THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดอธิบายลักษณะของการเลือกหัวข้อเรื่องได้ถูก
(1) การเลือกหัวข้อเรื่องให้โก้เก๋
(2) การเลือกหัวข้อเรื่อง คือ การตั้งชื่อเรื่อง
(3) การเลือกหัวข้อต้องคํานึงถึงสาระสําคัญ
(4) การเลือกหัวข้อเรื่อง คือ การตั้งประเด็นความคิด
ตอบ 3
การเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะสมที่จะนํามากล่าวหรือไม่ ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องจึงไม่ได้หมายถึง การเลือกชื่อเรื่องหรือการตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋ แต่ต้องคํานึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก

2. การเลือกหัวข้อเรื่องควรมีเนื้อหาตรงกับสิ่งใดมากที่สุด
(1) รสนิยม
(2) วัตถุประสงค์
(3) ความรู้สึก
(4) ประสบการณ์
ตอบ 1
หลักการเลือกหัวข้อเรื่องประการหนึ่ง คือ หัวข้อเรื่องนั้นเหมาะกับผู้ฟังผู้อ่านหรือไม่ซึ่งหัวข้อเรื่องที่เลือกควรมีเนื้อหาตรงกับความสนใจ รสนิยม อารมณ์ และระดับสติปัญญาของผู้รับสารนั้น ๆ เพราะการเลือกหัวข้อเรื่องที่มีเนื้อหาซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจ ย่อมไม่ต่างกับการยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้แก่เขา ผลการสื่อสารย่อมจะได้ประโยชน์น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้

3. ข้อใดไม่ใช่แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่อง
(1) การสังเกต
(2) การคิด
(3) การคาดคะเน
(4) การฟัง
ตอบ 3
แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องอาจได้มาจากหลายทาง เช่น จากการอ่าน การฟัง การสังเกต การคิดนึกตรึกเอา หรือได้มาจากประสบการณ์ตรง ฯลฯ แต่หัวข้อเรื่อง ส่วนใหญ่มักได้มาจากการอ่านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องที่สําคัญที่สุด เพราะการอ่านเป็นการสั่งสมความรู้ที่ดีที่สุด และยังเป็นการพัฒนาตนเองในด้านความรู้ได้เร็วและรวบรัดที่สุดอีกด้วย

4. เมื่อเราจํากัดขอบข่ายของเนื้อหาแล้ว กระบวนการใดในข้อต่อไปนี้คือสิ่งที่จะต้องทําต่อไป
(1) การเขียนประโยคกล่าวนํา
(2) การเขียนย่อหน้า
(3) การเขียนรายการความคิด
(4) การตั้งจุดมุ่งหมายหัวข้อเรื่อง
ตอบ 4
ขั้นตอนในการเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1. การเลือกหัวข้อเรื่อง
2. แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่อง 3. การจํากัดขอบข่ายเนื้อหาของหัวข้อเรื่อง
4. การตั้งจุดมุ่งหมายของหัวข้อเรื่อง 5. การเขียนประโยคกล่าวนํา

5. ประโยคที่เจาะจงขมวดเนื้อหาทั้งหมด เราเรียกประโยคนี้ว่าอะไร
(1) ประโยคกล่าวนํา
(2) ประโยคสนับสนุน
(3) ประโยคใจความ
(4) ประโยคสรุปความ
ตอบ 1
ประโยคกล่าวนํา คือ ประโยคที่เจาะจงขมวดเนื้อหาของหัวข้อเรื่องนั้นเอาไว้ทั้งหมดโดยรวม ๆ ซึ่งมีประโยชน์ ดังนี้ 1. เพื่อเจาะจงขมวดเนื้อหาทั้งหมดในภาพรวม มา 2. เพื่อช่วยเลือกสรรเนื้อหาที่จะมาเขียนได้ถูกต้อง 3. เพื่อช่วยเตือนความคิดของผู้เขียนให้มั่นคง 4. เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เขียนเนื้อหาออกนอกเรื่อง

6. ข้อใดอธิบายความหมายของโครงเรื่องผิด
(1) โครงเรื่อง คือ การจัดระเบียบความคิด
(2) โครงเรื่อง คือ การเขียนรายการความคิด
(3) โครงเรื่อง คือ การจํากัดขอบข่ายความคิด
(4) โครงเรื่อง คือ การถ่ายทอดความคิด
ตอบ 4
โครงเรื่อง คือ การเขียนรายการความคิดหรือใจความสําคัญของเรื่องให้เป็นขั้นตอนว่าควรจะกล่าวถึงเนื้อหาอะไร หรือประเด็นใดก่อนหลังตามลําดับ โดยยึดจุดมุ่งหมายและขอบข่ายของเรื่องเป็นสําคัญ ดังนั้นการเขียนโครงเรื่องจึงเป็นการจํากัด ขอบข่ายความคิด และจัดระเบียบความคิดลงไปให้เด่นชัด เพื่อวางแนวทางหรือกรอบเนื้อหาของเรื่องที่เขียนให้ดําเนินไปตามลําดับขั้นตอน ไม่สับสนวกวน

ข้อ 7. – 10. จงใช้คําตอบต่อไปนี้จับคู่กับลักษณะการเขียนโครงเรื่อง
(1) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(2) โครงเรื่องแบบย่อหน้า
(3) โครงเรื่องแบบประโยค
(4) โครงเรื่องแบบหัวข้อ

7. เขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบหัวข้อ จะเขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ หรืออาจเป็นอนุประโยคที่ไม่ได้ความครบถ้วนในตัวเอง โดยมีตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประเด็น จึงเป็นโครงเรื่องที่ไม่ได้บอกแนวทางไว้ชัดเจน และผู้เขียนต้องรีบเขียนด้วยเวลาอันจํากัด เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อาจลืมได้ว่าหัวข้อนั้นจะขยายความอย่างไร ทั้งนี้โครงเรื่องแบบหัวข้อควรใช้ถ้อยคําให้ขนานเป็นแนวเดียวกันโดยตลอด คือ ถ้าหัวข้อแรกขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยา หัวข้อต่อไปก็ควรขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยาด้วย

8. เขียนด้วยข้อความที่สมบูรณ์
ตอบ 3
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่ บอกขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยายเป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีรายละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทางวิชาการ การวิจัย ฯลฯ

9. เขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อวางแนวเรื่องที่สั้น ๆ หรือเรื่องที่ต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลาอันจํากัด โดยไม่ต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าวเรียงลําดับกัน ไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบอัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าว ในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ

10. เขียนด้วยกลุ่มประโยคหลายประโยค
ตอบ 2
โครงเรื่องแบบย่อหน้า ประกอบด้วยกลุ่มประโยคหลายกลุ่มประโยครวมกันในรูปของย่อหน้า โดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อลงในบรรทัดใหม่ แต่จะกล่าวถึงทุกประเด็น ปนกันไปในย่อหน้าเดียวกัน เนื่องจากโครงเรื่องแบบนี้ไม่แยกประเด็นความคิดของเนื้อหา ออกอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป

11. คําตอบในข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการเขียนย่อหน้า
(1) เอกภาพ
(2) สัมพันธภาพ
(3) สารัตถภาพ
(4) มโนภาพ
ตอบ 4
หลักสําคัญเบื้องต้นในการเขียนย่อหน้า มีดังนี้
1. ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ควรมีสารัตถภาพ คือ การแสดงความคิดหรือเน้นความคิดที่เป็นสาระสําคัญเพียงอย่างเดียว 2. ย่อหน้าควรมีเอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยย่อหน้าจะต้องกล่าวถึงเรื่องราวอย่างเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายสําคัญเพียงอย่างเดียว และมีความสมบูรณ์ในตัวเอง 3. ย่อหน้าควรมีสัมพันธภาพ คือความสัมพันธ์และความต่อเนื่องกัน 4. ย่อหน้าควรจะขยายความอย่างเพียงพอและหมดจด

12. คําตอบในข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ส่วนประกอบของย่อหน้า
(1) ประโยคกล่าวนํา
(2) ประโยคใจความ
(3) ประโยคสนับสนุน
(4) ประโยคสรุป
ตอบ 1
ส่วนประกอบของย่อหน้ามีอยู่ทั้งหมด 4 ส่วน ดังนี้
1. ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ 2. ประโยคสนับสนุน 3. ประโยคสรุป 4. ประโยคส่งความหรือประโยคเชื่อมความ

ข้อ 13. – 15. จงหาใจความสําคัญว่าอยู่ส่วนใดของย่อหน้า
(1) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น
(2) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย
(3) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย
(4) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนกลาง

13. ความสมบูรณ์ของชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพื้นฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าในความเป็นมนุษย์ และเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรักความเมตตาต่อ เพื่อนมนุษย์และธรรมชาติอย่างจริงใจ
ตอบ 1
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า แล้วมีประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองวางอยู่ในตําแหน่งถัดไป จึงทําให้จัดลําดับความคิดได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นการขยายความคิดจากประโยคใจความสําคัญไปสู่รายละเอียดที่จะนํามาสนับสนุน

14. คนโบราณท่านแบ่งการปกครองในบ้านไว้ดังนี้คือ สามีเป็นใหญ่นอกบ้าน ซึ่งหมายความว่า สามีเป็นผู้มีภาระหน้าที่ทํางานภายนอกบ้านหาเงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนภรรยานั้นเป็นใหญ่ในบ้าน หมายถึง รับผิดชอบดูแลกิจการในบ้านหรืออาจจํากัดความได้ว่า “สามีเป็นผู้หา (เงิน) ภรรยาเป็นผู้เก็บ (เงิน)” การแบ่งหน้าที่ของสามีและภรรยาเช่นนี้จึงทําให้คนสมัยก่อนอยู่อย่างมีความสุข
ตอบ 3
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมมีฐานบรรจบกัน คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น แล้วขยายความให้รายละเอียดด้วยประโยคสนับสนุนหลักและ ประโยคสนับสนุนรอง ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ สรุปรายละเอียดต่าง ๆ ให้แคบลง และจบลงด้วยประโยคใจความสําคัญในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง จึงมีลักษณะเป็นย่อหน้าที่ขยายความให้กว้างออกแล้วสรุปความให้แคบเข้า โดยมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย

15. ความเครียดทําให้เพิ่มฮอร์โมนอะดรีนาลินในเลือด ทําให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อเขม็งตึงระบบย่อยเกิดอาการผิดปกติ เกิดอาการปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น ขาอ่อนแรง ความเครียดจึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้แก่เร็ว
ตอบ 2
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย เป็นการสรุปเอาสาระสําคัญทั้งหมดลงในตอนท้าย โดยกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เป็นประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองไว้ก่อนในตอนต้น แล้วจึงขมวดความคิดหรือใจความสําคัญเอาไว้ในตอนจบ ซึ่งจะตรงข้ามกับย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

ข้อ 16. – 30. ข้อความต่อไปนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งไว้เป็นข้อ ๆ จํานวน 15 ข้อ จงอ่านให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อเข้าลักษณะใด จากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ

คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความ ให้เลือกตอบข้อ 1
-ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลัก ให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรอง ให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นทําให้เสียความในย่อหน้า ให้เลือกตอบข้อ 4

(1) ในสมัยปัจจุบันนี้การอ่านนวนิยายเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อ่านหนังสือออกทั่ว ๆ ไปทํากันเป็นปรกติ (2) ผู้ที่มีการศึกษาต่างระดับต่างการอบรมก็มีรสนิยมต่างกัน (3) คนที่ได้รับการศึกษาไม่มากนักก็นิยม นวนิยายชนิดหนึ่ง (4) โดยมากที่อ่านง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความคิด (5) คนที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้นไป (6) นิยมอ่าน นวนิยายเพื่อพิจารณาศึกษาในฐานะเป็นศิลปกรรม (7) คนกลุ่มนี้เพ่งเล็งถึงกลวิธีการแต่ง (8) สํานวนภาษา (9) แนวคิด (10) และสิ่งอื่นที่มีในนวนิยาย (11) และอาจเปรียบเทียบนวนิยายเล่มหนึ่งของนักประพันธ์ คนเดียวกันนั้น (12) หรือเปรียบเทียบนวนิยายของนักประพันธ์คนหนึ่งกับของอีกคนหนึ่ง (13) หรือศึกษา ในด้านอื่น ๆ อีกก็ได้ (14) นวนิยายบางเรื่องของนักประพันธ์บางคนได้รับการยกย่องเป็นวรรณคดีมีผู้รู้จัก ทั่วโลก (15) เช่น นวนิยายของลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักประพันธ์ชาติรัสเซีย (ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ. 2529. “แนะแนวทางอ่านนวนิยาย” ในแว่นวรรณกรรม. กรุงเทพฯ: อ่านไทย,หน้า 134 135)

16. ข้อความหมายเลข 1
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกัประบโยคใจความหรือประโยคสําคัญ ประโยคสนับสนุนหลักหรือประเด็นความคิดหลัก และประโยคสนับสนุนรองหรือประเด็นความคิดย่อย เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

17. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมด หรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า ทั้งนี้ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ซึ่งมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

18. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

19. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลักหรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ)

20. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

21. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

22. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

23.ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

24. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

25. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ
26. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

27. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

28. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

29. ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

30. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

ข้อ 31, – 42. ข้อใดบกพร่องตรงกับตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การใช้คําขัดแย้งกัน
(2) ใช้คําผิดความหมาย
(3) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ

31. มันเป็นเวลาที่สายแล้วเมื่อฉันได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัย
ตอบ 4
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย หรือใช้ประโยคที่เลียนแบบสํานวนต่างประเทศ (สํานวนพันทาง) จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า ฉันมาถึงมหาวิทยาลัยเวลาสาย

32. ดิฉันไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะวิบัติขึ้นในบ้าน
ตอบ 2
ประโยคดังกล่าวใช้คําไม่ตรงความหมาย หรือใช้คําผิดความหมาย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมายโดยตรงที่ใช้เฉพาะความหมาย คํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่า ดิฉันไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะอุบัติขึ้นในบ้าน (คําว่า “อุบัติ” หมายถึง เกิด ส่วนคําว่า “วิบัติ” หมายถึง พิบัติ ฉิบหาย)

33. สําหรับในประเทศไทยอุปกรณ์ชนิดนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ตอบ 3
ประโยคดังกล่าวใช้คําอย่างไม่ประหยัดหรือใช้คําฟุ่มเฟือย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นต้องใช้คําขยายมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจาก จะทําให้ประโยคมีความยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า ในประเทศไทยอุปกรณ์ชนิดนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ (ตัดคําว่า “สําหรับ” ซึ่งเป็นบุรพบทเกี่ยวกับการให้การรับทิ้งไป เพราะห้ามใช้บุรพบทนําหน้าประโยคในไวยากรณ์ไทย)

34. คุณแม่ฉันกุลีกุจอเดินออกจากบ้านไปเมื่อกี้นี้
ตอบ 1
ประโยคดังกล่าวใช้คําขัดแย้งกัน ทําให้ข้อความไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ดังนั้นจึงควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน โดยใช้ว่า คุณแม่ฉันกุลีกุจอวิ่งออกจากบ้านไป เมื่อกี้นี้ การใช้คําว่า “กุลีกุจอ” ในที่นี้หมายถึง รีบมาก ซึ่งควรใช้กับคําว่า “วิ่ง” หมายถึงก้าวเร็วยิ่งกว่าเดิน จึงจะทําให้ประโยคไม่ขัดแย้งกัน)

35. จากการที่ได้เกิดฝนตกหนักทําให้น้ำท่วมทั่วกรุงเทพมหานคร
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่าฝนตกหนักทําให้น้ำทวมทั่วกรุงเทพมหานคร

36. นักสืบสะกดรอยตามผู้ร้ายไม่ให้คลาดเคลื่อนสายตา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่านักสืบสะกดรอยตามผู้ร้ายไม่ให้คลาดสายตา (คําว่า “คลาด” หมายถึง ไม่พบ เคลื่อนจากที่หมายส่วนคําว่า “คลาดเคลื่อน” หมายถึง ผิดจากความเป็นจริง)

37. สุภาวดีถูกเชิญให้ไปนําเสนอผลงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวเป็นประโยคกรรมการกในภาษาอังกฤษ ทําให้กริยาวลี “ถูก” กลับนิยมในข้อความที่ดี ทั้ง ๆ ที่ตามหลัภาษาไทยถือว่า มีความหมายไปในทางไม่ดี จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย เพื่อให้มีความหมายไปในทางที่ดีโดยใช้ว่า สุภาวดีได้รับเชิญให้ไปนําเสนอผลงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

38. เจ้าหน้าที่ตํารวจได้นําศพคนตายผ่าพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจได้นําศพผ่าพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช (ตัดคําว่า “คนตาย” ทิ้งไป เพราะศพก็คือคนที่ตายแล้ว)

39. การเดินทางไปดอยอ่างขางไม่ลําบากนัก เรียกว่าตกทุกข์ได้ยากทีเดียว
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า การเดินทางไปดอยอ่างขางไม่ลําบากนัก เรียกว่าสะดวกสบายที่เดียว การใช้คําว่า “ไม่ลําบาก/สะดวกสบาย” ในที่นี้เป็นคําที่ไม่ขัดแย้งกัน เพราะหมายถึง ไม่เดือดร้อน ไม่ติดขัดคล่อง ส่วนคําว่า “ตกทุกข์ได้ยาก” หมายถึง ตกระกําลําบาก)

40. เรื่องนี้อาจารย์ได้ทําการศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปีมาแล้ว
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่าเรื่องนี้อาจารย์ได้ศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปีมาแล้ว (ตัดคําว่า “ทําการ” ทิ้งไป เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมายอะไร ถึงแม้จะตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป)

41. ดวงตาของหล่อนวาววามราวกับหมู่ดาวในท้องฟ้า
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า นัยน์ตาของหล่อนวาววามราวกับหมู่ดาวในท้องฟ้า (การใช้คําว่า “นัยน์ตา/วาววาม” ในที่นี้เป็นคําที่ไม่ขัดแย้งกัน เพราะหมายถึง มีแสงวูบวาบอยู่ภายในตา ส่วนคําว่า “ดวงตา”มักใช้เป็นคําเปรียบเทียบเรียกหญิงที่รักหรือลูกที่รัก)

42. น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในคราวนั้นทําให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากมายพอสมควร ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในคราวนั้นทําให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากมายเหลือเกิน (การใช้คําว่า “มากมาย” ในที่นี้หมายถึง มากเหลือหลาย ซึ่งควรใช้กับคําว่า “เหลือเกิน” หมายถึง ยิ่งนัก เกินควร เต็มที่ จึงจะทําให้ประโยคไม่ขัดแย้งกัน ส่วนคําว่า “พอสมควร” หมายถึง พอประมาณ)

43. ข้อใดใช้คําตรงตามหลักไวยากรณ์
(1) คุณแม่บริจาคเงินกับเด็กกําพร้าเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ
(2) สมชายเป็นคนสุภาพแต่สํารวมตนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
(3) โบราณสถานที่สําคัญทุกชิ้นในประเทศไทยควรได้รับการดูแล
(4) ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดีและความดีก็จะคุ้มครองเรา
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้คําได้ถูกต้องตรงตามระเบียบของภาษา (หลักภาษาหรือไวยากรณ์) คือ ใช้คําสันธานถูกต้อง ได้แก่ คําว่า “และ” ซึ่งใช้เชื่อม เนื้อความที่คล้อยตามกัน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรใช้คําให้ตรงตามหลักไวยากรณ์ โดยใช้ว่า คุณแม่บริจาคเงินแก่เด็กกําพร้าเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ, สมชายเป็นคนสุภาพและสํารวมตนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่, โบราณสถานที่สําคัญทุกแห่งในประเทศไทยควรได้รับการดูแล)

44. ข้อใดเป็นคําไวพจน์ของพระอินทร์
(1) วัชรินทร์
(2) ราเชนทร์
(3) มานพ
(4) ธาดา
ตอบ 1
การหลากคํา หรือเรียกว่า “คําไวพจน์” คือ คําที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจัดเป็นคําพ้องความหมาย เช่น คําว่า “วัชรินทร์/วัชรี/วัชเรนทร์” หมายถึง พระอินทร์ เป็นต้น ส่วนคําว่า “ราเชนทร์” หมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน, “มานพ” หมายถึง คน, “ธาดา” หมายถึง พระพรหมผู้สร้าง)

45. ข้อใดมีความหมายตรงกันข้ามกับคําว่า ประกอบ
(1) แยกแยะ
(2) กระจาย
(3) คัดแยก
(4) งัดออก
ตอบ 3 คําว่า “ประกอบ” หมายถึง เอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มารวมหรือคุมกันเข้าเป็นรูปร่างตามที่ต้องการซึ่งจะมีความหมายตรงกันข้ามกับคําว่า “คัดแยก” หมายถึง เลือกและแยกสิ่งที่รวมกันอยู่ (ส่วนคําว่า “แยกแยะ” หมายถึง กระจายออกให้เห็นชัดเจน เช่น แยกแยะปัญหาให้เห็น เป็นประเด็น ๆ ไป “กระจาย” หมายถึง ทําให้แพร่หรือแตกแยกออกจากกันไปในที่ต่าง ๆ “งัดออก” หมายถึง ทําให้เผยอหรือเคลื่อนที่ออกมา โดยใช้วัตถุยาวงัด)

46. ข้อใดมีความหมายทั้งโดยตรงและโดยแฝง
(1) แมวมอง ยกยอ
(2) ฉีกหน้า-ฉีกกระดาษ
(3) จับเข่าคุยกัน-จับมือถือแขน
(4) ลิง-ลิงสยาม
ตอบ 2 คําที่มีความหมายทั้งโดยตรงและโดยแฝง ได้แก่
1. ความหมายโดยตรง (Denotation) หมายถึง ความหมายเดิม ความหมายประจํา หรือความหมายกลาง ซึ่งเป็นความหมายตามพจนานุกรมที่ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน เช่น คําว่า “ฉีกกระดาษ” หมายถึง ทําให้กระดาษขาดหรือแยกออกจากกัน เป็นต้น
2. ความหมายโดยแฝง (Connotation) หมายถึง ความหมายโดยนัยหรือความหมายเปรียบเทียบ ความหมายเพิ่มหรือความหมายสมทบที่ต้องอาศัยการตีความประกอบ เช่นคําว่า “ฉีกหน้า” หมายถึง ทําให้ได้รับความอับอาย เป็นต้น
(ส่วนตัวเลือกข้อ 1 และ 3 เป็นความหมายโดยแฝง, ตัวเลือกข้อ 4 เป็นความหมายโดยตรง)

47. ข้อใดใช้สํานวนเปรียบเทียบไม่เหมาะสม
(1) หน้าของเธอซีดราวไก่ต้ม
(2) ความยินดีเหล่านี้มันแฝงอยู่แล้วในทุกตัวอักษร
(3) พี่ชายของฉันกับพี่สาวของเธอสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก
(4) ผมเป็นครูมานานแล้วใคร ๆ ก็เรียกผมว่า พ่อพิมพ์ของชาติ
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้สํานวนเปรียบเทียบไม่เหมาะสม ได้แก่ สํานวนว่า “พ่อพิมพ์ของชาติ” จึงควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยใช้ว่า ผมเป็นครูมานานแล้วใคร ๆ ก็เรียกผมว่า แม่พิมพ์ของชาติ เพราะถึงแม้ครูจะเป็นผู้ชาย เขาก็เรียกว่าแม่พิมพ์ทุกเพศ (คําว่า แม่พิมพ์ หมายถึง ครูอาจารย์ที่ถือเป็นแบบอย่างความประพฤติ)

48. ข้อใดเป็นประโยค
(1) สุดหล้าฟ้าเขียว
(2) เมฆสีดําทะมึน
(3) ฝนเทลงมา
(4) แสงสว่างวาววับ
ตอบ 3
ความแตกต่างระหว่างวลี (กลุ่มคํา) และประโยค ได้แก่
1. วลี หมายถึง กลุ่มคําที่เรียงต่อกัน เกิดความหมายไม่สมบูรณ์ เพราะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งในภาคประธานหรือภาคแสดง แต่ก็สามารถสื่อความหมายได้ และใช้ประกอบคําหรือกลุ่มคําอื่น ๆ จนกลายเป็นประโยค เช่น สุดหล้าฟ้าเขียว, เมฆสีดําทะมึน, แสงสว่างวาววับ เป็นต้น
2. ประโยค หมายถึง ถ้อยคําที่มีเนื้อความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ภาคประธานและภาคแสดงอาจจะมีส่วนขยายหรือไม่มีก็ได้ เช่น ฝนเทลงมา (ประธาน + กริยา + ส่วนขยาย) เป็นต้น

49. ข้อใดเป็นประโยคสองส่วน
(1) พี่สาวของฉันร้องเพลงเพราะ
(2) พี่สาวของฉันไปโรงพยาบาล
(3) หนังสือเล่มนี้มีราคาแพงมาก
4) พี่สาวคนสวยของฉันรักพี่ชายของเธอ
ตอบ 1 ข้อสังเกตเกี่ยวกับประโยค อาจมีลักษณะดังนี้
1. ประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น พี่สาวของฉันร้องเพลงเพราะ, เพื่อน ๆ หัวเราะอย่างสนุกสนาน, ฉันนั่งยิ้มอย่างมีความสุขทุกวัน, เพื่อน ๆ ของฉันอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีทุกคน เป็นต้น
2. ประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่นพี่สาวของฉันไปโรงพยาบาล, หนังสือเล่มนี้มีราคาแพงมาก, พี่สาวคนสวยของฉันรักพี่ชายของเธอ, ใครก็ได้ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อย เป็นต้น

50. ข้อใดเป็นประโยคสามส่วน
(1) เพื่อน ๆ หัวเราะอย่างสนุกสนาน
(2) ใครก็ได้ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อย
(3) ฉันนั่งยิ้มอย่างมีความสุขทุกวัน
(4) เพื่อน ๆ ของฉันอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีทุกคน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

ข้อ 51 – 55. ข้อใดตรงกับคําตอบที่กําหนดให้
(1) ประโยคความรวม
(2) ประโยคความซ้อน
(3) ประโยคกรรม
(4) ประโยคการิต

51. โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะซื้อมาจากต่างประเทศ
ตอบ 2
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคย่อยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะซื้อมาจากต่างประเทศ, ดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ ดอกบัว ฯลฯ (คําที่ขีดเส้นใต้เป็นประโยคย่อยทําหน้าที่ขยายนาม โดยมีคําว่า “ที่” เป็นคําเชื่อม แทนคํานามที่อยู่ข้างหน้า)

52. เสื้อยืดตัวนี้ฉันซื้อไว้เอง
ตอบ 3
ประโยคกรรม คือ กรรมทําหน้าที่เป็นประธานในประโยค และมีกริยาวลี“ถูก” ตามหลังประธาน เช่น ฉันถูกครูตําหนิอีกแล้ว ฯลฯ หรือกรรมมีตําแหน่งอยู่หน้าประธานและกริยา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการเน้นกรรมมากกว่า เช่น เสื้อยืดตัวนี้ฉันซื้อไว้เอง ฯลฯ

53. คุณครูให้ฉันเช็ดโต๊ะอาหาร
ตอบ 4 หน้
ประโยคการิต คือ ประโยคประธานหรือประโยคกรรมซึ่งมีผู้รับใช้แทรกเข้ามา เรียกว่า การิตการก (เป็นทั้งผู้ถูกกระทําและผู้กระทํา) กล่าวคือ ในประโยคจะมีบุคคล 2 คน คนหนึ่งจะเป็นผู้สั่งหรือผู้ชี้แนะ (ผู้กระทํา) ในขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นผู้รับใช้(ผู้ถูกกระทํา) เช่น คุณครูให้ฉันเช็ดโต๊ะอาหาร ฯลฯ

54. เธอจะต้องมาเรียนมิฉะนั้นเธอจะต้องทํารายงาน 20 หน้า
ตอบ 1
ประโยคความรวม(อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญหลายใจความ เพราะเป็นประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อมด้วยคําสันธาน ได้แก่ ประโยคความรวมที่เนื้อความ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มักมีคําสันธานคือ หรือ, หรือไม่ หรือไม่เช่นนั้น, มิฉะนั้น ฯลฯ เช่น เธอจะต้องมาเรียนมิฉะนั้นเธอจะต้องทํารายงาน 20 หน้า เป็นต้น

55. ดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ ดอกบัว
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

56. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) โควตา กะเทย
(2) ต่าง ๆ นา ๆ ผัดไทย
(3) ผาสุก พะแนง
(4) ข้าวเหนียวมูล ใบกระเพรา
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ต่าง ๆ นา ๆ ข้าวเหนียวมูล ใบกระเพรา ซึ่งที่ถูกต้องคือ ต่าง ๆ นานา ข้าวเหนียวมูน ใบกะเพรา

สุกานดาจบปริญญาตรีนิเทศน์ศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอเป็นคนที่มี ความคิดสร้างสรรค์ แต่ชอบทํางานผลัดวันประกันพรุ่งและเปลี่ยนงานมาหลายบริษัท ล่าสุดเธอทํางาน เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธุ์ที่คลินิคแถวถนนประชาอุทิศน์

57. ข้อความที่กําหนดให้มีคําผิดกี่คํา
(1) 3 คํา
(2) 4 คํา
(3) 5 คํา
(4) 6 คํา
ตอบ 3
ข้อความที่กําหนดให้มีคําที่สะกดผิด 5 คํา ได้แก่ นิเทศน์ศาสตร์บัณฑิต ผลัดวันประกันพรุ่งประชาสัมพันธุ์ คลินิค ประชาอุทิศน์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ นิเทศศาสตรบัณฑิต ผัดวันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธ์ คลินิก ประชาอุทิศ

58. ข้อใดต่อไปนี้อ่านถูกต้อง
(1) ปรมาจารย์ อ่านว่า ประ-ระ-มา-จาน
(2) วิตถาร อ่านว่า วิด-ถาน
(3) พฤหัสบดี อ่านว่า พะ-รึ-หัด-สะ-บอ-ดี
(4) ศากยวงศ์ อ่านว่า สา-กะ-ยะ-วง
ตอบ 2, 3
คําที่อ่านถูกต้อง ได้แก่ วิตถาร อ่านว่า วิด-ถาน และพฤหัสบดี อ่านว่า พะ-รึ-หัด-สะ-บอ-ดี, พรึ-หัด-สะ-บอ-ดี (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นอ่านผิด ซึ่งที่ถูกต้องคือ ปรมาจารย์ อ่านว่า “ ปะ-ระ-มา-จาน, ศากยวงศ์ อ่านว่า สาก-กะ-ยะ-วง)

59. ข้อใดถูกต้อง
(1) คุณพ่อจะไปปทุมวัน ๆ นี้
(2) เขาเคยมาทุกวัน ๆ นี้ไม่มา
(3) เขาซื้อสี 5 กระป๋อง ๆ ละ 50 บาท
(4) เราจัดทัวร์ไปเที่ยวที่ที่สวยธรรมชาติ
ตอบ 4
คําซ้ำ คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าวซ้ำ 2 ครั้ง มีความหมายเน้นหนักหรือบางที่ต่างกันไปกับคําเดี่ยวเพียงคําเดียว ซึ่งในภาษาไทย จะใช้ไม้ยมก (ๆ) แทนคําท้ายที่ซ้ำกับคําต้น เช่น สีดํา ๆ, เด็กตัวเล็ก ๆ เป็นต้น ไม่ควรใช้ไม้ยมก ในกรณีที่เป็นคําคนละบทคนละความ เช่น คุณพ่อจะไปปทุมวันวันนี้, เขาเคยมาทุกวันวันนี้ไม่มา เขาซื้อสี 5 กระป๋อง กระป๋องละ 50 บาท, เราจัดทัวร์ไปเที่ยวที่ที่สวยธรรมชาติ เป็นต้น

60. คําในข้อใดเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษผิด
(1) Broccoli = บ๊อกโคลี
(2) Pattern = แพตเทิร์น
(3) Snoopy = สนูปปี
(4) Booking = บุกกิง
ตอบ 1
คําทับศัพท์ หมายถึง คําภาษาต่างประเทศที่นํามาใช้ในภาษาไทยโดยวิธีการถ่ายเสียงและถอดอักษร ซึ่งการเขียนคําทับศัพท์ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน ได้แก่ บรอกโคลี (Broccoli), แพตเทิร์น (Pattern), สนูปปี (Snoopy), บุกกิง (Booking) เป็นต้น

61. ทําไมการพูดจึงมีความสําคัญในชีวิตประจําวัน
(1) เพื่อการใช้ภาษาในการสื่อสาร
(2) เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) เพื่อความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การพูดนับเป็นการสื่อสารที่มีความสําคัญต่อชีวิตประจําวันชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพของมนุษย์เป็นอันมาก เพราะมนุษย์จะต้องใช้การพูด โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งถ้าสื่อสารเข้าใจกันได้ดีการกระทํากิจการงานต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

62. “คนที่เกิดมาพูดเก่ง หรือเสียงดีก็ใช่ว่าจะต้องเหนือกว่าคนพูดไม่เก่ง หรือเสียงไม่ดี ขอเพียงฝ่ายหลังมานะพยายาม ฝึกอบรมพูดอย่างมีหลักเกณฑ์ และเป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้นก็พูดเก่งได้” เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเป็นสําคัญ
(1) วาทศาสตร์
(2) วาทศิลป์
(3) ศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ข้อความที่นเรศ นโรปกรณ์ กล่าวไว้ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การที่จะพูดให้ได้ผลจําเป็นต้องฝึกฝนโดยอาศัยหลักวิชาการพูดที่เรียกว่า “วาทการ วาทศาสตร์ หรือวาทศิลป์” ทั้งนี้เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลําดับ

63. ข้อใดถูกต้องที่สุด
(1) พูดดี คือ การใช้ภาษาได้ดี
(2) พูดดี คือ พูดแล้วทําให้ผู้ฟังเชื่อถือ
(3) พูดเป็นต้องทําให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ
(4) พูดเป็น คือ การใช้ปิยวาจา
ตอบ 3 หน้า 157 การพูดโดยทั่วไปมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่
1. พูดได้ คือ พูดเป็นประโยคได้ดี รู้จักพูดคุย ซักถาม หรือโต้ตอบได้
2. พูดเป็น คือ พูดให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ เชื่อถือ คล้อยตาม และนําไปปฏิบัติได้
3. พูดดี คือ การใช้ปิยวาจา หรือวาจาเป็นที่รัก ดูดดื่มน้ำใจ ซาบซึ้งใจ ซึ่งนับว่าเป็นการพูดที่ดีที่สุด

64. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายในการพูด
(1) พูดได้ พูดเป็น และพูดดี
(2) ให้ความรู้โน้มน้าวใจ และสร้างความเพลิดเพลิน
(3) ให้ความรู้ ชี้แนะ และตอบคําถาม
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4
จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป มีดังนี้
1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง
2. โน้มน้าวจิตใจผู้ฟัง
3. สร้างความบันเทิง ความเพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ
4. แก้ปัญหาหรือตอบคําถามต่าง ๆ
5. แนะนําและชี้แนะเรื่องต่าง ๆ

65. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการทักทายผู้ฟัง
(1) เมื่อทักทายประธานในที่ประชุมสภาฯ ต้องพูดว่า “กราบเรียนท่านประธานที่เคารพ
(2) เมื่อทักทายแฟนเพลงควรใช้คําว่า “สวัสดี แฟนเพลงที่รักของปุ๊กกี้”
(3) ทักทายตามสถานการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
คําปฏิสันถารหรือการกล่าวทักทายผู้ฟังมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่เป็นพิธีการ จะไม่นิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามา เช่น คําว่า เคารพ นับถือ ที่รัก ฯลฯ มักใช้ในงานที่เป็นทางการ งานรัฐพิธีและศาสนพิธีต่าง ๆ ได้แก่ งานวางศิลาฤกษ์ งานแจกวุฒิบัตร คํากล่าวเปิดงาน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
2. ชนิดที่ไม่เป็นพิธีการ จะนิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามาด้วย เพื่อแสดงความเป็นกันเองหรือความใกล้ชิดสนิทสนม มักใช้ในงานที่ไม่เป็นทางการมากนัก ได้แก่ งานวันเกิดการแสดงคอนเสิร์ต การรายงานหน้าชั้นเรียน การแสดงปาฐกถา ฯลฯ

66. เมื่อได้รับเชิญไปพูดในเรื่องที่ไม่ถนัด ท่านควรทําเช่นไร
(1) หาข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้นให้มากที่สุด
(2) ขอโทษหรือออกตัวกับผู้ฟัง
(3) ปฏิเสธแล้วพยายามขอพูดในหัวข้อที่ถนัด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1
เมื่อต้องพูดในเรื่องที่ไม่ถนัดหรือไม่เชี่ยวชาญ นักพูดไม่ควรขอโทษ หรือออกตัวกับผู้ฟังก่อนพูด แต่ควรเตรียมตัวค้นคว้าหาข้อมูลและความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้พร้อมมากที่สุด โดยสามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อการพูดที่ดีได้ ดังนี้ 1. ความรู้และประสบการณ์ของผู้พูดเอง 2. การอ่านหนังสือในห้องสมุด 3. การติดตามข่าวสารที่ทันสมัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะพูด 4. การสนทนากับผู้รู้ 5. การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูด หรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ

67. ประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูด คืออะไร ”
(1) ช่วยให้เตรียมเนื้อหาได้อย่างเพียงพอ
(2) ทําให้การพูดน่าสนใจ
(3) ช่วยในการประเมินผู้ฟัง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
ผู้พูดควรกําหนดจุดมุ่งหมายในการพูดให้ชัดเจนว่า การพูดครั้งนั้นมีความมุ่งหมายอย่างไร ซึ่งประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูด คือ เพื่อจะได้ เตรียมเนื้อหา เหตุผล ข้ออ้างอิง ถ้อยคําภาษา ฯลฯ ได้อย่างเพียงพอและถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะการพูดด้วยจุดประสงค์และโอกาสที่ต่างกัน ย่อมจะใช้คําปฏิสันถาร เนื้อหา คําลงท้ายและภาษาที่แตกต่างกันไป

68. “ท่านผู้ฟังทุกท่านครับ สําหรับผมเงินไม่สําคัญกับชีวิตแต่จําเป็นในการใช้ชีวิตครับ” เป็นคํานําแบบใด
(1) กระตุ้นให้คิด
(2) ยกข้อความเร้าใจ
(3) จี้จุดสําคัญ
(4) สําแดงคุณโทษ
ตอบ 3
คํานําหรือการขึ้นต้นแบบจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ คือ การพุ่งเข้าสู่จุดโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทัศนะของผู้พูดเท่านั้น

69. “ท้ายที่สุดนี้ ผมขอย้ำว่าที่ผมอาสามาทํางานก็อาสามารับผิดชอบครับ” เป็นการสรุปเรื่องพูดแบบใด
(1) เชิญชวนให้เข้าใจ
(2) ทิ้งท้ายเป็นภาพเด่นชัด
(3) ประกาศเจตจํานง
(4) ยกอุทาหรณ์
ตอบ 3
การสรุปหรือลงท้ายแบบประกาศเจตจํานงส่วนตัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้พูดต้องเป็นคนสําคัญ หรือคนที่กําหัวใจของเรื่องนั้น ๆ อยู่

70. ลักษณะทางจิตวิทยาข้อใดของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
(1) กลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคม
(2) เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
(3) ทัศนคติ ความเชื่อ และคุณค่าที่ผู้ฟังยึดถือ
(4) ความต้องการพื้นฐานของผู้ฟัง
ตอบ 2
ลักษณะทางจิตวิทยาของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เพราะผู้ที่มีเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่ต่างกัน ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ และความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเวลาไปพูดผู้พูดจึงควรระมัดระวังไม่ไปโจมตีหรือดูหมิ่นถากถางความเชื่อที่ผู้ฟังยึดถือ

71. การฝึกพูดวิธีการใดดีที่สุด
(1) ฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา
(2) ฝึกพูดโดยศึกษาจากทฤษฎีการพูด
(3) ฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจก
(4) ฝึกพูดจากบุคลิกของผู้ฝึกซ้อม
ตอบ 1
การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจํา หรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูด จัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ดีที่สุด ทําให้นักพูดมีความก้าวหน้าและเห็นผล เร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนํา วิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

72. เคล็ดลับที่สําคัญในการฝึกพูดคือ
(1) กําจัดอาการตื่นเวที
(2) ฝึกนิสัยรักการอ่าน
(3) ปลูกฝังความกล้า
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 196 เคล็ดลับในการฝึกหัดพูด ได้แก่ 1. จงปลูกฝังความกล้าหาญทุกขณะที่จะพูด 2. ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว โดยอาจจะฝึกหน้ากระจกบานใหญ่ 3. จงขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ

73. เมื่อท่านฝึกซ้อมการพูดในระยะเริ่มแรก ท่านจะ
(1) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงตั้งแต่ต้นจนจบ
(2) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงทีละขั้นตอน
(3) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบ
(4) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอทีละขั้นตอน
ตอบ 2
การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการซ้อมพูด มีดังนี้ 1. การใช้เครื่องบันทึกเสียงเป็นวิธีฝึกซ้อมพูดในระยะเริ่มแรก ซึ่งจะทําให้ผู้พูดได้รู้ถึงน้ำเสียงของตน แต่ควรจํากัดเวลาด้วย โดยแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็นตอนสั้น ๆ และควรฝึกซ้อมทีละขั้นตอนเริ่มจากการกล่าวเปิดก่อน 2. การใช้วิดีโอหรือวีดิทัศน์ เป็นวิธีที่สามารถไว้ใจได้มาก เพราะภาพจากวิดีโอหรือวีดิทัศน์ จะบอกผู้ฝึกได้ทั้งลักษณะการพูด ท่าทาง และภาษาท่าทาง แต่วิธีนี้ควรใช้เมื่อได้ผ่านขั้นตอน การฝึกซ้อมอย่างอื่นมาแล้ว

74. ข้อใดคือหลักปฏิบัติในการฝึกพูด
(1) ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว
(2) ฝึกขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ
(3) ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงการพูด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

75. ข้อใดคือการฝึกพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด
(1) ฝึกการควบคุมอารมณ์
(2) ฝึกการใช้เสียงและท่าทาง
(3) ฝึกจดจําเรื่องราวต่าง ๆ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การฝึกพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีในการพูดมีอยู่ 2 ประการ คือ
1. บุคลิกภาพภายนอก เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด จึงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาฝึกฝนน้อยและวัดผลได้ทันที ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา สีหน้า การแต่งกาย การปรากฏตัว กิริยาท่าทาง การสบสายตา การใช้น้ำเสียง จังหวะในการพูด และถ้อยคําภาษา ฯลฯ 2. บุคลิกภาพภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงแก้ไขได้ค่อนข้างยาก ใช้เวลาฝึกฝนมากและวัดผลลําบาก ได้แก่ ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความกระตือรือร้น ความรอบรู้ ความคิดริเริ่ม ความจริงใจ ปฏิภาณไหวพริบ ความรับผิดชอบ ความจําและอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น อารมณ์ขัน ฯลฯ

76. ข้อใดคือบุคลิกภาพภายใน
(1) กิริยาท่าทาง
(2) การแต่งกาย
(3) อารมณ์ขัน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3

77. เมื่อท่านต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านจะ
(1) ใช้สีหน้าสํารวม หรี่ตาลงเล็กน้อย
(2) ใช้สีหน้าวางเฉย ลดสายตาลงต่ำ
(3) ใช้สีหน้าวางเฉย หลับตาลงช้า ๆ
(4) ใช้สีหน้าสํารวม ลดสายตาลงต่ำ
ตอบ 4
เมื่อต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้าสํารวมเพื่อบ่งบอกถึงความสุขุม ความเชื่อมั่นในการพูด และต้องลดสายตาลงเบื้องต่ำ เมื่อต้องการแสดงความสุภาพ ความนับถือ แต่จงระวังอย่าแสดงอาการหลุกหลิก เลิกคิ้ว หลิ่วตา ขยับแก้มขยับคางหรือกัดริมฝีปาก เพราะเป็นอากัปกิริยาที่ไม่เรียบร้อย

78. ข้อใดคือการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐาน
(1) อย่าให้เสื้อผ้าพูดแทนเนื้อหา
(2) ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม
(3) ใช้ความสงบสยบทุกเหตุการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การใช้ภาษาท่าทางในการพูดจะช่วยแก้ไขอาการตื่นเวทีของผู้พูด หรือสามารถเอาชนะความประหม่าได้ ดังนั้นเวลาพูดจึงควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง แต่ต้องไม่มากจนก่อให้เกิด ความรําคาญแก่ผู้ฟัง จงใช้ท่าทางไปตามธรรมชาติ และการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐานที่ผู้พูด จะละเลยไม่ได้ก็คือ การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นการสร้างความอบอุ่นต่อการพูด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง

79. ข้อใดใช้ภาษามือถูกต้อง
(1) สมชายอ่านข่าวโทรทัศน์แล้วผายมือ
(2) สมหญิงชี้หน้านักข่าวที่ตั้งคําถาม
(3) สมพรแสดงความจริงจังจึงกํามือ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การใช้ภาษามือต้องใช้ให้เป็นจังหวะ เหมาะกับเรื่องและโอกาสเพื่อบอกจํานวนขนาด รูปร่าง และทิศทาง ซึ่งจะทําให้การพูดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น เช่น 1. เมื่อแสดงความหนักแน่นจริงจังให้กํามือ 2. เมื่อแสดงความเป็นมิตรหรือบริสุทธิ์ใจให้แบมือทั้ง 2 ข้างแล้วผายออก 3. เมื่อบอกทิศทางให้ชี้นิ้วไปในตําแหน่งที่ต้องการ ฯลฯ

80. วิธีการแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุดคือ
(1) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ
(2) หายใจลึก ๆ แล้ววิ่งวนรอบเวที
(3) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด
(4) ขึ้นอยู่กับบุคคลที่พูด
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวที มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่นเวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว 2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา 3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ 4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด

81. ข้อใดคือการพูดแบบไม่เป็นทางการ
(1) วณิชยารับโทรศัพท์ในที่ทํางาน
(2) เอกพงษ์อภิปรายเรื่องภาวะโลกร้อน
(3) สุทธิดาสัมภาษณ์ประธานสภาผู้แทนฯ
(4) วันดีกล่าวอวยพรคู่สมรส
ตอบ 1
การสื่อสารด้วยการพูดในสังคมมีรูปแบบสําคัญ 2 ประการ คือ
1. การพูดแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การทักทาย การแนะนําตัว การสนทนา การเล่าเรื่อง การพูดและรับโทรศัพท์ และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ 2. การพูดแบบเป็นทางการ ได้แก่ การสัมภาษณ์ การบรรยาย การประชุม การอภิปราย การโต้วาที่ การพูดแบบปาฐกถา การกล่าวสุนทรพจน์ และการพูดในโอกาสสําคัญ (เช่น งานมงคลสมรส ฯลฯ)

82. การพูดแบบใดที่มักจะใช้แทรกในการพูดแบบต่าง ๆ
(1) การสนทนา
(2) การบรรยาย
(3) การเล่าเรื่อง
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 3
การเล่าเรื่อง คือ การที่บุคคลหนึ่งได้เห็นหรือได้ยินเรื่องราวบางอย่างมา แล้วนํามาถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง เพื่อให้ผู้ฟังได้รับรู้เรื่องราวนั้นด้วย โดยศิลปะของการเล่าเรื่องก็คือ การทําให้ผู้ฟังติดใจ อยากฟัง ดังนั้นจึงเป็นวิธีการพูดที่สําคัญอย่างหนึ่ง และมักนํามาแทรกไว้ในการพูดแบบอื่น ๆ เพื่อทําให้การพูดนั้นน่าสนใจขึ้น

83. การพูดแบบใดที่มีบทบาทสําคัญในชีวิตประจําวันมากที่สุด
(1) มารยาทในการฟัง
(2) การสนทนา
(3) การสัมภาษณ์งาน
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 2
การสนทนา เป็นการส่งสารและรับสารที่ง่ายที่สุด ทําได้รวดเร็วที่สุด และมีบทบาทสําคัญมากที่สุดในชีวิตประจําวัน เพราะมนุษย์เราจะต้องพบปะพูดคุยกับผู้อื่นเพื่อปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด หรือประสบการณ์ เพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายความเครียด

84. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) นักข่าวสัมภาษณ์พี่ดารา คือ การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ
(2) การสัมมนาต้องมีการนําผลไปเป็นแนวทางปฏิบัติ
(3) การอภิปรายต้องเป็นเรื่องทางวิชาการ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปรายที่ ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น“กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น…”

85. ข้อใดคือการอภิปรายกลุ่ม ”
(1) นักศึกษาปี 1 ทุกคนรับฟังการอภิปรายทางวิชาการ
(2) สมภพกล่าวอภิปรายที่สนามหลวง
(3) นักวิชาการแบ่งกลุ่มประชุมโลกร้อน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) คือ การอภิปรายที่ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการอภิปราย โดยทั่วไปจะมีจํานวนสมาชิกในกลุ่ม 5 – 20 คน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีสิทธิ์พูดเพื่อแสดงความรู้ ความคิดเห็น โดยจะผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง ไม่มีผู้ฟังที่เป็นบุคคลภายนอก จึงมักใช้ประชุมปรึกษาหารือเพื่อดําเนินงานในขอบเขตของผู้ร่วมอภิปราย

86. การพูดแบบใดที่ผู้พูดได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญในเรื่องที่พูด
(1) กล่าวปาฐกถา
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) การบรรยาย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก เป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้เข้าใจ เรื่องที่พูดอย่างแจ่มแจ้ง โดยอาจเป็นการพูดเกี่ยวกับวิชาการหรือเป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปก็ได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่พูดอย่างเชี่ยวชาญ

87. การพูดแบบใดที่ผู้พูดสามารถอ่านตามต้นร่างได้โดยไม่เสียมารยาท
(1) พูดจากต้นร่าง
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) กล่าวปาฐกถา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการสําคัญต่าง ๆ เช่น การกล่าวเปิดงาน การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวสดุดี การปราศรัย การให้โอวาท การกล่าวสุนทรพจน์ของบุคคลสําคัญ คำแถลงหรือประกาศต่าง ๆ ของทางราชการ ฯลฯ

88. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะสมสําหรับทุกโอกาส
(1) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
(2) การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่าง
(3) การพูดจากความทรงจํา
(4) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
ตอบ 3
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุด นิยมมากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับการพูดในทุกโอกาส ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในสมอง มีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง ๆ มาประสานกันได้อย่างดี เช่น การเล่าเรื่องชีวิตของตนเอง หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอ

ข้อ 89 – 90, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบให้ความรู้
(2) การพูดแบบจูงใจ
(3) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(4) การพูดแบบให้กําลังใจ

89. การพูดแบบใดที่ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น
ตอบ 2
วิธีปฏิบัติในการพูดแบบจูงใจหรือชักชวน มีดังนี้
1. ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น โดยพูดยกย่องผู้ฟังหรืออธิบายว่าผู้ฟังจะได้ประโยชน์มากขึ้น 2. ผู้พูดต้องพูดให้ผู้ฟังเห็นว่า ผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ฟังและเห็นอกเห็นใจผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังไว้วางใจ 3. ผู้พูดต้องยกตัวอย่าง ยกเหตุผลข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาอ้างอิง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย 4. ผู้พูดต้องใช้ศิลปะการพูดต่าง ๆ พูดอย่างมีชีวิตจิตใจ ฯลฯ

90. การพูดแบบใดที่หากพูดคนเดียวต้องใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที
ตอบ 3
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิง มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที แต่ถ้าพูดคนเดียวก็อาจใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที
2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม
3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ ถ้ามีเรื่องตลกขบขันแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

91. ปัญหาที่มักเกิดในการพูด คือข้อใด
(1) ผู้ฟังอาจเกิดความเข้าใจผิด
(2) ผู้พูดอาจพูดผิดไปโดยพลั้งเผลอ
(3) ผู้พูดไม่ทันรู้สึกว่าตนผิดพลาดไป
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในการพูดสื่อสารแต่ละครั้ง คือ การพูดนั้นได้ทําให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจผิดได้บ่อย ๆ ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
1. ผู้พูดมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน หรือพูดบางสิ่งบางอย่างผิดไป รายงานโดยพลั้งเผลอ ไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทันรู้สึกว่าตนผิดพลาดไป
2. ผู้พูดไม่ทราบว่าสิ่งที่พูดนั้นมีผลกระทบต่อผู้ฟัง หรือไม่คิดว่าผู้ฟังจะเข้าใจผิดและ มีความหมายผิดไปจึงไม่ได้แก้ไข
3. ภาษาพูดไม่ค่อยปรากฏหลักฐานเหมือนภาษาเขียน เมื่อพูดแล้วก็จบไปเลย ไม่มีการทบทวนใหม่ในสิ่งที่พูด

92. การพูดที่มีถ้อยคําดี คืออย่างไร
(1) ถ้อยคําที่จริงใจและเป็นประโยชน์
(2) ถ้อยคําที่ใช้ภาษาที่ดีและถูกต้อง
(3) ถ้อยคําที่ทําให้ผู้ฟังพึงพอใจ
(4) ถ้อยคําที่เหมาะแก่ทุกโอกาส
ตอบ 1
การพูดที่มีถ้อยคําดี คือ การพูดที่ประกอบด้วยถ้อยคําที่เป็นความจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นและสําคัญที่สุดของการพูด โดยควรเป็นถ้อยคําที่จริงใจหรือออกมาจากใจจริง และควรให้เป็นประโยชน์ต่อผู้พูดและผู้ฟัง นอกจากนี้ถ้อยคําที่พูดนี้ควรทําให้ผู้ฟังพึงพอใจด้วย

93. ความมุ่งหมายของการพูดมี 2 แบบ คืออย่างไร
(1) ความมุ่งหมายที่เป็นทางการกับไม่เป็นทางการ
(2) ความมุ่งหมายทั่วไปและความมุ่งหมายเฉพาะ
(3) ความมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าวและความมุ่งหมายเพื่อเกลี้ยกล่อม
(4) ความมุ่งหมายเพื่อแสดงออกและความมุ่งหมายเพื่อให้ความบันเทิง
ตอบ 2
การพูดที่มีความมุ่งหมาย คือ ผู้พูดจะต้องทราบแน่ชัดว่าพูดเพื่ออะไร โดยทั่วไปความมุ่งหมายในการพูดมี 2 แบบ ได้แก่ 1. ความมุ่งหมายทั่วไปสําหรับการพูดทุกครั้ง จะเหมือนกันหมด คือ ทําให้ผู้ฟังสนใจและตั้งใจฟัง ฟังเข้าใจและถูกเร้าใจในเรื่องที่พูด 2. ความมุ่งหมายเฉพาะสําหรับการพูดแต่ละครั้ง เพื่อจะได้จัดข้อความ ถ้อยคํา และวิธีการพูดให้สอดคล้องต่อไป เช่น การพูดเพื่อให้ข่าวสารความรู้ให้ความบันเทิง หรือเพื่อเกลี้ยกล่อม

94. การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี หมายถึงการแสดงในข้อใด
(1) การเตรียมเนื้อหาและจัดระเบียบความคิด
(2) การใช้น้ำเสียงและกิริยาท่าทาง
(3) การสร้างอารมณ์และสร้างบรรยากาศ
(4) การจัดข้อความและถ้อยคําให้สอดคล้องกับวิธีการพูด
ตอบ 2
การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดของการแสดงในการพูด คือ การใช้ศิลปะในด้านน้ำเสียงมากที่สุด นอกจากนี้ก็มีการใช้มือ และกิริยาท่าทางของผู้พูด ประกอบ ได้แก่ การแสดงสีหน้า การเคลื่อนไหว การวางท่า และการสบสายตากับผู้ฟัง เพื่อสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศ ฯลฯ โดยจะต้องแสดงออกมาให้เป็นธรรมชาติ ไม่ประหม่า เพื่อช่วยเน้นความรู้สึก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง

95. ทัศนคติข้อใดของผู้พูดที่จะทําให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกต่อต้านมากที่สุด
(1) ความรู้สึกกลัว
(2) ความรู้สึกเบื่อหน่าย
(3) ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ฟัง
(4) ความไม่มั่นใจในความสามารถของตน
ตอบ 3
ความรู้สึกหรือความคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้ฟัง ถือเป็นทัศนคติในทางลบของผู้พูดที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในทางลบและเป็นผลเสียต่อผู้ฟังมากที่สุด เพราะว่าหากผู้พูดมีทัศนคติในแง่นี้แล้ว ผู้พูดอาจจะมองผู้ฟังอย่างสงสาร สมเพทเวทนา ซึ่งส่วนมากจะ แสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ในกรณีเช่นนี้ผู้ฟังจะพยายามป้องกันไม่ให้ตนเองอยู่ในสภาพนั้นและขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมรับหรือเกิดความรู้สึกต่อต้านในตัวผู้พูดมากที่สุดด้วย

96. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) สัมพันธ์กับข้อใดในกระบวนการพูดกับการฟัง
(1) การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Raprport)
(2) การเชื่อมั่นในตัวเอง (Self-confidence)
(3) การปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
(4) ทัศนคติของผู้ฟัง (Attitude)
ตอบ 1
สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งจะทําให้กระบวนการพูดกับการฟังได้ผลดี มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) คือ ความพยายามของผู้พูดและผู้ฟังที่จะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกัน โดยต้องเห็นในสิ่งที่เขาเห็น รู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก 2. การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) คือ การที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้ากันได้ มีการยอมรับร่วมกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy)

97. ข้อใดที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
(1) ผู้พูดสํารวจสถานที่ โพเดียม และเครื่องเสียง
(2) ผู้พูดคํานวณอย่างรวดเร็วว่าจะใช้เวลาพูดกี่นาที
(3) ผู้พูดต้องให้ความสนใจในเรื่องที่ตนเองกําลังพูด
(4) ผู้พูดระมัดระวังในเรื่องบุคลิกภาพของตนอยู่ตลอดเวลา
ตอบ 3
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง มีลักษณะดังนี้
1. ผู้พูดจะต้องให้ความสนใจในเรื่องที่ตนเองกําลังพูดอยู่ และให้ความสนใจในตัวผู้ฟัง 2. ผู้พูดจะต้องให้ความคิดผูกพันอยู่กับเรื่องที่พูด และต้องพูดในสิ่งที่ตนเองคิด 3. ปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังเป็นสิ่งที่สําคัญมาก 4. การใช้เสียงถ่ายทอดความหมายและความรู้สึก 5. การใช้สายตาจับจ้องไปยังผู้ฟัง 6. การหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่จะขัดขวางความสนใจในการพูดของผู้พูด

98. การพูดให้มองเห็นภาพพจน์ได้ ขึ้นอยู่กับอะไร
(1) ประสาททั้งหก
(2) การใช้ถ้อยคํา
(3) ความเข้าใจของผู้ฟัง
(4) บรรยากาศในการฟัง
ตอบ 1
การพูดให้สามารถมองเห็นภาพพจน์ได้ คือ การที่ผู้พูดใช้วิธีอุปมาเปรียบเทียบหรือสร้างภาพที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งหก เพื่อทําให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงหน้า หรือได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้จริง ๆ โดยการพูดแบบนี้อาจใช้แต่คําพูดหรือแสดงท่าทางให้ผู้ฟังสามารถเห็นจริงเห็นจังตามไปด้วยก็ได้

99. กฎของการตอบคําถาม ประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ถูกต้อง สมบูรณ์ สุภาพ มั่นใจ
(2) ชัดเจน ถูกต้อง แม่นตรง เชื่อได้
(3) สุภาพ ตอบตรง แจ่มแจ้ง เตรียมพร้อม
(4) เชื่อมั่น พูดดี เรียบร้อย เหมาะสม
ตอบ 1 กฏเกณฑ์ของการตอบคําถาม ซึ่งเรียกว่า 4 Bs มีดังนี้
1. มีความถูกต้อง (Be Accurate) 2. มีความสมบูรณ์ (Be Complete)
3. มีความสุภาพ (Be Polite) 4. มีความมั่นใจ (Be Confident)

100. การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะทําให้การพูดเป็นแบบใด
(1) ดึงดูดผู้ฟัง
(2) มีชีวิตชีวา
(3) ผู้พูดไม่เครียด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะช่วยส่งเสริมให้การใช้ถ้อยคําพูดมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น ทําให้การพูดมีชีวิตชีวาและช่วยดึงดูดใจผู้ฟัง นอกจากนี้ ยังช่วยทําให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจ และสามารถลดความตึงเครียดทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง แต่ผู้พูดต้องระวังให้การใช้ท่าทางสอดคล้องกับความคิด คําพูดหรือเรื่องที่จะพูด และวิธีการถ่ายทอดโดยควรใช้ท่าทางให้พอดีและเป็นไปตามธรรมชาติ

101. ผู้ที่จะใช้ภาษาได้ดีควรมีความรู้เรื่องใด
(1) ไวยากรณ์และกฎเกณฑ์
(2) หลักและการใช้ภาษา
(3) โครงสร้างของประโยค
(4) ภาษาและวัฒนธรรม
ตอบ 4
ผู้ที่จะใช้ภาษาพูดได้ดีควรมีความรู้ด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ความรู้ในเรื่องหลักภาษา เป็นความรู้เรื่องการสร้างประโยค การใช้ถ้อยคํา ความหมายของคําและรู้จักเลือกใช้ภาษาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
2. ความรู้ในเรื่องการใช้ภาษาพูดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม เป็นความรู้เรื่องระดับของคําที่ใช้กับบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น คําพูดที่ใช้กับบุคคลที่อาวุโส พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ พระภิกษุ ฯลฯ

102. เพศชายและเพศหญิงใช้ภาษาต่างกันในข้อใดมากที่สุด
(1) คําสรรพนาม
(2) คําแบ่งแยกเพศ
(3) คําลงท้าย
(4) คําตอบรับ
ตอบ 1
การใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชายจะต่างกันในเรื่องของการใช้คําสรรพนามมากที่สุด ซึ่งทําให้สามารถแยกการใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชาย ได้ชัดเจน เช่น คําสรรพนาม (เพศชายใช้ผม/กระผม ส่วนเพศหญิงใช้ฉัน/ดิฉัน) รองลงมาคือคําลงท้ายและคําตอบรับ (เพศชายใช้ครับ ส่วนเพศหญิงใช้ค่ะ) เป็นต้น

103. ปัญหาในการใช้ภาษาพูดเรื่องใหญ่ที่สุด คือเรื่องใด
(1) การใช้วรรณยุกต์
(2) การสร้างตัวอักษรและเครื่องหมายต่าง ๆ
(3) การใช้ภาษาพูดในกลุ่มย่อย
(4) การออกเสียงและการใช้ถ้อยคํา
ตอบ 4
ปัญหาในการใช้ภาษาพูดแยกได้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ 2 เรื่อง ดังนี้
1. การออกเสียง ซึ่งเป็นปัญหาที่สําคัญที่สุด และถือเป็นปัญหาใหญ่ในการพูดปัจจุบันโดยเฉพาะการออกเสียง ร ที่เป็นเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียง ล และออกเสียง ร ล ว ที่เป็น เสียงควบกล้ำไม่ชัดเจน การใช้ถ้อยคํา ซึ่งภาษาพูดที่ดีต้องเป็นถ้อยคําที่ชัดเจน สื่อความหมายได้ดี มีประสิทธิภาพถูกต้องและเหมาะสม

104. ข้อใดเป็นความสับสนในการออกเสียง ร กับ ล
(1) ลดราวาศอก ออกเสียงเป็น ลดราวาศอก
(2) ลอดหลอดตา ออกเสียงเป็น รอดหูรอดตา
(3) ละล่ำละลัก ออกเสียงเป็น ระล่ำระลัก
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
สิ่งที่พบมากในการออกเสียง ร กับ ล ก็คือ ความสับสนในการออกเสียง ร กับ ล สลับกัน จนส่งผลให้ใช้ภาษาผิดและความหมายไม่ถูกต้อง ได้แก่ 1. รอดหูรอดตา (หลงหูหลงตาไป) ออกเสียงผิดเป็น ลอดหูลอดตา 2. ลดราวาศอก (อ่อนข้อ ยอมผ่อนปรนให้) ออกเสียงผิดเป็น ลดลาวาศอก 3. ละล่ำละลัก (อาการที่พูดไม่ได้เร็วอย่างใจ กระอีกกระอัก) ออกเสียงผิดเป็น ระล่ำระลัก 4. ร่ำลา (อําลา ลา) ออกเสียงผิดเป็น ล่ำลา ฯลฯ

105. ข้อใดที่มีความหมายโดยนัยแอบแฝงอยู่
(1) น้องสวมเสื้อสีขาว
(2) สีขาว คือ สีฮู้ดของนิติศาสตร์
(3) โตโยต้ารณรงค์เรื่องถนนสีขาว
(4) โรงเรียนทาสีขาวดูสว่างและกว้างขวาง
ตอบ 3
ความหมายโดยนัย หมายถึง ความหมายที่เปลี่ยนไปจากความหมายเดิม โดยใช้นัยแห่งความเดิมมาเปลี่ยนความหมาย บางทีก็เรียกว่าความหมายเชิงอุปมา คือ การนําคําที่ใช้สําหรับสิ่งหนึ่งตามปกติ ไปใช้กับอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นว่ามีลักษณะคล้ายกันหรือเข้ากันได้ เช่น โตโยต้ารณรงค์เรื่องถนนสีขาว สีขาว หมายถึง ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น สีขาว หมายถึง สี เป็นความหมายโดยตรง) (ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

106. การใช้สุภาษิต คําพังเพยในการพูด มีวิธีการใช้อย่างไร
(1) ต้องใช้ในตอนขมวดเรื่องจบ
(2) ต้องใช้ให้เหมาะกับเรื่องที่พูด
(3) ต้องใช้กับผู้ฟังที่มีการศึกษา
(4) ต้องใช้ในการพูดทุกครั้ง
ตอบ 2
หลักเกณฑ์การใช้สํานวนโวหาร สุภาษิต คําพังเพย และคําคมในการพูด คือ ต้องใช้ให้เหมาะกับเรื่องที่พูด ไม่ขัดกับเนื้อความที่พูด ใช้ให้เหมาะกับระดับบุคคล และเชื่อมโยงกับเรื่องที่พูด โดยไม่ควรยกมากล่าวลอย ๆ หรือใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ซึ่งคําเหล่านี้หากผู้พูดนํามาใช้ประกอบการพูดในที่ที่เหมาะสมจะทําให้การพูดคมคาย ประทับใจผู้ฟัง และผู้ฟังจดจําได้ง่าย

107. ถ้อยคําแบบใดที่ไม่ควรใช้ในการพูดยกเว้นเมื่อจําเป็น
(1) ภาษาถิ่น
(2) ภาษาต่างประเทศ
(3) คําเฉพาะอาชีพ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ถ้อยคําที่ไม่ควรใช้ในภาษาพูด นอกจากคําต่ำ คําหยาบ คําผวนที่หยาบคาย คําที่ใช้กันอยู่ในวงแคบ คํายาก และคําใหม่ ๆ ในอินเทอร์เน็ต ก็ยังมีคําเหล่านี้ซึ่งหากจําเป็นต้องใช้ ก็จะต้องอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจ ได้แก่ 1. คําสแลง 2. คําเฉพาะอาชีพ หรือคําเฉพาะกลุ่ม 3. ศัพท์บัญญัติ 4. ภาษาถิ่น 5. คําภาษาต่างประเทศ

108. การเว้นจังหวะในการพูด คือการหยุดพูดเมื่อใด
(1) เมื่อจบหัวข้อหนึ่งแล้ว
(2) เมื่อขจัดคําพูดที่ไม่จําเป็น
(3) เมื่อออกเสียงไม่ชัด ต้องหยุดแล้วพูดใหม่
(4) เมื่อกําลังจะยกตัวอย่าง
ตอบ 1
การรู้จักเว้นจังหวะในการพูด เป็นการเว้นวรรคตอนตรงข้อความที่ควรจะหยุดซึ่งการเว้นจังหวะโดยทั่วไปคือ การหยุดพูดเมื่อพูดจบหัวข้อหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะพูดในหัวข้อใหม่ ต่อไป นอกจากนี้ก็ให้หยุดท้ายคําถาม หยุดท้ายกลุ่มคํา หยุดก่อนที่จะกล่าวคําหรือเรื่องสําคัญและหยุดเมื่อถึงคําสันธาน

109. ข้อความใดที่นับว่าเป็นวลีฆาตกร
(1) ผมว่าควรจะชะลอโครงการนี้ไว้ก่อนดีกว่า
(2) ผมว่าหากทําโครงการนี้ก็อาจจะเกิดผลเสียได้
(3) ผมว่าโครงการนี้สู้โครงการของเพื่อนคุณไม่ได้
(4) ผมว่าโครงการแบบนี้ยังไม่ควรจะได้รับการสนับสนุน
ตอบ 4
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุมและทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Kitter Phrases) คือ ภาษา ที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ ได้แก่ เราไม่เคยทําแบบนี้มาก่อน, แพงเกินไป ผมมองไม่เห็นทางสําเร็จ, คุณคิดว่าคุณเป็นใคร, คุณเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือ, ผมว่า โครงการแบบนี้ยังไม่ควรจะได้รับการสนับสนุน ฯลฯ นอกจากนิ้วลีฆาตกรยังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน เช่น จ่อย ซุ่มซ่ามเหลือเกินนะ (เป็นการพูดตําหนิติเตียนผู้อื่น) เป็นต้น

110. สถานการณ์ในการพูดเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
(1) บุคคลและโอกาส
(2) โอกาสและสถานที่
(3) บุคคลและกาลเทศะ
(4) สถานภาพทางสังคมของผู้พูด
ตอบ 2
สถานการณ์ในการพูด คือ กาลเทศะ ซึ่งประกอบด้วย เวลา โอกาส สถานที่ และสิ่งแวดล้อมในขณะที่พูด

111. การประชุมแบบปฏิบัติงาน เรียกว่าการประชุมแบบใด
(1) Seminar
(2) Debate
(3) Syndicate
(4) Work Shop
ตอบ 4
ประเภทของการประชุม มีดังนี้
1. การประชุมปรึกษา (Conference) 2. การประชุมมีกําหนด(Convention) 3. การประชุมคณะอภิปราย หรือการประชุมแบบแผง (Panel) 4. การประชุมแลกความรู้ (Symposium) 5. การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) 6. การประชุมแบบโต้แย้ง (Debate) 7. การประชุมซินดิเคต (Syndicate) 8. การสัมมนา (Seminar)

112. การอภิปรายแบบใดที่ให้ความรู้และความคิดแก่ผู้ฟัง
(1) การอภิปรายหมู่หรือการอภิปรายเป็นคณะ
(2) การอภิปรายแบบโต้วาที
(3) การอภิปรายแบบระดมสมอง
(4) การอภิปรายแบบโต๊ะกลม
ตอบ 1
การอภิปรายหมู่หรือการอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) คือ การอภิปรายที่มุ่งให้ความรู้และความคิดแก่ผู้ฟัง ตลอดทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดในหมู่สมาชิกที่ร่วมอภิปรายด้วยกันด้วย โดยจะแบ่งบุคคลออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ฟังกลุ่มหนึ่ง และผู้อภิปรายอีก กลุ่มหนึ่ง อันประกอบด้วย ผู้ดําเนินการอภิปราย 1 คน และผู้ร่วมอภิปราย 2 – 6 คน รวมเป็น 3 – 7 คน

113. จุดมุ่งหมายหลักของการอภิปราย คืออะไร
(1) หาข้อยุติและเสนอแนวทางในการแก้ไข
(2) ร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้ และแลกเปลี่ยนทัศนะ
(3) เสนอข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะที่ดีที่สุด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การอภิปรายโดยทั่วไปมีจุดมุ่งหมายหลัก ดังนี้ 1. เพื่อเสนอปัญหาหรือเรื่องบางเรื่องที่น่าสนใจ 2. เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้ และแลกเปลี่ยน ทัศนะอย่างมีหลักเกณฑ์มีเหตุผล 3. ผู้อภิปรายได้มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ให้ข้อเสนอแนะ และช่วยกันหาข้อแก้ไขที่ดีที่สุด 4. หาข้อยุติของปัญหาที่อภิปราย 5. ให้ข้อคิดและทัศนคติแก่ผู้ฟังเพื่อให้เข้าใจปัญหา และเสนอแนวทางในการแก้ไขต่อไป 3

ข้อ 114. – 120. จงเติมคําที่เหมาะสมลงในช่องว่าง

114. น้องดาว……….ไปทําการบ้านอย่าง………..
(1) กุลีกุจอ กระตือรือร้น
(2) กระต้วมกระเตี้ยม กระปรี้กระเปร่า
(3) ขมีขมัน ขะมักเขม้น
(4) ขะมิดขะเมี้ยน ขะมุกขะมอม
ตอบ 3
คําว่า “ขมีขมัน” = รีบเร่งในทันทีทันใด, “ขะมักเขม้น” = ตั้งใจทําอย่างรีบเร่งเพื่อให้แล้วเสร็จไป ก้มหน้าก้มตาทํา (ส่วนคําว่า “กุลีกุจอ” = ช่วยจัด ช่วยทําอย่างเอาจริงเอาจัง, “กระตือรือร้น” – รีบร้อน เร่งรีบ ขมีขมัน มีใจฝักใฝ่เร่งร้อน, “กระต้วมกระเตี้ยม” = อาการที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ, “กระปรี้กระเปร่า” = คล่องแคล่วว่องไว เพราะมีกําลังวังชา, “ขะมิดขะเบี้ยน” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม มีแต่ “กระมิดกระเมี้ยน”, “ขะมุกขะมอม” = เปรอะเปื้อนมอซอ)

115. คุณครูพูดอย่าง……….และ………น่าเบื่อ
(1) ยืดเยื้อ ยืดยาว
(2) ยึดยาว ยืดยาด
(3) ยืดยาด ยืดเยื้อ
(4) ยั่งยืน ยึกยัก
ตอบ 2
คําว่า “ยืดยาว” = ยาวมาก ใช้ประกอบถ้อยคํา ข้อความหรือเรื่องราวต่าง ๆ, “ยืดยาด” = ชักช้า นานเวลา (ส่วนคําว่า “ยืดเยื้อ” = ยาวนาน ไม่ใคร่จะจบสิ้นง่าย ๆ เช่น คดียืดเยื้อ, “ยั่งยืน” = ยืนยง อยู่นาน, “ยึกยัก” = ขยุกขยิก ยักไปยักมา)

116. ตํารวจ……….พนักงานธนาคารที่ถูกโจร……..
(1) สอบสวน ขู่ฆ่า
(2) ไต่สวน ขู่เข็ญ
(3) ไต่ถาม ปล้นจี้
(4) สอบถาม คาดโทษ
ตอบ 3
คําว่า “ไต่ถาม” = สอบถาม, “ปล้นจี้” = ใช้อาวุธขู่ให้ทําตามและแย่งชิงเอาทรัพย์ไป (ส่วนคําว่า “สอบสวน” – รวบรวมพยานหลักฐานและดําเนินการอย่างอื่น ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทําไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา, “ขู่ฆ่า” = ทําให้กลัวโดยทําร้ายให้ตาย“ไต่สวน” = สอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยว่าถูกต้องหรือไม่ มักใช้ในกรณีที่ศาลซักถามจําเลย, “ขู่เข็ญ” = ทําให้กลัวโดยบังคับ, “สอบถาม” = ถามเพื่อขอทราบข้อมูลที่ต้องการ, “คาดโทษ” = หมายไว้ว่าถ้ากระทําผิดอีกจะลงโทษเท่าใด)

117. เด็กสาวคนนี้ประพฤติตัว……….ทําให้พ่อแม่เสียใจ
(1) นอกรีตนอกรอย
(2) นอกคอก
(3) นอกลู่นอกทาง
(4) นอกแนวทาง
ตอบ 3
คําว่า “นอกลู่นอกทาง” = ไม่ประพฤติตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เคยดําเนินมา (ส่วนคําว่า “นอกรีตนอกรอย” = ไม่ประพฤติตามจารีตประเพณี, “นอกคอก” = ประพฤติไม่ตรงตามแบบตามธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ “นอกแนวทาง” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

118. ไอ้หมอนี่เคยทําร้ายฉัน…….. ฉันต้อง……… มันให้ได้
(1) แทบตาย แก้ลํา
(2) ปางตาย แก้แค้น
(3) เจียนตาย แก้เผ็ด
(4) เกือบตาย แก้หน้า
ตอบ 2
คําว่า “ปางตาย” = จวนตาย, “แก้แค้น” = ทําตอบด้วยความแค้นให้สาสมกับความพยาบาทหรือเพื่อให้หายแค้น (ส่วนคําว่า “แทบตาย” = จวนเจียนจะตาย, “แก้ลํา” = ใช้ชั้นเชิงตอบโต้ให้เท่าเทียมกันหรือหนักมือขึ้น, “เจียนตาย” = เกือบตาย, “แก้เผ็ด” = ทําตอบแก่ผู้ที่เคยทําความเจ็บปวดให้แก่ตัวไว้เพื่อให้สาสมกัน, “เกือบตาย” = แทบตาย, “แก้หน้า” = ทําให้พ้นอาย)

119. หุงข้าวเสีย…………….หม้อ จะกินยังไงหมด
(1) เต็ม
(2) กลบ
(3) กบ
(4) ล้น
ตอบ 3
คําว่า “กบ” = เต็มมาก เต็มแน่น เช่น หุงข้าวเสียกบหม้อ มะละกอมีลูกกบคอ (ส่วนคําว่า “เต็ม” = มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งบรรจุอยู่จนไม่มีที่ว่าง, “กลบ” = กิริยาที่เอาสิ่งที่เป็นผงโรยทับข้างบนเพื่อปิดบัง เอาดินหรือสิ่งอื่น ๆ ใส่ลงไปในที่เป็นหลุมเป็นบ่อหรือแอ่งเพื่อให้เต็มหรือไม่เห็นร่องรอย เช่น ขุดหลุมแล้วกลบ เต่าใหญ่ไข่กลบ ฯลฯ โดยปริยายหมายความว่าปิดบัง เช่น กลบความ กลบคํา, “ล้น” = พ้นหรือเลยระดับที่เปี่ยมอยู่แล้วจนไหลออกมา)

120. เขาไป………..ความรู้ให้คนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น
(1) เผยแผ่
(2) เผยแพร่
(3) แพร่กระจาย
(4) กระจายข่าว
ตอบ 2 หน้า 277, (คําบรรยาย) คําว่า “เผยแพร่” = โฆษณาให้แพร่หลาย เช่น เผยแพร่ความรู้(ส่วนคําว่า “เผยแผ่” = ทําให้ขยายออกไป เช่น เผยแผ่พระศาสนา, “แพร่กระจาย” = แผ่กระจายออกไป, “กระจายข่าว” = ทําให้ข่าวแพร่ไปในที่ต่าง ๆ)

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนักพนันหลายคนในขณะเล่นการพนัน พร้อมกับยึดเงินกองกลางในวงพนันไว้ได้ทั้งหมด นาย ก. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้เสนอต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าจะยอมให้เจ้าพนักงาน ตํารวจเอาเงินที่ยึดไว้เป็นของกลางไป (ซึ่งเป็นเงินกองกลางของวงพนันที่มีส่วนของนาย ก. รวมอยู่ด้วย) เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนาย ก. เจ้าพนักงานตํารวจจึงได้เก็บเงินดังกล่าวไว้ พร้อมกับปล่อยตัว นาย ก. ไปตามข้อเสนอข้างต้น นาย ก. มีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้

1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนักพนันหลายคนในขณะเล่นการพนัน พร้อมกับยึดเงินกองกลางในวงพนันไว้ได้ทั้งหมด นาย ก. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้เสนอต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่า จะยอมให้เจ้าพนักงานตํารวจเอาเงินที่ยึดไว้เป็นของกลางไปเพื่อแลกกับการปล่อยตัวนาย ก. และเจ้าพนักงานตํารวจ จึงได้เก็บเงินดังกล่าวไว้พร้อมกับปล่อยตัวนาย ก. ไปตามข้อเสนอนั้น นาย ก. จะมีความผิดฐานให้สินบนแก่ เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 หรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เงินกองกลางในวงพนันนั้นแม้จะเป็นทรัพย์สินซึ่งนาย ก. มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย แต่เมื่อเจ้าพนักงานตํารวจได้ยึดเงินดังกล่าวไว้เป็นของกลางเสียแล้ว เงินก้อนนี้จึงไม่ใช่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่อยู่ในสถานะที่จะให้กันได้ เพราะเป็นเงินของกลางในคดีอาญา ที่เจ้าพนักงานตํารวจได้ยึดไว้ เมื่อไม่มีทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามองค์ประกอบของความผิดเสียแล้ว การที่ นาย ก. เสนอเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานตํารวจเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ คือการปล่อยตัว นาย ก. ผู้ต้องหาไป ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 ดังนั้น นาย ก. จึงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144

สรุป นาย ก. ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. นาย ข. มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ขับรถจากแจ้งวัฒนะเพื่อไปทํางานย่านรามคําแหงและได้พบว่ามีด่านตํารวจตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา เมื่อเจ้าพนักงานตํารวจเรียกให้นาย ข. หยุดรถและขอตรวจใบอนุญาตขับขี่ นาย ข. ซึ่งถูกยึดใบขับขี่ไปเมื่อหลายเดือนก่อนเนื่องจากขับรถฝ่าไฟแดงที่แยกลําสาลี ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศพันตํารวจตรี เป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจ นครบาลหัวหมาก ได้ทําใบขับขี่หายไปเมื่อวานและขอให้ปล่อยตนเดินทางต่อไป นาย ข. มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 146 “ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือไม่มีสิทธิใช้ยศ ตําแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทําการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิด ได้ดังนี้
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา
ความผิดฐานแสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง สามารถ แยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้
1. แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน
2. โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น
3. โดยเจตนา

ความผิดฐานสวมเครื่องแบบ ประดับเครื่องหมาย ใช้ยศ ตําแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146 สามารถแยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้
1. สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติ แห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือใช้ยศ ตําแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึง เครื่องราชอิสริยาภรณ์
2. โดยไม่มีสิทธิ
3. เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การกระทําของนาย ข. จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 มาตรา 145 และมาตรา 146 หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้
1. การที่นาย ข. ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจและถูกยึดใบขับขี่ไป แต่กลับแจ้งต่อพนักงาน ตํารวจว่าตนเองเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและทําใบขับขี่หายนั้น ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และถ้าหากเจ้าพนักงานตํารวจหลงเชื่อก็อาจจะปล่อยตัวนาย ข. ไป ซึ่งย่อมเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าพนักงาน ตํารวจและสํานักงานตํารวจแห่งชาติเนื่องจากไม่ได้ลงโทษผู้กระทําผิดตามหน้าที่ของตน ดังนั้น การแจ้งข้อความ อันเป็นเท็จดังกล่าวของนาย ข. จึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชนแล้ว และเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา นาย ข. จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137

2. การที่นาย ข. ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจได้แจ้งต่อพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศเป็นพันตํารวจตรีและเป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจนครบาลหัวหมากนั้น ย่อมเป็นการแสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนาย ข. มิได้กระทําการเป็นเจ้าพนักงานแต่อย่างใด เพียงแต่ได้แจ้ง ข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้เจ้าพนักงานปล่อยตนเองไปเท่านั้น การกระทําของนาย ข. จึงขาดองค์ประกอบของ ความผิดตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นาย ข. จึงไม่มีความผิดฐานแสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 145

3. การที่นาย ข. ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศพันตํารวจตรีเป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจนครบาลหัวหมากนั้น ย่อมเป็นการใช้ยศและตําแหน่งของ เจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ และเป็นการกระทําเพื่อต้องการให้เจ้าพนักงานตํารวจหลงเชื่อว่าตนเองมีสิทธิที่จะใช้ยศตําแหน่งดังกล่าว เพื่อให้ปล่อยตนเองไป และเมื่อได้ทําโดยเจตนา นาย ข. จึงมีความผิดฐานใช้ยศ ตําแหน่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146

สรุป
นาย ข. มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม มาตรา 137 และความผิดฐานใช้ยศ ตําแหน่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146 แต่ไม่มีความผิดฐาน แสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 145

 

ข้อ 3. ชาย 12 คน ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานทอผ้ากล่าวโจมตีและด่าทอเจ้าของโรงงานที่ปล่อยน้ำเน่าลงคลองจากนั้นได้เผาโรงงานและขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึง ตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าชาย 12 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ชาย 12 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้ กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่ชาย 12 คน ได้ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานทอผ้าและได้เผาโรงงาน อีกทั้ง ได้ขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตายนั้น การกระทําของชายทั้ง 12 คน ดังกล่าว ถือว่าเป็น การมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่ง อย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชายทั้ง 12 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งทุกประการ ชายทั้ง 12 คน จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกัน ทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215

การกระทําของชายทั้ง 12 คน ไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิด ตามมาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 12 คนนั้น มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตาม มาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอกข้อความว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” เพื่อจะนําไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ทั้งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากพลตํารวจตรีสุดหล่อ ดังนี้ นางสุดสวย มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอก ข้อความว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” นั้น ถือเป็นการทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ เพราะข้อความในเอกสารนั้นแสดงว่า พลตํารวจตรีสุดหล่อเป็นผู้เขียน แต่ความจริงแล้วนางสุดสวยเป็นผู้เขียน จึงเป็นลักษณะของเอกสารปลอม ซึ่งการกระทําของนางสุดสวยเป็นการกระทําที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่พลตํารวจตรีสุดหล่อและเป็นการกระทําโดยเจตนา อีกทั้งการทําเอกสารปลอมนั้นก็เพื่อที่จะนําไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อันเป็นเจตนาพิเศษเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง การกระทําของนางสุดสวยจึงเป็นการกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

สรุป
การกระทําของนางสุดสวยจึงเป็นการกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนําข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน (มาตรา 149) ให้อธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิก
สภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับ ตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้วจึง จับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม มาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 2. นายตี๋ลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ตํารวจสายตรวจไปพบเข้าจึงล้อมจับนายตี๋ได้สับคัทเอ้าท์ลงทําให้ไฟฟ้าทั้งหลังดับแล้วจึงอาศัยความมืดหลบหนีไป ดังนี้ นายตี๋มีความผิด ต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 138 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงาน ตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 138 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. ต่อสู้หรือขัดขวาง
2. เจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
3. โดยเจตนา

“ต่อสู้” หมายถึง การใช้กําลังขัดขืน เพื่อไม่ให้การกระทําของเจ้าพนักงานสําเร็จผล เช่น สะบัดมือให้พ้นจากการจับกุม หรือดิ้นจนหลุด

“ขัดขวาง” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานหรือทําให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลําบาก เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้น ประสบความสําเร็จ เช่น ตํารวจจะวิ่งเข้าไปจับนาย ก. นาย ก. จึงเอาท่อนไม้ไปขวางไว้ เป็นต้น

โดยการกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ อาจจะเป็นการต่อสู้อย่างเดียว หรือขัดขวาง อย่างเดียว หรืออาจเป็นทั้งการต่อสู้และขัดขวางก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตํารวจสายตรวจไปพบนายตี๋กําลังลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน จึงล้อมจับ และนายตี๋ได้ดับไฟแล้วหนีไปนั้น การกระทําดังกล่าวของนายตี๋มิได้เป็นการต่อสู้หรือขัดขวางตํารวจ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ อันจะเป็นความผิดตามมาตรา 138 แต่ประการใด เพราะนายตี๋ เพียงแต่ดับไฟเพื่อหนีตํารวจไปเท่านั้น ดังนั้น นายตี๋จึงไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

สรุป
นายตี๋ไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

 

ข้อ 3. นายตุ่มจะเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด ในขณะที่นายตุ่มรอเวลาจะไปกระทําตามแผนการที่คิดไว้ นายตุ่มจุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน เปลวไฟถูกถุงพลาสติกใส่น้ำมันเบนซินที่ ซื้อมาเตรียมไว้เพื่อราดจุดไฟเผาตามแผน ไฟลุกไหม้บ้านนายตุ่มแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัว ดังนี้ นายตุ่มมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”
มาตรา 219 “ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทําความผิดนั้น ๆ”
มาตรา 225 “ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทําโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1. กระทําให้เกิดเพลิงไหม้
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นายตุ่มจะเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด และได้นําถุงพลาสติก ใส่น้ำมันเบนซินที่ซื้อมาเตรียมไว้เพื่อราดจุดไฟเผาตามแผนนั้น แม้ว่านายตุ่มจะยังไม่ได้เผาโรงเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัยของนายขวดก็ตาม แต่การกระทําของนายตุ่มถือว่าเป็นการตระเตรียมที่จะวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว ดังนั้น นายตุ่มจึงมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามมาตรา 219

และการที่นายตุ่มได้จุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน เปลวไฟถูกถุงพลาสติก ใส่น้ำมันและไฟได้ไหม้บ้านนายตุ่มแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัวนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาททําให้เกิดเพลิงไหม้และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย ดังนั้น นายตุ่มจึงมีความผิด เกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 อีกกระทงหนึ่ง
สรุป
นายตุ่มมีความผิดฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 219 และ ฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225

 

ข้อ 4. นายแก้วได้เสียอยู่กินกับนางวันทองซึ่งมีอายุ 18 ปี โดยจดทะเบียนสมรสมาได้หนึ่งปีแล้วนางวันทองหนีไปอยู่กินกับนายช้าง นายแก้วตามนางวันทองกลับมาแล้วขอหลับนอนด้วย นางวันทองไม่ยอม นายแก้วจึงใช้ยาทําให้นางวันทองหมดสติแล้วใช้อวัยวะเพศสอดเข้าทางช่องทวารหนักของนางวันทอง จนสําเร็จความใคร่ ดังนี้ นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับเพศประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 276 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการ ใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตน เป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ…

การกระทําชําเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทําเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทํา โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทํากระทํากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใด กระทํากับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น”

วินิจฉัย
ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ
1. ข่มขืนกระทําชําเรา
2. ผู้อื่น
3. โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นายแก้วได้ใช้ยาทําให้นางวันทองหมดสติแล้วใช้อวัยวะเพศ สอดเข้าไปทางช่องทวารหนักของนางวันทองจนสําเร็จความใคร่นั้น การกระทําของนายแก้วดังกล่าวถือว่าเป็นการข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่น โดยใช้กําลังประทุษร้ายตามมาตรา 276 วรรคหนึ่งแล้ว เพราะแม้ว่านางวันทองจะเป็นภริยาที่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายแก้วก็ตามก็ถือว่านางวันทองเป็น “ผู้อื่น” ตามความหมายของมาตรา 276 วรรคหนึ่ง และตามมาตรา 276 วรรคสองได้ให้ความหมายของการกระทําชําเราว่าให้หมายความรวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทํากระทํากับทวารหนักของผู้อื่นด้วย

สรุป
นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับเพศฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสอง

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดําขับรถมอเตอร์ไซด์ไม่สวมหมวกกันน็อก รถไม่มีป้ายทะเบียน ขับเปลี่ยนเลนกะทันหัน จ.ส.ต.เฉย ตํารวจจราจรซึ่งโบกรถอยู่หน้า กกท. เห็นเหตุการณ์ เรียกดําให้หยุดรถ ขอดูใบขับขี่ แจ้งข้อหาขับรถผิดกฎจราจรให้ดําทราบ ดําโกรธพูดว่าไอ้สัตว์ เก่งแต่จับมอเตอร์ไซด์ เฮงซวย แม่งเดี่ยวกับกูไม๊ จ.ส.ต.เฉยไม่โต้ตอบ ถ่ายคลิปไว้ แดงแม่ของดําเห็นเหตุการณ์ตลอด เดินเข้าไปพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่า จ่าฯ สงสารเถอะเขายังอายุน้อย เอาทุเรียนลูกนี้ไปกินแล้วปล่อยเขาไปเอาบุญ จ.ส.ต.เฉยไม่รับ ดังนี้ ดําและแดงจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่าไอ้สัตว์ เก่งแต่จับมอเตอร์ไซด์ เฮงซวย แม่งเกี่ยวกับกูไม๊นั้น คําพูดต่างๆ ที่ดําพูด ถือว่าเป็นคําพูดที่เป็นการดูถูกเหยียดหยาม จ.ส.ต.เฉย เจ้าพนักงาน ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ และเมื่อดําด่าด้วยความโกรธจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล เมื่อการกระทําของดําครบองค์ประกอบของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ดังนั้น ดําจึงมีความผิดอาญา ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

ส่วนการที่แดงแม่ของดํา เดินเข้าไปพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่า จ่าฯ สงสารเถอะเขายังอายุน้อย เอาทุเรียนลูกนี้ไปกินแล้วปล่อยเขาไปเอาบุญ แต่ จ.ส.ต.เฉยไม่รับนั้น การกระทําของแดงถือเป็นการเสนอจะให้ ซึ่งเป็นการ “ขอให้” ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่แล้ว และเมื่อแดง ได้กระทําไปโดยเจตนาประสงค์ต่อผล การกระทําของนายแดงจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบน แก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังนั้น แดงจึงมีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

สรุป
ดํามีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ส่วนแดงมีความผิดฐานให้สินบน แก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยทุจริต (มาตรา 157) จงอธิบาย

หลักกฎหมาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอัน มิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. โดยทุจริต
4. โดยเจตนา
“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม และโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็น ความผิด

“ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เกินจํานวน ที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะ ในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

ข้อ 3. นายสุดหล่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ โดยสัญญาเช่าซื้อมีกําหนดระยะเวลา 2 ปี หลังจากเช่าซื้อไปได้ 1 เดือน นายสุดหล่อเกิดความไม่พอใจในรถยนต์ จึงใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์ จากนั้นก็จุดไฟโยนลงไป ปรากฏว่าไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคัน ดังนั้น นายสุดหล่อมีความผิดฐานวางเพลิงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย ความผิดตามมาตรา 217 ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. วางเพลิงเผา
2. ทรัพย์ของผู้อื่น
3. โดยเจตนา
“วางเพลิงเผา” หมายถึง การกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทําด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม เช่น ใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟเผา ใช้เลนส์ส่องทํามุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันเพื่อให้เกิดไฟ เป็นต้น ซึ่งการทําให้เกิดเพลิงไหม้นี้จะไหม้เพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา “ทรัพย์ของผู้อื่น” เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ดังนั้นถ้าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องกระทํา “โดยเจตนา” คือ มีเจตนาหรือ มีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา เช่น วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุดหล่อได้เช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ และเนื่องจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อจนกว่าผู้เช่าซื้อจะชําระราคาครบถ้วน เมื่อนายสุดหล่อยังชําระราคาไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังเป็นของบริษัทออโต้คาร์ ซึ่งถือว่าเป็นของผู้อื่น ดังนั้นการที่นายสุดหล่อใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์และจุดไฟโยนลงไป ทําให้ไฟไหม้รถยนต์ ได้รับความเสียหายทั้งคัน จึงถือว่านายสุดหล่อได้วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว และเมื่อนายสุดหล่อได้กระทําไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล นายสุดหล่อจึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

สรุป
นายสุดหล่อมีความผิดอาญาฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

 

ข้อ 4. จําเลยเก็บธนบัตรปลอม ฉบับละ 100 บาท ได้ใบหนึ่ง โดยจําเลยรู้ว่าเป็นธนบัตรปลอม จากนั้นจําเลยได้ตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม จนกลายเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท ดังนี้จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเงินตราหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 240 “ผู้ใดทําปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อํานาจให้ออกใช้ หรือทําปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสําคัญ สําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษ”

มาตรา 241 “ผู้ใดแปลงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อํานาจให้ออกใช้ หรือแปลงพันธบัตรรัฐบาล หรือใบสําคัญสําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานแปลงเงินตรา ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. ทําปลอมขึ้น
2. ซึ่งเงินตรา ไม่ว่าเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือ ให้อํานาจให้ออกใช้หรือพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสําคัญสําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล
3. โดยเจตนา

“ทําปลอมขึ้น” หมายความว่า การเอาสิ่งของมาทําเทียมขึ้นเพื่อให้เหมือนของจริง ซึ่งเมื่อผู้กระทําได้กระทําการปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเงินตราหรือธนบัตรก็ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว ส่วนบุคคลอื่น จะหลงเชื่อว่าเป็นของแท้หรือไม่ ไม่สําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยเก็บธนบัตรปลอมฉบับละ 100 บาท ได้ใบหนึ่ง ธนบัตรปลอม ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นสิ่งของเมื่อจําเลยได้ตกแต่ง แก้ไข เพิ่มเติม จนกลายเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท จึงเป็นการเอาสิ่งของมาทําเทียมเพื่อให้เหมือนของจริงโดยไม่มีอํานาจ การกระทําของจําเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240

อนึ่ง การกระทําของจําเลยไม่มีความผิดฐานแปลงเงินตราตามมาตรา 241 เพราะการที่จะเป็นความผิดฐานแปลงเงินตราตามมาตรา 241 จะต้องเป็นการตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม ธนบัตรของจริง ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงขึ้น แต่กรณีดังกล่าวเป็นการกระทําต่อธนบัตรปลอม จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์มาตรา 241

สรุป
จําเลยมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร (มาตรา 210 วรรคหนึ่ง) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐานเป็นซ่องโจร…”

จากหลักประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า กรณีที่จะเป็นความผิด ฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความผิด ดังต่อไปนี้ คือ
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

1. สมคบกัน การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้นั้นจะต้องมีการสมคบกัน ซึ่ง “การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(1) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(2) จะต้องมีการตกลงใจร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

ดังนั้นถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบกัน เช่น ร่วมปรึกษากัน 8 คน เพื่อจะไปปล้นทรัพย์ แต่มีผู้ตกลงใจที่จะร่วมปล้นทรัพย์เพียง 5 คน ดังนี้เฉพาะ 5 คนนี้เท่านั้นที่ถือว่ามีการสมคบกัน

2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป การสมคบกันที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้า ต่ํากว่า 5 คนแล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร

3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้น มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป บุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปสมคบกันเพื่อกระทําความผิดนั้น จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรได้ จะต้องมีเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญานี้เท่านั้น คือตั้งแต่มาตรา 107 – มาตรา 366 (ภาคความผิด) เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดตามกฎหมายอื่น แม้ระวางโทษหนักเพียงใด ก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร และนอกจากนี้ความผิดนั้นจะต้องมีโทษอย่างสูง ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือ และ ตกลงใจร่วมกันที่จะขายยาบ้า แต่ยังไม่ทันได้ขายบุคคลทั้งห้าก็ถูกตํารวจจับเสียก่อน ดังนี้ แม้จะมีการสมคบกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิด แต่ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดฯ ซึ่งมิใช่ความผิด

อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้ความผิดนั้นจะกําหนดโทษจําคุก อย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปก็ตาม ดังนั้นบุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

4. โดยเจตนา ผู้กระทําต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาที่จะสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่ กระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ซึ่งความผิดฐานเป็นซ่องโจรนี้ถือเป็นความผิดสําเร็จทันทีตั้งแต่ มีการสมคบกัน แม้ผู้สมคบนั้นจะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่า จะเข้าปล้นบ้านของนายดํา ซึ่งทั้ง 5 คนตกลงเห็นด้วย แต่ก่อนที่จะเข้าปล้นบ้านของนายดําทั้ง 5 คน ถูกตํารวจ จับได้เสียก่อน ดังนี้ถือว่าทั้ง 5 คน มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่งแล้ว

(ข) อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน (มาตรา 149) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิก
สภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับ ตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้ว จึงจับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตาม มาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ (มาตรา 189) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ…”

องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย
1. ผู้ใด
2. ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ
6. กระทําโดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดย ซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด
คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในที่ลับตา

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นหลบซ่อนจะได้ไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทํา ความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล เช่น ผู้ที่ถูกศาลออกหมายจับ

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

ตัวอย่าง แดงใช้อาวุธมีดแทงดําตาย แล้ววิ่งหนีตํารวจมาบ้านขาวซึ่งเป็นเพื่อนกัน แดงพูด กับขาวว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย ขาวจึงให้แดงเข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ขาวย่อมมีความผิดฐาน ช่วยผู้กระทําผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมโดยให้พํานักซ่อนเร้นตามมาตรา 189

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.ส้มตรวจท้องที่กับ ส.ต.อ.มะม่วงผู้ใต้บังคับบัญชา พบ ก. ข. ค. ง. และ จ. เล่นพนันฟุตบอลผิดกฎหมายจึงเข้าจับกุมทุกคน ระหว่างทางจะนําตัวนักพนันส่งให้ร้อยเวรฯ สอบสวน ร.ต.อ.ส้ม จําได้ว่า ก. เป็นเพื่อนของลูกชายตัวเองจึงพูดกับ ส.ต.อ.มะม่วงว่า หมู่ ปล่อยตัว ก. คนนี้เพื่อนลูกผมคนอื่นเอาตัวส่งร้อยเวรสอบสวน ดังนี้ ร.ต.อ.ส้มจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหาย ก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.ส้มพูดกับ ส.ต.อ.มะม่วงผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปล่อยตัว ก. ส่วนคนอื่นเอาตัวส่งร้อยเวรสอบสวนนั้น เป็นการสั่งการในฐานะผู้บังคับบัญชา เมื่อ ร.ต.อ.ส้มเป็นเจ้าพนักงานตํารวจมีหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทําความผิด และทราบดีว่า ก. เป็นผู้กระทําความผิด ซึ่ง ร.ต.อ.ส้มไม่มีอํานาจสั่งปล่อยได้ แต่ ร.ต.อ.ส้มกลับสั่งการในฐานะผู้บังคับบัญชาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปล่อยตัวผู้กระทําความผิด การกระทํา ของ ร.ต.อ.ส้มจึงถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว และเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบตามมาตรา 157 ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น ร.ต.อ.ส้มจึงม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 (เทียบฎีกาที่ 13312/2557)

สรุป ร.ต.อ.ส้มมีความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 4. นายดําขับรถยนต์จะมาสอบวิชากฎหมายอาญา 2 ภาคฤดูร้อน ที่มหาวิทยาลัยรามคําแหง รถติดมากจึงขับรถฝ่าไฟแดงที่สี่แยกลําสาลี จ.ส.ต.ขยันตํารวจจราจรที่ปล่อยรถแยกลําสาลี่เห็นเหตุการณ์ เรียกให้หยุดรถ ขอดูใบขับขี่ แจ้งให้ทราบว่าขับรถผิดกฎจราจร ควักใบสั่งออกมาจะเขียนให้นายดํา นายดํายื่นเงินให้ จ.ส.ต.ขยัน 100 บาท แล้วพูดว่า จ่าฯ ผมมีแค่นี้ เอาไปเถอะแล้วปล่อยผม ผมจะ รีบไปสอบ จ.ส.ต.ขยัน ส่ายหน้าไม่รับเงิน นายดําโกรธพูดว่าไอ้จ่าฯ ไอ้หน้าโง่ ดังนี้ นายดําจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้ยื่นเงินให้ จ.ส.ต.ขยันเพื่อให้ปล่อยตัวนายดําเนื่องจากขับรถ ผิดกฎจราจรนั้น แม้ว่า จ.ส.ต.ขยันจะไม่รับเงิน แต่การกระทําของนายดําถือว่าเป็นการเสนอจะให้ซึ่งเป็นการ “ขอให้” ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่แล้ว และเมื่อนายดําได้กระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล การกระทําของนายดําจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังนั้น ในส่วนนี้นายดําจึงมีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

ส่วนการที่นายดําพูดกับ จ.ส.ต.ขยันว่า “ไอ้จ่า ไอ้หน้าโง่” นั้น ถือว่าเป็นคําพูดที่เป็นการดูถูก เหยียดหยาม จ.ส.ต.ขยัน จึงเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกําลังกระทําการตามหน้าที่ และเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ดังนั้น ในส่วนนี้นายดําจึงมี ความผิดอาญาฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

สรุป
นายดํามีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 และมีความผิด ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

LAW2007 กฎหมายอาญา2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 ให้อธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ”

อธิบาย ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา

“แจ้งข้อความ” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจกระทําโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

“ข้อความอันเป็นเท็จ” หมายถึง ข้อความที่นําไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง เช่น นาย ก. ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว ข. โดยแจ้งต่อนายอําเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน ทั้ง ๆ ที่นาย ก. มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คือ นาง ค. เช่นนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้

การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ
(ก) ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง
(ข) โดยตอบคําถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้

อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว เช่น ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่าบิดาเป็นไทย ความจริงเป็นจีน ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามมาตรา 137 นี้แล้ว

สําหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคําให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานเป็นแต่การดําเนินกระบวนพิจารณาในศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1274/2513)

ส่วนในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด หรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทําผิด ก็ยังถือว่าเป็นคําให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1093/2522) แต่ถ้าจําเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหา ไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ

การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสําเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น เช่น เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่กําลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสําเร็จ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น

“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอํานาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดําเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทําการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เช่น นายอําเภอ ปลัดอําเภอ ตํารวจ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้ง ข้อความหรือ
เรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอํานาจของเจ้าพนักงานที่จะดําเนินการได้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ

“ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

อนึ่งกฎหมายใช้คําว่า “อาจทําให้เสียหาย” จึงไม่จําเป็นต้องเกิด ความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําจะต้องกระทําด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137

นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ นางโท หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.ตรี อีก โดยแจ้งต่อนายอําเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน ซึ่งทั้งนางโทและ น.ส.ตรีไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ต่อนายอําเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส ซึ่งกระทําโดยเจตนา เพราะนายเอกรู้ว่านายอําเภอเป็นเจ้าพนักงาน และรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ หากนายอําเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทําให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหาย แก่เกียรติยศและชื่อเสียงได้ นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137

แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส ดังนี้ การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอําเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส จึงไม่อาจจะทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 นี้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1237/2544)

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ให้อธิบายหลักกฎหมายความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้วจึง จับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 3. วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง แล้วไปรอดักนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ตํารวจจับวัยรุ่นทั้งสิบคนได้เสียก่อน ดังนี้ วัยรุ่นมีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 276 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ข่มขืนกระทําชําเรา ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทํา ความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่งนั้น ถือว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีเจตนาที่จะกระทําความผิดแล้ว และเมื่อความผิดที่จะกระทําคือ ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรานั้น เป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 และมี กําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แล้ว ดังนั้น วัยรุ่นทั้งสิบคนจึงมีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมามีว่า วัยรุ่นทั้งสิบคนจะมีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตาม มาตรา 276 และความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 หรือไม่ เห็นว่า วัยรุ่นทั้งสิบคนยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 เพราะการที่วัยรุ่นทั้งสิบคนไปรอดักนักศึกษาผู้นั้น ที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ถูกตํารวจจับได้เสียก่อนนั้น ถือว่าเป็นเพียงอยู่ในขั้นตระเตรียมการเท่านั้นยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด ซึ่งตามกฎหมายยังไม่ถือว่าเป็นความผิด และวัยรุ่นทั้งสิบคนก็ไม่มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้ เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 ด้วยเช่นกัน เพราะวัยรุ่นทั้งสิบคนยังมิได้กระทําการใด ๆ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

สรุป
วัยรุ่นทั้งสิบคนยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 และไม่มี ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตาม มาตรา 210

 

ข้อ 4. หญิงสองคนช่วยกันจับนางสาวกากีให้ชายสามคนกระทําชําเรา ชายคนแรกกระทําชําเราจนสําเร็จความใคร่ไปแล้ว ชายคนที่สองกําลังกระทําชําเราอยู่ แต่ยังไม่สําเร็จความใคร่ ส่วนชายคนที่สามได้ ถอดกางเกงยืนรออยู่ ขณะนั้นมีรถตํารวจสายตรวจวิ่งผ่านมา หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าว จึงวิ่งหนีแยกย้ายกันไป ดังนี้ หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าวนั้นมีความผิดเกี่ยวกับเพศ ประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 276 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตน เป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ

ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทําโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือร่วมกัน กระทําความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทํากับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ
1. ข่มขืนกระทําชําเรา
2. ผู้อื่น
3. โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
4. โดยเจตนา

คําว่า “ผู้ใด” ตามมาตรา 276 วรรคหนึ่งนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าจะต้องเป็นชายหรือหญิง ดังนั้น ผู้กระทําที่จะมีความผิดตามมาตรานี้อาจจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้

และตามมาตรา 276 วรรคสาม การร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้น หมายความว่าจะต้องมีการร่วมผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทําชําเราตั้งแต่สองคนขึ้นไปด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หญิงสองคนช่วยกันจับนางสาวกากีให้ชายสามคนกระทําชําเรานั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ชายคนแรกได้กระทําชําเราจนสําเร็จความใคร่ไปแล้ว และชายคนที่สองกําลังกระทําชําเรา อยู่แต่ยังไม่สําเร็จความใคร่ ส่วนชายคนที่สามได้ถอดกางเกงยืนรออยู่ กรณีดังกล่าวนี้ย่อมถือได้ว่า มีการร่วมผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทําชําเรานางสาวกาตั้งแต่สองคนขึ้นไปแล้ว จึงเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามนัยของมาตรา 276 วรรคหนึ่ง และวรรคสามแล้ว ดังนั้น หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าว จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันข่มขืนกระทําชําเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงทุกคน ตามมาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83

สรุป
หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าวมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันข่มขืนกระทําชําเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามมาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559 ข้อสอบ

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ผู้ใด
2. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
3. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
4. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
5. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
6. กระทําโดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน แหวน รถยนต์ เป็นต้น หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุม ผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน
ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 439/2469)

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ (มาตรา 189) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้นโดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย

1. ผู้ใด
2. ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ
6. กระทําโดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดย ซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด

คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในที่ลับตา

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นหลบซ่อนจะได้ไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล เช่น ผู้ที่ถูกศาลออกหมายจับ

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

ตัวอย่าง แดงใช้อาวุธมีดแทงดําตาย แล้ววิ่งหนีตํารวจมาบ้านขาวซึ่งเป็นเพื่อนกัน แดงพูดกับขาวว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย ขาวจึงให้แดงเข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ขาวย่อมมีความผิดฐาน ช่วยผู้กระทําผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมโดยให้พํานักซ่อนเร้นตามมาตรา 139

 

ข้อ 3. นายโหดต้องการแก้แค้นนายดีคู่อริ จึงลอบเผาบ้านของนายดี ตํารวจดับเพลิงและชาวบ้านช่วยกันดับไฟและนํานายดีออกจากบ้านได้โดยปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย แต่นายดีนึกเสียดายเงินที่ซ่อนไว้ ได้วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเงินแล้วออกมาไม่ได้ ถูกไฟลวกถึงแก่ความตายในกองเพลิง ดังนี้ นายโหดมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

มาตรา 218 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้
(1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 224 “ถ้าการกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 มาตรา 218 มาตรา 221 หรือ มาตรา 222 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
การวางเพลิงเผาทรัพย์ที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 218 นั้นในเบื้องต้น การกระทําจะต้อง ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 217 อันเป็นหลักทั่วไปก่อน คือ
1. ผู้ใด
2. วางเพลิงเผา
3. ทรัพย์ของผู้อื่น
4. โดยเจตนา

เมื่อการกระทําครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 217 แล้ว จึงมาพิจารณาว่าทรัพย์ที่ วางเพลิงเผานั้นเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา 218 หรือไม่ ถ้าเป็นแล้ว ผู้กระทํามีความผิดตามมาตรา 218 อัน เป็นลักษณะฉกรรจ์ ต้องรับโทษสูงกว่าโทษที่ระบุไว้ในมาตรา 217

“วางเพลิงเผา” หมายถึง การกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทําด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม แม้จะไหม้เพียงบางส่วนก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว แต่ถ้าหากยังไม่เกิดไฟไหม้ขึ้น ก็เป็นแค่พยายามวางเพลิงเท่านั้น

“ทรัพย์ของผู้อื่น” ถ้าเป็นทรัพย์ของตนเอง หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทํามีความต้องการที่จะเผาทรัพย์นั้นและรู้ว่าทรัพย์ที่เผานั้น เป็นของผู้อื่นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโหดต้องการแก้แค้นนายดีคู่อริ จึงลอบเผาบ้านของนายดีนั้น ถือได้ว่านายโหดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนา และเป็นการวางเพลิงโรงเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัย นายโหด จึงมีความผิดตามมาตรา 217 ประกอบมาตรา 218 (1)

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตํารวจดับเพลิงและชาวบ้านได้ช่วยกันดับไฟ และนํานายดีออกจากบ้านได้โดยปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย แต่นายดีนึกเสียดายเงินที่ซ่อนไว้ จึงได้วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเงินออกมา

จนถูกไฟลวกจนถึงแก่ความตายในกองเพลิงนั้น นายโหดหามีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์จนเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ถึงแก่ความตายตามมาตรา 224 ไม่ เพราะนายดีถึงแก่ความตายเนื่องจากการวิ่งเข้าไปในบ้านที่เพลิงกําลังไหม้ หาใช่การวางเพลิงของนายโหดอันเป็นเหตุให้นายดีถึงแก่ความตายไม่

สรุป
นายโหดมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตาม มาตรา 217 ประกอบมาตรา 218 (1)

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นเจ้าของบ้านจัดสรร วันเกิดเหตุนาย ก. ไปดูบ้านจัดสรรของจําเลยเพื่อจะหาซื้อไว้สัก 1 หลัง ปรากฏว่านาย ก. เห็นแล้วเกิดชอบในแบบแปลนของบ้านและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง จําเลยบอก กับนาย ก. ว่าบ้านจัดสรรรุ่นนี้น้ำไม่ท่วม นาย ก. ได้ตกลงซื้อไว้ 1 หลัง หลังจากนาย ก. เข้าไปอยู่ ได้เพียง 6 เดือน น้ำเกิดท่วม ข้อเท็จจริงได้ความว่าพื้นที่บริเวณนั้นน้ำท่วมทุกปีซึ่งจําเลยก็ทราบดี

ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับการค้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 271 “ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกําเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271 ประกอบด้วย
1. ผู้ใด
2. ขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ
3. ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกําเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ
4. ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยขายบ้านจัดสรรให้แก่นาย ก. โดยหลอกลวงว่าน้ำไม่ท่วม ซึ่งความจริงพื้นที่บริเวณนั้นน้ำท่วมทุกปีและจําเลยก็ทราบดีนั้น ถือเป็นกรณีที่จําเลยได้ขายของโดยหลอกลวงด้วย ประการใด ๆ ให้นาย ก. ผู้ซื้อหลงเชื่อในสภาพและคุณภาพแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ และจําเลยได้กระทําไปโดยเจตนา แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271 กฎหมายกําหนดไว้ว่าจะต้องเป็นการขายสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ไม่รวมถึงการขายอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าบ้านจัดสรรเป็น อสังหาริมทรัพย์ จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271

สรุป จําเลยไม่มีความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271

APR2101 สารสนเทศและการสื่อสารทางธุรกิจ ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา APR2101 สารสนเทศและการสื่อสารทางธุรกิจ

Fog is a major cause of accidents on highways in some area. Every year many thousands of peoples lose their lives because fog can dangerously reduce visibility. The driver cannot see very far ahead

หมอกเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุบนทางหลวงในบางพื้นที่ ทุกปีจะมีประชาชนหลายพันคนสูญเสียชีวิต เนื่องจากหมอกสามารถทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงจนเป็นอันตราย ผู้ที่ขับรถจะไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าที่ไกลมากๆได้

1. so they___________
(1) do not have time to avoid accidents.
(2) go faster to avoid accidents.
(3) have more time to read the signs.
(4) do not have time to have accidents.
ถาม ดังนั้นพวกเขาจึง______________
ตอบ 1 (ไม่มีเวลาที่จะหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้)
2.ขับรถเร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
3.มีเวลาที่จะอ่านป้ายต่างๆมากขึ้น
4.ไม่มีเวลาที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ

2. visibility means ___________
(1) accidents
(2) clear view
(3) ability to see
(4) ability to visit
ถาม ทัศนวิสัยในการมองเห็น หมายถึง____________
ตอบ 3 (ความสามารถในการมองเห็น) 1.อุบัติเหตุ
2.เห็นได้ชัดเจน 4.ความสามารถในการไปหา

3. According to the reading, what causes death?
(1) highways
(2) fog
(3) visibility
(4) highway areas
ถาม จากเรื่องที่อ่าน อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
ตอบ 2 (หมอก) 1.ทางหลวง
3.ทัศนวิสัย 4.พื้นที่ที่เป็นทางหลวง

4. What caused the driver cannot see very far ahead?
(1) Highway
(2) fog
(3) losing of lives
(4) danger
ถาม อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ขับรถไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าที่ไกลมากๆได้
ตอบ 2 (หมอก)
1.ทางหลวง
3.การสูญเสียชีวิต
4.อันตราย

5. The word “major causes” means
(1) majority
(2) problem
(3) main factor
(4) more causes
ถาม คำว่า “Major cause” (สาเหตุสำคัญ หมายถึง_________
ตอบ 3 (ปัจจัยสำคัญ) 1.ส่วนใหญ่ 2.ปัญหา 4.มากกว่าสาเหตุ

Some of the most famous classical composers died quite young. Among these were Schubert and Mozart, who both died in their thirties. Not all great composers had short lives, however, Bach lived until the age of sixty-five and Haydn until the age of sixty-nine, and other.

นักแต่งเพลงคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบางท่านได้เสียชีวิตไปตั้งแต่วัยหนุ่ม ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็คือ ชูเบิร์ตและโมซาร์ต ซึ่งทั้งคู่เสียชีวิตในวัย 30 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักแต่งเพลงที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะเป็นคนที่มีอายุสั้น บาคมีชีวิตอยู่จนกระทั่ง 65 ปี และเฮดน์มีชีวิตอยู่จนกระทั่งอายุ 69 ปี ส่วนคนอื่นๆ

6. like Verdi and Strauss________
(1) died at the very young age.
(2) Lived on into their eighties
(3) Died while playing the piano.
(4) Lived in the twentieth century
ถาม เช่น แฝดิและชเทราซ์_________
ตอบ 2 (มีชีวิตอยู่จนอายุเฉียด 80 ปี)
1.เสียชีวิตในขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มากๆ
3.เสียชีวิตในขณะที่กำลังเล่นเปียโน 4.มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 20

7. Who lived only his youngest life?
(1) Mozart
(2) Bach
(3) Haydn
(4) Verdi
ถาม ใครมีชีวิตอยู่เพียงในช่วงวัยหนุ่มที่สุดของเขาเท่านั้น
ตอบ 1 (โมซาร์ต) 2.บาค 3.เฮดน์ 4.แฝดิ

8. What is the phrase “great composer” means?
(1) Big composer
(2) Famous composer
(3) Older composer
(4) Younger composer
ถาม วลีที่ว่า “great composer” (นักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่) หมายถึงอะไร
ตอบ 2 (นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง) 1.นักแต่งเพลงที่มีรูปร่างใหญ่
3.นักแต่งเพลงที่มีอายุแก่กว่า 4.นักแต่งเพลงที่มีอายุอ่อนกว่า

9. the phrase “among these” in line 1 refers to _____________
(1) Famous composers
(2) Young dead composers
(3) Other peoples except Schubert & Strauss.
(4) Bach and Haydn.
ถาม วลีที่ว่า “among these” (ในบรรดาบุคคลเหล่านี้) ในบรรทัดที่ 1 อ้างถึง___________
ตอบ 2 (นักแต่งเพลงที่เสียชีวิตในวัยหนุ่ม) 1.นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง
3.คนอื่นๆยกเว้นซูเบิร์ตและชเทราซ์ 4.บาคและเฮดน์

10. Whose life is shorter?
(1) Stauss
(2) Hayden
(3) Bach
(4) Mozart
ถาม ชีวิตของใครที่สั้นกว่ากัน
ตอบ 4 (โมซาร์ต) 1.ชเทราซ์ 2.เฮดน์ 3.บาค

In the past, North America forests were full of chestnut trees. People used chestnuts in cooking in many different ways. They also loved to cook chestnuts over a fire and eat them plain. Then in the early 1900s, a disease killed most all the trees. Now it is hard to find fresh chestnuts in U.S. markets, and most chestnuts for sale are usually …

ในอดีตนั้น ป่าไม้ในแถบอเมริกาเหนือจะเต็มไปด้วยต้นเกาลัด ผู้คนจะใช้ลูกเกาลัดในการประกอบอาหารในวิธีที่แตกต่างกันหลายๆวิธี นอกจากนี้พวกเขายังชอบที่จะประกอบอาหารโดยนำลูกเกาลัดไปย่างบนไฟและกินมันแบบง่ายๆ ต่อมาในช่วงต้น ค.ศ.1900 โรคชนิดหนึ่งได้ทำลายต้นเกาลัดเกือบทั้งหมด ตอนนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะหาลูกเกาลัดสดในตลาดสหรัฐอเมริกา และลูกเกาลัดที่ขายส่วนใหญ่มักจะ

11. and most chestnuts for sale are usually _________
(1) from North America
(2) diseased.
(3) roasted over a fire
(4) imported from Europe
ถาม และลูกเกาลัดที่ขายส่วนใหญ่มักจะ_________
ตอบ 4 (นำเข้าจากยุโรป)
1.มาจากอเมริกาเหนือ
2.ติดโรค
3.ย่างบนไฟ

12. Why the American peoples have to imported chestnuts?
(1) They fired them
(2) They cook them everyday
(3) Been sold out
(4) Were killed by disease
ถาม ทำไมผู้คนชาวอเมริกันจึงต้องนำเข้าลูกเกาลัด
ตอบ 4 (ถูกทำลายโดยโรคชนิดหนึ่ง)
1.พวกเขาเผามัน
2.พวกเขานำมันมาทำอาหารทุกวัน
3.ถูกขายไปหมดแล้ว

13. Which statement is true?
1. We cannot find any fresh chestnuts in the U.S. market.
2. Cooking over a fire is the favorite cooking of chestnuts.
3. All chestnut trees were burned.
4. There were no more chestnuts in North America
ถาม ข้อความใดถูกต้อง
ตอบ 1 (พวกเราไม่สามารถหาลูกเกาลัดสดได้ในตลาดสหรัฐอเมริกา)
2.การประกอบอาหารบนไฟเป็นวิธีการทำอาหารจากลูกเกาลัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบ
3.ต้นเกาลัดทั้งหมดถูกเผาไปหมดแล้ว
4.ไม่มีลูกเกาลัดในอเมริกาเหนืออีกต่อไป

14. The word “cook over fire” means ¬¬¬¬¬¬¬¬
(1) Strong fire cooked
(2) Burned
(3) Fry
(4) Roasted
ถาม คำว่า “cook over fire” (ประกอบอาหารบนไฟ) หมายถึง
ตอบ 4 (ย่าง) 1.ประกอบอาหารโดยใช้ไฟแรงๆ
2.เผา 3.ทอด

15. The word “eat them plain” means ________________
(1) eat without cooking
(2) eat without mixing
(3) eat them regularly
(4) often eat them
ถาม คำว่า “eat them plain” (กินมันแบบง่ายๆ หมายถึง)_________
ตอบ 2 (กินโดยไม่มีการปรุง) 1.กินโดยไม่มีการประกอบอาหาร
3.กินมันเป็นประจำ 4.กินมันบ่อยๆ

There are many ways to cook eggs. You can fry them, boil them, scramble them, even eat the without cooking them. Whatever way you choose to eat your eggs, however, you must …
มีวิธีในการนำไข่มาประกอบอาหารอยู่หลายวิธี ซึ่งคุณสามารถนำมันไปทอด ต้ม กวน ทำไข่เจียวหรือใช้มันเพื่อทำเค้ก ถ้าไข่สดมากๆ คุณก็สามารถกินมันได้แม้ยังไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามไม่ว่าวีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกินไข่ของคุณ คุณจะต้อง________

16. Whatever way you choose to eat your eggs, however, you must ________
(1) Always break the shell first.
(2) Always cook them
(3) Never cook them
(4) Never break the shell
ถาม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกินไข่ของคุณ คุณจะต้อง___________
ตอบ 1 (กะเทาะเปลือกไข่ก่อนเสมอ) 2.นำมันมาประกอบอาหารเสมอ
3.ไม่เคยนำมันมาประกอบอาหาร 4.ไม่เคยกะเทาะเปลือกไข่

17. Which statement is true?
(1) You must cook egg while it is fresh
(2) Making a cake from fresh eggs is prohitbit.
(3) The best way to cook eggs is to boil it.
(4) Fresh eggs is preferable
ถาม ข้อความใดถูกต้อง
ตอบ 4 (ไข่สดน่าจะเป็นสิ่งที่คนชอบ)
1.คุณจะต้องนำไข่มาประกอบอาหารในขณะที่มันยังสดอยู่
2.การทำเค้กจากไข่สดเป็นสิ่งต้องห้าม
3.วิธีที่ดีที่สุดในการนำไข่มาประกอบอาหารก็คือ การต้ม

18. Which way of eating eggs is the easistes?
(1) Boil eggs
(2) Fry eggs
(3) Eat fresh eggs
(4) Making a cake
ถาม วิธีของการกินไข่ที่ง่ายที่สุดคือวิธีใด
ตอบ 3 (กินไข่สดๆ) 1.ต้มไข่ 2.ทอดไข่ 4.การทำเค้ก

19. The phrase “Whatever way you choose to eat” means _______________
(1) There is only one way to eat.
(2) There are several ways to eat
(3) Any way you choose to eat.
(4) No more way than ever to eat.
ถาม วลีที่ว่า “whatever way you choose to eat” (ไม่ว่าวีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกิน) หมายถึง___________
ตอบ 3 (วีธีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกิน) 1.มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะกิน
2.มีหลากหลายวิธีที่จะกิน 4.ไม่มีวิธีที่จะกินมากไปกว่านี้อีกแล้ว

20. When we talk about eggs, you refer to ______________
(1) Boil eggs
(2) Fry eggs
(3)Fresh eggs
(4)Both chicken and duck eggs
ถาม เมื่อเราพูดเกี่ยวกับเรื่องไข่ เราจะอ้างถึง__________
ตอบ 4 (ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด) 1.ต้มไข่ 2.ทอดไข่ 3.ไข่สด

Pilots and flight attendants have long known that they become especially forgetful when they fly often with little rest. They lose their car keys, forget their room number at a hotel, or forget the names of the people they have just met. People usually think of this loss of short-term memory as part of jet lag, the negative effects that many people feel after long flights. A scientist named Kwangwok Cho, who had to fly across the Atlantic several times in one month, noticed the same problem with this short-term memory. He decided to find out why people with jet lag become especially forgetful. To understand what was happening, Cho did brain scans of people with severe jet lag. He then compared them with brain scans of people without jet lag. In the people with jet lag, there were clear signs of damage to some brain cells. In fact, part of the brain had become smaller. This was what caused the difficulties with short-term memory.

นักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรู้กันมานานแล้วว่าพวกเขากลายเป็นคนขี้ลืมมากเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาบินบ่อยแล้วพักผ่อนน้อย พวกเขามักทำกุญแจรถหาย ลืมเบอร์ห้องที่โรงแรม หรือลืมชื่อของผู้คนที่พวกเขาเพิ่งพบเจอ โดยทั่วไปแล้วผู้คนมักคิดว่าการสูญเสียความจำในระยะสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเรื่องเวลนอน ซึ่งเป็นผลในแง่ลบที่คนจำนวนมากรู้สึกหลังจากที่ต้องบินเป็นเวลานานๆ นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า กวองวอคโซ ผู้ซึ่งต้องบินข้ามหาสมุทรแอตแลนติกหลายๆครั้งในรอบ 1 เดือน ก็ได้สังเกตเห็นปัญหาเช่นเดียวกันนี้ เกี่ยวกับความจำในระยะสั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาว่าทำไมผู้คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวเรื่องเวลานอนจึงกลายเป็นคนขี้ลืมมากเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น โชจึงทำการสแกนสมองของคนที่มีปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอนอย่างรุนแรง จากนั้นเขาได้เปรียบเทียบคนเหล่านั้นกับการสแกนสมองของคนที่ไม่มีปัญหานี้ ในคนที่มีปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอนพบว่า มีสัญญาณของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์สมองบางส่วนอย่างชัดเจน แท้ที่จริงแล้วก็คือส่วนสมองกลับมีขนาดเล็กลง สิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับความจำในระยะสั้น

21. Which is the appropriate topic for the above passage?
(1) Pilots & Flight Attendants
(2) Long Flight
(3) Jet Lag
(4) Forgetful
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 3 (ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน) 1.นักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
2.การบินเป็นเวลานาน 4.ขี้ลืม

22. What caused the loss of short-term memory?
(1) Jet lag
(2) Damage of the brain cells
(3) Long flight
(4) Little rest
ถาม อะไรเป็นสาเหตุของการสูญเสียความจำในระยะสั้น
ตอบ 2 (ความเสียหายของเซลล์สมอง) 1.ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน
3.การบินเป็นเวลานาน 4.การพักผ่อนน้อย

23. What is the negative effects that people feel after long flight?
(1) Short-term memory
(2) Little rest
(3) Jet lag
(4) Forgetful
ถาม อะไรคือผลในแง่ลบที่ผู้คนรู้สึกได้หลังจากที่บินเป็นเวลานาน
ตอบ 3 (ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน)
1.ความจำในระยะสั้น
2.การพักผ่อนน้อย
4.ขี้ลืม

24. How can scientist know the cause of forgetfulness?
(1) Comparing the brain scans
(2) Jet lag scan
(3) Damage some brain cells
(4) Brain became smaller
ถาม นักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ถึงสาเหตุของการลืมได้อย่างไร
ตอบ 1 (การเปรียบเทียบการสแกนสมอง) 2.การสแกนปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน
3.ความความเสียหายของเซลล์สมองบางส่วน 4.สมองกลับมีขนาดเล็กลง

25. Which phrases has the proper meaning to the phrases “noticed the same problem”?
(1) Noted the same problem
(2) Realized the same problem
(3) Forgot the same problem
(4) Brain became smaller
ถาม วลีในข้อใดมีความหมายที่ถูกต้องของวลีที่ว่า “noticed the same problem” (สังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกัน)
ตอบ 1 (สังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกัน) 2.ตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน
3.ลืมปัญหานี้เช่นกัน 4.กล่าวถึงปัญหานี้เช่นกัน

Commercial or retail banks are businesses that trade in money. They received and hold deposits, pay money according top customers’ instruction, lend money, offer investment advice, exchange foreign currencies, and so on. They make a profit from the difference (known as a spread or a margin) between the interest rates they pay to lenders or depositors and those they charge to borrowers. Banks also create credit, because the money they lend, from their deposits, is generally spent (either on goods or services, or top settle debts), and in this way transferred to another bank account-often by way of a bank transfer or a cheque (check) rather than the use of notes or coins-from where it can be lent to another borrower, and so on. When lending money, bankers have to find a balance between yield and rish, and between liquidity and different maturities.

ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารที่มุ่งทำธุรกิจทุกประเภทกับธุรกิจย่อยโดยทั่วไป (Retail bank) จะทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าเงิน ธนาคารเหล่านี้จะรับและถือครองเงินฝาก รวมทั้งจ่ายเงินตามคำสั่งของลูกค้าให้กู้ยืมเงิน ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุน แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และอื่นๆทั้งนี้ธนาคารจะทำกำไรจากความแตกต่าง (หรือที่รู้จักกันว่า ผลต่างหรือส่วนต่าง) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายให้แก่ผู้ที่ให้กู้เงินหรือผู้ฝากเงิน และที่ธนาคารคิดเป็นค่าธรรมเนียมจากผู้ขอกู้เงิน นอกจากนี้ธนาคารยังสร้างเครดิตได้อีกด้วย เพราะโดยปกติแล้วเงินที่ธนาคารยืมมาจากเงินฝากมักถูกนำมาใช้ (ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้าหรือบริการ หรือการชำระหนี้) และด้วยวิธีการโอนเงินไปยังบัญชีเงินฝากของธนาคารอื่นๆ ซึ่งมักใช้วิธีการโอนเงินระหว่างธนาคารหรือใช้เช็คมากกว่าการใช้ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ จากที่ซึ่งสามารถให้ผู้ขอกู้อีกคนหนึ่งกู้ยืมได้ เมื่อมีการให้กู้ยืมเงิน พนักงานธนาคารจะต้องหาความสมดุลระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยง รวมทั้งความสมดุลระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยง รวมทั้งความสมดุลระหว่างสภาพคล่องและวันครบกำหนดของตราสารหนี้ที่แตกต่างกัน

26. Which is the appropriate topic for the above passage?
(1) Commercial or Retail bank
(2) Money Trading
(3) Banking System
(4) Investment
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 1 (ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารที่มุ่งทำธุรกิจทุกประเภทกับธุรกิจรายย่อยโดยทั่วไป)
2.การค้าเงิน 3.ระบบธนาคาร 4.การลงทุน

27. What is the proper4 word for all activities customers did in the banks?
(1) Transactions
(2) Bankrupt
(3) Bankers
(4) Banquet
ถาม อะไรคือคำที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมทั้งหมดที่ลูกค้าทำได้ในธนาคาร
ตอบ 1 (การทำธุรกรรมทางการเงิน) 2.บุคคลล้มละลาย
3.เจ้าหน้าที่ธนาคาร 4.การจัดเลี้ยง

28. What is the meaning of the word “margin” in line 4?
(1) Differences
(2) Deposits
(3) Withdrawals
(4) Interest rates
ถาม อะไรคือความหมายของคำว่า “margin” (ส่วนต่าง)ในบรรทัดที่ 4
ตอบ 1 (ความแตกต่าง) 2.เงินฝาก 3.การถอนเงิน 4.อัตราดอกเบี้ย

29. What is the meaning of the word “ liquidity in line 10?
(1) money loan
(2) interest rates
(3) Cash flow
(4) goods or services
ถาม อะไรคือความหมายของคำว่า “liquidity” (สภาพคล่อง) ในบรรทัดที่ 10
ตอบ 3 (กระแสเงินสด) 1.เงินกู้ 2.อัตราดอกเบี้ย 4.สินค้าหรือบริการ

30.which way that bank don’t use in transferring money?
1.cheque
2.bank transfer
3.notes or coins
4.bank credit
ถาม วิธีใดที่ธนาคารไม่ใช้ในการโอนเงิน
ตอบ 3 (ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์) 1.เช็ค
2.การโอนเงินระหว่างธนาคาร 4.เครดิตของธนาคาร

For the whole first year of its life, the panda bear is completely dependent on its mother. The newborn panda is a tiny, helpless little creature. At birth, it looks like fairly slowly, compared to most animals. The babies are completely dependent on their mothers for a long time. In fact, they don’t even begin to walk until they are about five months old. The only food they eat for at least a year is their mother’s milk. That doesn’t stop them from growing however. Pandas may weigh over fifty-five pounds (twenty-five kilograms) by the time they are a year old.

สำหรับตลอดช่วงชีวิตในปีแรกของมัน หมีแพนด้าจะพึ่งพาแม่ของมันตลอดเวลา แพนด้าที่เกิดใหม่จะเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อแรกเกิด มันจะดูเหมือนหมูสีชมพูตัวเล็กๆและตาของมันจะยังคงปิดอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แพนด้าจะโตขึ้นอย่างช้าๆเมื่อเทียบกับสัตว์ส่วนใหญ่แล้ว ลูกหมีแพนด้าจะพึ่งพาแม่ของมันโดยตลอดเป็นระยะเวลานาน แท้ที่จริงแล้วพวกมันไม่แม้แต่จะเริ่มหัดเดินจนกว่าพวกมันจะมีอายุครบ 5 เดือน อาหารเพียงอย่างเดียวที่พวกมันกินอย่างน้อยที่สุด 1 ปี ก็คือ นมแม่ อย่างไรก็ตาม พวกมันจะโตขึ้นเรื่อยๆและแพนด้าอาจมีน้ำหนักมากถึง 55 ปอนด์ (25กิโลกรัม) ในขณะที่พวกมันมีอายุ 1 ปี

31. Which is the proper topic for the above passage?
(1) First year of life
(2) Panda bears
(3) Panda babies
(4) Tiny pandas
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 3 (ลูกหมีแพนด้า)
1.ช่วงชีวิตในปีแรก
2.หมีแพนด้า
4.หมีแพนด้าตัวเล็กๆ

32. The phase “completely dependent on its mother” means ____________
(1) away from the mother
(2) stay far from the mother
(3) helpless always with mother
(4) helpful always with mother
ถาม วลีที่ว่า “completely dependent on its mother” (พึ่งพาแม่ของมันตลอดเวลา) หมายถึง __________
ตอบ 3 (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่) 1.อยู่ห่างไกลจากแม่
2.พักอยู่ไกลจากแม่ 4.ช่วยเหลือตัวเองได้ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่

33. The word “tiny” means ¬¬_____________
(1) small
(2) big
(3) strange
(4) brave
ถาม คำว่า “tiny” (ตัวเล็กๆ) หมายถึง___________
ตอบ 1 (เล็ก) 2.ใหญ่ 3.แปลก 4.กล้าหาญ

34. For how long do the pandas eat milk from their mothers?
(1) less than one year
(2) average less than a year
(3) a year
(4) some years
ถาม หมีแพนด้าจะกินนมจากแม่ของพวกมันยาวนานเท่าไหร่
ตอบ 3 (1 ปี) 1.น้อยกว่า 1 ปี 2.เฉลี่ยน้อยกว่า 1 ปี 4.หลายปี

35. When the pandas can be moves?
(1) fifty-five pounds
(2) a year
(3) more than 25 kilograms
(4) five month old
ถาม หมีแพนด้าสามารถเดินได้เมื่อไหร่
ตอบ 4 (อายุ 5 เดือน) 1.มีน้ำหนัก 55 ปอนด์
2.1 ปี 3.มีน้ำหนักมากกว่า 25 กิโลกรัม

Complete the following statements.
จงเติมคำเพื่อทำให้ข้อความต่อไปนี้สมบูรณ์
Alternatives for questions number 36.– 39.
(1) shorter
(2) plump
(3) an older
(4) tall
Mother was 36 , fat and middle age. The principal of the school was 37 woman, almost as 38 as mother, and much 39.
แม่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนและ 36 (4) สูง อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเป็นผู้หญิง 37 (3) สูงอายุคนหนึ่งที่เกือบจะ 38 (2) เจ้าเนื้อเท่าๆกับแม่ และ 39 (1) เตี้ยกว่ามาก

36.ตอบ 4 (สูง)

37.ตอบ 3 (สูงอายุ)
38.ตอบ 2 (เจ้าเนื้อ)

39.ตอบ 1 (เตี้ยกว่า)

Alternatives for questions number 40 – 43.
(1) detrimental
(2) Think
(3) Believe
(4) Smoking

Doctors 40 that 41 cigarettes is 42 to your health. They also 43 drinking is harmful.
แพทย์หลายคน 40 (3) เชื่อว่า 41 (4) การสูบบุหรี่เป็น 42 (1) สิ่งที่ทำลายสุขภาพของคุณ นอกจากนี้พวกเขายัง 43 (2) คิดว่าการดื่มก็เป็นอันตราย
40.ตอบ 3 (เชื่อ)
41.ตอบ 4 (การสูบ)

42.ตอบ 1 (สิ่งที่ทำลาย)

43.ตอบ 2 (คิดว่า)

Alternative for questions number 44-47.
(1) another
(2) gets
(3) just
(4) from
A chimp 44 confidence from touching another chimp 45 as a person derives confidence 46 touching 47 person.
ลิงซิมแพนซีตัวหนึ่ง 44 (2) จะเกิดความไว้วางใจจากการสัมผัสลิงซิมแพนซีอีกตัวหนึ่ง 45 (3) ซึ่งเหมือนกับการที่คนๆหนึ่งจะได้รับความไว้วางใจมา 46 (4) จากการสัมผัสบุคคล 47 (1) อีกคนหนึ่ง
44.ตอบ 2 (จะเกิด)

45.ตอบ 3 (ซึ่ง)

46.ตอบ 4 (จาก)

47.ตอบ 1 (อีกคนหนึ่ง)

Part of Speech
Which of the following chart are true and which are false?
จากตารางต่อไปนี้จงพิจารณาว่าข้อใดถูกและข้อใดผิด
If true paints 1 If false paint 2
ถ้าถูกให้ระบายตัวเลือกที่ 1 ถ้าผิดให้ระบายตัวเลือกที่ 2
No Noun Verb Adjective Adverb
48 Calculation To calculate Calculative –
49 Increasing To increase – increasingly
50 Decision To decide Decided Decidedly
51 Attraction To attract Attractively Attractive
52 Order To order Orderly –

48.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ calculation (n.), to calculate (v.), calculable/calculating/ calculated (adj.)
49.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ increment (n.),to increase (v.),increasing (adj.) increasingly (adv.)
50.ตอบ 1 (ถูก)
51.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ attraction (n.), to attract (v.), attractive (adj.) attractively(adv.)
52.ตอบ 1 (ถูก)
Prefixes(การเติมคำนำหน้า)
Which is the correct prefixes?ข้อใดเป็นการเติมคำนำหน้า (prefixes) ที่ถูกต้อง

53. (1) uncharge
(2) surcharge
(3) microcharge
(4) subcharge
ตอบ 2 รากศัพท์ คือ charge หมายถึง ค่าธรรมเนียม เมื่อเติม prefix คือ sur- เป็น surcharge หมายถึง เงินเก็บเพิ่ม

54. (1) preliminary
(2) unliminary
(3) disliminary
(4) postliminary
ตอบ 1 รากศัพท์คือ liminary หมายถึง เบื้องต้น,ขั้นต้น เมื่อเติม Prefix คือ pre- เป็น preliminary หมายถึง เบื้องต้น,คำนำ

55. (1) bioactive
(2) bilingual
(3) biosensor
(4) bipersonal
ตอบ 2 รากศัพท์คือ lingual หมายถึง เกี่ยวกับภาษา เมื่อเติม Prefix คือ bi- เป็น bilingual หมายถึง ใช้ได้สองภาษา

56. (1) discrimination
(2) ilregulation
(3) antidirect
(4) underbias
ตอบ 1 รากศัพท์ คือ crimination หมายถึง การฟ้อง,การกล่าวโทษเมื่อเติม Prefix คือ dis –เป็น discrimination หมายถึง การเลือกที่รักมักที่ชัง

57. (1) preface
(2) anticircular
(3) abusual
(4) recontary
ตอบ 1 รากศัพท์คือ face หมายถึง หน้า เมื่อเติม prefix คือ pre- เป็น preface หมายถึงคำนำหนังสือ

58. (1) postpone
(2) predressing
(3) inmature
(4) unpredict
ตอบ 1 รากศัพท์คือ pone มาจากรากศัพท์ภาษาละติน คือ ponere หมายถึง จัดไว้,กำหนดขึ้นเมื่อเติม Prefix คือ post- เป็น postpone หมายถึง เลื่อนไป ผลัด

59. (1)uncontinue
(2) discontinue
(3) precontinue
(4) recontinue
ตอบ 2 รากศัพท์คือ Continue หมายถึง ยังคงทำไปเรื่อยๆ
เมื่อเติม Prefix คือ dis- เป็น discontinue หมายถึง เลิกล้ม

60. (1) imallow
(2) unallow
(3) disallow
(4) inallow
ตอบ 3 รากศัพท์คือ allow หมายถึง อนุญาต เมื่อเติม prefix คือ dis- เป็น disallow หมายถึง ไม่อนุญาต

61. (1) unrational
(2) inrational
(3) disrational
(4) irrational
ตอบ 4 รากศัพท์คือ rational หมายถึง ที่มีเหตุผล เมื่อเติม prefix คือ ir- เป็น irrational หมายถึง ไม่มีเหตุผล

62. (1) inpatient
(2) unpossible
(3) inexpensive
(4) unavoidable
ตอบ 3 รากศัพท์คือ expensive หมายถึง มีราคาแพง เมื่อเติม prefix คือ in- เป็น inexpensive หมายถึง ไม่แพง

Which word in each group does not belong?
คำใดในแต่ละกลุ่มที่ไม่เข้าพวก

63. (1) brand
(2) logo
(3) slogan
(4) image
ตอบ 4 (ภาพลักษณ์)
1.ตราสินค้า
2.โลโก้สินค้า
3.คำขวัญที่ใช้ในการโฆษณา

64. (1) market segment
(2) market sector
(3) market section
(4) market area
ตอบ 4 (พื้นที่ของตลาด) 1.ส่วนของตลาด 2.ส่วนของตลาด 3.ส่วนของตลาด

65. (1) air crews
(2) cabin crew
(3) pilots
(4) air conditioners
ตอบ 4 (เครื่องปรับอากาศ) 1.พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
2.พนักงานในเรือ 3.นักบิน

Word Partnership (คำที่ต้องใช้คู่กัน)
Which word in each group does not form a word partnership with the given word?
คำใดในแต่ละกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของคำที่ต้องใช้คู่กันกับคำที่ให้มา

66. establish
(1) regulations
(2) laws
(3) company
(4) house
ถาม ก่อตั้ง สร้าง กำหนด
ตอบ 4 (บ้าน:ที่นิยมใช้คือ to build a house หมายถึง สร้างบ้าน)
1.establish regulations = กำหนดข้อบังคับ
2.establish laws = กำหนดหรือร่างกฎหมาย
3.establish company =ก่อตั้งบริษัท

67. Increase
(1) attitude
(2) sales
(3) numbers
(4) partners
ถาม เพิ่มขึ้น
ตอบ 1 (ทัศนคติ)
2.increase sales = เพิ่มยอดขาย
3.increase numbers =เพิ่มจำนวน
4.increase partners =เพิ่มหุ้นส่วน

68. conduct
(1) survey
(2) research
(3) seminar
(4) meeting
ถาม ปฏิบัติ,ทำ,จัด
ตอบ 2 (การวิจัย:ที่นิยมใช้คือ to do research หมายถึง ทำวิจัย)
1.conduct survey =ทำการสำรวจ
3.conduct seminar =จัดการสัมมนา
4.conduct meeting =จัดการประชุม

69. claim
(1) properties
(2) money
(3) image
(4) refund
ถาม อ้าง,เรียกร้อง
ตอบ 3 (ภาพลักษณ์)
1.claim properties =อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ
2.claim money =เรียกร้องเงิน
4.claim refund =เรียกร้องการชดใช้

70. discover
(1) fact
(2) happiness
(3) truth
(4) antique
ถาม ค้นพบ,หา
ตอบ 3 (ความสุข)
1.discover fact = ค้นพบข้อเท็จจริง
3.discover truth = ค้นพบความจริง
4.discovr antique = ค้นพบโบราณวัตถุ
Matching Word with definition (จงจับคู่คำกับความหมายของมัน)

71. An organ used for breathing
(1) heart
(2) stomach
(3) chest
(4) lung
ถาม อวัยวะหนึ่งที่ใช้สำหรับการหายใจ
ตอบ 4 (ปอด) 1.หัวใจ 2.กระเพาะอาหาร 3.หน้าอก

72. Gap between cost and sales is called _________
(1) interest
(2) margins
(3) benefits
(4)taxes
ถาม ส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับราคาขายเรียกว่า__________
ตอบ 2 (ส่วนต่าง) 1.ดอกเบี้ย 3. ผลประโยชน์ 4.ภาษี

73. Sore throat
(1) syndromes
(2) problem
(3) in the throat
(4) painful
ถาม เจ็บคอ
ตอบ 4 (เจ็บปวด) 1.อาการของโรคต่างๆ 2.ปัญหา 3.ในลำคอ

74. frequent
(1) often
(2) always
(3) continually
(4) usually
ถาม บ่อยๆ,เป็นประจำ
ตอบ 1 (บ่อยๆ,หลายครั้ง) 2.เสมอ 3.อย่างต่อเนื่อง 4.โดยปกติ

75. rely on
(1) reply
(2) depend on
(3) carry on
(4) go on
ถาม ขึ้นอยู่กับ
ตอบ 2 (ขึ้นอยู่กับ) 1.ตอบ 3.ดำเนินไป 4.ทำเรื่อยไป

76. provide
(1) offer
(2) produce
(3) borrow
(4) ask for
ถาม จัดหา,เสนอให้
ตอบ 1 (เสนอให้) 2.ผลิต 3.ขอยืม 4.ถามถึง

77. average
(1) total of number
(2) sum of number
(3) usual or ordinary
(4) casual
ถาม ธรรมดา,โดยปกติ
ตอบ 3 (ธรรมดารหรือโดยปกติ) 1.จำนวนรวม 2.ยอดรวม 4.นานๆครั้ง

78. associate
(1) connect
(2) agree
(3) close
(4) against
ถาม มีส่วนร่วม,เข้าร่วม
ตอบ 1 (เกี่ยวข้อง,สัมพันธ์กัน) 2.เห็นด้วย 3.ปิด 4.ตรงกันข้าม

79. enriches
(1) poorer
(2) to make fuller
(3) to become rich
(4) try to be rich
ถาม ทำให้ร่ำรวยขึ้น
ตอบ 3 (ทำให้ร่ำรวย) 1.ยากจนลง
2.ทำให้ครบสมบูรณ์ขึ้น 4.พยายามที่จะรวย

80. terrible
(1) Territory
(2) terrorist
(3) extremely formidable
(4) extremely forbidden

ถาม ที่น่าสะพรึงกลัว
ตอบ 3 (ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง)
1.อาณาเขต
2.ผู้ก่อการร้าย
4.ห้ามอย่างเด็ดขาด

 

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือด่าแช่งต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตามก็เป็นความผิด ตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือ เป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้ จําเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมินนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้นายขาวมีความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมิ่นเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่าง ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงาน ตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการ ตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะเอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะมีลักษณะ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็นเวลานอกราชการ อันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร (มาตรา 264 วรรคหนึ่ง) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร…”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว ความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบของความผิดดังนี้ คือ

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

1. กระทําอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
ผู้กระทําจะมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่งนี้ได้ จะต้องมีการกระทําอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ คือ

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
“ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ” หมายความว่า ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่ามีผู้อื่นทําเอกสารนั้นขึ้น โดยที่ไม่มีเอกสารอันแท้จริงอยู่เลย หรือโดยมีเอกสารอันแท้จริงอยู่ก็ได้ แต่ผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ เพราะ “การทําเอกสารปลอมขึ้นแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด” หมายความว่า ทําเอกสารปลอมขึ้นมา แต่เพียงบางส่วนโดยผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะทําได้ เช่น เอกสารที่ทําขึ้นแท้จริง แต่ยังไม่เสร็จ ผู้กระทําไปปลอมข้อความต่อไปจนเสร็จ หรือการทําเอกสารปลอมขึ้นแต่ยังไม่เสร็จ ก็ถือเป็นการปลอมเอกสารบางส่วนเช่นกัน

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง
การเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริงหมายความว่า มีเอกสารแท้จริงอยู่แล้ว ผู้ปลอมได้เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ใน เอกสารที่แท้จริงนั้น โดยทําให้ผู้อื่นเข้าใจว่ามีการเติมหรือตัดทอนหรือแก้ไขมาแต่เดิม ดังนั้น การกระทําแก่เอกสารปลอม ย่อมไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร

ซึ่งการเติม ตัดทอน หรือแก้ไขข้อความนั้น จะต้องเป็นการกระทําในส่วนที่เป็น สาระสําคัญของเอกสารที่แท้จริงนั้นด้วย และผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ ดังนั้น หากเป็นการเติมหรือตัดทอน หรือแก้ไขข้อความที่ไม่มีความสําคัญ ซึ่งจะเติมหรือแก้ไขหรือไม่ ความหมายก็คงเดิม หรือผู้กระทํามีอํานาจที่จะ กระทําได้แล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
การประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารนั้น จะกระทําต่อเอกสารที่ แท้จริงหรือเอกสารปลอมก็ได้ เพราะกฎหมายใช้คําว่า “ในเอกสาร” ไม่ใช่ “ในเอกสารที่แท้จริง”

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวนั้น จะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้ จะต้องกระทําโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย กล่าวคือ เพียงแต่น่าจะเกิดความเสียหายเท่านั้น แม้จะยังไม่เกิดความเสียหาย ก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว แต่ถ้าการกระทําดังกล่าวไม่อยู่ในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
การปลอมเอกสารที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้กระทําจะต้องมีมูลเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารที่ปลอมนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีผู้หลงเชื่อตามเอกสารที่ปลอมหรือไม่ก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

4. โดยเจตนา
การกระทําตาม 1. 2. และ 3. นั้น ผู้กระทําจะมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องได้กระทําโดยเจตนา กล่าวคือ มีเจตนาในการปลอมเอกสารดังกล่าว และรู้ด้วยว่าตนไม่มี อํานาจที่จะกระทําได้

ตัวอย่าง การกระทําที่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
นายดําไม่เคยกู้เงินจําเลย วันเกิดเหตุจําเลยนํากระดาษมาแผ่นหนึ่งเขียนข้อความลงไปว่านายดํากู้ยืมเงินจําเลย 100,000 บาท จากนั้นจําเลยก็เซ็นชื่อคําว่า “ดํา” ลงไปในช่องผู้กู้ หลังจากที่จําเลยเขียนข้อความดังกล่าวเสร็จแล้วได้นําสัญญาฉบับนั้นไปเรียกเก็บเงินจากนายดํา ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจําเลย ไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ การกระทําของจําเลยจึงถือเป็นการทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ มีความผิดตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

ตัวอย่าง การกระทําที่ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
จําเลยแก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัลเพื่อให้เพื่อนเลี้ยงอาหารจําเลย แล้วจําเลยทิ้งสลากกินแบ่งในถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นไปขอรับรางวัลนอกความรู้เห็นของจําเลย ดังนี้ การหลอกให้เลี้ยงอาหารเป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งทํากันอยู่เป็นปกติ ไม่เป็นความเสียหายแก่ ประชาชนหรือเพื่อนของจําเลย จําเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (ฎีกาที่ 1568/2521)

 

ข้อ 3. หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เเละหกนักศึกษารุ่นพี่นั่งประชุมปรึกษากันว่าจะรับน้องใหม่กันอย่างไร หนึ่งเสนอความเห็นว่ารับน้องใหม่ปีนี้ต้องเอาคืนเพราะปีที่แล้วถูกรุ่นพี่รับหนักมาก ปีนี้น้องใหม่คนไหนไม่ร่วมมือกับพวกเรา ให้ซ้อมเตะ กระทืบได้เลย ก่อนซ้อมก็ให้เอาถุงผ้าคลุมหัวจะได้ไม่เห็นหน้าคนซ้อม ทุกคนที่ประชุมกันพูดว่าเอาด้วย ยกเว้นหกพูดว่าทําอย่างนี้ไม่ได้ พวกเราโตๆ กันแล้ว รับน้องแบบสุภาพเรียบร้อยดีกว่า หนึ่งโกรธไล่หกให้กลับบ้าน ดังนี้ หนึ่งและหก จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นช่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ
(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหกได้ประชุมกันว่าในการรับน้องใหม่ปีนี้ น้องใหม่คนไหนไม่ร่วมมือให้ซ้อมเตะและกระทืบได้เลยนั้น แม้ว่าหกจะคัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ก็ถือว่าได้มีการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปแล้ว และเมื่อมีเจตนาสมคบกันเพื่อกระทําความผิดฐานทําร้ายผู้อื่นตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และเป็นความผิดที่มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ดังนั้น หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้าจึงมีความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง แม้ว่าทั้ง 5 คน จะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม ส่วนหกนั้นเมื่อได้คัดค้านไม่เห็นด้วย จึงไม่ถือว่า หกได้สมคบกันกับทั้ง 5 คน แต่อย่างใด หกจึงไม่มีความผิดฐานซ่องโจร

สรุป
หนึ่งมีความผิดอาญาฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง ส่วนหกไม่มีความผิด อาญาฐานใดเลย

 

ข้อ 4. จ.ส.ต.ขยันตํารวจสายตรวจเดินตรวจท้องที่เห็นดํากับขาววัยรุ่นเดินผ่านมา จึงขอคุมตัวดําเพราะดําหน้าคล้ายผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล และถือโอกาสแกล้งจับขาวเพราะโกรธขาวที่ไม่ยอมให้ยืมเงินไปเล่นการพนัน ดังนี้ จ.ส.ต.ขยันจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีการขอคุมตัวดํา การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตํารวจสายตรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเดินตรวจท้องที่ เมื่อเห็นดําซึ่งมีหน้าคล้ายผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจึงได้ขอคุมตัวดํานั้นถือว่าเป็นกรณี ที่เจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว เพราะเจ้าพนักงานตํารวจมีอํานาจที่จะจับหรือควบคุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาล อีกทั้งการกระทําของ จ.ส.ต.ขยันก็มิได้เป็นการกระทําเพื่อแกล้งให้เกิดความเสียหายแก่ดําแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ จ.ส.ต.ขยันจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

กรณีการจับขาว การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยการขอคุมตัวดําไว้ และได้ถือโอกาสแกล้งจับขาวซึ่งเดินมากับดํา เพราะโกรธขาวที่ไม่ยอมให้ยืมเงินไปเล่นการพนันนั้นจะเห็นได้ว่า กรณีการที่ จ.ส.ต.ขยันได้จับขาวนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ขาวแล้ว และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา การกระทําของ จ.ส.ต.ขยันจึงครบองค์ประกอบตามมาตรา 157 ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น จ.ส.ต.ขยันจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157

สรุป
จ.ส.ต.ขยันมีความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 (กรณีแกล้งจับขาว)

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. มีฆาตกรรมรายหนึ่ง ตํารวจสืบหาตัวคนร้ายยังไม่ได้ นายซ่านึกสนุกจึงไปแจ้งแก่ตํารวจรับสมอ้างว่าตนฆ่าผู้ตาย พนักงานสอบสวนรับตัวและได้สอบสวนนายซ่าในฐานะผู้ต้องหา นายซ่าคงให้การว่า ตนเป็นคนฆ่าผู้ตาย ดังนี้ นายซ่ามีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 172 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษ ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จคดีอาญาตามมาตรา 172 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. เกี่ยวกับความผิดอาญา
3. แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา
4. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
5. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 172 นี้ หมายความถึงการแจ้งความเท็จในกรณีที่ความผิดอาญาได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเป็นการแจ้งความเท็จกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้นต้องปรับตามบทมาตรา 173 มิใช่มาตรา 172

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายซ่าไปแจ้งแก่ตํารวจในตอนแรกว่าตนฆ่าผู้ตาย ทั้งที่ตํารวจยังสืบหาตัวคนร้ายไม่ได้นั้น การแจ้งดังกล่าวถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา เมื่อนายซ่าได้แจ้งแก่ตํารวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน และลักษณะของการกระทําอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายและได้กระทํา โดยเจตนา ดังนั้น การกระทําของนายซาจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ นายซ่าจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

ส่วนกรณีที่นายซ่าให้การกับตํารวจในตอนหลังว่าตนเป็นคนฆ่าผู้ตายนั้น ถือเป็นการให้การในฐานะผู้ต้องหา นายซ่าจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

สรุป
นายซ่ามีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

 

ข้อ 2. ก. ตํารวจตรวจค้นตัวนาย ข. โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในตัวนาย ข. คุมตัวนาย ข. จากที่เกิดเหตุเดินข้ามสะพานข้ามคลองไปฝั่งตรงข้ามประมาณ 30 เมตร จึงปล่อยตัวนาย ข. ไป
ดังนี้ ก. ตํารวจจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับกุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใด ก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิด ความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ตํารวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตํารวจตรวจค้นตัว ข. ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แล้วไม่ยอมปล่อยตัว ข. ทันที แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่งดังกล่าวนั้น ย่อมถือเป็นการกระทําที่ไม่มีสิทธิทําได้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้ง ข. ดังนั้น จึงถือได้ว่า ก. ตํารวจซึ่งเป็น เจ้าพนักงานกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว โดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ข. และได้กระทําไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ก. ตํารวจจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ

ดังนั้น ก. ตํารวจ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

สรุป
ก. ตํารวจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 3. ประชาชน 20 คน ชุมนุมกันที่สถานีตํารวจแห่งหนึ่ง จากนั้นได้เผาสถานีตํารวจและขู่ว่าถ้าผู้กํากับการสถานีตํารวจไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่จะยิงเสียให้ตาย ตํารวจได้ออกมาห้ามและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าประชาชนทั้ง 20 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ประชาชนทั้ง 20 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ประชาชน 20 คน ได้ชุมนุมกันที่สถานีตํารวจและได้เผาสถานีตํารวจ อีกทั้งได้ขู่ว่าจะยิงผู้กํากับการสถานีตํารวจถ้าไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่นั้น การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน ดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือ กระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน นั้น จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งทุกประการ ประชาชนทั้ง 20 คน จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน ไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิด ตามมาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ประชาชนทั้ง 20 คน มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. จําเลยมีรถยนต์หนึ่งคันหมายเลขทะเบียน ก. 1234 ปรากฏว่า แผ่นป้ายทะเบียนหลุดหายไป วันเกิดเหตุจําเลยนําแผ่นเหล็กมาตัดให้มีขนาดและรูปร่างเท่าแผ่นป้ายทะเบียนของจริง จากนั้นจําเลยเขียนตัวอักษร ก. และเขียนหมายเลข 1234 ลงไป เมื่อเขียนเสร็จแล้วจําเลยนํามาติดที่รถยนต์ของจําเลย ต่อมาจําเลยนํารถออกขับขี่ท้ายที่สุดถูกตํารวจจับ ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ์หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 268 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยเขียนตัวอักษร ก. และเขียนหมายเลข 1234 ลงไป ซึ่งตรงกับหมายเลขแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริงนั้น แม้จะเป็นการปลอมเอกสารที่ทางราชการทําขึ้น เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การที่จําเลยนํามาติดที่รถยนต์ของจําเลยนั้นไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และมาตรา 265 ขณะเดียวกันจําเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคหนึ่ง

สรุป จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

WordPress Ads
error: Content is protected !!