

ตอบ 1 (คำบรรยาย) คำว่า “หิริ” แปลว่า ความ ละอายต่อบาปหรือความชั่วทุกชนิด เมื่อคิดจะทำชั่วแล้วไม่กล้าทำ ส่วน “โอตตัปปะ” แปลว่า ความเกรงกลัวต่อผลของบาปหรือความชั่วกลัวว่าเมื่อทำชั่วไปแล้วผลกรกรรมจะมา ถึงตนเองและครอบครัว ดังนั้นหิริ – โอตตัปปะ จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ธรรมโลกบาล” (ธรรมคุ้มครองโลก) เพราะถ้าโลกมีธรรมะ 2 ประการนี้คุ้มครองป้องกันเอาไว้ มนุษย์ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีระเบียบไม่สับสน แต่ถ้าโลกไม่มีธรรมะ 2 ประการนี้คุ่มครองไว้ มนุษย์ก็จะสามารถทำชั่วได้ทุกอย่าง

17. เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

1. ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างสุขสบาย

2. รู้จักควบคุมตนเอง

3. อุ้มชูตนเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง

4. เข้าใจสภาพของตนเอง

ตอบ 3 หน้า 57 (H) “เศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน” หมายความว่า อุ้ม ชูตัวเองได้ ให้มีเพียงกับตัวเองซึ่งความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้อง ผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เองอย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไรไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก

18. กรอบปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานมาจากส่วนใด

1. สภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในปัจจุบัน

2. แนวโน้มการพัฒนาประเทศในอนาคต

3. การรับแนวคิดการพัฒนาจากประเทศตะวันตก

4. วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคม

ตอบ 4 หน้า 56 (H) กรอบ แนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตที่ดั้งเดิมของสังคมไทยซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

19. คุณลักษณะของกิจกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงด้านความมีเหตุผล สะท้อนถึงคุณลักษณะส่วนใดต่อไปนี้

1. ความไม่ประมาท

2. ความรอบรู้และสติปัญญา

3 ความสมดุล

4. ความเสมอภาค

ตอบ 2 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง “ความมีเหตุมีผล” หมาย ถึง การตัดสินในเกี่ยวกับระดับของความพอดีเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยใช้ความรอบรู้และสติปัญญาพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

20. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของเศรษฐกิจพอเพียงได้ครอบคลุมมากที่สุด

1. แนวทางในการดำเนินชีวิต

2. ความเข้าใจในการประกอบอาชีพ

3. การอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

4. ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ตอบ 4 หน้า 57 – 58 (H) ผลสัมฤทธิ์ส่วนตนและส่วนรวมจากการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ ชีวิตสมดุล เศรษฐกิจมั่นคง และสังคมยั่งยืน โดยมีแนวทางปฏิบัติหรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคือ การพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้องรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้านทังด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี

21. ข้อใดเป็นความหมายของคำว่า “คุณธรรม”

1. มีความดีทั้งกาย วาจา ใจ

2. ประพฤติกรรม ทำดีต่อตนเองและผู้อื่น

3. ประพฤติดีทั้งกาย วาจา และใจอยู่เสมอ

4. ปฏิบัติตนดีทางกาย วาจา และใจจนเคยชิน

ตอบ 4 หน้า 244, (คำบรรยาย) กู๊ด (Good) ให้ความหมายคำว่า “คุณธรรม” ไว้ดังนี้

1. คุณธรรม หมายถึง ความดีงามของลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมที่ได้กระทำจนเคยชินเป็นนิสัยหรือการปฏิบัติตนดีทางกาย วาจา และใจจนเคยชิน 2. คุณธรรม หมายถึง คุณภาพที่บุคคลได้กระทำ ความคิดและมาตรฐานของสังคม ซึ่งเกี่ยวกับความประพฤติและศีลธรรม

22. ผู้มีคุณธรรมทางวาจาพึงระวังการปฏิบัติในข้อใด

1. ใช้ถ้อยคำสุภาพ

2. พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์

3. พูดในสิ่งที่เห็น

4. พูดในสิ่งที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อน

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผู้มีคุณธรรมทางวาจา (การพูดจาดี) ควรปฏิบัติดังนี้

1. ใช้ถ้อยคำสุภาพ 2. พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 3. ไม่พูดให้ตนเองหรือผู้อื่นเดือนร้อน ไม่พอใจ และพึงระวังการพูดในสิ่งที่เห็นโดยไม่พิจารณาถึงความเป็นจริง ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง

23. หลักธรรมข้อใดช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีจิตใจดี (มโนธรรม)

1. พรหมวิหาร 4

2. สังคหวัตถุ 4

3. อิทธิบาท 4

4. อริยสัจ 4

ตอบ 1 หน้า 351 , 525 , 676 – 677 พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมประจำใจสำหรับผู้มีจิตใจประเสริฐหรือผู้ใหญ่ที่ต้องปกครองคนใต้ บังคับบัญชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกันและส่งเสริมให้ผู้ ปฏิบัติมีจิตใจดี (มโนธรรม) มีจิตใจกว้างขวาง ป้องกันใจไม่เป็นสุข ประกอบด้วย

1. เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดี ต้องการช่วยให้ผู้อื่นประสบแต่ความสุข

2. กรุณา คือ ความสงสารและปรารถนาที่จะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3. มุทิตา คือ ความเบิกบานพลอยยินดีที่เห็นผู้อื่นมีความสุข มีจิตใจ และพร้อมให้การสนับสนุน

4. อุเบกขา คือ ความ มีน้ำใจเป็นกลางและมองตามสภาพความเป็นจริง มีจิตเรียบเที่ยงธรรมดุจตาชั่งไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง รู้จักวางเฉย สงบใจมองดูเมื่อไม่กิจที่ควรทำด้วยพิจารณาในทางกรรมว่า ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลดีตอบสนอง ใครทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลจากการกระทำนั้น

24. พาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เป็นปัญหาวิกฤตทางวัฒนธรรม แสดงถึงการยึดติดวัตถุนิยมบริโภคนิยม ยกเว้น ตัวอย่างในข้อใด

1. จับได้ยกแก๊งลักรถรายใหญ่

2. แก๊งรถตู้อุ้ม ม.1 ขยี้กาม ขังล่ามโซ่

3. จับผงขาว 100 ล้านรายใหญ่ในรอบ 5 ปี

4. ซิวอดีตบุรุษพยายามมอบยารูดทรัพย์เหยื่อ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) สถานการณ์ และปัญหาวิกฤตทางวัฒนธรรมไทยประการหนึ่ง คือ การยึดติดวัตถุนิยม และบริโภคนิยม ซึ่งเป็นการแสวงหาหรือเสพสุขความสุขด้วยการใช้วัตถุเป็นสื่อกลางหรือนิยม บริโภคสิ่งต่าง ๆ ฟุ่มเฟือยเกินความต้องการที่จำเป็นใช้ชีวิต โดยไม่ให้ความสำคัญต่อการสร้างความสุขให้เกิดขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา เช่น การลักทรัพย์ ค้ายาเสพติด ค้าประเวณี ฯลฯ

25. หลักธรรมในข้อใดสอนให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นคนดี

1. โอวาท 3

2. ภาวนา 3

3. ไตรลักษณ์ 3

4. ไตรสิกขา

ตอบ 1 (คำบรรยาย) โอวาท 3 คือ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนให้บุคคลปฏิบัติตนเป็นคนที่มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง คือ การไม่ทำความชั่วทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ 2. ทำความดีให้ถึงพร้อม คือ เมื่อเราจะละเว้นจากการทำความชั่ว แล้ว ก็ต้องหมั่นทำความดีควบคู่กันไปด้วย จึงถือว่ามีความดีสมบูรณ์อย่างแท้จริง 3. ทำจิตใจให้ผ่องใส่ คือ กำจัดสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองออกไป เช่น ความโลภ ความโกธร ความหลง ฯลฯ

26. การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์หรือช่วยแก้ปัญหาบุคคลในสังคม เป็นตัวอย่างของผู้มีคุณธรรมในข้อใด

1. ทาน

2. ปิยวาจา

3. อัตถจริยา

4. สมานัตตา

ตอบ 3 หน้า 89 (H) 100 (H) 105 (H) คุณธรรมสังคหวัตถุ 4 ได้แก่

1. ทาน คือ การให้ปัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

2. ปิยวาจา คือ การพุดถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ดังโคลงโลกนิติตอนหนึ่งว่า “อ่อนหวานมานมิตรล้น เหลือหลาย…”

3. อัตถจริยา คือ การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือช่วยแก้ปัญหาบุคคลในสังคม

4. สมานัตตา คือ การวางตัวสม่ำเสมอ ไม่ทอดทิ้ง เอาตัวเข้าสมาน

27. ผู้ที่จะประสบคามสำเร็จในการเรียน การทำงานหรือการครองชีวิต ควรเริ่มต้นจากการปฏิบัติคุณธรรมในข้อใด

1. วิริยะ

2. อุตสาหะ

3. ฉันทะ

4. จิตตะ

ตอบ 3 หน้า 356, 104 (H), 125 (H) อิทธิบาท 4 คือ คุณธรรมที่เป็นพื้นฐานนำไปสู่ ความสำเร็จในชีวิต การทำงาน และการศึกษา ประกอบด้วย

1. ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักงาน พอใจจะทำ ทำด้วยใจรัก ต้องการทำให้เสร็จอย่างดี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจที่ดีอันดับแรกในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้น

2. วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน ขยันหมั่นกระทำด้วยความพยายาม มีความตั้งใจ เข้มแข็ง อดทน ไม่ท้อถอย

3. จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทำด้วยความอุทิศตัวและใจ

4. วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทำงานด้วยปัญญา รู้จักไตร่ตรองพิจารณา ใคร่ครวญหาเหตุผล ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

28. ข้อใดเป็นกริยามารยาทในการทำความเคารพที่ไม่ถูกต้อง

1. ประนมมือกลางอก ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายคาง

2. ประนมมือกลางอก ยกมือที่ประนมขึ้นให้นิ้วแม่มือจรดหว่างคิ้ว

3. ประนมมือยกขึ้น นิ้วชี้จรดหว่างคิ้ว ผู้ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลง

4. ประนมมือขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดหว่างคิ้ว ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลงพองาม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การไหว้หรือทำความเคารพตามประเพณีไทยมี 4 ลักษณะ ดังนี้

1. การไหว้ผู้มีฐานะเสมอกันหรือรับไหว้ ผู้ไหว้จะประนมมือกลางอก ปลายนิ้วตั้งตรงขึ้นเบื้องบนโดยอาจก้มหน้าลงเล็กน้อย 2. การไหว้บุคคลทั่วไปที่อาวุโสกว่า ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายคาง ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงปลายสันจมูก แล้วก้มหน้าลง 3. การไหว้บิดามารกา ครู – อาจารย์ หรือ ผู้เป็นที่เคารพยิ่ง ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก ปลายนิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว ผู้ชายให้ค้อมตัวลง ผู้หญิงก้าวขาขวาไปข้างหน้าเล็กน้อย ย่อตัวลงพองาม 4. การไหว้พระภิกษุสงฆ์ ผู้ไหว้จะยกมือประนมขึ้นให้หัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้จรดตีนผมแนบหน้าผาก ผู้ชายค้อมตัวลง ผู้หญิงย่อตัวลงพองาม

29. เพราะเหตุใดบุคคลจึงควรมีมารยาท

1. แสดงให้รู้ว่าเป็นผู้มีความรู้

2. แสดงว่าเป็นผู้ได้รับการศึกษาชั้นสูง

3. แสดงความเป็นผู้เจริญมีแบบแผนการประพฤติปฏิบัติ

4. เป็นสิ่งแสดงความแตกต่างระหว่างคนกับสัตว์

ตอบ 3 (คำบรรยาย) บุคคล ควรมีมารยาทที่ดีงาม เพราะกิริยามารยาทถือเป็นกติกาเบื้องต้นของสังคมมนุษย์ซึ่งผู้มืออารยธรรม และมีวัฒนธรรมในการประพฤติปฏิบัติควรกระทำต่อกัน เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้เจริญ และมีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติว่าสิ่งใดควรกระทำ และสิ่งใดควรละเว้น

30. การเรียกบุคคลที่ไม่คุ้นเคยควรใช้สรรพนามในข้อใด

1. พี่ – เธอ

2. คุณ – ตำแหน่ง

3. เจ้ – เฮีย

4. เรียกชื่อ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) คำสรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้ที่เราพูดด้วยมีอยู่หลายคำ แต่คำสุภาพที่ใช้ได้ในทุกโอกาสและกับบุคคลทุกระดับ คือ คำว่า “คุณ” โดย เฉพาะหากโอกาสที่เราพูดเป็นระดับทางการและต้องพูดกับบุคคลที่ไม่คุ้นเคย ควรใช้คำสรรพนามว่า “คุณ” หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่ของบุคคลนั้น เช่น อาจารย์ คณบดี อธิการบดี ท่านรอง ฯลฯ จึงจะสุภาพและเหมาะสมที่สุด

31. เพราะเหตุใดจึงต้อง “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”

1. รักษาสุขภาพให้กับตนเอง

2. ป้องกันการแพร่เชื้อโรคไปสู่ผู้อื่น

3. เป็นมารยาทในการรับประทานอาหาร

4. ป้องกันโรคมิให้เกิดกับตนเองและผู้อื่น

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วิธีป้องกันโรคไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองและแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่น ควรปฏิบัติดังนี้ 1. กินร้อน คือ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่ทานอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ 2. ช้อนกลาง เป็นช้อนที่มีไว้เพื่อใช้แบ่งอาหารมาใส่จานของผู้กิน ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อโรคจากน้ำลายของผู้ที่กินอาหารนั้นลงไปปนเปื้อนในอาหาร 3. ล้างมือ ควรล้างมือบ่อย ๆ ให้เป็นนิสัยทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากมือไปสู่อาหาร

32. คุณธรรมในข้อใดที่ทำให้คนในสังคมไว้วางใจซึ่งกันและกัน

1. ความซื่อสัตย์

2. ความเมตตา

3. ความสามัคคี

4. ความเอื้ออาทร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

33. การคิดร้ายต่อผู้อื่นจัดเป็นอกุศลมูล 3 หรือเหตุแห่งความชั่ว 3 ประการในข้อใด

1. โลภะ

2. โทสะ

3. โมหะ

4. ทมะ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) อกุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือเหตุแห่งความชั่ว มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้

1. โลภะ (ความอยากได้) คือ ความเป็นผู้มีความทะยานอยาก อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตน

2. โทสะ (การคิดประทุษร้าย) คือ ความโกรธหรือไม่พอใจอย่างแรง ผูกพยาบาท คิดร้ายต่อผู้อื่น

3. โมหะ (ความหลง) คือ ความประมาท ความหลง ความสงสัย ความโง่งมงาย มัวเมาในอบายมุขอันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง

34. คนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มองโลกในแง่ดี และปรารถนาให้คนอื่นเป็นสุข จัดอยู่ในข้อใด

1. กายกรรม

2. วจีกรรม

3. มโนกรรม

4. อกุศลกรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) มโนกรรม 3 คือ การ ทำความดีทางใจ ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีจิตใจบริสุทธิ์มองโลกในแง่ดี มีความสงสารและปรารถนาให้คนอื่นพันทุกข์ และประสบแต่ความสุขมีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. การไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง 2. การไม่อาฆาตพยาบาทหรือจองเวรกับใคร 3. มีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและตรงตามความเป็นจริง

35. การที่เรามีจิตใจที่จดจ่อแน่วแน่ต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ โดยที่จิตฟุ้งซ่าน จัดอยู่ในข้อใด

1. ศีล

2. สมาธิ

3. ปัญญา

4. บารมี

ตอบ 2 หน้า 233, 257 สมาธิ หมายถึง ความตั้งมั่นของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนดนั้นคือ เมื่อจิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ จนเกิดความสงบไม่ฟุ้งซ่าน จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังคิด พูด ทำ จนสามารถรวมพลังสติปัญญาและความคิดมาใช้ในสิ่งที่กำลังคิดพูด ทำนั้นได้อย่างเต็มที่และมีสติอยู่เสมอ

36. คนที่ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต จัดอยู่ในเบญจธรรมข้อใด

1. เมตตา กรุณา

2. สัมมาอาชีวะ

3. สติสัมปชัญญะ

4. กามสังวร

ตอบ 2 หน้า 169, (คำบรรยาย) หลักเบญจธรรม 5 ประการ ประกอบด้วย

1. เมตตากรุณา คือ รักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น มีจิตเมตตารักชีวิตผู้อื่นเหมือนชีวิตตน

2. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีพแต่พอดี ทำมาหากินด้วยอาชีพสุจริต ไม่เอาเปรียบผู้อื่น

3. กามสังวร คือ สำรวมในกาม มีความรักใคร่ ซื่อสัตย์ในสามีภรรยาของตน

4. สัจจะ คือ พูดความจริง ซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา

5. สติสัมปชัญญะ คือ ระลึกได้หรือมีความรู้ตัวเสมอ

37. ปรากฏการณ์เรือนกระจกทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เกิดจากการปล่อยก๊าซของเสียจากแหล่งใดมากที่สุด

1. ฟาร์มปศุสัตว์

2. โรงงานอุตสาหกรรม

3. นาข้า

4. ชุมชนแออัด

ตอบ 2 หน้า 467 , 484 (คำบรรยาย) ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือที่เรียกว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) เกิด จากสารประกอบของก๊าซต่าง ๆ ที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก (โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งมีมากที่สุด) ดูดซึมแสงอินฟราเรดและเก็บกักรังสีความร้อนเอาไว้มาก จนทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ซึ่งการปล่อยก๊าซของเสียเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเผาผลาญพลังงานของ โรงงานอุตสาหกรรมมากเป็นอันดับหนึ่ง เช่น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงถ่านหินและน้ำมันในการกระบวนการผลิตและการคมนาคมขน ส่ง รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่า จนส่งผลกระทบต่อโลกและมนุษย์

38. การกำจัดขยะในข้อใดไม่ควรใช้วิธีเผา เพราะทำให้เกิดแก๊สพิษ

1. ซังข้าวโพด

2. พลาสติก

3. ของเหลือจากเกษตรกรรม

4. เศษอาหารจากภัตตาคาร

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) พลาสติก ที่ใช้แล้วมักถูกทิ้งเป็นขยะพลาสติก ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกนำกลับมาใช้อีกในลักษณะต่าง ๆ กัน แต่อีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปกำจัดทิ้งโดยวิธีการต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาขยะพลาสติก จะก่อให้เกิดแก๊สพิษที่ร้ายแรงออกมาสู่ชั้นบรรยากาศและเป็นอันตรายอย่างมาก ต่อสิ่งมีชีวิต เช่น สารฟอสยีน (Phosgene) มาจาก PVC , ไฮโดรคลอริกแอชิด (Hydrochloric acid) มาจาก PVC และ PE เป็นต้น

39. ทรัพยากรธรรมชาติในข้อใดที่ใช้แล้วหมดสิ้น ไม่สามารถนำมาดัดแปลงใช้ได้

1. ทองคำ

2. ถ่านหิน

3. ทองแดง

4. เหล็ก

ตอบ 2 หน้า 462 – 463 , (คำบรรยาย) ทรัพยากรธรรมชาติประเภทที่ใช้แล้วหมดสิ้นไปแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่สามารถกลับฟื้นตัวใหม่ได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า น้ำเสียจากโรงงาน น้ำในดิน ฯลฯ

2. ประเภทที่ใช้แล้วหมดไป แต่ไม่อาจทำให้มีใหม่ได้ เข่น คุณสมบัติทางธรรมชาติของดิน ฯลฯ

3. ประเภทใช้แล้ว หมดไป แต่ยังสามารถนำมายุบให้กลับเป็นวัตถุเช่นเดิม แล้วนำกลับมาประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เช่น สังกะสี ทองแดง ทองคำ เหล็ก เงิน ฯลฯ

4. ประเภทใช้แล้วหมดสิ้นไป นำกลับมาใช้อีกไม่ได้ เช่น ถ่านหิน น้ำมันก๊าด น้ำมัน ฯลฯ

40. แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม น่าจะมีเหตุมาจากข้อใดมากที่สุด

1. ผู้คนกินดีอยู่ดี

2. การเพิ่มของประชากร

3. การนำนวัตกรรมจากต่างชาติมาใช้

4. คนขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 464 – 466 (คำบรรยาย) ปัญหา แหล่งทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม มีสาเหตุมาตากหลายประการ เช่น การเพิ่มจำนวนประชากรซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขยายตัวของเมืองและกิจกรรมด้าน อุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการร่อยหรอของทรัพยากร ธรรมชาติ ขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ขาดจิตสำนึกในการเป็นเจ้าของ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและถูกทำลายลงไปอย่าง รวดเร็ว

41. การที่เจ้าของโรงงานไม่ปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำ ถือเป็นคุณธรรมของผู้ผลิตในข้อใด

1. คืนกำไรให้สังคม

2. ความซื่อสัตย์

3. เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม

4. ความยุติธรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การ ที่บุคคลมีความรู้สึกเห็นคุณค่าของส่วนร่วมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว หรือการมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม โดยการร่วมกันคิดร่วมกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม รวมถึงยอมรับหรือรับผิดชอบร่วมกันในผลของกระทำนั้น ๆ เพื่อช่วยพัฒนาสังคมและชาติบ้านเมือง ตลอดจนโลกของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น

42. การฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ตรงกับข้อใดมากที่สุด

1. ฟังแล้วปฏิบัติตาม

2. ฟังแล้วต่อต้าน

3. ฟังแล้วเชื่อตามที่ได้ยินมา

4. ฟังแล้วคิด วิเคราะห์ ใคร่ครวญ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การฟังดีย่อมเกิดปัญญา หมายถึง การ ใส่ใจในสิ่งที่ฟัง เวลาฟังก็ตั้งใจฟังด้วยความสงบ ไม่คิดเรื่องอื่น คิดพิจารณาตามเสียงที่ได้ยิน เอาจิตน้อยยอมรับเหตุผลในการรับฟังโดยใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญพิจารณาไปด้วยว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าหากว่าทำได้อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา หรือที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง”

43. ท่านจะกำจัดวิชชาโดยใช้ข้อใด

1. วิริยะ

2. ปัญญา

3. ขันติ

4. ตบะ

ตอบ 2 หน้า 38 – 39 (H) เป้าหมายสูงสุดของการเรียนรู้ คือ การสร้างสติปัญญาเพื่อขจัดอวิชชาโดยควรเรียนรู้ในสิ่งที่ควรรู้ พอมีสติปัญญาแล้วก็ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผล ไม่ตามกระแสสังคมที่ผิด ซึ่งเรียกว่า โยนิโสมนสิการ

44. ข้อใดไม่จัดเป็นประโยชน์ของปะการัง

1. ป้องกันชายฝั่ง

2. ทำเครื่องประดับ

3. สร้างระบบนิเวศวิทยา

4. แหล่งที่อยู่อาศัยของพืช

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) ประโยชน์ของแนวปะการังมีมากมายดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์น้ำนานาชนิด เพราะมีลักษณะที่เป็นซอกมีโพรงอยู่ทั่ว ๆ ไป ทำให้เหมาะต่อการหลบภัยและเป็นที่อยู่ 2. ปะการังตามแนวชายฝั่งมีส่วนช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของคลื่นที่ปะทะต่อชายฝั่งได้ 3. ช่วยสร้างระบบนิเวศวิทยาทางทะเลที่สำคัญ และมีความสัมพันธ์ในแง่ของห่วงโซ่อาหารที่มีความซับซ้อน 4. แนวปะกาลังเป็นแหล่งกำเนิดทรายให้กับชายหาด ซึ่งได้มาจากการสึกกร่อนของโครงสร้างหินปูน ทำให้หินปูนปะการังแตกละเอียดเป็นเม็ดทรายที่ขาวสะอาด ฯลฯ

45. ข้อใดมิใช่สาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมปะการัง

1. การประมงเกินขนาด

2. มลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก

4. การเป็นอาหารของปลาเล็กและปลาใหญ่

ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) สาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมของปะกาลังมีดังนี้

1. การประมงเกินขนาด เช่น การลักลอบระเบิดปลาในแนวปะกาลัง ซึ่งนอกจากจะทำลายตัวปะการังโดยตรงแล้ว ยังทำลายลูกปลาและสัตว์น้ำวัยอ่อนในบริเวณใกล้เคียงอีกเป็นจำนวนมาก

2. มลพิษจากการพัฒนาชายฝั่ง เช่น การก่อสร้างอาคาร การเปิดหน้าดินเพื่อสร้างถนน ฯลฯ ทำให้ตะกอนของดินไหลลงสู่ทะเลตกทับถมบนแนวปะการัง ทำให้ปะการังตาย

3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือภาวะโลกร้อน ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ฯลฯ

46. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นประโยชน์กับใครมากที่สุด

1. ชาวนา

2. นักธุรกิจ

3. เกษตร

4. คนทุกอาชีพ

ตอบ 4 หน้า 58 (H) ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติตน สำหรับคนทุกระดับทุกอาชีพ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน

ตั้งแต่ข้อ 47. – 48. อ่านโครงข้างล่างนี้แล้วตอบคำถาม

พายเถิดพ่ออย่างรั้ง รอพาย

จวนตะวันจักสาย ส่องฟ้า

ของสดสิ่งควรขาย จักขาด ค่าแฮ

ตลาดเลิกแล้วอ้า บ่นอื้อเอาใคร

47. โครงโลกนิติบทนี้สอนเรื่องใด

1. คุณค่าของเวลา

2. ความไม่ประมาท

3. ความตรงต่อเวลา

4. ความขยัน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) โครงโลกนิติบทนี้สอนให้รู้จักคุณค่าของเวลาและโอกาส อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปซึ่งจะนำไปสู่การเสียผลประโยชน์จนสายเกินแก้ โดยได้บรรยายให้คนปัจจุบันเห็นภาพตลาดน้ำยามเช้าในอดีตที่พ่อค้าแม่ค้าพายเรือบรรทุกสินค้ามาขายในย่านที่มีการเดินเรือพลุกพล่าน

48. โครงบทนี้กำลังบอกให้คนปัจจุบันเห็นภาพอะไรในอดีต

1. การคมนาคม

2. การค้าขาย

3. สภาพความเป็นอยู่

4. ตลาดน้ำ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

49. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใดเริ่มเชิญปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้

1. แผนที่ 6

2. แผนที่ 7

3. แผนที่ 8

4. แผนที่ 9

ตอบ 4 (คำบรรยาย) แนว ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเริ่มบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) และยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับ พ.ศ. 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 79 (1) ความว่าบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ

50. เศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานต้องการแก้ปัญหาของใคร

1. เกษตรกร

2. SML

3. บริษัท

4. OTOP

ตอบ 1 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจ พอเพียงแบบพื้นฐาน เป็นความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวซึ่งอาจเทียบได้กับเกษตรทฤษฎีใหม่ ขั้นที่ 1 ที่มุ่งแก้ปัญหาของเกษตรกรเป็นหลัก เพื่อให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อบริโภคยังชีพในระดับหนึ่งได้ และ ใช้ที่ดินส่วนอื่น ๆ สนองความต้องการพื้นฐานของครอบครัว รวมทั้งขายในส่วนที่เหลือ เพื่อให้มีรายได้ที่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่สามารถผลิตเองได้

51. ภูมิปัญญาท้องถิ่นช่วยชุมชนด้านใด

1. สร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการ

2. ธำรงวิถีชีวิตชนบทในแต่ละท้องถิ่น

3. แสดงความเป็นไทย

4. เป็นจุดเด่น น่าสนใจ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

52. นักธุรกิจที่ยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเน้นความสำคัญในข้อใด

1. เรื่องธุรกิจอย่างยิ่งใหญ่

2. มุ่งกำไรเป็นเรื่องสำคัญ

3. รับผิดชอบต่อหุ้นส่วน

4. ให้คุณค่ากับพนักงานในฐานะทรัพยากรที่สำคัญ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การส่งเสริมคุณธรรมในการดำเนินธุรกิจตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีดังนี้ 1. มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 2. มีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และรักษาความลับของลูกค้าอย่างเคร่งครัด 3. มีคุณธรรมกับสังคมรอบข้าง โดยการป้องกันผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อมและจัดทำโครงการเพื่อสังคม 4. ส่งเสริมคุณธรรมให้เป็นวัฒนธรรมองค์กร โดยการปกครองด้วยหลักความเมตตา และให้คุณค่ากับพนักงานในฐานะทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ

53. ธุรกิจที่ยั่งยืนคือธุรกิจแบบใด

1. มีทุนมากมาย

2. ดำรงอยู่ได้ทุกสถานการณ์

3. นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้งาน

4. มุ่งกำไรเป็นเรื่องสำคัญ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ธุรกิจที่ยั่งยืน คือ ธุรกิจ ที่สามารถบูรณาการวิธีแห่งการปฏิบัติให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กรจนกลายเป็น วิถีแห่งการดำเนินธุรกิจตามแบบปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้อย่างสมบูรณ์ซึ่ง องค์กรธุรกิจในระดับนี้จะมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตการณ์และภัยคุกคามต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีซึ่งส่งผลให้ธุรกิจสามารถดำรงอยู่ได้ทุกสถานการณ์อย่าง ยั่งยืน

54. ข้อใดไม่เป็นองค์ประกอบของความพอเพียง

1. ความพอประมาณ

2. การมีเหตุผล

3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว

4. ความกลัว

ตอบ 4 หน้า 57 – 58 (H), (คำบรรยาย) แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข หมายถึง ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข โดยคำว่า “3 ห่วง” คือ ความพอประมาณความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ส่วน คำว่า “2 เงื่อนไข” คือ การตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้นต้องอาศัยทั้งเงื่อนไขความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) และเงื่อนไขคุณธรรม (ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน)

55. เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคล หมายถึงอะไร

1. บุคคลที่ดำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือนร้อน

2. บุคคลที่พึ่งพาตนเองไม่ได้เป็นภาระผู้อื่น

3. บุคคลที่ฉลาดคิด

4. บุคคลที่มีความรู้

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัว หมายถึง การที่บุคคลมีความเป็นอยู่ในลักษณะที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ไม่เป็นภาระของผู้อื่น และสามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ความต้องการในปัจจัยสี่ของตนเองและครอบครัว รวมทั้งมีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกลมเกลียว และมีความพอเพียงในการดำเนินชีวิตด้วยการประหยัด และการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งกายและใจ

56. ผู้ที่จะดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องเริ่มจากข้อใด

1. ปรับวิธีคิด วิธีทำ และลงมือปฏิบัติ

2. ศึกษาจากผู้ที่เป็นตัวอย่างทางด้านความพอเพียง

3.ลงมือทดลองปฏิบัติตามพอประมาณ

4. เดินทางไปหาผู้รู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง

ตอบ 1 (คำบรรยาย) แนว ทางการประยุกต์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดำเนินชีวิตจำเป็นต้องเริ่ม จากจิตใจเป็นพื้นฐาน เมื่อจิตใจมีความพร้อมจึงเริ่มลงมือทำ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำ เพื่อนำไปสู่การลงมือปฏิบัติดังนี้

1. เริ่มจากความคิดไปสู่การกระทำ 2. เริ่มจากภายในสู่ภายนอก

3. เริ่มจากตนเองไปสู่ผู้อื่น 4. เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวออกไปไกลตัว

5. เริ่มจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก 6. เริ่มจากเรื่องเล็กน้อยไปหาเรื่องใหญ่

57. คำพูดที่ว่า “ปฏิบัติตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทำได้ยาก แต่ทำได้ถ้าใจปรารถนา” หมายความว่าอย่างไร

1. ยกย่องให้เกียรติใจ

2. ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว

3. ถ้าใจสู้ทุกอย่างก็สำเร็จ

4. ความสำเร็จ – ความล้มเหลวเกิดจากใจ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่นำไปสู่การปฏิบัติได้ยาก เพราะโลกทุกวันนี้มีระบบเศรษฐกิจเดียวคือ ทุนนิยม และลัทธิเดียวคือ บริโภคนิยม ซึ่งกระตุ้นความอยากมีอยากได้ อยากเป็นอะไรที่เกินความพอดีอยู่ตลอดเวลา แต่เศรษฐกิจพอเพียงก็เกิดได้ถ้าใจปรารถนา คือ ถ้าใจสู้ทุกอย่างก็สำเร็จ ถ้าใจมาปัญญาก็เกิด ถึงแม้จะยากแต่ก็ทำได้โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเอง

58. ข้อใดที่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรอเวลาอันเหมาะสม เพื่อพระราชทานแนวพระราชดำริตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2550 จึงพระราชทานแนวพระราชดำริของเศรษฐกิจพอเพียง

2. ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างพอเพียงมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์

3. เมื่อเสด็จฯ ไปงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้พระราชทานพระบรม โชวาทตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517

4. ทรงได้รับการอบรมให้เพียงพอจากพระราชมารดา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงรอเวลาอันเหมาะสม เพื่อพระราชทานแนวพระราชดำริตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ เมื่อเสด็จฯ ไปงานพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 และทรงมีพระราชดำรัชเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศไทยให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์

59. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียง

1. มีเหตุผล

2. มีความรู้

3. มีคุณธรรม

4. มีความมักน้อย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

60. ข้อใดไม่ใช่ภูมิคุ้มกันในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. คิดอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง

2. หาทางหนีที่ไล่ไว้ล่วงหน้า

3. เก็บทรัพย์ไว้ไม่ใช้จ่าย

4. ทำตามกำลังความสามารถ

ตอบ 3 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) “ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง” หมายถึง การ เตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล โดยคิดอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ทำตามกำลังความสามารถของตนไม่ทำอะไรเกินตัว และใช้ปัญญาในการคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงตามต่าง ๆ เพื่อวางแผนรองรับและหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า

61. ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มีฐานคิดที่สำคัญเรื่องใดมากที่สุด

1. รักษาวัฒนธรรมพร้อมความมั่นคง

2. พัฒนาความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียว

3. พัฒนาเศรษฐกิจพร้อมกับพัฒนาสังคม

4. พัฒนาคนในชุมชนด้วยเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม คุณธรรม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีฐานคิดที่สำคัญ คือ การพัฒนาคนในชุมชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและคุณธรรม ให้มีความก้าวหน้า สมดุลมั่นคง และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ สถานการณ์ เพื่อให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

62. วัตถุประสงค์ที่สำคัญ “ทฤษฎีใหม่” คือข้อใด

1. ปฏิรูปการเกษตรแผนใหม่

2. ให้ประชาชนรู้จักช่วยเหลือกัน

3. ผลิตการค้าและการเลี้ยงชีพ

4. ดำเนินธุรกิจอย่างพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

63. มหาวิทยาลัยรามคำแหงร่วมสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯในเรื่องใด

1. การแสดงดนตรี

2. การแสดงหุ่นกระบอก

3. การแสดงโขน

4. การแสดงศิลปะพื้นบ้าน

ตอบ 3 (ความรู้ทั่วไป) มหาวิทยาลัยรมคำแหงได้ก่อตั้งโขนรามขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 และวิชาการแสดงโขนก็ได้ถูกบรรจุให้เป็นวิชาหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏกรรมไทยเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสืบทอดโขน และยังเป็นการร่วมมือสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ตลอดไป

64. ทำดีในข้อใดบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. ทำดีเราเห็น

2. ทำดีเราทราบ

3. ทำดีเราได้

4. ทำดีเราสุขใจ

ตอบ 4 หน้า 244 – 245 , 41 (H) คุณธรรม หมายถึง ความ สามารถแยกแยะได้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดดีไม่ดีแล้วทำแต่สิ่งดีไปโดยตลอด จึงเป็นลักษณะที่ดีงามของบุคคลที่มีการยอมรับและเห็นคุณค่าอันเป็นพื้นฐาน การแสดงออกของการกระทำที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม โดยผู้ที่มีคุณธรรมจะถือส่าหน้าที่ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ต้องกระทำด้วยความ รู้สึกสำนึกว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำและจงใจปฏิบัติด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า “ทำดีเราสุขใจ”

65. รู้รักษาตัวรอด หมายความตามข้อใด

1. กล้าเผชิญปัญหา

2. แก้ไขปัญหาได้

3. การปฏิบัติงานจริง

4. ใช้ความรู้คู่คุณธรรมดำรงชีวิต

ตอบ 4 (คำบรรยาย) รู้รักษาด้วยรอดเป็นยอดดี หมายถึง คน เราควรหมั่นศึกษาหาความรู้ให้มากเพราะเป็นของดีมีประโยชน์ แต่ที่ดีกว่านั้นคือการนำวิชาความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้พึ่งพาตน เองได้ ไม่ใช่มีแต่ความรู้ แต่ความสามารถในการ จัดการปัญหาไม่มีเลย ดังนั้นรู้รักษาตัวรอดจึงต้องใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการดำรงชีวิต เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้ลุลวงไปได้ด้วยตนเอง และสามารถพาตัวเองให้รอดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

66. ในสังคมข้อมูลข่าวสาร การศึกษาสำคัญอย่างไร

1. การเตรียมงาน

2. การเตรียมตัว

3. การสร้างฐานความรู้

4. การต่อสู้แข่งขัน

ตอบ 3 หน้า 26, (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารนั้น การศึกษานับว่ามีบทบาทสำคัญในด้านการสร้างฐานความรู้ (Base of Knowledge) เพื่อช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพและมีคุณภาพ สามารถแก้ปัญหาและปรับตัวได้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า เพื่อช่วยพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนได้

67. ข้อใดเป็นการกระทำที่บ่งชี้ความมีคุณธรรมสูงสุด

1. ทำด้วยความเชื่อมั่น

2. ทำอย่างมีเป้าหมายชัดเจน

3. ทำด้วยความพากเพียรเรียนรู้

4. ทำเพื่อประโยชน์ส่วนร่วม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

68. รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงถึงข้อใดอย่างชัดเจน

1. รามคำแหงขยายโอกาสทางการศึกษา

2. รามคำแหงเจริญงอกงาม

3. รามคำแหงเป็นสมบัติของชาติ

4. รามคำแหงเป็นบ่อน้ำสำคัญให้ลูกหลานได้กินน้ำจากบ่อนี้

ตอบ 2 หน้า 584 – 585 (คำบรรยาย) รามคำแหงก้าวสู่ปีที่ 40 แสดงให้เห็นว่า รามคำแหงเจริญงอกงามไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิชาการ ด้านชื่อเสียงเกียรติคุณ ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงก้าวหน้าขึ้นไปมากมายและยังก้าวล้ำหน้ามหาวิทยาลัยอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องคุณภาพของบัณฑิตที่นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศต่างประเมินและตรวจสอบคุณภาพแล้ว ได้ผลออกมาตรงกันว่ามีคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐบาลแต่อย่างใด

69. ข้อใดไม่บ่งชี้คุณธรรม

1. เราเรียนต้องได้ความรู้

2. แบ่งเวลาเป็นปรับตนได้

3. จบมาแล้วสู้การ สู้งาน

4. มีมานะอดทน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

70. ข้อใดเป็นเป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของสำนึกน้อยที่สุด

1. เรียนเพื่อรู้

2. เรียนเพื่อปริญญา

3. เรียนเพื่อพ่อแม่

4. เรียนเพื่อประกอบอาชีพ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เป้าหมายการเรียนที่มีคุณค่าของการรู้สำนึกนั้น มิใช้เรียนเพื่อให้ได้ปริญญาหรือวิทยฐานะเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเป็นการเรียนเพื่อรู้ เพื่อ พัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่จะดำรงชีพและประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข และที่สำคัญคือ เรียนเพื่อพ่อแม่ผู้มีอุปกรณ์ที่ได้ส่งเสริมและเลี้ยงดูเรามา อันเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที

71. การปฏิบัติในข้อใดแสดงความมีคุณธรรม

1. มีอะไรพูดกันตรงๆ

2. สงสัยอะไรก็ตาม

3. ไม่แน่ใจก็ตรวจสอบ

4. ผิดพลาดก็ขอโทษ และแก้ไข

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

72. ในภาวะเศรษฐกิจผิดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานไป เรียนไป

2. เรียนรู้สู้ชีวิต

3. รู้จักความทุกข์ ความผิดหวัง

4. รู้คุณค่าของเงิน

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง นักศึกษาพึงตระหนักในการรู้คุณค่าของเงิน รู้จักใช้ออมทรัพย์สินตามความจำเป็นให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมทั้งรู้จักดำรงชีวิตให้อยู่อย่างพอเพียง มีความพอประมาณ เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ส่วนตน

73. ข้อใดเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด

1. รู้จักว่าความสุขเป็นอย่างไร

2. รู้จักคำว่าทุกข์เป็นอย่างไร

3. รู้จักว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร

4. รู้ร้อน รู้หนาว สัมผัสได้ในชีวิตจริง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ทักษะชีวิตที่สำคัญที่สุด คือ การ รู้เท่าทันในกฎของธรรมชาติอย่างมีสติสัมปชัญญะ รู้ร้อน รู้หนาว เรียนรู้และสัมผัสได้ในความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อพบร้อนพบหนาวมากไปน้อยไปก็สงบใจอดทน เปรียบเสมือนกับความทุกข์เมื่อมีเกิดขึ้น ก็ย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดาดังนั้นจึงไม่ควรยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ เมื่อไม่ยึดไม่ติดแล้ว ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์

74. นวัตกรรมเกิดได้จากการกระทำในข้อใด

1. ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

2. อย่าไปมองคนอื่นทำไมไม่ทำ

3. ถ้าเสร็จแล้วต้องคิดต่อยอด

4. ถ้าทำแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายควรหลีกเลี่ยง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คำว่า “นวัตกรรม” หมายถึง การทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีใหม่ ๆ และยังอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กร ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดขึ้นจากการปฏิวัติ การ เปลี่ยนอย่างถอนรากถอนโคน หรือการคิดพัฒนาต่อยอด โดยกสนมราสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะเป็นนวัตกรรมได้นั้นจะต้องมีความแปลกใหม่อย่าง เห็นได้ชัด และต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เพื่อทำให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

75. คิดว่าตนเองวิเศษ หมายความตามข้อใด

1. ดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร

2. ให้เกียรติซึ่งกันและกัน

3. แลกเปลี่ยนความรู้กันและกัน

4. แลกเปลี่ยนประสบการณ์แนวคิด

ตอบ 1 หน้า 37 (H) สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน เพราะ คิดว่าตนเองวิเศษ คือ คิดว่าตนเองดีแล้ว เก่งแล้ว ไม่ต้องฟังใคร ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงดังนั้นในการเรียนจึงต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน โดย เรียนอย่างมีความรู้ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ต่างเป็นครูกันละอย่าง ถ้ามีอาวุโสสูงดีแล้วก็มาแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์แนวความคิดซึ่งกันและ กันได้

76. เป้าหมายสูงสุดการเรียนรู้คือข้อใด

1. มีความรู้แล้วใช้ความรู้ได้

2. มีสติปัญญาได้ด้วยการศึกษา

3. มีคุณธรรมแล้วต้องดำเนินกิจกรรมอย่างมีคุณธรรม

4. สร้างปัญญาขจัดอวิชชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

77. อวิชชามีความหมายสมบูรณ์ตามข้อใด

1. รู้ไม่ถูกทาง

2. รู้ในสิ่งไม่ควรรู้

3. ไม่รู้ในสิ่งควรรู้

4. ได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

ตอบ 4 หน้า 38 (H) อวิชชา แปลว่า ไม่ รู้ แล้วก็แปลว่ารู้ทั้งสองอย่าง เพราะอวิชชา หมายถึง ไม่รู้ในสิ่งที่ควรรู้ คือ สิ่งที่ควรรู้กลับไม่รู้ แล้วไปรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ หรือรู้ไม่ถูกทาง สิ่งที่เขาไม่ให้รู้ก็ไปรู้เข้าให้ดังนั้นความหมายที่สมบูรณ์ของคำว่า “อวิชชา” จึงแปลได้ทั้งสองทาง คือ รู้กับไม่รู้

78. บุคคลผู้ขาดสติบัญญัติมักประพฤติตนตามข้อใด

1. ไตร่ตรอง

2. เหตุผล

3. ตามกระแส

4. โยนิโสมนสิการ

ตอบ 3 หน้า 39 (H) บุคคลผู้ขาดสติปัญญาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผลว่าสิ่งนั้นดีจริงหรือไม่ ที่ว่าดีดีอย่างไร ไม่ดีนั้นไม่ดีอย่างไร โดยสิ่งที่ควรก็ไม่รู้ สิ่งที่ควรไตร่ตรองก็ไม่ได้ไตร่ตรอง จึงมักตามกระแสสังคมที่ผิด แสดงว่าไม่มีโยนิโสมนสิการ หรือไม่มีกระบวนการสร้างสติปัญญานั้นเอง

79. การศึกษาที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. รู้

2. จำ

3. คิด

4. ประยุกต์

ตอบ 4 หน้า 40 (H) หลัก การศึกษาเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงในระดับปริญญาตรีนั้นปรารถนาให้นัก ศึกษาจำได้แล้วรู้จักคิด คือ จำได้ คิดได้ จำได้ ว่าตำราว่าอย่างไร ใครเขาว่าอย่างไรหรือหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร แล้วนำไปคิดว่าจะนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคมประเทศชาติ

80. การมาเรียนที่รามคำแหงจะได้อะไรเป็นสำคัญที่สุด

1. พบสิ่งที่แปลกใหม่

2. สั่งสมฐานความรู้

3. ได้สอบทานความรู้

4. พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด

ตอบ 2 หน้า 39 (H) การมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยรมคำแหง นอกจากจะได้พบสิ่งที่แปลกใหม่ พบสิ่งที่ควรรู้ควรคิด และได้สอบทานความรู้กับผู้รู้แล้ว นักศึกษายังได้สั่งสมความรู้ให้เป็นฐานความรู้ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นเรื่องของการสั่งสม บางที่เรียกว่าจิตวิญญาณ ซึ่งทุกคนควรที่จะปรับฐานความคิดให้ไปในทางเดียวกัน

81. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติตามหลักกาลามสูตร

1. ต้องตรวจสอบพิสูจน์ได้

2. เชื่อตาม ๆ กันมา

3. ทดลองได้

4. เป็นวิทยาศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 (H) หลัก กาลามาสูตรในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่มีเหตุผลในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ทดลองได้ ตรวจสอบพิสูจน์ได้ไม่ใช้ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมา โดยไม่ใช้เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่

82. ข้อใดคือความมุ่งหวังสูงสุดที่มีต่อบัณฑิตรามคำแหง

1. สั่งสมอบรมวิชาการ

2. วิจัยวิชาการ

3. นำวิชาการไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

4. นำวิชาการไปใช้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) บัณฑิตมหาวิทยาลัยรามคำแหงทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีความรู้คู่คุณธรรม นั้นคือนอกจากจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ดี เก่งเรียน เก่งงาน เก่ง วิชาการ เฉลียวฉลาด มีเหตุผลแล้วบัณฑิตรามคำแหงยังต้องเป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม มีความกตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริตขยันอดทน และที่สำคัญที่สุดคือ การมีสำนึกนำรับผิดชอบดูแลบ้านเมือง โดยต้องนำวิชาการที่ได้ศึกษามาไปรับใช้สังคมดูแลประเทศชาติ

83. ข้อใดคือความรู้คุณธรรมที่แท้จริง

1. มีความรู้ ไม่มีคุณธรรม

2. มีคุณธรรม ไม่มีความรู้

3. มีความรู้ มีคุณธรรม

4. มีคุณธรรม มีความรู้อย่างมีดุลยภาพกัน

ตอบ 4 หน้า 40 – 41 (H) ในเรื่องความรู้คู่คุณธรรม ถ้าหากมีแต่ความรู้ ไม่มีคุณธรรมก็ใช่ไม่ได้หรือหากมีแต่คุณธรรมไม่มีความรู้ก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะความรู้คู่คุณธรรมที่แท้จริงจะต้องมีทั้งความรู้และคุณธรรมอย่างมีดุลยภาพกัน จะต้องให้ทั้งสองอย่างมี ทั้งสองอย่างเกิดถึงใช้ได้

84. คิดอย่างมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายความตามข้อใด

1. คิดต่อยอด

2. คิดเป็นวงจร

3. คิดเป็นวิทยาศาสตร์

4. คิดเป็นนวัตกรรม

ตอบ 3 หน้า 39 (H) คิดอย่างมีเหตุผลพิสูจน์ได้ หมายถึง การ ใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผลและใช้ความรู้พื้นฐานต่าง ๆ มาประกอบประมวลกันแล้วค่อยตัดสิน โดยความคิดนั้นต้องสามารถทดลองและพิสูจน์ได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คิดเป็นวิทยาศาสตร์

85. ทะนงตน มีความหมายตามข้อใด

1. มีชาตินิยม

2. อยู่ในสังคมอย่างสันติสุข

3. ไม่คิดด้อยกว่าใคร

4. ไม่ยกตนข่มท่าน

ตอบ 2 หน้า 41 – 42 (H) การ ทะนงตนในชาติพันธุ์ มิได้หมายความว่าให้หลงชาติหรือปลึกให้มรชาตินิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกไม่ใช่ แต่เป็นการอยู่ในสังคมอย่างสันติสุขได้โดยที่ไม่คิดว่าจะด้อยกว่าใคร แล้วก็ไม่ต้องยกตนข่มท่าน เพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง

86. ปัญญาชนพึงปฏิบัติตามข้อใดเป็นสำคัญทีสุด

1. คุณธรรมนำชีวิต

2. พัฒนาสังคมให้เข็มแข็งมีคุณภาพ

3. นำชาติบ้านเมืองมาสู่ความเจริญมั่นคงสันติสุข

4. พร้อมอุทิศตน

ตอบ 3 หน้า 43 (H) ผู้เป็นบัณฑิตหรือปัญญาชนควรยึดหลักคุณธรรมนำชีวิต พร้อม อุทิศตนเพื่อประเทศชาติ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งและมีคุณภาพ และที่สำคัญที่สุดคือช่วยกันนำพาชาติบ้านเมืองให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความ เจริญอย่างมั่นคง วัฒนา สถาพร และสันติสุขสืบไป

87. เป็นครูคนละอย่าง มีความหมายที่แท้ตามข้อใด

1. มีความรู้แตกต่างกัน

2. มีความถนัดแตกต่างกัน

3. โอกาสที่ได้รับแตกต่างกัน

4. การไม่ดูถูกกันและกัน

ตอบ 4 หน้า 49 – 52 (H) “ครู คนละอย่าง” หรือ “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง คนเรามีความรู้ความถนัดไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือวันนี้อาจรู้ทุกเรื่อง แต่วันพรุ่งนี้ก็เริ่มจะไม่รู้ เพราะโลกเรามีความรู่ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การรู้จักให้เกียรติคนอื่นไม่ดูถูกกันและกัน ไม่ยกตนข่มท่านเพราะการเป็นครูกันคนละอย่าง โดยต่างคนต่างสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ แนวคิด และประสบการณ์จากกันและกันได้

88. นักศึกษาจะได้รับการบริหารอย่างดีเยี่ยมตามนโยบายข้อใดของมหาวิทยาลัย

1. Course on Demand

2. Super Service

3. E – learning

4. E – testing

ตอบ 2 (คำบรรยาย) มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้นำระบบสุดยอดแห่งการบริการ หรือที่เรียกว่า “Super Service” มาใช้ในการรับสมัครนักศึกษาใหม่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553 เพื่อให้ขั้นตอนการรับสมัครเป็นไปด้วยความเร็ว และให้นักศึกษาได้รับการบริการอย่างดีเยี่ยม โดยระบบ Super Service นี้ได้พัฒนาการมาจากระบบ One stop Service ซึ่งเป็นขั้นตอนการให้บริการแบบครบวงจรเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว ที่เคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (กพร.)

89. นักศึกษาพึงปฏิบัติเพื่อประโยชน์สูงสุดตามข้อใด

1. เรียนรู้วิชาที่สาขากำหนด

2. เรียนจบหลักสูตร ไปประกอบอาชีพ

3. ฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

4. พัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 3 หน้า 1, 1 (H) การ เรียนของบุคคลมิได้มุ่งให้ผู้เรียนรู้เฉพาะวิชาที่สาขากำหนด หรือเรียนจบหลักสูตรสำเร็จการศึกษาไปประกอบอาชีพตามความถนัดและความสนใจของ แต่ละบุคคลเพราะหากบุคคลใดฝึกฝนตนเองให้ใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่องก็จะก่อ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ สามารถพัฒนาตนเองด้วยการเพิ่มพูนความรู้ความสามารถ และมีศักยภาพในการปฏิบัติงานได้เต็มกำลังความสามารถของบุคคล

90. สังคมส่วนรวมได้ประโยชน์มาจากข้อใด

1. สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ

2. สมบูรณ์ด้วยปัญญา

3. สมบูรณ์ด้วยความรู้และคุณธรรม

4. มีวัฒนธรรมการดำรงชีวิต มุ่งผลดีต่อบ้านเมือง

ตอบ 4 หน้า 1, 1 (H) (คำบรรยาย) การ จัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม จริยธรรม และที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ก็คือ การมีวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต โดยมุ่งผลดีต่อบ้านเมืองเป็นสำคัญเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

91. นักศึกษาควรเรียนอย่างไร

1. รู้กว้าง

2. รู้ลึก

3. รู้จริง

4. เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง

ตอบ 4 หน้า 5, 26 – 27 , 5 (H) , 29 – 30 (H) ใน สังคมแห่งการเรียนรู้ นักศึกษาควรเรียนเพื่อให้รู้กว้างรู้ลึก รู้จริง และที่สำคัญทีสุดคือ เรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นระบบการศึกษาจึงต้องเป็นการศึกษาที่ผสมผสานทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยหรือที่เรียกว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” (Lifelong Education)

92. ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดคือข้อใด

1. ใช้เทคโนโลยีร่วมกับหน่วยการเรียน

2. ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพ

3. ใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา

4. พัฒนาให้คนใช้เทคโนโลยีเป็น

ตอบ 2 หน้า 7 , 10 , 7 (H) 10 (H) (คำบรรยาย) การ นำเทคโนโลยีมาใช้นั้นได้มีการพูดกันมากในเรื่องการพัฒนาคนให้ใช้เทคโนโลยี เป็น และการใช้เทคโนโลยีการแก้ปัญหาต่าง ๆ แต่การที่จะใช้เทคโนโลยีอย่างมีประโยชน์สูงสุดต้องคิดว่า จะ ใช้เทคโนโลยีให้เต็มศักยภาพหรือมีประสิทธิภาพได้อย่างไร นอกจากนั้นมีการวางแผนการใช้งานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่อยู่ใกล้เคียงได้หรือ ไม่หรือผู้ใช้มีความเข้าใจเทคนิคการใช้เครื่องมือนั้นเพียงพอแค่ไหน

93. ข้อใดเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ

1. ใช้เงินน้อยลง

2. ใช้ความคิดให้มาก

3. สร้างกำลังใจ

4. ฝึกความอดทน

ตอบ 2 หน้า 8 , 8 (H) (คำบรรยาย) เครื่อง มือสำคัญในการแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ คือ การใช้ความคิดให้มากขึ้น ใช้สติปัญญาไตรตรองในการแก้ปัญหาด้วยจิตใจที่เข็มแข็ง ไม่ท้อแท้ ดังปาฐกถาด้านการศึกษาในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตอนหนึ่ง ที่ว่า “…มีศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เงินไม่มี เราก็ใช้เงินให้น้อยลง ใช้ความคิดให้มากขึ้นหน่อยเราก็จะไปได้ไม่อับจน อันนี้ก็เป็นเนื่องของกำลังใจ

94. ข้อใดเป็นพระราชดำรัสที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้

1. ต้องเพียรและอดทน

2. ต้องไม่ใจร้อน

3. ต้องไม่พูดมาก ไม่ทะเลาะกัน

4. ต้องทำโดยเข้าใจกัน

ตอบ 4 หน้า 57 (H), (คำบรรยาย) พระ ราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่ควรน้อมนำไปแก้ปัญหากลุ่มการเมืองต่าง ๆ คือ ต้องทำโดยเข้าใจกัน หมายความว่า ไม่ว่าจะคิดทำสิ่งใดต้องทำด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน โดยใช้สติปัญญาพิจารณาถึงเหตุผลและประโยชน์ของชาติเป็นหลักรู้จักเอาใจเขามา ใส่ใจเรา ดังพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “….ถ้าทำโดยเข้าใจกัน เชื่อว่าทุกคนจะมีความพอใจได้..”

95. “รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน” หมายความตามข้อใด

1. จิตใจเข็มแข็ง พึ่งตนเองได้

2. มีจิตสำนึกที่ดี

3. มีความเอื้ออาทร

4. นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม

ตอบ 4 หน้า 58 (H) (คำบรรยาย) เจ้า พระยาธรรมศักดิ์มนตรีได้กล่าวไว้ในหนังสือธรรมจริยาว่า “ให้รักบ้านเมืองมากกว่ารักบ้าน” หมายความว่า ให้นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนรู้จักเห็นคุณค่าของส่วนรวม จนสามารถที่จะสละเวลา ความสุขส่วนตัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองให้เจริญขึ้นได้

96. ข้อใดไม่พึงปฏิบัติ

1. ความเจริญที่แสวงหาด้วยความเป็นธรรม

2. ความเจริญที่ได้มาโดยบังเอิญ

3. ความเจริญที่ได้ด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียน

4. ความเจริญจากการขวนขวายใฝ่หาความรู้

ตอบ 2, 3 หน้า 59 (H) พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนหนึ่งว่า “…ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้น หมายถึง ความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญ หรือด้วยการแก่งแย่งเบียดเบียนจากผู้อื่น…”

97. ข้อเบ่งชี้ความมีคุณธรรม

1. เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง

2. เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน

3. ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน

4. ย่อมเสียที่ ที่ตน ได้เกิดมา

ตอบ 1 หน้า 64 (H) คำว่า “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีใจสูง ซึ่งใจมนุษย์จะสูงได้ เพราะมีสิ่งเหล่านี้บรรจุอยู่ภายใน ได้แก่ 1. ความรู้ 2. ความสามารถ 3. คุณธรรม 4. อุดมคติ

5. อุดมการณ์ 6. ความสงบสุข

98. ชีวิตต้องเทียมด้วยความสองตัว มรรค 8 เป็นธรรมที่มีคุณค่าที่สุดสำหรับข้อใด

1. ความตัวต้นเป็นตัวรู้

2. ความตัวปลายเป็นตัวแรง

3. สามารถดับทุกข์ที่เกิดได้

4. ป้องกันความทุกข์ที่ยังไม่เกิดได้

ตอบ 3 หน้า 674 – 675 , 77 – 78 (H) 81 (H) มรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่

1. สัมมาทิฐิ (ความชอบ) 2. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

3. สัมมาวาจา (วาจา) 4. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ)

5. สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) 6. สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ)

7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ) 8. สัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ)

99. บุคคลที่ต้องการคำอธิบายคือข้อใด

1. อุคฆติตัญญู

2. วิปจิตัญญู

3. เนยยะ

4. ปทปรมะ

ตอบ 2 หน้า 78 – 79 (H) ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวถึงลักษณะของบุคคลไว้ 4 จำพวก ได้แก่

1. อุคฆติตัญญู คือ เฉียบแหลม ฉลาดมาก พอพูดขึ้นมาก็เข้าใจหมด หรือพูดคำเดียวรู้เรื่องรู้แจ้งทันทีโดยไม่ต้องอธิบาย 2. วิปจิตัญญู คือบุคคลที่ต้องการคำอธิบายจึงจะรู้เรื่อง 3. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะนำไปได้ มีปัญหาทึบ แต่พอจะฝึกฝนกันได้ด้วยความยากลำบาก 4. ปทปรมะ คือ บุคคลที่มีความถ่วงอย่างยิ่ง ทั้งโง่และดื้อ จนเหลือที่ใครจะนำได้

100. ค่านิยมมีความหมายที่ตรงข้ามกับข้อใด

1. อุดมคติ

2. อุดมการณ์

3. คุณธรรม

4. ความรู้ ความสามารถ

ตอบ 4 หน้า 71 (H) (คำบรรยาย) ค่านิยม (Values) จะมีความหมายสอดคล้องกับคำว่าอุดมคติ อุดมการณ์ และคุณธรรม ซึ่งหมายถึง ความ สามารถของบุคคลที่จะแยกแยะว่าอะไรคือสาระและสาระของชีวิต จึงเป็นคุณภาพจิตฝ่ายดีที่จะแยกแยะสิ่งดี – ไม่ดี เพื่อให้บุคคลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้อง ไม่เป็นบุคคลที่ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อความได้เปรียบ หรือฉกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ตน โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมโดยรวม

101. มนุษย์ควรได้รับการพัฒนาที่ดีที่สุดตามข้อใด

1. การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล

2. การพัฒนามนุษย์ให้มีสมาธิ

3. การพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา

4. การพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวม

ตอบ 4 หน้า 80 (H) การฝึกฝนและพัฒนามนุษย์นั้น ทางพุทธศาสนาจัดวางเป็นหลักที่เรียกว่า “ไตรสิกขา” คือ การพัฒนามนุษย์ให้มีศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งหากพัฒนาครบทั้ง 3 ด้าน ก็จะทำให้บุคคลพัฒนาการอย่างมีบูรณาการ และถือเป็นการพัฒนามนุษย์อย่างเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพและดีที่สุด

102. การฝึกวินัยคือสิกขาตามข้อใด

1. ศีลสิกขา – วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ

2. จิตตสิกขา – เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ

3. ปัญญาสิกขา – ความเห็นชอบ ดำริชอบ

4. ไตรสิกขา – หลักสำคัญของการพัฒนามนุษย์

ตอบ 1 หน้า 675 , 80 – 81 (H) การปฏิบัติตามมรรคที่มีองค์ 8 สามารถย่อลงได้ในไตรสิกขาดังนี้

1. ศีล (ศีลสิกขา) คือ การฝึกฝนในด้านพฤติกรรม หรือการฝึกวินัย ได้แก่ สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) และสัมมาอาชีวะ (อาชีพชอบ) 2. สมาธิ (จิตตสิกขา) คือ การฝึกในด้านจิต หรือระดับจิตใจ ได้แก่ สัมมาวายามะ (เพียรพยายามชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ (ตั้งใจชอบ) 3. ปัญญา (ปัญญาสิกขา) คือ การฝึกหรือพัฒนาในด้านการรู้ความจริง ได้แก่ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

103. แปลความคิดเป็นการกระทำ หมายความตามข้อใด

1. ชำนาญในการใช้ภาษา

2. ประพฤติดี รสนิยมดี

3. มีวิจารณญาณใฝ่รู้

4. นำความคิดมาปฏิบัติได้

ตอบ 4 หน้า 83 (H) ผู้ที่สามารถนำความคิดของตนมาสู่การปฏิบัติได้ คือ ผู้ที่สามารถแปลความคิดเป็นการกระทำ เพราะเป็นผู้มีความคิดแน่ชัดเป็นของตนเอง และเป็นความคิดที่ประกอบด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ใช่เป็นความคิดที่ไปคัดลอกหรือเลียนแบบมา โดยขาดพิจารณาหรือความเข้าใจอย่างถูกต้อง

104. ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดในข้อใดสำคัญที่สุด

1. EQ – ความฉลาดด้านการจัดการอารมณ์

2. AQ – ความฉลาดรู้สู้ปัญญา

3. GQ – ความลาดรู้เท่าทันโลก

4. HQ – ความฉลาดรักษาสุขภาพของตน

ตอบ 3 หน้า 83 – 85 (H) (คำบรรยาย) ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง ความฉลาดที่สำคัญที่สุดได้แก่ ความ ฉลาดรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี วิทยากร และสรรพสิ่งทั้งหลายไม่วิ่งตามกระแสสังคมโดยไม่ได้ใช้สติปัญญาแยกแยะสิ่งถูก – ผิด นอกจากนี้ยังต้องรู้จักบูรณาการความคิดระดับโลกมาปฏิบัติในระดับท้องถิ่นได้ (Global and Local Integration)

105. สติเป็นเครื่องช่วยบรรลุตามข้อใดที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด

1. มองตนออก

2. บอกตนได้

3. ใช้ตนเป็น

4. เห็นตนชัด

ตอบ 4 หน้า 55 (H) 88 (H) (คำบรรยาย) การฝึกพัฒนาตนเองไห้มีสติ คือ ความรู้จักตนเองโดยสติจะเป็นเครื่องช่วยให้บุคคลมองตนออก (รู้จักตัวตนของตนเองว่าเป็นใคร) บอก ตนได้ (บอกตนได้ว่ามีหน้าที่อะไรและต้องทำอะไร) ใช้ตนเป็น (ใช้ความรู้ความสามารถของตนไปในทางที่ถูก) และที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด ซึ่งถือเป็นจุดประสงค์ของการเรียนความรู้คู่คุณธรรมก็คือเห็นตนชัด (ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เตือนตนได้ว่าสิ่งใดดี – ไม่ดี)

106. ทานัง หมายความตามข้อใด

1. พึงชนะความโกธร ด้วยความไม่โกธรตอบ

2. ชนะความเลว ด้วยความดี

3. ชนะความตระหนี่ ด้วยการให้

4. ชนะคนพูดพล่อย ๆ ด้วยคำพูดจริง

ตอบ 3 หน้า 88 (H), 96-98 (H) ,108-109 (H) หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย

1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา

2. สีลัง (ศีล) คือ รักษาความสุจริต

3. ปะริจจาคัง (บริจาค) คือ บำเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ

4. อาชชะวัง (ความซื่อตรง) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง

5. มัททะวัง (ความอ่อนโยน) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม

6. ตะปัง (ความพากเพียร) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส

7. อักโกธัง (ไม่โกรธ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา

8. อวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) คือ มีอหิงสานำร่มเย็น

9. ขันติ (อดทน) คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ

10. อวิโรธนัง (อวิโรธนํ – ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่ผิดไปจากคำสอน) คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

107. นักศึกษาพึงปฏิบัติต่อบิดามารดาตามข้อใด

1. ขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระ

2. รักษาสมบัติส่วนร่วม

3. อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม

4. ไม่นิ่งดูดายในสาธารณะประโยชน์

ตอบ 1 หน้า 260 , 92 (H) นักศึกษาพึงปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบต่อบิดามารดาและครอบครัวดังนี้

1. เคารพเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของบิดามารดา

2. ขวนขวายช่วยเหลือกิจธุระของบิดามารดาตามควรแก่โอกาส

3. ไม่นำความเดือนร้อนมาให้ครอบครัว 4. รักษาและเชิดชูชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล

108. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายความตามข้อใด

1. คิด พูด ทำด้วยความเมตตา

2. มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน

3. ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

4. ประสานงานประสานประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 159 , 93 (H) (คำบรรยาย) ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หมายถึง การแสดงน้ำใจดีต่อผู้อื่นด้วยวาจา และใจ ตลอดจนการให้เป็นวัตถุและสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ ใจแคบเห็นแก่ตัวต่างคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ซึ่งการเอื้อเฟื้อที่ถูกต้องควรเป็นการอุดหนุนเจือจุนคนที่สมควรอุดหนุนโดย ไม่เป็นที่เดือนร้อนแก่ผู้อื่นและสังคม

109. การปฏิบัติตามข้อใดจะขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้

1. รู้สึกว่าเป็นประเทศของทุกคน

2. ต้องเข้าหากันแก้ปัญหา

3. ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว

4. ต่างคนต่างแพ้ ที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ

ตอบ 2 หน้า 94 (H) วิธีปฏิบัติที่ช่วยขจัดอุปสรรคของประเทศชาติร่วมกันได้ดีที่สุด คือ ทุกคนต้องเข้าหากัน แก้ปัญหาด้วยความสันติ ดัง พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอนหนึ่งว่า “ประเทศของเราไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคน สองคน เป็นประเทศของทุกคนต้องเข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ปัญหาเพราะว่าอันตรายมี อยู่ เวลาคนเราเกิดความบ้าเลือด ปฏิบัติการรุนแรงต่อกันด้วยความลืมตัว ลงท้ายไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไรแล้วจะแก้ปัญหาอะไร…”

110. ปัญหาที่เป็นอุปสรรคของการพัฒนาบ้านเมืองคือข้อใด

1. เมื่อไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต

2. ทุจริตแม้แต่นิดเดียวก็ขอแช่งให้มีอันเป็นไป

3. ถ้าสุจริตขอให้ต่ออายุได้ถึง 100 ปี

4. ประเทศไทยจะรอดพ้นอันตราย เพราะว่าผู้ที่ทำด้วยความตั้งใจในธรรม

ตอบ 1 หน้า 94 (H) ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาบ้านเมือง คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นดังพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ตอน หนึ่งว่า “ทำอย่างไรจึงจะปราบทุจริตได้ถ้ามีทุจริตแล้วบ้านเมืองพัง ที่เมืองไทยพังมาเพราะว่ามีทุจริต..เพราะว่าผู้ว่าฯ ซีอีโอต้องเป็นคนที่สุจริต ทุจริตไม่ได้…”

111. ผู้บริหารหรือนักการเมืองพึงมีสำนึกในข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ทำงานอย่างผู้รู้จริง มีผลงานประจักษ์

2. อดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมมะความถูกต้อง

3. อ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่าย ประหยัด

4. มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก

ตอบ 4 หน้า 94 (H) (คำบรรยาย) คุณสมบัติ ที่สำคัญที่สุดของผู้บริหารหรือนักการเมืองที่ดี คือ มีความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจ และเหนือสิ่งอื่นใดควรมีสำนึกที่มุ่งประโยชน์ของส่วนใหญ่เป็นหลักหรือเพื่อ ส่วนรวม มิใช่เพื่อตนเองหรือเพื่อคนส่วนน้อย โดยควรคิดถึงประโยชน์ของประเทศและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

112. ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วยสามัคคี หมายความตามข้อใด

1. ความน่าเชื่อถือมีกฎเกณฑ์

2. ความโปร่งใส

3. การมีส่วนร่วม

4. ความสามารถคาดการณ์ได้

ตอบ 3 หน้า 95 (H) (คำบรรยาย) ธรรมาภิบาลสำเร็จได้ด้วนสามัคคี หมายถึง การบริหารกิจการบ้านเมืองจะสำเร็จได้หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งตรงกับหลักสำคัญของ ธรรมาภิบาล (Good Governance) ประการหนึ่ง คือ การมีส่วนร่วม (Participation) ของ ประชาชน เช่น การมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

113. ผู้นำต้องยึดหลักข้อใดเป็นสำคัญที่สุด

1. ค่านิยม ซื่อสัตย์ โปร่งใส

2. กฎหมาย เป็นธรรม

3. ประสิทธิภาพ

4. ความจริงใจ

ตอบ 1 หน้า 95 – 96 (H) พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แนะว่า การ ใช้จริยธรรมและคุณธรรมในการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน ผู้นำจะต้องสำนึกที่จะนำสิ่งที่ดีไปใช้และขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้หมดไป โดยต้องยึดหลักมาตรฐานจริยธรรมที่สำคัญที่สุด คือ ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส และค่านิยม นอกจากนี้ยังต้องยึดหลักกฎหมาย ความมั่นคงของรัฐ ความเป็นธรรม และประสิทธิภาพในการในการบริหารงาน

114. ความซื่อตรง หมายความตามข้อใด

1. ทานัง

2. สีลัง

3. ปะริจจาคัง

4. อาชชะวัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

115. ข้อใดเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาอิสลาม

1. จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

2. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ

3. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

4. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า

ตอบ 2 หน้า 681 – 684 , 101 (H) มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตามธรรมนูญชีวิตของศาสนาอิสลามหรือที่เรียกว่ามุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1. การกล่าวคำปฏิญาณตน 2. การทำละหมาด (นมัสการ) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนาบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศชาอุดิอาระเบีย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคุณธรรมตามคำสอนของศาสนาคริสต์)

116. การเสียสละ เป็นฆราวาสธรรมตามข้อใด

1. สัจจะ

2. ทมะ

3. ขันติ

4. จาคะ

ตอบ 4 หน้า 104 (H) (คำบรรยาย) ฆราวาสธรรม 4 ประกอบด้วย

1. สัจจะ คือ ความจริง ความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมาทั่งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อวิชาชี 2. ทมะ คือ การฝึกฝนตนเองในเรื่องต่าง ๆ 3. ขันติ คือ ความอดทนอดกลั้น 4. จาคะ คือ การเสียสละแบ่งปัน

117. นักศึกษาจะมีส่วนร่วมสำคัญในการธำรงสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ด้วยคุณธรรมข้อใด

1. ความมีไหวพริบ

2. ความจงรักภักดี

3. ความรู้จักนิสัยคน

4. ความรู้จักผ่อนผัน

ตอบ 2 หน้า 116 (H) ความจงรักภักดี แปลว่า การยอมเสียสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน คือ ถึง แม้ว่าตนจะต้องได้รับความเดือนร้อนรำคาญ ตกระกำลำบาก หรือจนถึงต้องสิ้นชีวิตเป็นที่สุด ก็ยอมได้ทั้งสิ้นเพื่อมุ่งประโยชน์อันแท้จริงให้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

118. มิตรแท้พึงปฏิบัติตามข้อใด

1. อย่าใฝ่ตนให้เกิน

2. ที่ผิดช่วยเตือนตอบ

3. อย่าคะนึงถึงโทษท่าน

4. เมื่อพาทีพึงตอบ

ตอบ 2 หน้า 662 – 663 , 166 (H) 121 (H) รู้ถึงมิตรแท้ หรือมิตรด้วยใจจริงประการหนึ่ง คือ มิตรแนะนำประโยชน์ ซึ่งมีลักษณะ 4 ประการ ได้แก่ 1. จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปรามไว้ดังที่สุภาษิตพระร่วงได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “…ที่ผิดช่วยเตือนตอบ” 2. แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี 3. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง 4. บอกทางสุขทางสวรรค์ให้

119. ร่างกายที่สมบูรณ์ ความมีสติปัญญา เป็นหลักความรุ่งเรืองตามข้อใด

1. เลือกหาถิ่นที่เหมาะสม

2. เลือกคบคนดี

3. ตั้งตนไว้ถูก

4. เตรียมทุนที่ดี

ตอบ 4 หน้า 125 (H) หลักแห่งความเจริญรุ่งเรืองมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่ 1. เลือกหาถิ่นที่เหมาะ คือ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี 2. เลือกคบคนดี คือ รู้จักเลือกคบหาบุคคลผู้รู้ ผู้ทรงคุณที่จะเกื้อกูลความเจริญก้าวหน้างอกงาม 3. ตั้งตนไว้ถูก คือ รู้จักตั้งเป้าหมายชีวิตและการงานให้ดีงามปฏิบัติไปสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง 4. เตรียมทุนที่ดี คือ ความมีสติปัญญาร่างกายสมบูรณ์ รู้จักรักษาสุขภาพตนแก้ไขปรับปรุงตนด้วยการศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนความชำนาญ

120. ปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคตจากภาวะโลกร้อนคือข้อใด

1. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

2. พายุ อุทกภัย ภัยแล้งรุนแรงขึ้น

3. ผลต่อการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต ผู้คน

4. ปัญหาต่อแหล่งทรัพยากร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ผล กระทบภาวะโลกร้อน นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาต่อแหล่งทรัพยากรธรรมชาติเกิดการละลายของน้ำแข็ง ทั่วโลก ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น สภาวะอากาศแปรปรวน เกิดพายุ อุทกภัยและภัยแล้งรุนแรงแล้ว ก็ยังอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงที่สุดในอนาคต หากมนุษย์ยังไม่หยุดเพิ่มความร้อนให้กับโลกและปล่อยให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างที่เป็นอยู่ คือ อุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น จนเกิดระดับที่ผู้คนและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะอยู่รอดได้ (ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ)

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมกราขายอูฐของตนให้นายกุมภาตัวหนึ่งในราคา 50,000 บาท นายกุมภาตกลงซื้ออูฐตัวดังกล่าวตามราคาที่นายมกราเสนอขาย แต่ทั้งคู่ได้ตกลงกันว่านายมกราจะยังไม่โอนสิทธิในความเป็นเจ้าของอูฐให้นายกุมภาจนกว่านายกุมภาจะผ่อนชำระราคาให้นายมกราเดือนละ10,000 บาท ครบถ้วน ให้ท่านวินิจฉัยว่า กรรมสิทธิ์ในอูฐที่ขาย โอนไปยังนายกุมภาตั้งแต่ขณะเข้าทำสัญญาซื้อขายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 458 “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน”

มาตรา 459 “ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข หรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไป จนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือถึงกำหนดเงื่อนเวลานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์นั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อนับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อกัน (มาตรา 458) โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือมีการชำระราคากันแล้วหรือยัง เว้นแต่ถ้าในสัญญาซื้อขายนั้นมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ ดังนี้ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะโอนไปยังผู้ซื้อก็ต่อเมื่อเงื่อนไขที่กำหนดไว้นั้นสำเร็จแล้วหรือได้ถึงกำหนดเวลานั้นแล้ว (มาตรา 459)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมกราได้ตกลงขายอูฐของตนให้แก่นายกุมภาในราคา 50,000 บาท โดยทั้งคู่ได้ตกลงกันว่านายมกราจะยังไม่โอนสิทธิในความเป็นเจ้าของอูฐให้นายกุมภาจนกว่านายกุมภาจะผ่อนชำระราคาให้นายมกราเดือนละ 10,000 บาท ครบถ้วนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขบังคับไว้ ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันคืออูฐจึงยังไม่โอนไปยังนายกุมภาผู้ซื้อในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกัน แต่จะโอนไปก็ต่อเมื่อนายกุมภาได้ชำระราคาอูฐครบถ้วนแล้วตามมาตรา 458 ประกอบมาตรา 459

สรุป

กรรมสิทธิ์ในอูฐที่ขายยังไม่โอนไปยังนายกุมภาตั้งแต่ขณะเข้าทำสัญญาซื้อขายกัน

 

 

ข้อ 2. นายเอกซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายโทคันหนึ่ง ภายหลังจากที่ได้รับมอบรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว นายเอกได้นำรถยนต์ออกวางขายที่เต้นที่ขายรถยนต์ของตน ครั้นเมื่อนายตรีได้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมาจากเต้นที่ขายรถยนต์ของนายเอกแล้ว นายตรีได้นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพที่อู่รถของนายจัตวาจึงทราบว่ารถมีสภาพเครื่องยนต์ชำรุด ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายตรีจะฟ้องคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้หรือไม่ และนายเอกจะฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพรองของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตรีซื้อรถยนต์มาจากเต้นที่ขายรถยนต์ของนายเอกและปรากฏว่ารถมีสภาพเครื่องยนต์ชำรุดนั้น ถือว่ามีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายตรีซื้อมา อันเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันจะมุ่งใช้เป็นปกติ นายเอกผู้ขายจึงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น

ตามมาตรา 472 วรรคแรก แม้ว่านายเอกผู้ขายจะไม่รู้ถึงความชำรุดบกพร่องที่มีอยู่ก็ตามตามมาตรา 472 วรรคสอง

ดังนั้น นายตรีสามารถฟ้องเป็นคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้ และถึงแม้นายเอกจะต้องรับผิดต่อนายตรีเพื่อความชำรุดบกพร่องดังกล่าวแต่นายเอกก็ไม่อาจฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นนั้นได้ เพราะรถยนต์ที่นายเอกซื้อมาจากนายโทนั้น เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3)

สรุป

นายตรีจะฟ้องคดีให้นายเอกรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องได้ แต่นายเอกจะฟ้องให้นายโทรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

 

ข้อ3. นายสันขายฝากกล้องถ่ายภาพกล้องหนึ่งของนายสันไว้กับนายสีในราคา 200,000 บาท แต่รับเงินจริงเพียง 100,000 บาท ไม่ได้กำหนดค่าสินไถ่ กำหนดเวลาไถ่คืนภายในหกเดือน ขายฝากไปได้สองเดือนนายสีได้ขายกล้องตัวนั้นต่อให้นายแสง โดยนายแสงทราบว่ากล้องตัวนั้นเป็นของนายสันที่ขายฝากไว้กับนายสี เมื่อนายแสงรับซื้อกล้องตัวนั้นมาได้หกเดือน นายสันจึงได้นำเงิน 200,000 บาท มาไถ่กล้องนั้นคืนจากนายแสง ให้ท่านอธิบายว่า นายแสงจะปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้นคือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 497 “สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้ คือ

(1)  ผู้ขายเดิม หรือทายาทของผู้ขายเดิม หรือ…”

มาตรา 498 “สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ

(2)  ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันได้ขายฝากกล้องถ่ายภาพกล้องหนึ่งซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ไว้กับนายสีและกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน 6 เดือนนั้น ถือว่ากำหนดเวลาไถ่ไม่เกินไปกว่ากำหนดเวลาตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ตามมาตรา 494 (2) ดังนั้น เวลาจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินจึงต้องไถ่ภายในกำหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา คือภายในกำหนด 6 เดือน

การที่นายสันได้ขายฝากทรัพย์สินดังกล่าวไว้กับนายสีในราคา 200,000 บาท แต่ได้รับเงินจริงเพียง 100,000 บาท และในสัญญาไม่ได้กำหนดค่าสินไถ่ไว้นั้น กรณีนี้ถือว่าราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น เมื่อมีการไถ่ก็ให้ใช้สินไถ่ตามราคาขายฝากที่แท้จริง คือ 100,000 บาท รวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปิตามมาตรา 499 วรรคสอง

และตามข้อเท็จจริง เมื่อมีการขายฝากได้ 2 เดือน นายสีได้ขายกล้องตัวนั้นต่อให้นายแสงโดยที่นายแสงได้ทราบว่ากล้องตัวนั้นเป็นของนายสันที่ขายฝากไว้กับนายสี ดังนั้น เมื่อนายสันซึ่งเป็นผู้ขายเดิมจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้น ย่อมสามารถใช้สิทธินั้นได้กับนายแสงซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินนั้นเพราะนายแสงได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืนตามมาตรา 497 (1) และมาตรา 498 (2)

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสันได้ใช้สิทธิมาขอไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนจากนายแสง นายสันได้มาขอไถ่คืนหลังจากนายแสงได้ซื้อกล้องตัวนั้นมาแล้ว 6 เดือน ซึ่งเลยกำหนดเวลาไถ่ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแล้ว

ดังนั้นนายแสงย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้

สรุป

นายแสงสามารถปฏิเสธไม่ยอมให้นายสันไถ่กล้องถ่ายภาพตัวนั้นคืนได้ เพราะเลยกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาแล้ว

WordPress Ads
error: Content is protected !!