LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมีนแจ้งความต่อนายเมษเจ้าพนักงานสรรพสามิตประจําสนามบินสุวรรณภูมิว่า มีการลักทรัพย์ผู้โดยสารซึ่งเป็นความเท็จ ดังนี้ นายมีน มีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

อาญา มาตรา 173 “ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิด ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. รู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น
2. แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา 3. ว่าได้มีการกระทําความผิด
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องปรับตามบทมาตรา 172 มิใช่มาตรา 173

ซึ่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

“พนักงานสอบสวน” หมายถึง เจ้าพนักงานตํารวจที่มียศตั้งแต่ร้อยตํารวจตรีขึ้นไป แล้ว มีตําแหน่งเป็นพนักงานสอบสวน ไม่ได้หมายความรวมถึงตํารวจชั้นประทวน ซึ่งไม่มีอํานาจสอบสวน

“เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา” หมายถึง ตํารวจชั้นสัญญาบัตร หรือตํารวจชั้นประทวนก็ได้ ผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา และให้หมายความรวมถึงเจ้าหน้าที่อื่น ๆ เช่น พัศดีเรือนจํา พนักงานตรวจคนเข้าเมือง พนักงานกรมสรรพสามิต กรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่อื่นในเมือมีหน้าที่ในการรักษา ความสงบเรียบร้อย และมีหน้าที่ในการจับกุมปราบปรามการกระทําความผิดได้

และการแจ้งตามมาตรา 173 นี้ อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทําผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทําผิดแล้ว ย่อมเป็น ความผิดสําเร็จทันที ทั้งนี้ผู้กระทําผิดจะต้องได้กระทําโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมีนแจ้งความต่อนายเมษเจ้าพนักงานสรรพสามิตประจําสนามบินสุวรรณภูมิว่ามีการลักทรัพย์ผู้โดยสารซึ่งเป็นความเท็จนั้น ถือเป็นกรณีที่นายมีนรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แต่ไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น และเมื่อได้กระทําไปโดยมีเจตนา การกระทําของนายมีนจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าว ข้างต้นทุกประการ ดังนั้น นายมีนจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

สรุป นายมีนมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

 

ข้อ 2. หนึ่งมาดักฆ่าสองเห็นสองเดินมาที่กลางซอยในระยะยิงจึงชักปืนออกมาเพื่อจะยิง บังเอิญตํารวจสายตรวจขับรถผ่านมาพอดี หนึ่งตกใจทิ้งปืนวิ่งหนีมาที่บ้านของสาม สามถามหนึ่งว่าไปทําอะไรมา หนึ่งบอกว่าไปดักจะฆ่าคนแต่ดันเห็นตํารวจก่อนเลยไม่ได้ฆ่ามัน สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน สี่ศัตรูของสองเห็นสองเดินออกมาถึงปากซอย สี่ใช้มีดแทงสองตายคาที่แล้วหนีมาบ้านของสามซึ่งเป็นเพื่อนกัน สี่พูดกับสามว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย สามให้สี่เข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ สามจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อมิให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย
1. ช่วยโดยให้พํานัก โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด
2. ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ และเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. โดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด

คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในหลุม

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

กรณีตามอุทาหรณ์ สามจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของหนึ่ง การที่หนึ่งมาดักฆ่าสองเห็นสองเดินมาในระยะยิงจึงชักปืนออกมาเพื่อจะยิง บังเอิญตํารวจสายตรวจขับรถผ่านมาพอดี หนึ่งตกใจทิ้งปืนวิ่งหนีมาที่บ้านของสามนั้น การกระทําของหนึ่งที่ชักปืนออกมาเพื่อจะยิง แต่ยังไม่ได้เล็งปืนไปที่สองถือว่าหนึ่งยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิดแต่อย่างใด หนึ่งจึงยังมิใช่ ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิดตามนัยมาตรา 189 ดังนั้น การที่สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน การกระทําของสาม จึงไม่ต้องด้วยองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 189 สามจึงไม่มีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทําความผิด เพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189

กรณีของสี่ การที่สี่ใช้มีดแทงสองตายแล้วหนีมาที่บ้านของสาม และสามก็รู้ว่าสี่เพิ่งกระทําความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาอันมิใช่ความผิดลหุโทษ แต่สามก็ให้สี่เข้ามาหลบในบ้านเพื่อไม่ให้ตํารวจจับนั้น การกระทําของสามกรณีนี้ถือว่าครบองค์ประกอบของความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษ ตามมาตรา 189 แล้ว กล่าวคือ เป็นการให้พํานักแก่ผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา ดังนั้น กรณีนี้สามจึงมีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษ ตามมาตรา 189

สรุป
การที่สามให้สี่เข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ สามมีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทํา ความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 แต่การที่สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน สามไม่มีความผิดอาญาตาม มาตราดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. ชาย 15 คน ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดกล่าวโจมตีและขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้นได้เผาศาลากลางและขู่ว่าถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ย้ายออกจากพื้นที่จะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึงตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าชาย 15 คนไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ชาย 15 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคแรก “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ..”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาย 15 คนได้ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดและได้เผาศาลากลาง อีกทั้ง ได้ขู่ว่าจะฆ่าผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น การกระทําของชาย 15 คนดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชาย 15 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 215 วรรคแรก ทุกประการ ชาย 15 คนจึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของชาย 15 คนไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิดตาม มาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 15 คนมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย ก. วันเกิดเหตุ นาย ก. นํากระดาษมาแผ่นหนึ่ง เขียนข้อความว่า “นายแดงกู้เงิน นาย ก. จํานวน 100,000 บาท กําหนดชําระภายใน 1 ปี” ต่อมานาย ก. ทําเอกสารฉบับนั้นหายไป จําเลยเป็นคนเก็บได้ จําเลยแก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” ข้อความ จึงกลายเป็นว่า “นายแดง กู้เงิน จําเลย 100,000 บาท” ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ”
มาตรา 268 “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. นํากระดาษมาเขียนสัญญากู้ขึ้นเอง โดยที่นายแดงไม่เคยกู้เงิน จากนาย ก. เลยนั้น ถือเป็นการกระทําโดยไม่มีอํานาจ เอกสารการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม

และการที่จําเลยเก็บเอกสารฉบับนั้นได้ และได้แก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” นั้น ถึงแม้จําเลยจะไม่มีอํานาจที่จะกระทําก็ตาม แต่การแก้ไขของจําเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อความ ในเอกสารที่มีการปลอมมาก่อน ซึ่งกรณีจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้นั้นจะต้องเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริงเท่านั้น ดังนั้นการกระทําของจําเลยจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตาม มาตรา 264 วรรคแรก จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265

เมื่อจําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร ถึงแม้จําเลยจะนําเอกสารดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง จําเลยก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก มาดูผลสอบที่มหาวิทยาลัย ทราบข่าวว่านักศึกษารุ่นน้องของตัวเองถูกนักศึกษามหาวิทยาลัยคู่อริทําร้ายหลายคน บางคนบาดเจ็บสาหัสยังไม่ฟื้น หกคนจึงปรึกษากันว่าจะ ทํายังไงดีที่จะกู้ศักดิ์ศรีคืนมา หนึ่งพูดว่าเจอมันที่ไหนฆ่าอย่างเดียวเอาไหม สอง สาม สี่ ห้า พูดพร้อมกัน ว่าเอาด้วย ส่วนหกพูดว่าไม่ดีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แล้วทุกคนแยกย้ายกันไป สองขับรถยนต์ฝ่าไฟแดง หลังจากที่แยกจากกลุ่มเพื่อน จ.ส.ต.ขยันจราจรเห็นเหตุการณ์จับสองข้อหาขับรถฝ่าไฟแดง สองพูดกับ จ.ส.ต.ขยันว่าปล่อยผมเถอะ ผมจะรีบไปทําธุระทั้งตัวผมมีแค่ร้อยเดียวเอาไปเถอะครับ ผมไม่ถ่ายคลิปหรอก แล้วยืนเงิน 100 บาท ให้ จ.ส.ต.ขยัน จ.ส.ต.ขยันไม่รับเงิน ดังนี้ สองจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการหรือ ประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สองจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นแรก ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก มีองค์ประกอบ ดังนี้

1. สบคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

คําว่า “การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่ สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

และการสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปด้วยจึงจะเป็นความผิดโดยอาจจะสมคบกันมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดีก็ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหกได้ปรึกษากันโดยหนึ่งพูดว่าถ้าเจอคู่อริที่ไหน ก็ให้ฆ่ามันอย่างเดียวโดยมีสอง สาม สี่ และห้าตกลงเอาด้วย ดังนี้แม้หกจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อการสมคบกัน เพื่อที่จะฆ่าคู่อรินั้น เป็นการสมคบกันมีจํานวน 5 คนแล้ว และเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดฐานฆ่าคนตาย ซึ่งเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก ดังนั้น สองจึง มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก แม้ว่าความผิดตามที่ตกลงกันจะยังมิได้กระทําก็ตาม

ประเด็นที่สอง ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบ ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

คําว่า “ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

ตามอุทาหรณ์ การที่ จ.ส.ต.ขยัน ได้จับสองข้อหาขับรถฝ่าไฟแดง และสองพูดกับ จ.ส.ต.ขยัน ว่าปล่อยผมเถอะ แล้วยื่นเงิน 100 บาทให้ จ.ส.ต.ขยันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่สองขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้ไม่กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเมื่อได้กระทําโดยเจตนาการกระทําของสองจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 แม้ว่า จ.ส.ต.ขยันจะไม่รับเงินก็ตาม ดังนั้น สองจึงมี ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อีกกระทงหนึ่ง

สรุป
สองมีความผิดอาญาฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 และมีความผิดฐานให้สินบนแก่ เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือ ด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตามก็เป็นความผิด ตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือ เป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงาน อยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้ จําเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมิ่นนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 เรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการ ตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้นายขาวมีความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมินเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการ ตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะ เอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะมีลักษณะ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็นเวลานอกราชการ อันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 3. นายสิงห์และนายเสือร่วมกันลักน้ำมันที่ปั้มของนายแดงโดยใช้สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั้มดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์ เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถัง นายสิงห์ได้ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ ให้ปั้มติ๊กหยุดทํางานเพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทําให้เกิดประกายไฟ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหายไป ดังนี้ นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตราย ต่อประชาชนฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 225 “ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทําโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1. กระทําให้เกิดเพลิงไหม้
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

“กระทําให้เกิดเพลิงไหม้” หมายถึง กระทําให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์หรือวัตถุใด ๆ อาจเป็นทรัพย์ของตนเอง หรือทรัพย์ของผู้อื่น หรือวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ

“โดยประมาท” หมายถึง การกระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจาก ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

“เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น” คือ การทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้น ต้องเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและต้องเสียหายจริง ๆ ประการหนึ่ง หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่นอีกประการหนึ่งจึงจะมีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสิงห์และนายเสือได้ร่วมกันลักน้ำมันที่ปั้มของนายแดงโดยใช้ สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั๊มดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์ เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถัง นายสิงห์ได้ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ให้ปั้มติ๊กหยุดทํางานเพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทําให้เกิดประกายไฟ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหายนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวของนายสิงห์ถือได้ว่าเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง จึงเป็นการกระทําโดยประมาท เมื่อเกิดเพลิงไหม้ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหาย นายสิงห์จึงมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดย ประมาทตามมาตรา 225 (ฎีกาที่ 1211/2530 (ประชุมใหญ่))

สรุป
นายสิงห์มีความผิดฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225

 

ข้อ 4. นายเอกแก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัล จากนั้นได้เอาสลากกินแบ่งดังกล่าวไปหลอกเพื่อนให้เลี้ยงอาหาร เพื่อนหลงเชื่อได้พานายเอกไปเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง วันเกิดเหตุ นายเอกทิ้งสลากกินแบ่งฉบับที่นายเอกแก้ตัวเลขนั้นในถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นได้ จึงได้นําสลากไปขอรับเงินที่กองสลาก เจ้าหน้าที่กองสลากได้ทําการตรวจแล้วพบว่าเป็นสลากปลอม จึงแจ้งให้ตํารวจทราบ ตํารวจจึงไปจับนายเอก ดังนี้ นายเอกมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้แก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัวให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัล จากนั้นได้เอาสลากกินแบ่งดังกล่าวไปหลอกเพื่อนให้เลี้ยงอาหารจนเพื่อนหลงเชื่อและได้พานายเอกไปเลี้ยงอาหารนั้น การกระทําของนายเอกแม้จะถือว่าเป็นการแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริงเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การกระทําของนายเอกเพื่อหลอกให้เพื่อนเลี้ยงอาหารนั้น เป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนฝูงซึ่งทํากันอยู่เป็นปกติ มิได้มีเจตนาเอาสลากกินแบ่งที่แก้ไขตัวเลขไปรับเงินรางวัล อีกทั้งการแก้ไขตัวเลขในสลากกินแบ่งนั้นไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือเพื่อนของนายเอก ส่วนการที่ นายเอกได้ทิ้งสลากกินแบ่งดังกล่าวในถังขยะในบ้าน แล้วมีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นได้และนําไปขอรับรางวัลนั้นเป็น กรณีที่อยู่นอกความรู้เห็นของนายเอก ดังนั้น นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (ฎีกาที่ 1568/2521)

สรุป
นายเอกไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้

1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยบระการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายใส่ เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตาม ก็เป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือเป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้จําเลย ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมิ่นนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือเกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้ขาวมีความผิดฐานดูหมิ่น เจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมิ่นเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่าง ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไม ไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะเอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าว จะมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็น เวลานอกราชการอันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงิน แก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงาน ว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สําหรับสิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน สร้อย แหวน นาฬิกา รถยนต์ หรือ “ประโยชน์อื่นใด” นอกจากทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาว ให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหาก กระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ไปแล้วย่อม ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้
ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุมผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่
ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 459/2469)

 

ข้อ 3. วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง แล้วไปดักรอนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ตํารวจจับวัยรุ่นทั้งสิบคนได้เสียก่อน ดังนี้ วัยรุ่นมีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. สบคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น ต้องมีการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ซึ่งมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเมื่อได้มีการสมคบกัน เพื่อที่จะกระทําความผิดดังกล่าว ก็จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรทันที แม้จะยังไม่ได้กระทําตามที่ตกลงกันก็ตาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง และได้ไปดักรอนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ถูกจับได้เสียก่อนนั้น ถือว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีเจตนาที่จะกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ซึ่งมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแล้ว ดังนั้นแม้ว่าวัยรุ่นทั้งสิบคนจะยังไม่ได้กระทําตามที่ตกลงกันก็ตาม วัยรุ่นทั้งสิบคนนั้นก็มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคแรก (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 134 1/2521)

สรุป
วัยรุ่นทั้งสิบคนมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร

 

ข้อ 4. นายชูวิทย์เช่ากิจการของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในระหว่างนั้นไม่มีครูใหญ่ นายชูวิทย์จึงทําเรื่องขออนุญาตเป็นครูใหญ่จากทางการอยู่ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต นายชูวิทย์ได้ลงชื่อในใบสุทธิในตําแหน่งครูใหญ่ ให้แก่นักเรียนหลายคน ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ข้อความในใบสุทธิเป็นความจริงทุกประการ ดังนี้ นายชูวิทย์มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

การเติม หรือตัดทอนข้อความ หรือการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริง จะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ ถ้าหากผู้กระทํามีอํานาจที่จะกระทําได้ การกระทํานั้นก็จะไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชูวิทย์ได้ลงชื่อในใบสุทธิในตําแหน่งครูใหญ่ให้แก่นักเรียนในระหว่างที่ไม่มีครูใหญ่ เพราะนายชูวิทย์ได้ทําเรื่องขออนุญาตเป็นครูใหญ่จากทางการอยู่แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตนั้น ถือว่าเป็นการเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยไม่มีอํานาจที่จะกระทํา และแม้ว่าข้อความในใบสุทธิจะเป็นความจริงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการปลอมเอกสารแล้ว ดังนั้นการกระทําของนายชูวิทย์จึงเป็นความผิด อ่านปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก (คําพิพากษาฎีกาที่ 759/2518 (ประชุมใหญ่))
สรุป นายชูวิทย์มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ตํารวจจับกุมนายดําในข้อหาว่าเป็นคนลาวอพยพหนีจากเขตควบคุม นายดําให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจําตัวประชาชนให้ตํารวจดู ซึ่งข้อความที่ให้การนั้นเป็นเท็จ ดังนี้ นายดํามีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้สามารถแยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้

1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา

“แจ้งข้อความ” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจจะกระทําโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

“ข้อความอันเป็นเท็จ” หมายถึง ข้อความที่นําไปแจ้งไม่ตรงกับข้อความจริงหรือตรงข้ามกับ ความจริง

อนึ่งในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด หรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทําผิด ก็ยังถือว่าเป็นคําให้การในฐานะ ผู้ต้องหาอยู่ (ฎ. 1093/2522)

“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอํานาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดําเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทําการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย

“ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความ เสียหายใด ๆ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ อนึ่งกฎหมายใช้คําว่า “อาจทําให้เสียหาย” จึงไม่จําเป็นต้องเกิด ความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําจะต้องกระทําด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตํารวจจับกุมนายดําในข้อหาว่าเป็นคนลาวอพยพหนีจากเขตควบคุม และนายดําได้ให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจําตัวประชาชนให้ตํารวจดู ซึ่งข้อความที่ให้การเป็นเท็จนั้น การกระทําของนายดําย่อมไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะเป็นการให้การในฐานะผู้ต้องหา ซึ่งผู้ต้องหาชอบที่จะแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด แม้ว่าคําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ ก็ไม่ถือเป็นการแจ้งความอันจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ตามหลักกฎหมายที่ ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น

สรุป
นายดําไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 137

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ (มาตรา 157)

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย
มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือน จากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อย ให้รับสารภาพ เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหาย ในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่า ต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. โดยทุจริต
4. โดยเจตนา

“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม และโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็นความผิด

“ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เป็นจํานวนที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

 

ข้อ 3. นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึกที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทําครั้งนี้ และไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมาย ส่วนนายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ในระหว่างกําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกคณะนิติศาสตร์ ดังนี้ บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับ ความสงบสุขของประชาชน และมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐาน เป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

มาตรา 219 “ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือ

มาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทําความผิดนั้น ๆ”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุข ของประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร
“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุม ปรึกษาหารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึกที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง แต่นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วย และไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมายนั้น ไม่ถือว่าเป็นการสมคบกันครบห้าคนในความผิดฐานเป็นซ่องโจร เพราะคําว่าสมคบนั้น หมายถึง การปรึกษาหารือแล้วตกลงร่วมกันที่จะกระทําความผิด แต่เมื่อนายห้าไม่ได้ตกลงร่วมกันด้วยกับพวกอีกสี่คน ผู้ที่สมคบกันกระทําความผิดจึงมีเพียงสี่คน ดังนั้น บุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิดฐาน เป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัย มีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ ประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า
ความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. ตระเตรียม
2. เพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218
3. โดยเจตนา

โดยทั่วไปแล้ว การตระเตรียมการยังไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะยังไม่ลงมือกระทําความผิด แต่การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น มีผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน อย่างร้ายแรง ดังนั้นการตระเตรียมการเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น จึงเป็นความผิดแล้ว และต้องระวางโทษ เท่ากับพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217 หรือมาตรา 218 แล้วแต่กรณี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ในระหว่าง กําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกนิติศาสตร์นั้น การกระทําของบุคคลทั้งสี่ย่อมถือว่าอยู่ในขั้นตระเตรียมการวางเพลิงแล้ว เพราะเป็นการกระทําด้วยประการใด ๆ อันนําไปสู่การกระทําความผิดสําเร็จได้ และถือว่าเป็นการตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (มหาวิทยาลัยรามคําแหง ถือเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ) ตามมาตรา 218 (4) ซึ่งได้กระทําโดยมีเจตนา ดังนั้น บุคคลทั้งสี่จึงมีความผิดฐาน ตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 ส่วนนายห้าไม่มีความผิดฐานนี้ด้วย เพราะไม่ได้ร่วมกระทําผิด

สรุป
บุคคลทั้งห้าไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แต่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219

 

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นพนักงานบัญชีของธนาคาร มีหน้าที่ควบคุมการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคาร เมื่อลูกค้าของธนาคารนําเงินมาฝากจําเลยต้องจดตัวเลขจํานวนเงินลงในช่องการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคาร พร้อมทั้งเซ็นชื่อของจําเลย วันเกิดเหตุจําเลยจดลงในบัญชีว่ามีลูกค้านําเงินมาฝาก 200,000 บาท จากนั้นได้เซ็นชื่อของจําเลยลงไป ข้อเท็จจริงได้ความว่าในวันดังกล่าวไม่มีลูกค้านําเงินมาฝากแต่ประการใด ให้ท่านวินิจฉัยว่าจําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยซึ่งเป็นพนักงานบัญชีของธนาคาร จดตัวเลขจํานวนเงิน 200,000 บาท ลงในช่องการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคารซึ่งตนมีหน้าที่ควบคุมการ์ดดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําภายในขอบเขตอํานาจหน้าที่ของจําเลย แม้ความจริงจะไม่มีการนําเงินดังกล่าวเข้าฝากธนาคารเลยก็ตาม ก็เป็นการลงข้อความเท็จเท่านั้น หาใช่เป็นการปลอมเอกสารไม่ เพราะมิใช่เป็นการทําปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด ดังนั้น จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (เทียบฎีกาที่ 2379/2526)

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงิน แก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงาน ว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน แหวน รถยนต์ เป็นต้น หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหฯ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุม ผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่
ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 439/2469)

 

ข้อ 2. จ.ส.ต.ขยัน ตรวจค้นตัวดําว่ามียาบ้าหรือไม่ ค้นตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่พบยาบ้าที่ตัวดํา จ.ส.ต.ขยัน เสียหน้าไม่ปล่อยตัวดํา กลับพาดําเดินข้ามคลองห่างไปอีกประมาณ 500 เมตร ดังนี้ จ.ส.ต.ขยันจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับกุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหาย ก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยการตรวจค้นตัวดํา ว่ามียาบ้าหรือไม่ และเป็นการค้นตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่เมื่อไม่พบยาบ้าที่ตัวดํา จ.ส.ต.ขยันเสียหน้าจึงไม่ยอมปล่อยตัวดํา แต่กลับพาดําเดินข้ามคลองห่างไปอีกประมาณ 500 เมตรนั้น ย่อมถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่มีสิทธิทําได้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้งดํา ดังนั้นจึงถือได้ว่า จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แต่เป็นการอันมิชอบ อันถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว โดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ดํา และเมื่อ จ.ส.ต.ขยันได้กระทําไปโดยรู้สํานึกในการกระทําและในขณะเดียวกันได้ประสงค์ต่อผล ของการกระทํานั้น การกระทําของ จ.ส.ต.ขยันจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น จ.ส.ต.ขยันจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

สรุป จ.ส.ต.ขยันมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 3. ชาย 15 คน ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัด กล่าวโจมตีและขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้นได้เผาศาลากลางและขู่ว่าถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ย้ายออกจากพื้นที่จะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึงตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัวปรากฏว่าชาย 15 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ชาย 15 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคแรก “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาย 15 คนได้ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดและได้เผาศาลากลาง อีกทั้งได้ขู่ว่าจะฆ่าผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น การกระทําของชาย 15 คนดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นใน บ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชาย 15 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 215 วรรคแรกทุกประการ ชาย 15 คนจึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของชาย 15 คนไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิดตาม มาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 15 คนมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์ มีหน้าที่เขียนใบส่งของ วันเกิดเหตุ จําเลยได้เขียนใบส่งของว่า ได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจํานวน 5 คัน และส่งให้แก่ลูกค้าแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จําเลยไม่ได้ส่งของให้แก่ลูกค้า แต่จําเลยได้ยักยอกเอาไว้ ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยได้เขียนในใบส่งของว่าได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจํานวน 5 คัน และส่งให้แก่ลูกค้าแล้วนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจําเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์ดังกล่าว และมีอํานาจในการเขียนใบส่งของ ขณะเดียวกันจําเลยเซ็นชื่อของจําเลยเองไม่ได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด ดังนี้ แม้ว่า ข้อความในใบส่งของจะเป็นเท็จ การกระทําของจําเลยก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก (เทียบฎีกาที่ 484/2503)

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโมหะกลับบ้านตอนดึกได้ทราบข่าวจากนางโมรีที่เป็นภริยาว่า มอคค่าหมาที่เลี้ยงไว้กัดเด็กหญิงโมจิลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา นายโมหะโมโหมอคค่ามาก ตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับมอคค่าอีกต่อไป จึงยืนดักรอมอคค่ากลับมาบ้าน ผ่านไปครู่ใหญ่มีหมาตัวหนึ่งลอดประตูรัวเข้าบ้าน มาคุ้ยเขี่ยเศษอาหารกินด้วยความหิวโหย นายโมหะจึงเดินไปที่รถหยิบไม้กอล์ฟในรถมาฟาดไปที่ ศีรษะหมาตัวนั้นจนตาย ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ในความเป็นจริงแล้วตัวที่ตายเป็นเอสเปรสโซ่ หมาของนายโทโสเพื่อนบ้าน จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโมหะ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง)

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่าผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคสอง และมาตรา 62 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโมหะได้ใช้ไม้กอล์ฟทุบหมา คือ เอสเปรสโซ่ตายนั้นเป็น การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของนายโมหะ จะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายโมหะได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟทุบจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่มอคค่า หมาของตนเอง ดังนั้นนายโมหะจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ (องค์ประกอบของความผิด ฐานทําให้เสียทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ

1. ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์
2. ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3. โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายโมหะ เนื่องจากนายโมหะได้ทุบเอสเปรสโซ่ซึ่งเป็นหมาของนายโทโสตายนั้น ได้กระทําด้วยความรีบร้อน ไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่มอคค่าหมาของตน แต่นายโมหะก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มี กฎหมายบัญญัติให้การกระทําโดยประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่ ประกอบกับมาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายโมหะจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
นายโมหะไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. นายสว่างต้องการฆ่านายมืด แต่เห็นนายมัวเป็นนายมืด นายสว่างจึงใช้ปืนเล็งไปที่ศีรษะนายมัว แต่นายมัวเป็นนักกีฬายิมนาสติกเมื่อเห็นปืนที่นายสว่างเล็งมา นายมัวตีลังกาหลบกระสุนได้ทันพอดี ทําให้ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด แต่ไกลออกไปมีนายหมองยืนอุ้มหมาของนายหม่นอยู่ นายหมอง ถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ขวา และทําให้ลูกหมาของนายหม่นที่นายหมองอุ้มอยู่หล่น ไปที่พื้นหัวกระแทกพื้นตายอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายสว่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่ หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

การประกาศ มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสว่างต้องการฆ่านายมืด แต่เห็นนายมัวเป็นนายมืด นายสว่าง จึงใช้ปืนเล็งไปที่ศีรษะนายมัวโดยสําคัญผิดนั้น การกระทําของนายสว่างเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล ตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น แต่เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกนายมัว จึงเป็นกรณีที่นายสว่างได้ลงมือกระทําความผิดซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือนายมัวไม่ตายตามที่นายสว่างต้องการ นายสว่างจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายมัวโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง นายสว่างจะอ้างว่าได้กระทําเพราะเหตุสําคัญผิดว่านายมัวเป็นนายมืดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่

การที่กระสุนปืนไม่ถูกนายมัวแต่เลยไปถูกนายหมองได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นกรณีที่นายสว่าง ได้กระทําโดยเจตนาต่อนายมัวแต่ผลของการกระทําเกิดแก่นายหมองโดยพลาดไป ให้ถือว่านายสว่างได้กระทําโดยเจตนาต่อนายหมองบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทําด้วยตามมาตรา 60 และเมื่อนายหมองไม่ตาย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นนายสว่างจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านายหมองโดยพลาดไปตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกนายหมองทําให้ลูกหมาของนายหม่นที่นายหมองอุ้มอยู่หล่นไปที่พื้นหัวกระแทกพื้นตายนั้น นายสว่างไม่ต้องรับผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ เพราะมิใช่การกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 ทั้งนี้เพราะผลร้ายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทํา กล่าวคือ เมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนา ต่อบุคคล แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์จึงไม่อยู่ในความหมายของคําว่าพลาด แต่อย่างไรก็ดีการกระทําของนายสว่าง เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทตาม มาตรา 59 วรรคสี่ แต่แม้จะเป็นการกระทําโดยประมาท นายสว่างก็ไม่มีความผิด เพราะการทําให้เสียทรัพย์ โดยประมาทนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป
นายสว่างต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายตัว
นายสว่างต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายหมองโดยพลาด
นายสว่างไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายหม่น

 

ข้อ 3. นายธนบัตรต่อยนายชยากูรล้มลงแล้ววิ่งหนีไป นายชยากูรลุกขึ้นมาได้วิ่งไล่ตามไป 300 เมตรจึงทันนายธนบัตร นายชยากูรชักมีดแทงนายธนบัตร นายธนบัตรหลบทันเหลือบไปเห็นรถของนายอภิมุข จอดอยู่จึงเปิดประตูเพื่อจะเข้าไปหลบในรถยนต์ของนายอภิมุข นายอภิมุขไม่ยอมให้ขึ้นรถ นายธนบัตร จึงผลักศีรษะนายอภิมุขกระแทกพวงมาลัยได้รับบาดเจ็บ นายอภิมุขต่อยหน้านายธนบัตรสวนไปทันที จนปากแตก ดังนี้ นายธนบัตร นายชยากูร และนายอภิมุข ต้องรับผิดอย่างไรและอ้างเหตุที่เป็นคุณทางกฎหมายเหตุใดได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเป็นสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายธนบัตร นายชยากูร และนายอภิมุข ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายธนบัตร
การที่นายธนบัตรต่อยนายชยากูรล้มลง ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายธนบัตรจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายธนบัตรจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อนายชยากูรตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

และการที่นายธนบัตรผลักศีรษะนายอภิมุขกระแทกพวงมาลัยได้รับบาดเจ็บ ก็ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายธนบัตรจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายธนบัตรจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อนายอภิมุข ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และต้องรับโทษ นายธนบัตรจะอ้างว่ากระทําผิดด้วยความจําเป็นเพราะเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้น นายธนบัตรได้ก่อให้เกิดขึ้นด้วยการกระทําผิดของตนเอง

ความรับผิดของนายชยากูร
การที่นายชยากูรชักมีดแทงนายธนบัตร ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายชยากูรจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายชยากูรจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อปรากฏว่านายธนบัตร หลบทันจึงไม่ถูกนายชยากูรแทง การกระทําของนายชยากูรจึงถือเป็นการลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายชยากูรถูกนายธนบัตรต่อยล้มลงนั้น การกระทําของนายธนบัตร ถือเป็นการข่มเหงนายชยากูรอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อปรากฏว่านายชยากูรได้กระทําความผิด ต่อนายธนบัตรในขณะที่นายชยากูรยังโกรธอยู่ การกระทําของนายชยากูรดังกล่าวจึงเป็นการกระทําความผิด ในขณะบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษนายชยากูรน้อยเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72

ความรับผิดของนายอภิมุข
การที่นายอภิมุขต่อยหน้านายธนบัตรจนปากแตกนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายอภิมุขจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง โดยหลักแล้วนายอภิมุขจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายอภิมุขต่อยหน้านายธนบัตรเพื่อไม่ให้นายธนบัตรขึ้นรถนั้น นายอภิมุข ได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ของนายธนบัตร และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อนายอภิมุขได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายอภิมุขจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้นนายอภิมุขจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายธนบัตร

สรุป
นายธนบัตรจะต้องรับผิดทางอาญาต่อนายชยากูรและนายอภิมุข และจะอ้างว่าตนกระทําต่อนายชยากูรด้วยความจําเป็นเพื่อไม่ต้องรับโทษไม่ได้
นายชยากูรต้องรับผิดทางอาญาต่อนายธนบัตร แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้
นายอภิมุขไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วย กฎหมาย

 

ข้อ 4. นายเจกจ้างนางสาวพลอยไปฆ่านายวันระพีด้วยค่าจ้าง 1 ล้านบาท นางสาวพลอยไปขอยืมรถจากนางสาวแป้ง โดยนางสาวแป้งทราบดีว่านางสาวพลอยจะยืมรถไปฆ่านายวันระพี นางสาวพลอย ขับรถนางสาวแป้งจะไปฆ่านายวันระพี แต่ด้วยความรีบร้อนและไม่ชํานาญรถของนางสาวแป้ง นางสาวพลอยจึงเหยียบคันเร่งและเข้าเกียร์ผิดทําให้รถพุ่งชนนายวันระพีที่เดินอยู่ได้รับบาดเจ็บ สาหัส ดังนี้ นายเจกและนางสาวแป้งต้องรับผิดฐานใดและอัตราโทษเท่าใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเจกและนางสาวแป้ง ต้องรับผิดทางอาญาฐานใดและอัตราโทษเท่าใดนั้น แยกวินิจฉัย ได้ดังนี้

กรณีของนายเจก
การที่นายเจกได้จ้างนางสาวพลอยให้ไปฆ่านายวันระพีนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้วตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายเจกจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ แต่อย่างไรก็ตามการที่นางสาวพลอย ได้ขับรถที่ยืมมาจากนางสาวแป้งชนนายวันระพีได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้นเป็นเพราะความรีบร้อนและไม่ชํานาญรถ ของนางสาวแป้งจึงเหยียบคันเร่งและเข้าเกียร์ผิดทําให้รถพุ่งชนนายวันระพี การกระทําของนางสาวพลอยจึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ ซึ่งมิใช่ความผิดที่ได้กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง กรณีดังกล่าวจึงไม่ถือว่าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดตามที่ถูกใช้ กล่าวคือ ความผิดที่มีการใช้นั้นยังมิได้กระทําลง ดังนั้น นายเจกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 84

กรณีของนางสาวแป้ง
การที่นางสาวแป้งให้นางสาวพลอยยืมรถไปฆ่านายวันระพีนั้น นางสาวแป้งจะมีความผิดฐานเป็น “ผู้สนับสนุน” ตามมาตรา 86 ก็ต่อเมื่อ การกระทําของนางสาวแป้งเป็นการกระทําเพื่อช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิดด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางสาวพลอยยังไม่ได้ ลงมือกระทําความผิดตามที่ตนสนับสนุน (ความผิดฐานฆ่านายวันระพีโดยเจตนา) ดังนั้น แม้นางสาวแป้งจะให้นางสาวพลอยยืมรถไปเพื่อฆ่านายวันระพี นางสาวแป้งก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป
นายเจกต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ และต้องรับโทษในอัตรา 1 ใน 3 ของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่ได้ใช้นั้น
นางสาวแป้งไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ให้นักศึกษาทําคําตอบทั้งข้อ (ก) และข้อ (ข)

(ก) ไม่มีความผิด โดยไม่มีกฎหมายไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย โทษที่จะลงแก่ผู้กระทํา ต้องเป็นโทษที่กฎหมายกําหนดไว้

ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ และ

(ข) ดำนอนละเมอมลักขาวตกเตียง ขาวศีรษะแตกกรณีหนึ่ง
นางส้มแม่ของ ด.ญ.แตงกวาอายุ 15 ปี เด็กออทิสติกช่วยตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ ด.ญ.แตงกวา อดอาหารตาย เพราะสงสารลูกที่ทุกข์ทรมานอีกกรณีหนึ่ง

จงวินิจฉัยความรับผิดในทางอาญาของดําและนางส้ม

ธงคําตอบ
(ก) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา ต่อเมื่อได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”

ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญานั้น ก็ต่อเมื่อประกอบด้วย หลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1. ได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิด หมายความว่า บุคคลนั้นได้กระทําการและการกระทํานั้นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกระทํานั้นได้บัญญัติว่าเป็นความผิด ถ้าหากในขณะกระทํานั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด การกระทํานั้นย่อมไม่เป็นความผิดตามหลักที่ว่า “ไม่มีความผิด หากไม่มีกฎหมาย”

2. กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําต้องกําหนดโทษไว้ด้วย เพราะถ้ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกระทําได้บัญญัติว่าเป็นความผิดแต่ไม่ได้กําหนดโทษไว้ ผู้กระทําก็ไม่ต้องรับโทษ ตามหลักที่ว่า “ไม่มีโทษ หากไม่มีกฎหมาย” และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเท่านั้น ซึ่งโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในปัจจุบันได้แก่ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน (ป.อาญา มาตรา 18)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทํา ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทํา เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้
กรณีที่ 1 การที่ดํานอนละเมอผลักขาวตกเตียง ทําให้ขาวศีรษะแตกนั้น ไม่ถือว่าดํามีการกระทําในทางอาญา ดังนั้น ดําจึงไม่มีความรับผิดในทางอาญา ทั้งนี้เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการกระทําในทางอาญา ซึ่งผู้กระทําอาจจะต้องรับผิดในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องเป็นการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สํานึกหรือยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจด้วย แต่การที่ดําผลักขาวตกเตียงนั้น แม้จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวร่างกายของดํานั้นมิได้อยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจ แต่อย่างใด

กรณีที่ 2 การที่นางส้มแม่ของ ด.ญ.แตงกวาอายุ 15 ปี เด็กออทิสติกช่วยตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ ด.ญ.แตงกวาอดอาหารตายนั้น ถือว่านางส้มได้มีการกระทําในทางอาญาแล้ว เพราะเป็นการไม่เคลื่อนไหว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สํานึกคืออยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจ และถือว่าเป็นการกระทําโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําหรือหน้าที่ตามกฎหมายที่กําหนดให้ตนต้องกระทํา (หน้าที่ที่มารดาจําต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร) เพื่อป้องกันผลอันจะเกิดขึ้นนั้น และเมื่อนางส้มได้กระทําโดยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลที่เกิดขึ้นนั้น นางส้มจึงต้องรับผิดในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสองและวรรคห้า

สรุป
นายดําไม่ต้องรับผิดในทางอาญา แต่นางส้มต้องรับผิดในทางอาญา

 

ข้อ 2. พยายามกระทําความผิด มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

อธิบาย
ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ

(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา
(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์

โทษของการพยายามกระทําความผิด
โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่ การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 3. นายเสือต้องการฆ่านายช้างแต่ยังหาอาวุธไม่ได้ นายสิงห์รู้เจตนาของนายเสือจึงให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายเสือพกปืนใส่กระเป๋ากางเกงไปที่บ้านของนายช้าง ขณะที่นายช้างกําลังเดินออกจากตัวบ้าน นายเสือจึงล้วงเอาปืนในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะยิงแต่ด้วยความรีบเร่งปืนหลุดมือหล่นลงพื้น โดยนายเสือยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง ปืนกระทบพื้นกระสุนลั่นแต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด ดังนี้ อยากทราบว่านายสิงห์จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคหนึ่งที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําการ ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นความผิดนั้น คําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทําแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือพกปืนใส่กระเป๋ากางเกงไปที่บ้านของนายช้าง และเมื่อพบนายช้างกําลังเดินออกจากตัวบ้าน นายเสือจึงได้ล้วงเอาปืนในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะยิงนายช้าง แต่ด้วยความรีบเร่ง ทําให้ปืนหลุดมือหล่นลงพื้นโดยนายเสือยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่นายช้างนั้น การกระทําของนายเสือจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําความผิด เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความผิดสําเร็จ อีกทั้งเมื่อปืนกระทบพื้น กระสุนลั่นแต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด นายเสือจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ส่วนนายสิงห์ซึ่งได้ให้นายเสื้อยืมอาวุธปืนนั้น จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีความผิดฐานเป็นผู้ใช้
ความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 นั้น จะต้องเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่า ด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้นเป็นกรณีที่ นายเสือต้องการฆ่านายช้างอยู่ก่อนแล้วเพียงแต่ยังหาอาวุธไม่ได้ ดังนั้น แม้นายสิงห์จะรู้ถึงเจตนาของนายเสือและให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายสิงห์ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เพราะการกระทําของนายสิงห์ ดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้นายเสือกระทําความผิดตามนัยของมาตรา 84 แต่อย่างใด

กรณีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 นั้น จะต้องเป็นการกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แต่เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่านายเสือยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด ดังนั้น แม้นายสิงห์จะให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายสิงห์ก็ไม่มี ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป นายสิงห์ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน

 

ข้อ 4.นางเดือนขับรถจอดไว้ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโดยติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถไว้เพราะ ด.ญ.นิดบุตรสาวอายุ 2 ขวบเศษกําลังนอนหลับในรถ นางเดือนล็อคประตูรถแล้วเข้าไปใน ห้างฯ โดยตั้งใจจะซื้อของไม่นานก็กลับ ขณะเดินซื้อของในห้างฯ มีสินค้าลดราคาหลายอย่าง นางเดือน จึงเดินดูเพลินจนลืมว่าติดเครื่องรถไว้ เวลาผ่านไป 45 นาที เครื่องยนต์ดับและเครื่องปรับอากาศในรถ ไม่ทํางาน ด.ญ.นิดตื่นและเดินจะออกจากรถเพราะกําลังจะขาดอากาศหายใจ นายทองดี รปภ. ของห้างฯ เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ทราบว่าเป็นรถของใครจึงตัดสินใจทุบกระจกรถด้านคนขับเพื่อช่วย ด.ญ.นิด ไม่ให้ได้รับอันตราย ดังนี้อยากทราบว่านายทองดีจะอ้างเหตุยกเว้นความผิดหรือเหตุยกเว้นโทษ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสี่และวรรคห้า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทํา โดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทํา ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทํา เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อาฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย
การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจาก
ภยันตรายนั้น
(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางเดือนได้ล็อคประตูรถโดยติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถไว้ เมื่อต่อมาเครื่องยนต์ดับและเครื่องปรับอากาศในรถไม่ทํางาน ทําให้ ด.ญ.นิดบุตรสาวอายุ 2 ขวบเศษ ตื่นและดิ้นจะออกจากรถเพราะกําลังจะขาดอากาศหายใจนั้น ถือว่าได้มีภยันตรายเกิดขึ้นกับ ด.ญ.นิดแล้ว โดยเป็นภยันตรายที่เกิดขึ้นจากการกระทําโดยประมาทของนางเดือนตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสี่และวรรคห้า ซึ่งเป็นเหตุให้ ด.ญ.นิดได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และอาจทําให้ ด.ญ.นิดถึงแก่ความตายได้ถ้าหากนายทองดี รปภ. ของห้างฯ มิได้ให้การช่วยเหลือได้ทัน

การที่นายทองดีได้ตัดสินใจทุบกระจกรถเพื่อช่วย ด.ญ.นิดไม่ให้ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น แม้นายทองดีจะได้กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และโดยหลักต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อการกระทําของนายทองดีนั้นเป็นกรณีที่นายทองดีจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อนายทองดีได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายทองดีจึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายทองดีจึงอ้างเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 68 เพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาได้

สรุป นายทองดีสามารถอ้างเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 68 ได้

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก๋า หลังจากแยกย้ายกันไปสักพักใหญ่ นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหว ก็เข้าใจไปว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่า เป็นนายเก๋าทั้งที่ปกตินายเก๋ามักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายโก๋ ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าโดนนายเก๋าถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญา ของนายโก๋

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกแล้ว จึงถือว่านายโก๋มีการกระทําทางอาญา แต่การที่นายโก๋ยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์แต่ ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายเก๋านั้น เป็นกรณีที่นายโก๋ได้กระทําไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิ่งนั้นเป็นคน ดังนั้น จะถือว่านายโก๋ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของ การกระทําคือการที่นายเก๋าถึงแก่ความตายไม่ได้ กล่าวคือ จะถือว่านายโก๋ได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเก๋าไม่ได้ นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม)
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม ของนายก๋าได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทําของนายโก๋ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และ

นายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ ถ้านายโก๋ใช้ความระมัดระวัง พิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายเก๋าไม่ใช่สัตว์ เพราะนายเก๋มากจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจํา ดังนั้น นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

สรุป
นายโก๋ต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

 

ข้อ 2. นายแดงต้องการฆ่านายดํา วันหนึ่งนายแดงเห็นนายดํานั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาว นายแดงจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดํา กระสุนถูกนายดําได้รับบาดเจ็บและบางส่วนของกระสุนยังกระจาย ไปถูกนางขาวถึงแก่ความตาย เศษกระสุนส่วนหนึ่งไปถูกกระจกรถยนต์ของนายฟ้าแตกเสียหาย
จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของนายแดง แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายแดงต่อนายดํา
การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่นายดํานั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของนายแดง จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เมื่อกระสุนถูกนายดําได้รับบาดเจ็บไม่ถึงแก่ความตาย การกระทําของนายแดงจึงเป็นการกระทําที่ได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายแดงจึงมี ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80

ความรับผิดของนายแดงต่อนางขาว
การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่นายดําในขณะที่นายดํานั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาวนั้น นายแดงย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําของตนอยู่แล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกนางขาวได้ ดังนั้น เมื่อกระสุนที่นายแดง ได้ยิงไปนั้นได้ถูกนางขาวถึงแก่ความตาย การกระทําของนายแดงต่อนางขาวดังกล่าวจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง นายแดงจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตาม มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ส่วนกรณีที่เศษกระสุนส่วนหนึ่งไปถูกกระจกรถยนต์ของนายฟ้าแตกเสียหายนั้น ถือเป็นการกระทําโดยประมาทของนายแดงตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ดังนั้น นายแดงจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อกระจกรถยนต์ ของนายฟ้า ตามหลักเกณฑ์มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ที่ว่าบุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยประมาท ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
นายแดงต้องรับผิดทางอาญาต่อนายดําฐานพยายามฆ่านายดําตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 และรับผิดทางอาญาต่อนางขาวฐานฆ่านางขาวตายโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อกระจกรถยนต์ของนายฟ้า

 

ข้อ 3. บุญจงต้องการทําร้ายสมหมาย บุญจงจึงบอกสุทินให้ตีศีรษะสมหมาย ถ้าไม่ตีจะกดรีโมทระเบิดตึกราคา 10 ล้านบาทของสมหมายซึ่งได้วางระเบิดไว้แล้ว สุทินกลัวบุญจงระเบิดตึกจึงใช้ไม้ตีศีรษะ สมหมาย สมหมายหลบและล้มลง สุทินจะตีซ้ำ แมนบุตรของสมหมายเห็นเข้าจึงผลักสุทินล้มลง ได้รับบาดเจ็บ สมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าสุทิน จงวินิจฉัยความรับผิดของบุญจง สุทิน แมน และสมหมาย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้ พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บุญจง สุทิน แมน และสมหมาย จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของบุญจง
การที่บุญจงบอกสุทินให้ตีศีรษะสมหมาย ถ้าไม่มีจะกดรีโมทระเบิดตึกราคา 10 ล้านบาทของสมหมายซึ่งได้วางระเบิดไว้แล้วนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว บุญจงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลงคือสุทินได้ใช้ไม้ตีศีรษะสมหมายแล้ว ดังนั้น บุญจงผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

กรณีของสุทิน
การที่สุทินใช้ไม้ตีศีรษะสมหมาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสุทินจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง สุทินจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่สุทินใช้ไม้ตีศีรษะสมหมายนั้น สุทินได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของบุญจง ซึ่งสุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อสุทินได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของสุทินจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้น สุทินจึงมีความผิดแต่ ไม่ต้องรับโทษ

กรณีของแมน
การที่แมนบุตรของสมหมายผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของแมนจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง แมนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่แมนผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น แมนได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของสมหมายให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของสุทิน และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อแมนได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของแมนจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 ดังนั้น แมนจึงไม่ต้องรับผิดต่อสุทิน

กรณีของสมหมาย
การที่สมหมายได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าสุทินนั้น ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมหมายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของสมหมายนั้น สมหมายสามารถอ้างได้ว่าได้กระทําความผิด เพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษได้ตามมาตรา 72 เพราะสมหมายถูกสุทินข่มเหงอย่าง ร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทําต่อสุทินในขณะนั้น

สรุป
บุญจงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84
สุทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด
ด้วยความจําเป็น
แมนไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม
มาตรา 68
สมหมายต้องรับผิดทางอาญา แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อน ผ่อนโทษได้ตามมาตรา 72.

 

ข้อ 4. ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกจากบ้านมาให้สมเดชยิง อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพล และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน อรสาได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา ระหว่างที่ประชาเดินทางไปบ้านชุมพล สมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญ จึงยิงชุมพลตายก่อนที่ประชาจะพบกับชุมพล
ดังนี้ ประชา และอรสา ต้องรับผิดทางอาญาฐานใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมเดชใช้อาวุธปืนยิงชุมพลตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมเดชจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น สมเดชจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิด ฐานฆ่าชุมพลตายโดยเจตนา)

สําหรับประชาและอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่สมเดชยิงชุมพลตายอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของประชา
แม้ประชาจะได้ร่วมวางแผนกับสมเดชเพื่อที่จะฆ่าชุมพล แต่ในขณะที่สมเดชใช้ปืนยิงชุมพลถึงแก่ความตายนั้น ประชาไม่ได้อยู่ร่วมด้วย จึงถือว่าประชาขาดเจตนาที่จะร่วมกันกระทําความผิด ดังนั้นประชา จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประชาได้ร่วมกันวางแผนเพื่อฆ่าชุมพล โดยตกลงให้ประชาไปหลอกชุมพลออกมาจากบ้านเพื่อให้สมเดชยิงนั้น ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้นประชาจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของอรสา
การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพล และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืนจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบเพื่อนํามาให้สมเดชนั้น แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสาก็ตาม การกระทําของอรสา ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้นอรสาจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป ประชาและอรสาจะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายต้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น ขณะนายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้ง นายต้อยไม่ได้ชะลอความเร็วยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ นายต้อยเห็นนายต้องกําลังหาบเต้าหู้ขายและกําลังเดินข้ามถนนจะพ้นอยู่แล้ว นายต้อยจึงรีบห้ามล้อทันทีแต่ไม่ทันเพราะรถได้ลื่นไปชนหาบเต้าหู้ของนายต้อง หาบเต้าหูของนายต้องเสียหายทั้งหมด แต่ตัวนายต้องไม่เป็นอะไรเลย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายต้อย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น และขณะที่นายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้งก็ไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ เป็นเหตุให้ห้ามล้อไม่ทันจนทําให้ชนหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหายทั้งหมดนั้น ถือว่านายต้อย มิได้มีเจตนากระทําให้ทรัพย์ของนายต้องเสียหาย เนื่องจากนายต้อยไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ดี การกระทําของนายต้อยดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายต้อยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทําของนายต้อยจึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินคือหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหาย แต่เนื่องจากการกระทําโดยประมาททําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายนั้น กฎหมายอาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด ดังนั้น นายต้อยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

สรุป
นายต้อยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาต่อนายต้อง

 

ข้อ 2.นายสาธิตทราบมาว่านางสาวจิตฝันมีความระแวงว่ามีคนจะมาฆ่าตน นายสาธิตจึงหลอกนางสาวจิตฝัน ว่าจะมีคนแต่งชุดนักเรียนแบบในรูปที่ให้ดูมาฆ่านางสาวจิตฝัน วันหนึ่งนางสาวจิตฝันเห็นนางสาวพันล้านแต่งชุดนักเรียนเหมือนที่นายสาธิตบอก นางสาวจิตฝันคิดว่านางสาวพันล้าน เป็นคนที่นายสาธิตพูดถึง จึงได้ชักมีดออกมาแทงนางสาวพันล้านทันที แต่นางสาวพันล้านหลบทัน นางสาวจิตฝันจะแทงซ้ำอีก นางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์เพื่อนนักเรียนของนางสาวพันล้าน เห็นเข้าพอดี จึงได้เข้ามาขัดขวางทําให้ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บไปด้วย จงวินิจฉัยความรับผิด ทางอาญาของนางสาวจิตฝัน

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นางสาวจิตฝันจะต้องรับผิดทางอาญา ดังนี้คือ

ความรับผิดทางอาญาของนางสาวจิตฝันต่อนางสาวพันล้าน
การที่นางสาวจิตฝันได้ใช้มีดแทงนางสาวพันล้านนั้น ถือว่านางสาวจิตฝันได้กระทําต่อ นางสาวพันล้านโดยเจตนา เพราะนางสาวจิตฝันได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน นางสาวจิตฝันได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นางสาวจิตฝันได้กระทําต่อนางสาวพันล้านเพราะเข้าใจผิดคิดว่านางสาวพันล้านเป็นคนที่จะมาฆ่านางสาวจิตฝัน เนื่องจากเห็นนางสาวพันล้านแต่งชุดนักเรียนเหมือนกับที่นายสาธิตบอก นางสาวจิตฝันก็จะยกเอาความสําคัญผิดใน ตัวบุคคลดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทําต่อนางสาวพันล้านไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องถือว่านางสาวจิตฝัน ได้มีเจตนาฆ่านางสาวพันล้านด้วยตามมาตรา 61 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นางสาวจิตฝันได้ใช้มีดแทงนางสาวพันล้นนั้น นางสาวพันล้านหลบทัน และเมื่อนางสาวจิตฝันจะแทงซ้ำอีกก็ถูกนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ขัดขวาง ทําให้การกระทําของนางสาวจิตฝันซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือนางสาวพันล้านไม่ตาย ตามที่นางสาวจิตฝันต้องการ ดังนั้น นางสาวจิตฝันจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางสาวพันล้านโดยสําคัญผิด ในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ความรับผิดทางอาญาของนางสาวจิตฝันต่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์
การที่นางสาวจิตฝันใช้มีดแทงนางสาวพันล้านแต่นางสาวพันล้านหลบทัน และเมื่อนางสาวจิตฝัน จะแทงซ้ำอีก ก็ถูกนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ขัดขวางทําให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บนั้น ผลของการกระทําที่เกิดขึ้นกับนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านางสาวจิตฝันได้กระทําโดยเจตนาต่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น เมื่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ไม่ตาย จึงถือว่านางสาวจิตฝันได้ลงมือกระทําความผิดและได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นางสาวจิตฝันจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวบานชื่น และนางสาวรื่นรมย์โดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป
นางสาวจิตฝันต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวพันล้านโดยสําคัญผิดใน ตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 61 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

นางสาวจิตฝันต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ โดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3. นายโก๋มีเรื่องโกรธเคืองกับนายชัยในเรื่องแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกัน วันเกิดเหตุนายโก๋ดื่มสุรามีอาการมึนเมาไปยืนท้าทายที่หน้าประตูรั้วบ้านนายชัย “ไอ้ชัยมึงออกมาต่อยกับกูตัวต่อตัวถ้ามึงแน่จริง” นายชัยได้ยินเช่นนั้นจึงพกอาวุธปืนไว้ที่เอวเปิดประตูรั้วบ้านออกไปพบนายโก๋เกิดการทะเลาะวิวาทกัน นายโก๋ชักมีดออกมาจะจ้วงแทงนายชัย นายชัยใช้ปืนยิงนายโก๋กระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย และกระสุนยังเลยไปถูกนายเฮงซึ่งขี่รถจักรยานผ่านมาถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้นายชัยจะต้อง รับผิดทางอาญาโดยยกเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น…”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋กระสุนถูกนายโก้ถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายชัยได้กระทําต่อนายโก๋โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันนายชัยได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ดังนั้น นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ ตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

และการที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น นอกจากกระสุนปืนจะถูกนายโก๋ถึงแก่ความตายแล้ว กระสุนยังเลยไปถูกนายเฮงถึงแก่ความตายด้วยนั้น ผลของการกระทําที่เกิดขึ้นกับนายเฮงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึงต้องถือว่านายชัยได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเฮงบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายาจากการกระทํานั้นด้วย ตามมาตรา 60 ดังนั้น นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเฮงตายโดยเจตนาด้วยตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 60

ส่วนการที่นายชัยจะยกเหตุใดมายกเว้นความรับผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่อย่างไรนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีแรก นายชัยจะยกเหตุการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 มายกเว้น ความรับผิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะปรากฏว่า การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น เนื่องมาจากการที่นายโก๋ซึ่งมีเรื่องกับนายชัยได้ดื่มสุราจนมีอาการมึนเมาและได้ไปยืนท้าทายที่หน้าประตูรั้วบ้านนายชัยดังกล่าวนั้น แม้ว่านายชัยไม่มีหน้าที่ต้องหลบหนีก็ตาม แต่หากนายชัยไม่สมัครใจที่จะวิวาทหรือต่อสู้กับ นายโก๋ นายชัยก็ชอบที่จะไม่ออกไปพบนายโก๋ เมื่อนายชัยได้พกอาวุธปืนและเปิดประตูรั้วบ้านออกไปพบนายโก๋ ย่อมแสดงให้เห็นว่านายชัยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับนายโก๋โดยไม่มีกฎหมายให้อํานาจ และการที่นายโก๋ ได้ชักมีดออกมาเพื่อจ้วงแทนนายชัย ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่วิวาทกันกับนายชัย ดังนั้น การที่นายชัย ใช้ปืนยิงนายโก๋จนถึงแก่ความตาย นายชัยจะอ้างว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ไม่ได้

กรณีที่ 2 การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋ถึงแก่ความตายนั้น นายชัยจะยกเหตุบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 มาเป็นเหตุเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้ เพราะการที่นายโก๋ได้มายืนท้าทายและเรียกให้นายชัย ออกมาต่อยกันตัวต่อตัวนั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายชัยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ดังนั้น นายชัยจะอ้างว่าตนได้กระทําไปเพราะเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ไม่ได้

สรุป
นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเฮงตายโดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 60

นายชัยจะอ้างเหตุการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 หรือเหตุบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 ขึ้นมาเพื่อยกเว้นความรับผิด หรือเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้

 

ข้อ 4. หนึ่งกับสองร่วมกันวางแผนที่บ้านหนึ่งจะฆ่าเชิดโดยตกลงกันให้สองไปหลอกเชิดออกจากบ้านมาให้หนึ่งเป็นคนยิง แจ๋วน้องสาวหนึ่งแอบได้ยินนําความมาเล่าให้อรสาซึ่งเคยอยู่กินกับเชิดแล้วถูกเชิดทอดทิ้งไป อรสาจึงไปขโมยปืนพกขนาด .38 ของบิดามาให้แจ๋วฝากไปให้หนึ่งใช้ยิงเชิด โดยห้ามแจ๋วไม่ให้บอกว่าเป็นปืนของใครให้บอกแต่ว่าเป็นปืนของผู้หวังดี หนึ่งรับปืนจากแจ๋วโดยไม่รู้ว่าเป็นปืนของใคร จึงให้สองไปหลอกเชิดออกจากบ้านมาตรงที่หนึ่งซุ่มอยู่แล้วหนึ่งใช้ปืนกระบอกนั้นยิงเชิดตาย ดังนี้ สอง แจ๋ว และอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตายอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งใช้ปืนพกยิงเชิดตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของหนึ่งจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น หนึ่งจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิดฐาน ฆ่าเชิดตายโดยเจตนา)

สําหรับสอง แจ๋ว และอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตายอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมกันกับหนึ่งวางแผนเพื่อจะฆ่าเชิด โดยให้สองเป็นผู้ไปหลอกเชิดมาให้หนึ่งเป็นคนยิงนั้น ถือว่าสองมีเจตนาร่วมกันกับหนึ่งในการกระทําความผิดตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น เมื่อหนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตาย สองจึงต้องรับผิดทางอาญาร่วมกับหนึ่ง ในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของแจ๋ว
การที่แจ๋วได้เอาปืนของอรสาไปให้หนึ่ง โดยที่รู้อยู่แล้วว่าหนึ่งจะเอาปืนนั้นไปยิงเชิดนั้น การกระทําของแจ๋วถือว่าเป็นการกระทําโดยมีเจตนาให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกก่อนการกระทําความผิด ดังนั้นแจ๋วจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนนั้นยิงเขิดตายในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของอรสา
การที่อรสารู้ว่าหนึ่งจะฆ่าเชิด จึงได้ขโมยปืนพกของบิดามาให้แจ๋วฝากไปให้หนึ่งใช้ยิงเชิดนั้น แม้ว่าหนึ่งรับปืนจากแจ๋วโดยไม่รู้ว่าเป็นปืนของใครก็ตาม การกระทําของอรสาถือว่าเป็นการกระทําโดยมีเจตนาให้ความช่วยเหลือ ให้ความสะดวกก่อนการกระทําความผิด ดังนั้น อรสาจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่ง ใช้ปืนยิงเชิดตายในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
แจ๋วและอรสา ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดําขับรถยนต์กระบะไปตามถนนเพื่อจะไปรับผักมาขายที่ตลาด ระหว่างทางพบแดง เขียว แสด ซึ่งนัดกันขับรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 100 ซีซี คนละคันขับซิ่งแข่งกันมาตลอดทาง ทั้ง 3 คน ขับรถมอเตอร์ไซค์แซงปาดหน้ารถกระบะของดําขึ้นไปข้างหน้า บีบแตรเยาะเย้ย ดำเร่งความเร็วรถยนต์กระบะอย่างรวดเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไล่ชนมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ไล่ชนที่ละคน เมื่อไล่ทัน รถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งชนอย่างแรง แดง เขียว แสด ได้รับบาดเจ็บ จงวินิจฉัยความรับผิดของดําที่มีต่อแดง เขียว และแสด ว่ามีอย่างไรบ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําขับรถยนต์กระบะไปตามถนน และถูกแดง เขียว แสด ขับรถ มอเตอร์ไซค์แซงปาดหน้าและบีบแตรเยาะเย้ย ทําให้ดําเร่งความเร็วรถยนต์กระบะอย่างรวดเร็ว และเมื่อไล่ทัน รถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสดแล้ว ดําก็ขับรถยนต์กระบะพุ่งชนรถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ที่ละคน อย่างแรงจนทําให้แดง เขียว แสด ได้รับบาดเจ็บนั้น พฤติการณ์ของดําแม้ว่าจะมิได้มีความประสงค์ให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การที่ดําได้ขับรถยนต์กระบะด้วยความเร็วสูงไล่ชนรถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ที่ละคนนั้น ดําย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทําให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตายได้ เมื่อดําได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา การกระทําของดําจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่เมื่อการกระทําของดําดังกล่าวมิได้ทําให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตาย จึงเป็นกรณีที่ดํา ได้ลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ดังนั้น ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่า แดง เขียว แสด ตามมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป
ดําต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าแดง เขียว แสด ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและ วรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2. ข้อยกเว้นของหลักกฎหมายที่ว่า “บุคคลจักต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยเจตนา” มีอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

อธิบาย
ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทํา ซึ่งการกระทํา หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง และการกระทํายังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกด้วย ดังจะเห็นได้จากมาตรา 59 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “การกระทําให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

และโดยหลักทั่วไป การกระทําซึ่งจะทําให้บุคคลผู้กระทําต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา คือ เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น (มาตรา 59 วรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง มีข้อยกเว้นว่า บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา แม้จะมิได้กระทําโดยเจตนาก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทําโดยประมาท เช่น กระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น หรือ

(2) เป็นการกระทําที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้กระทําโดยไม่มีเจตนา (ความผิดเด็ดขาด) เช่น การกระทําความผิดตามประมวลรัษฎากร เป็นต้น หรือ

(3) เป็นการกระทําความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้ แม้กระทําโดยไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด เว้นแต่ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น (มาตรา 104)

 

ข้อ 3. นายเดชพบนายเอกคู่อริยืนอยู่คนเดียว จึงเดินเข้าไปหาด่าว่าด้วยถ้อยคําหยาบคายและต่อยเตะนายเอกจนล้มลง แล้วนายเดชก็เดินจากไป นายเอกโกรธลุกขึ้นมาได้คว้าไม้วิ่งไล่ตาม พอทันกัน ใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะนายเดช นายเดชก้มหลบทัน ไม้เลยไปถูกนายเฮงซึ่งเดินสวนมาพอดี ศีรษะแตก ล้มลง นายเอกรีบเดินหนีไป นายเฮงลุกขึ้นมาได้ด้วยความโกรธที่ถูกนายเอกตี วิ่งเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร หยิบปืนออกมาวิ่งไล่ตามจนทันแล้วใช้ปืนยิงนายเอก แต่กระสุนปืนไม่ลั่น เพราะลืมบรรจุกระสุน ดังนี้ นายเอกและนายเฮง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุผลใด มายกเว้นความผิดหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอด แล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”
มาตรา 81 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดกระทําการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทํานั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทําหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทําต่อ ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทําความผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกและนายเฮง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุใด มายกเว้นความรับผิดหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก
การที่นายเอกใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะนายเดชนั้น ถือว่านายเอกมีเจตนาทําร้ายนายเดชแล้ว เพราะการกระทําของนายเอกเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเอกจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเอกจึงต้อง รับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และแม้การกระทําของนายเอกจะได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผลเพราะนายเดชก้มหลบทัน นายเอกก็ต้องรับผิดฐานพยายามทําร้ายนายเดชตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเอกได้กระทําต่อนายเดชนั้น เนื่องมาจากนายเอกถูกนายเดชด่าว่าด้วยถ้อยคําหยาบคายและถูกนายเดชต่อยเตะจนนายเอกล้มลง จึงถือได้ว่าการที่นายเอกได้ใช้ไม้ตีนายเดชนั้น เป็นเพราะนายเอกบันดาลโทสะเนื่องจากถูกนายเดชข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ดังนั้น นายเอก จึงอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

ส่วนการที่นายเอกมีเจตนาทําร้ายนายเดช แต่ผลของการกระทําไปเกิดกับนายเฮงโดยพลาดไป ตามกฎหมายให้ถือว่านายเอกได้เจตนากระทําต่อนายเฮงบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วยตามมาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของนายเอกเป็นการกระทําเพราะบันดาลโทสะ ดังนั้นนายเอกสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ ศาลลดหย่อนโทษได้เช่นเดียวกันตามมาตรา 72 ประกอบมาตรา 60

กรณีของนายเฮง
การที่นายเฮงถูกนายเอกตี ด้วยความโกรธจึงวิ่งเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร แล้วหยิบปืนออกมายิงนายเอก แต่กระสุนไม่ลั่นเพราะลืมบรรจุกระสุนนั้น การกระทําของนายเฮงเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเฮง จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเฮงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการกระทําของนายเฮง เป็นการกระทําที่ถือได้ว่าลงมือกระทําแล้ว แต่การกระทําไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทํา และนายเฮงได้กระทําไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ดังนั้น นายเฮงจึงมีความผิดฐานพยายามกระทําความผิดตาม มาตรา 81 วรรคหนึ่ง และสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

สรุป
นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามทําร้ายนายเดชตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง และมีความผิดฐานทําร้ายนายเฮงโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งประกอบ มาตรา 60 แต่นายเอกสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

นายเฮงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่าง แน่แท้ตามมาตรา 81 วรรคหนึ่ง แต่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

 

ข้อ 4. หนึ่ง สอง และสาม ร่วมกันวางแผนจะขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญในเวลากลางคืน โดยหนึ่งเป็นคนจัดหารถยนต์มาให้ แต่ไม่ได้ไปร่วมขโมยด้วย เมื่อได้รถยนต์แล้วสองเป็นคนขับรถยนต์พาสามไปจอดที่หน้าร้านนายเจริญ สามแต่เพียงคนเดียวเป็นผู้ปีนและงัดประตูเข้าไปในร้าน และขโมยเหล้ามา ส่งให้สองที่ยืนดูต้นทางอยู่หน้าร้าน และรับเหล้าไปไว้ในรถยนต์ เมื่อขโมยได้เหล้าตามที่ต้องการแล้ว สองขับรถยนต์พาสามเอาเหล้าไปส่งให้หนึ่งที่บ้าน หนึ่งขับรถยนต์ไปหาสี่ สี่รู้ว่าเป็นเหล้าที่ขโมยมา ก็ยังช่วยพาหนึ่งไปขายเหล้าให้กับนายห้า ดังนี้ หนึ่ง สอง และสี่ จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่สามขโมยเหล้าร้านนายเจริญในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หนึ่ง สอง และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่สามขโมยเหล้าร้านนายเจริญในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน หรือไม่อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมวางแผนกับสามเพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญ และในขณะที่สามได้ปีนและงัดประตูเข้าไปในร้าน สองก็ยืนดูต้นทางอยู่หน้าร้าน ถือได้ว่าสองและสามมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดและได้ร่วมกันถึงขั้นลงมือกระทําความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทําและอยู่ใกล้พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ ความผิดฐานลักทรัพย์ดังกล่าว (การขโมยเหล้า) จึงเป็นความผิดที่เกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป คือเกิดจากการกระทําของสองและสาม ดังนั้น สองจึงต้องร่วมรับผิดทางอาญากับสามในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของหนึ่ง
แม้หนึ่งจะได้ร่วมวางแผนกับสองและสามเพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าในขณะที่สองและสามขโมยเหล้านั้นหนึ่งไม่ได้อยู่ร่วมด้วย แต่หนึ่งได้ขออยู่ที่บ้าน ซึ่งหนึ่งไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย จึงถือไม่ได้ว่าหนึ่งเป็นตัวการร่วมในการขโมยเหล้า แต่อย่างไรก็ตาม การที่หนึ่งได้ร่วมวางแผนกับสองและสามและเป็นคนจัดหารถยนต์มาให้ ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น หนึ่งจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของสี่
สี่ไม่ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่ง สอง และสาม เพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญ จึงมิใช่ตัวการ และการที่สี่ได้ช่วยหนึ่งขายเหล้าทั้งที่รู้ว่าเป็นเหล้าที่ขโมยมา สี่ก็ไม่ต้องรับผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการที่สี่ ได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้น ก็เป็นการกระทําหลังจากที่ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยเหล้า) สําเร็จแล้ว ซึ่งกรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้นจะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทําความผิดเท่านั้น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกภายหลังการกระทําความผิด จึงเป็นผู้สนับสนุนไม่ได้ ดังนั้น สี่จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนแต่อย่างใด แต่สี่ต้องรับผิดทางอาญาฐานใหม่ คือฐานรับของโจร

สรุป
หนึ่งต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
สี่ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดฐานรับของโจร

WordPress Ads
error: Content is protected !!