RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดคือความหมายของจริยธรรม

(1) สภาพคุณงามความดี

(2) ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ

(3) คุณสมบัติที่ดีของจิตใจ

(4) หลักแห่งความประพฤติ หรือแนวทางการปฏิบัติ

ตอบ 4

คําว่า “จริยธรรม” (Ethical) จะมาจากคําว่า“จริย (จรรยา) + ธรรม” ซึ่งคําว่า “จริย” หมายถึง ความประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคําว่า “ธรรม” มีความหมายหลายอย่าง เช่น คุณความดี หลักปฏิบัติ หลักคําสอนของศาสนา ดังนั้นเมื่อนําทั้งสองคํามารวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงมีความหมายว่า หลักแห่งความประพฤติหรือแนวทางของการประพฤติปฏิบัติ

2. การศึกษาที่พึงมีในสังคมควรประกอบด้วยข้อใด

(1) การศึกษาเฉพาะคดีโลก

(2) การศึกษาเฉพาะคดีธรรม

(3) การศึกษาคดีโลกและคดีธรรม

(4) การศึกษาความรู้ในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

ตอบ 3

หลักจริยธรรมของพระราชวรมุนีข้อ 2 ได้แก่ ต้องได้รับการศึกษาคือ ประชากรในสังคม จะต้องได้รับการศึกษาทั้งคดีโลกและคดีธรรม ซึ่งการศึกษาคดีโลก ก็เพื่อแก้ปัญหาปากท้อง ส่วนการศึกษาคดีธรรมก็เพื่อแก้ปัญหาทางจิตใจไม่ให้ตกต่ำและคอยประคับประคองชีวิตให้ดําเนินตามครรลองคลองธรรม

3. ข้อใดเป็นหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา

(1) สอนให้พึ่งตนเอง

(2) สอนให้พึ่งผู้อื่น

(3) สอนให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(4) สอนให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ตอบ 1

หลักคําสอนของพระพุทธศาสนานั้น เป็นหลักความจริงตามธรรมชาติและมีความสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ เพราะศาสนาพุทธสอนให้เชื่อตามหลักเหตุและผลโดยใช้ปัญญาวิเคราะห์ไตร่ตรอง สอนให้รู้จักพึ่งตนเองไม่ใช่พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังสอนให้ลดกิเลสตัณหาของตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

4. “จน เครียด กินเหล้า แล้วไม่ทํางาน” จัดเป็นคนที่ขาดคุณธรรมในด้านใด

(1) ทรัพย์สิน

(2) ความขยันหมั่นเพียร

(3) โลภะ

(4) เมตตา

ตอบ 2 หน้า

หลักจริยธรรมของพระราชวรมุนีข้อ 7 ได้แก่ มีความขยันหมั่นเพียร คือ ประชาชนในสังคมรัฐใดมีแต่คนขยันไม่เกียจคร้าน สังคมนั้นจะไม่ลําบาก ระบบเศรษฐกิจจะดีและเจริญก้าวหน้า ทุกคนจะไม่ยากจน เหมือนดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่ชนผู้ขยัน”

5. ผู้ใดจัดว่าเป็นคนไม่มีความสันโดษ

(1) นาย ก ตั้งใจประกอบอาชีพค้าขายให้มีรายได้และผลกําไรเพียงพอต่อการใช้จ่าย

(2) นาย ข ทํางานหนักเพื่อหาเงินไปเที่ยวต่างประเทศแบบคนอื่น ๆ

(3) นาย ค รู้สึกว่ารถยนต์ของตนเป็นรถที่ดี และสามารถใช้งานได้ตามที่ต้องการ

(4) นาย ง ตั้งใจปฏิบัติงานของตนเองให้สําเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย

ตอบ 2 ความสันโดษ หมายถึง การพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ พอใจในสิ่งที่เรียบง่าย หรือเป็นอยู่อย่างสมถะ ดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า “ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” คือ ความพอใจจะทําให้เรามีความสุข หรือความสุขเกิดจากความพอใจ และความสันโดษนั้นเอง คือ ทรัพย์อันล้ำค่าของมนุษย์ ซึ่งความสันโดษแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

1. ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด มีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

2. ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกําลัง มีกําลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

3. ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควรในรูปลักษณ์ของตนเอง และฐานะที่เป็นอยู่

6. ข้อใดหมายถึง “กัลยาณมิตร”

(1) ให้คําแนะนําที่ดีในการซื้อของมียี่ห้อ

(2) ให้ทําตามใจปรารถนาในเรื่องที่ต้องการ

(3) แนะนําการประพฤติที่ดี

(4) แนะนําให้ทําบุญครั้งละมาก ๆ

ตอบ 3

กัลยาณมิตร (กัลยาณมิตตตา) คือ รู้จักคบคนดีหรือคบหาบัณฑิต ซึ่งรูปแบบของกัลยาณมิตร (คนดีหรือบัณฑิต) มีดังนี้

1. ชักนําเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควร

2. ชอบทําในสิ่งที่เป็นธุระ เช่น การทําหน้าที่ของตนให้ลุล่วง

3. ให้คําแนะนําการประพฤติที่ดีและถูกต้อง เช่น แนะนําให้ทําบุญและปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่อัตภาพ

4. รับฟังดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ถือโทษหรือโกรธเคือง ฯลฯ

7. เด็กชายหมีเป็นกะเทย ไม่มีนักเรียนชายอยากเป็นเพื่อน วันหนึ่งหมีเก็บเงินได้และนําไปให้ครูประกาศหาเจ้าของจนเจอ ครูประกาศความดีหน้าเสาธง ทุกคนยอมรับเด็กชายหมี สถานการณ์นี้ตรงกับข้อใด

(1) ทําดีได้ดี

(2) ทําชั่วได้ชั่ว

(3) พูดไปสิบไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง

(4) คนดีผีคุ้ม

ตอบ 1

สุภาษิต “ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว” หมายถึง คนเราทําอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นซึ่งในสมัยโบราณได้ใช้สอนคนให้กระทําแต่ความดี ละเว้นความชั่ว เพราะเมื่อเราทําดีก็จะได้ผลดี เป็นการตอบแทน ดังสุภาษิตท่อนแรก “ทําดีได้ดี” แต่ในทางกลับกันถ้าเราทําแต่ความชั่วก็จะได้สิ่งที่ไม่ดีเป็นการตอบแทน ดังสุภาษิตท่อนหลัง “ทําชั่วได้ชั่ว”

8. คุณธรรมสําหรับครู ตรงกับข้อใด

(1) เป็นแบบอย่างที่ดีในเวลางาน

(2) มีพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม

(3) ต้องการให้นักเรียนสอบผ่านทุกคน

(4) ยอมรับทุกสิ่งที่ผู้ปกครองต้องการ

ตอบ 2

คุณธรรมสําหรับครู คือ คุณงามความดีของบุคคลที่เป็นครู ซึ่งได้กระทําไปด้วยความสํานึกในจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการกระทําความดี หรือเป็นพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ครูที่รักเด็กและรักเพื่อนมนุษย์ มีความเสียสละ มีน้ำใจงาม มีความเกรงใจ มีความยุติธรรม มีความเห็นอกเห็นใจลูกศิษย์ และมีมารยาทที่งดงาม ก็จะถือว่าเป็นครูที่มีคุณธรรมทั้งสิ้น

9. ข้อใดไม่ใช่ศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลาม

(1) กล่าวปฏิญาณตน

(2) การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ

(3) การนมัสการ 5 เวลา

(4) เว้นบริโภคเนื้อสัตว์ในเดือนรอมดอน

ตอบ 4

ศาสนาอิสลามนับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้า โดยมีศาสดาผู้เผยแผ่หลักศาสนาของอิสลามพระองค์สุดท้าย คือ นบีมูฮัมหมัด ซึ่งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะเรียกว่า มุสลิมหรืออิสลามิกชน มีหน้าที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจตามมุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1. การกล่าวคําปฏิญาณตน 2. การนมัสการ (ละหมาด) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

10. ข้อใดไม่ใช่พระบัญญัติ 10 ประการในศาสนาคริสต์

(1) อย่าลักทรัพย์

(2) อย่าฆ่าคน

(3) อย่าลืมสวดมนต์

(4) ให้ความนับถือบิดามารดา

ตอบ 3

พระบัญญัติ 10 ประการในศาสนาคริสต์ มีดังนี้
1. อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา 2. อย่าทํารูปเคารพสําหรับตน 3. อย่าออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร 4. จงระลึกถึงวันสะบาโต 5. จงนับถือให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า 6. อย่าฆ่าคน 7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 8. อย่าลักทรัพย์ 9. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน 10. อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน

11. วันเข้าพรรษาเกิดขึ้นเพราะวัตถุประสงค์ในข้อใด

(1) ต้องการให้พระสงฆ์พักผ่อน

(2) เป็นช่วงเวลาให้พระสงฆ์แสดงธรรมต่อศาสนิกชน

(3) ไม่ต้องการให้เบียดเบียนผู้อื่น

(4) เพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด

ตอบ 3

วันเข้าพรรษา เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ํา เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 11 รวม 3 เดือน เป็นวันสําคัญในพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจํา ณ วัดใดวัดหนึ่ง ตลอดฤดูฝน เพื่อมิให้พระภิกษุสงฆ์สัญจรไปมาจนไปเหยียบข้าวกล้าเสียหาย ทําให้ สัตว์เล็กน้อยตาย อันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันเข้าพรรษา มีดังนี้ 1. นําดอกไม้ ธูปเทียน พุ่มต้นไม้ เทียนพรรษาขนาดใหญ่ และเครื่องใช้ของพระสงฆ์ไปถวายที่วัด 2. ทําบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา และรักษาอุโบสถศีล 3. งดเว้นอบายมุขต่าง ๆ และเว้นการเลี้ยงฉลองรื่นเริงที่มีแอลกอฮอล์ ฯลฯ

12. การพัฒนาตนเองโดยรู้จักพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญาของตนจนพบคําตอบ ตรงกับหลักในข้อใด

(1) โยนิโสมนสิการ

(2) ทิฐิสัมปทา

(3) อัตตสัมปทา

(4) ฉันทสัมปทา

ตอบ 1

หลักการพัฒนาตนเองประการแรก ได้แก่ โยนิโสมนสิการ คือ การคิดเป็นรู้จักคิดพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยปัญญาของตนจนพบคําตอบ ทําให้เกิดปัญญาที่เข้าถึงความจริงได้ประโยชน์ สนองความใฝ่รู้และใฝ่สร้างสรรค์โดยสมบูรณ์

13. “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” จากข้อความดังกล่าวข้อใดถูกต้องที่สุดในหลักสัปปุริสธรรม 7

(1) อัตถัญญุตา

(2) มัตตัญญุตา

(3) ปริสัญญุตา

(4) ปุคคลัญญุตา

ตอบ 3

ตามหลักคุณธรรมของสัปปุริสธรรม 7 นั้น การรู้จักชุมชน (ปริสัญญตา) คือ การรู้จักถิ่น รู้จักสังคมหรือชุมชนที่ตนอยู่ รู้ว่าเมื่อตนอยู่ในสังคมหรือชุมชนนั้นๆ เขามีระเบียบ ปฏิบัติหรือประเพณีวัฒนธรรมอย่างไร เมื่อเราจะเข้าร่วมในชุมชนหรือสังคมนั้น เราก็ต้องทําความเข้าใจวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ และประเพณีวัฒนธรรมของ ชุมชน เพื่อให้ประพฤติหรือปฏิบัติตนให้เข้ากับบุคคลและอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุขดังสํานวนไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” นั่นเอง

14. บริหารจัดการสูงกว่า 20 ล้านบาทนั้น นักศึกษาคิดว่าคนในสังคมมุ่งเน้นในการตรวจสอบรัฐบาลในเรื่องใด

(1) หลักจริยธรรมองค์กร

(2) หลักการบริหารสมัยใหม่

(3) หลักการบริหารงานคุณภาพ

(4) หลักธรรมาภิบาล

ตอบ 4

หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) หรืออาจเรียกได้ว่าการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หลักธรรมรัฐ และบรรษัทภิบาล ฯลฯ หมายถึง การปกครอง ที่เป็นธรรม ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. หลักนิติธรรม 2. หลักคุณธรรม 3. หลักความโปร่งใส สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ 4. หลักความมีส่วนร่วม 5. หลักความรับผิดชอบ 6. หลักความคุ้มค่า

15. “นายหมีซื้อน้ำมันพรายจากอินเทอร์เน็ตเพราะมีความเชื่อว่าจะทําให้ผู้หญิงที่ตนชอบหันมาสนใจ และ
อยู่กับตนในที่สุด” จากข้อความดังกล่าวแสดงว่านายหมียังมีสิ่งใดอยู่มาก

(1) โมหะ

(2) อวิชชา

(3) อบายมุข

(4) โยนิโสมนสิการ

ตอบ 1

ความหลงผิด (โมหะ) คือ ความขาดปัญญาในลักษณะต่าง ๆ จนถึงการถือเอาความผิดด้วยความเข้าใจผิดและความงุนงง ไม่พบทางออกเหมือนอย่างคนหลงทาง ซึ่งคนเราหากเผลอสติ เผลอปัญญาเมื่อใด ความหลงก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น และคนที่ถูกหลอกลวงได้ก็เพราะไปเชื่อในคําหลอกลวง เรียกว่าเป็นคนหลงอย่างหนึ่ง นั่นคือ หลงเชื่อ
ในสิ่งที่หลอกลวง ดังนั้นจึงไม่ควรด่วนเชื่อใคร หรือแม้แต่ใจตนเองทันที

16. ผู้ร้ายที่ขาดสติก่อเหตุข่มขืนพยาบาลสาวตามที่ตกเป็นข่าวนั้น แสดงว่าผู้ข่มขืนขาดวุฒิภาวะด้านใด

(1) IQ

(2) CQ

(3) EQ

(4) MQ

ตอบ 4

MQ (Morality Quotient) คือ ความฉลาดหรือวุฒิภาวะทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมของบุคคล ซึ่งเป็นความสามารถในการควบคุมตนเอง มีความโปร่งใส ยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีความกตัญญู เป็นคนดี มีระเบียบวินัย มีสํานึกผิดชอบชั่วดี เคารพนับถือผู้อื่น ตลอดจนมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองต่อสังคม และต่อมนุษยชาติ

17. “จุดมุ่งหมายและความฝันมีไว้ให้ชน” จากข้อความดังกล่าวตรงกับหลักธรรมข้อใด

(1) ทุกข์

(2) สมุทัย

(3) นิโรธ

(4) มรรค

ตอบ 2

สมุทัย (ธรรมที่ควรละ) คือ สาเหตุของปัญหาหรือบ่อเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหา หรือความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจมนุษย์ที่อยากจะได้ใน กาม (กามตัณหา) อยากจะเป็นอะไรต่าง ๆ ตามที่ใฝ่ฝันไว้ (ภวตัณหา) และอยากที่จะไม่เป็น ในภาวะที่ไม่ชอบต่าง ๆ (วิภวตัณหา) โดยสิ่งที่ควรละเลิกหรือละทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ มีดังนี้ 1. หลักกรรม (วิบัติ 4 หรือความบกพร่อง) 2. อกุศลกรรมบถ 10 หรือกรรมชั่วอันเกิดจาก โลภะ โทสะ และโมหะ 3. อบายมุข 6 หรือทางแห่งความเสื่อม

18. การที่ข้าราชการไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาตนในด้านใดตามหลักไตรสิกขา

(1) ศีล

(2) ปัญญา

(3) สมาธิ

(4) จริยธรรม

ตอบ 1

หลักไตรสิกขา เป็นหลักการสําคัญของการพัฒนามนุษย์ทําให้บุคคลพัฒนาอย่างมีบูรณาการและเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพ ประกอบด้วย 1. ศีล คือ การควบคุมกายและวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติสุข หรือข้อละเว้นการทําชั่วทั้งปวง หรือกฎระเบียบวินัยที่กําหนดให้ยึดถือปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบและความงามแห่งหมู่คณะ 2. สมาธิ คือ การทําจิตใจให้สงบตั้งมั่น แน่วแน่ในสิ่งที่กระทํา 3. ปัญญา คือ ความรอบรู้ การรู้แจ้งเห็นจริง รู้ถึงสภาวะความจริงแท้ของสิ่งต่าง ๆ

19. การมีจิตคิดดี ไม่ริษยา ยินดีเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตําแหน่งที่สูงขึ้น ถือว่ามีหลักธรรมข้อใด

(1) เมตตา

(2) กรุณา

(3) มุทิตา

(4) อุเบกขา

ตอบ 3

พรหมวิหาร 4 แปลว่า ธรรมสําหรับเป็นที่อาศัยของจิตใจที่ดี หรือธรรมของผู้มีจิตใจประเสริฐ มีจิตใจกว้างขวาง ซึ่งเป็นคุณธรรม ที่สร้างสวรรค์ให้เกิดขึ้นบนดิน จึงเหมาะสําหรับผู้นํา ผู้บริหาร หรือหัวหน้างานที่ปกครอง ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อครองใจคนอื่นหรือบริหารคนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนี้ 1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ความหวังดี ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ดังนั้นเมตตาจึงเป็นเครื่องปลูกอัธยาศัยเอื้ออารี ทําให้มีความหนักแน่นในอารมณ์ ไม่โกรธแม้จะถูกด่าว่าเสียหาย 2. กรุณา คือ ความสงสารเห็นใจ ปรารถนาที่จะช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ 3. มุทิตา คือ ความมีมุทิตาจิต ซึ่งต้องมีพื้นฐานมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส รู้สึกปลาบปลื้มใจ เบิกบาน พลอยชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข ไม่คิดอิจฉาริษยาในความดีของผู้อื่น 4. อุเบกขา คือ ความรู้จักวางเฉย มีใจเป็นกลาง ปราศจากอคติในการตัดสิน ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง โดยพิจารณาเห็นกรรมที่ได้กระทําว่าควรได้รับผลดีหรือชั่ว

20. การได้มาซึ่งตําแหน่งหัวหน้าโดยการทําร้าย ทําลาย กล่าวร้ายหัวหน้าคนเก่านั้น แสดงว่าผู้ที่กระทํา
พฤติกรรมดังกล่าวมีจิตใจเป็นเช่นไร

(1) อิจฉา

(2) ริษยา

(3) ทะเยอทะยาน

(4) อกตัญญู

ตอบ 4

อกตัญญู แปลว่า ผู้ที่ไม่รู้สึกถึงบุญคุณที่ผู้อื่นทําแก่ตน หรือผู้ไม่มีความกตัญญู โดยจะมีลักษณะลบหลู่บุญคุณหรือเนรคุณ ทรยศ หักหลัง ไม่ปรารถนาที่จะตอบแทนความดีของใคร ชอบลืมเรื่องที่เขาเคยทําเคยช่วยเหลือตน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอิ่มที่จะรับจากคนอื่น หากยังมีช่องทางจะได้จากเขาอีกก็จะพอใจ แต่ถ้าเห็นว่าหมดโอกาสแล้วก็จะตีจากไปทันที หรือไม่ก็แสดงกิริยาพูดจาให้ร้ายต่าง ๆ

21. ข้อใดไม่ใช่หลักธรรมคําสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันมาฆบูชา “โอวาทปาติโมกข์”

(1) การไม่ทําบาปทั้งปวง

(2) การไม่ให้ทาน

(3) การทําจิตให้ผ่องใส

(4) การทํากุศลให้ถึงพร้อม

ตอบ 2

โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักธรรมคําสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักการและแนวทางที่พุทธศาสนิกชนควรนําไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ คือ การไม่ทําบาปทั้งปวง (การละเว้นความชั่ว), การทํากุศลให้ถึงพร้อม (การทําแต่ความดี) และการทําจิตของตนให้ผ่องใส (การทําจิตใจให้บริสุทธิ์ หรือคิดถึงกรรมดีแล้วสบายใจ)

22. ตามหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา ผู้ที่มี “ศรัทธา” ควรมีสิ่งใดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ไม่หลงทาง

(1) ปัญญา

(2) ความหลง

(3) ความเพียร

(4) ความเป็นกลาง

ตอบ 1

ศรัทธา (สัทธา) หมายถึง ความเชื่อที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ควรเชื่อ ซึ่งต้องอาศัยปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นตัวกํากับความเชื่อที่ถูกต้อง ไม่ให้หลงทาง หรือเกิดความหลงงมงายจนถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่าย เช่น ความเชื่อที่ถูกต้องว่าบุญมีจริง บาปมีจริง, ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว, คุณของบิดามารดามีจริง คุณของครูอาจารย์มีจริง ตลอดจนความเชื่อมั่น
ในคุณของพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์) ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม เป็นต้น

23. การเรียนรู้ด้วยการนําตนเองเหมาะสมกับข้อใดในยุคปัจจุบัน

(1) มีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

(2) มีความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติของผู้อื่น

(3) สามารถปรับปรุงและโน้มน้าวผู้อื่นได้

(4) นําไปใช้สร้างฐานะให้กับตนเองได้

ตอบ 1

ลักษณะของการเรียนรู้ด้วยการนําตนเอง มีอยู่ 8 ประการ คือ
1. การเปิดโอกาสต่อการเรียนรู้ 2. มโนคติของตนเองในด้านการเป็นผู้เรียน ที่มีประสิทธิภาพ 3. มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 4. มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน 5. มีความรักในการเรียน 6. มีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 7. มองอนาคตในแง่ดี 8. สามารถใช้ทักษะในการศึกษาหาความรู้และทักษะในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

24. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “โลกียธรรม”

(1) พรหมวิหาร 4

(2) ธรรมที่เป็นประโยชน์ในการดํารงอยู่ในสังคม

(3) สังสารวัฏ

(4) ชีวิตหลังความตาย

ตอบ 4

โลกียธรรม เป็นธรรมที่เป็นประโยชน์ในการดํารงอยู่ในสังคม ทําให้บุคคลมีประสิทธิภาพ เป็นคนดีและมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง แข็งแรง อยู่ด้วยกัน อย่างเอื้ออาทรและสมัครสมานสามัคคี ได้แก่

ศีลสัมปทา

ฉันทสัมปทา

อัตตสัมปทา

ทิฐิสัมปทา

โยนิโสมนสิการสัมปทา

อัปปามาทสัมปทา

สังสารวัฏ

อิทธิบาท 4

พรหมวิหาร 4

สังคหวัตถุ 4

กัลยาณมิตร 7

อปริหานิยธรรม 7

ฆราวาสธรรม 4

อธิษฐาน 4

สัปปุริสธรรม 7

สุจริต 3

และทศพิธราชธรรม 10

25. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการมีสุจริต 3

(1) พ้นจากความเดือดร้อน

(2) มีทรัพย์สินมากมาย

(3) มีความสุขทางโลก

(4) มีความสุขทางธรรม

ตอบ 2

คําว่า “สุจริต” แปลว่า การประพฤติดีงาม และมีความประพฤติดีประพฤติชอบ 3 ประการ ได้แก่ กายสุจริต (ประพฤติชอบ) วจีสุจริต (วาจาชอบ) และมโนสุจริต (ดําริชอบ) ซึ่งประโยชน์ของการมีสุจริต 3 มีดังนี้ 1. พ้นจากความเดือดร้อน 2. มีแต่คนสรรเสริญ 3. มีความสุขทางโลก 4. มีความสุขทางธรรม

26. ข้อใดไม่ใช่คุณธรรมของคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่ชนผู้ขยัน”

(1) ความขยันหมั่นเพียร

(2) ความเมตตา

(3) ความมุ่งมั่นในการทํางาน

(4) สัมมาอาชีวะ

ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ)

คุณธรรมของคํากล่าวข้างต้นตรงกับเรื่องความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด รองลงมาคือ ความมีจิตมุ่งมั่นในการทํางาน (จิตตะ) และ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต (สัมมาอาชีวะ)

27. ความรู้จริยธรรม หมายถึงข้อใด

(1) ความรู้เกี่ยวกับสังคม บอกได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

(2) การแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสังคม

(3) สอนให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(4) สอนให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ตอบ 1

คําว่า “หลักคุณธรรมจริยธรรม” หมายถึงหลักความประพฤติที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม โดยความรู้ในเชิงคุณธรรมจริยธรรมจะต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับสังคมที่สะท้อนถึงการกระทําใดดี การกระทําใดไม่ดี สิ่งใดควรประพฤติ
สิ่งใดควรงดเว้นประพฤติ และประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกที่ควรให้เป็นปกติวิสัย

28. ทุกข้อคือความหมายของจริยธรรม ยกเว้นข้อใด

(1) ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ

(2) การประพฤติที่ดีต่อสังคม

(3) กฎศีลธรรม

(4) ข้อห้ามที่ควรกระทําให้ถูกต้อง

ตอบ 4

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้ความหมายของจริยธรรมว่า คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม หรือคุณความดีที่พึงยึดเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ดีต่อสังคม

29. ผู้ที่ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีคุณธรรมตรงกับด้านใดมากที่สุด

(1) สังคหวัตถุ 4

(2) อริยสัจ 4

(3) มรรค

(4) อิทธิบาท 4

ตอบ 4

อิทธิบาท 4 คือ หลักคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานสําคัญให้ผู้ประพฤติปฏิบัติประสบความสําเร็จตามเป้าหมายทั้งในการครองชีวิต การศึกษา และหน้าที่ การทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1. ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักในงานที่ตนทํา พอใจจะทํางานด้วยใจรัก 2. วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน มีความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นกระทําด้วยความเพียรพยายามในทางที่ชอบธรรม เช่น เพียรพยายามทําความดี เพียรพยายามเอาชนะอุปสรรค และเพียรทําถูกต้องตามทํานองคลองธรรม 3. จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทําด้วยความอุทิศตัวและใจ 4. วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทํางานด้วยปัญญา หมั่นตริตรองพิจารณาหาเหตุผลก่อนกระทํา ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

30. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนไม่ควรปฏิบัติในวัน “เข้าพรรษา”

(1) ถวายเทียนพรรษา

(2) งดเว้นอบายมุขต่าง ๆ

(3) ทําบุญตักบาตร และเลี้ยงฉลองใหญ่

(4) ฟังธรรมเทศนา และรักษาอุโบสถศีล

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

31. การ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) สัจธรรม

(2) ฉันทะ

(3) สมุทัย

(4) สังขาร

ตอบ 2

การ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ซึ่งเป็นธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ จะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมทางศาสนาพุทธ ดังนี้ 1. สัจธรรม คือ ความจริงแท้ของชีวิต หรือความจริงตามธรรมชาติ 2. สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหา หรือสาเหตุที่ทําให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย 3. สังขาร คือ ร่างกาย ตัวตน สิ่งที่ประกอบและปรุงแต่งขึ้นเป็นร่างกายและจิตใจรวมกัน

32. ผู้ที่ขายยาบ้า เพราะมีข้อใดเป็นมูล

(1) โลภะ

(2) โทสะ

(3) โมหะ

(4) ราคะ

ตอบ 1

อกุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือเหตุแห่งความชั่ว มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
1. โลภะ (ความอยากได้) คือ ความเป็นผู้มีความต้องการ ทะยานอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนซึ่งคนที่โลภมากอาจทําทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิดเพื่อตอบสนองความอยากของตนเอง 2. โทสะ (การคิดประทุษร้าย) คือ ความโกรธหรือไม่พอใจอย่างแรง ผูกพยาบาท คิดร้ายต่อผู้อื่น 3. โมหะ (ความหลง) คือ ความประมาท ความหลง ความสงสัย ความโง่งมงาย มัวเมาในอบายมุข อันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง

33. ข้อใดไม่ใช่ความคาดหวังของผู้ว่าจ้างที่มีต่อพนักงาน

(1) มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี

(2) มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ฟังใคร

(3) มีความกระตือรือร้นและไม่เลือกงาน

(4) มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบองค์กร

ตอบ 2

ผู้ว่าจ้างมีความคาดหวังให้พนักงานของตนมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี 2. มีความกระตือรือร้นและไม่เลือกงาน 3. มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบขององค์กร 4. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักรับฟังคําสั่งสอนของผู้อื่น ไม่หยิ่งยโสอวดดี ฯลฯ

34. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ทําให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภายนอก

(1) การเลือกสรรเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

(2) อิริยาบถที่สุภาพสง่างามในการยืน เดิน

(3) มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มุทะลุ วู่วาม

(4) การดูแลและบํารุงรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธี

ตอบ 3

การพัฒนาบุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 ประการ ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลิกภายนอก เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด ได้แก่ การเลือกสรรเสื้อผ้าและ เครื่องแต่งกาย การมีอิริยาบถที่สุภาพสง่างามในการยืน เดิน การดูแลและบํารุงรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธี ฯลฯ 2. การพัฒนาบุคลิกภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา ได้แก่ การฝึกเป็นคนใจเย็น ไม่ใจร้อน มุทะลุ รู่วาม, การฝึกให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ต้องไม่เชื่อมั่นสูงเกินไปจนไม่ฟังใครหรือยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ฯลฯ

35. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของ “คุณธรรม” ได้ครอบคลุมมากที่สุด

(1) ความถูกต้องเหมาะสม

(2) หลักความประพฤติที่ดีงาม

(3) คุณค่าทางสังคม

(4) การยอมรับนับถือ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

36. กรอบแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

(1) การชี้แนะแนวทางการดํารงชีวิต

(2) ปฏิบัติตนในแนวทางที่ตนเองต้องการ

(3) การวางตนที่เหมาะสม

(4) การยกระดับตนให้สูงขึ้น

ตอบ 1

กรอบแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางในการดํารงชีวิตและการปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย ซึ่งสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

37. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานมาจากคําตอบในข้อใดต่อไปนี้

(1) ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

(2) การปรับตัวของสังคมไทย

(3) วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย

(4) วิถีชีวิตยุคใหม่ของสังคมไทย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

38. “ความพอประมาณ” มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) แดงยึดทางสายกลางเป็นสําคัญ

(2) ดําทําในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา

(3) ขาวจัดหาสิ่งของดี ๆ ที่มีคุณค่า

(4) เขียวเลือกในสิ่งที่ตนพึงพอใจ

ตอบ 1

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไปพอควรแก่อัตภาพโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา คือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

39. ข้อใดต่อไปนี้เป็นเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

(1) พอประมาณ

(2) คุณธรรม

(3) ภูมิคุ้มกัน

(4) มีเหตุผล

ตอบ 2

การตัดสินใจและการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอาศัยเงื่อนไขที่สําคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐาน ดังนี้ 1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนําความรู้เหล่านั้น มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกันเพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนการปฏิบัติ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต อดทน พากเพียร
มีสติและปัญญาในการดําเนินชีวิต ไม่โลภ ไม่ตระหนี่

40. เงื่อนไขด้านคุณธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยส่วนใดต่อไปนี้มากที่สุด

(1) เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

(2) ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

(3) ซื่อสัตย์สุจริต อดทน พากเพียร มีสติและปัญญา

(4) รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ และรู้กาล

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมมากที่สุด

(1) พึ่งพาตนเองได้

(2) ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

(3) ความมั่นคงปลอดภัย

(4) การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

ตอบ 2

ประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

42. ความรู้อันเกิดจากการทดลองปฏิบัติ เป็นความรู้ที่มาจากส่วนใดต่อไปนี้

(1) ตํารา

(2) ประสบการณ์

(3) คําบอกเล่า

(4) การคิดไตร่ตรอง

ตอบ 2

ความรู้มีบ่อเกิดหรือที่มา ดังนี้ 1. ประสบการณ์ คือ ความรู้อันเกิดจากการทดลองและการฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ หรือความรู้ที่ได้จากการสรุปบทเรียน 2. คําบอกเล่า คือ ความรู้อันเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้ 3. ตํารา เอกสาร หรือคู่มือ คือ ความรู้อันเกิดจากนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ 4. การคิดไตร่ตรองจากที่มาของความรู้ 3 ข้อข้างต้น

43. ข้อใดไม่ใช่ที่มาของปัญญาตามหลักปัญญา 3

(1) การฟัง

(2) การคิด

(3) การกระทํา

(4) การเจริญภาวนา

ตอบ 3

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ซึ่งจะเกิดประกอบกับจิต โดยที่มาหรือบ่อเกิดของหลักปัญญาในทางพุทธศาสนา มีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ 1. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาความรอบรู้ที่เกิดจากการฟัง หรือศึกษาเล่าเรียนจากการอ่าน 2. จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง คิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ 3. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา หรือลงมือฝึกปฏิบัติอบรมจิต

44. ความรู้ที่อยู่ในรูปของตํารา เอกสาร คู่มือ จัดเป็นความรู้ประเภทใด

(1) ความรู้ชัดแจ้ง

(2) ความรู้ฝังลึก

(3) ความรู้นามธรรม

(4) ความรู้รูปธรรม

ตอบ 1

ความรู้แบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. ความรู้ฝังลึก หรือความรู้ที่ซ่อนเร้นไม่เปิดเผย (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคนหรืออยู่ในสมองของคน โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของบุคคลที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จึงเป็นความรู้ติดตัวที่เรียนรู้จากการสั่งสมประสบการณ์การทํางานต่าง ๆ รวมทั้งความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด 2. ความรู้ชัดแจ้ง หรือความรู้ที่เปิดเผย (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ชัดแจ้งที่สามารถสัมผัสหรือจับต้องได้ ซึ่งจะอยู่ในรูปของตํารา/หนังสือ เอกสาร วารสาร คู่มือ กฎระเบียบรวมทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น วีซีดี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และฐานข้อมูล

45. ลักษณะของความรู้ที่สําคัญ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) ความรู้ทั่วไป

(2) ความรู้เฉพาะทาง

(3) ความรู้ที่เป็นสัจจะ

(4) ความรู้ใหม่ ๆ

ตอบ 3

คุณลักษณะของความรู้ที่สําคัญที่สุด คือ ความรู้ที่เป็นสัจจะ หมายถึง ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยมนุษย์จะแสวงหาสัจจะจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือ การแสวงหาความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาหรือตามสรรพวิชาต่าง ๆ 2. ความรู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือ การแสวงหาความรู้ตามหลักความเชื่อของแต่ละลัทธิศาสนา ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาความรู้เพื่อทําให้เกิดความสงบสุข

46. เป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาความรู้ตามหลักความเชื่อ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) ทําให้เข้าใจตนเอง

(2) ทําให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

(3) ทําให้เกิดความสงบสุข

(4) ทําให้เกิดการยอมรับทางสังคม

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

47. ความรู้ที่มีลักษณะเป็นสัจจะ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) รู้ในเรื่องทั่ว ๆ ไป

(2) รู้ในสิ่งที่ควรรู้

(3) รู้ในทุก ๆ เรื่อง

(4) รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

48. ความรู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือความรู้ในลักษณะใด

(1) ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

(2) ความรู้ตามศาสตร์ต่าง ๆ

(3) ความรู้ตามหลักความเชื่อ

(4) ความรู้ตามแนวคิดทฤษฎี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

49. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือความรู้ในลักษณะใด

(1) ความรู้ตามหลักความเชื่อ

(2) ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

(3) ความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ

(4) ความรู้ตามสมัยนิยม

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

50. ศรัทธาคือความเชื่อ ข้อใดต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่ควรเชื่อในทันที

(1) บุญและบาปมีจริง

(2) ทําดีได้ดี

(3) ทําชั่วได้ชั่ว

(4) ทําในสิ่งที่ทําตามกันมา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

51. “การกระทําความดีและยกย่องคนดี” เป็นแนวคิดด้านคุณธรรมทางการเมืองของใคร

(1) โสเครติส (Socrates)

(2) เพลโต (Plato)

(3) อริสโตเติล (Aristotle)

(4) ออกัสก๊อง (Orguskong)

ตอบ 1

หลักคุณธรรมในทางการเมืองที่สําคัญตามแนวคิดของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้
1. ปัญญา (Wisdom) หรือความรอบรู้ 2. ความกล้าหาญ (Courage) หรือกล้าต่อสู้กับ ความไม่ถูกต้อง 3. การควบคุมตนเอง (Temperance) หรือการไม่ใช้อํานาจเอาเปรียบผู้อื่น 4. ความยุติธรรม (Justice) หรือความเที่ยงธรรม 5. การกระทําความดี (Piety) และยกย่องคนดี

52. คําตอบในข้อใดคือหลักธรรมที่ทําให้โลกดํารงอยู่ได้

(1) อิทธิบาท

(2) พรหมวิหาร

(3) ธรรมโลกบาล

(4) สังคหวัตถุ

ตอบ 3

โลกบาลธรรม หรือธรรมโลกบาล คือ คุณธรรมสําหรับคุ้มครองโลก หรือทําให้โลกดํารงอยู่ได้ เพราะจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยควบคุมจิตใจของมนุษย์ให้อยู่ในความดี ทําให้ มนุษย์ดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสงบสุข มีระเบียบไม่สับสน ดังนั้นหากคนใน สังคมใดขาดหลักธรรมนี้จะสามารถทําชั่วได้ทุกอย่าง ซึ่งย่อมส่งผลเสียหายต่อสังคมมากที่สุด ได้แก่ 1. หิริ หมายถึง ความละอายแก่ใจต่อการที่จะทําความชั่วหรือบาปทุกชนิด 2. โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อผลจากการทําชั่ว

53. ผู้ที่ต้องการจะประสบความสําเร็จจะต้องประพฤติปฏิบัติตามหลักคุณธรรมในข้อใด

(1) อิทธิบาท

(2) พรหมวิหาร

(3) สังคหวัตถุ

(4) สัปปุริสธรรม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

54. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของเศรษฐกิจได้ครอบคลุมมากที่สุด

(1) ระบบการผลิตที่ครบวงจร

(2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า

(3) งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจําหน่าย และการบริโภค

(4) การลงทุนที่ต้องการผลกําไร

ตอบ 3

ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมากที่สุดคือ งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจําหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ในชุมชนและในสังคมทั่วไป

55. “การได้ทํางานที่ตนรัก และรักในงานที่ตนทํา” ตรงกับหลักใดในอิทธิบาท 4

(1) ฉันทะ

(2) วิริยะ

(3) จิตตะ

(4) วิมังสา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

56. “เรามีความทุกข์ก็ไม่ใช่จะทุกข์ตลอดไป ถึงแม้จะมีความสุข ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดกาลเช่นกัน” จากข้อความดังกล่าวตรงกับหลักคําสอนใด

(1) กาลามสูตร

(2) ไตรสิกขา

(3) ไตรลักษณ์

(4) อริยสัจ

ตอบ 3

ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง หรือสามัญลักษณะ 3 ประการ คือ 1. อนิจจัง (อนิจจตา) ความเป็นของไม่เที่ยง คือ ไม่ดํารงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไปในที่สุด 2. ทุกขัง (ทุกขตา) ความเป็นทุกข์ คือ ทนอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ 3. อนัตตา (ความไม่มีตัวตน) คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นกับตนเองจนเกินไป

57. “คุณอุบลในละครเรื่องพิศวาส ท้ายที่สุดยอมเสียสละอุทิศตัวเพื่อทําหน้าที่เฝ้าสมบัติของชาติต่อไป” จากละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคุณอุบลยึดถือสิ่งใดเป็นสําคัญ

(1) สัจจะ

(2) ทมะ

(3) ขันติ

(4) จาคะ

ตอบ 4

ฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักคุณธรรมสําหรับฆราวาส หรือหลักการครองชีวิตให้มีความสุข ถูกต้องและเหมาะสม ประกอบด้วย 1. สัจจะ คือ ความจริง ความซื่อสัตย์ ดังคํากล่าวที่ว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” 2. ทมะ คือ การข่มใจ ควบคุมอารมณ์ ยับยั้งหรือฝืนใจตนไม่ให้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ผิด 3. ขันติ คือ ความอดทน ตั้งใจทํางานด้วยความขยันหมั่นเพียร 4. จาคะ คือ เสียสละ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล บําเพ็ญประโยชน์

58. ผู้ที่วิเคราะห์ข้อมูลจาก Facebook ก่อนที่จะโพสต์ต่อนั้น ถือว่าคนผู้นั้นมีความเข้าใจหลักธรรมใด

(1) กาลามสูตร

(2) พรหมวิหาร 4

(3) อิทธิบาท 4

(4) สังคหวัตถุ 4

ตอบ 1

หลักกาลามสูตร 10 ในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่มีเหตุมีผลอยู่ในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ทดลองได้ ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมาโดยไม่วิเคราะห์เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่

59. ข้อใดไม่ใช่สมุทัย

(1) ตัณหา

(2) อหิงสา

(3) อบายมุข

(4) โมหะ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

60. อเนกเห็นเพื่อนซื้อกระทะ Korea King แล้วเกิดอยากได้บ้าง แสดงว่าอเนกยังละเว้นสิ่งใดไม่ได้

(1) กามตัณหา

(2) อิจฉา

(3) ริษยา

(4) โลภะ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

61. การทําบุญที่ถูกต้องควรมีลักษณะเช่นใด

(1) ทําบุญโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

(2) อยากได้บุญมากก็ต้องทําบุญมาก ให้สมเหตุสมผล

(3) ชวนคนทําบุญเยอะ ๆ เราจะได้ขึ้นสวรรค์

(4) วัดไหนที่เขาว่าดีก็ทําให้หมด สะสมบุญไปเรื่อย ๆ

ตอบ 1

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า การทําบุญที่ถูกต้องนั้นควรมีลักษณะที่เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 3” ได้เก่ 1. ทาน เป็นการทําบุญชั้นต่ำสุด หรือทําบุญด้วยการเผื่อแผ่แบ่งปันผู้อื่น 2. ศีล เป็นการทําบุญที่สูงขึ้นไปอีกชั้น หรือทําบุญเพื่อให้ประพฤติสุจริตโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น 3. ภาวนา เป็นบุญชั้นสูงขึ้นไปอีก หรือทําบุญด้วยการฝึกอบรมจิตใจให้เจริญด้วยปัญญา

62. นบีหรือศาสดาผู้เผยแผ่หลักศาสนาของอิสลามพระองค์สุดท้าย มีพระนามว่าอะไร

(1) นบีอาดัม

(2) นบีมูฮัมหมัด

(3) นบีมูซา

(4) นบีอีซา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

63. ข้อใดไม่ใช่การกระทําที่ไม่ประพฤติชั่วของผู้ดี

(1) ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด

(2) ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม

(3) ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนันเพื่อจะปรารถนาทรัพย์

(4) ย่อมไม่มีสัจจะในสิ่งที่ตนได้สัญญากับผู้อื่น

ตอบ 4

ผู้ดีย่อมไม่ประพฤติชั่ว ได้แก่ 1. ย่อมไม่เป็นพาลเที่ยวเกะกะระรานและทําร้ายคน 2. ย่อมไม่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เช่น เด็กหรือผู้หญิง 3. ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด 4. ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม 5. ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนันเพื่อจะปรารถนาทรัพย์ ฯลฯ

64. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์

(1) ความมีเหตุผล

(2) ความกตัญญูกตเวที

(3) การรักษาระเบียบวินัย

(4) ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น

ตอบ 4

การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม คือ การสร้างความตระหนักในคุณธรรมจริยธรรม เพื่อช่วยให้บุคคลเกิดความรู้ ความเข้าใจ เห็นความสําคัญ รู้ประโยชน์ที่จะเกิดจาก การประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ เช่น การรู้จักประมาณตน รู้เหตุรู้ผล มีความกตัญญูกตเวที รักษาระเบียบวินัย และรู้จักละกิเลสตัณหา (ละความอยากได้ อยากมี
อยากเป็น) เป็นต้น

65. ข้อใดคือคุณลักษณะของบุคคลที่มีความซื่อสัตย์

(1) มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบพูดยกยอชื่นชมเพื่อน ๆ

(2) รักสงบ ไม่เล่นโซเชียล ไม่สุงสิงกับใครเลย

(3) ประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ

(4) มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบองค์กรจนน่าแปลกใจ

ตอบ 3

ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ มีความซื่อตรงจริงใจ ทั้งทางความคิด คําพูด และการกระทําต่อตนเองและผู้อื่น ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง
ทําทุกอย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรม

66. ความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา รวมไปจนถึงการแสดงออกและการตอบแทนบุญคุณนั้น คือความหมายของข้อใด

(1) การมีขันติ

(2) ความมีเหตุผล

(3) ความกตัญญูกตเวที

(4) การมีความยุติธรรม

ตอบ 3

คําว่า “กตัญญ” หมายถึง รู้คุณท่าน รู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตนโดยเป็นความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา จึงมักใช้คู่กับคําว่า “กตเวที” แปลว่า สนองคุณท่านหรือการแสดงออกและรู้จักตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูกตเวทีนั้น ต้องสามารถแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ได้ทุกเวลา ไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทํา

67. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการเสียสละ

(1) การละความเห็นแก่ตัว

(2) การแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา

(3) การรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเอง

(4) การผูกพันกับอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นของตนเองที่มีอยู่เดิม

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ความเสียสละ หมายถึง การตัดใจจากกรรมสิทธิ์หรือการตัดใจจากความยึดครองของตนไปให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นการเสียสละแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา โดยความเสียสละมีอยู่ 2 ประการ คือ 1. สละวัตถุ คือ การสละทรัพย์หรือสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น 2. สละอารมณ์ คือ การปล่อยวางหรือรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเองที่ทําให้จิตใจไม่สงบ รวมไปถึงการสละความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ

68. ความเมตตากรุณานั้น คําว่าเมตตาคือความรักใคร่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณาคือความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ข้อใดไม่ใช่ความมีเมตตากรุณา

(1) แมททิวสงสารขอทานเลยซื้อข้าวกล่องให้

(2) มโนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบให้อาหารสุนัขจรจัด

(3) หลิงหลิงมีความกระตือรือร้นในงาน และชอบช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน

(4) บัณฑิตเป็นคนชอบเข้าวัดไปขโมยเงินบริจาค

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

69. ข้อใดคือบุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับโลกในยุคปัจจุบัน

(1) มีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่ชอบเดินหลังค่อมโกง

(2) มีรูปร่างหน้าตาดี แต่ชอบแต่งกายไม่สุภาพ

(3) มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี

(4) ไม่มีความอ่อนน้อมในทุกครั้งที่นั่ง ยืน เดิน สนทนา และในทุกอิริยาบถ

ตอบ 3

บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงออกหรือมิได้แสดงออก โดยเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งทางด้านพฤติกรรมและทางด้านจิตใจ ทั้งนี้บุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับโลกในยุคปัจจุบัน ได้แก่ 1. มีมนุษยสัมพันธ์ดี 2. มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน 3. มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี 4. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน 5. มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย ฯลฯ

70. ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ หรือที่เราเรียกว่าอารมณ์นั้น ข้อใดเป็นอารมณ์ที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดนาน

(1) อารมณ์ขัน

(2) อารมณ์ดีใจเป็นสุข

(3) อารมณ์หดหูเบื่อหน่าย

(4) อารมณ์สนุกสนาน

ตอบ 3

อารมณ์ หมายถึง ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยผู้ที่มีอารมณ์ทางบวก ได้แก่ อารมณ์ขัน อารมณ์ดีใจเป็นสุข และ อารมณ์สนุกสนาน ฯลฯ จะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อแอนเดอร์ฟิน ซึ่งจะเป็นอาวุธต่อสู้กับความกลัว และความเครียดของคนได้ ส่วนผู้ที่มีอารมณ์ทางลบ ได้แก่ อารมณ์หดหูเบื่อหน่าย อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้าเสียใจ ฯลฯ หากปล่อยให้เกิดขึ้นนานจะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อแอดรีนาลีนออกมา ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะทําให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ แก่ร่างกายได้

71. ข้อใดไม่ใช่พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างาม

(1) สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน

(2) การสะสมข้อมูล รวมทั้งการกระทําตามความเคยชิน และข้อมูลที่ได้รับรู้มาจากแหล่งต่าง ๆประกอบกัน

(3) ความเชื่อที่ดี

(4) ค่านิยมการใช้ของแบรนด์เนม

ตอบ 4

พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างามเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน 2. การสะสมข้อมูล รวมทั้งการกระทําตามความเคยชิน และข้อมูลที่ได้รับรู้มาจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบกัน 3. ความเชื่อที่ดีและค่านิยมที่พึงประสงค์ ฯลฯ

72. ข้อใดไม่ใช่การพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกาย

(1) วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์รายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้า รองเท้า

(2) การแต่งกายตามวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม

(3) การใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง

(4) การแต่งกายในลักษณะนุ่งน้อยห่มน้อย

ตอบ 4

วิธีการพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกายที่ดี มีดังนี้
1. วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์เป็นรายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสม 2. ใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง 3. แต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับสถานภาพ วัย และกาลเทศะ 4. แต่งกายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม ฯลฯ

73. ข้อใดคือแนวทางที่ควรนํามาใช้ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม

(1) ใช้อัตตาเป็นหลัก และไม่พิจารณาถึงผลที่จะติดตามมาด้วย

(2) เลือกโดยตัดสินจากความชอบใจ

(3) เลือกประพฤติตนให้ถูกต้องด้วยการรู้จักประมาณตน

(4) เลือกโดยการกระทําในสิ่งที่นําความสุขทางกายมาให้มากที่สุด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

74. ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรม คือ

(1) ธรรมที่พระราชายึดถือ

(2) ธรรมที่พระราชาใช้สอนประชาชน

(3) ธรรมที่พระราชาใช้เป็นแนวทางในการปกครอง

(4) ธรรมของศาสนาพุทธ

ตอบ 3

ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรม คือ ธรรมที่พระราชาใช้เป็นแนวทางในการปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ได้พระราชทานไว้ใน วันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งครองแผ่นดินโดยธรรมในที่นี้ หมายถึง ครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมนั่นเอง

75. การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” ท่านใดเป็นผู้นําเสนอแนวคิดในเรื่องดังกล่าว

(1) พระธรรมนิเทศ

(2) พุทธทาสภิกขุ

(3) พระเทพมหามุนี

(4) พระพยอม

ตอบ 2

การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” ของท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึงหลักสําคัญของทศพิธราชธรรมที่เป็นพรหมจรรย์ใน พระพุทธศาสนา คือ ไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังนั้นทศพิธราชธรรม จึงประกอบอยู่ด้วยไตรสิกขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. ในหมวดศีลของทศพิธราชธรรม ได้แก่ ทานัง สีลัง อวิหิงสัง 2. ในหมวดสมาธิของทศพิธราชธรรม ได้แก่ ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง ตะบัง อักโกธัง ขันติ 3. ในหมวดปัญญาของทศพิธราชธรรม ได้แก่ อะวิโรธนะ (ความไม่มีอะไรที่เป็นพิรุธ)

76. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั้น คําว่า ธรรมในความหมายนี้คืออะไร

(1) ทศพิธราชธรรม

(2) ศีล 5 ในพระพุทธศาสนา

(3) คุณธรรม ศีลธรรม

(4) โลกธรรม 8

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77. “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” เป็นหลักการที่จะนํามาในเรื่องใด

(1) ความสุข ความสําเร็จ

(2) ความเจริญรุ่งเรือง

(3) ความมุ่งมั่น ตั้งใจ

(4) ความยิ่งใหญ่ ก้าวหน้า

ตอบ 2

การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม กล่าวไว้เป็นหลักการสําคัญ 10 ข้อ เพื่อเป็นสิ่งที่จะนํามาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ความสงบสุข สันติภาพ และความเป็นผู้เป็นอิสระ
เหนือความทุกข์เหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการ

78. ข้อใดไม่ใช่หลักของการตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม

(1) ทานัง สีลัง อวิหิงสัง

(2) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(3) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง สัททะวัง

(4) ตะปัง อักโกธัง ขันติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

79. การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรมในหมวดของศีล ได้แก่ข้อใด

(1) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(2) ทานัง สีลัง อวิหิงสัง

(3) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง

(4) ตะบัง อักโกธัง ขันติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

80. การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรมในหมวดของสมาธิ ได้แก่ข้อใด

(1) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(2) ตะบัง อักโกธัง ขันติ

(3) อะวิโรธนะ

(4) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง

ตอบ 2, 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

81. ทศพิธราชธรรมในหมวดปัญญา คําว่า “อะวิโรธนะ” หมายถึงอะไร

(1) ความไม่มีอะไรที่พิรุธ

(2) ความไม่มีอะไรไม่ดี

(3) ความไม่มีอะไรเที่ยงแท้

(4) ความไม่มีอะไรเลย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

82 “ปุญญกิริยา 3” มีความหมายว่าอย่างไร

(1) บุญ ทาน กุศล

(2) ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม

(3) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

(4) ทาน ศีล ภาวนา

ตอบ 4

การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม”ของท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวว่าหลักสําคัญทั้งหมดที่มีอยู่ในทศพิธราชธรรม ขยายไปเป็น ความถูกต้อง 10 ประการ แม้ว่าจะดูเป็น “ปุญญกิริยา 3” หมายถึง ทาน ศีล ภาวนา ก็ครบ แม้จะดูเป็น “กุศลกรรมบถ” ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็มีอยู่ครบ

83. “ในหมวดศีล” ในความหมายตามหลักการของทศพิธราชธรรม หมายถึงข้อใด

(1) การโมโห

(2) การมีน้ำใจเสียสละ

(3) การรักษาความสุจริต

(4) การรู้จักเหตุผล

ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ)

หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย
1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา 2. สีลัง (ศีล) คือ การรักษาความสุจริต 3. ปริจจาคัง (ปริจจาคะ) คือ บําเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ 4. อาชชะวัง (อาชชวะ) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง 5. มัททะวัง (มัททวะ) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม 6. ตะปัง (ตปะ) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส 7. อักโกธัง (อักโกธะ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา 8. อวิหิงสัง (อวิหิงสา) คือ มีอหิงสานําร่มเย็น 9. ขันติ คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ 10. อะวิโรธนะ คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

84. “ในหมวดทาน” ในความหมายตามหลักการของทศพิธราชธรรม หมายถึงข้อใด

(1) รับประทานอย่างสุภาพ

(2) การรักษาความสุจริต

(3) ความไม่มัวเมา

(4) การให้ปันช่วยประชา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85. หลักสําคัญของทศพิธราชธรรมที่เป็นพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา คือข้อใด

(1) ไตรสิกขา

(2) กาลามสูตร

(3) สัจธรรม

(4) โลกุตรธรรม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

86. โลกธรรม 8 กล่าวถึงเรื่องใด

(1) สุข ทุกข์

(2) ความดี ความไม่ดี

(3) มีลาภ เสื่อมลาภ

(4) บริสุทธิ์

ตอบ 3

โลกธรรม 8 หมายถึง วิถีโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงําสัตว์โลก และสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดา ดังนั้นโลกธรรมจึงเป็นความจริง ที่สัตว์โลกต้องประสบด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ 1. ข้างชื่นชม (อิฏฐารมณ์) ได้แก่ มีลาภ (ได้ทรัพย์สินเงินทอง), มียศ (ได้ตําแหน่ง), สรรเสริญ (ได้คําชื่นชม) และสุข (ได้ความสบายกายและใจ) 2. ข้างขมขื่น (อนิฏฐารมณ์) ได้แก่ เสื่อมลาภ (เสียลาภที่ได้มา), เสื่อมยศ (ถูกถอดออกจากตําแหน่ง), นินทา (ถูกตําหนิติเตียน) และทุกข์ (ได้รับความทรมานกายและใจ)

87. หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5

(2) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

(3) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

(4) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ตอบ 2

หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) มีอยู่ 10 ข้อ ได้แก่ 1. ความสามารถ 2. ความเพียร 3. ความมีไหวพริบ 4. ความรู้เท่าถึงการ 5. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ 6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป 7. ความรู้จักนิสัยคน
8. ความรู้จักผ่อนผัน 9. ความมีหลักฐาน 10. ความจงรักภักดี

88. หลักราชการในบทพระราชนิพนธ์นั้นมีกี่ข้อ

(1) 10 ข้อ

(2) 11 ข้อ

(3) 12 ข้อ

(4) 13 ข้อ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

89. ข้อใดไม่ใช่หลักราชการในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

(1) ความฉลาด เก่ง รอบรู้

(2) ความเพียร

(3) ความซื่อตรงต่อหน้าที่ และความซื่อตรงต่อคนทั่วไป

(4) ความจงรักภักดี

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

90. คํากล่าวที่ว่า “ป่าพึ่งเสือ เรือพึ่งพาย นายพึ่งบ่าว เจ้าพึ่งข้า” เป็นคํากล่าวที่ตรงกับหลักราชการในข้อใด

(1) ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป

(2) ความรู้รักสามัคคี

(3) ความเพียรอันบริสุทธิ์

(4) ความจงรักภักดี

ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไปคือ ความประพฤติซื่อตรงที่มีต่อคนทั่วไป โดยการรักษาวาจาสัตย์ ไม่คิดเอาเปรียบใคร ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่หาดีใส่ตัวหาชั่วใส่เขา เมื่อผู้ใดมีไมตรีต่อก็ตอบแทนด้วยไมตรีโดยสม่ำเสมอ ไม่ใช้ความรักใคร่ไมตรีซึ่งผู้อื่นมีต่อเรานั้นเพื่อเป็นเครื่องประหารเขาเองหรือใคร ๆ ทั้งสิ้นดังคํากล่าวที่ว่า “ป่าพึ่งเสือ เรือพึ่งพาย นายพึ่งบ่าว เจ้าพึ่งข้า”

91. ในหลักราชการในเรื่อง “ความมีหลักฐาน” หมายถึงข้อใด

(1) มีบ้านเป็นสํานักมั่นคง ครอบครัวอันมั่นคง ตั้งตนไว้ในที่ชอบ

(2) ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง มิตรภาพ AEC

(3) เก็บเอกสารดี เก็บข้อมูลได้ เรียกใช้งานสะดวก

(4) การมีพื้นฐานที่ดี

ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 9. ความมีหลักฐานแบ่งเป็น 3 ประการ ดังนี้ 1. มีบ้านเป็นสํานักมั่นคง 2. มีครอบครัวอันมั่นคง 3. ตั้งตนไว้ในที่ชอบ

92. “จริยธรรมของการบริหารภาครัฐ” เป็นแนวคิดแนะนําของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านใด

(1) นายทักษิณ ชินวัตร

(2) นายอานันท์ ปันยารชุน

(3) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

(4) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ตอบ 3

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แนะว่า ผู้นําต้องมีมาตรฐานจริยธรรมของการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน 7 ประการ ดังนี้ 1. ความซื่อสัตย์ 2. กฎหมาย 3. ความเป็นธรรม 4. ประสิทธิภาพ 5. ความโปร่งใส 6. ความมั่นคงของรัฐ 7. ค่านิยม

93. “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” เป็นคํากล่าวชนิดใด

(1) คํากล่าวชื่นชม

(2) คํากล่าวแสดงความคิดเห็น

(3) คํากล่าวเสนอแนะ

(4) คํากล่าวติเตียน

ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 4. ความรู้เท่าถึงการหมายถึง รู้จักปฏิบัติกิจการให้เหมาะด้วยประการทั้งปวง หรือรู้ว่าอะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา ซึ่งเป็นคํากล่าวชื่นชม ส่วนคําว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” หมายถึง เขลา คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น ซึ่งเป็นคําติเตียนว่าเป็นความบกพร่อง (คําว่า “การ/การณ์” ใช้ต่างกันตามราชบัณฑิตยสถาน)

94. รามไม่เชื่อข่าวสารเรื่องพระนามรัชกาลที่ 10 ที่ส่งมาทางไลน์ ถือว่ารามยึดถือหลักกาลามสูตรข้อใด

(1) อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์

(2) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ

(3) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นของเก่าเล่าสืบกันมา

(4) อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง

ตอบ 2

หลักกาลามสูตรข้อ 3 อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ (มา อิติกิราย)คือ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่กําลังเล่าลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน หรือตื่นข่าว หมายถึง สิ่งน่าอัศจรรย์ที่กําลังลือกระฉ่อนกันอยู่ในขณะนั้น โดยต้องรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบหาแหล่งที่มาของข่าวที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจเชื่อหรือทําสิ่งต่าง ๆ

95. วิภามาเรียนสายทุกวัน คุณครูจึงคิดว่าวิภาเป็นเด็กเกียจคร้าน แสดงว่าครูขาดหลักกาลามสูตรในข้อใด

(1) อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง

(2) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะอนุมานเอา

(3) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ

(4) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเล่าสืบต่อกันมา

ตอบ 1

หลักกาลามสูตรข้อ 5 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง (มา ตกฺกเหตุ) คือ อย่ารับถือเอาด้วยการใคร่ครวญตามวิธีที่เรียกว่า “ตรรกะ” หรือปัจจุบันนี้ เรียกว่า “Logic โดยตรรกวิทยาเป็นวิชาที่แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผลซึ่งอาจจะผิดก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะถูก ไปเสียทุกอย่าง ทั้งนี้คําว่า “เดา” ในที่นี้ หมายถึง การใช้เหตุผลชั่วแล่นชั่วขณะตามวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป

96. หลักกาลามสูตรไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นเกณฑ์ตัดสิน

(1) เหตุผล

(2) ปัญญา

(3) หลักฐาน

(4) ประสบการณ์

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

97. ข้อใดเป็นมารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจ และการปฏิบัติตัวในการเข้าสังคมที่ถูกต้องตามกาลเทศะ

(1) มีบุคลิกภาพดี แนะนําตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม

(2) พูดแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ ไม่ฟังใคร

(3) มีความจริงใจ เปิดใจ พูดทุกเรื่อง

(4) นินทา พูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก

ตอบ 1

มารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจและถูกต้องตามกาลเทศะ มีดังนี้ 1. มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี 2. แนะนําตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม 3. พูดในเรื่องที่คู่สนทนาสนใจ ไม่ใช่พูดแต่เรื่องที่ตนสนใจฝ่ายเดียว 4. ไม่ควรพูดนินทาให้ร้ายคนอื่น หรือพูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก 5. ไม่ควรพูดอวดตน ยกตนข่มท่าน หรือแสดงอาการว่าตนเหนือกว่าผู้ฟัง ฯลฯ

98. ข้อใดคือทักษะในการพูดและการสื่อสารที่ดีในด้านทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียง

(1) การใช้น้ำเสียงตามที่ตัวเองมี

(2) การใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ ฝึกหัดการพูดด้วยการบันทึกวิดีโอเทปเพื่อการพัฒนา

(3) มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone)

(4) เป็นคนตัวใหญ่ฝึกฝนการพูดน้ำเสียงที่แหลมเล็ก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียงเพื่อการพูดและการสื่อสารที่ดี มีดังนี้ 1. ใช้น้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ อย่าดัดเสียงหรือเลียนแบบเสียงของผู้อื่น 2. ใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ โดยมีการฝึกหัดพูดเพื่อการพัฒนา เช่น การฝึกพูดโดยมี
ผู้เชี่ยวชาญแนะนํา หรือบันทึกเป็นวิดีโอเทปเพื่อดูความบกพร่อง ฯลฯ 3. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone) เพราะการพูดเสียงเดียวราบเรียบเสมอกันหมดจะทําให้ผู้ฟังง่วงและเกิดความเบื่อหน่าย ฯลฯ

99. เวลาที่เราต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะนั้น ไม่ควรมีความรู้สึกแบบใด

(1) รวบรวมใจให้มีสติและสมาธิ

(2) ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นของตัวเอง

(3) ประหม่า ไม่กล้าแสดงออก

(4) สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ

ตอบ 3

หลักปฏิบัติเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ มีดังนี้ 1. เตรียมตัวให้พร้อม โดยการอ่านหนังสือเยอะ ๆ เพื่อเก็บสะสมข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงหรือ เสริมคําพูดของตน 2. หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย 3. ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ของตัวเอง 4. รวบรวมจิตใจให้มีสติและสมาธิ ไม่ประหม่าหรือตื่นกลัวเมื่อต้องแสดงความคิดเห็น 5. สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ ฯลฯ

100. ข้อใดไม่ใช่วิธีฝึกตัวเองให้พร้อมสําหรับการแสดงความคิดเห็นต่อที่สาธารณะ

(1) อ่านหนังสือเยอะ ๆ เก็บสะสมข้อมูลไว้เป็นทุน เวลาจะต้องพูดคุยจะได้ดูเก๋ ๆ เท่ ๆ

(2) เริ่มสร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของคุณให้เป็นธรรมชาติ

(3) ฝึกความอดทนจากการลงแข่งไตรกีฬา

(4) หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

101. ข้อใดไม่ใช่คําที่ควรพูดเพื่อใช้สร้างทัศนคติที่ดี

(1) ขอโทษค่ะ

(2) ขอบคุณค่ะ

(3) ไม่ต้องค่ะ

(4) ไม่เป็นไรค่ะ

ตอบ 3 (คําบรรยาย) คําที่ควรพูดเพื่อใช้สร้างทัศนคติที่ดี และถือเป็นมารยาทในการพูด ได้แก่การหมั่นฝึกพูดคําว่า “ขอบคุณ” เมื่อมีผู้แสดงคุณต่อตน, “ขอโทษ” เมื่อตนทําพลาดพลั้งสิ่งใดแก่บุคคลใด และ “ไม่เป็นไร” ซึ่งแสดงถึงการให้อภัยเมื่อมีผู้ทําพลาดพลั้งสิ่งใดแก่ตัวเรา

102. ข้อใดไม่ใช่วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี

(1) เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

(2) เลี้ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

(3) การออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ

(4) การรับประทานวิตามินอาหารเสริมชนิดเม็ด ฉีดโบท็อก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี มีดังนี้

1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่

2. ขับถ่ายทุกวันและให้เป็นเวลา

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

4. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว

5. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

6. ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ

7. ทําจิตใจและอารมณ์ให้แจ่มใส ฯลฯ

103. ผู้ใดถือว่ามีความสันโดษ

(1) วิวพอใจในหน้าตาของตน

(2) แววชอบอยู่คนเดียว

(3) วิมชอบอยู่เงียบ ๆ

(4) วัฒน์ชอบเข้าป่า

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

104. ข้อใดเป็นงานไม่มีโทษ

(1) งานสบาย

(2) งานรายได้ดี

(3) งานไม่ผิดกฎหมาย

(4) งานมีเกียรติ

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 18 ว่า การทํางานที่ไม่มีโทษ ได้แก่
1.งานไม่ผิดกฎหมาย คือ ทําให้ถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมือง 2. งานไม่ผิดประเพณี คือ แบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดําเนินตาม 3. งานไม่ผิดศีล คือ ข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล 5 4. งานไม่ผิดธรรม คือ หลักธรรมทั้งหลาย เช่น งานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพนัน การหลอกลวง ฯลฯ

105. ผู้ใดถือเป็นผู้ที่ได้กุศลสูงสุดจากการทําทาน

(1) ฟางยกโทษให้โจรปล้นจี้

(2) ฟูช่วยคนเป็นลม

(3) ฟิวส์สอนหนังสือธรรมะให้เพื่อน

(4) ฟ้าบริจาคเงินสร้างวัด

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 15 ว่า การให้ทาน คือ การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน เพื่อชําระความโลภในจิตใจให้หมดสิ้นไป โดยมีความมุ่งหมายให้ผู้รับได้พ้นจากความทุกข์ แบ่งออกเป็น 3 อย่าง ดังนี้ 1. อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สินหรือเงินเป็นทาน 2. ธรรมทาน คือ การสอนให้ธรรมะ (หลักคุณธรรม) เป็นความรู้เป็นทาน ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสูงสุด เพราะเป็นการให้ที่สําคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และได้กุศลสูงสุด ดังพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “สพพทานํ ธมมทานํ ชินาติ” แปลว่า การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง 3. อภัยทาน คือ การให้อภัยแก่บุคคลที่ทําไม่ดีกับเรา หรือล่วงเกินเราด้วยกาย วาจา และใจ ไม่จองเวรหรือพยาบาทกัน ซึ่งถือเป็นการให้ที่ยากที่สุดสําหรับคนในสังคมยุคปัจจุบัน

106. ข้อใดเป็นลักษณะของ “พหูสูต”

(1) รู้ทุกเรื่อง

(2) รู้ลึก รู้กว้าง

(3) รู้ในเรื่องที่ผู้อื่นไม่รู้

(4) รู้ดี

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 7 ว่า ความเป็นพหูสูต คือ เป็นผู้ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. รู้ลึก คือ การรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม 2. รู้รอบ คือ การรู้จักสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว 3. รู้กว้าง คือ การรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน 4. รู้ไกล คือ การศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคต

107. ข้อใดไม่จัดว่าเป็น “อาวาสเป็นที่สบาย”

(1) อยู่ใกล้แหล่งชุมชน

(2) เดินทางสะดวก

(3) โอ่อ่ากว้างขวาง

(4) สะอาด

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 4 ว่า การอยู่ในถิ่นอันสมควรซึ่งประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม 4 อย่าง ได้แก่ 1. อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึง อยู่แล้วสบาย เช่น สะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดีเป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุข เป็นต้น 2. อาหารเป็นที่สบาย หมายถึง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ 3. บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึง ที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย 4. ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึง มีที่พึงด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรม เช่น มีวัด มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้อยู่ในละแวกนั้น เป็นต้น

108. การบูชาบุคคลที่ดีที่สุดควรบูชาด้วยสิ่งใด

(1) เงินทอง

(2) การปฏิบัติตามคําสอน

(3) พวงมาลัย

(4) กราบไหว้

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 3 ว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชา คือ การแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือยกย่องเลื่อมใสในบุคคลนั้น แบ่งออกเป็น 2 อย่าง ดังนี้ 1. อามิสบูชา คือ การบูชาด้วยสิ่งของ เช่น การนําเงินทองหรือทรัพย์สินไว้ให้พ่อแม่ใช้จ่าย การกราบไหว้พระด้วยพวงมาลัย ฯลฯ 2. ปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นการบูชาบุคคลที่ดีที่สุด คือ การบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การปฏิบัติตามคําสอนของศาสนา การฝึกจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลก ฯลฯ

109. ผู้ใดถือว่ามีมงคล 38 ประการว่าด้วย “การคบบัณฑิต”

(1) สุคบแต่คนจบมหาวิทยาลัย

(2) สนคบเพื่อนที่มีความรับผิดชอบ

(3) สินคบแต่คนฉลาด

(4) สันต์คบคนเรียบร้อย

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 2 ว่า ให้คบคนดีเป็นเพื่อนหรือคบบัณฑิต หมายถึง ผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดําเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. เป็นคนคิดดี คือ ไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย ฯลฯ 2. เป็นคนพูดดี คือ มีวจีสุจริต พูดจริงทําจริง ไม่โกหก ฯลฯ 3. เป็นคนทําดี คือ ทําอาชีพสุจริต มีเมตตา มีความรับผิดชอบ ฯลฯ

110. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของคนพาล

(1) พูดจาไร้สาระ

(2) เกียจคร้าน

(3) ขี้อิจฉา

(4) ชอบยุแยง

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 1 ว่า การไม่คบคนพาลซึ่งมีลักษณะ 3 ประการ ดังนี้ 1. คิดชั่ว คือ มีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท ขี้อิจฉา และมีมิจฉาทิฐิ (เห็นผิดเป็นชอบ) 2. พูดชั่ว คือ คําพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริต ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียดยุแยงให้แตกแยกพูดคําหยาบ และพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ 3. ทําชั่ว คือ ทําอะไรที่ประกอบไปด้วยกายทุจริต เช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฯลฯ

111. เคราะห์ หมายถึงข้อใด

(1) น้ำทําธุรกิจขาดทุน

(2) นนท์เกิดปีชง

(3) หนึ่งหน้าตาหมองคล้ำ

(4) นันท์ถูกจิ้งจกทัก

ตอบ 1 คําว่า “เคราะห์” มาจาก คฺรห แปลว่า ยึด ความยึดมั่น ถือมั่น หรือปัญหา เช่น การทําธุรกิจแล้วเกิดปัญหาขาดทุน เป็นต้น ส่วนการสะเดาะเคราะห์ หมายถึง การทําให้ปัญหานั้นหลุดออกไป แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 1. แบบโหราศาสตร์ที่เจือด้วยไสยศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่เจือด้วยอวิชชา ผ่านกรรมวิธีตามความเชื่อ) เช่น การไหว้พระเก้าวัด เผาฮู้ไล่โชคร้าย และบวชต่ออายุ เพราะเชื่อว่าจะทําให้พ้นจากทุกข์ หรือได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เป็นต้น 2. แบบพุทธศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่แท้จริง ผ่านกระบวนการของเหตุและผลตามหลักพระพุทธศาสนา) คือ การรู้ถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดกับตนเองแล้วหาทางแก้ไข เช่นการรู้จักระมัดระวังตัวเองมากขึ้นหลังจากเคยถูกปล้น เป็นต้น

112. บุคคลใดสะเดาะเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนา

(1) ปิ่นไหว้พระเก้าวัด

(2) ป่านเผาฮู้ไล่โชคร้าย

(3) ปีปถูกปล้น จึงระวังตัวมากขึ้น

(4) ปอนด์บวชต่ออายุ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 111. ประกอบ

113. ข้อใดไม่ใช่ภูมิปัญญาไทย

(1) ลูกประคบ

(2) หนังตะลุง

(3) การลอยโคม

(4) ตาข่ายดักฝัน

ตอบ 4

ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถ และทักษะด้านต่าง ๆ ในการดํารงชีวิตของคนไทย อันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีลักษณะเป็นองค์รวมทางความรู้ที่มีคุณค่าทาง วัฒนธรรม และเป็นพื้นฐานสําคัญในการดํารงชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทย เช่น การทําลูกประคบสมุนไพร การทําหนังตะลุง ประเพณีลอยโคมยี่เป็ง ฯลฯ

114. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของภูมิปัญญาไทย

(1) เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ

(2) เป็นทักษะ ความรู้ ความเชื่อ และพฤติกรรม

(3) มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

(4) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ตอบ 4

ลักษณะของภูมิปัญญาไทย มีดังนี้ 1. มีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม 2. เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน 3. แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ 4. มีลักษณะเฉพาะหรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง 5. เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม 6. มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม ฯลฯ

115. ภูมิปัญญาไทยมีความสําคัญอย่างไร

(1) ทําให้คนดูฉลาด

(2) เป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์

(3) ช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น

(4) ใช้แยกแยะจําแนกชาติพันธุ์

ตอบ 3

เมื่อปี พ.ศ. 2541 คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปความสําคัญของภูมิปัญญาไทยไว้ ดังนี้ 1. ช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง 2. สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิให้แก่คนไทย 3. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคําสอนทางศาสนามาใช้กับชีวิตได้อย่างเหมาะสม 4. สร้างความสมดุลระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
5. ช่วยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นและเหมาะสมกับยุคสมัย

116. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทย

(1) ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ

(2) อิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอก

(3) รายได้

(4) ศาสนา ความเชื่อ

ตอบ 3

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทย มีดังนี้ 1. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากการดํารงชีวิต 2. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากความเชื่อและศาสนา และ 3. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากสภาพภูมิศาสตร์ ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 4. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอก 5. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยโดยอาศัยประสบการณ์

117. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทย

(1) คนกับวัตถุ

(2) คนกับคน

(3) คนกับสิ่งแวดล้อม

(4) คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 114. ประกอบ

118. ข้อใดคือภูมิปัญญาไทยสาขาศิลปกรรม

(1) ยาแผนโบราณ

(2) มโนราห์

(3) ประเพณีลอยโคม

(4) บุญบั้งไฟ

ตอบ 2

ภูมิปัญญาไทยสาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางศิลปะสาขาต่าง ๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ และคีตศิลป์ เช่น การรํามโนราห์ ศิลปะมวยไทย การร้องลําตัด ฯลฯ

119. พิณไม่แชร์ข้อความทางไลน์โดยไม่ตรวจสอบ ถือว่าพิณมีคุณธรรมเรื่องใด

(1) กาลามสูตร

(2) ศีลธรรม

(3) สังคหวัตถุ 4

(4) พรหมวิหาร 4

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

120. ข้อใดไม่ใช่การวางตัวที่เหมาะสมในสังคมด้านการแต่งกายที่ดี

(1) เหมาะสมกับแฟชั่นแนวอินดี้ที่วัยรุ่นกําลังนิยม

(2) เหมาะสมกับสถานภาพ

(3) เหมาะสมกับวัย

(4) เหมาะสมกับกาลเทศะ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารมาดู
ที่ดินแปลงนี้แล้วพอใจตอบตกลงซื้อ โดยนายอังคารจ่ายเงินค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์กลับจากต่างประเทศและไปจดทะเบียนโอนให้ นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคาร นายอังคารอยู่มา 3 ปี นายจันทร์กลับจากต่างประเทศก็หาได้ไปโอนให้ นายอังคารอยู่ติดต่อมาอีก 12 ปี ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นกว่า 100 ล้านบาท นายจันทร์อยากได้คืนและขอให้นายอังคารคืนที่ดินแปลงนี้ นายอังคารไม่คืน ดังนี้ นายจันทร์จะมีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกําหนดสิบปี”

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพ และสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารใน ราคา 5 ล้านบาทและนายอังคารตอบตกลงซื้อ โดยนายอังคารจ่ายเงินค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์กลับจากต่างประเทศและไปจดทะเบียนโอนให้นั้น สัญญาซื้อขาย ที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารดังกล่าวย่อมเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สิน ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันในภายหน้า

และจากข้อเท็จจริง การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารครอบครอง และนายอังคารได้อยู่ในที่ดินแปลงนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น จะถือว่านายอังคารเจตนาจะยึดถือที่ดินเพื่อตนไม่ได้ แต่ต้องถือว่าเป็นการยึดถือแทนนายจันทร์ และแม้นายอังคารจะอยู่ในที่ดินมาได้ 15 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ (ตามมาตรา 1382) ดังนั้น เมื่อนายจันทร์ผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา นายอังคารย่อมมีสิทธิเรียกร้องและบังคับให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้ตนได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง แต่นายอังคารต้องใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในอายุความ 10 ปีนับแต่วันที่นายจันทร์ผิดสัญญาตามมาตรา 193/30

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายจันทร์ผิดสัญญาจะซื้อจะขาย นายอังคารก็ปล่อยเวลา ให้ล่วงเลยไปโดยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่ตน จนพ้น 10 ปีนับ แต่วันผิดสัญญา ทําให้สิทธิเรียกร้องของนายอังคารขาดอายุความ และมีผลทําให้นายอังคารต้องเสียสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้น นายจันทร์จึงมีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

สรุป นายจันทร์มีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

 

ข้อ 2. นายมะม่วงตกลงซื้อกระป๋องสําหรับบรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศจากนายมะยม เมื่อ
นายมะม่วงได้รับมอบกระป๋องจากพนักงานส่งสินค้าของนายมะยมแล้วพบว่ากระป๋องที่สั่งซื้อ เป็นสนิมและมีความชํารุดบกพร่องอย่างอื่นอันเป็นผลเนื่องมาจากกระบวนการผลิตของนายมะยม ทําให้ไม่อาจใช้บรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศเพื่อนําออกจําหน่ายได้ นายมะม่วงรับเอากระป๋องไว้ก่อนแต่ได้เรียกให้นายมะยมนํากระป๋องที่มีสภาพสมบูรณ์มาเปลี่ยนให้ใหม่ในภายหลัง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายมะยมจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้คิดเอื้อน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมะม่วงตกลงซื้อกระป๋องสําหรับบรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอส มะเขือเทศจากนายมะยม เมื่อนายมะม่วงได้รับกระป๋องแล้วพบว่ากระป๋องที่สั่งซื้อเป็นสนิมและมีความชํารุดบกพร่อง อย่างอื่นอันมีผลมาจากกระบวนการผลิตของนายมะยม ทําให้ไม่อาจใช้บรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศ เพื่อนําออกจําหน่ายได้นั้น ถือว่าทรัพย์สินที่ตกลงซื้อกันมีความชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งหมายโดยสัญญา ดังนี้นายมะยมผู้ขายย่อมต้องรับผิดในความชํารุด บกพร่องนั้นต่อนายมะม่วงผู้ซื้อตามมาตรา 472
และการที่ความชํารุดบกพร่องนั้นได้เห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และนายมะม่วงได้รับเอากระป๋องไว้ก่อนแต่ได้เรียกให้นายมะยมนํากระป๋องที่มีสภาพสมบูรณ์มาเปลี่ยนให้ใหม่ในภายหลังนั้น กรณีดังกล่าวไม่ถือว่านายมะม่วงผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นโดยมิได้คิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้ตามนัยของมาตรา 473 (2) อันจะทําให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นแต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่ผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ โดยมีการอิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้แล้ว ดังนั้น นายมะยมผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตาม มาตรา 472 จะอ้างมาตรา 473 (2) เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

สรุป นายมะยมจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นนั้น

 

ข้อ 3. ดําทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่งของดําไว้กับแดงในราคา 400,000 บาท
โดยไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่และไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืน ขายฝากไปได้ 3 ปี ดําต้องการจะไปขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง แต่แดงขอผัดผ่อน ดําและแดงจึงได้ทําเอกสารบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อ ทั้งดําและแดง ว่าทั้งคู่ตกลงขยายกําหนดเวลาไถ่คืน แต่ก็ไม่ได้กําหนดเวลาที่ขยายไว้แน่นอนในสัญญาข้อตกลง เมื่อครบ 2 ปีหลังจากทําข้อตกลง ดําได้นําเงิน 400,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้ คืนจากแดง แต่แดงไม่ยอมให้ไถ่อ้างว่าถ้าจะไถ่ต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินต้น 400,000 บาท เป็นระยะเวลาที่ขายฝาก 5 ปี แต่คราวนี้ ดําไม่ยอม ดําจึงได้นําเงิน 400,000 บาท ไปวางทรัพย์ต่อสํานักงานวางทรัพย์ทันทีในวันนั้น โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วาง

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้วหรือยัง เพราะเหตุใด และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้กับดํา ดําจะมีสิทธิอย่างไร ภายในอายุความเท่าใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกําหนดสิบปี”

มาตรา 492 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กําหนดไว้ ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสํานักงานวางทรัพย์ภายใน กําหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชําระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ แล้วแต่กรณี

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 496 วรรคหนึ่ง “กําหนดเวลาไถ่นั้น อาจทําสัญญาขยายกําหนดเวลาไถ่ได้ แต่กําหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมด ถ้าเกินกําหนดเวลาตามมาตรา 494 ให้ลดลงมาเป็นกําหนดเวลาตามมาตรา 494”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริง เกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่ง ของดําไว้กับแดงในราคา 400,000 บาท โดยไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่และไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืนไว้นั้น ดังนี้ดําย่อม มีสิทธิไถ่ที่ดินคืนได้ภายในกําหนด 10 ปีนับแต่เวลาขายฝากตามมาตรา 494 (1) และสามารถไถ่คืนได้ตามราคา ขายฝากคือ 400,000 บาท ตามมาตรา 499 วรรคหนึ่ง

เมื่อขายฝากไปได้ 3 ปี ดําต้องการขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง แต่แดงขอผัดผ่อน โดยดําและแดง ได้ทําเอกสารบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือว่าทั้งคู่ตกลงขยายกําหนดเวลาไถ่คืนนั้น เมื่อไม่ได้กําหนดเวลาที่ขยายไว้ เป็นที่แน่นอนในสัญญาข้อตกลง การใช้สิทธิไถ่คืนจึงต้องเป็นไปตามมาตรา 494 (1) ประกอบมาตรา 496 วรรคหนึ่ง คือภายใน 10 ปีนับแต่เวลาขายฝาก ดังนั้น เมื่อครบกําหนด 2 ปีหลังจากทําข้อตกลง ดําได้นําเงิน 400,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง ดําย่อมสามารถใช้สิทธิไถ่คืนได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิไถ่คืนภายในกําหนดตาม มาตรา 494 (1) และเป็นการใช้สินไถ่ที่ถูกต้องตามมาตรา 499 วรรคหนึ่ง แดงจะไม่ยอมให้ไถ่โดยอ้างว่า ถ้าจะไถ่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินต้น 400,000 บาท เป็นระยะเวลาที่ขายฝาก 5 ปีนั้นไม่ได้ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่มีการกําหนดสินไถ่หรือราคาขายฝากไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 วรรคสองแต่อย่างใด

และเมื่อดําได้นําเงิน 400,000 บาท ไปวางทรัพย์ต่อสํานักงานวางทรัพย์ทันทีในวันนั้น โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ ย่อมถือว่าดําได้ใช้สิทธิไถ่ถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา 492 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้ว และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้กับดํา ดําย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลภายในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และนําคําพิพากษามาแทนการแสดงเจตนาของแดงได้

สรุป กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้ว และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้ดํา ดําย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลได้ภายในอายุความ ตามเหตุผลและหลักกฎหมาย ดังกล่าวข้างต้น

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายหนุ่มและนางสวยมีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า “นายหนุ่มผู้ให้เช่าขอให้สัญญาว่าหากนางสวยผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงนี้เมื่อใด นายหนุ่มจะขายให้ในราคา 1,000,000 บาท และเมื่อนางสวยยอมซื้อนายหนุ่มจะขายที่ดินให้ผู้อื่นไม่ได้จะต้องขายให้นางสวย และจะโอนกรรมสิทธิ์กันทันที” เมื่อนายหนุ่มผู้ให้เช่าได้ส่งจดหมายบอกกล่าวให้นางสวยทราบแล้วว่า ถ้าประสงค์จะซื้อที่ดินให้แจ้งให้นายหนุ่มทราบภายใน 15 วัน นางสวยผู้เช่าได้รับหนังสือแล้วจึง ตอบกลับมาในวันที่ 16 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินให้นางสวยรับฟัง ได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 454 “การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คํามั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น จะมีผลเป็นการซื้อขาย ต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจํานงว่าจะทําการซื้อขายนั้นให้สําเร็จตลอดไปและคําบอกกล่าวเช่นนั้นได้ ไปถึงบุคคลผู้ให้คํามั่นแล้ว
ถ้าในคํามั่นมิได้กําหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้คํามั่นจะ กําหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากําหนดนั้นก็ได้ ว่าจะทําการซื้อขายให้สําเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็นแน่นอนภายในกําหนดเวลานั้นไซร้ คํามั่นซึ่งได้ให้ ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายหนุ่มและนางสวยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายหนุ่มผู้ให้เช่าขอให้สัญญาว่า หากนางสวยผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงนี้เมื่อใด นายหนุ่มจะขายให้ ในราคา 1,000,000 บาท” นั้น ข้อความดังกล่าวถือว่าเป็นคํามั่นในการซื้อขาย เพราะเป็นความผูกพันก่อนเกิด สัญญาซื้อขายที่นายหนุ่มผู้ให้คํามั่นผูกพันตนแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าจะขายที่ดินให้แก่นางสวยผู้รับการแสดงเจตนา ตามคํามั่นที่นายหนุ่มให้ไว้ ซึ่งโดยหลักแล้ว ถ้านางสวยได้ตอบรับและคํามั่นได้มาถึงนายหนุ่มแล้วย่อมเกิดเป็นสัญญาซื้อขายขึ้นตามมาตรา 454 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายหนุ่มได้บอกกล่าวให้นางสวยทราบแล้วว่า ถ้าประสงค์จะซื้อที่ดิน ให้แจ้งให้นายหนุ่มทราบภายใน 15 วัน แต่นางสวยผู้เช่าได้รับหนังสือแล้วได้ตอบกลับมาในวันที่ 16 ซึ่งล่วงเลยเวลาที่นายหนุ่มได้กําหนดขึ้น ย่อมทําให้คํามั่นที่นายหนุ่มได้ให้ไว้ดังกล่าวนั้นเป็นอันไร้ผลตามมาตรา 454 วรรคสอง ดังนั้น การที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสวยจึงสามารถรับฟังได้

สรุป การที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินให้แก่นางสวยรับฟังได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งนักสะสมรถยนต์มินิคาร์นํารถยนต์ออกขายทอดตลาด จํานวน 10 คัน นายสามประมูล
ซื้อไป 1 คัน นายสองประมูลซื้อไป 1 คัน ภายหลังจากการส่งมอบชําระราคา ปรากฏว่ารถยนต์ ซึ่งนายสองซื้อไปสตาร์ทให้รถยนต์เครื่องติดลําบากมาก ติด ๆ ดับ ๆ ส่วนคันที่นายสามซื้อไปต่อมามี นายดํานําพยานหลักฐานพร้อมมูลมาแสดงทําให้นายสามเชื่อว่าเป็นรถยนต์ของนายดําซึ่งถูกขโมย มาจึงยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบในความชํารุดบกพร่อง และนายสามจะฟ้องนายหนึ่งให้ รับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าฟ้องได้จะต้องฟ้องภายในกําหนดระยะเวลา เท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความ กับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ เมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วันคําพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ผู้ขาย ต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายสอง การที่นายสองได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน และเมื่อสตาร์ทรถยนต์เครื่องติดลําบากมาก คือ ติด ๆ ดับ ๆ นั้น ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ที่นายสองซื้อมาอันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้ว นายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายหนึ่งจะต้องรับผิดต่อนายสองเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายสองซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

กรณีนายสาม การที่นายสามได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน แต่ต่อมานายดําได้นําพยานหลักฐานพร้อมมูลมาแสดง ทําให้นายสามเชื่อว่าเป็นรถยนต์ของนายดําซึ่งถูกขโมยมา จึงยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไปนั้นถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อคือนายสามไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อ ถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้นนายสามจึงสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดที่ตน ถูกรอนสิทธิได้ แต่นายสามจะต้องฟ้องภายในกําหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ได้ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป ตามมาตรา 481

สรุป

(1) นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายสามสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในกรณีที่นายสามถูกรอนสิทธิได้ แต่จะต้องฟ้องภายในกําหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

 

ข้อ 3. นายไก่นําช้างแม่และช้างลูกไปทําเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากช้างแม่ในราคา 5 แสนบาท ไถ่คืนภายในกําหนด 1 ปี ในราคา 4 แสนบาท ส่วนช้างลูกทําสัญญาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายไข่ ผู้รับซื้อฝากไว้เป็นสําคัญในราคา 3 แสนบาท ไถ่คืนภายใน 1 ปี ไถ่คืนในราคา 5 แสนบาท เมื่อเวลาผ่านไปใกล้ครบ 1 ปี นายไก่ไปขอใช้สิทธิในการไถ่ช้างแม่ลูกคืน โดยนําเงิน 4 แสนบาท สําหรับช้างแม่ และ 3 แสน 4 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ไปไถ่สําหรับช้างลูก แต่นายไข่ผู้รับซื้อฝาก ปฏิเสธโดยอ้างว่า

1) ช้างแม่และช้างลูก ทําสัญญาขายฝากไว้ 1 ปี ยังไม่ถึงกําหนดไถ่

2) สินไถ่ช้างแม่ไม่ควรรับซื้อไว้ 5 แสน ก็ต้องไถ่คืน 5 แสน ช้างลูกรับซื้อฝากไว้ 3 แสน กําหนด
ไถ่คืน 5 แสน ก็ต้องเป็นไปตามนั้น

3) สัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องเป็นโมฆะ

คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่ง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์ นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝาก อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1) การที่นายไก่นําช้างแม่ซึ่งเป็นสัตว์พาหนะไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้ กับนายไข่ และนําช้างลูกไปทําสัญญาเป็นหนังสือขายฝากไว้กับนายไข่นั้น สัญญาขายฝากช้างแม่และช้างลูกย่อม มีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

และเมื่อตามสัญญาขายฝากได้กําหนดเวลาไถ่คืนไว้ 1 ปี ซึ่งไม่เกินกําหนดเวลาตามที่ กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 494) จึงต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปใกล้ครบ 1 ปี การที่นายไก่ ไปขอใช้สิทธิในการไถ่ช้างแม่และช้างลูกคืนนั้น นายไก่ย่อมสามารถทําได้ เพราะเป็นสิทธิของนายไก่ผู้ขายฝากแต่เพียง ฝ่ายเดียวที่จะเลือกไถ่เมื่อใดก็ได้ภายในกําหนด 1 ปี ตามมาตรา 491 และ 494 ดังนั้น การที่นายไข่ผู้รับซื้อฝาก ปฏิเสธโดยอ้างว่ายังไม่ถึงกําหนดไถ่นั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่จึงรับฟังไม่ได้

2) การที่นายไก่นําช้างแม่ขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 5 แสนบาท และไถ่คืนในราคา 4 แสนบาทนั้น แม้สินไถ่ที่กําหนดไว้จะต่ำกว่าราคาขายฝากก็สามารถตกลงกันได้ และเมื่อตกลงกันไว้อย่างไรก็ต้อง เป็นไปตามนั้น ดังนั้น นายไก่จึงสามารถไถ่ช้างแม่ได้ในราคา 4 แสนบาท การที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องไถ่คืน ในราคา 5 แสนบาท นั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่กรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนช้างลูกเมื่อขายฝากไว้ในราคา 3 แสนบาท และไถ่คืนในราคา 5 แสนบาทนั้น สินไถ่ ที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นายไก่จึงสามารถไถ่ช้างลูกได้ในราคา 3 แสนบาท บวกประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 กล่าวคือ นายไก่สามารถไถ่คืนช้างลูกได้ในราคา 3 แสน 4 หมื่น 5 พันบาท ดังนั้นการที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องไถ่คืน 5 แสนบาทนั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ กรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน

3) การที่นายไข่อ้างว่าสัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องคือไม่ได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะนั้นรับฟังไม่ได้ เพราะช้างลูกไม่ใช่สัตว์พาหนะ คือไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ดังนั้น การขายฝากช้างลูกที่ทําเป็นหนังสือจึงสมบูรณ์

สรุป

1) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ายังไม่ถึงกําหนดไถ่รับฟังไม่ได้

2) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าช้างแม่และช้างถูกต้องไถ่คืนในราคา 5 แสนบาท รับฟังไม่ได้

3) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องเป็นโมฆะรับฟังไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายไก่ตกลงขายอูฐแม่ลูกให้กับนายไข่ อูฐแม่ 3 แสนบาท อูฐลูก 1 แสนบาท โดยนายไก่ส่งมอบอูฐทั้ง
2 ตัวให้แก่นายไข่ และนายไก่ยินยอมให้นายไข่ชําระราคา 2 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาท ให้ชําระภายใน 10 วัน นับแต่ส่งมอบอูฐ รุ่งขึ้นมีนายดํามาขอซื้ออูฐแม่ลูกจากนายไก่เสนอซื้อ 5 แสนบาท นายไก่เลยมาขออฐคืนโดยอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะเป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะ

(1) สัญญาซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน

(2) ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อูฐแม่ลูก

(3) ข้ออ้างของนายไก่ที่ว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะรับฟังได้หรือไม่

(4) ถ้านายไข่ไม่ยอมชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาท นายไก่จะฟ้องบังคับได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

มาตรา 458 “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญา ซื้อขายกัน”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง หรือเป็นสัญญาซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะ ฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือมีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือได้มีการชําระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) สัญญาซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กล่าวคือ มิใช่เป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะ ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แต่อย่างใด

(2) เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา กรรมสิทธิ์ในอูฐแม่ลูกย่อมโอนไปยังผู้ซื้อ นับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 ดังนั้น นายไข่ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าของอูฐแม่ลูก

(3) สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป จึงไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่จึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ การที่นายไก่อ้างว่าสัญญาซื้อขาย เป็นโมฆะเพราะเป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะนั้น ข้ออ้างของนายไก่จึงรับฟังไม่ได้

(4) ถ้านายไข่ไม่ยอมชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาท นายไก่ย่อมสามารถฟ้องบังคับนายไข่ได้ เพราะการตกลงซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินกว่า 20,000 บาท และมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ กล่าวคือ การที่นายไก่ได้ส่งมอบอูฐทั้ง 2 ตัวให้แก่นายไข่ และนายไข่ ได้ชําระค่าอูฐให้แก่นายไก่แล้วเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น ถือว่าได้มีการชําระหนี้บางส่วนแล้ว (ตามมาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

(2) นายไข่ผู้ซื้อเป็นเจ้าของอูฐแม่ลูก

(3) ข้ออ้างของนายไก่ที่ว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะรับฟังไม่ได้

(4) นายไก่ฟ้องบังคับให้นายไข่ชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาทได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นพ่อค้าขายสินค้าใช้แล้วที่ตลาดโรงเกลือประเภทรองเท้า นายสองไปเลือกซื้อรองเท้าคัชชูประเภท 2 คู่ 100 บาท มา 6 คู่ หลังจากรับมอบมาแล้ว และชําระราคา นายสองใส่ไปทํางานปรากฏว่า พื้นหลุด บางคู่ปากอ้า นายสองฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเรา ทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้คิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวัง อันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองซื้อรองเท้า 6 คู่ จากนายหนึ่ง และเมื่อนายสองใส่ไปทํางาน ปรากฏว่าพื้นหลุด บางคู่ปากอ้านั้น ย่อมถือว่ารองเท้าที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชํารุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อม ความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักแล้ว นายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายสองผู้ซื้อ ตามมาตรา 472
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายหนึ่งเป็นพ่อค้าขายสินค้าใช้แล้วที่ตลาดโรงเกลือ ประเภทรองเท้า นายสองในฐานะวิญญูชนย่อมทราบดีว่าเป็นของใช้แล้ว และนายสองก็เลือกด้วยตนเอง โดยซื้อ รองเท้าประเภท 2 คู่ 100 บาท ตกคู่ละ 50 บาท ย่อมมีโอกาสชํารุดได้มาก จึงเป็นกรณีที่นายสองผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมาย ได้แต่วิญญูชน จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (1)

ดังนั้น นายสองผู้ซื้อจึงไม่สามารถฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาได้

สรุป นายสองฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาไม่ได้

 

ข้อ 3. นายห้านําบ้านเรือนไทยสร้างด้วยไม้สักทองมูลค่าหลายล้านบาท พร้อมที่ดินไปทําเป็นหนังสือ
จดทะเบียนขายฝากไว้กับนายหก ในราคา 5 ล้านบาท ไถ่คืนในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี เมื่อนายหกรับซื้อฝากไว้ได้เพียง 1 เดือน เกิดพายุฝนลมแรงทําให้เรือนไทย ซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้พังทลายลงมาทั้งหลัง บางส่วนก็ถูกลมพัดปลิวหายไป เมื่อเหตุการณ์สงบลง นายหกไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านและที่ดินคืนแต่นายห้าปฏิเสธ และเสนอว่าถ้าอยากให้ไถ่คืนนัก จะมาไถ่คืนในราคา 1 ล้านบาทเท่านั้น และนายหกต้องซ่อมบ้านให้เหมือนเดิม ตามกฎหมายขายฝาก

(1) นายหกมีสิทธิจะไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืนได้หรือไม่

(2) ข้อเสนอของนายห้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) ตามกฎหมาย สัญญาขายฝากนั้น คือ สัญญาซื้อขายอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อทําสัญญากันแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่า ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ ซึ่งสิทธิในการไถ่นี้ เป็นสิทธิหรืออํานาจของผู้ขายหรือเจ้าของเดิมที่จะใช้สิทธิในการไถ่คืนหรือไม่ก็ได้ (มาตรา 491)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายห้านําบ้านเรือนไทยพร้อมที่ดินไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ขายฝากไว้กับนายหกโดยมีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากนายหกรับซื้อฝากไว้ได้ เพียง 1 เดือน เกิดพายุฝนลมแรงทําให้บ้านเรือนไทยซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้พังทลายลงมาทั้งหลัง บางส่วนก็ถูก ลมพัดปลิวหายไป ดังนี้ เมื่อสิทธิในการไถ่เป็นสิทธิหรืออํานาจของนายห้าเจ้าของเดิม นายห้าจึงมีสิทธิที่จะเลือก ไถ่บ้านและที่ดินคืนหรือไม่ก็ได้ตามมาตรา 491 ดังนั้นเมื่อนายห้าปฏิเสธที่จะใช้สิทธิไถ่ นายหกจึงไม่มีสิทธิที่จะไป บังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืน

(2) ตามบทบัญญัติมาตรา 501 ได้กําหนดหน้าที่ของผู้ซื้อฝากเอาไว้ว่า ผู้ซื้อฝากจะต้อง สงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพ ที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝาก ก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ตามอุทาหรณ์ การที่บ้านเรือนไทยได้พังทลายลงทั้งหลังนั้นเป็นเพราะเกิดพายุฝนลมแรง มิได้เกิดจากความผิดของนายหกผู้ซื้อฝากแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นโดยจะโทษนายหกผู้มีหน้าที่ รับไถ่มิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของนายหก แต่เกิดจากภัยธรรมชาติและเป็นเหตุพ้นวิสัย ดังนั้น ถ้านายห้าจะไถ่บ้านและที่ดินคืน นายห้าจึงต้องใช้เงิน 5 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499) การที่นายห้าเสนอว่าถ้าจะให้ไถ่คืนจะขอไถ่คืนในราคา 1 ล้านบาท และให้นายหกซ่อมบ้านให้เหมือนเดิมด้วยนั้น ข้อเสนอของนายห้าดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(1) นายหกไม่มีสิทธิจะไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืน
(2) ข้อเสนอของนายห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วตอบตกลงซื้อ นายอังคารชําระราคาค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอน นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคาร ในวันทําสัญญา ในวันนัดนายจันทร์ก็หาได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารไม่ นายอังคาร อยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดต่อกันมาอีก 12 ปี ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นกว่า 100 ล้านบาท นายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนและขอให้นายอังคารออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายอังคารไม่ยอมออก ดังนี้นายจันทร์จะเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาด้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท และนายอังคารตกลงซื้อโดยนายอังคารชําระราคาค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอน และนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคารในวันทําสัญญานั้น กรณีนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตาม มาตรา 456 วรรคสอง เพราะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อ ได้ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า

เมื่อเป็นเพียงลัญญาจะซื้อจะขาย การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคารครอบครองนั้น นายอังคารย่อมรู้อยู่แล้วว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของนายจันทร์ยังไม่โอนมาเป็นของนายอังคาร จะโอนก็ต่อเมื่อ นายจันทร์ได้ไปจดทะเบียนโอนให้แก่นายอังคารแล้ว การที่นายอังคารได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ถือว่าเป็นการครอบครองยึดถือแทนนายจันทร์เท่านั้น ดังนั้นนายอังคารจึงไม่ได้ครอบครองแต่อย่างใด การที่นายอังคารครอบครองและอยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 12 ปี จึงไม่ทำให้นายอังคารได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใด

เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของนายจันทร์ และนายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนและขอให้นายอังคารออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายอังคารก็ต้องออกไปจากที่ดินแปลงนี้ จะไม่ยอมออกไปไม่ได้

สรุป นายจันทร์เรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นนักสะสมรถยนต์โบราณ เมื่อเก็บไว้มากก็ไม่มีสถานที่เพียงพอในการเก็บรักษาจึงต้องการ
นํารถยนต์ส่วนหนึ่งออกขายทอดตลาด หนึ่งในสิบคันเป็นรถยนต์ที่นายหนึ่งทราบดีว่าเป็นรถยนต์ ที่ขโมยมาขายแก่ตน และอีกคันหนึ่งหม้อน้ำชํารุดมีโอกาสจะรั่วได้เสมอ หลังจากการขายทอดตลาด มีการส่งมอบ ชําระราคากันเรียบร้อยแล้ว นายสองประมูลได้ไป 1 คัน ระหว่างขับกลับบ้านปรากฏว่า หม้อน้ำเกิดแตก ส่วนอีก 1 คัน นายสามครอบครองได้เพียงสองอาทิตย์ก็มีนายดํานําตํารวจพร้อม พยานหลักฐานมาแสดงต่อนายสามว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์ของตนที่ถูกขโมยมาจึงมาขอติดตาม เอารถยนต์คืน นายสามก็ยอมคืนให้ไป

(1) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

(2) นายสามจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ และถ้าฟ้องได้ภายในกําหนดระยะเวลาเท่าใดนับแต่คืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความ กับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ เมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วันคําพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ผู้ขาย ต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายสองได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน และใน ระหว่างขับกลับบ้านปรากฏว่าหม้อน้ำเกิดแตกนั้น ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายสองซื้อมา อันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้วนายหนึ่งผู้ขาย จะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายหนึ่งจะต้องรับผิดต่อนายสองเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายสองซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

(2) การที่นายสามได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน แต่เมื่อได้ ครอบครองเพียง 2 อาทิตย์ก็มีนายดํานำตํารวจพร้อมพยานหลักฐานมาแสดงต่อนายสามว่ารถยนต์คันดังกล่าว เป็นของนายดําที่ถูกขโมยมาจึงขอติดตามเอารถยนต์คืน และนายสามก็ยอมคืนให้ไปนั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลภายนอก ซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อคือนายสามไม่สามารถครอบครอง ทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้นนายสาม จึงสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดที่ตนถูกรอนสิทธิได้ แต่นายสามจะต้องฟ้องภายในกําหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ได้ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไปตามมาตรา 481

สรุป

(1) นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายสามสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในกรณีที่นายสามถูกรอนสิทธิได้ แต่จะต้องฟ้องภายในกําหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

 

ข้อ 3. นายไก่นําพ่อช้าง แม่ช้าง และลูกช้างไปขายฝากไว้กับนายไข่ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี พ่อช้างแม่ช้าง ในราคาเชือกละ 5 แสนบาท ส่วนลูกช้างเชือกละ 1 แสนบาท ไถ่คืนพ่อช้างแม่ช้าง เชือกละ 6 แสนบาท และลูกช้าง 2 แสนบาท โดยทําสัญญากันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อสองฝ่าย และมีพยาน 2 คน เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 1 วัน นายไก่ไปขอใช้สิทธิไถ่โดยนําเงินจํานวน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาท ไปไถ่พ่อช้างแม่ช้าง และ 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาท สําหรับลูกช้าง แต่นายไข่ปฏิเสธ โดยอ้างว่า

(1) สิ้นสุดกําหนดไถ่แล้ว

(2) สินไถ่ไม่ครบ

ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ นายไก่มีโอกาสจะได้พ่อช้างแม่ช้างคืนหรือไม่ด้วยเหตุผลใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่ง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา 495 “ถ้าในสัญญามีกําหนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปี ตามประเภททรัพย์

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝาก อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่นําพ่อช้าง แม่ช้าง ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ และลูกช้างไปขายฝากไว้ กับนายไข่ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อกําหนดเวลาไถ่คืนไม่เกินไปกว่าที่กฎหมายกําหนดจึงสามารถตกลงกันได้ ตามมาตรา 494 และ 495 ดังนั้น นายไก่จึงต้องไถ่ทรัพย์สินคืนภายในกําหนด 1 ปี เมื่อนายไก่มาไถ่ทรัพย์สินคืน เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 1 ปี 1 วัน นายไข่จึงสามารถปฏิเสธโดยอ้างว่าสิ้นสุดกําหนดไถ่แล้วได้ กรณีนี้ข้ออ้างของนายไข่ จึงรับฟังได้

(2) การที่นายไก่ขายฝากพ่อช้างและแม่ช้างไว้เชือกละ 5 แสนบาท ส่วนลูกช้างเชือกละ 1 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1,100,000 บาท และตกลงว่าจะไถ่คืนพ่อช้างและแม่ช้างเชือกละ 6 แสนบาท และลูกช้าง อีก 2 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาทนั้น จะเห็นได้ว่าสินไถ่ที่กําหนดไว้นั้นสูงกว่าที่กฎหมายกําหนด ดังนั้น นายไก่สามารถใช้สิทธิไถ่คืนทรัพย์สินนั้นได้ในราคา 1,100,000 บาท บวกประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 กล่าวคือ นายไก่สามารถไถ่คืนพ่อช้างและแม่ช้างได้ในราคา 1,150,000 บาท และไถ่คืนลูกช้างได้ ในราคา 115,000 บาท ดังนั้นการที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายไก่จะมีโอกาสได้พ่อช้างแม่ช้างคืนได้หรือไม่นั้น เมื่อสัญญาขายฝากพ่อช้างแม่ช้าง เป็นการขายฝากสัตว์พาหนะซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ แต่ไม่ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากพ่อช้างแม่ช้างจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในพ่อช้างแม่ช้างจึงยังคงเป็นของนายไก่ นายไก่สามารถเอาพ่อช้างแม่ช้างคืนได้ แต่ต้องคืนเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายไข่ในฐานลาภมิควรได้

สรุป

(1) ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสิ้นสุดกําหนดไถ่แล้วรับฟังได้
(2) ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสินไถ่ไม่ครบรับฟังไม่ได้ นายไก่เอาพ่อช้างแม่ช้างคืนได้ แต่ต้องคืนเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายไข่

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หนังสือสัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอกข้อหนึ่งระบุว่า “นายเมฆได้ตกลงซื้ออูฐจากนายหมอกในราคา 50,000 บาท โดยชําระเงินให้แก่นายหมอกในวันทําสัญญานี้เป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 40,000 บาท จะชําระให้ภายใน 30 วัน” ครั้นเมื่อถึงกําหนดวันดังกล่าว นายเมฆไม่สามารถนําเงินมาชําระให้แก่นายหมอกได้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายหมอกสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง หรือเป็นสัญญาซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือมีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือได้มีการชําระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอกเป็นสัญญาซื้อขาย ทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กล่าวคือ มิใช่เป็น การซื้อขายสัตว์พาหนะ ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆ และนายหมอกจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับให้ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง สัญญาซื้อขายอูฐดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หนังสือสัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอก มีข้อความระบุว่า “นายเมฆได้ตกลงซื้ออฐจากนายหมอกในราคา 50,000 บาท โดยชําระเงินให้แก่นายหมอกในวันทําสัญญานี้เป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 40,000 บาท จะชําระให้ภายใน 30 วัน” นั้น ย่อมถือว่า เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเป็นเงินเกินกว่า 20,000 บาท และมีหลักฐานในการฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ กล่าวคือ สัญญาซื้อขายดังกล่าวได้มีการทําเป็นหนังสือ และได้มีการชําระหนี้บางส่วนโดยนายเมฆ ผู้ซื้อได้ชําระเงินค่าอูฐให้นายหมอกแล้ว 10,000 บาท ดังนั้น เมื่อถึงกําหนดวันดังกล่าวนายเมฆไม่สามารถนําเงิน มาชําระให้แก่นายหมอกได้ นายหมอกย่อมสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้ (ตาม มาตรา 456 วรรคสอง ประกอบวรรคสาม)

สรุป นายหมอกสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้

 

ข้อ 2. นายยิ่งตกลงทําสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายยงระบุที่ดินที่ซื้อขายกัน จํานวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ10,000 บาท แต่เมื่อทําการรังวัดที่ดินแล้วเนื้อที่ดินตามโฉนดกลับมีมากถึง 108 ไร่ ดังนี้ ให้ท่าน
วินิจฉัยว่าในการส่งมอบมากกว่าเช่นนี้ นายยิ่งมีสิทธิที่จะทําอย่างไรได้บ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 466 “ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น หากว่าได้ระบุจํานวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ และผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าที่ได้สัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสีย หรือจะรับเอาไว้และใช้ราคา ตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก
อนึ่ง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือจํานวนไม่เกินร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ทั้งหมดอันได้ระบุไว้นั้นไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจําต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วน…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยิ่งตกลงทําสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ จากนายยงโดยระบุที่ดินที่ซื้อขายกันจํานวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ 10,000 บาท แต่เมื่อทําการรังวัดที่ดินแล้วเนื้อที่ดิน ตามโฉนดกลับมีมากถึง 108 ไร่ นั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมีจํานวนมากไปกว่าที่ได้ตกลงไว้ ในสัญญา และเมื่อจํานวนส่วนที่มากกว่าที่ทั้งคู่ได้ตกลงซื้อขายกัน คือจํานวน 8 ไร่ นั้น มีจํานวนเกินกว่าร้อยละ 5 แห่งเนื้อที่ทั้งหมดที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้นนายยิ่งผู้ซื้อจึงมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับมอบที่ดินทั้งแปลงไว้ หรือจะรับเอาไว้แล้วใช้ราคาที่ดินตามส่วนเป็นเงิน 1,080,000 บาทก็ได้ ตามแต่จะเลือก (มาตรา 466 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสอง)

สรุป นายยิ่งมีสิทธิบอกปัดไม่รับมอบที่ดินทั้งแปลง หรือจะรับมอบเอาไว้แล้วใช้ราคาที่ดิน ให้แก่นายยงตามส่วนเป็นเงิน 1,080,000 บาทก็ได้ ตามแต่จะเลือก

 

ข้อ 3. นายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายฝากแจกันโบราณลายครามใบหนึ่งของนายอาทิตย์ไว้กับนายจันทร์ โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งนายอาทิตย์และนายจันทร์ ในราคา 50,000 บาท กําหนดเวลาไถ่ 5 ปี และตกลงไว้ในสัญญาขายฝากว่านายจันทร์จะไม่นําแจกันใบนี้ไปขายต่อให้ผู้อื่น สินไถ่เท่ากับ ราคาขายฝาก เมื่อขายฝากไปได้เพียง 3 เดือน นายจันทร์ได้ขายแจกันใบนั้นไปให้นายศุกร์ในราคา 80,000 บาท ขายฝากไปได้ 2 ปีกับหกเดือน นายอาทิตย์ตาย นายพุธไม่ทราบว่าบิดาได้ขายฝาก แจกันใบนั้นไว้กับนายจันทร์ มาทราบเมื่อนายอาทิตย์ตายไปได้ 1 ปี นายพุธซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของนายอาทิตย์ได้มาขอซื้อคืนแจกันใบนี้คืนจากนายจันทร์ แต่นายจันทร์ได้บอกว่าตนขายแจกัน ใบนั้นให้นายศุกร์ไปแล้ว นายพุธจึงมาขอไถ่คืนแจกันใบนั้นจากนายศุกร์ ถ้าท่านเป็นนายศุกร์จะปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และนายพุธจะฟ้องว่านายจันทร์ผิดสัญญาได้หรือไม่ ให้นักศึกษาอธิบายข้อกฎหมายให้ละเอียด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 493 “ในการขายฝากคู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจําหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้ ถ้าและผู้ซื้อจําหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้ ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 495 “ถ้าในสัญญามีกําหนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปี ตามประเภททรัพย์”

มาตรา 497 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้ คือ
(1) ผู้ขายเดิม หรือทายาทของผู้ขายเดิม…” มาตรา 498 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ
(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายฝากแจกันโบราณลายครามใบหนึ่งของ นายอาทิตย์ไว้กับนายจันทร์ โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายอาทิตย์และนายจันทร์ในราคา 50,000 บาท มีกําหนดเวลาไถ่ 5 ปีนั้น สัญญาขายฝากย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 เพียงแต่การขายฝากแจกันฯ ดังกล่าว เป็นการขายฝากทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องกําหนดเวลาไถ่ไว้ไม่เกิน 3 ปี ดังนั้น เมื่อคู่สัญญาได้กําหนดเวลาไถ่ไว้ 5 ปี กําหนดเวลาไถ่จึงต้องลดลงมาเหลือเพียง 3 ปีนับแต่เวลาที่ได้ทําสัญญาซื้อขาย (ขายฝาก) ตามมาตรา 494 (2) และมาตรา 495

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากที่ได้ทําสัญญาขายฝากได้เพียง 3 เดือน นายจันทร์ได้ขาย แจกันใบนั้นให้แก่นายศุกร์ในราคา 80,000 บาท และเมื่อขายฝากไปได้ 2 ปี กับ 6 เดือน นายอาทิตย์ตาย นายพุธ ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของนายอาทิตย์ได้ทราบว่าบิดาได้ขายฝากแจกันใบนั้นไว้กับนายจันทร์เมื่อนายอาทิตย์ได้ ตายไปแล้ว 1 ปี ดังนี้ แม้นายพุธจะเป็นทายาทของนายอาทิตย์ผู้ขายเดิมตามมาตรา 497 (1) จะมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนจากนายศุกร์ ซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินตามมาตรา 498 (2) ก็ตาม แต่เมื่อนายพุธได้มาขอไถ่คืนแจกันใบนั้น จากนายศุกร์เมื่อพ้นกําหนดเวลา 3 ปีนับแต่วันทําสัญญาขายฝากแล้ว นายศุกร์จึงสามารถปฏิเสธไม่ให้นายพุธ ไถ่คืนแจกันใบนั้นได้ตามมาตรา 494 (2) ประกอบมาตรา 495

ส่วนตามข้อตกลงในการขายฝากที่ห้ามมิให้นายจันทร์นําแจกันใบนี้ไปขายต่อให้แก่ผู้อื่นนั้น คู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ตามมาตรา 493 และเมื่อนายจันทร์นําแจกันไปขายต่อให้แก่นายศุกร์ ซึ่งถือว่านายจันทร์ ผิดข้อตกลงในสัญญาขายฝากก็ตาม แต่เมื่อนายพุธได้ไปขอไถ่คืนเมื่อพ้นกําหนดเวลาไถ่คืนแล้ว ดังนั้น เมื่อนายศุกร์ ปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่คืน นายพุธจะฟ้องนายจันทร์ว่านายจันทร์ผิดสัญญาไม่ได้

สรุป นายศุกร์จะปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่คืนแจกันได้ และนายพุธจะฟ้องว่านายจันทร์ ผิดสัญญาไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินของตนไปขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท แต่นายสองไม่มีเงินสดครบ 1 ล้านบาท จึงตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชําระให้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้ เมื่อนายสองผ่อนไปได้ 2 งวด นายไก่ได้มาขอซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าวในราคา 2 ล้านบาท โดย ไม่ทราบเลยว่านายหนึ่งได้ขายให้นายสองไปแล้ว นายหนึ่งได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายบ้าน และที่ดินให้นายไก่ และนายไก่ก็ได้ชําระราคาครบถ้วนพร้อมทั้งได้รับมอบบ้านและที่ดินไปเรียบร้อย แล้ว ดังนี้

1) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาประเภทไหนและมีผลในทางกฎหมายอย่างไร นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

2) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายไก่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน และมีผลในทางกฎหมาย
อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่ง ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 453 ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กําหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณี ที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ

2. มีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือ

3. มีการชําระหนี้บางส่วน

1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินของตนไปขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งและนายสองตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชําระให้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้นั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง เป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันเมื่อได้ ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกันด้วยวาจา เพราะ ในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่นายหนึ่งได้นําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขาย ให้แก่นายไก่ นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขาย บ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทําเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ นายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการ ชําระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชําระราคามาได้ 2 งวด เป็นเงิน 2 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญา ได้นําบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายไก่ นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบเพราะผิดสัญญาได้

2) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายไก่ได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดย ไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทําตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายไก่ จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคแรก

สรุป

1) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้

2) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายไก่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายสามตกลงซื้อรถยนต์จากนายสี่ซึ่งเป็นเพื่อนกันในราคามิตรภาพ และยังเป็นรถใหม่ป้ายแดงในราคา 1 ล้านบาท มีการส่งมอบและชําระราคาเรียบร้อย แต่เมื่อนายสามนํารถยนต์ไปใช้งาน ปรากฏว่าบางวันสตาร์ทไม่ติด ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง นายสามจะฟ้องให้นายสี่รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อนายสามแจ้งให้นายสี่ รับผิดชอบ นายสี่ปฏิเสธและอ้างว่าตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกันถึงเหตุดังกล่าว

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุ ให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ไม่ว่าผู้ขายจะได้รู้หรือไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความ ชํารุดบกพร่องอยู่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสามได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายสี่ซึ่งเป็นรถใหม่ป้ายแดง โดยมี การส่งมอบและชําระราคาเรียบร้อยแล้ว และเมื่อนายสามได้นํารถยนต์ไปใช้งานปรากฏว่าบางวันสตาร์ทไม่ติด ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงนั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความชํารุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติแล้ว ดังนั้น นายสี่ผู้ขายจึงต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่ เกิดขึ้นนั้น และนายสี่จะปฏิเสธและอ้างว่าตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกันถึงเหตุดังกล่าวไม่ได้

สรุป นายสามสามารถฟ้องให้นายสี่รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

 

ข้อ 3. นายห้านําบ้านและที่ดินของตนที่ปลูกไว้ริมแม่น้ําในจังหวัดเชียงราย ไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายหกในราคา 1 ล้านบาท ไถ่คืนภายในกําหนด 1 ปี ในราคาเดิมบวก ประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 5 เดือน เกิดแผ่นดินไหว ทําให้บ้านบางส่วนพังทลายลงแม่น้ำไป นายห้ามา ขอไถ่บ้านและที่ดินคืน โดยจะชําระสินไถ่เพียง 8 แสนบาท เพราะบ้านและที่ดินพังไปบางส่วน และเรียกค่าเสียหายจากนายหกอีก 3 แสนบาท ในความเสียหายของบ้าน นายหกปฏิเสธทั้ง 2 ข้อ และยืนยันว่า อยากไถ่คืนต้องเป็นไปตามสัญญา ดังนี้ การปฏิเสธของนายหกรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายห้าได้นําบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายหกในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาทบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อสัญญาขายฝาก ดังกล่าวได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากระหว่างนายห้าและนายหกจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก

ดังนั้น ถ้านายห้ามาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน นายห้าจึงต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499)

และจากข้อเท็จจริง การที่บ้านซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้ได้พังทลายลงแม่น้ำไปบางส่วนนั้น เป็นเพราะเกิดแผ่นดินไหวมิได้เกิดจากความผิดของนายหกแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่พ้นวิสัยที่จะป้องกันได้ ดังนั้น เมื่อนายห้ามาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและที่ดินคืนก็ต้องไถ่คืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ และต้องใช้สินไถ่ 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาทถ้วน จะชําระสินไถ่เพียง 8 แสนบาทไม่ได้ และจะเรียกค่าเสียหายจาก นายหกอีก 3 แสนบาทก็ไม่ได้เช่นกัน (มาตรา 501) ดังนั้น การปฏิเสธของนายหกจึงรับฟังได้ทั้ง 2 กรณี

สรุป การปฏิเสธของนายหกรับฟังได้ทั้ง 2 กรณี

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกได้โทรศัพท์ไปสั่งซื้อวัวมีตั๋วรูปพรรณจากนายโทตัวหนึ่งตกลงราคาซื้อขายกัน 20,000 บาท
โดยนายเอกและนายโทต่างรู้ความมุ่งหมายของกันและกันว่า นายเอกจะซื้อวัวไปเพื่อทําลูกชิ้นเนื้อ ขายที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของตน ในวันรุ่งขึ้น นายโทได้นําวัวมาส่งให้นายเอก นายเอกจึงได้รับปากนายโท ว่าจะชําระเงินจํานวน 20,000 บาท ให้ภายใน 7 วัน ครั้นเวลาได้ล่วงเลยไปกว่า 30 วัน นายโทก็ยัง ไม่ได้รับเงินจํานวนดังกล่าวจากนายเอกแต่อย่างใด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโทจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่ง ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย”

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้โทรศัพท์ไปสั่งซื้อวัวมีตั๋วรูปพรรณจากนายโทตัวหนึ่งตกลงราคา ซื้อขายกัน 20,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเอกและนายโทต่างรู้ความมุ่งหมายของกันและกันว่านายเอก จะซื้อวัวไปเพื่อทําลูกชิ้นเนื้อขายที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของตน ดังนี้ย่อมถือว่าสัญญาซื้อขายระหว่างนายเอกและนายโทนั้น เป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไปมิใช่การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เพราะ มิใช่การซื้อขายวัวในลักษณะที่จะนําไปใช้แรงงานแต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาซื้อขายวัวดังกล่าวระหว่างนายเอกและ นายโทจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้น ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด (มาตรา 453 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก)

การที่นายโทได้นําวัวมาส่งให้นายเอกและนายเอกตกลงว่าจะชําระเงินให้แก่นายโทภายใน 7 วัน แต่เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปกว่า 30 วัน นายเอกก็ยังไม่ชําระนั้น เมื่อสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ระหว่างนายเอกและ นายโทนั้น เป็นการตกลงซื้อขายกันเป็นราคา 20,000 บาท และการที่นายโทได้นําวัวมาส่งมอบให้แก่นายเอกนั้น ถือว่าเป็นการชําระหนี้บางส่วน เมื่อสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ดังนั้น นายโท ย่อมสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้ (ตามมาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม)

สรุป นายโทสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นคนชอบสะสม ตู้ โต๊ะ ตั่ง เตียง โบราณอย่างมากจึงสะสมไว้มากมายจนไม่มีสถานที่
จะเก็บรักษา จึงนําตู้จํานวน 10 ชุด ออกขายทอดตลาด โดยในการขายทอดตลาด นายหนึ่งประกาศ ให้ผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด ทราบว่าในการขายครั้งนี้หากทรัพย์สินซื้อไปนั้น เกิดความชํารุดบกพร่องอย่างใด ๆ ขึ้น นายหนึ่งผู้ขายจะไม่รับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่นายหนึ่งทราบดีว่า ตู้บางตู้ไม้ผุ หรือบางส่วนชํารุดบกพร่อง ต่อมานายสองประมูลซื้อตู้ไป 3 ชุด เมื่อรับมอบไปแล้วจึง ทราบว่าไม้บางชิ้นถูกปลวกกิน บางชิ้นส่วนหลุดร่วง จึงเรียกให้นายหนึ่งรับผิดชอบ แต่นายหนึ่ง ปฏิเสธไม่รับผิด คําปฏิเสธและคําบอกกล่าวก่อนขายของนายหนึ่งรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 483 “คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่อง หรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้”

มาตรา 485 “ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการ อันผู้ขายได้กระทําไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้นําตู้จํานวน 10 ชุด ออกขายทอดตลาด และในการขาย ทอดตลาดนั้น นายหนึ่งประกาศให้ผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อทราบว่าในการขายครั้งนี้หากทรัพย์สินที่ซื้อไปนั้นเกิด ความชํารุดบกพร่องอย่างใด ๆ ขึ้น นายหนึ่งผู้ขายจะไม่รับผิดชอบ กรณีเช่นนี้โดยหลักแล้วนายหนึ่งย่อมมีสิทธิตกลง กับผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อได้ตามมาตรา 483 แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งได้ทราบดีอยู่แล้วว่า ตู้บางตู้ไม้ผุ หรือบางส่วนชํารุดบกพร่อง จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 485 ที่ว่า ข้อสัญญาว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองความรับผิดของผู้ขายในผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย ดังนั้นคําบอกกล่าว ก่อนขายของนายหนึ่งจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายสองได้ประมูลซื้อตู้ไป 3 ชุด และเมื่อรับมอบไปแล้วจึงทราบว่าไม้บางชิ้นถูก ปลวกกิน บางชิ้นส่วนหลุดร่วง ซึ่งถือว่าทรัพย์สินคือตู้ที่นายสองได้ซื้อไปนั้นมีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักแล้วนายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิด แต่เมื่อปรากฏว่าการซื้อขายทรัพย์สินระหว่างนายสองกับนายหนึ่งนั้นเป็นกรณีที่ทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาดจึง เข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิด (มาตรา 472 ประกอบมาตา 473 (3) ดังนั้น การที่นายหนึ่งปฏิเสธไม่รับผิดชอบ ต่อนายสอง คําปฏิเสธของนายหนึ่งจึงรับฟังได้

สรุป คําปฏิเสธของนายหนึ่งรับฟังได้ แต่คําบอกกล่าวก่อนขายของนายหนึ่งรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. นายไก่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกด้วยไม้มะค่าทั้งหลัง นายไก่ได้นําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็น
หนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขายฝากไว้กับนายไข่ ในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืน ภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ก่อนครบกําหนด 1 ปี เกิดพายุฤดูร้อน พัดกระหน่ำทําให้บ้านซึ่งนายไข่รับซื้อฝากไว้พังทลายทั้งหลัง เมื่อนายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน เจอสภาพบ้านพังบางส่วน ลมพัดสูญหาย จึงขอไถ่ครึ่งราคา และจะเรียกค่าเสียหายจากนายไข่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ได้นําบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาทบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อสัญญาขายฝาก ดังกล่าวได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากระหว่างนายไก่และนายไข่จึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก ดังนั้น ถ้านายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน นายไก่จึงต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499)

และจากข้อเท็จจริง การที่บ้านซึ่งนายไข่รับซื้อฝากไว้พังทลายทั้งหลังนั้น เป็นเพราะเกิดพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำ มิได้เกิดจากความผิดของนายไข่ผู้รับซื้อฝากแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น โดยจะโทษนายไข่ผู้รับซื้อฝากมิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของนายไข่ผู้รับซื้อฝาก แต่เกิดจาก ภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น เมื่อนายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและที่ดินคืน ก็ต้องไถ่คืนตามสภาพที่เป็นอยู่ ในเวลาไถ่ นายไก่จะขอไถ่ครึ่งราคาและจะเรียกค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายจากนายไข่ไม่ได้ (มาตรา 501)

สรุป นายไก่จะขอไถ่ครึ่งราคาและจะเรียกค่าเสียหายจากนายไข่ไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งยอมให้นายสอง
ชําระราคาเดือนละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ตกลงทําสัญญากัน เมื่อชําระ ราคาครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะโอนบ้านและที่ดินให้นายสองที่สํานักงานที่ดิน เมื่อนายสอง ผ่อนไปได้ 5 เดือน นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายให้แก่ นายสามในราคา 2 ล้านบาท โดยนายสามไม่ทราบว่านายหนึ่งได้ตกลงขายให้นายสองไปแล้ว

(1) สัญญาซื้อขายบ้านเละที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญา
ซื้อขายประเภทใด

(2) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาที่ทําไว้ด้วยกันได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมี การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทําเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 455 ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กําหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณี ที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ
2. มีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือ
3. มีการชําระหนี้บางส่วน

(1) สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญา ซื้อขายประเภทใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งยอมให้นายสองชําระราคาเดือนละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน และเมื่อชําระครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปทําการโอนให้แก่นายสองนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและ นายสองเป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ให้แก่กันเมื่อได้ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําเป็นหนังสือสัญญาซื้อขาย และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกัน ด้วยวาจา เพราะในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสามได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทําตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

(1) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขายบ้านและ ที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทําเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายหนึ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการชําระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชําระราคามาได้ 5 เดือน เป็นเงิน 5 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญา ได้นําบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายสาม นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายและมีผลสมบูรณ์
ตามกฎหมาย ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามเป็นสัญญาซื้อขาย
เสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเช่นกัน
(2) นายสองสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาที่ทําไว้ต่อกันได้

 

ข้อ 2. นายห้าเป็นนักสะสมรถยนต์โบราณได้คัดเลือกรถยนต์ที่สะสมไว้ 5 คัน ออกขายทอดตลาดโดยนายห้าทราบดีว่า 1 ใน 5 ชํารุดบกพร่องคือเบรกไม่ค่อยดี และอีกคันหนึ่งเป็นรถยนต์ที่มีการขโมยมาขายให้แก่ตน หลังการขายทอดตลาดนายดําได้รถยนต์คันที่เบรกไม่ดีไป และนายแดงได้รถยนต์คัน ที่มีคนขโมยมาขายให้นายห้า นายดําและนายแดงมาทราบภายหลังการส่งมอบและชําระราคาแล้ว เพราะเบรกชํารุดบกพร่องชัดเจนขึ้น และนายไก่มาติดตามเอารถยนต์ของตนที่ถูกขโมยคืน ดังนี้

(1) นายดําจะฟ้องให้นายห้ารับผิดว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมาชํารุดบกพร่องได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
(2) นายแดงจะฟ้องให้นายห้ารับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่” มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของ ผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

วินิจฉัย
ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น
ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายดําได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายห้ามา 1 คัน และมาทราบ ในภายหลังว่าเบรกไม่ดีนั้น กรณีนี้ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายดําซื้อมาอันเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้วนายห้าผู้ขายจะต้องรับผิดใน ความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายห้าจะต้องรับผิดต่อนายดําเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายดําซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายห้าผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายดําจะฟ้องนายห้าให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

(2) การที่นายแดงได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดจากนายห้ามา 1 คัน แต่เมื่อภายหลังการส่งมอบและชําระราคาแล้ว นายแดงมาทราบว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมานั้นเป็นรถยนต์ที่มีการขโมยมาขาย ให้แก่นายห้า เพราะได้มีนายไก่มาติดตามเอารถยนต์ของตนที่ถูกขโมยคืน ดังนี้ถือว่านายแดงผู้ซื้อได้ถูกบุคคลภายนอก ซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้าขัดสิทธิทําให้นายแดงผู้ซื้อไม่สามารถครอบครอง ทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่นายแดงผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งนายห้าผู้ขายต้องรับผิด ดังนั้น นายแดงย่อมสามารถฟ้องให้นายห้ารับผิดต่อตนในกรณีถูกรอนสิทธิได้

สรุป
(1) นายดําจะฟ้องให้นายห้ารับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายแดงสามารถฟ้องให้นายห้ารับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้

 

ข้อ 3. นายหกนํานาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังของตนมูลค่า 1 ล้านบาท ไปขายฝากนายเจ็ดไว้ในราคา 1 แสนบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ต่อมาหลังจากขายฝาก ได้ 1 เดือน นายแปดขอซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวจากนายเจ็ดในราคา 3 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็น นาฬิกาที่นายหกนํามาขายฝากนายเจ็ดไว้ ก่อนครบ 1 ปี นายหกมาขอไถ่คืนจากนายแปด พร้อมเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วน นายแปดปฏิเสธไม่ให้ไถ่โดยอ้างว่าตนไม่ใช่คู่สัญญาไม่มีหน้าที่ต้องรับไถ่ ถ้าหากไถ่ก็ต้องนําสินไถ่มาไถ่ 3 แสนบาท เท่ากับราคาที่ตนซื้อมา ดังนี้ คําปฏิเสธคําเสนอของนายแปด รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 498 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ

(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริง เกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหกได้นํานาฬิกาข้อมือไปขายฝากไว้กับนายเจ็ดในราคา 1 แสนบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น ถือว่ากําหนดเวลาไถ่ไม่เกินกว่าเวลาตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้ตามมาตรา 494 (2) และการที่นายหกได้ตกลงกับนายเจ็ดว่า เวลาไถ่ให้ใช้สินไถ่ในราคาเดิมบวกประโยชน์ตอบแทนอีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น ข้อตกลงดังกล่าวถือว่าชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 499 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อนายหกจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สิน จึงต้องไถ่ภายในกําหนด 1 ปี และต้องใช้สินไถ่ 1 แสนบาท รวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี รวมเป็นเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาท
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากขายฝากได้ 1 เดือน นายเจ็ดได้ขายนาฬิกาเรือนดังกล่าว ให้แก่นายแปดในราคา 3 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นนาฬิกาที่นายหกนํามาขายฝากไว้กับนายเจ็ด ดังนั้น เมื่อนายหก ได้มาขอไถ่นาฬิกาคืนจากนายแปดก่อนครบกําหนด 1 ปี พร้อมเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วนนั้น นายแปด ในฐานะเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินและได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน จึงต้องยอมให้ นายหกใช้สิทธิไถ่คืนตามมาตรา 498

(2) จะปฏิเสธไม่ให้นายหกไถ่โดยอ้างว่าตนไม่ใช่คู่สัญญาไม่มีหน้าที่ต้องรับไถ่ ไม่ได้ และจะเสนอว่าถ้านายหกอยากไถ่ก็ต้องนําสินไถ่มาไถ่ 3 แสนบาท เท่ากับราคาที่ตนซื้อมาก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะนายหกมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ในราคา 1 แสนบาท พร้อมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี รวมเป็นเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ตามมาตรา 499 วรรคสอง

สรุป คําปฏิเสธและคําเสนอของนายแปดดังกล่าวรับฟังไม่ได้

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

ลักษณะภาษา

1 ข้อใดแสดงลักษณะภาษาคำโดดที่ว่าเป็นคำมีพยางค์เดียว

(1) สตางค์น่ะมีไหม

(2) เงินน่ะมีไหม

(3) ทรัพย์สินน่ะมีไหม

(4) สมบัติน่ะมีไหม

ตอบ (2) เงินน่ะมีไหม

ลักษณะของภาษาคำโดดประการหนึ่ง คือ คำแต่ละคำมีพยางค์เดียว ซึ่งถือเป็นคำพื้นฐานของภาษา มักเป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ตลอดจนกริยาอาการที่จำเป็นแก่มนุษย์ ใช้ในภาษาได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงคำ เช่น พ่อ มีด เงิน ฯลฯ (ส่วนคำว่า สตางค์ ทรัพย์สิน สมบัติ เป็นคำที่มี 2 พยางค์)

2 ข้อใดไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค

(1) ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา

(2) ทีฆายุกา โหตุ มหาราชินี

(3) ทรงพระเจริญ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ทรงพระเจริญ

ในภาษาคำโดด คำแต่ละคำถือเป็นคำสำเร็จรูป เพราะมีความหมายสมบูรณ์ใช้เข้าประโยคได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงส่วนใดๆของคำ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค (ส่วนคำว่า ราชา = กษัตริย์ และ ราชินี = กษัตริย์หญิง เป็นคำภาษาบาลีที่มีการเปลี่ยนแปลงสระและพยัญชนะท้ายคำ เพื่อบอกให้ทราบว่าเป็นเพศใด)

3 ข้อใดแสดงให้เห็นว่า หน้าที่ดูได้ที่ตำแหน่งในประโยค

(1) หมากัด อย่ากัดตอบ (2) อย่าทำตนเป็นหมาลอบกัด

(3) รองเท้าใหม่กัดเจ็บจัง (4) ถ้ารองเท้ากัด เขาว่าให้กัดรองเท้าเสียก่อน

ตอบ (4) ถ้ารองเท้ากัด เขาว่าให้กัดรองเท้าเสียก่อน

ในภาษาคำโดด คำคำเดียวกันอาจมีความหมายใช้ได้หลายหน้าที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปคำเลย จะรู้ความหมายและหน้าที่ได้ก็ด้วยดูตำแหน่งในประโยค เช่น ประโยคในตัวเลือกที่ 4 คำว่า “รองเท้า” ในวรรคแรกเป็นผู้กระทำ (ประธาน) เพราะมีตำแหน่งอยู่หน้า “กัด” ซึ่งเป็นคำกริยา ส่วน “รองเท้า” ในวรรคหลังเป็นผู้ถูกกระทำ (กรรม) เพราะมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยา เป็นต้น

4 ข้อใดแสดงวิธีบอกกาลตามแบบภาษาคำโดด

(1) เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่ (2) เธอดีต่อผมมาก

(3) ดีแล้วที่เล่นโยคะ (4) ใครๆก็ชมว่าผมดี

ตอบ (1) เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่

วิธีบอกกาลตามภาษาคำโดด คือ การแสดงเวลาที่กระทำกริยานั้นๆซึ่งจะใช้คำกริยารูปเดิม แต่มีคำอื่นๆมาช่วยประกอบเพื่อให้ทราบว่าเหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพนั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด เช่น เขากำลังกิน เขาจะกิน ฯลฯ แต่บางครั้งอาจไม่ต้องมีคำอื่นมาประกอบ ทั้งนี้อาศัยเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมเป็นเครื่องชี้ เช่น เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่ พรุ่งนี้เขากินข้าว

5 ข้อใดแสดงว่าภาษามีระบบเสียงสูงต่ำ

(1) ปั้นขนมให้เป็นก้อนก่อนซิ (2) แต่งกลอนให้ก่อนซิ

(3) ให้ช่างกล้อนผมเสียก่อน (4) เสียงกลองดังก้องไปหมด

ตอบ (1) ปั้นขนมให้เป็นก้อนก่อนซิ

ระบบเสียงสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์) ในภาษาไทยคือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมายโดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ก่อน (เสียงเอก) = เดิม เริ่ม ลำดับแรก ก้อน (เสียงโท) = คำบอกลักษณะของเล็กๆที่เกาะหรือติดรวมกันแน่น เป็นต้น

6 สระเดี่ยวปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) ง่อย (2) งอม (3) งิ้ว (4) เหงา

ตอบ (2) งอม

เสียงสระในภาษาไทยมี 28 เสียง แบ่งออกเป็น

สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อา อึ อื เอะ เออ (สระกลาง) อิ อี เอะ เอ แอะ แอ (สระหน้า) อุ อู โอะ ออ (สระหลัง)

สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอือะ เอือ เอา อาว ไอ อาย (สระกลาง) เอียะ เอีย (สระหลัง) ส่วน “ง่อย” และ “งิ้ว” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว ออ และ อิ แต่ลงท้ายด้วย ย และ ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ ออ+ย (ออ+อี) = ง่อย อิ + ว (อิ + อุ) = งิ้ว)

7 สระผสมปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) มี (2) หมี (3) เมา (4) มุด

ตอบ (3) เมา ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

8 พยัญชนะใดข้อใดมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย

(1) หนาว (2) เหมา (3) เสา (4) เผา

ตอบ (4) เผา

พยัญชนะเสียงหนัก คือ พยัญชนะต้นที่เวลาออกเสียงจะมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย หรือมีลมหายใจพุ่งออกมาจากหลอดลมโดยแรง (แรงกว่าพยัญชนะเสียงอื่น) และไม่ถูกขัดขวาง ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ) เป็นต้น (ส่วน “หนาว” และ “เหมา” นั้น เสียง ห จะหายไป เพราะ พยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่มี ห นำ หรือ อ นำ จะไม่ออกเสียง ห หรือ อ)

9 หากอุดจมูก จะออกเสียงคำใดได้ยาก

(1) ยาม (2) ตาม (3) ราม (4) งาม

ตอบ (4) งาม

พยัญชนะนาสิก คือ พยัญชนะระเบิดที่เสียงออกทางจมูกซึ่งเกิดจากอวัยวะในการออกเสียงปิดสนิท ณ จุดใดจุดหนึ่งในปาก แต่เพดานอ่อนลดต่ำลง ทำให้ลมเปลี่ยนทางไปออกทางจมูกทันทีที่คลายการปิดกั้น ดังนั้นหากอุดจมูกก็จะออกเสียงได้ยาก ได้แก่ พยัญชนะต้น ง น ม

10 คำว่า “ราว” ออกเสียงใกล้เคียงกับข้อใด

(1) อา + อี (2) อา + อู (3) อี + อา (4) อู + อา

ตอบ (2) อา + อู

ถ้าออกเสียง อา ไม่ให้ขาดเสียง และแทนที่จะให้ลิ้นทอดราบกับปาก กลับค่อยๆกระดกลิ้นขึ้นจนเกือบชนเพดานในระดับของเสียง อู เสียงนั้นก็จะเป็นสระผสม อา + อู = อาว เช่น ราว สาว ชาว ฯลฯ แต่ถ้าออกเสียง อา แล้วกระดกลิ้นสูงไปจดเพดานอ่อนเข้า ก็จะกลายเป็นเสียง อา มี ว สะกด หรือ อา + ว = อาว เช่นกัน

11 แม่กบ ปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) ชลบุรี

(2) ธนบุรี

(3) ลพบุรี

(4) กาญจนบุรี

ตอบ (3) ลพบุรี

พยัญชนะท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ตาม โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมด 8 เสียง ดังนี้

แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ

แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ

แม่กง ได้แก่ ง

แม่กม ได้แก่ ม

แม่เกย ได้แก่ ย

แม่เกอว ได้แก่ ว

12 การออกเสียงแบบเคียงกันมาปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) สบาย

(2) สมัย

(3) สลาย

(4) สวาย

ตอบ (1) สบาย

การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น สบาย (สะ – บาย) เป็นต้น (ส่วน สมัย (สะ – ไหม) สลาย (สะ – หลาย) สวาย (สะ – หวาย) เป็นการออกเสียงแบบนำกันมา หรือแบบอักษรนำ)

13 การออกเสียงแบบนำกันมาปรากฏในข้อใด

(1) อรุณ (2) อรัญ (3) อร่อย (4) อรุโณทัย

ตอบ (3) อร่อย

การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวนำมีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น อร่อย (อะ – หร่อย) เป็นต้น (ส่วน อรุณ (อะ –รุน) อรัญ (อะ – รัน) อรุโณทัย (อะ – รุ – โน – ทัย) เป็นการออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา) (ดูคำอธิบายข้อ 12 ประกอบ)

14 ข้อใดมีทั้งคำเป็นและคำตาย

(1) เพ็ญจันทร์ (2) เพ็ญพิศ (3) เพลินเพ็ญ (4) พรเพ็ญ

ตอบ (2) เพ็ญพิศ

คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วย แม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และ แม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วย แม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 11 ประกอบ)

15 ข้อใดใช้รูปวรรณยุกต์ผิด

(1) ชอบม๊ากมาก (2) มันร้องจ๊าก (3) ไก่ร้องกะต๊าก (4) กระด๊ากกระดาก

ตอบ (1) ชอบม๊ากมาก

เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา ซึ่งในคำบางคำรูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน เช่นคำว่า “ม๊าก” ในตัวเลือกข้อ 1 ใช้รูปวรรณยุกต์ผิด เพราะ “ม๊าก” เป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่มีตัวสะกดเป็นคำตาย (แม่กก) และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันได้ 3 เสียง คือ เสียงเอก (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์ แต่ให้ใช้พยัญชนะสียงกลางหรือเสียงสูงนำ = หมาก) เสียงโท (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์ = มาก ) และเสียงตรี (ใช้ไม้โท = ม้าก) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น ชอบม้ากมาก

16 ในภาษามาตรฐาน คำในข้อใดออกเสียงยาวกว่าข้ออื่น

(1) น้ำใจ (2) น้ำปลา (3) ตกน้ำ (4) สายน้ำ

ตอบ (3) ตกน้ำ

อัตราการออกเสียงสั้นยาวตามภาษามาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียงคือ สระเสียงสั้นจะมีความยาวในการออกเสียง 1 มาตรา ส่วนสระเสียงยาวนั้นจะมีความยาว 2 มาตรา ทั้งนี้การลงเสียงเน้นในคำจะทำให้คำแต่ละคำมีอัตราเสียงสั้นยาวต่างกัน นั่นคือ คำหรือพยางค์ที่ลงเสียงเน้นจะออกเสียงยาว 2 มาตรา แต่ส่วนที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นจะออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา โดยถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะเน้นที่พยางค์คำท้าย ส่วนคำที่ไม่เน้นก็มักจะสั้นลง เช่น คำว่า “น้ำใจ น้ำปลา สายน้ำ” เป็นคำประสมจึงออกเสียงพยางค์หลัง 2 มาตรา และพยางค์หน้าเพียง 1 มาตรา (ส่วน “ตกน้ำ” เป็นคำสองคำที่แยกกันจึงออกเสียงยาวเท่ากันพยางค์ละ 2 มาตรา)

17 ในภาษาพูด คำว่า “ตระ” ในข้อใดลงเสียงเน้น

(1) เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม (2) เขาเที่ยวตระเวนไปทั่ว

(3) ตึกใหม่ตั้งตระหง่านอยู่ที่หัวมุม (4) ผู้คนพากันตระหนกตกใจ

ตอบ (1) เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม (ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ)

การลงเสียงเน้นในภาษาพูดนอกจากจะออกเสียงสั้นยาวตามแบบแผนที่กำหนดไว้แล้ว บางครั้งอาจสังเกตได้จากการเว้นจังหวะระหว่างคำ เช่น เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม จะลงเสียงเน้นที่ “ตระ” กับ “เตรียม” เสมอกัน เพราะระหว่าง “ตระ” กับ “เตรียม” มีจังหวะเว้นระหว่างคำ (ส่วน “ตระ” ในตัวเลือกข้ออื่น มักลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย

18 ข้อใดมีคำที่ใช้ผิดไปจากความหมายแฝง

(1) หนุ่มรูปงาม (2) หนุ่มรูปหล่อ (3) หนุ่มอ้อนแอ้น (4) หนุ่มอารี

ตอบ (3) หนุ่มอ้อนแอ้น

ความหมายแฝง คือ ความหมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งแนะรายระเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้นๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกอาการหรือลักษณะของผู้หญิง ได้แก่ อ้อนแอ้น แช่มช้อย อ่อนหวาน ฯลฯ และความหมายแฝงที่บอกลักษณะของผู้ชาย ได้แก่ บึกบึน ล่ำสัน ทรหด ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นความหมายโดยตรง)

19 ข้อใดใช้คำอุปมาได้อย่างถูกต้องที่สุด

(1) เขาสั่งให้ตัดเชือกที่มัดของอยู่ออก (2) หัวหน้าสั่งให้ตัดเชือกลูกน้องเกเร

(3) ตัดเชือกที่มัดของอยู่ออกเสีย (4) ตัดเชือกไม่เหลือใย

ตอบ (2) หัวหน้าสั่งให้ตัดเชือกลูกน้องเกเร

คำอุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอาจจะใช้คำที่มีอยู่เดิมในภาษาหรือสร้างคำใหม่ขึ้นมาโดยการประสมคำทำให้คำนั้นมีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหายหนึ่ง เช่น ตัดเชือก (ตัดความสัมพันธ์ไม่ยอมให้ความช่วยเหลืออีกต่อไป) ตบตา (หลอกลวงให้เข้าใจผิด) เป็นต้น

20 ข้อใดใช้คำในเชิงอุปมา

(1) เธอหยิบแป้งขึ้นมาตบแก้ม (2) ใช้แป้งตบหน้าเบาๆก็พอ

(3) พูดอย่างนี้ระวังจะโดนตบปาก (4) เขาคงจะตบตาคนดูไปได้ไม่นาน

ตอบ (4) เขาคงจะตบตาคนดูไปได้ไม่นาน (ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ)

21 ข้อใดแสดงคำที่แยกเสียงแยกความหมาย

(1) เทวี / เทพี

(2) วงศ์ / พงศ์

(3) วัชรา / พัชรา

(4) วาณิช / พาณิช

ตอบ (1) เทวี / เทพี

การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายอย่างไรในที่นั้นๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน เช่น คำว่า “เทวี” กับ “เทพี” (มีเสียงพยัญชนะต่างกัน) เป็นคำที่ใช้กับเพศหญิง แต่จะใช้แทนกันไม่ได้เพราะ “เทพี”” หมายถึง หญิงที่ชนะการประกวดความงาม เช่น เทพีสงกรานต์ หรือเรียกหญิงที่ทำหน้าที่โปรยพืชพรรณธัญญาหารในพิธีแรกนาว่านางเทพี ส่วน “เทวี” หมายถึง เทวดาผู้หญิงนางพญา หรือนางกษัตริย์

22 ข้อใดแสดงคำที่ไม่แยกความหมาย

(1) วิธี / พิธี (2) กุมาร / กุมารี (3) วิยา / พิทยา (4) รัก / ลัก

ตอบ (3) วิยา / พิทยา ดูคำอธิบายข้อ 21 ประกอบ

คำที่ไม่แยกความหมาย (มีความหมายเดียวกัน) คือ วิทยา / พิทยา ซึ่งหมายถึง ความรู้ (ส่วนคำว่า วิธี หมายถึง ทำนองหรือหนทางที่จะทำ พิธี หมายถึง งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อ กุมาร หมายถึง เด็กชาย กุมารี หมายถึง เด็กหญิง รัก หมายถึง มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย ลัก หมายถึง ขโมย)

23 ข้อใดมีคำซ้อน

(1) คุณพี่ใจดีจัง (2) ใจคอหายหมด

(3) เขาเป็นคนใจบาป (4) อ่านแล้วรู้ใจความของเรื่องไหม

ตอบ (2) ใจคอหายหมด

คำซ้อน คือ คำเดียว 2 , 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น เช่น คำซ้อนที่ความหมายจะปรากฏที่คำต้นหรือคำท้ายคำใดคำเดียวตรงตามความหมายนั้นๆ ส่วนอีกคำหนึ่งไม่มีความหมายปรากฏ เช่น ใจคอ (จิตใจ เช่น ใจคอหายหมด ) ซึ่งความหมายจะอยู่ที่คำต้น (ส่วน “ใจ” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสม)

24 “ดูถูก” ในข้อใดเป็นคำเดี่ยวเรียงกัน

(1) คนดูถูกหลอกแล้ว (2) กรรมการดูถูก จึงให้รางวัลเธอไป

(3) กรรมการดูถูกเธอมาก (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

คำบางคำเป็นคำเดี่ยวแต่มีลักษณะเหมือนคำประสม หรือ เป็นคำประสมแต่มีลักษณะเหมือนกับคำเดี่ยว ซึ่งในภาษาเขียนเราไม่อาจทราบได้ถ้าไม่มีข้อความแวดล้อมมาช่วย แต่ในภาษาพูดเราใช้วิธีลงเสียงเน้น เช่น ประโยค คนดู / ถูกหลอกแล้ว กรรมการดู / ถูก จึงให้รางวัลเธอไป เป็นคำเดี่ยวเรียงกัน เสียงเน้นจึงลงที่ “ดู” (ส่วน “ดูถูก” (แสดงอาการเป็นเชิงดูหมิ่นหรือเหยียดหยามเขา) เป็นคำประสม เสียงเน้นลงที่ “ถูก”)

25 ข้อใดมีคำซ้ำ (ในที่นี้ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) เขาซื้อที่ที่หัวหมาก (2) เขาซื้อที่ที่สวยมาก

(3) กินอาหารเป็นที่ที่ซิ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) กินอาหารเป็นที่ที่ซิ

คำซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้งเพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น กินอาหารเป็นที่ๆซิ เป็นต้น (ส่วน “ที่ที่” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยว เพราะ “ที่” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “ที่” คำหลังเป็นคำบุรพบท)

26 ข้อใดแยกความหมายออกเป็นส่วนๆ

(1) กินอาหารหลายจาน (2) กินอาหารเป็นจานๆไป (3) กินอาหารหลายอย่าง (4) กินอาหารเป็นอันมาก

ตอบ (2) กินอาหารเป็นจานๆไป

คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ ถ้ามีคำว่า “เป็น” มาข้างหน้า จะแยกความหมายออกเป็นส่วนๆคือ ถ้าใช้เป็นคำเดี่ยวจะหมายถึงจำนวนครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นคำซ้ำจะมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง และแยกเป็นทีละหนึ่ง เช่น กินอาหารเป็นจานๆไป

27 คำในข้อใดเป็นคำประสมที่มีโครงสร้างเหมือนกับคำว่า “พิมพ์ดีด”

(1) พิมพ์เขียว (2) พิมพ์ใจ (3) พิมพ์หนังสือ (4) พิมพ์สัมผัส

ตอบ (1) พิมพ์เขียว

คำประสมที่คำตัวตั้งไม่ใช่คำนาม และคำขยายก็ไม่จำกัด อาจเป็นเพราะพูดไม่เต็มความ คำนามที่เป็นตัวตั้งจึงหายไป กลายเป็นคำกริยาบ้าง กลายเป็นคำวิเศษณ์บ้าง เป็นตัวตั้ง เช่น “พิมพ์ดีด” หมายถึง เครื่องพิมพ์ดีด (คำว่า เครื่อง หายไปแต่ที่ยังใช้อยู่ก็มี) “พิมพ์เขียว” หมายถึง สำเนาที่ทำขึ้นด้วยวิธีการพิมพ์เขียว (คำว่า สำเนา หายไปในภายหลังเช่นเดียวกัน) “สามล้อ” หมายถึง รถสามล้อ (คำว่า รถ หายไป) ฯลฯ

28 ข้อใดไม่ใช่คำประสม

(1) เปลี่ยนแปลง (2) เปลี่ยนมือ (3) เปลี่ยนหน้า (4) เปลี่ยนใจ

ตอบ (1) เปลี่ยนแปลง (ดูคำอธิบายข้อ 23 ประกอบ)

คำว่า “เปลี่ยนแปลง” (ทำให้ลักษณะต่างไป) เป็นคำซ้อน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสมที่มีคำตัวตั้งเป็นคำกริยา คำขยายเป็นคำนามที่เป็นชื่ออวัยวะของร่างกาย และมีความหมายเชิงอุปมา เช่น เปลี่ยนมือ (เปลี่ยนเจ้าของ) เปลี่ยนหน้า (ไม่ซ้ำคนเดิม) เปลี่ยนใจ (เลิกล้มความตั้งใจเดิม) เป็นต้น

29 คำประสมในข้อใดมีลักษณะเดียวกับคำว่า “โต๊ะกินข้าว”

(1) น้ำพริกเผา (2) น้ำมันหล่อลื่น (3) น้ำประสานทอง (4) น้ำประปา

ตอบ (3) น้ำประสานทอง

คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นคำถาม คำขยายเป็นคำกริยาและมีกรรมมารองรับด้วย เช่น โต๊ะกินข้าว (โต๊ะสำหรับกินข้าว) รถบดถนน (รถที่ใช้สำหรับบดดินให้เรียบหรือบดถนนให้ราบ) ป่าผลัดใบ (ป่าไม้ที่ผลัดใบหรือสลัดใบในบางฤดู) น้ำประสานทอง (เกลือเคมีชนิดหนึ่งใช้เป็นตัวประสานในการเชื่อมหรือบัดกรีโลหะ) เป็นต้น

30 ข้อใดมีคำบ่งเพศ

(1) ชายน้ำ (2) ชายตา (3) ชายไหว (4) ชายโสด

ตอบ (4) ชายโสด

คำนามในภาษาไทยบางคำก็บอกเพศได้ ในตัวของมันเอง คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เขย ชาย ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง เช่น แม่ ชี สะใภ้ หญิง ฯลฯ แต่คำบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม น้าสาว ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นแม้จะมีคำว่า “ชาย” แต่เป็นคำประสมธรรมดา ไม่ใช่บ่งเพศ)

จงพิจารณาคำเกิดใหม่ต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) กะจิบ กะสัง ตกกะใจ

(2) มะค่า ตะขาบ ฉะเฉื่อย

(3) กะเปิ๊บกะป๊าบ กะร่องกะแร่ง กะหนุงกะหนิง

(4) กะตุกกะติก กะโผลกกะเผลก กะเสือกกะสน

31 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน

ตอบ (4) กะตุกกะติก กะโผลกกะเผลก กะเสือกกะสน

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้คอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “ก” เหมือนกัน โดยเพิ่มเสียง “กะ” ทั้งหน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้ายเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน เช่น ตุกติก กระตุกกะติก โผลกเผลก กะโผลกะเผลก เสือกสน กะเสือกกะสน ฯลฯ

32 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด

ตอบ (1) กะจิบ กะสัง ตกกะใจ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด เกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วย เสียง “กะ” เช่น ตกใจ ตกกะใจ ฯลฯ หรือหน้าคำที่เป็นชื่อนก เช่น นกจิบ กะจิบ ฯลฯ ชื่อผัก เช่น ผักสัง กะสัง ฯลฯ และชื่อสิ่งที่มีลักษณนามคำว่า “ลูก” นำหน้า เช่น ลุกดุม กะดุม ฯลฯ

33 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด

ตอบ (3) กะเปิ๊บกะป๊าบ กะร่องกะแร่ง กะหนุงกะหนิง

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด เป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น เปิ๊บป๊าบ กะเปิ๊บกะป๊าบ ร่องแร่ง กะร่องกะแร่ง หนุงหนิง กะหนุงกะหนิง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอนแล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร จมูกปาก จมูกจปาก ฯลฯ

34 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง

ตอบ (2) มะค่า ตะขาบ ฉะเฉื่อย

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสีย “อะ” ได้แก่

1 “มะ” ที่นำหน้าชื่อผลไม้ ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น

หมากปราง มะปราง หมากขาม มะขาม หมากค่า มะค่า เมื่อรืน มะรืน

2 “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น

ตัวขาบ ตะขาบ ต้นขบ ตะขบ ตาวัน ตะวัน

3 “สะ” เช่น สายดือ สะดือ สาวใภ้ สะใภ้

4 “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น ฉาดๆ ฉะฉาด เฉื่อยๆ ฉะเฉื่อย

5 “ยะ / ระ / ละ” เช่น รื่นๆ ระรื่น ยิบๆยับๆ ยะยิบยะยับ เลาะๆ ละเลาะ

6 “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร ส่วนคำอื่นๆที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่

ผู้ญาณ พยาน ช้าพลู ชะพลู เฌอเอม ชะเอม เป็นต้น

35 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่มีความหมายแปลว่าทำให้

(1) ระย่อ ระคาย (2) ปรุ ปลด (3) ระคน พะเยิบ (4) สะสวย สะสาง

ตอบ (2) ปรุ ปลด

อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

1 “ชะ / ระ / ปะ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย ระคน ระคาย ระย่อ ปะปน ปะติดปะต่อ ประเดี๋ยว ประท้วง พะรุงพะรัง พะเยิบ สมยอม สะสาง สะพรั่ง สะสวย ฯลฯ

2 ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายว่า “ทำให้” เช่น ขยิบ ขยี้ ขยำ ปลุก ปลด ปละ ปรุ ฯลฯ

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) ปลูกไม้ประดับ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน (3) ไม้ดอกไม้ประดับ (4) ไม้ประดับสีสวยงาม

36 ข้อใดมี่สวนขยายประธาน

ตอบ (4) ไม้ประดับสีสวยงาม

ภาคประธาน หมายถึง ส่วนสำคัญของข้อความในประโยคที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำกิริยาอาการ โดยประธานของไทยต้องอยู่หน้าคำกริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด อาจมีส่วนขยายประธานที่เรียกว่า คุณศัพท์ อยู่หลังประธานหรือไม่ก็ได้ เช่น ไม้ประดับ (ประธาน) สีสวยงาม (ส่วนขยายประธาน) เป็นต้น

37 ข้อใดประกอบด้วยภาคกริยาและกรรม

ตอบ (1) ปลูกไม้ประดับ

ภาคแสดง หมายถึง ส่วนที่แสดงกริยาอาการหรือการกระทำของภาคประธานให้ได้ความหมายสมบูรณ์ ประกอบด้วย ภาคกริยา และกรรม (ผู้ถูกกระทำ) กริยานั้นต้องมีกรรมมารองรับ โดยอาจจะมีภาคขยายทำหน้าที่ขยายกริยา (เรียกว่า กริยาวิเศษณ์) และขยายกรรม (เรียกว่า คุณศัพท์) หรือไม่ก็ได้ เช่น ปลูก (กริยา) ไม้ประดับ (กรรม) เป็นต้น

38 ประดับในข้อใดเป็นคำกริยา

ตอบ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน

คำกริยา คือ คำที่กล่าวถึงการกระทำ หรือกิริยาอาการของคน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งคำกริยาบางคำจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัว เมื่อพูดก็เข้าใจความหมายได้ครบถ้วน แต่บางคำก็ต้องอาศัยกรรมหรือส่วนขยายมาช่วย เช่น คำว่า “ประดับ” ในประโยคตัวเลือกข้อ 2 เป็นคำกริยา หมายถึง ตกแต่งให้งามด้วบสิ่งต่างๆ

39 ประโยคในข้อใดสมบูรณ์ที่สุด

ตอบ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน

ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำในประโยคดังนี้

ภาคประธาน เช่น ต้นไม้

ภาคแสดง ประกอบด้วย กริยา กรรม และคำขยาย (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) เช่น ประดับบ้าน (กริยา + กรรม ) ดูคำอธิบายข้อ 36 – 38 ประกอบ)

จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ช่วยคิดแต่ไม่ช่วยทำ (2) ช่วยกันคิดหน่อยสิ (3) คิดอะไรอยู่ (4) คิดให้ได้

40 ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ (4) คิดให้ได้

ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว

41 ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ (3) คิดอะไรอยู่

ประโยคคำถามหมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

42 ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ (1) ช่วยคิดแต่ไม่ช่วยทำ

ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) นักเรียนทุนได้รับการยกย่อง

(2) ครูใหญ่อบรมนักเรียนทุน

(3) วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

(4) ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน

43 นักเรียนทุนในข้อใดเป็นคำนามขยายประธาน

ตอบ (3) วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

คำนามทำหน้าที่ต่างๆในประโยคได้ดังนี้

เป็นประธาน เช่น เด็กๆสมัยนี้ไม่ชอบออกกำลังกาย

เป็นกรรม เช่น ฉันอ่านหนังสือสอบแล้ว

ขยายประธาน เช่น วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

ขยายกรรม เช่น ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน

เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขายังเป็นเด็ก

เป็นลักษณะนามทั้งที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ กับที่ใช้ตามนามที่มาข้างหน้าเพราะไม่มีลักษณนามสำหรับคำนั้นๆ เช่น ห้องหลายห้อง ปากปากเดียว เหรียญทอง 1 เหรียญ เครื่องคิดเลข หลายเครื่อง ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีคำอื่นๆที่ทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับคำนาม เช่น คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม (หาบดีกว่าคอน นอนดีกว่านั่ง)

44 นักเรียนทุนในข้อใดเป็นคำนามขยายกรรม

ตอบ (4) ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

45 นักเรียนทุนในข้อใดแสดงการก

ตอบ (1) นักเรียนทุนได้รับการยกย่อง

การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ย้ายกรรมมาไว้หน้าคำกริยาแล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริงๆแล้วต้องมีผู้ที่ยกย่องนักเรียนทุนเพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค

46 สรรพนามในข้อใดขยายความเพื่อเน้นผู้กระทำ

(1) คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ (2) ภรรยาท่านไม่มาหรือครับ

(3) คนขับรถท่านไม่สบาย (4) ท่านออกไปพร้อมกับภรรยา

ตอบ (1) คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ

คำสรรพนามทำหน้าที่ต่างๆในประโยคดังนี้

เป็นประธาน เช่น เขามาแล้ว

เป็นกรรม เช่น เราเห็นเขาแล้ว

เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขาเป็นใคร

เชื่อมประโยค เฉพาะคำว่า ที่ ซึ่ง อัน เช่น คนที่เธอเห็นเป็นเพื่อนฉัน

ขยายความเพื่อเน้นผู้กระทำ เช่น คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ และเน้นผู้ถูกกระทำ เช่น เธอไปหา อาจารย์ท่านเถอะ

แสดงคำถาม เช่น อะไรดี ใครมา

47 ข้อใดไม่ใช่สรรพนามบุรุษที่ 3

(1) คุณพ่อไม่อยู่บ้าน (2) คุณแม่ไปซื้อของ (3) คุณตาถามหาเธอ (4) คุณยายเล่านิทานให้ฟังหน่อย

ตอบ (4) คุณยายเล่านิทานให้ฟังหน่อย

สรรพนามบุรุษที่ 3 คือ คำที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จำเป็นต้องกล่าวคำดีงาม เช่น ต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคำกล่าวว่า คุณ พ่อ แม่ นาย นาง นางสาว นำหน้าชื่อให้สมกับโอกาสด้วย (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ที่พูดด้วย)

48 ข้อใดไม่ใช่สรรพนามแสดงคำถาม

(1) เกิดอะไรขึ้น (2) อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด (3) เกิดอะไรที่ไหน (4) เกิดอะไรกับใคร

ตอบ (2) อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

สรรพนามที่แสดงคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรที่ไหน เกิดอะไรกับใคร ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 2 เป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของหรือสถานที่แบบลอยๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

49 ข้อใดมีคำกริยาแสดงภาวะของอารมณ์

(1) เขาจะมา (2) เขามาแล้ว (3) เขาคงจะมา (4) เขากำลังมา

ตอบ (3) เขาคงจะมา

คำที่แสดงมาลา (แสดงภาวะหรืออารมณ์) อาจใช้กริยาช่วย ได้แก่ คง พึง จง ต้อง อาจ โปรด ย่อม เห็นจะ ฯลฯ หรือใช้คำอื่นๆ ได้แก่ น่า นา เถอะ เถิด ชิ ซี ซินะ น่ะ ละ ล่ะ เล่า หรอก ดอก ฯลฯ มาช่วยแสดง เช่น เขาคงจะมา (คงจะ เป็นการคาดคะเนลอยๆว่า เขาอาจจะมาหรือไม่มาก็ได้ ใช้นำหน้ากริยาแท้) เป็นต้น

50 อยู่ในข้อใดไม่ใช่กริยาช่วย

(1) สุดานอนอยู่ (2) สุดาอยู่บ้าน (3) สุดาสนใจสุวิทย์อยู่ (4) สุดาเรียนหนังสืออยู่

ตอบ (2) สุดาอยู่บ้าน

คำว่า “อยู่” (พักอาศัย) เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วย ดังนั้นถ้าจะดูว่าเป็นกริยาแท้หรือกริยาช่วยต้องดูที่ตำแหน่งในประโยค และเสียงหนักเบาของคำนั้น กล่าวคือ ถ้าเป็นกริยาช่วยจะอยู่หลังกริยาแท้ และจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ เช่น “อยู่” ที่เป็นกริยาช่วยจะบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ยุติลง ได้แก่ สุดานอนอยู่ สุดาสนใจสุวิทย์อยู่ สุดาเรียนหนังสืออยู่ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 2 “อยู่” เป็นกริยาแท้)

51 ข้อใดมีคำคุณศัพท์

(1) กินอิ่มนอนหลับ

(2) กินดีอยู่ดี

(3) ขาวบ้างดำบ้าง

(4) วิวสวยน้ำใส

ตอบ (4) วิวสวยน้ำใส

คำคุณศัพท์คือ คำวิเศษณ์ขยายนามหรือคำที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม ตามธรรมดาจะอยู่หลังคำที่ตนเองขยาย เช่น วิวสวยน้ำใส (คำว่า “สวย” (งามอย่างน่าพอใจ) และ “ใส” (แจ่มกระจ่าง ไม่ขุ่นมัว) เป็นคำคุณศัพท์บอกลักษณะ) เป็นต้น (ส่วน “อิ่ม หลับ ดี บ้าง” ในตัวเลือกข้อ 1 2 และ 3 เป็นกริยาวิเศษณ์)

52 ข้อใดมีคำกริยาวิเศษณ์บอกความแบ่งแยก

(1) กินพลางพูดพลาง (2) คิดเล็กคิดน้อย (3) พูดเร็วทำเร็ว (4) กินง่ายนอนง่าย

ตอบ (1) กินพลางพูดพลาง

คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์และขยายกริยาวิเศษณ์ ซึ่งบางทีก็เป็นคำๆเดียวกับคุณศัพท์ จึงต้องสังเกตตำแหน่งและดูความในประโยค เช่น คำกริยาวิเศษณ์บอกความแบ่งแยก ได้แก่ บ้าง พลาง กัน ต่าง ต่างๆ ต่างหาก ฯลฯ เช่น กินพลางพูดพลาง (คำว่า “พลาง” ขยายกริยาแสดงว่าทำกริยา 2 อย่างขึ้นไปพร้อมกัน) เป็นต้น

53 ข้อใดสามารถละบุรพบทได้

(1) เขาทำตามเพื่อน (2) เขาเดินตามหาเธอ

(3) เขาเดินตามเธอมา (4) เขาปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม

ตอบ (2) เขาเดินตามหาเธอ

คำบุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุพบทที่อาจละได้แล้ว ความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู้ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ จะละได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เขาเดินตามหาเธอ (เขาเดินหาเธอ) เป็นต้น

54 ข้อใดเป็นคำบุรพบทที่แสดงความเป็นเครื่องมือเครื่องใช้

(1) ตามเธอไปโดยด่วน (2) ปล่อยเธอไปตามทางของเธอ

(3) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง (4) ขอความกรุณาเห็นแก่หน้าเขาบ้าง

ตอบ (3) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

คำบุรพบทที่นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ได้แก่ กับ โดย เพราะ ซึ่งคำกริยาที่มากับบุรพบทชนิดนี้มักเป็นกริยาที่มีกรรมมารับ เช่น เขียนด้วยมือ (มือเป็นเครื่องใช้ในการเขียน) ได้ยินกับหู (หูเป็นเครื่องทำให้ได้ยิน) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง (ปากเป็นเครื่องใช้ในการกิน และท้องเป็นเครื่องทำให้เกิดความอยาก) เป็นต้น

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ถ้าเธอมา ฉันก็จะรออยู่ (2) ถึงเธอจะมา ฉันก็ไม่อยู่รอ

(3) เธอจะมาหรือจะให้ฉันไปหา (4) เธอมาไม่ได้เพราะเธอไม่สบาย

55 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความขัดแย้งกัน

ตอบ (2) ถึงเธอจะมา ฉันก็ไม่อยู่รอ

คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่ แต่ว่า แต่ทว่า จริงอยู่…แต่ ถึง…ก็ กว่า…ก็

56 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความคาดคะแนน

ตอบ (1) ถ้าเธอมา ฉันก็จะรออยู่

คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า…ก็ ถ้า…จึง ถ้าหากว่า แม้…ก็ แม้.ว่า เว้นแต่ นอกจาก

57 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

ตอบ (3) เธอจะมาหรือจะให้ฉันไปหา

คำสันธานที่เชื่อมความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ หรือ หรือไม่ หรือมิฉะนั้น มิฉะนั้น

58 ข้อใดเป็นคำอุทานที่เลื่อนเป็นคำกริยา

(1) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก (2) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบทำเรื่องอื้อฉาว

(3) พ่อแม่คู่นี้มีข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ (4) ผู้คนกล่าวถึงพ่อแม่คู่นี้อย่างครึกครื้น

ตอบ (1) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก

คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจ เมื่อตกใจ ดีใจ หรือแปลกใจ เช่น โธ่ พุทโธ่ โธ่เอ๊ย ต๊าย ว๊าย ตายจริง โอ้โฮ อุ๊ย ฯลฯ โดยมีคำบางคำที่เลื่อนมาเป็นคำกริยา ได้แก่ เออออห่อหมก เอออวย เอะอะ โอ๋ พุทโธ (สงสาร เห็นใจ) โอละพ่อ และบางคำก็เลื่อนมาเป็นคำกริยาวิเศษณ์ ได้แก่ อื้ออึง อื้อฉาว อึกทึก ครึกโครม ครืน ครื้นครั่น ครึกครื้น โครมคราม ฯลฯ

59 ข้อใดเป็นคำลักษณนามบอกน้ำหนักทั้งหมด

(1) กิโลกรัม ปอนด์ ปีบ (2) กรัม ทะนาน คัน (3) หาบ ชั่ง ขีด (4) คิว ช้อน ขวด

ตอบ (3) หาบ ชั่ง ขีด

คำลักษณนามบอกมาตราชั่ง ตวง วัด นับ ที่บอกน้ำหนัก ได้แก่ หาบ ชั่ง ขีด กรัม ปอนด์ กิโลกรัม (ก.ก) กิโล (โล)

60 ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้งหมด

(1) ผม ไหม ยาฉุน (2) กอไผ่ หน่อไม้ ต้นเข็ม

(3) ตะกร้า แก้ว ขลุ่ย (4) ซีดี กุญแจ โทรศัพท์มือถือ

ตอบ (1) ผม ไหม ยาฉุน

คำลักษณนามสำหรับสิ่งที่มีลักษณะเล็กยาว ได้แก่ สาย (ใช้กับถนน สายสร้อย เข็มขัด ฯลฯ) เส้น (ใช้กับ ผม ไหม ด้าย ขน เชือก ยาจืด ยาฉุน ยาเส้น ฯลฯ)

การใช้ภาษา

ตั้งแต่ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามโดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

สวัสดีค่ะ วันนี้ “ป้าหญิงใหญ่” (ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์) และรายการโทรทัศน์ “เพื่อนแก้ว” มาพูดคุยกับน้องๆ เพื่อให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากกองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค อ.ย.

ถ้าเด็กๆได้อ่านก่อนคุณพ่อคุณแม่ ก็ตัดคอลัมน์นี้ไปให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบด้วยกันนะคะ

เรื่องที่ต้องเล่าให้เด็กๆทราบคือขณะนี้มักมีโฆษณาออกมาบรรยายถึง สรรพคุณของคลอโรฟิลล์ว่ามีประโยชน์มากมาย ถึงขั้นสามารถบำบัดโรคได้ ซึ่งป้าหญิงใหญ่จะบอกว่าความจริงเป็นเช่นไร?

คลอโรฟิลล์ คือสารสีเขียว ที่พบได้ในพืชที่มีสีเขียว โดยพืชใช้คลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์ซึ่งร่างกายของคนเราไม่สามารถที่จะสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ถ้าหากเรารับประทานผักใบเขียวในปริมาณ 100 กรัมก็จะได้รับคลอโรฟิลล์เฉลี่ยประมาณ 500 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ ก็คงจะมีอยู่บ้างนะคะ เพราะมีแร่ธาตุธรรมชาติเป็นองค์ประกอบอยู่ แต่จะมีประโยชน์ขนาดบำบัด บรรเทา รักษาโรคต่างๆได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยที่ชัดเจน

ปัจจุบัน อย. อนุญาตให้ใช้คลอโรฟิลล์ได้ในอาหาร 4 ประเภท คือ ใช้เป็นสีผสมอาหาร ใช้เป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งและลูกอม ใช้เป็นเครื่องดื่ม และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีจำหน่ายในรูปผงแคปซูล หรือน้ำ

แต่ อย. ไม่เคยอนุญาตให้มีการโฆษณากล่าวอ้างสรรพคุณว่าสามารถบำบัดโรคนั้นโรคนี้ได้ ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่และเด็กพบเห็น หรือได้ยินคำโฆษณาว่า รักษาโรคต่างๆได้ ก็ขอให้ทราบว่าเป็นการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และเข้าข่ายหลอกลวง ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ ซึ่งการโฆษณาดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมาย โดยมีโทษปรับถึง 3 หมื่นบาท และอาจติดคุกถึง 3 ปี เชียวนะคะ

คุณพ่อคุณแม่บางท่านที่รับประธานคลอโรฟิลล์ อาจกังวลว่าจะเป็นพิษ เป็นอันตรายหรือไม่ก็ขอให้เบาใจได้ ถ้าอันตราย อย. คงไม่อนุญาตให้เป็นอาหารหรอกค่ะ เพราะมีการประเมินความปลอดภัยในการบริโภคโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเจือปนอาหารขององค์การอนามัยโลกว่า คนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม สามารถรับประธานคลอโรฟิลล์ได้ 450 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตราย

คงจะมีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่แพ้เท่านั้นเอง

ปกติเราก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากการรับประทานพืชผักที่มีสีเขียว และยังได้เส้นใยอาหารที่มีอยู่ในพืชผัก ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ได้ด้วย แต่หากจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกคลอโรฟิลล์มารับประทาน ก็ขอให้พิจารณาฉลากว่ามีเลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย. หรือไม่ ซึ่งแสดงว่าได้รับอนุญาตจาก อย.แล้ว

ที่สำคัญขอให้ระลึกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็คืออาหารที่เรารับประทานเพิ่มไปจากกการรับประทานอาหารปกติของเรา อย่าเอาคลอโรฟิลล์มารับประทานเป็นอาหารหลักนะคะ มิฉะนั้นอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ ท่านที่เจ็บป่วยอยู่อย่าละทิ้งการรักษา แล้วหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเดียว อาจทำให้การรักษายุ่งยาก หรือโรคที่เป็นอยู่ทรุดหนักลงจนเกินเยียวยาได้ค่ะ

(จากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ประจำวันที่ 19 สิหาคม พ.ศ.2550 หน้า28)

61 ข้อความที่ให้อ่านเป็นวรรณกรรมประเภทใด

(1) ข่าว (2) บทความ (3) เรื่องสั้นๆ (4) บทโทรทัศน์

ตอบ (2) บทความ

บทความ คือ งานเขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารทางวิชาการหรือผลงานการวิจัย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเพื่อให้ข้อมูลหรือความรู้ และมีการสรุปให้เห็นความสำคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

62 จุดประสงค์ของผู้เขียนคืออะไร

(1) เสนอข่าว (2) ให้ข้อมูล (3) ให้ความรู้ (4) แสดงทัศนะ

ตอบ (3) ให้ความรู้

ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการเขียน คือ ต้องการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นหลัก เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ โดยมีการแทรกข้อมูลประกอบบ้าง

63 โวหารการเขียนเป็นแบบใด

(1) บรรยาย (2) พรรณนา (3) อธิบาย (4) อภิปราย

ตอบ (1) บรรยาย

โวหารเชิงบรรยาย เป็นโวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องตามที่ผู้เขียนได้รู้ได้เห็นมา เพื่อให้ผู้อ่านรับรู้และประทับใจราวกับว่าได้พบด้วยตนเอง ซึ่งโวหารแบบนี้มักใช้ในการเขียนบทความ นิทาน นิยาย ประวัติ ตำนาน รายงาน และจดหมายเหตุ เป็นต้น

64 ท่วงทำนองเขียนเป็นแบบใด

(1) กระชับรัดกุม (2) สละสลวย

(3) เป็นภาษาเขียนที่เรียบง่าย (4) เป็นภาษาพูดที่เรียบง่าย

ตอบ (4) เป็นภาษาพูดที่เรียบง่าย

ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทำนองเขียนที่ใช้คำง่ายๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนักซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนใช้ภาษาพูดที่เรียบง่ายเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้อ่านเข้าใจง่าย

65 คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสิ่งใด

(1) พืช (2) คน (3) ทั้งคนและพืช (4) สิ่งมีชีวิตทั้งหมด

ตอบ (3) ทั้งคนและพืช

จากข้อความ คลอโรฟิลล์ คือ สารสีเขียวที่พบได้ในพืชที่มีสีเขียว โดยพืชใช้คลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์แสง ซึ่งร่างกายของครเราไม่สามารถที่จะสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ปกติเราก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากการรับประทานพืชผักที่มีสีเขียว และยังได้เส้นใยอาหารที่มีอยู่ในพืชผักช่วยลดความเสียงของมะเร็งลำไส้ได้ด้วย (จะเห็นว่าคลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อทั้งคนและพืช)

66 คลอโรฟิลล์มีอันตรายได้เพราะเหตุใด

(1) ไม่สะอาด

(2) ไม่ผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้อง

(3) ขนาดที่รับประทาน มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว

(4) ถูกทั้งข้อ 1 2 และ 3

ตอบ (3) ขนาดที่รับประทาน มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว

จากข้อความ คนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม สามารถรับประทานคลอโรฟิลล์ได้ 450 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตราย คงจะมีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่แพ้เท่านั้นเอง อย่าเอาคลอโรฟิลล์มารับประทานเป็นอาหารหลักนะคะ มิฉะนั้นอาจำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ (จะเห็นว่าคลอโรฟิลล์มีอันตรายได้ถ้ารับประทานเกินขนาด มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว)

67 เหตุใดจึงไม่อาจสรุปได้ว่า คลอโรฟิลล์สามารถรักษาโรคต่างๆได้

(1) เพราะมีการโฆษณาที่เกินจริงมากมาย

(2) เพราะยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่แจ่มแจ้ง

(3) เพราะ อย. ยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการ

(4) เพราะโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ไม่มีคุณสมบัติในการรักษา

ตอบ (2) เพราะยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่แจ่มแจ้ง

จากข้อความ ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ก็คงจะมีอยู่บ้างนะคะ เพราะมีแร่ธาตุธรรมชาติเป็นองค์ประกอบอยู่ แต่จะมีขนาดบำบัด บรรเทา รักษาโรคต่างๆ ได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยที่ชัดเจน (ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปได้ว่า คลอโรฟิลล์สามารถรักษาโรคต่างๆได้)

68 เหตุใดเราควรรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคลอโรฟิลล์

(1) เป็นการบริโภคตามกระแสนิยม

(2) เพราะคลอโรฟิลล์มีประโยชน์มากกว่าโทษ

(3) เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง

(4) เพราะอาหารและผลิตภัณฑ์ที่มีคลอโรฟิลล์มีราคาแพง

ตอบ (3) เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ดูคำอธิบายข้อ 65 ประกอบ

69 อย. ย่อมาจากอะไร

(1) องค์การอนามัยแห่งชาติ (2) องค์การอนามัยแห่งสหประชาชาติ

(3) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (4) สำนักงานสาธารณสุข

ตอบ (3) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

อย. ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองสุขภาพประชาชนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดต่างๆ

70 ชื่อใดเหมาะสมกับเนื้อหาที่ให้อ่านมากที่สุด

(1) กระแสนิยมคลอโรฟิลล์ (2) คลอโรฟิลล์ในยุคบริโภคนิยม

(3) คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก (4) สารพัดประโยชน์จากคลอโรฟิลล์

ตอบ (3) คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก

ชื่อเรื่อง คือ สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงอย่างกว้างๆ เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าข้อความนั้นๆเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่ก็ต้องไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป ซึ่งสำหรับข้อความนี้ ควรตั้งชื่อเรื่องว่า คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก จึงจะเหมาะสมกับเนื้อหามากที่สุด

ตั้งแต่ข้อ 71 – 80 จงเลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

ประชาชนชาวไทย (71) สถาบันพระมหากษัตริย์ (72) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เพราะบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่เพราะ (73) (74) และคุณูปการที่ได้ทรงมี (75) ประชาชนชาวไทยและประเทศชาติมาโดยตลอด โชคดีของคนไทยอยู่ตรงที่ไม่ว่าจะ (76) ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์ (77) โดยเด็ดขาด หรือในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ (78) นับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน (79) ทรงใช้ (80) โดยมีทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตรกำกับอยู่เสมอมา

71 (1) เคารพ

(2) นับถือ

(3) ทรงเคารพ

(4) ทรงนับถือ

ตอบ (1) เคารพ

บุคคลที่เป็นสามัญชนไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ซึ่งในข้อนี้มีประชาชนชาวไทยเป็นประธานของประโยคจึงควรใช้คำว่า เคารพ หมายถึง แสดงอาการนับถือ

72 (1) เคารพบูชา

(2) นับถือบูชา

(3) ทรงเคารพบูชา

(4) ทรงนับถือบูชา

ตอบ (2) นับถือบูชา ดูคำอธิบายข้อ 71 ประกอบ

ซึ่งในที่นี้ควรใช้คำว่า นับถือบูชา หมายถึง เชื่อถือยึดมั่นเคารพ ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใสในความรู้ความสามารถ

73 (1) พระจริยวัตร (2) พระกรณียวัตร (3) พระราชจริยวัตร (4) พระราชกรณียกิจ

ตอบ (3) พระราชจริยวัตร

ราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” เช่น พระราชดำริ (คิด) พระราชจริยวัตร (หน้าที่ที่พึงประพฤติปฏิบัติ ความประพฤติ ท่วงทีวาจา และกิริยามารยาท) พระราชอำนาจ (สิทธิ อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมทำตาม) ฯลฯ จะใช้กับเจ้านาย 5 พระองค์ในรัชกาลปัจจุบัน คือ

1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2 สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ

3 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

4 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร

5 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

74 (1) พระเมตตาคุณ (2) พระมหากรุณาธิคุณ (3) พระกรุณาธิคุณ (4) พระปรีชาสามารถ

ตอบ (2) พระมหากรุณาธิคุณ

พระมหากรุณาธิคุณ หมายถึง คุณอันยิ่งใหญ่ (ยิ่งใหญ่กว่าพระกรุณาธิคุณ) คือ กรุณาหรือความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ (ส่วนพระเมตตาคุณ หมายถึง ความรักและเอ็นดูปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พระปรีชาสามารถ หมายถึง มีปัญญาความสามารถ)

75 (1) กับ (2) แก่ (3) แด่ (4) ทั้ง

ตอบ (2) แก่

คำบุรพบทที่แสดงการให้และรับ ได้แก่ แก่ (ใช้เมื่อผู้รับมีศักดิ์ต่ำกว่าหรือเยาว์วัยกว่า) แด่ (ใช้เมื่อผู้รับเป็นผู้ที่เคารพนับถือ ผู้อาวุโสหรือผู้ที่สูงศักดิ์กว่า เช่น ถวายของแด่พระภิกษุ ฯลฯ) ต่อ (ใช้นำหน้าความที่เป็นผู้รับต่อหน้าเผชิญหน้า) เป็นต้น (ส่วน กับ ทั้ง เป็นบุรพบทที่ใช้เสริมความให้สมบูรณ์ โดยที่ความนั้นเกี่ยวเนื่องกัน)

76 (1) เป็น (2) อยู่ (3) ทรงเป็น (4) ทรงอยู่

ตอบ (2) อยู่

ดูคำอธิบายข้อ 50 และ 71 ประกอบ (ส่วนคำว่า “เป็น” เป็นคำกริยาที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหน้าและคำหลังว่ามีภาวะ คือ ความมี ความเป็น เกี่ยวข้องกันอย่างไร)

77 (1) มีพระราชดำริ (2) ทรงพระราชดำริ (3) มีพระราชอำนาจ (4) ทรงมีพระราชอำนาจ

ตอบ (3) มีพระราชอำนาจ ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

คำกริยา “มี” และ “เป็น” เมื่อใช้เป็นราชาศัพท์มีข้อสังเกตดังนี้ คือ

1 หากคำที่ตามหลัง “มี” และ “เป็น” เป็นนามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคำว่า “มี” หรือ “เป็น” เช่น มีพระราชอำนาจ เป็นพระราชธิดา ฯลฯ

2 หากคำที่ตมหลัง “มี” และ “เป็น” เป็นคำสามัญให้เติม “ทรง” หน้าคำกริยา “มี” หรือ “เป็น” ก่อน เช่น ทรงมีพัฒนาการ (มีการเปลี่ยนแปลงในทางเจริญขึ้น ) ทรงเป็นประมุข (ผู้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าของประเทศหรือศาสนา) ฯลฯ

78 (1) ประมุข (2) ทรงเป็นประมุข (3) ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (4 ทรงเป็นผู้นำประเทศ

ตอบ (2) ทรงเป็นประมุข ดูคำอธิบายข้อ 77 ประกอบ

79 (1) พระองค์ (2) องค์ (3) พระองค์ท่าน (2) องค์ท่าน

ตอบ (1) พระองค์

คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

1 พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และสมเด็จพระสังฆราช

2 ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นฟ้า

3 เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเขย และหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

4 ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

80 (1) พระราชดำริ (2) พระราชดำรัส (3) พระราขปณิธาน (4) พระราชอำนาจ

ตอบ (4) พระราชอำนาจ ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

(ส่วนพระราชดำรัส หมายถึง พูด พระราชปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา)

81 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) สละสลวย สมุทัย สมุฏฐาน

(2) ลมสลาตัน ทะเลสาบ สาปสูญ

(3) สรรพางค์ สันมีด จัดสรร

(4) สรรหา สีสัน สรรค์สร้าง

ตอบ ข้อ 1 และ ข้อ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ สาปสูญ จัดสรรค์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ สาบสูญ จัดสรร

82 ข้อใดสะกดผิดทุกคำ

(1) ฮกเกี้ยน ฮวงซุ้ย ฮอร์โมน

(2) ไอศกรีม โอโซน แฮนด์บอล

(3) แร็กเกต แพลทินัม ลิปสติก

(4) สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์

ตอบ (4) สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์

คำที่สะกดผิดได้แก่ สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ รีสอร์ต พลาสติก คัต – เอาต์

83 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดปรากฏอยู่ด้วย

(1) ตกเรี่ยราย เรี่ยไรเงิน เรี่ยวแรง (2) แร้นแค้น ลำเค็ญ เลี้ยวรก

(3) โรยตัว แรมรอน เรื้อรัง (4) เรื่อยเปื่อย ไรฟัน ตัวเลือด

ตอบ ข้อ 2 และข้อ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เลี้ยวรก ตัวเลือด ซึ่งที่ถูกต้องคือ เรี้ยวรก ตัวเรือด

84 ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด

(1) โพล้เพล้ สนามเพลาะ เพลี้ยงพล้ำ ตัวเพลี้ย (2) โพนทะนา ไพร่พล ไพล่หลัง พะอืดพะอม

(3) แพร่งพราย เพิ่มพูล ขาวโพลน เพรียบพร้อม (4) พลุกพล่าน พานพบ พากย์หนัง พัลวัน

ตอบ (3) แพร่งพราย เพิ่มพูน ขาวโพลน เพรียบพร้อม

คำที่สะกดผิดได้แก่ เพลี้ยงพล้ำ เพิ่มพูล เพรียบพร้อม ซึ่งที่ถูกต้องคือ เพลี่ยงพล้ำ เพิ่มพูน เพียบพร้อม

85 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก

(1) ลักษณะนาม ลึกล้ำ สูงริ่ว (2) ไกลลิบ ลิ้มรส เลือนราง

(3) เลื่อยลอย โล้ชิงช้า และเล็ม (4) โลดแล่น ไม้ไล่หลายพันธุ์ ไล่เลี่ย

ตอบ (1) ลักษณะนาม ลึกล้ำ สูงริ่ว

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ลักษณะนาม สูงริ่ว เลื่อยลอย ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลักษณนาม สูงลิ่ว เลื่อนลอย

จงพิจารณาตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

(1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

(2) รู้ยาวรู้สั้น รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

(3) ลิ้นสองแฉก ลิ้นไม่มีกระดูก ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็ก

(4) ลิ้นอ่อน ลิ้นกระบือ ลิ้นไก่สั้น

86 ข้อใดมีแต่สำนวน

ตอบ (3) ลิ้นสองแฉก ลิ้นไม่มีกระดูก ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็ก

1 สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมาก และเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น ลิ้นสองแฉก (พูดสับปลับเชื่อถือไม่ได้) ลิ้นไม่มีกระดูก (พูดสลับ กลับกลอก เอาแน่ไม่ได้) ลิ้นกระดาษทราย นำลายเชลแล็ก (ประจบประแจง สอพลอ) รู้ยาวรู้สั้น (รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว) ฯลฯ

2 คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลางๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ยกตนข่มท่าน (ยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น พูดทับถมผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าตนเหนือกว่า) ยกตัวขึ้นเหนือลม (ปัดความผิดให้พ้นตัว ยกตนเหนือคนอื่น) ยกหางตนเอง (ยกตนเองดีว่าเก่ง) รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง (รู้จักเอาตัวรอด หรือปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์) ฯลฯ

3 สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม (เรียนรู้ไว้ไม่หนักเรี่ยวหนักแรง หรือเสียหายอะไร) ฯลฯ

87 ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ (1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

88 ข่อใดเรียงลำดับถูกต้อง ตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ (2) รู้ยาวรู้สั้น รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

89 ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตเลย

ตอบ (4) ลิ้นอ่อน ลิ้นกระบือ ลิ้นไก่สั้น

คำในตัวเลือกข้อ 4 เป็นคำประสมทั้งหมด โดยคำว่า ลิ้นอ่อน หมายถึง อาการที่พูดออกสำเนียงได้ชัดเจน ลิ้นกระบือ หมายถึง ไม้แผ่นบางๆ สำหรับสอดเพลาะกระดานเป็นระยะๆ ให้สนิทแข็งแรง ลิ้นไก่สั้น หมายถึง อาการที่พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ชัดอย่างคนเมาเหล้า

90 ข้อใดมีความหมายเหมือนกันทุกข้อความ

ตอบ (1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

จงเลือกคำที่มีความหมายคนละพวกกับคำอื่นๆ แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

91 (1) เรื่องสั้น

(2) สารคดี

(3) วารสาร

(4) บทความ

ตอบ (1) เรื่องสั้น หมายถึง บันเทิงคดีร้อยแก้วรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายนวนิยาย แต่สั้นกว่า โดยมุ่งให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่านเป็นหลัก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมที่มุ่งให้ความรู้มากกว่าความบันเทิง)

92 (1) พริกไทย (2) ยี่หร่า (3) กระวาน (4) ดอกจัน

ตอบ (4) ดอกจัน หมายถึง รูปกลมๆ เป็นจักๆ เช่น ใช้เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อเน้นข้อความที่สำคัญ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นพืชที่นิยมนำมาปรุงอาหาร ทำยา และเป็นเครื่องเทศ)

93 (1) พัดชา (2) สวมแว่น (3) สวมเสื้อ (4) สวมหมวก

ตอบ (1) พัดชา หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้โบกลม หรือพัดให้เย็น)

94 (1) สวมรอย (2) สวมแว่น (3) สวมเสื้อ (4) สวมหมวก

ตอบ (1) สวมรอย หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นปฏิกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก นุ่ง เช่น สวมกางเกง ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

95 (1) สีเขียว (2) สีขาบ (3) สีเข้ม (4) สีขาว

ตอบ (3) สีเข้ม หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีเขียว (มีสีอย่างใบไม้สด ) สีขาบ (สีน้ำเงินแก่ม่วง) สีขาว (มีสีอย่างสำลี) เป็นต้น)

96 ลักษณนามของเหรียญทองคืออะไร

(1) อัน (2) วง (3) เหรียญ (4) เหรียญทอง

ตอบ (3) เหรียญ ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

97 ลักษณนามของเครื่องคิดเลขคืออะไร

(1) อัน (2) ราง (3) ลูก (4) เครื่อง

ตอบ (4) เครื่อง ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

98 “เขาไม่ย่อท้อ… ความลำบาก” ต้องใช้คำใด

(1) กับ (2) แก่ (3) ใน (4) ต่อ

ตอบ (4) ต่อ ดูคำอธิบายข้อ 75 ประกอบ

99 “ผู้ปรารถนา…ต้องแสวงหาความรู้” ต้องใช้วลีใด

(1) การก้าวหน้า (2) การรุดหน้า (3) ความก้าวหน้า (4) ความรุดหน้า

ตอบ (3) ความก้าวหน้า

อาการนาม คือ คำนามที่เกิดจากการเติมคำว่า “การ” (ถ้าหมายถึงการกระทำ) หรือคำว่า “ความ” (ถ้าหมายถึงความเป็นอยู่ ) หน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ ซึ่งจะต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง เช่น การเรียน (การเข้ารับความรู้จากผู้สอน) ความก้าวหน้า (ความเจริญพัฒนาเร็วกว่าปกติ) ฯลฯ

100 “เขามามหาวิทยาลัย…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ต้องใช้คำใด

(1) ด้วย (2) กับ (3) แต่ (4) มิฉะนั้น

ตอบ (3) แต่

คำสันธาน คือ คำที่เชื่อมความให้ต่อเนื่องเป็นความเดียวกัน ซึ่งอาจเชื่อมคำกับคำ เช่น พี่กับน้อง ฯลฯ หรือเชื่อมประโยคกับประโยค เช่น เขามามหาวิทยาลัยแต่ไม่เรียนหนังสือ จึงสอบตก ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 55 ประกอบ)

101 “อาจารย์ถึงวัย…แล้ว” ต้องใช้คำใด

(1) เกษียน

(2) เกษียณ

(3.) เกษียร

(4) เกศียน

ตอบ (2) เกษียณ หมายถึง สิ้นไป (ใช้เกี่ยวกับการกำหนดอายุ) เช่น เกษียณอายราชการ (ส่วนเกษียน หมายถึง ข้อความที่เขียนแทรกไว้ เช่น ในใบลาน เกษียร หมายถึง น้ำนม เกศียน เป็นคำ ที่สะกดผิด จึงไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

102 “ฉันไปเที่ยวงาน…พระพุทธบาท” ต้องใช้คำใด

(1) สมโภช (2) สมโพธิ (3) สมโภชน์ (4) สมโภชก์

ตอบ (1) สมโภช หมายถึง งานฉลองในพิธีมงคลสมรสเพื่อความยินดีเริงร่า เช่น งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เป็นต้น (ส่วนสมโพธิ หมายถึง การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมโภชน์/ สมโภชก์ เป็นคำที่สะกดผิด จึงไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

103 “นายกรัฐมนตรีคนก่อน…แล้ว” ต้องใช้คำใด

(1) ถึงแก่กรรม (2) ถึงแก่อนิจกรรม (3) ถึงแก่อสัญกรรม (4) สิ้นชีพิตักษัย

ตอบ (3) ถึงแก่อสัญกรรม หมายถึง ความตาย ใช้กับผู้ตายที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภา (ส่วนถึงแก่กรรม หมายถึง ตาย ใช้แก่คนทั่วไป ถึงแก่อนิจกรรม หมายถึง ตาย ใช้แก่พระยาพานทองหรือเทียบเท่า สิ้นชีพิตักษัย หมายถึง ตาย ใช้เฉพาะหม่อมเจ้า)

104 “วันนี้มีคนมาสอบ…” ต้องใช้คำใด

(1) เยอะ (2) เยอะมาก (3) มากมาย (4) จำนวนมาก

ตอบ (4) จำนวนมาก หมายถึง มียอดรวมมาก มักใช้ในภาษาสุภาพระดับทางการ หรือใช้ในภาษาเขียน (ส่วน เยอะ/เยอะมาก หมายถึง มากเหลือหลาย ใช้ในภาษาปากระดับไม่เป็นทางการ มากมาย หมายถึง มากเหลือหลาย ล้นหลาม ใช้ในภาษาระดับกึ่งทางการ)

105 “เธอไม่ปล่อยให้เขา…สายตาไปได้” ต้องใช้คำใด

(1) คลาด (2) เคลื่อน (3) คลาดเคลื่อน (4) เคลื่อนคล้อย

ตอบ (1) คลาด หมายถึง เคลื่อนจากที่หมาย เคลื่อนจากกำหนดเวลา ไม่พบ เช่น คลาดกัน คลาดสายตา ฯลฯ (ส่วนเคลื่อน หมายถึง ออกจากที่หรือทำให้ออกจากที่ คลาดเคลื่อน หมายถึง ผิดจากความเป็นจริง เคลื่อนคล้อย หมายถึง เคลื่อนหรือเลื่อนในลักษณะหย่อนลง ลดต่ำ)

106 “เขาถวายของ…พระภิกษุ” ต้องใช้คำใด

(1) แก่ (2) ให้ (3) แด่ (4) เพื่อ

ตอบ (3) แด่ ดูคำอธิบายข้อ 75 ประกอบ

107 ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

(1) ผู้รับภาษา (2) ผู้ส่งภาษา (3) ลักษณะของภาษา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1 ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน

2 สาร (ลักษณะของภาษา)

3 ผู้รับภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

108 ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด

(1) พูดและฟัง (2) ฟังและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (3) อ่านและฟัง ดูคำอธิบายข้อ 107 ประกอบ

109 ปัญหาดารใช้ภาษาลักษณะใดที่เห็นได้ชัดเจน

(1) อ่านและเขียน (2) เขียนและพูด (3) ฟังและอ่าน (4) พูดและฟัง

ตอบ (2) เขียนและพูด

ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การพูดและเขียนซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่า ผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือสื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

110 พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ใด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

(1) พ.ศ. 2493 (2) พ.ศ. 2525 (3) พ.ศ. 2542 (4) พ.ศ. 2550

ตอบ (3) พ.ศ. 2542

พจนานุกรมที่ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (คำเขียน) การออกเสียงอ่านและนิยามความหมาย ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น

111 การศึกษาระดับของคำเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) ความคิด

(2) สัญลักษณ์

(3) สังคม

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) สังคม

คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไรและกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1 คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2 คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำแสลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

112 หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) น้ำหนัก (2) ระดับ (3) ความหมาย (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ความหมาย

หน้าที่ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

113 การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) กาละ (2) เทศะ (3) บุคคล (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

114 คำแสลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

คำแสลง เป็นคำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไป มีน้อยคำที่จะอยู่คงทนจึงถือกันว่าเป็นคำที่ไม่สู้สุภาพนัก และจะไม่นำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการเด็ดขาด เช่น นิ้ง ซ่า จุ๊ย เจ๋ง ปึ๊ก เอ๊าะ กิ๊ก ส.บ.ม. เป็นต้น

115 ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้

(1) คำปาก (2) คำสุภาพ (3) คำเฉพาะวิชา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

116 การเว้นวรรคไม่ถูกต้องทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ไม่ชัดเจน (2) ไม่รัดกุม (3) ไม่มีน้ำหนัก (4) ไม่มีภาพพจน์

ตอบ (1) ไม่ชัดเจน

การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนจะขึ้นอยู่กับ

1 การเรียงคำให้ถูกที่ 2 การขยายความให้ถูกที่ 3 การใช้คำตามแบบภาษาไทย

4 การใช้คำให้สิ้นกระแสความ 5 การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

(พี่หม่อนขอยกตัวอย่างสักหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับคำอวยพร)

ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็ง (เว้นวรรค) แรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน

จะเห็นได้ว่าพอเว้นวรรคแล้ว แทนที่จะเป็นคำอวยพร แต่ความหมายกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นเวลาใช้ขอให้น้องๆระวังด้วย

117 การเขียนแบบใดที่ควรใช้ประโยคที่มีภาพพจน์

(1) ข่าว (2) ตำรา (3) จดหมาย (4) บทความ

ตอบ (4) บทความ

ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

118 การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ถูกต้อง (2) รัดกุม (3) มีน้ำหนัก (4) มีภาพพจน์

ตอบ (2) รัดกุม

การผูกประโยคให้กระชับรัดกุม มีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ 1 การรวบความให้กระชับ 2 การลำดับความให้รัดกุม 3 การจำกัดความ

119 ประโยคที่มีน้ำหนักควรนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้เขียน (2) ใช้พูด (3) ใช้ได้ทั่วไป (4) ใช้เท่าที่จำเป็น

120 การใช้ประโยคต้องคำนึงถึงด้านใด

(1) ความถูกต้อง (2) ความเหมาะสม (3) ความมีน้ำหนัก (4) ความรัดกุม

ตอบ (1) ความถูกต้อง

สิ่งที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือ ความถูกต้องชัดเจน เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจตรงกันกับผู้พูดและผู้เขียนอีกด้วย

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!