LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมึนงงเข้าสอบกฎหมายอาญา 1 แต่ทําข้อสอบไม่ได้ จึงโมโหตำราที่อ่านมาทั้งคืน และไม่คิดจะอยู่ร่วมกับตําราอีกต่อไป เมื่อออกจากห้องสอบมาจึงคว้าตําราบนเก้าอี้หน้าห้องสอบไปโยนทิ้ง ที่บ่อน้ำหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ทันดูให้ดีเสียก่อน ปรากฏว่าเป็นตําราของนางสาวงงงวย ซึ่งเสียหายทั้งหมด จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายมึนงง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติ ไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่า ผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมึนงงได้เอาตําราบนเก้าอี้หน้าห้องสอบไปโยนทิ้งที่บ่อน้ำหน้ามหาวิทยาลัยนั้น เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของนายมึนงงจะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายมึนงงได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น

องค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าตําราที่ตนเอาไปทิ้งที่บ่อน้ำนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ใช่ตําราหรือทรัพย์ของตนเอง ดังนั้นนายมึนงงจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ (องค์ประกอบ ของความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ 1. ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่า หรือทําให้ ไร้ประโยชน์ 2. ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3. โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายมึนงงเนื่องจากการที่นายมึนงงได้เอาตําราไปทิ้งบ่อน้ำนั้น ได้กระทําโดยไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่ตําราของตนเอง แต่นายมึนงงก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทําโดย ประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคสี่ ประกอบกับมาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายมึนงงจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายมึนงงไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. คุณหญิงแย้มเกลียดเย็นที่ได้รับความรักจากเจ้าคุณเพียงคนเดียว คุณหญิงแย้มจึงคิดจะฆ่าเย็นแต่กลับเห็นช้อยเป็นเย็น เมื่อใช้ปืนยิงช้อยถึงแก่ความตายแล้ว กระสุนยังเลยไปถูกชดที่กําลังทําอาหารในครัวที่อยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส และทําให้ถ้วยลายครามสมัยอยุธยาตอนต้นของแช่มที่ชดถืออยู่ตกแตกอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของคุณหญิงแย้ม

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของคุณหญิงแย้ม แยกพิจารณาได้ดังนี้
ความรับผิดของคุณหญิงแย้มต่อช้อย
การที่คุณหญิงแย้มใช้ปืนยิงช้อยโดยเข้าใจว่าเป็นเย็นนั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือ ความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของคุณหญิงแย้มจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และกรณีดังกล่าวนี้คุณหญิงแย้มจะยกเอาความสําคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทําต่อซอยไม่ได้ตามมาตรา 61 ดังนั้น คุณหญิงแย้มจึงต้อง รับผิดทางอาญาต่อช้อยฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ความรับผิดของคุณหญิงแย้มต่อชด
การที่คุณหญิงแย้มใช้ปืนยิงช้อย และกระสุนยังได้เลยไปถูกชุดบาดเจ็บด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่คุณหญิงแย้มเจตนาจะกระทําความผิดต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าคุณหญิงแย้มกระทําโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย ดังนั้น เมื่อคุณหญิงแย้มมีเจตนาฆ่า มาตั้งแต่ต้น เจตนาที่โอนมายังชดก็คือ เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าชดเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย คุณหญิงแย้มจึงต้องรับผิดต่อชดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80

ส่วนกรณีที่กระสุนเลยไปถูกชดและทําให้ถ้วยลายครามของแช่มที่ชดถืออยู่ตกแตกได้รับความเสียหายด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่คุณหญิงแย้มได้กระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการ ทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด คุณหญิงแย้มจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา ในความเสียหายต่อถ้วยลายครามของแขม ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา 59 วรรคหนึ่งที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา เมื่อได้กระทําโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
คุณหญิงแย้มต้องรับผิดทางอาญาต่อช้อยฐานฆ่าช้อยตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 61 และรับผิดทางอาญาต่อชดฐานพยายามฆ่าชดโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบ มาตรา 80 แต่คุณหญิงแย้มไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อถ้วยลายครามของแช่ม

 

ข้อ 3. ส้มใช้ปืนขู่บังคับให้เงาะตีศีรษะมังคุด หากไม่ทําส้มจะยิงเงาะให้ตาย เงาะกลัวส้มยิงตน เงาะจึงใช้ไม้ตีมังคุด มังคุดเห็นเงาะเงื้อไม้ขึ้นตีมังคุด จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่เงาะ ไม้กระเด็นหลุดมือไปถูกส้มด้วย ดังนี้
ส้ม เงาะ และมังคุดจะมีความรับผิดทางอาญาและมีเหตุที่เป็นคุณทางกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งขัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 89 “ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทําความผิดคนใด จะนําเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทําความผิดคนอื่นในการกระทําความผิดนั้นด้วยไม่ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ส้ม เงาะ และมังคุด ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของส้ม
การที่ส้มใช้ปืนขู่บังคับเงาะให้ตีศีรษะมังคุดนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิด ด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว ส้มจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ เงาะได้ใช้ไม้ตีไปที่มังคุด ดังนั้นส้มผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง และกรณีนี้ส้มไม่ได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา 89 เพราะถึงแม้การที่เงาะใช้ไม้ตีมังคุดจะกระทําด้วยความจําเป็นและได้รับยกเว้นโทษ ตามมาตรา 67 ก็ตาม แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของเงาะจะนํามาใช้กับส้มด้วยไม่ได้

ความรับผิดของเงาะ
การที่เงาะใช้ไม้ตีไปที่มังคุดถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเงาะจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เงาะจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เงาะใช้ไม้ตีไปที่มังคุดนั้น เงาะได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของส้ม ซึ่งเงาะไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อเงาะได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของเงาะจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้น เงาะจึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของมังคุด
การที่มังคุดใช้ไม้ตีไปที่เงาะถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของมังคุดจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง มังคุดจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่มังคุดได้ใช้ไม้ตีไปที่เงาะนั้น มังคุดได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของเงาะ และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อมังคุดได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของมังคุดจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 68 ดังนั้น มังคุดจึงไม่ต้องรับผิดต่อเงาะ

และเมื่อการกระทําของมังคุดเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือมังคุด เลยไปถูกส้มด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีที่มังคุดเจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่ามังคุดเจตนากระทําต่อส้มโดยพลาดไปตามมาตรา 60 ก็ตาม แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของมังคุดเป็นการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ด้วย ดังนั้น มังคุดจึงไม่ต้องรับผิดต่อส้มเช่นเดียวกัน

สรุป ส้มต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
เงาะต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทํา ความผิดด้วยความจําเป็น

มังคุดไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นงเยาว์ได้บอกกับนงลักษณ์ลูกน้องว่า นงนุชกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว นงลักษณ์ได้ยินเช่นนั้นก็ทราบทันทีว่านงเยาว์ต้องการให้ฆ่านงนุช นงลักษณ์ได้ร่วมกับนงคราญที่เป็นเพื่อนสนิทกันวางแผนฆ่านงนุช โดยนงลักษณ์ไปขอยืมอาวุธปืนจากนงนภา โดยบอกกับนงนภาว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย นงนภาทราบดีว่านงลักษณ์จะนําปืนไปฆ่าคนแต่ไม่ยอมบอกกับตน นงนภาเองก็อยากให้นงนุชตายอยู่แล้ว จึงให้นงลักษณ์ยืมอาวุธปืน นงลักษณ์ได้ปืนมาก็นั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ที่นงคราญเป็นผู้ขับขี่ นงลักษณ์ใช้ปืนของนงนภายิงนงนุชตาย ดังนี้ นงเยาว์ นงคราญ และนงนภา ต้องร่วมรับผิดในการกระทําของนงลักษณ์อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้เก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นงลักษณ์ใช้อาวุธปืนยิงนงนุชตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนงลักษณ์จึงเป็นการ กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นงลักษณ์จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประเด็นที่ต้อง วินิจฉัยมีว่า นงเยาว์ นงคราญ และนงนภา ต้องรับผิดในการกระทําของนงลักษณ์อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนงเยาว์
การที่นงเยาว์ได้บอกกับนงลักษณ์ลูกน้องว่า นงนุชกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อนงลักษณ์ ได้ยินเช่นนั้นจึงทราบทันทีว่านงเยาว์ต้องการให้ฆ่านงนุชนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว นงเยาว์จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อผู้ถูกใช้คือนงลักษณ์ ได้ลงมือกระทําความผิด ตามที่ก่อ นงเยาว์ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนงคราญ
การที่นงคราญได้ร่วมวางแผนกับนงลักษณ์เพื่อฆ่านงนุช และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้นงลักษณ์ ซ้อนท้ายไปฆ่านงนุชนั้น การกระทําของนงคราญถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับนงลักษณ์ ดังนั้น นงคราญจึงต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับนงลักษณ์ตามมาตรา 83

ความรับผิดของนงนภา
การที่นงนภาให้นงลักษณ์ยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่านงลักษณ์จะไปยิงนงนุชนั้น การกระทําของนงนภาถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น นงนภาจึงต้องรับผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป นงเยาว์ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
นงคราญต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ นงนภาต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายนัทกลับบ้านมากลางดึก ได้ทราบข่าวจากนางจอยที่เป็นภริยาว่า โดเรม่อนน้องหมาที่เลี้ยงไว้มากัด ด.ญ.ส้มจี๊ดที่เป็นลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา นายนัทโมโหมากตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับโดเรม่อน อีกต่อไป จึงนั่งรอโดเรม่อนกลับเข้ามาในบ้าน เพราะโดเรม่อนได้หนีออกจากบ้านไปหลังจากกัด ด.ญ.ส้มจี๊ด ผ่านไปครู่ใหญ่มีน้องหมาตัวหนึ่งลอดประตูรั้วบ้านเข้ามาและเข้ามาคุ้ยเขียกองขยะในถังขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย ในเวลานั้นเองนายนัทเดินไปที่รถเพื่อหยิบไม้กอล์ฟจากรถออกมาตี ที่หัวน้องหมาตัวนั้นจนน้องหมาตายคาที่ ปรากฏว่า น้องหมาตัวนั้นไม่ใช่โดเรม่อนของนายนัท แต่เป็นน้องหมาโนปิตะของนายบอลที่เป็นเพื่อนบ้าน โนปิตะมีสีและรูปร่างใกล้เคียงกับโดเรม่อนมาก
ให้นักศึกษาวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนัท พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความ ระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติ ไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่า ผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนัทได้ใช้ไม้กอล์ฟตีน้องหมา คือ โนปิตะตายนั้นเป็นการเคลื่อนไหว ร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของนายนัทจะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายนัทได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟตีจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตนเอง ดังนั้นนายนัทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ (องค์ประกอบของความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ 1. ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์ 2. ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3. โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายนัทเนื่องจากนายนัทได้ที่โนบิตะซึ่งเป็นสุนัขของนายบอลตายนั้น ได้กระทําโดยไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตน แต่นายนัทก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทําโดยประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคสี่ ประกอบกับมาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายนัทจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
นายนัทไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้ เพราะแคนดี้เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สําคัญของแจ็ค วันหนึ่งแจ็คเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้ จึงใช้ปืนขนาด .38 มม. ที่พกอยู่เป็นอาวุธเล็งปืนไปที่น้ำตาล น้ำตาลตาไวเห็นทันพอดี จึงตีลังกาหลบแจ็ค ทําให้กระสุนไม่ถูกน้ำตาลเลย แต่กระสุนกลับเลยไปถูกขวัญ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทําให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของแจ็คต่อผู้เสียหายทุกราย พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้ เมื่อเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้ จึงใช้ปืนเล็งและยิงไปที่น้ำตาลโดยสําคัญผิดนั้น การกระทําของแจ็คเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผลตาม มาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อ ผลของการกระทํานั้น แต่เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล จึงเป็นกรณีที่แจ็คได้ลงมือกระทําความผิดซึ่งได้กระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือน้ำตาลไม่ตายตามที่แจ็คต้องการ แจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าน้ำตาลโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง แจ็คจะอ้างว่าได้กระทําเพราะเหตุสําคัญผิดว่าน้ำตาลเป็นแคนดี้เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่

การที่กระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาลแต่เลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้น เป็นกรณีที่แจ็คได้ กระทําโดยเจตนาต่อน้ำตาลแต่ผลของการกระทําเกิดแก่ขวัญโดยพลาดไป ให้ถือว่าแจ็คได้กระทําโดยเจตนาต่อขวัญ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทําด้วยตามมาตรา 60 และเมื่อขวัญไม่ตายเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นแจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าขวัญโดยพลาดไปตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกขวัญทําให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตายนั้น แจ็คไม่ต้องรับผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ เพราะมิใช่การกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 ทั้งนี้เพราะผลร้ายที่ เกิดขึ้นโดยพลาดไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทํา กล่าวคือเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนาต่อบุคคล แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์จึงไม่อยู่ในความหมายของคําว่าพลาด แต่อย่างไรก็ดีการกระทําของแจ็คเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่แม้จะเป็นการกระทําโดยประมาท แจ็คก็ไม่มีความผิด เพราะการทําให้เสียทรัพย์โดยประมาทนั้น ไม่มี กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป
แจ็คต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าน้ำตาล
แจ็คต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าขวัญ
แจ็คไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ของแป๋ม

 

ข้อ 3. เฮงโชคดีถูกลอตเตอรี่ได้เงินมาดีใจชวนดํา ขาว และเขียว มารับประทานอาหารและดื่มสุราที่บ้านในตอนค่ำ เมื่อดื่มสุรากันจนเมา ได้พูดคุยกันเรื่องร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดํากับขาวความเห็น ไม่ตรงกันเกิดการทะเลาะกันเสียงดัง ดําโมโหคว้าขวดสุราตีศีรษะขาวแตกเลือดไหลแดง เฮงและเขียว ช่วยห้ามมิให้ทะเลาะกัน และนั่งดื่มสุรากันต่อไป สักครู่ขาวขอตัวกลับบ้านไปทําแผล เมื่อส่องกระจก เห็นศีรษะแตกมาก อีกประมาณ 2 ชั่วโมง ขาวถือมีดดาบย้อนกลับไปที่บ้านเฮง พบว่าทุกคนเมาสุรา นอนหลับกันหมดแล้ว ขาวเห็นดําเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงใช้มีดดาบที่ถือติดตัวมาฟันศีรษะดํา อย่างแรง 2 ครั้ง ถึงแก่ความตาย ดังนี้ ขาวจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุใด มายกเว้นโทษหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่ขาวใช้มีดดาบฟันศีรษะดําอย่างแรง 2 ครั้ง เป็นเหตุให้ดําถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าขาวมีเจตนาฆ่าดํา เพราะเป็นกรณีที่ขาวได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันขาวก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้นขาวจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อดําตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ฐานฆ่าดําตายโดยเจตนา

และกรณีดังกล่าว ขาวไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่ กฎหมายได้กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นได้ เพราะกรณีที่ผู้กระทําความผิดจะอ้างว่าได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 นั้น จะต้องเป็นการกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหง ในขณะนั้นคือในขณะที่ถูกข่มเหงนั่นเอง แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะเห็นได้ว่าระยะเวลาที่ขาวกระทําต่อดำกับการที่ขาวถูกดําตีศีรษะนั้นไม่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากปรากฏว่าหลังจากที่ดําใช้ขวดสุราตีศีรษะขาวนั้น ทั้งสองคนยังคงร่วมดื่มสุรากันต่อไป และเมื่อขาวได้ขอตัวกลับบ้านไปทําแผลอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ขาวจึงย้อนกลับมาและใช้มีดดาบที่ถือติดตัวมาฟันศีรษะดํา จึงไม่ถือว่าขาวได้กระทําความผิดต่อดําในขณะบันดาลโทสะอยู่ ดังนั้น ขาวจึง ไม่สามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72

สรุป
ขาวจะต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าดําตายโดยเจตนา โดยจะอ้างเหตุบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 ไม่ได้

 

ข้อ 4. นางสีถูกนายใหญ่สามีทําร้ายบ่อยจึงกลับไปหานางอ่อนมารดาที่บ้าน เล่าเรื่องที่ถูกสามีทําร้าย ซึ่งขณะนั้นนางอ่อนกําลังนั่งพูดคุยอยู่กับนายสอนบุตรชายซึ่งเป็นน้องชายของนางสี นายสอนได้ยิน แล้วรู้สึกสงสารนางสีพี่สาว นายสอนไปปรึกษากับนายเชิดเพื่อนสนิท นายเชิดยุให้ฆ่านายใหญ่ พร้อมกับลุกไปหยิบปืนพกในห้องมาส่งให้นายสอนแล้วชวนกันไปขอยืมรถยนต์จากนายช้างเพื่อใช้เป็นพาหนะ นายช้างรู้ความประสงค์รับอาสาขับรถยนต์พานายสอนและนายเชิดไปส่งจุดที่จะลอบยิง นายใหญ่แล้วจะกลับมารับเมื่อยิงนายใหญ่ตายแล้ว นายเชิดเป็นคนดูต้นทางและให้สัญญาณให้นายสอนเป็นคนยิงนายใหญ่ นายสอนยิงนายใหญ่ตายแล้ว นายเชิดได้โทรศัพท์ให้นายช้างขับรถยนต์ มารับแล้วทั้งสามก็หลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ นางสี นายเชิด และนายช้าง จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสองยิงนายใหญ่ตายอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสอนใช้ปืนพกยิงนายใหญ่ตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายสอนจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายสอนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิดฐานฆ่านายใหญ่ตายโดยเจตนา)

สําหรับนางสี นายเชิด และนายช้าง จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตาย อย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนางสี
การที่นางสีถูกนายใหญ่สามีทําร้ายบ่อยจึงกลับบ้านและเล่าเรื่องที่ถูกสามีทําร้ายให้นางอ่อน มารดาฟัง ทําให้นายสอนน้องชายของนางสีซึ่งกําลังนั่งพูดคุยอยู่กับนางอ่อนได้ยินแล้วรู้สึกสงสารนางสีพี่สาวจึงไปยิงนายใหญ่ตายนั้น จะเห็นได้ว่านางสีมิได้มีเจตนาก่อให้นายสอนกระทําความผิดแต่อย่างใด นางสีจึงไม่ใช่ผู้ใช้ ตามนัยของมาตรา 84 ดังนั้น นางสีจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตาย

กรณีของนายเชิด
การที่นายเชิดยุให้นายสอนฆ่านายใหญ่พร้อมลุกไปหยิบปืนพกในห้องมาส่งให้นายสอน แล้วชวนกันไปขอยืมรถยนต์จากนายช้างเพื่อใช้เป็นพาหนะ อีกทั้งนายเชิดจะเป็นคนดูต้นทางและให้สัญญาณให้นายสอน เป็นคนยิงนายใหญ่ และเมื่อนายสอนยิงนายใหญ่ตายแล้ว ทั้งนายสอนและนายเชิดก็ได้หลบหนีไปด้วยกันนั้น ถือว่า นายเชิดมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับนายสอนตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น นายเชิดจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายฐานเป็นตัวการร่วมกับ นายสอนตามมาตรา 83

กรณีของนายช้าง
การที่นายช้างรู้ความประสงค์ของนายสอนที่จะไปลอบฆ่านายใหญ่ ได้รับอาสาขับรถยนต์พานายสอนและนายเชิดไปส่งยังจุดที่จะลอบยิงนายใหญ่แล้วจะกลับมารับเมื่อยิงนายใหญ่ตายแล้วนั้น การกระทําของนายช้างถือว่าเป็นการให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือนายสอนและนายเชิดก่อนการกระทําความผิด ดังนั้น นายช้างจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

อนึ่ง การกระทําของนายช้างไม่เป็นการกระทําในฐานะตัวการตามมาตรา 83 เพราะในขณะที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายนั้น นายช้างมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ จึงไม่เข้าลักษณะของตัวการตามนัยมาตรา 83

สรุป นางสีไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะมิได้เป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84
นายเชิดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
นายช้างต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. คนบ้ารักษาตัวกับแพทย์แล้วคิดว่าตัวเองหายปกติดี พฤติกรรมบางครั้งไม่ยอมกินยาที่แพทย์สั่งบางครั้งก็กินยา วันเกิดเหตุ ก. เดินมาตลาดพบ ข. รอรถเมล์จะไปทํางาน ก. ไม่พอใจ ข. ที่มองหน้าตน ก. ชกเตะ ข. ล้มลงและจะกระทืบซ้ำ ข. ลุกขึ้นต่อยคาง ก. ก. สลบ ดังนี้ ก. และ ข. จะต้องรับผิด รับโทษในทางอาญาอย่างใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 65 “ผู้ใดกระทําความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสําหรับความผิดนั้น

แต่ถ้าผู้กระทําความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้น ต้องรับโทษสําหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุการกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ก. และ ข. จะต้องรับผิดรับโทษในทางอาญา อย่างใด หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

กรณีของ ก.
การที่ ก. ชกเตะ ข. จนล้มลงและจะกระทืบซ้ำนั้น ถือว่า ก. ได้กระทําต่อ ข. โดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ก. จะต้องรับผิดและรับโทษตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า หากผู้กระทําผิดได้กระทําในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ สําหรับความผิดนั้น ตามข้อเท็จจริงแม้ว่า ก. จะเป็นคนบ้า แต่พฤติกรรมของ ก. ดังกล่าว ถือเป็นการกระทําความผิด (ทําร้ายร่างกายผู้อื่น) ในขณะที่ ก. ยังสามารถรู้ผิดชอบ หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ดังนั้น ก. จึงต้องรับผิด และรับโทษฐานทําร้ายผู้อื่นตามมาตรา 65 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคแรก ศาลจะไม่ลงโทษ ก. เลยไม่ได้ แต่ศาลอาจจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้ และอาจจะลงโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำก็ได้

กรณีของ ข.
การที่ ข. ลุกขึ้นต่อยคาง ก. จน ก. สลบนั้น ถือว่า ข. ได้กระทําต่อ ก. โดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ข. จะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ข. ต่อยคาง ก. นั้น เป็นเพราะ ก. ชกเตะ ข. จนล้มลงและจะกระทืบซ้ำ การกระทําของ ก. จึงถือเป็นภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ดังนั้น การที่ ข. ต่อยคาง ก. จึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ จึงถือว่าเป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ข. จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
ก. จะต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาฐานทําร้ายร่างกายผู้อื่น แต่ศาลจะลงโทษน้อย เพียงใดก็ได้ ส่วน ข. ไม่ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญา เพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. พยายามกระทําความผิด มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

อธิบาย
ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ

(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ การ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา

(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก นี้ ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์

โทษของการพยายามกระทําความผิด
โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่ กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายาม กระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 3. เฮงโชคดีถูกหวยได้เงินมาจึงชวนดํา เหลือง และเขียว มาร่วมดื่มสุราฉลองที่บ้าน เมื่อดื่มสุรากันจนเมาได้พูดคุยเรื่องการเมืองกัน เฮงกับดําความเห็นไม่ตรงกันทะเลาะกันเสียงดัง เฮงคว้าขวดสุรา ตีศีรษะดําแตก เหลืองกับเขียวได้เข้าห้ามและขอร้องให้เลิกทะเลาะกัน เฮงกับดํา เหลือง เขียว ได้ร่วมกันดื่มสุราต่อไป ต่อมาดําขอตัวกลับไปก่อน อีกสองชั่วโมงดําถือมีดโต้ย้อนกลับมาที่บ้านเฮง เห็นเฮง เหลือง เขียว เมาสุรานอนหลับกันหมดแล้ว ดําใช้มีดฟันที่แขนเฮงขาด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษ ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ ดังนี้

กรณีของเฮง
การที่เฮงใช้ขวดสุราตีศีรษะดํา ถือว่าเฮงได้กระทําต่อดําโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทํา โดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น เฮงจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อดําตามมาตรา 59 วรรคแรก โดยเฮงจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิดหรือ ลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้

กรณีของดํา
การที่ดําใช้มีดโต้ฟันแขนเฮงจนขาดนั้น ถือว่าดําได้กระทําต่อเฮงโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเฮงตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีนี้ดําไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะได้ เพราะกรณีที่ผู้กระทําความผิดจะอ้างว่าได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 นั้น จะต้องเป็นการกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นคือในขณะที่ถูกข่มเหงนั่นเอง แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่ดํากระทําต่อเฮงกับการที่ดําถูกเฮงตีศีรษะนั้นไม่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากปรากฏว่าหลังจากที่เฮงตีศีรษะ ดํา ทั้งสองคนยังคงร่วมดื่มสุรากันต่อไป และดําได้ขอตัวกลับบ้านไปก่อนแล้ว อีกสองชั่วโมงกว่าจึงกลับมาทําร้าย เฮง ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้

สรุป
เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิดหรือลดหย่อน ผ่อนโทษไม่ได้เลย

 

ข้อ 4. พล นิกร กิมหงวน ร่วมกันวางแผนจะฆ่าแห้ว โดยตกลงให้พลเป็นคนจัดหาปืนมาให้นิกรเป็นคนยิง ส่วนกิมหงวนจะเป็นคนดูต้นทางและส่งสัญญาณให้นิกร เมื่อพลจัดหาปืนมาให้นิกรแล้ว ทั้งสามคนก็ไปดักซุ่มอยู่ข้างทางที่ทราบว่าแห้วจะเดินผ่าน ระหว่างซุ่มรออยู่นั้น พลเกิดเปลี่ยนใจชวนให้ นิกรกับกิมหงวนเลิกล้มความตั้งใจที่จะฆ่าแห้ว แต่นิกรกับกิมหงวนไม่ยอม พลจึงขอตัวกลับบ้าน ไปก่อน หลังจากนั้นเมื่อแห้วเดินผ่านมา กิมหงวนซึ่งเป็นคนคอยดูต้นทางให้สัญญาณ นิกรจึงใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตาย

ดังนี้ พล นิกร กิมหงวน จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การกระทําของพล นิกร กิมหงวน จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของพล
แม้พลจะได้ร่วมวางแผนกับนิกรและกิมหงวนเพื่อจะฆ่าแห้ว แต่ในขณะที่นิกรใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตายนั้น พลไม่ได้อยู่ร่วมด้วย เนื่องจากพลเกิดเปลี่ยนใจและขอตัวกลับบ้านไปก่อน จึงถือว่าพลขาดเจตนา ที่จะร่วมกระทําความผิด ดังนั้น พลย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

แต่อย่างไรก็ตาม การที่พลได้วางแผนช่วยจัดหาปืนมาให้นิกรใช้ยิงแห้วนั้น ถือว่าเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น พลจึงต้องรับผิดทางอาญา ในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของนิกร
การที่นิกรใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านิกรได้กระทําต่อแห้วโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น นิกรจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

กรณีของกิมหงวน
การที่กิมหงวนร่วมกันวางแผนกับนิกรเพื่อฆ่าแห้ว และคอยดูต้นทางพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้นิกรยิงแห้วจนถึงแก่ความตายนั้น ถือว่ากิมหงวนมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับนิกร และการกระทําของ กิมหงวนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าแห้วบรรลุผลสําเร็จ ดังนั้น เมื่อนิกรยิงแห้วตาย จึงถือว่ากิมหงวนร่วมกัน กระทําความผิดกับนิกรฐานฆ่าแห้วตายโดยเจตนา และต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

สรุป
พลต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
นิกรต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก
กิมหงวนต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายแดงกับนายดําเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองคนเข้าป่าล่าสัตว์เป็นงานอดิเรกด้วยกันเป็นประจํา วันหนึ่งทั้งคู่ได้นัดกันไปล่าสัตว์ตามปกติ โดยนัดเจอกันเวลาบ่ายโมงตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ นายแดงล่าสัตว์ไม่ได้เลย จึงรู้สึกเบื่อหน่าย มานั่งรอนายดําก่อนเวลานัดจนเผลอหลับไป เมื่อใกล้เวลาบ่ายโมง นายแดงได้ยินเสียงดังอยู่หลังพุ่มไม้ที่ตนนอนอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีเสียก่อนจึงชักปืนจากเอว ขึ้นยิ่งไปทันที ปรากฏว่าเป็นนายดําที่จะเข้ามาหยอกล้อเล่นเหมือนที่เคยทําประจํา กระสุนถูกอวัยวะสําคัญทําให้นายดําถึงแก่ความตายทันที จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํา รับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกแล้ว จึงถือว่านายแดงมีการกระทําทางอาญา แต่การที่นายแดงยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายดํานั้น เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทําไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิ่งนั้นเป็นคน ดังนั้น จะถือว่านายแดงได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําคือการที่นายดําถึงแก่ความตายไม่ได้ กล่าวคือ จะถือว่านายแดงได้กระทําโดยเจตนาต่อนายดําไม่ได้นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม)

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม ของนายแดงได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทําของนายแดง เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และนายแดงอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ ถ้านายแดงใช้ความระมัดระวัง พิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายดําไม่ใช่สัตว์ เพราะนายดํามักจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจํา ดังนั้น นายแดงจึงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

สรุป นายแดงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทตามมาตรา 62 วรรคสองประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

 

ข้อ 2. เรยาเกลียดณฤดีที่ได้รับความรักจากคุณใหญ่เพียงคนเดียว เรยาจึงคิดจะฆ่าณฤดี แต่กลับเห็นเด่นจันทร์เป็นณฤดี เมื่อใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ถึงแก่ความตายไปแล้ว กระสุนที่ใช้ยิงเด่นจันทร์นั้นยังเลยไปถูกสินธรที่เดินอยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธร ที่เด่นจันทร์ซื้อให้ราคา 20 ล้านบาท ได้รับความเสียหายอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดชอบทางอาญา
ของเรยา

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของเรยา แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเรยาต่อเด่นจันทร์
การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์โดยเข้าใจว่าเป็นณฤดีนั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือ ความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของเรยา จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และกรณีดังกล่าวนี้เรยาจะยกเอาความสําคัญผิดขึ้นมา เป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทําต่อเด่นจันทร์ไม่ได้ตามมาตรา 61 ดังนั้น เรยาจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

ความรับผิดของเรยาต่อสินธร
การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ และกระสุนยังได้เลยไปถูกสินธรบาดเจ็บด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่เรยาเจตนาจะกระทําความผิดต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเรยากระทําโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย ดังนั้น เมื่อเรยามีเจตนาฆ่ามาตั้งแต่ต้น เจตนาที่โอนมายังสินธรก็คือ เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าสินธรเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย เรยาจึงต้องรับผิดต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80

ส่วนกรณีที่กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรได้รับความเสียหายด้วยนั้น ถือเป็นกรณี ที่เรยากระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด เรยาจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร ทั้งนี้ตามหลัก ในมาตรา 59 วรรคแรกที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติ ให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
เรยาต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทําต่อเด่นจันทร์โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรกประกอบมาตรา 61 และรับผิดทางอาญาต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบ มาตรา 80 แต่เรยาไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร

 

ข้อ 3. ก. ใช้ปืนขู่บังคับ ข. ให้ตีศีรษะ ค. หากไม่ตี ก. จะยิง ข. ให้ตาย ข. กลัว ก. ยิงตน ข. จึงใช้ไม้ตีไปที่ ค.
ค. เห็น ข. เงื้อไม้ขึ้นตีตน ค. จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่ ข. และไม้ได้หลุดจากมือ ค. เลยไปถูก ก. ด้วย
ดังนี้ ก. ข. และ ค. ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 89 “ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทําความผิดคนใด จะนําเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทําความผิดคนอื่นในการกระทําความผิดนั้นด้วยไม่ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ก. ข. และ ค. ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของ ก.
การที่ ก. ใช้ปืนขู่บังคับ ข. ให้ตีศีรษะ ค. นั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วย การบังคับขู่เข็ญแล้ว ก. จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ ข. ได้ใช้ไม้ตีไปที่ ค. ก. ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง และกรณีนี้ ก. ไม่ได้รับการยกเว้นโทษ ตามมาตรา 89 เพราะถึงแม้การที่ ข. ใช้ไม้ตี ค. จะกระทําด้วยความจําเป็นและได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา 67 ก็ตาม แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของ ข. จะนํามาใช้กับ ก. ด้วยไม่ได้

ความรับผิดของ ข.
การที่ ข. ใช้ไม้ตีไปที่ ค. ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ข. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ข. จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ข. ใช้ไม้ตีไปที่ ค. นั้น ข. ได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับ ของ ก. ซึ่ง ข. ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อ ข. ได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของ ข. จึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(1) ดังนั้น ข. จึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของ ค.
การที่ ค. ใช้ไม้ตีไปที่ ข. ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ค. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ค. จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ค. ได้ใช้ไม้ตีไปที่ ข. นั้น ค. ได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ ข. และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อ ค. ได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของ ค. จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น ค. จึงไม่ต้องรับผิดต่อ ข.

และเมื่อการกระทําของ ค. เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือ ค. เลยไปถูก ก. ด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีที่ ค. เจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่า ค. เจตนากระทําต่อ ก. โดยพลาดไปตามมาตรา 60 ก็ตาม แต่เมื่อเจตนาตอน แรกของ ค. เป็นการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการ กระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ด้วย ดังนั้น ค. จึงไม่ต้องรับผิดต่อ ก. เช่นเดียวกัน

สรุป
ก. ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
ข. ต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด ด้วยความจําเป็น
ค. ไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว บรรจงได้ยินเช่นนั้นทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพ บรรจงได้ร่วมกับสุขุมเพื่อนกันวางแผนฆ่าสุเทพ โดยบรรจงไปขอยืม อาวุธปืนจากสุขสม โดยบอกกับสุขสมว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย สุขสมทราบดีว่าบรรจงจะนําอาวุธปืนไปยิงสุเทพ แต่ไม่กล้าบอกความจริง สุขสมเองอยากให้สุเทพตายอยู่แล้ว จึงให้บรรจงยืมอาวุธปืน บรรจงได้อาวุธปืนจากสุขสมแล้วได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่สุขุมเป็นผู้ขับขี่ บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ดังนี้ เนวิน สุขุม และสุขสมต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํายังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบรรจงจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บรรจงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เนวิน สุขุม และสุขสม ต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเนวิน
การที่เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อบรรจงได้ยิน เช่นนั้นจึงทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว เนวินจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ บรรจง ได้ลงมือกระทําความผิดตามที่ก่อ เนวินผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของสุขุม
การที่สุขุมได้ร่วมวางแผนกับบรรจงเพื่อฆ่าสุเทพ และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้บรรจงซ้อนท้ายไปยังสุเทพนั้น การกระทําของสุขุมถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับบรรจง สุขุมจึงต้องรับผิดฐานเป็น ตัวการร่วมกับบรรจงตามมาตรา 83

ความรับผิดของสุขสม
การที่สุขสมให้บรรจงยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่าบรรจงจะไปยิงสุเทพนั้น การกระทําของสุขสม ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด สุขสมจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86

สรุป
เนวินต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
สุขุมต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ สุขสมต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโก๋ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเข้ามาในถนนซอยในหมู่บ้านซึ่งมีคนอาศัยจํานวนมาก ปรากฏว่ามีเด็กวิ่งไล่จับกันมาวิ่งตัดหน้ารถยนต์ที่นายโก๋ขับมา นายโก๋ตกใจเหยียบห้ามล้อพร้อมกับหันพวงมาลัยหลบเด็กเป็นเหตุให้รถยนต์ไปกระแทกกับรถยนต์ของนายเฮงซึ่งจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้านได้รับความเสียหาย และด้วยความแรงรถยนต์ของนายเฮงยังกระเด็นไปกระแทกรถยนต์ของนายโชคดีซึ่งจอดอยู่ถัดไปได้รับความเสียหายอีกด้วย ดังนี้ นายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายโก๋มิได้มีเจตนากระทําต่อนายเฮงและนายโชคดี เนื่องจากไม่ได้ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับนายเฮงและนายโชคดีตามมาตรา 59 วรรคสอง แต่การที่นายโก๋ขับรถด้วยความเร็วสูงเข้าไปในถนนซอยในหมู่บ้าน ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่มาก ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทําของนายโก๋จึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เป็นเหตุให้ทรัพย์สิน คือ รถยนต์ของนายเฮงและนายโชคดีเสียหาย แต่เนื่องจากกระทำโดยประมาททำให้ทรัพย์ผู้อื่นเสียหาย กฎหมายอาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

สรุป นายโก๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. นายเอกใช้อาวุธปืนไปซุ่มเจตนาจะยิงนายดำคู่อริให้ตาย ในตอนค่ำเห็นนายโทน้องชายของนายเอกใส่เสื้อสีดำเดินมาด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายเอกเข้าใจว่าเป็นนายดำคู่อริ นายเอกใช้ปืนยิงไป กระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย และลูกกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสาวชมพู ซึ่งขี่รถจักรยานจะกลับบ้านได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ดังนี้ นายเอกจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอด แล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายเอกต่อนายโท
การที่นายเอกใช้อาวุธปืนยิงไปถูกนายโทถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายเอกได้กระทำต่อนายโท โดยเจตนา เพราะนายเอกได้กระทำโดยรู้สํานึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันนายเอกได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

และแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น นายเอกจะมีเจตนาฆ่านายดํา แต่ได้ลงมือกระทำต่อนายโท เพราะเข้าใจผิดคิดว่านายโทเป็นนายดำคนที่นายเอกต้องการฆ่า นายเอกจะยกเอาความสําคัญผิดดังกล่าว มาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายโทไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องถือว่านายเอกมีเจตนาฆ่านายโทด้วยตาม มาตรา 61 และเมื่อกระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย นายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโทโดยสำคัญผิด ในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61

ความรับผิดของนายเอกต่อนางสาวชมพู่
การที่นายเอกใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายโท กระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย และยังเลยไปถูก นางสาวชมพู่ได้รับบาดเจ็บนั้น ผลของการกระทำที่เกิดขึ้นกับนางสาวชมพู่เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านายเอกได้กระทำโดยเจตนาต่อนางสาวชมพู่ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วยตามมาตรา 60

ดังนั้น เมื่อนางสาวชมพูไม่ถึงแก่ความตายจึงถือว่านายเอกได้ลงมือกระทำความผิดและได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล นายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวชมพู่โดยเจตนาโดยพลาด ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

สรุป
นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโทตายโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวชมพูโดยเจตนาโดยพลาดตาม มาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 3. นายโก๋ต้องการจะฉุด น.ส.ชมพูสาวที่ตนหลงรัก นายโก๋ขอร้องนายก้านให้ขับรถยนต์มาส่งและจอดรออยู่หน้าประตูรั้วบ้าน น.ส.ชมพู นายโก๋คนเดียวได้เดินเข้าไปในบ้านฉุดข้อมือลาก น.ส.ชมพู เพื่อจะพามาขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ น.ส.ชมพู่ร้องให้มารดาช่วย นางเชยมารดาได้ยินเสียงร้องวิ่ง ออกมาจากหลังบ้านตรงเข้าทุบตีนายโก๋ กลับถูกนายโก๋ถีบจนล้มลง นางเชยจึงไปหยิบปืนในห้อง ออกมายิงไป 2 นัด ถูกนายโก๋ขณะกําลังฉุดลาก น.ส.ชมพู่ ลูกกระสุนปืนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย และลูกปืนยังเลยไปถูกนายก้านซึ่งนั่งรออยู่ในรถยนต์ถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้ นางเชยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น…”

มาตรา 68 “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางเชยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้
การที่นางเชยใช้อาวุธปืนยิงนายโก๋ตาย ขณะที่นายโก๋กําลังฉุดลาก น.ส.ชมพูอยู่นั้น การกระทำของนางเชยเป็นการกระทําโดยรู้สำนึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของนางเชยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนางเชยจะต้องรับผิด ทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของนางเชยถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของ น.ส.ชมพู่ ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อีกทั้งนางเชย ได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของนางเซยจึงเป็นการกระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นางเชยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋ตามมาตรา 68

และเมื่อการที่นางเชยใช้อาวุธปืนยิงนายโก๋นั้น ลูกปืนยังเลยไปถูกนายก้านซึ่งนั่งรออยู่ในรถยนต์ ถึงแก่ความตายอีกด้วย การกระทำของนางเชยต่อนายก้านนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไปตาม มาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของนางเชยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้น โดยพลาดจึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 68 นางเชย จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายก้านเช่นกัน

สรุป
นางเชยไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋และนายก้าน เพราะเป็นการกระทำเพื่อ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นายแก้วทำธุรกิจถูกนายโดมคู่แข่งกลั่นแกล้งช่วงชิงผลประโยชน์ทำให้นายแก้วขาดทุนเกิดความแค้น จึงว่าจ้างนายโก๋ให้ฆ่านายโดมด้วยเงินห้าแสนบาท นายโก๋รับเงินค่าจ้างแล้วได้ไปขอยืมปืนจากนายกว้าง นายกว้างให้ยืมปืนโดยรู้ว่านายโก๋จะเอาไปยิงนายโดม นายโก๋ได้ปืนแล้วไปดักลอบจะยิงนายโดมที่บริเวณหน้าบ้านนายโดม เห็นนายโดมเดินออกมาจําได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกัน จึงเปลี่ยนใจไม่ชักปืนออกมายิง นายโก๋ได้นําปืนไปคืนนายกว้างและนําเงินไปคืนนายแก้ว

ดังนี้ นายแก้ว นายกว้าง และนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณี ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กำหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแก้ว นายกว้าง และนายโก๋ จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายโก๋
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคแรก จะเห็นได้ว่าโดยปกติบุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา ก็ต่อเมื่อ ได้มีการกระทําการซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ซึ่งคําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมา จนถึงขั้นลงมือกระทําแล้ว แต่กรณีตามข้อเท็จจริงนายโก๋เพียงแต่ไปดักลอบจะยิงนายโดม แต่ยังไม่ได้ชักปืนออกมาจ้องยิงไปที่นายโดม การกระทําของนายโก๋จึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําความผิด เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความสําเร็จ ดังนั้น นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโดม

ความรับผิดของนายแก้ว
การที่นายแก้วได้ว่าจ้างนายโก๋ให้ฆ่านายโดมด้วยเงินห้าแสนบาทนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ ผู้อื่นกระทําผิดแล้ว นายแก้วจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่าความผิดที่ใช้ ยังมิได้กระทําลงเพราะนายโก๋ผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา นายแก้วจึงต้องรับโทษหนึ่งในสามของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดนั้นตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนายกว้าง
การที่นายกว้างให้นายโก๋ยืมปืนโดยรู้ว่านายโก๋จะเอาไปยิงนายโดมนั้น ถึงแม้จะเป็นการกระทํา อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทําความผิด แต่เมื่อปรากฏว่านายโก๋ยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด นายกว้างจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป
นายแก้วจะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 84 ส่วนนายกว้างและนายโก๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญา

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด มีหลักกฎหมายและข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง จงอธิบายและ
ยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

อธิบาย
ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ ซึ่งการกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับ ของจิตใจนั่นเอง และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกด้วย ดังจะเห็นได้จาก มาตรา 59 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “การกระทําให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

และโดยหลักทั่วไป การกระทําซึ่งจะทําให้บุคคลผู้กระทําต้องรับผิดในทางอาญานั้น จะต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา คือ เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น (มาตรา 59 วรรคสอง)

การกระทําโดยเจตนา แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. การกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ

(1) เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา หมายถึง การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือ การไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง และ

(2) ในขณะกระทําผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น หมายถึง ในขณะ กระทํานอกจากจะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกแล้ว ผู้กระทํายังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ๆ ตามที่ ผู้กระทํามุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดําจึงใช้ปืนยิงไปที่ดําและถูกดําตาย ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดําถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก และความตายของดําถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

2. การกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ

(1) เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และ

(2) ในขณะกระทําผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น หมายถึง เป็นการกระทําที่ผู้กระทํามิได้ประสงค์ต่อผล กล่าวคือ มิได้มุ่งหมายให้ผลเกิดขึ้น แต่ผู้กระทําย่อมเล็งเห็นได้ว่าผลนั้น จะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดํา และถูกดำตาย ดังนี้ การที่แดงใช้ปืนยิงดำ แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดําตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น แต่การกระทําของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า ถ้ากระสุนปืนถูกดำย่อมทําให้ดำตายได้ จึงถือว่าแดง มีเจตนาฆ่าดำโดยหลักย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 59 วรรคแรก มีข้อยกเว้นว่า บุคคลอาจจะต้องรับผิด ในทางอาญา แม้จะมิได้กระทําโดยเจตนาก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทําโดยประมาท เช่น กระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น หรือ

(2) เป็นการกระทําที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้กระทําโดย ไม่มีเจตนา (ความผิดเด็ดขาด) เช่น การกระทําความผิดตามประมวลรัษฎากร เป็นต้น หรือ

(3) เป็นการกระทําความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้ แม้กระทําโดย ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด เว้นแต่ ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น (มาตรา 104)

 

ข้อ 2. นาย ก. และนาง ข. เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่มาวันหนึ่งนาย ก. สามีเห็นนาย ค. และนาง ข. กําลังทําชู้กัน นาย ก. โกรธจึงยิงนาย ค. และนาง ข. ตายคาที่ จงวินิจฉัยความรับผิดของนาย ก.

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น
(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. ยิงนาย ค. และนาง ข. ตายนั้น การกระทําของนาย ก. เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนาย ก. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนาย ก. จะต้องรับผิด ทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นาย ก. ยิงนาย ค. และนาง ข. ตายในขณะกําลังทําชู้กันนั้น ถือได้ว่า เป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่นาย ค. กับนาง ข. ทําชู้กันนั้น ถือว่า มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นและทําให้นาย ก. เสียหายต่อสิทธิในชื่อเสียง และเกียรติของนาย ก. ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนาง ข. และการที่นาย ค. กับนาง ข. กําลังทําชู้กันนั้น ถือว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นาย ก. จึงต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเมื่อ การกระทําของนาย ก. เป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ จึงครบองค์ประกอบของการกระทําที่ถือว่าเป็นการ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น นาย ก. จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญาแต่อย่างใด

สรุป
นาย ก. ไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้าเข้าเวรเดินตรวจตราท้องที่ในเวลากลางคืนเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน พบนายโก๋กับพวกอีกห้าคนยืนจับกลุ่มในที่มืดแต่ละคนมีท่อนเหล็กแป็บ ร.ต.อ.เก่ง กับ ส.ต.อ.กล้าจึงเข้าไปสอบถาม นายโก๋กับพวกไม่พอใจจึงรุมตี ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้าจนล้มลง ขณะจะใช้ท่อนเหล็กตีซ้ำ ร.ต.อ.เก่งชักปืนยิงสวนไปหนึ่งนัดกระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย พวกนายโก๋ที่เหลือจึงพากันหันหลังวิ่งหนี ส.ต.อ.กล้าลุกขึ้นมาได้ชักปืนยิงพวกที่กําลังวิ่งหนี ถูกลูกกระสุนปืนตายไปอีก 1 คน ดังนี้ ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้า จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนาเว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ร.ต.อ.เก่ง และ ส.ต.อ.กล้า จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของ ร.ต.อ.เก่ง
การที่ ร.ต.อ.เก่งได้ชักปืนออกมายิงนายโก๋กับพวกหนึ่งนัดและกระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย ถือว่า ร.ต.อ.เก่งได้กระทําต่อนายโกโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทําและใน ขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ร.ต.อ.เก่งย่อม จะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ร.ต.อ.เก่งได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น เป็นเพราะนายโก๋กับพวกรุมตี ร.ต.อ.เก่ง และเมื่อ ร.ต.อ.เก่งล้มลงนายโก๋กับพวกก็จะใช้ท่อนเหล็กตีซ้ำ การกระทำของนายโก่กับพวกจึงถือว่าเป็นภยันตรายที่ ละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ดังนั้นการที่ ร.ต.อ.เก่งชักปืนยิงสวนไปเพียงหนึ่งนัด จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จึงถือว่าเป็นการ กระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ร.ต.อ.เก่ง จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

กรณีของ ส.ต.อ.กล้า
การที่ ส.ต.อ.กล้าได้ใช้ปืนยิงไปที่พวกของนายโก๋ที่กําลังวิ่งหนีและถูกลูกกระสุนปืนตายไป อีก 1 คนนั้น ถือว่า ส.ต.อ.กล้าได้กระทำโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สำนึกในการกระทำ และใน ขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น ส.ต.อ.กล้าจึงต้องรับผิดทาง อาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก และการกระทำของ ส.ต.อ.กล้าจะอ้างว่าเป็นการกระเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ เพราะภยันตรายดังกล่าวนั้น ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีภยันตรายใด ๆ แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของ ส.ต.อ.กล้า ถือว่าเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 เพราะการที่พวกของนายโก๋ได้รุมตี ส.ต.อ.กล้าโดยไม่มีอำนาจนั้น ถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และ ส.ต.อ.กล้าก็ได้กระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ดังนั้น ศาลจะลงโทษ ส.ต.อ.กล้า น้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้เพียงใดก็ได้

สรุป
ร.ต.อ.เก่งไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ส.ต.อ.กล้าต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยเจตนา แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้

 

ข้อ 4. หนึ่ง สอง สาม ร่วมกันวางแผนขโมยวัวบ้านนายรวย โดยหนึ่งเข้าไปต้อนวัวที่อยู่ในคอก ส่วนสองดูต้นทางอยู่ใกล้ ๆ เมื่อหนึ่งต้อนวัวมาให้สองแล้ว สองแต่ผู้เดียวได้ต้อนวัวไปส่งให้สามที่รออยู่ที่ ชายทุ่งซึ่งห่างจากบ้านนายรวยประมาณ 1 กิโลเมตร สามได้วัวจากสองแล้วก็ต้อนวัวต่อเพื่อจะนําไปขาย พบสี่กลางทางโดยบังเอิญได้ขอให้สี่ช่วยต้อนวัว สี่ช่วยต้อนวัวให้ทั้งที่รู้ว่าเป็นวัวที่ขโมย ดังนี้ สอง สาม และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัวของนายรวยในฐาน เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สอง สาม และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัว ของนายรวยในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือไม่อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งเพื่อขโมยวัวบ้านนายรวย และในขณะที่หนึ่งได้เข้าไปต้อนวัวที่อยู่ในคอกสองก็ดูต้นทางอยู่ใกล้ ๆ นั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนั้น ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยวัว) ดังกล่าวจึงเป็นความผิดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปคือเกิดจากการกระทำของหนึ่งและสอง สองจึงต้องร่วมรับผิดทางอาญาในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของสาม
แม้สามจะได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งและสองเพื่อขโมยวัวบ้านนายรวยก็ตาม แต่ในขณะที่หนึ่ง ขโมยวัวนั้นสามไม่ได้อยู่ร่วมด้วย แต่สามได้รออยู่ที่ชายทุ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนายรวยประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย จึงถือไม่ได้ว่าสามเป็นตัวการร่วมในการขโมยวัว แต่อย่างไรก็ตาม การที่สาม ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งและสองและไปรออยู่เพื่อที่จะต้อนวัวไปขายนั้น ถือว่าเป็นการกระทําอันเป็นการ ช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนั้น สามจึงต้องรับผิดทางอาญาในฐานเป็น ผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของสี่
สี่ไม่ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่ง สอง และสาม เพื่อขโมยวัวบ้านของนายรวยจึงมิใช่ตัวการ และการที่สี่ได้ช่วยสามต้อนวัวทั้งที่รู้ว่าเป็นวัวที่ขโมยมา สี่ก็ไม่ต้องรับผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการที่สี่ ได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้น ก็เป็นการกระทำหลังจากที่ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยวัว) สำเร็จแล้ว ซึ่งกรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้นจะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดเท่านั้น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกภายหลังการกระทำความผิด จึงเป็นผู้สนับสนุนไม่ได้ ดังนั้น สี่จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนแต่อย่างใด แต่สี่ต้องรับผิดทางอาญาฐานใหม่ คือฐานรับของโจร

สรุป
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
สามต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สี่ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดฐานรับของโจร

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. แสงขับรถยนต์มาตามถนน ป๋องขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถยนต์ของแสง ป๋องเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์แซงด้านซ้ายรถยนต์ของแสง รถจักรยานยนต์ของป๋องได้ชนกระจกมองข้างรถยนต์ ของแสงหักและป๋องได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป แสงได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์ของป๋องเพื่อให้หยุดรถ กระสุนปืนถูกล้อรถจักรยานยนต์เสียหาย และกระสุนปืนถูกป๋องตายด้วย ดังนี้ แสง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสงอยู่บนรถยนต์ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์ของป๋องนั้น แม้ว่าแสงจะมีความประสงค์กระทําต่อทรัพย์คือมีเจตนายิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์เพื่อให้ป๋องหยุดรถ แต่การกระทําดังกล่าวนั้นแสงย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกป๋องได้และอาจทําให้ป๋องถึงแก่ความตายได้ เมื่อแสงได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา การกระทําของแสงจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น ตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนถูกล้อรถจักรยานยนต์เสียหาย และกระสุนปืนถูกป๋องตายด้วย แสงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

สรุป แสงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าป๋องตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

 

ข้อ 2. หาญต้องการฆ่าแห้ว หาญเห็นจ้อยยืนหันหลังให้เข้าใจว่าเป็นแห้วคนที่หาญต้องการฆ่า หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อย กระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ และกระสุนปืนยังเลยไปถูกเดชตาย ดังนี้ หาญต้อง รับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อ ได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอด แล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หาญต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของหาญต่อจ้อย
การที่หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อยนั้น ถือว่าหาญได้กระทําต่อจ้อยโดยเจตนา เพราะหาญได้ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันหาญได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง และหาญได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม

และแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น หาญจะมีเจตนาฆ่าแห้วแต่ได้ลงมือกระทําต่อจ้อยเพราะ เข้าใจผิดคิดว่าจ้อยเป็นแห้วคนที่หาญต้องการฆ่า หาญก็จะยกเอาความสําคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทําต่อจ้อยไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องถือว่าหาญมีเจตนาฆ่าจ้อยด้วยตามมาตรา 61 และเมื่อกระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ ไม่ทําให้จ้อยถึงแก่ความตาย จึงถือว่าหาญได้ลงมือกระทําความผิดและได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้น ไม่บรรลุผล หาญจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าจ้อยโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคแรก

ความรับผิดของหาญต่อเดช

การที่หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อย กระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ และยังเลยไปถูกเดชตายนั้น ผลของการกระทําที่ไปเกิดกับเดชเป็นผลซึ่งเกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงถือว่าหาญได้กระทําโดยเจตนาต่อเดชบุคคล ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น เมื่อเดชถึงแก่ความตาย หาญจึงต้องรับผิดทางอาญา ฐานฆ่าเดชตายโดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

สรุป
หาญต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าจ้อยโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคแรก และต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าเดชตายโดยเจตนาโดยพลาด ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 3. โชคชักปืนขู่บังคับให้ธงตีศีรษะแก้ว หากไม่มีจะยิงธงให้ตาย ธงกลัวโชคยิงตนจึงเงื้อไม้ขึ้นตีไปที่ศีรษะแก้ว แก้วเห็นเข้าพอดีจึงเบนศีรษะหนีพร้อมกับชักมีดแทงสวนถูกธงได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ โชค ธง และแก้ว ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ โชค ธง และ แก้ว จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

ความรับผิดของโชค
การที่โชคใช้ปืนขู่บังคับธงให้ตีศีรษะแก้วนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วย การบังคับขู่เข็ญแล้ว โชคจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ ธงได้ใช้ไม้ตีไปที่แก้ว โชคผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของธง
การที่ธงใช้ไม้ตีไปที่แก้ว ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของธงจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ธงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ธงใช้ไม้ตีไปที่แก้วนั้น ธงได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของโชค ซึ่งธงไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อธงได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของธงจึงเป็น การกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้นธงจึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของแก้ว
การที่แก้วใช้มีดแทงธง ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของแก้วจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง แก้วจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตามการที่แก้วใช้มีดแทงธงนั้น แก้วได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้น จากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของธง และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อแก้วได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของแก้วจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น แก้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อธง

สรุป
โชคต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
ธงต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด ด้วยความจําเป็น
แก้วไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. กรต้องการฆ่าพล กรไปขอยืมอาวุธปืนจากดิเรกเพื่อใช้ยิงพล ดิเรกให้กรยืมอาวุธปืนโดยทราบดีว่ากรจะใช้ยิงพล กรได้อาวุธปืนจากดิเรกแล้วได้ไปดักยิงพล ก่อนกรลงมือยิงพล สมนึกมาพบกรและทราบจากกรว่ามาดักยิงพล สมนึกรับอาสาคอยดูต้นทางให้กรยิงพล พอพลเดินมาสมนึกให้สัญญาณกร กรยิงพลตาย ดังนี้ ดิเรกและสมนึกต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

การวินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่กรใช้ปืนยิงพลตาย ถือว่ากรได้กระทําต่อพลโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น กรจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก ส่วนดิเรกและสมนึกซึ่ง ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดของกร จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของดิเรก
การที่ดิเรกให้กรยืมอาวุธปืนโดยทราบดีว่ากรจะใช้ยิงพล การกระทําของดิเรกถือเป็นการให้ ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด เมื่อกรยิงพลตาย ดิเรกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

ความรับผิดของสมนึก
การที่สมนึกมาพบกรและทราบจากกรว่ามาดักยิงพล สมนึกจึงรับอาสาคอยดูต้นทางให้กรยิงพล และพอพลเดินมาสมนึกได้ให้สัญญาณกร และกรยิงพลตายนั้น ถือว่าสมนึกมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับกร และการกระทําของสมนึกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าพลบรรลุผลสําเร็จ ดังนั้นเมื่อกรยิงพลตาย จึงถือว่า สมนึกร่วมกันกระทําความผิดกับกรฐานฆ่าพลตายโดยเจตนา และต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

สรุป
ดิเรกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สมนึกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชัยและนางสมศรีเป็นสามีภริยามีบุตรด้วยกัน 3 คน นายชัยได้ไปราชการที่ชายแดน เมื่อกลับบ้านนางสมศรีภริยาได้เล่าให้นายชัยฟังว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนายโก๋ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้บุกรุกขึ้นมา บนบ้านและข่มขืนกระทําชําเราตน นายชัยได้ฟังดังนั้นก็โกรธมากจึงพกปืนออกจากบ้านเพื่อจะไปฆ่า นายโก๋ เมื่อนายชัยพบนายโก๋จึงยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋ แต่นายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บและกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้ นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา
การกระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายชัย
การที่นายชัยได้ยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายโก๋ ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายชัยจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่เมื่อปรากฏว่านายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บก่อนที่นายชัยจะยิงนายโก๋ การกระทําของนายชัยจึงถือเป็นการลงมือกระทําความผิดแล้วแต่กระทําไปไม่ตลอด จึงเป็นการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 30

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําดังกล่าวของนายชัยนั้น ได้เกิดขึ้นเนื่องจากนายชัยทราบจาก นางสมศรีภริยาของตนว่าถูกนายโก๋บุกรุกขึ้นมาบนบ้านและข่มขืนกระทําชําเรา ซึ่งถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนายชัย และนายชัยได้กระทําความผิดต่ยนายโก๋ผู้ข่มเหงในขณะที่นายชัยยังโกรธอยู่ การกระทําของนายชัยดังกล่าว จึงเป็นการกระทําความผิดในขณะบันดาลโทสะ อันเป็นเหตุให้นายชัยได้รับการลงโทษให้น้อยลงตามมาตรา 72

ความรับผิดของนายโก๋
การที่นายโก๋ชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บ ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทำของนายโก๋จึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายโก๋จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และเมื่อปรากฏว่ากระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายด้วย จึงเป็นกรณีที่นายโก๋เจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งกฎหมายให้ถือว่านายโก๋เจตนากระทําต่อนางสมศรีโดยพลาดไปตามมาตรา 60 และทั้งสองกรณีนี้ นายโก๋จะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะนายโก๋เป็น ผู้ก่อภัยขึ้นเองตั้งแต่แรก

สรุป นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 แต่ได้รับการลดโทษให้น้อยลงตามมาตรา 72 เพราะเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ นายโก๋ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายชัยตามมาตรา 59 วรรคแรก และรับผิดทางอาญาต่อ นางสมศรีฐานกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60

 

ข้อ 2. นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตาย นายเชิดไม่รู้จักนายศักดิ์เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์ จึงใช้ปืนยิงไปถูกนายสีถึงแก่ความตาย ดังนี้ นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเป็นสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

ความรับผิดของนายเอก
การที่นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาว และบิดาของ ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตายนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว นายเอกจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ นายเชิด ได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนายเชิด
การที่นายเชิดใช้ปืนยิงถูกนายสีถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเชิดจึงเป็นการกระทําโดย เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเชิดจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก และกรณีนี้นายเชิดจะ อ้างความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้เจตนากระทําต่อนายสีไม่ได้ตามมาตรา 61

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีนั้น นายเชิดได้กระทําไปเพราะเพื่อให้ผู้อื่นพ้นจาก ภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งนายเชิดไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อนายเชิดได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายเชิดจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) ดังนั้น นายเชิดจึงมีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ

สรุป
นายเอกต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
นายเชิดต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทํา ความผิดด้วยความจําเป็น

 

ข้อ 3. เชิงชายเตะและต่อยบุญชูจนล้มลงแล้วเชิงชายวิ่งหนี บุญชูลุกขึ้นได้วิ่งไล่ตามพอทันกัน บุญชูชักมีดออกแทงเชิงชาย เชิงชายหลบทันและวิ่งหนีจะเข้าไปในบ้านของสมหวัง สมหวังขัดขวางไม่ยอมให้เชิงชายเข้าไปในบ้านเชิงชายเห็นบุญชูตามเข้ามาอีกจึงผลักสมหวังล้มลงและเข้าไปในบ้าน สมหวังใช้ไม้ตีเชิงชายได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ บุญชู เชิงชาย และสมหวังต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บุญชู เชิงชาย และสมหวัง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของบุญชู
การที่บุญชูชักมีดออกแทงเชิงชาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยสํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบุญชูจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บุญชูจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่เมื่อปรากฏว่าเชิงชายหลบทันจึงไม่ถูกบุญชูแทง การกระทําของบุญชูจึงถือเป็นการลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นการ พยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80

แต่อย่างไรก็ตาม การที่บุญชูถูกเชิงชายเตะและต่อยนั้น การกระทําของเชิงชายถือเป็นการข่มเหงบุญชูอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อปรากฏว่าบุญชูได้กระทําความผิดต่อเชิงชายในขณะที่บุญชูยังโกรธอยู่ การกระทําของบุญชุดังกล่าวจึงเป็นการกระทําความผิดในขณะบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษบุญชูน้อยเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72

ความรับผิดของเชิงชาย
การที่เชิงชายเตะและต่อยบุญชูนั้น ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเชิงชายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง เชิงชายจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อบุญชูตามมาตรา 59 วรรคแรก

และการที่เชิงชายผลักสมหวังล้มลง ก็ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเชิงชายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง เชิงชายจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อสมหวังตามมาตรา 59 วรรคแรก และต้องรับโทษ เชิงชายจะอ้างว่ากระทําผิดด้วยความจําเป็นเพราะเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้ เพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้น เชิงชายได้ก่อให้เกิดขึ้น ด้วยการกระทําผิดของตนเอง

ความรับผิดของสมหวัง

การที่สมหวังใช้ไม้ตีเชิงชาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมหวังจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง โดยหลักแล้วสมหวังจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่สมหวังได้ใช้ไม้ตีไปที่เชิงชายเพื่อไม่ให้เชิงชายเข้าไปในบ้านนั้น สมหวัง ได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ เชิงชาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อสมหวังได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของสมหวังจึงเป็น การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 58 ดังนั้นสมหวังจึงไม่ต้องรับผิดต่อเชิงชาย

สรุป
บุญชูต้องรับผิดทางอาญา แต่รับโทษน้อยลงเพราะกระทําไปโดยบันดาลโทสะ
เชิงชายต้องรับผิดทางอาญาจะอ้างว่ากระทําความผิดด้วยความจําเป็นเพื่อไม่ต้องรับโทษไม่ได้ สมหวังไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะกระทําการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว บรรจงได้ยินเช่นนั้นทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพ บรรจงได้ร่วมกับสุขุมเพื่อนกันวางแผนฆ่าสุเทพ โดยบรรจงไปขอยืมอาวุธปืนจากสุขสม โดยบอกกับสุขสมว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย สุขสมทราบดีว่าบรรจงจะนําอาวุธปืนไปยิงสุเทพ แต่ไม่กล้าบอกความจริง สุขสมเองอยากให้สุเทพตายอยู่แล้ว จึงให้บรรจงยืมอาวุธปืน บรรจงได้อาวุธปืนจากสุขสมแล้วได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่สุขุมเป็นผู้ขับขี่ บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ดังนี้ เนวิน สุขุม และสุขสมต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบรรจงจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บรรจงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เนวิน สุขุม และสุขสม ต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเนวิน

การที่เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อบรรจงได้ยิน เช่นนั้นจึงทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว เนวินจึงต้อง รับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ บรรจง ได้ลงมือกระทําความผิดตามที่ก่อ เนวิน ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของสุขุม
การที่สุขุมได้ร่วมวางแผนกับบรรจงเพื่อฆ่าสุเทพ และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้บรรจงซ้อนท้ายไปยังสุเทพนั้น การกระทําของสุขุมถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับบรรจง สุขุมจึงต้องรับผิดฐานเป็น ตัวการร่วมกับบรรจงตามมาตรา 83

ความรับผิดของสุขสม
การที่สุขสมให้บรรจงยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่าบรรจงจะไปยิงสุเทพนั้น การกระทําของสุขสม ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด สุขสมจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86

สรุป
เนวินต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
สุขุมต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ สุขสมต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. พยายามกระทําความผิดท่านเข้าใจว่าอย่างไร มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด
ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”
อธิบาย

ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ
(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา

(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว

(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์
โทษของการพยายามกระทําความผิด

โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่ กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่ การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายาม กระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 68) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

อธิบาย

ตามบทบัญญัติมาตรา 68 การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อันจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ คือ

1. ต้องมีภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
“ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย” หมายความถึง ภยันตรายนั้นจะต้องเกิด จากการประทุษร้ายและการประทุษร้ายจะมีได้เฉพาะแต่การกระทําของบุคคลเท่านั้น
“ภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย” หมายความว่า เป็นภัยอันเกิดจากการกระทําของ บุคคลโดยไม่มีอํานาจอันถือได้ว่าเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นกฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่งก็ได้

2. ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ภยันตรายที่ใกล้จะถึงนี้มีความหมายอยู่ในตัว ว่าไม่จําเป็นที่จะต้องให้ภัยนั้นเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ที่จะต้องประสบเสียก่อน การป้องกันเป็นการกระทําเพื่อมิให้ภัยนั้น เกิดขึ้นจริงแก่ผู้ต้องประสบภัยตามที่ผู้ก่อภัยประสงค์จะกระทํา กล่าวคือ ถ้าไม่กระทําการป้องกันเสียแต่ขณะใด ภัยอาจเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมป้องกันได้ตั้งแต่ขณะนั้น

3. ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายนั้น

“จําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่น” คําว่า สิทธิ หมายความถึง ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่โดยกฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ สิทธินี้อาจจะเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เสรีภาพ หรือเกียรติยศชื่อเสียงก็ได้ เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิในอันจะไม่ให้ผู้ใดมาละเมิดในสิ่งดังกล่าวของตน

“พ้นจากภยันตราย” หมายความว่า เมื่อมีผู้ก่อภัยขึ้น ผู้ประสบภัยชอบที่จะกระทําการ ป้องกันเพื่อให้ภัยนั้นพ้นจากตัวผู้ประสบภัย เช่น ดําเสื้อมีดจะฟันแดง แดงจึงใช้ไม้ตีที่ข้อมือดํา เพื่อให้มีดหลุดจากมือ ดังนี้ การที่แดงใช้ไม้ตีข้อมือดํา ก็เพื่อให้ภัยที่ก่อขึ้นพ้นไปจากตัวแดง

อย่างไรก็ดี ตามหลักเกณฑ์ข้อ 3. ดังกล่าว มีข้อยกเว้นอยู่ 3 ประการที่ผู้กระทําจะอ้างป้องกันไม่ได้ คือ

1) ผู้ที่เป็นต้นเหตุของภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย

2) ผู้ที่สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน

3) ผู้ที่สมัครใจยินยอมให้ผู้อื่นกระทําความผิดต่อตน และอ้างว่าจําต้องกระทําต่อผู้อื่นเพื่อป้องกันตนเองไม่ได้

4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการคือ

1) ผู้ป้องกันได้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายนั้นด้วยวิถีทางที่ น้อยที่สุดเท่าที่จําต้องกระทํา เช่น ดําเป็นง่อยไปไหนไม่ได้ แดงจึงเขกศีรษะดําเล่น โดยเห็นว่าดําไม่มีทางกระทําตอบได้ ดําห้ามปรามเท่าใดแดงก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าการที่ดําจะป้องกันมิให้แดงเขกศีรษะมีวิธีเดียวคือ ใช้มีดแทงแดง ต้องถือว่าการที่ดําใช้มีดแทงแดงนี้เป็นการกระทําพอสมควรแก่เหตุเพราะเป็นวิธีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันได้

2) ผู้ป้องกันได้กระทําการป้องกันโดยได้สัดส่วนกับภยันตราย ให้พิจารณาว่าอันตราย ที่จะบังเกิดขึ้นถ้าหากจะไม่ป้องกันจะได้สัดส่วนกับอันตรายที่ผู้กระทําได้กระทําเนื่องจากการป้องกันนั้นหรือไม่ เช่น คนเขาจะตบหน้าเราเราจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้ เพราะความเจ็บอันเนื่องจากการถูกตบหน้า เมื่อมาเทียบกับ ความตายแล้วไม่ได้สัดส่วนกัน ฉะนั้นจึงถือว่าการเอามีดแทงเขาตายนี้เป็นการกระทําไปเกินสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีอํานาจทําได้

 

ข้อ 3. วรชัยวิ่งไล่จับสุนัขของตนที่วิ่งหนีออกจากบ้านวรชัย วรชัยวิ่งไปชนเด็กชายตุ้มบุตรของโตล้มลงได้รับบาดเจ็บ วรชัยยังวิ่งตามสุนัขต่อไป โตเห็นบุตรของตนได้รับบาดเจ็บจึงวิ่งไล่ตามวรชัย พอทันกัน โตชักมีดออกแทงวรชัย วีรชนบุตรวรชัยเห็นโตใช้มีดแทงวรชัยจึงใช้ไม้ตีไปที่โต ต่อน้องชายโตอยู่ในเหตุการณ์เห็นวีรชนเงื้อไม้ขึ้นตีโต จึงเข้าไปผลักวีรชนล้มลงได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ วรชัย วีรชน โต และต่อ ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ และจะอ้างเหตุตามกฎหมายอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงได้บ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา
กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่ หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทํา ความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วรชัย วีรชน โต และต่อ จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ และจะอ้างเหตุ เพื่อไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงได้อย่างไรหรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

กรณีของวรชัย

การที่วรชัยวิ่งไล่จับสุนัขของตน แล้วไปชนถูกเด็กชายตุ้มบุตรของโตล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น วรชัยไม่ได้กระทําโดยเจตนา แต่ได้กระทําไปโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัย และพฤติการณ์ แต่วรชัยหาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ จึงถือว่าวรชัยได้กระทําต่อเด็กชายตุ้มโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

กรณีของโต

การที่โตเห็นบุตรของตนถูกวรชัยวิ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ จึงได้วิ่งไล่ตามวรชัยจนทันแล้วชักมีดแทง วรชัยนั้น ถือว่าโตได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันโตประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของโตจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง โตจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโตได้กระทําไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงไปในขณะนั้น จึงถือว่าโตได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษโต น้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72 โดยโตจะอ้างว่าตนได้กระทําโดยเป็นการ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

กรณีของวีรชน

การที่วีรชนบุตรของวรชัยเห็นโตแทงวรชัยบิดา จึงใช้ไม้ตีไปที่โต ถือว่าเป็นการที่วีรชนได้กระทํา ต่อโตโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกัน วีรชนประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น วีรชนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีดังกล่าววีรชนจะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบ ด้วยกฎหมายเพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะการกระทําที่เป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นนั้น ผู้อื่นต้องมีสิทธิป้องกันตนเองได้อยู่แล้ว แต่กรณีของวรชัยนั้น วรชัยได้ก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นโดยประมาท วรชัยจึงไม่มีสิทธิป้องกันตนเอง แต่วีรชนสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(2) เพื่อไม่ต้องรับโทษ เพราะเป็นการกระทําเพื่อให้ผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น

กรณีของต่อ

การที่ต่อน้องชายของโต เห็นวีรชนเงื้อไม้ขึ้นตีโต จึงเข้าไปผลักวีรชนล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่าต่อได้กระทําต่อวีรชนโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันต่อก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ต่อจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีดังกล่าว ต่อจะอ้างว่าการกระทําของตน เป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบ ด้วยกฎหมายเพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะโตได้ก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นโดยเจตนา โตจึงไม่มีสิทธิป้องกันตนเอง (เช่นเดียวกับกรณีของวรชัย) แต่ต่อสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิด ด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(2) เพื่อไม่ต้องรับโทษ (เช่นเดียวกับกรณีของวีรชน)

สรุป

วรชัยต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบวรรคสี่

วีรชนต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะได้กระทํา ความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67

โตต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่จะรับโทษน้อยลง เพราะได้กระทํา ความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72

ต่อต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะได้กระทํา ความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67

 

ข้อ 4. สมยศต้องการฆ่าสมทรง สมยศจ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง ก่อนที่สมเดชจะไปจ้างหาญ สมยศเปลี่ยนใจไม่อยากฆ่าสมทรง จึงบอกเลิกการจ้างต่อสมเดช แต่สมเดชต้องการให้สมทรงตาย สมเดชจึงไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง หาญไม่มีอาวุธ เก่งทราบว่า หาญจะไปฆ่าสมทรงแต่ไม่มีอาวุธปืน เก่งจึงให้หาญยืมอาวุธปืน ก่อนที่หาญจะไปฆ่าสมทรง สมเดชเกิดความกลัวว่าจะถูกจับด้วยหากหาญ ซัดทอด สมเดชจึงบอกเลิกการจ้างต่อหาญ หาญจึงไม่ทําการฆ่าสมทรง ดังนี้ สมยศ สมเดช และเก่ง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํายังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สมยศ สมเดช และเก่ง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ แยก พิจารณาได้ดังนี้คือ
กรณีของสมยศ

การที่สมยศต้องการฆ่าสมทรง สมยศจ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง แต่ก่อนที่สมเดช จะไปจ้างหาญ สมยศเปลี่ยนใจไม่อยากฆ่าสมทรง จึงบอกเลิกการจ้างต่อสมเดชนั้น ถือว่าสมยศไม่ต้องรับผิดต่อสมทรง ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เพราะความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 นั้น จะต้องเป็น “การก่อให้ผู้อื่นกระทํา ความผิด” แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์สมยศเพียงแต่จ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรงไม่ได้จ้างให้สมเดช ไปฆ่าสมทรง ดังนั้นสมเดชจึงมิใช่ “ผู้อื่น” ตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 84 และแม้ว่าต่อมาสมเดช จะได้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง การกระทําของสมเดชก็ไม่ถือว่าเป็นเพราะการใช้ของสมยศ เพราะสมยศได้บอกเลิก การจ้างต่อสมเดชแล้วนั่นเอง

กรณีของสมเดช
การที่สมเดชต้องการให้สมทรงตาย สมเดชจึงไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรงนั้น ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิด สมเดชจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก แต่เมื่อความผิดที่ใช้ยังมิได้กระทําลงเพราะสมเดชได้บอกเลิกการจ้างต่อหาญ หาญจึงไม่ทําการฆ่าสมทรง สมเดชจึงต้องรับโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นตามมาตรา 84 วรรคสอง

กรณีของเก่ง
การที่เก่งให้หาญยืมอาวุธปืนนั้น ถึงแม้จะเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก แก่ผู้อื่นในการกระทําความผิด แต่เมื่อปรากฏว่าหาญยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด เก่งจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป

สมยศไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้
สมเดชต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ โดยรับโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 84
เก่งไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. “ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม’’ คือความหมายของแนวคิดใด
(1) การพัฒนาสังคม
(2) ความผูกพันสังคม
(3) ความเมตตา
(4) จิตสาธารณะ
ตอบ 4 จิตสาธารณะ (Public Mind) คือ ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม หรือ เป็นการตระหนักรู้ตนที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

2. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีเกี่ยวข้องกับเรื่องใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า
(2) ความพอประมาณ
(3) ความมีเหตุผล
(4) ความรับผิดชอบ
ตอบ 1 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับ ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ที่จะเกิดขึ้น โดยต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือได้อย่างทันท่วงที

3. ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดคุณธรรมจริยธรรม คือข้อใด
(1) การสร้างในตนเอง
(2) การอบรม
(3) การได้รับรางวัล
(4) การลงโทษ
ตอบ 1 คุณธรรมจริยธรรมในมนุษย์แต่ละคนอาจเกิดจากลักษณะดังนี้
1. การเลียบแบบ 2. การสร้างในตนเอง
3. การบำเพ็ญประโยชน์และพันธสัญญาประชาคม

4. ขั้นที่สองของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ เกี่ยวข้องกับการกระทำในข้อใด
(1) การแบ่งสรรทรัพยากรของชุมชน
(2) ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิต
(3) การรวมพลังคนในชุมชนในการผลิต
(4) แบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
ตอบ 3 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่ 2 หลังจากที่เกษตรกรได้ปฏิบัติตาม หลักการในขั้นที่ 1 จนได้ผลแล้ว ก็จะเริ่มพัฒนาไปสู่ขั้นของการรวมพลังเกษตรกรในชุมชน ให้เป็นกลุ่มหรือสหกรณ์ เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ ได้แก่
1. การผลิต 2. การตลาด 3. ความเป็นอยู่ของครอบครัว 4. สวัสดิการ
5. การศึกษา 6. สังคมและศาสนา

5. คำสำคัญของแนวคิดจิตสาธารณะคืออะไร
(1) ส่วนต่าง
(2) ส่วนได้เสีย
(3) ส่วนลึกของจิตใจ
(4) ส่วนรวม
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. การศึกษาแบบใดที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
(1) การศึกษาเปลี่ยนระบบ
(2) การศึกษาตามท้องถิ่น
(3) การศึกษานอกระบบ
(4) การศึกษาเพื่อการพัฒนา
ตอบ 3 การศึกษาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศมีหลักภารพื้นฐานว่า มนุษย์ที่มีคุณภาพต้องได้รับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต

7. ในการใช้สถานที่จัดตั้งแรกเริ่ม มหาวิทยาลัยรามคำแหงใช้สถานที่ร่วมกับหน่วยงานใด
(1) กรมเศรษฐสัมพันธ์
(2) กรมสามัญศึกษา
(3) กรมวิเทศสัมพันธ์
(4) สภาการศึกษาแห่งชาติ
ตอบ 1
สถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติในคราวประชุมเมื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 เป็นมติให้ใช้เป็นสถานที่ชั่วคราว โดยเป็นการใช้สถานที่ร่วมกันกับกรมเศรษฐสัมพันธ์ ซึ่งเป็นส่วนราชการที่ดูแลสถานที่แสดงสินค้าในขณะนั้น

8. ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยแหล่งใดหรือประสบการณใดที่เป็นเหตุการณตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลในสังคมขาดคุณธรรม
(1) การเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน
(2) การซื้อของในห้างสรรพสินค้า
(3) อุบัติเหตุในท้องถนน
(4) หนังสือพิมพ์รายวันหน้าแรก
ตอบ 4 ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลในสังคมขาดคุณธรรม คือ หนังสือพิมพ์รายวัน หน้าแรกที่มีแต่ข่าวฆาตกรรม ข่มขืน จี้ปล้น ฉ้อโกง ฯลฯ ซึ่งหากคนในสังคมมีคุณธรรมและ จริยธรรมในการดำเนินชีวิต เหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข

9. กรณีใดต่อไปนี้คือ บุคคลที่นำหลักคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
(1) ชาติชายอดทนทุกอย่างเพื่อให้เพื่อนได้ดี
(2) ดำรงทำดีเฉพาะคนที่ทำดีกับเขาเท่านั้น
(3) สมสมรทำดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคน
(4) สายสมรเข้าใจธรรมชาติของตนเองและผู้อื่น
ตอบ 4 บุคคลในตัวเลือกข้อ 4 นำหลักคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ดังนี้
1. หลักการครองตน คือ การรู้จักตนเองและทำตามที่ตนเองต้องการ เข้าใจธรรมชาติของตนเอง และสามารถควบคุมตนเองได้ เป็นผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน
2. หลักการครองคน คือ การรู้จักและเข้าใจธรรมชาติผู้อื่น โดยการมองคนอื่นในแง่ดีอยู่เสมอ และพร้อมให้โอกาส

10. สิ่งใดใช้เป็นหลักยึดในจิตใจหรือความคิดของผู้มีคุณธรรม
(1) ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
(2) สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
(3) บุญและบาปมีจริง
(4) เขาดีเราดีตอบ เขาร้ายเราร้ายตอบ
ตอบ 3 สิ่งที่ใช้เป็นหลักยึดในจิตใจหรือความคิดของผู้มีคุณธรรมที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ บุญและบาปมีจริง ซึ่งตามทัศนะของพุทธศาสนาถือว่า “บุญ” และ “บาป” เกิดจากจิต หากจิตคิดดีย่อมแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมาทางกายและวาจา เรียกว่า “บุญ” แต่ถ้าจิตคิดชั่ว ย่อมแสดงพฤติกรรมที่ชั่วออกมาทางกายและวาจา เรียกว่า “บาป”

11. การคิดวิเคราะห์ พิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม เป็นปัจจัยใดที่ทำให้เกิดจิตสาธารณะ
(1) ปัจจัยสภาพแวดล้อม
(2) ปัจจัยภายนอก
(3) ปัจจัยภายใน
(4) เอกตปัจจัย
ตอบ 3 ไพบูลย์ วัฒนสิริธรรม และสังคม สัญจน กล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งภายใน และภายนอกที่ก่อให้เกิดจิตสาธารณะไว้ดังนี้
1. ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจัยที่เกี่ยวกับภาวะทางสัมพันธภาพของมนุษย์ ภาวะทางสังคม
2. ปัจจัยภายใน หมายถึง การคิดวิเคราะห์ของแต่ละบุคคลในการพิจารณาตัดสินคุณค่าและ ความดีงาม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติทางจิตใจ

12. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใดเป็นผู้เสนอชื่อมหาวิทยาลัย “รามคำแหง”
(1) สมุทรสาคร
(2) หนองคาย
(3) ขอนแก่น
(4) พัทลุง
ตอบ 3 ในวาระที่ 2 มีประเด็นที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชื่อร่างพระราชบัญญัติ” เกี่ยวกับ ประเด็นนี้ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลายคนอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และมีการ เสนอชื่ออื่นอีก ได้แก่ มหาวิทยาลัยรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยราษฎร มหาวิทยาลัยประชาชน มหาวิทยาลัยของปวงชนชาวไทย และมหาวิทยาลัยรามคำแหง สำหรับชื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นชื่อที่นายแคล้ว นรปติ ส.ส จังหวัดขอนแก่น เป็นผู้เสนอ

13. ข้อใดคือความหมายของจิตสาธารณะ
(1) ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม
(2) สัมพันธภาพในครอบครัว
(3) เอกลักษณ์แห่งตน
(4) การดูแลสิ่งแวดล้อม
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

14. ความหมายของ “จิตสาธารณะ” เป็นลักษณะใกล้เคียงกับสิ่งใดในจิตใจของมนุษย์
(1) จิตแฝงเร้น
(2) จิตภายนอก
(3) จิตส่วนบุคคล
(4) จิตสำนึก
ตอบ 4 คำว่า “จิตสาธารณะ” เป็นคำที่มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ นานา เนื่องจากยังเป็น คำใหม่ที่สังคมไทยเริ่มใช้กัน โดยภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Public Mind” และมีคำใกล้เคียงกัน คือ คำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” หรือ “Public Consciousness”

15. ชื่อใดที่เคยได้รับการเสนอก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรตัดสินใจเลือกชื่อ “มหาวิทยาลัยรามคำแหง”
(1) มหาวิทยาลัยประชาชน
(2) มหาวิทยาลัยตลาดวิชา
(3) มหาวิทยาลัยเปิดนอกระบบ
(4) มหาวิทยาลัยชาติไทย
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

16. กลุ่มนักการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนใหญ่สังกัดพรรคการเมืองใด
(1) เสรีมนังคศิลา
(2) ก้าวหน้า
(3) ประชาธิปัตย์
(4) สหประชาไทย
ตอบ 4 ในปี พ.ศ. 2512 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากทุกภาคของประเทศ ที่สังกัดพรรคสหประชาไทยได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ได้แก่
1. นายประมวล กุลมาตย์ ส.ส. จังหวัดชุมพร เป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..
2. นายสวัสดิ์ คำประกอบ ส.ส. จังหวัดนครสวรรค์
3. นายญวง เอี่ยมศิลา ส.ส. จังหวัดอุดรธานี
4. นายยศ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส. จังหวัดนครราชสีมา
5. นายประสิทธิ์ ชูพินิจ ส.ส. จังหวัดกำแพงเพชร ฯลฯ

17. ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปจนขาดแคลนและไม่มากเกินศักยภาพ คืออะไร
(1) ความสมดุล
(2) ความสมถะ
(3) ความยืดหยุ่น
(4) ความพอประมาณ
ตอบ 4 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปจนขาดแคลน และไม่มากเกินศักยภาพ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เป็นความพอดีในการผลิตและการ บริโภคที่พิจารณาแล้วว่าจำเป็นและเหมาะสมกับสถานะของตนเอง สิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่

18. เนื่องจากจิตใจของคนเราอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย จำเป็นต้องมีสิ่งใดเป็นตัวกำกับ
(1) ปัญหา
(2) ปัญญา
(3) ทัศนคติ
(4) ความเชื่อ
ตอบ 2 เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปแล้ว จิตใจของคนเราย่อมอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย หากไม่มีปัญญาเป็นตัวกำกับ อาจมีสิ่งจูงใจให้จิตใจอ่อนไหวไปตามโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ แต่ถาหากบุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งในความเป็นจริงของโลกและชีวิตปัญญาก็จะเป็นตัวชี้นำไม่ให้จิตใจอ่อนไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ จิตใจก็จะเข้มแข็งไม่อ่อนไหวปรวนแปร

19. กรรมาธิการในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ประกอบด้วยกรรมาธิการฝ่ายผู้แทนจำนวนกี่คน
(1) 6 คน
(2) 7 คน
(3) 8 คน
(4) 9 คน
ตอบ 3 นายประมวล กุลมาตย์ เจ้าของร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..เสนอแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งที่ประชุมลงมติให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา 15 คน ประกอบด้วย กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลจำนวน 7 คน และกรรมาธิการฝ่ายผู้แทนจำนวน 8 คน

20. สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ เราควรนำหลักคุณธรรมข้อใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต
(1) ความรอบคอบ
(2) ความอดทน
(3) ความกล้าหาญ
(4) ความเมตตา
ตอบ 2 หลักคุณธรรมที่ควรนำมาใช้ดำเนินชีวิตในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ได้แก่
1. ความอดทน (ขันติ) คือ อดทนอดกลั้นต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อการทำหน้าที่ การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. การประหยัด คือ ใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเพ้อ ไม่ฟุ้มเฟือย ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง

21. การศึกษาวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม คือกระบวนการผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับอะไร
(1) ความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(2) วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(3) พันธกิจของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอบ 4 วัตถุประสงค์ของการเปิดสอนและการศึกษาวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม ก็เพื่อผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ มุ่งผลิตบัณฑิต ที่มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะของบัณฑิตที่ทำให้สังคมยอมรับ

22. วัตถุประสงค์การเปิดสอนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อให้การผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นไปตามอะไร
(1) อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(2) วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(3) พันธกิจของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) เอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23. ข้อใดคือเป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนนปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 1 เป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจาก โลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

24. คณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งอธิบดีกรมพลศึกษาในขณะนั้นคือใคร
(1) นายก่อ สวัสดิพาณิชย์
(2) นายบุญสม มาร์ติน
(3) นายสุขุม นวพันธ์
(4) นายเรณู สุวรรณสิทธิ์
ตอบ 2 กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิชุดแรกในการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีรายนามและตำแหน่งในขณะนั้น คือ
1. นายเรณู สุวรรณสิทธิ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ
2. นายบุญสม มาร์ติน อธิบดีกรมพลศึกษา
3. นายสุขุม นวพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย
4. นายก่อ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสามัญศึกษา

25. “คน” จัดว่าเป็นทรัพยากรประเภทใดที่ต้องพัฒนา
(1) ทรัพยากรมนุษย์
(2) ทรัพยากรธรรมชาติ
(3) ทรัพยากรคุณธรรม
(4) ทรัพยากรชีวิต
ตอบ 1 คนจัดเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าและสำคัญต่อการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน โดยมนุษย์ ที่ได้รับการพัฒนาควบคู่ทั้งด้านความรู้และจิตใจ (สุขภาวะจิต) ถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่างมีคุณภาพ

26. เมื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดทำการสอนมา 4 ปีเศษแล้ว มีผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี คณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนน้อยที่สุดในวันพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก คือคณะใด
(1) คณะรัฐศาสตร์
(2) คณะบริหารธุรกิจ
(3) คณะวิทยาศาสตร์
(4) คณะมนุษยศาสตร์
ตอบ 3 เมื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดทำการสอนมา 4 ปีเศษ ในปีการศึกษา 2517 มีผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจำนวน 1,256 คน ซึ่งได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ในวันพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยคณะที่มีผู้สำเร็จ การศึกษาจำนวนน้อยที่สุด คือ คณะวิทยาศาสตร์ มี 10 คน ส่วนคณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนมากที่สุด คือ คณะนิติศาสตร์ มี 473 คน

27. การวางแผนเพื่อให้เกิดโอกาสความสำเร็จสูง ต้องใช้เงื่อนไขใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) เงื่อนไขคุณธรรม
(2) เงื่อนไขหลักวิชา
(3) เงื่อนไขชีวิต
(4) เงื่อนไขพื้นฐาน
ตอบ 2 เงื่อนไขหลักวิชาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำเนินกิจกรรมใดต้องอาศัย ความรอบรู้เชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาวางแผนและปฏิบัติการตามแผน ด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในภารดำเนินการ เพราะการวางแผนที่อาศัยความรู้ที่เป็นหลักวิชาย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง และหากได้ปฏิบัติตามแผนอย่างระมัดระวัง โอกาสผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก

28. เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. 2540
(1) การไม่ปฏิบัติตามแผนพัฒนาของประเทศ
(2) การพัฒนาประเทศไม่สมดุล
(3) การวางแผนอย่างไม่มีวิสัยทัศน์
(4) การใช้ทรัพยากรไม่ทั่วถึง
ตอบ 2 สาเหตุที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติการเงินที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. 2540 คือ การพัฒนาประเทศไม่สมดุล เพราะไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมของการพัฒนาที่หวังพึ่งองค์ความรู้และเงินทุนจากต่างประเทศ กับศักยภาพภายในประเทศทั้งในเรื่องของโครงสร้าง พื้นฐาน ความพร้อมของระบบและคน ทำให้การพัฒนาดำเนินไปอย่างไม่มีเสถียรภาพ

29. กรรมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เริ่มจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น ท่านใดที่เป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..
(1) นายญวง เอี่ยมศิลา
(2) นายสุรินทร์ เทพกาญจนา
(3) นายสวัสดิ์ คำประกอบ
(4) นายประมวล กุลมาตย์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

30. ตามหลักจิตวิทยา การเกิดจิตสำนึกของเด็กจากการอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงอายุประมาณเท่าใด
(1) 6 ปี
(2) 4 ปี
(3) 3 ปี
(4) 2 ปี
ตอบ 1 การปลูกฝังจิตสาธารณะควรเริ่มทำก่อนอายุ 6 ปี เพราะตามหลักการทางจิตวิทยา การเกิดจิตสำนึกของเด็กจะถูกพัฒนามาจากการอบรมเลี้ยงดูในช่วงแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 6 ปี ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตและความเสียสละจะเกิดขึ้นตั้งแต่การอบรมบ่มเพาะในครอบครัว โดยพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวจะเป็นตัวแบบในการดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรม

31. กล่าวโดยสรุป คำว่า “คุณธรรม’’ และ “จริยธรรม” เกี่ยวข้องกับอะไร
(1) พลวัตรของวัฒนธรรม
(2) การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม
(3) คุณงามความดี
(4) การหล่อหลอมค่านิยมของโลก
ตอบ 3 ความหมายของคำว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” เป็นเรื่องที่ เกี่ยวพันกันในด้านคุณงามความดี แต่จะมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ
1. คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคล เช่น ความกตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีน้ำใจ เสียสละ อดทน ฯลฯ
2. จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงามทั้งกายและวาจา สมควรที่บุคคลจะประพฤติปฏิบัติเป็นพฤติกรรมภายนอก ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นเรื่องของการแสดงออก ให้เห็นเป็นประจักษ์

32. ความมีเหตุผล จัดอยู่ในข้อคิดใดของหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) เป้าประสงค์
(2) แนวคิดหลัก
(3) เงื่อนไข
(4) หลักการ
ตอบ 4
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอเพียง ซึ่งหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

33. สุภาษิตสอนหญิง เป็นตัวอย่างของวรรณคดีที่ผู้อ่านพัฒนาสิ่งใด
(1) ความงาม
(2) การแสดงออกทางอารมณ์
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) จิตสาธารณะ
ตอบ 3 แหล่งที่มาของคุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่
1. ปรัชญาต่าง ๆ 2. ศาสนาต่าง ๆ 3. วรรณคดี ซึ่งจะมีแนวคิดคำสอนที่เป็นแนวปฏิบัติได้ เช่น สุภาษิตพระร่วง โคลงโลกนิติ และสุภาษิตสอนหญิง 4. สังคม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี 5. การเมืองการปกครอง

34. ข้อใดคือหลักคุณธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องเหมาะสม
(1) ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
(2) ทำหน้าที่เกินสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
(3) ทำหน้าที่เมื่อได้รับมอบหมายเท่านั้น
(4) ทำหน้าที่เมื่อมีคนสั่ง
ตอบ 1 หลักคุณธรรมจริยธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องเหมาะสม คือ การทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ หรือเต็มศักยภาพที่ตนเองมี โดยต้องเป็นการกระทำที่ เหมาะสมตามหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เว้นสิ่งที่ควรเว้น และทำสิ่งที่ควรทำด้วยความฉลาดรอบคอบ รู้เหตุรู้ผลถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล

35. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของบุคคลที่มีจิตสาธารณะ
(1) ความเฉลียวฉลาด
(2) มีความเชื่อใจ ไว้ใจผู้อื่น
(3) ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
(4) มีความรัก เอื้ออาทร
ตอบ 1 คุณลักษณะของบุคคลทีมีจิตสาธารณะ มีดังนี้
1. มีความรัก ความเอื้ออาหร
2. มีความเชื่อใจ ไว้ใจผู้อื่น
3. มีการเรียนรู้ร่วมกันและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4. สามารถยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
5. มีปฏิสัมพันธ์ผ่านทางเครือข่ายและการมีส่วนร่วม

36. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุกนิรันต์ เคยดำรงตำแหน่งทางการบริหารมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยใด
(1) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(2) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(3) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตอบ 3 ประวัติของศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ, ผาสุขนิรันต์มีดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ก่อนที่จะไป ศึกษาปริญญาเอก ณ ต่างประเทศ
2. เคยดำรงตำแหน่งทางการบริหารโดยเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. ทำงานด้านการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลในรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร
4. เป็นประธานกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง
5. ดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง

37. ข้อใดไม่ใช่แหล่งที่มาของคุณธรรม
(1) ปรัชญาต่าง ๆ
(2) ศาสนาต่าง ๆ
(3) ขนบธรรมเนียมประเพณี
(4) ภัยพิบัติ
ตอบ 4 .ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

38. การรักษาวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม คือคุณสมบัติที่ดีของใครตามหลักการความพอเพียงระดับครอบครัว
(1) บุตรชาย
(2) แม่บ้าน
(3) หัวหน้าครอบครัว
(4) ปู่ย่าตายาย
ตอบ 3 หน้า 68 คุณสมบัติของหัวหน้าครอบครัว มีดังนี้
1. รับผิดชอบดูแลครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพสุจริต
2. บริหารจัดการรายรับและรายจ่ายให้เกิดความสมดุล
3. รู้จักประหยัดด้วยการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า
4. มีการออมเงิน แต่ไม่ตระหนี่
5. มีการแบ่งปันตามสมควร
6. ลดละเลิกอบายมุข
7. รักษาวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ฯลฯ

39. หลักการในข้อใดที่ใช้ในการพัฒนาจิตสาธารณะ
(1) หลักจริยธรรม
(2) หลักคุณธรรม
(3) หลักศีลธรรม
(4) หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 4 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็นหลักการที่ใช้พัฒนาจิตสาธารณะของบุคคลได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะหากเรานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง เชื่อว่าทุกคนในชาติหรือในระดับโลกจะเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะที่มองเห็นแต่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างแน่นอน

40. “การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนึก และยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัด และ มีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” คิอนิยามของแนวคิดหรือหลักการใด
(1) คุณธรรม
(2) จิตสาธารณะ
(3) จิตสำนึก
(4) จริยธรรม
ตอบ 2 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ให้ความหมายของจิตสาธารณะว่า การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนึก และยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัด และมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

41. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับความประพฤติ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับจิตใจ
(2) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับจินตนาการ และจริยธรรมเกี่ยวชข้องกับความประพฤติ
(3) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับจิตใจ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับความประพฤติ
(4) คุณธรรมเกี่ยวช้องกับจิตใจ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับจินตนาการ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

42. ตามแนวคิดจิตสาธารณะ ถ้าบุคคลมองว่าทรัพยากร สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นของตนเอง อะไรจะเกิดขึ้นในสังคม
(1) ความขัดแย้ง
(2) สังคมมีแต่ความเพ้อผัน
(3) บุคคลในสังคมขาดจินตนาการ
(4) สังคมมีขนาดเล็กลง
ตอบ 1 จิตสาธารณะเป็นแนวทางหนึ่งที่สังคมเริ่มมาให้ความสนใจ เพราะหากเราไม่มีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คิดว่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง เป็นของตนเอง จนมองข้ามประโยชน์ส่วนรวมไป คงอีกไม่นานประเทศชาติก็คงถึงจุดที่มีแต่ความขัดแย้ง มีการสูญเสียทรัพยากรและสมบัติที่เป็นของชาติไป

43. การวัดระดับคุณธรรมทำได้สองระดับคืออะไร
(1) ด้านดี และด้านชั่ว
(2) ด้านสุข และด้านทุกข์
(3) ด้านโลกียธรรม และด้านโลกุตรธรรม
(4) ด้านตนเอง และด้านผู้อื่น
ตอบ 3 การวัดระดับของคุณธรรมจริยธรรมทำได้ 2 ระดับ ดังนี้
1. ระดับโลกียธรรม ได้แก่ ธรรมอันเป็นวิสัยของมนุษยโลก สภาวะเนื่องกับโลก เช่น ศีล 5
2. ระดับโลกุตรธรรม ได้แก่ ธรรมอันมิใช่โลก สภาวะพ้นโลก เช่น มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1

44. นายยศ อินทรโกมาลย์สุต เป็นสมาชิกสภาผู้แทนคนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย รามคำแหง ขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดใด
(1) หนองคาย
(2) ขอนแก่น
(3) อุดรธานี
(4) นครราชสีมา
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

45. ความหมายของคำว่า “จิตสาธารณะ (Public Mind)” กับ “จิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness)” เมื่อพิจารณาทั้งภาษาไทยร่วมกับภาษาอังกฤษนั้นเป็นอย่างไร
(1) แตกต่างกันทั้งหมดไม่สามารถใช้แทนกันได้
(2) เกี่ยวข้องกันในบางกรณี
(3) คำว่า“จิตสาธารณะ”ใช้ในประเทศไทยเท่านั้น
(4) ใกล้เคียงกัน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

46. การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจ ไม่หวังผลตอบแทน คือลักษณะใดของบุคคล
(1) ความหวังดี
(2) ความกรุณา
(3) จิตสาธารณะ
(4) ความซื่อสัตย์
ตอบ 3 ทิพมาศ เศวตวรโชติ กล่าวว่า การดำรงชีวิตในสังคมที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น อย่างเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน ถึงแม้ว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรา หรือเราไม่ได้เดือดร้อนด้วย แต่ก็เต็มใจที่จะแบ่งปันให้การช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน นั่นคือ การแสดงความมีจิตสาธารณะ

47. คุณธรรมจริยธรรมใช้เป็นอะไรในการพัฒนาคนด้านจิตใจและการกระทำ
(1) รางวัล
(2) แนวทางการลงโทษ
(3) การให้ความรู้
(4) บรรทัดฐาน
ตอบ 4 คุณธรรมจริยธรรมได้ถูกหยิบยกมาเป็นบรรทัดฐานอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคน ในด้านจิตใจและการประพฤติปฏิบัติ (การกระทำ) เพราะคนหรือมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน มีข้อตกลงและมีเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นสุดท้ายกับสังคมที่คนส่วนใหญ่มีคุณธรรมจริยธรรมก็คือ ความสงบสุขและมีสันติอย่างยั่งยืน

48. ข้อใดคือความเสี่ยงที่มักเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย
(1) การหาพันธุ์พืช
(2) การเสื่อมของปุ๋ย
(3) ขาดประสบการณ์
(4) การขาดแคลนแรงงาน
ตอบ 4 ความเสี่ยงที่เกษตรกรไทยมักพบอยู่เป็นประจำ ได้แก่
1. การขาดแคลนน้ำ ฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง 2. ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
3. สภาพดินที่ไม่เหมาะสม 4. โรคระบาดและศัตรูพืช
5. การพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศที่มีราคาสูง
6. การขาดแคลนแรงงาน
7. มีหนี้สินจนต้องสุญเสียที่ดินทำกิน

49. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ขอพระราชทานวโรกาสเข้าทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านใด
(1) การพัฒนามนุษย์
(2) ประวัติศาสตร์
(3) ภูมิศาสตร์
(4) ศึกษาศาสตร์
ตอบ 1 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 นายโคฟี่ อันนัน ซึ่งเป็นเลขาธิการองค์) สหประชาชาติ (UN) ในขณะนั้นได้ขอพระราชทานพระราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UN) แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

50. วิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องใด
(1) การเมือง
(2) การเงิน
(3) การปกครอง
(4) การพัฒนา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

51. ระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะใดหรือภาควิชาใดมีหน้าที่เกี่ยวกับสาขาวิชาใด ก็อำนวยการศึกษาและวิจัยในสาขาวิชานั้น ๆ แก่นักศึกษาทุกคนทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เรียกว่าระบบการเรียนการสอนแบบใด
(1) Intermediate Program
(2) Interdivision Program
(3) International Program
(4) Interdisplinery Program
ตอบ 4 ร่างข้อบังคับฯ ว่าด้วยการศึกษาชั้นปริญญาตรี พ.ศ. 2514 ได้กำหนดระบบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งอำนวยการศึกษาด้วยวิธีประสานงาน ด้านวิชาการระหว่างสาขาวิชา (Interdisplinery Program) กล่าวคือ คณะใดหรือภาควิชาใด มีหน้าที่เกี่ยวกับสาขาวิชาใดก็อำนวยการศึกษาและวิจัยในสาขาวิชานั้น ๆ แก่นักศึกษา ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย

52. การแก้ปัญหาของมนุษย์ควรใช้อะไรเป็นหลัก
(1) ข่าวสาร
(2) จิตสำนึก
(3) เหตุผล
(4) ความกรุณา
ตอบ 3 ตามหลักพุทธศาสนา การแก้ปัญหาของมนุษย์ควรมุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาที่เหตุปัจจัยด้วยปัญญาและเหตุผลอย่างเป็นระบบ เพื่อความพ้นทุกข์อย่างยั่งยืน เรียกว่า อริยสัจ 4 หมายถึง ความจริงหรือสัจธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ (ปัญหา) สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) นิโรธ (หนทางดับทุกข์) และมรรค (วิธีการแก้ทุกข์)

53. ใครคือผู้ประพันธ์คำกลอนข้างล่างนี้
เมื่อความรู้ยอดเยี่ยมสูงเทียมเมฆ แต่คุณธรรมต่ำเฉกยอดหญ้านั่น
อาจเสกสร้างมิจฉาสารพัน ด้วยจิตอันไร้อายในโลกา
แม้คุณธรรมเยี่ยมถึงเทียมเมฆ แต่ความรู้ต่ำเฉกเพียงยอดหญ้า
ย่อมเป็นเหยื่อทรชนจนระอา ด้วยปัญญาอ่อนด้อยน่าน้อยใจ
หากความรู้สูงล้ำคุณธรรมเลิศ แสนประเสริฐกอปรกิจวินิจฉัย
จะพัฒนาประชาราษฎร์ทั้งชาติไทย ต้องฝึกให้ความรู้คู่คุณธรรม
(1) วศิน อินทสระ
(2) พระพุทธทาสภิกขุ
(3) ร.อ.ไพบูลย์ ดีคง (4) อำไพ สุจริตกุล
ตอบ 4 จากคำกลอนของอำไพ สุจริตกุล ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การจัดการศึกษาจะต้องยึดหลักที่สำคัญ คือ การให้ความรู้ควบคู่คุณธรรม สังคมไทยจึงจะมีสมาชิกของสังคมที่เป็น ทั้งคนเก่งและคนดี

54. การเป็นสมาชิกของสังคมไทย ท่านสามารถแสดงออกว่าท่านมีจิตสาธารณะได้อย่างไร
(1) ไม่ยอมรับความไม่ทัดเทียม เอารัดเอาเปรียบในสังคม
(2) ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า
(3) ไปทำงานทุกวันโดยไม่หยุดงาน และไม่ใช้สิทธิในวันหยุดพักร้อน
(4) ขับรถโดยปฏิบัติตามกฎจราจร
ตอบ 2 ในฐานะสมาชิกของสังคมไทย เราสามารถนำจิตสาธารณะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเริ่มจากตนเองในกิจกรรมเล็ก ๆ ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้ำ น้ำมัน หรือไฟฟ้าอย่างประหยัด และคุ้มค่า ฯลฯ จนไปถึงกิจกรรมใหญ่ ๆ ในระดับชุมชน ได้แก่ การพัฒนาชุมชน, การรักษา สิ่งแวดล้อมในชุมชน (เช่น การไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง) ฯลฯ หรือจนถึงระดับประเทศชาติ เช่น การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ต่าง ๆ ฯลฯ

55. ข้อใดคือเหตุผลในการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) กระจายนักศึกษาจากการกระจุกตัวไปเรียนในคณะที่จัดตั้งเพิ่ม
(2) สนองตอบความต้องการของรัฐ
(3) การขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักสถิติ
(4) ให้โอกาสนักศึกษาเรียนรู้สิ่งใหม่
ตอบ 3 เหตุผลในการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ เพื่อให้สามารถผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถิติได้โดยตรง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาในเรื่อง การขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักสถิติของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

56. นายแดงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหงไม่เคยทุจริตในการสอบ ถึงแม้จะทราบดีว่าเขาคงสอบไม่ผ่านหลายวิชา การตัดสินใจของนายแดงอยู่ในเงื่อนไขใด
(1) เงื่อนไขชีวิต
(2) เงื่อนไขความดี
(3) เงื่อนไขคุณธรรม
(4) เงื่อนไขหลักวิชา
ตอบ 3 หน้า 66 เงื่อนไขคุณธรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของตนให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ และรู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่น เช่น การที่นักศึกษาแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ไม่ทุจริตในการสอบ และพึงพอใจในผลสอบที่ตนเองได้รับ เป็นต้น

57. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบหลักของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
(1) แนวคิดหลัก
(2) หลักการ
(3) เงื่อนไข
(4) อุปสงค์
ตอบ 4 สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมวลหลักแนวคิดการพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 โดยจําแนกออกเป็น 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1. แนวคิดหลัก 2. เป้าประสงค์ 3. หลักการ 4. เงื่อนไขพื้นฐาน

58. วิชาใดที่เปิดสอนเป็นวิชาแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) LS 103
(2) PS 110
(3) LW 103
(4) EN 101
ตอบ 1 กระบวนวิชาแรกที่สอนในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนครั้งแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ LS 103 วิชาการใช้ห้องสมุด สอนโดย อ.อัมพร วีระวัฒน์ และคาบต่อมาก็คือ กระบวนวิชา PS 110 วิชาการปกครองของไทย สอนโดยศาสตราจารย์ ดรศักดิ์ ผาสุขนิรันต์

59. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับประวัติของศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์
(1) อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(2) ประธานกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(3) สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
(4) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 36.

60. “หากคน ๆ หนึ่งมีจิตใจเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่มักจะถูกสังคมเอาเปรียบอยู่เสมอ ในที่สุดเขาอาจจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวของบุคคลดังกล่าวเกิดจากปัจจัยใดเป็นเหตุ
(1) ปัจจัยภายในตัวบุคคลเองที่ขาดการวิเคราะห์
(2) ปัจจัยบังเอิญที่บุคคลนั้นตกในสถานะต้องไปคบหาสมาคมกับคนรอบข้างที่เห็นแก่ตัว
(3) ปัจจัยการเลี้ยงดูและปลูกฝังความเสียสละโดยครอบครัว และสถานศึกษาไม่เพียงพอ
(4) ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในสังคม
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ) การพัฒนาจิตสํานึกสาธารณะจะต้องกระทําควบคู่กันไปทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก เพราะหากคน ๆ หนึ่งเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนรอบข้างมีจิตสาธารณะ แต่ตัวเขาเองขาดปัจจัยภายใน คือ ขาดการคิดวิเคราะห์ที่เหมาะสมเขาก็จะไม่นําเอาแบบอย่างที่ดีในสังคมมาปฏิบัติ ในทางตรงกันข้าม หากคน ๆ หนึ่งมีจิตใจที่ เสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในสังคมที่เขามักจะถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ ในที่สุดเขาอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้

61. การศึกษาของใครและได้มาซึ่งข้อสรุปว่า จริยธรรมพัฒนาการตามวุฒิภาวะและสัมพันธ์กับระดับการศึกษา
(1) เพียเจต์ (Piaget)
(2) Stumpf
(3) โคลเบิร์ก (Kohlberg)
(4) มาสโลว์
ตอบ 3 โคลเบิร์ก (Kohlberg) กล่าวว่า การพัฒนาทางสติปัญญาและอารมณ์เป็นรากฐานของการพัฒนาทางจริยธรรม โดยจริยธรรมของมนุษย์มีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะเพราะ เกิดจากกระบวนการทางปัญญาเมื่อมีการเรียนรู้มากขึ้น และจริยธรรมยังมีความสัมพันธ์กับระดับการศึกษา

62. ในการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ภาคส่วนใดในสังคมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร
(1) ครอบครัว
(2) ประเทศ
(3) ชุมชน
(4) องค์การธุรกิจ
ตอบ 4 ตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ธุรกิจเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมที่มีความสําคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะองค์การธุรกิจ คือ ภาคส่วนที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร ดังนั้น จึงต้องคํานึงถึงความพอเพียงระดับธุรกิจ ได้แก่
1. ธุรกิจควรมองถึงผลในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น 2. แสวงหาผลกําไรบนพื้นฐานของการแบ่งปันประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม 3. พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และสร้างคุณค่าตราสินค้าให้มีความน่าเชื่อถือ 4. แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

63. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
(1) จริยธรรมสําคัญสําหรับทุกคน
(2) จริยธรรมนําไปสู่ความสําเร็จในชีวิต
(3) จริยธรรมเป็นรากฐานของความรุ่งเรือง
(4) จริยธรรมทําให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ตอบ 3 วศิน อินทสระ ได้กล่าวไว้ว่า จริยธรรมเป็นรากฐานอันสําคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และความสงบสุขของปัจเจกชน สังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นรัฐควรส่งเสริมประชาชนให้มีจริยธรรมเป็นอันดับแรก เพื่อให้เป็นแกนกลางในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

64. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

65. “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) เป็นรูปแบบหนึ่งของอะไร
(1) การทุจริต
(2) จิตสาธารณะ
(3) ความพอเพียง
(4) จริยธรรม
ตอบ 1 ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายแรงที่สุดในสังคมไทยปัจจุบันเพราะเป็นบ่อนทําลายกัดกร่อนสังคมไปสู่ความพินาศย่อยยับ และเป็นอุปสรรคสําคัญฉุดรั้ง การพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการโกงบ้านกินเมือง และหาผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) จากตําแหน่งในหมู่ข้าราชการและนักการเมือง

66. ปัญหาส่วนใหญ่ของมนุษย์เกิดจากอะไร
(1) การใช้คําพูด
(2) การลักทรัพย์
(3) การดื่มสุรา
(4) การนิ่งเฉย ๆ
ตอบ 1 จากผลงานวิจัยระบุว่า โดยส่วนใหญ่ที่มาปัญหาของมนุษย์นั้นจะมาจากการใช้คําพูด (วาจา) ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ได้มากที่สุด เพราะมนุษย์เราจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการก็ขึ้นอยู่กับการใช้คําพูดหรือมธุรสวาจาทั้งสิ้น

67. การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ในอัตรา 30 : 30 : 30 : 10 นั้น พื้นที่อัตราส่วน 30 นั้นใช้ทําอะไร
(1) ขุดเป็นสระ
(2) ปลูกป่า
(3) เลี้ยงปลา
(4) ปลูกที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์
ตอบ 1 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริขั้นที่ 1 คือ การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยอัตรา 30 : 30: 30 : 10 โดยบริหารจัดการดังนี้
1 ขุดเป็นสระสําหรับใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน 30 %
2. ปลูกข้าวในฤดูฝน 30%
3. ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ 30%
4. ปลูกเป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนทางเดิน และโรงเรือนอื่น ๆ 10%

68. การวางแผนและปฏิบัติตามแผนด้วยความรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยง เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขใด
(1) เงื่อนไขจําเป็น
(2) เงื่อนไขชีวิต
(3) เงื่อนไขอนุมาน
(4) เงื่อนไขหลักวิชาการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

69. การมองคนอื่นในแง่ดี เป็นหลักการคุณธรรมข้อใด
(1) เข้าใจธรรมชาติตนเอง
(2) เข้าใจธรรมชาติผู้อื่น
(3) เข้าใจธรรมชาติโลก
(4) เข้าใจการอยู่ร่วมกัน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

70. ข้อใดเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามทฤษฎีของเพียเจต์ (Piaget)
(1) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากไร้สติและปัญญา และพัฒนาจนเกิดสติและปัญญา
(2) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการปรับตัว และการสร้างสมดุลระหว่างสติปัญญาและสภาพแวดล้อม
(3) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างต่อเนื่องภายในโครงข่ายใกล้ชิด
(4) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็กและวัยรุ่น และปลูกฝังไปตลอดชีวิต
ตอบ 2 หน้า 50 เพียเจต์ (Piaget) เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการปรับตัว และการสร้างสมดุลระหว่างสติปัญญาและสภาพแวดล้อมที่จะทําให้มนุษย์ดํารงชีวิตอยู่ โดยพัฒนาการของ มนุษย์มีความต่อเนื่อง เละเจริญขึ้นตามวุฒิภาวะ

71. ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้กับสิ่งใด
(1) ร่างกาย
(2) วัตถุ
(3) ความเสื่อม
(4) การสื่อสาร
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. และ 23. ประกอบ

72.ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง การที่นักเรียนไม่มีที่เรียนต้องไปศึกษาต่างประเทศผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
(1) การครอบงําทางวัฒนธรรม
(2) การสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
(3) ความเท่าเทียมในคุณภาพการศึกษา
(4) การสูญเสียทรัพยากร
ตอบ 2 ส่วนหนึ่งของข้อความในบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัย ….. (รามคําแหง) พ.ศ. ….. คือ เป็นการให้การศึกษาแก่ชนทุกชั้นเพื่อสร้างคุณภาพความรู้ความสามารถของประชาชนคนไทยให้สูงทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และเป็นการสกัดกั้นมิให้นักศึกษาไปหาที่เล่าเรียนในต่างประเทศ อันเป็นการสูญเสียเงินตรา ต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ มิใช่น้อย และเป็นการแก้ปัญหานักศึกษาไม่มีที่เล่าเรียนให้หมดสิ้นไป

73. ข้อใดอธิบายความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงได้ถูกต้อง
(1) ทําอะไรให้เหมาะสมกับฐานะ
(2) เพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจให้ทัดเทียมกัน
(3) การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
(4) การพัฒนาชนบท
ตอบ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดํารัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ความว่า “ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ทําอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือ ทําจากรายได้ 200 – 300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท

74. การกระทําในข้อใดแสดงให้เห็นถึงการมีคุณธรรมจริยธรรม
(1) การถือศีล
(2) การประกอบศาสนกิจ ณ ศาสนสถาน
(3) การกระทําที่เหมาะสมตามหน้าที่การงาน
(4) การไม่รับประทานเนื้อสัตว์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

75. คุณธรรมหมายถึงข้อใด
(1) ความสมบูรณ์ทางร่างกายและมโนทัศน์
(2) ความสุขทางกาย
(3) สภาพคุณงามความดี
(4) สภาพจิตใจ
ตอบ 3 คุณธรรม (Morality) หมายถึง สภาพคุณงามความดี ซึ่งเป็นสภาพของคุณงามความดีทั้งทางความประพฤติและจิตใจ

76. พื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงที่บุคคลต้องคํานึงถึงคือสิ่งใด
(1) การใช้จ่ายให้น้อย และออมให้มาก
(2) การใช้จ่ายตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
(3) ความมั่งมี และการอยู่รอดของครอบครัว
(4) ทางสายกลาง และความไม่ประมาท
ตอบ 4 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสําคัญเด่นชัดในช่วงปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา เพราะเป็นแนวคิดเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ ซึ่งคนไทยสามารถเลี้ยงชีพด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ ในการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่ง “ทางสายกลาง และความไม่ประมาท”

77. การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของคนเราต้องมุ่งการพัฒนาสิ่งใดเป็นอันดับแรก
(1) โครงสร้างสังคม
(2) สภาพเศรษฐกิจ
(3) จิตใจ
(4) สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม
ตอบ 3 หน้า 39 การเรียนรู้ตามหลักวิชาการหรือตามทฤษฎีมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมทักษะผู้เรียนให้นําความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานและประกอบอาชีพ ส่วนการพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมจะทําให้ผู้เรียนรู้เกิดการพัฒนาด้านจิตใจเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญยิ่งกว่า ดังนั้นแนวคิดความรู้คู่คุณธรรมจึงถูกนํามาใช้ในสังคมไทยอย่างแพร่หลาย

78. สององค์ประกอบของหลักการพัฒนามนุษย์ คือ ต้องพัฒนาให้มีความรู้ และอะไรคือองค์ประกอบที่สอง
(1) ระเบียบวินัย
(2) สุขอนามัย
(3) สุขภาวะจิต
(4) ประชาธิปไตย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

79. นายกสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงคนแรก คือใคร
(1) จอมพลถนอม กิตติขจร
(2) นายสง่า ลีนะสมิต
(3) นายอภิรมย์ ณ นคร
(4) นายธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์
ตอบ 1 วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2514 เป็นวันประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงครั้งแรก ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในฐานะนายก สภามหาวิทยาลัยรามคําแหงคนแรก เป็นประธาน

80. ข้อใดคือส่วนหนึ่งของข้อความที่ปรากฏในหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ….. (รามคําแหง) พ.ศ…..
(1) เป็นการให้การศึกษาแก่ชนทุกชั้น
(2) เนื่องจากที่เรียนของคนไทยมีจํานวนลดลง
(3) นักศึกษาไม่จําเป็นต้องซื้อคําสอนเอง
(4) เพื่อให้เป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

81. ลักษณะใดของบุคคลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจิตสาธารณะ
(1) ชอบคุยโม้โอ้อวด
(2) ปลีกตัว ชอบอยู่ตามลําพัง
(3) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
(4) รักพวกพ้องในทางที่ผิด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

82. คณะใดไม่ใช่คณะที่จัดตั้งขึ้นในวาระเริ่มแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) คณะนิติศาสตร์
(2) คณะศึกษาศาสตร์
(3) คณะบริหารธุรกิจ
(4) คณะรัฐศาสตร์
ตอบ 4 ในวาระเริ่มแรก (พ.ศ. 2514) มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้จัดตั้งคณะวิชา4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ ต่อมามหาวิทยาลัยได้ขอจัดตั้งเพิ่มอีก 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ และ คณะเศรษฐศาสตร์ แต่สภาการศึกษาแห่งชาติไม่ให้จัดตั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามโครงการจัดตั้งคณะใหม่ ทําให้ในปีการศึกษาพ.ศ. 2516 มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีคณะวิชาที่จัดการเรียนการสอนทั้งหมด 7 คณะ

83. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2515 ใครคือผู้อนุมัติให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ที่ดินที่ใช้ในการแสดงสินค้านานาชาติเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
(1) สภามหาวิทยาลัยรามคําแหง
(2) สภาการศึกษาแห่งชาติ
(3) สภาผู้แทนราษฎร
(4) สภาบริหารคณะปฏิวัติ
ตอบ 4 หน้า 23 สําหรับเรื่องสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นการถาวร ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลในเวลาต่อมา โดยสภาบริหารคณะปฏิวัติได้มีมติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2515ให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ที่ดินที่ใช้ในการแสดงสินค้านานาชาติที่หัวหมากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

84. การเผยแพร่สาระความรู้ไปยังกลุ่มเยาวชนจํานวนมากพร้อม ๆ กัน เพื่อการสร้างจิตสาธารณะ เป็นหน้าที่หลักของใคร
(1) ผู้นําหมู่บ้าน และชุมชน
(2) โรงเรียนและสถาบันการศึกษา
(3) สื่อมวลชน
(4) กระทรวงวัฒนธรรม
ตอบ 3 สื่อมวลชนจัดเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการเผยแพร่สาระความรู้ไปยังกลุ่มเยาวชนจํานวนมากพร้อม ๆ กัน เพื่อการสร้างจิตสาธารณะ โดยสื่อมวลชนควรใช้บทบาทของตนเองที่มีในการส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี รู้จักสิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบ รู้ถูกรู้ผิด ด้วยวิธีการที่หลากหลาย

85. กรรมาธิการในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย
กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลกี่คน
(1) 8 คน
(2) 7 คน
(3) 6 คน
(4) 5 คน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

86. อาคารเรียนกึ่งถาวรที่ก่อสร้างขึ้นในช่วงแรกของการเปิดสอนของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เรียกว่าอะไร
(1) Educational Building (EB)
(2) Ramkhamhaeng Building (RB)
(3) New Building (NB)
(4) Opened Building (OB)
ตอบ 3 หน้า 28 ในช่วงแรกของการเปิดสอนของมหาวิทยาลัยรามคําแหง การก่อสร้างอาคารเรียนกึ่งถาวรและอาคารห้องสมุด รวมทั้งหมด 8 หลัง ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จทันเปิดเรียนในภาค 1 ปีการศึกษา 2514 ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ตั้งชื่ออาคารเรียนกึ่งถาวรชั้นเดียวเหล่านี้ว่า อาคาร NB (New Bulding)

87. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของผู้มีจิตสาธารณะ
(1) อุทิศตน
(2) คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
(3) มีเมตตา
(4) เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล
ตอบ 3 ยุทธนา วรุณปิติกุล กล่าวถึง บุคคลที่มีจิตสาธารณะต้องมีคุณลักษณะดังนี้
1. การทุ่มเทและอุทิศตน 2. เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล 3. คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม 4. การลงมือกระทํา

88. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชน อยู่ในขั้นใดเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ
(1) ขั้นที่ 1
(2) ขั้นที่ 2
(3) ขั้นที่ 3
(4) ขั้นที่ 4
ตอบ 3 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริขั้นที่ 3 คือ การตระหนักถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชนด้วยการติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ 1. หน่วยงานที่สนับสนุนด้านการวิจัย เพื่อการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง
2. ธนาคารที่จะให้การสนับสนุนเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินไปนัก
3. บริษัทเอกชนที่รับซื้อผลผลิตโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง

89. ใครคือผู้กล่าวว่า “การพัฒนาบ้านเมืองต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาวิชาการอื่น ๆ เพราะการพัฒนาที่ไม่มีจริยธรรมเป็นแกนนํานั้น จะสูญเปล่า และเกิดผลเสียเป็นอันมาก ทําให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและอบายมุข การที่เศรษฐกิจต้อง เสื่อมโทรม ประชาชนทุกข์ยาก เพราะคนในสังคมละเลยจริยธรรม กอบโกยทรัพย์สินเป็นประโยชน์ ส่วนตัวมากเกินไป ขาดความเมตตาปราณี แล้งน้ำใจในการดําเนินชีวิต”
(1) วศิน อินทสระ
(2) พระราชวรมุนี (ประยูร ธมมจิตโต)
(3) อริสโตเติล
(4) มหาตมะ คานธี
ตอบ 1
ข้อความข้างต้นเป็นของวศิน อินทสระ ซึ่งได้กล่าวถึงความสําคัญและประโยชน์ของจริยธรรมไว้ในหนังสือพุทธจริยศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2541

90. การมีสวัสดิการชุมชน ช่วยกันดูแลความสะอาด ความสงบปลอดภัย และช่วยเสริมสร้างภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นผลทําให้เกิดสิ่งใด
(1) ชุมชนมีชื่อเสียง
(2) ชุมชนเข้มแข็ง
(3) ชุมชนตัวอย่าง
(4) ชุมชนกว้างไกล
ตอบ 2 หน้า 69 ความพอเพียงระดับชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีผลให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ประกอบด้วย 1. สวัสดิการชุมชน 2. การช่วยกันดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบของสภาพแวดล้อมโดยรอบ 3. การช่วยกันดูแลความสงบและความปลอดภัย 4. การให้ความร่วมมือสร้างเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

91. สถานที่ใดที่ใช้เป็นที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงครั้งแรก
(1) สนามศุภชลาศัย
(2) กระทรวงศึกษาธิการ
(3) ตึกไทยคู่ฟ้า
(4) ทบวงมหาวิทยาลัย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

92. ลักษณะใดบ่งบอกถึงผู้มีปัญญาในการประกอบอาชีพได้ถูกต้องที่สุด
(1) นายดําทํานาโดยการลองผิดลองถูก
(2) นายแดงทําสวนตามที่อ่านในตํารา
(3) นายขางปลูกมะม่วงแล้วออกผลตามฤดูกาล
(4) นายเขียวนําหลักทฤษฎีการเกษตรมาปรับใช้ในการปลูกถั่วได้สําเร็จ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ผู้มีปัญญาในการประกอบอาชีพต้องถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาวิธีการที่แยบคายในการทํางาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักค้นคว้าหาความรู้และนํามาประยุกต์ใช้ในการทํางาน ตลอดจนรู้จักดําเนินการด้านเศรษฐกิจ เพื่อทําการงานประกอบอาชีพให้ได้ผลดี

93. ใครคือผู้มีคุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม
(1) อํานวยออกจากห้องเรียนก่อนเวลาเพื่อไปรอเพื่อนกลับบ้าน
(2) แดงตั้งใจสังเกตพฤติกรรมเพื่อนที่มาเรียนอย่างสม่ำเสมอ
(3) สีมักขึ้นรถประจําทางเป็นคนสุดท้ายเพื่อจะได้ยืนใกล้ทางลง
(4) ดําเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง
ตอบ 4 บุคคลที่มีคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจจะมีการดําเนินชีวิตที่เป็นไปอย่างเป็นระบบมีระเบียบแบบแผนว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรไม่ใช่หน้าที่ อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา อะไรคือ สิ่งที่ถูกต้อง และอะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

94. ข้อใดกล่าวถึงความซื่อสัตย์ได้
(1) สมหญิงเก็บสร้อยคอทองคําได้ที่ตลาดแล้วนํามาส่งคืนให้ครู
(2) สมนึกเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ในห้องสอบวิชา RAM 1000 แล้วนําไปให้หัวหน้าตึกสอบ
(3) สมศรีทํางานได้เงินเดือนแล้วแบ่งส่วนหนึ่งให้บิดามารดาทุกเดือน
(4) สมสนุกทํางานทุกอย่างเมื่อมีคนว่าจ้าง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ไม่คิดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ทําทุกอย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรม เช่น เมื่อเราเก็บของมีค่าได้ควรติดตามหาเจ้าของและคืนของให้ หากไม่รู้ว่าเจ้าของอยู่ที่ไหน ให้นําส่งคืนแก่เจ้าพนักงานตํารวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นภายใน 3 วัน ซึ่งในตัวเลือกข้อ 2 การนําไปให้หัวหน้าตึกสอบจะทําให้ติดตามหาตัวเจ้าของได้ง่ายกว่า เพราะกระเป๋าสตางค์ดังกล่าวหายในห้องสอบ เป็นต้น

95. จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงเพื่อสอน ทําการวิจัย ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง มหาวิทยาลัยรามคําแหงยังมีหน้าที่ใดนอกเหนือจากหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้น
(1) ทะนุบํารุงวัฒนธรรม
(2) ส่งเสริมประชาธิปไตย
(3) พัฒนาชุมชน
(4) ดํารงไว้ซึ่งค่านิยมทางการศึกษาชั้นสูง
ตอบ 1 จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นสถาบันการศึกษาเละวิจัยแบบตลาดวิชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้การศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง และทะนุบํารุงวัฒนธรรม

96. ข้อใดกล่าวผิด
(1) พฤติกรรมที่ดีงามที่สั่งสมในจิตใจ คือ อุปนิสัย
(2) อุเบกขา คือ การวางตัววางใจเป็นกลาง
(3) ความรู้ทําให้คนมีความสุจริต
(4) คนทุกคนเป็นทรัพยากร
ตอบ 3 จากพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2525 ความว่า “…การจะทํางานให้สัมฤทธิ์ผลที่พึงปรารถนา คือ ให้เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้ แต่เพียงอย่างเดียวมิได้ จําเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรม (คุณธรรม) ประกอบด้วย”

97. องค์การใดที่มีอํานาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย เช่น จัดวางระเบียบและข้อบังคับเสนอจัดตั้ง พิจารณาหลักสูตร ยุบรวมและเลิกคณะ และอนุมัติปริญญา
(1) กระทรวงศึกษาธิการ
(2) คณะ
(3) สภามหาวิทยาลัย
(4) คณะรัฐมนตรี
ตอบ 3 หน้า 21 จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นองค์การที่มีอํานาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย และมีอํานาจหน้าที่สําคัญ โดยเฉพาะ เช่น จัดวางระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย พิจารณาหลักสูตร เสนอจัดตั้ง ยุบรวมและเลิกคณะ อนุมัติให้ปริญญา พิจารณาแต่งตั้งและถอดถอนอธิการบดี รองอธิการบดี

98. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ดํารงตําแหน่งใดในรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร
(1) รองโฆษกรัฐบาล
(2) รองโฆษกสภาผู้แทนราษฎร
(3) โฆษกสภาผู้แทนราษฎร
(4) โฆษกรัฐบาล
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

99. การปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย คือหลักการในข้อใดของหลักธรรมาภิบาล
(1) หลักการกระจายอํานาจ
(2) หลักมุ่งเน้นฉันทามติ
(3) หลักความโปร่งใส
(4) หลักประสิทธิผล
ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ประการหนึ่ง ได้แก่ หลักประสิทธิผล (Effectiveness) คือ ในการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ จะต้องประกอบด้วย 1. ผลเป็นไปตามที่คาดมุ่งหวัง 2. ผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ 3. ผลบรรลุตามเป้าหมายทั้งด้านเป้าหมายเชิงปริมาณ และเป้าหมายเชิงคุณภาพ

100. ในสังคมที่พัฒนา สมาชิกขององค์การทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และเอกชน สมาชิกขององค์การควรมีความรู้ ความเข้าใจในความเป็นมาขององค์การหรือหน่วยงาน เพื่อเข้าใจในหลักการ เหตุผลของการก่อตั้ง วัฒนธรรม องค์การ และเพื่อให้เกียรติแก่ผู้จัดตั้ง และผู้มีส่วนในการจัดตั้งองค์การ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ความคิดดังกล่าวเป็นเหตุผลที่นักศึกษาต้องศึกษาในเรื่องใดของวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม
(1) จิตสาธารณะ
(2) เศรษฐกิจพอเพียง
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) มหาวิทยาลัยรามคําแหงยุคก่อตั้ง
ตอบ 4 ความคิดดังกล่าวเป็นเหตุผลที่นักศึกษาต้องศึกษาเรื่องมหาวิทยาลัยรามคําแหงยุคก่อตั้ง ซึ่งอยู่ในบทที่ 1 ของตําราเรียนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้ถึงที่มาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงเมื่อแรกตั้ง และให้นักศึกษาได้ตระหนักถึงการเปิดโอกาสทางการศึกษาในลักษณะมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

101. รูปธรรมของการแสดงความมีจิตสาธารณะคือข้อใด
(1) ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน
(2) ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำลําคลอง
(3) ต่อต้านคนทุจริต
(4) เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และเพื่อนบ้าน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

102. กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิชุดแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ในขณะนั้นดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมสามัญศึกษาคือใคร
(1) นายสุขุม นวพันธ์
(2) นายบุญสม มาร์ติน
(3) นายเรณ สุวรรณสิทธิ์
(4) นายก่อ สวัสดิพาณิชย์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

103. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงมาจากวิธีการใด
(1) การแต่งตั้งทั้งหมด
(2) การเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมกัน
(3) การแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
(4) การเลือกตั้ง
ตอบ 4 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2511

104. ในเรื่องของความพอเพียงระดับชุมชน การช่วยเหลือดูแลความสงบ ความปลอดภัย และความสะอาด เป็นตัวอย่างของอะไร
(1) โครงสร้างความมั่นคงของชุมชน
(2) กลยุทธ์ในการพัฒนาการมีส่วนร่วม
(3) เครือข่ายเพื่อการพัฒนา
(4) ความพร้อมเพรียงของชุมชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ

105. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) จริยธรรม หมายถึง การถือศีล กินเพล ฟังธรรม จําศีลภาวนา
(2) จริยธรรมเป็นตัวกําหนดความประพฤติถูก ผิด
(3) จริยธรรมเป็นเรื่องของการฝึกให้เป็นนิสัย
(4) จริยธรรมมีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม
ตอบ 1 หน้า 42 – 43, 45 ข้อสังเกตเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้
1. ในปัจจุบันจริยธรรมไม่แยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่มีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม 2. Stumpf อธิบายว่า จริยธรรมเป็นเครื่องกําหนดความประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว พึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ มีคุณค่าหรือไร้คุณค่า 3. จริยธรรมเป็นเรื่องของการฝึกนิสัยที่ดี โดยกระทําอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย 4. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถือศีล กินเพล เข้าวัดฟังธรรม จําศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือทําประโยชน์ให้แก่สังคม ฯลฯ

106. คุณธรรมจริยธรรมเกิดจากสิ่งใด
(1) การเลียนแบบ
(2) การตั้งสติ
(3) การนั่งสมาธิ
(4) การเรียนรู้ผลประโยชน์
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

107. ลักษณะตลาดวิชาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงคือข้อใด
(1) เปิดรับนักศึกษาที่อายุไม่เกิน 30 ปี
(2) เปิดรับเฉพาะผู้สมัครสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์
(3) เปิดรับเฉพาะผู้สมัครที่จบการศึกษามัธยมปลาย
(4) เปิดรับไม่จํากัดจํานวน ไม่ต้องสอบคัดเลือก
ตอบ 4 ลักษณะตลาดวิชาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ การกําหนดคุณวุฒิและคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครเข้าเป็นนักศึกษาโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และยังเปิดรับไม่จํากัด จํานวน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน และยังเป็นการให้ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาอย่างแท้จริง

108. บุคคลที่มีการดําเนินชีวิตได้อย่างเป็นแบบแผน ทราบว่าอะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา อะไรถูก อะไรผิดบุคคลนั้นมีสิ่งใดในจิตใจ
(1) จรรยาบรรณ
(2) วัฒนธรรม
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) ความสงบ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

109. ในการริเริ่มจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัญหาที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต้องพิจารณาคืออะไร
(1) ผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดี และคณบดี
(2) สถานที่ตั้ง อาจารย์ผู้สอน และงบประมาณ
(3) ประเภทของมหาวิทยาลัย
(4) จํานวนนักศึกษาที่สามารถรับได้ในแต่ละปี
ตอบ 2 หน้า 3 ในการริเริ่มจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เสนอร่างฯ ได้ประสานกับฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลแล้ว พบว่า มีปัญหาสําคัญที่จะต้องร่วมกันพิจารณา ก่อนที่กระบวนการทางนิติบัญญัติจะดําเนินการต่อไป กล่าวคือ ปัญหาสถานที่ตั้ง อาจารย์ ผู้สอน และเงินงบประมาณ

110. คุณธรรมจริยธรรมอาจใช้เป็นตัวชี้วัดสิ่งใด
(1) ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
(2) ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ
(3) การขยายตัวและย้ายถิ่นของประชากร
(4) การลดความแตกต่างของชนชั้นของคนในสังคม
ตอบ 2 หน้า 38 การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมจะเป็นรากฐานของความเข้มแข็งของประชาชนและเป็นดัชนีชี้วัดความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติที่บ่งบอกถึงคุณภาพทางด้านจิตใจและ พฤติกรรมของผู้คนที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม

111. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

112. มหาวิทยาลัยรามคําแหงเปิดรับนักศึกษาโดยไม่จํากัดจํานวน โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก หมายถึงหลักการใด
(1) การขยายชั้นเรียนให้กับนักเรียนและนักศึกษา
(2) การเพิ่มคุณวุฒิให้ปวงชนชาวไทย
(3) การเพิ่มช่องว่างทางการศึกษา
(4) การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 107. ประกอบ

113. ความหมายของคุณธรรมที่ถูกต้องและตรงประเด็นมากที่สุดคือข้อใด
(1) สภาพความดีและความไม่ดี
(2) สภาพความมุ่งมั่นของจิตใจ
(3) สภาพของคุณงามความดี
(4) สภาพความกดดันตนเองเพื่อให้ได้ดี
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

114. การดําเนินชีวิตที่ดีในสังคมของบุคคลควรคํานึงถึงอะไรเป็นแนวทาง
(1) คุณธรรมจริยธรรม
(2) คติพจน์
(3) ความตระหนักรู้และจริงใจในตนเอง
(4) ความสุข
ตอบ 1 หน้า 39 คุณธรรมจริยธรรมสามารถนํามาเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิตที่ดีในสังคมของบุคคล เพราะทําให้บุคคลทราบข้อปฏิบัติและสามารถแสดงพฤติกรรมได้อย่างถูกต้อง หากเกิดปัญหาต่าง ๆ หลักแนวคิดคุณธรรมจริยธรรมยังสามารถนํามาใช้เพื่อเป็นวิธีคิดในการตัดสินใจ
เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างยุติธรรม

115. ปัญหานักเรียนที่จบมัธยมปลายและผู้ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐจํานวนมากไม่มีที่เรียน เริ่มจากเมื่อใด
(1) พ.ศ. 2503
(2) พ.ศ. 2523
(3) พ.ศ. 2533 8
(4) พ.ศ. 2513
ตอบ 1 ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา ก่อนที่จะมีมหาวิทยาลัยรามคําแหงมหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งรับนักศึกษาเข้าเรียนจํากัดจํานวนและต้องสอบคัดเลือก ทําให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และผู้ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐจํานวนมากไม่มีที่เรียน เมื่อสอบคัดเลือกเข้าเรียนไม่ได้ นักเรียนจํานวนมากต้องตกค้าง ไม่ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งมีอยู่จํานวนน้อยในขณะนั้น

116. ผลที่เกิดขึ้นสุดท้ายกับสังคมที่คนส่วนใหญ่มีคุณธรรมจริยธรรมคืออะไร (1) การมีเศรษฐกิจดี
(2) การเอื้อเฟื้อ เห็นอกเห็นใจของคนในสังคม
(3) เกิดความรักชาติ
(4) ความสงบสุขและมีสันติอย่างยั่งยืน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

117. คณะใดที่ได้เสนอให้พิจารณาเปิดสอนในร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคําแหง พ.ศ. 2514 แต่ได้ถูกยับยั้งให้เปิดสอนในภายหลัง
(1) คณะศึกษาศาสตร์
(2) คณะเศรษฐศาสตร์
(3) คณะวิศวกรรมศาสตร์
(4) คณะทัศมาตรศาสตร์
ตอบ 2 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคําแหงพ.ศ. 2514 นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่านได้เสนอให้เปิดคณะเศรษฐศาสตร์ด้วย แต่กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ชี้แจงแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอให้มหาวิทยาลัยเปิดสอนเพียง 4 คณะ ไปสักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยจัดตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ภายหลัง ซึ่งเข้าใจว่าคงตั้งได้ภายใน 2 – 3 ปี

118. ในปีการศึกษา 2517 เมื่อมหาวิทยาลัยรามคําแหงเปิดสอนมา 4 ปีเศษแล้ว จํานวนผู้สําเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจํานวนเท่าใด
(1) 120 คน
(2) 120,000 คน
(3) 12,000 คน
(4) 1,200 คน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

119. สถาบันใดมีความสําคัญเป็นอันดับแรกในบทบาทการสร้างจิตสํานึกต่อส่วนรวม
(1) สถาบันการศึกษา
(2) สื่อมวลชน
(3) สถาบันศาสนา
(4) ครอบครัว
ตอบ 4 ความอบอุ่นของสถาบันครอบครัวมีความสําคัญเป็นอันดับแรก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้ทารกเกิดจิตสํานึกเห็นความสําคัญของส่วนรวม ดังนั้นสถาบันครอบครัวจึงเป็นพื้นฐานของสังคม เพื่อปูพื้นฐานหรือฝังรากให้เด็กมีจิตสํานึกที่เป็นสัมมาทิฐิตั้งแต่ยังเด็ก และเด็กจะได้เป็นกําลังในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป

120. หลักศาสนาเป็นพื้นฐานของสิ่งใด
(1) ความแน่นิ่งของจิต
(2) ความล้ำเลิศ
(3) คุณธรรม
(4) ความประเสริฐ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

WordPress Ads
error: Content is protected !!