LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดง 1 คูหา วันทําสัญญาเช่าคือวันที่ 15 มกราคม 2558 ตกลงเข่าตึกแถวมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2558 เป็นต้นไป โดยต้องชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน มีสัญญาข้อหนึ่งระบุไว้ว่าผู้ให้เช่าให้คํามั่นว่าจะให้ผู้เช่า ได้เช่าต่อมีกําหนดเวลาไม่เกิน 3 ปี ถ้าผู้เช่าประสงค์โดยผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้า ก่อนระยะเวลาเดิมแห่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลง ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม 2558 อันเป็นเวลาก่อนการเช่า เริ่มต้น ผู้เช่าได้แจ้งความจํานงว่าผู้เช่าประสงค์จะใช้สิทธิการเช่าตามคํามั่นจะให้เช่าไว้ก่อนและ มีการเช่า 6 ปี ครั้นในวันที่ 20 มกราคม 2559 แดงเจ้าของตึกได้ขายตึกแถวนี้ให้กับดํา การซื้อขาย ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวเช่าตึกมาจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2561 ซึ่งสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีพอดี แต่ขาวยังคงอยู่ในตึกแถวนี้จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2561 ดําจึงฟ้องขับไล่ขาว ขาวต่อสู้ว่า ตนมีสิทธิอยู่ในตึกแถวอีก 3 ปี จงวินิจฉัยว่าการกระทําของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อต่อสู้ของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และ ถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2558 โดยมีสัญญาข้อหนึ่งระบุไว้ว่าผู้ให้เช่าให้คํามั่นว่าจะให้ผู้เช่าได้เช่าต่อมีกําหนดเวลาไม่เกิน 3 ปี ถ้าผู้เช่าประสงค์โดยผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนระยะเวลาเดิมแห่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลงนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 19 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นเวลาก่อนการเช่าเริ่มต้น ผู้เช่าได้แจ้งความจํานงว่า ผู้เช่าประสงค์จะให้สิทธิการเช่าตามคํามั่นจะให้เช่าไว้ก่อนและทําให้สัญญาเช่ามีกําหนด 6 ปีนั้น เมื่อสัญญาเช่าได้ทําเป็นหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้นสัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวจึงสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538

การที่แดงเจ้าของตึกได้ขายตึกแถวนี้ให้กับดําในวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยการซื้อขาย ได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่าและขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยดําผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วย ตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าตึกแถวนี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี

และเมื่อครบกําหนด 3 ปีแล้ว ขาวจะต่อสู้ว่าตนมีสิทธิอยู่ในตึกแถวอีก 3 ปีไม่ได้ เพราะ สัญญาเช่าดังกล่าวผูกพันดําเพียง 3 ปีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อขาวยังคงอยู่ในตึกแถวนี้ต่อจนถึงวันที่ 29 มกราคม 2561 ดําจึงสามารถฟ้องขับไล่ขาวได้

สรุป

การกระทําของดําที่ฟ้องขับไล่ขาวชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้อต่อสู้ของขาวที่ว่าตนมีสิทธิ อยู่อีก 3 ปีนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) ม่วงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของม่วงมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหลืองไม่ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม ของเดือนพฤศจิกายน และของเดือนธันวาคม 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ในเดือนมกราคม 2561 ม่วงผ่อนผันให้เหลืองหาเงินมาชําระหลายครั้ง แต่เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น วันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงจึงมีหนังสือ บอกเลิกสัญญากับเหลืองให้เหลืองออกจากที่ดินเช่าภายใน 1 เดือน ครบกําหนดแล้วเหลืองไม่ยอมออก ม่วงจึงฟ้องขับไล่ การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ หากวันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงพบเหลืองที่ร้านอาหารและได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันทีเพราะเหลืองไม่ชําระค่าเช่าซื้อ การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

วินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้กับม่วงในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และ ธันวาคม 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน และค่าเช่าที่เหลืองนํามาชําระอีก 1 เดือนแล้ว ย่อมถือว่าเหลืองยังไม่ได้ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือค่าเช่าเดือนธันวาคม 2560 จึงมีผลทําให้ม่วง สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ม่วงจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ ม่วงจะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนําค่าเช่า มาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าหากเหลืองยังไม่ยอมชําระอีก ม่วงจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับเหลืองและ ให้เหลืองออกจากที่ดินที่เช่าภายใน 1 เดือน โดยไม่มีการบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่าที่ค้างชําระมาชําระก่อน โดยให้เวลาแก่เหลืองอย่างน้อย 15 วันแต่อย่างใด และเมื่อครบกําหนดเหลืองยังไม่ออกจากที่ดินที่เช่าม่วงจึง ฟ้องขับไล่เหลืองนั้น การกระทําของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อนั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อหักเงินที่เหลืองได้ชําระแก่ม่วงแล้ว 2 เดือน เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนธันวาคม 2560 จึงเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด ไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ม่วงจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น การที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันทีการกระทําของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การกระทําของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3.

นายพิจิตรต้องการก่อสร้าง “โรงงาน โรงอาหาร อาคารจอดรถยนต์ และอาคารต่าง ๆ อีกหลายหลัง” จึงต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ทําให้และนายสมัยมีลูกจ้างจํานวนมาก แต่ลูกจ้างชื่อนายอํานาจ เป็นลูกจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ได้รับสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท แต่มีปัญหาในการทํางาน บ่อย ๆ กับเพื่อน ๆ และนายจ้างด้วย

(ก) ถ้านายพิจิตรต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ก่อสร้างให้ เรียกว่า สัญญาอะไร (มาตราใด)

และตามกฎหมายกําหนดให้ ต้องทําสัญญาอย่างไร และถ้าหากนายสมัยต้องการไปทําสัญญาจ้างให้เพื่อนคือนายศักดาเป็นผู้ก่อสร้างเฉพาะโรงอาหารแทนตนเอง จะสามารถทําได้หรือไม่ (มาตราใด) จงอธิบาย

(ข) ถ้านายสมัยต้องการเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจทันทีโดยไม่ต้องการบอกกล่าวล่วงหน้าจะสามารถทําได้โดยถูกต้องตามกฎหมายมาตราใด มีกี่สาเหตุที่นายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ราคา มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 607 “ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วง ทําอีกทอดหนึ่งก็ได้ เว้นแต่สาระสําคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้อง รับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใด ๆ ของผู้รับจ้างช่วง”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพิจิตรต้องการก่อสร้าง “โรงงาน โรงอาหาร อาคารจอดรถยนต์ และอาคารต่าง ๆ อีกหลายหลัง” นั้น ถ้านายพิจิตรต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ก่อสร้างให้ สัญญาจ้างระหว่างนายพิจิตรกับนายสมัย เรียกว่าสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เพราะเป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจ้าง (นายสมัย) ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้าง (นายพิจิตร) ตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น

สัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 นั้น เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ดังนั้นคู่สัญญาจะทําสัญญากัน ด้วยวาจาหรือทําเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สัญญาจ้างทําของนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

และถ้าหากนายสมัยผู้รับจ้างต้องการไปทําสัญญาจ้างให้เพื่อนคือนายศักดาเป็นผู้ก่อสร้าง เฉพาะโรงอาหารแทนตนเองนั้น ย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 607 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้าง ทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทําอีกทอดหนึ่งก็ได้”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 583 “ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นําพา ต่อคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทําความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทําประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสมัยมีลูกจ้างชื่อนายอํานาจซึ่งเป็นลูกจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา และมีปัญหาในการทํางานบ่อย ๆ กับเพื่อน ๆ และนายจ้างนั้น ถ้านายสมัยต้องการเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจทันที โดยไม่ต้องการบอกกล่าวล่วงหน้าย่อมสามารถทําได้โดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา 583

และตามมาตรา 583 ได้บัญญัติให้นายจ้างสามารถไล่ลูกจ้างออกโดยมิพักต้องบอกกล่าว ล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนได้ ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 กรณีดังต่อไปนี้ คือ

  1. ลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
  2. ลูกจ้างละเลยไม่นําพาต่อคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างเป็นอาจิณ
  3. ลูกจ้างละทิ้งการงานไปเลยหรือขาดงานเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน
  4. ลูกจ้างกระทําความผิดอย่างร้ายแรง
  5. ลูกจ้างกระทําประการอื่นใดอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต

สรุป

  • สัญญาจ้างระหว่างนายพิจิตรและนายสมัยเรียกว่าสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 โดยจะทําสัญญากันด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ และนายสมัยจะทําสัญญาจ้างให้นายศักดาเป็น ผู้ก่อสร้างเฉพาะโรงอาหารแทนตนได้
  • นายสมัยจะเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจลูกจ้างทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้ ตามมาตรา 583 ซึ่งได้บัญญัติให้นายจ้างสามารถไล่ลูกจ้างออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทน ก็ได้ ซึ่งมีอยู่ 5 กรณี

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดงมีกําหนดเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2560 ในสัญญาเช่ามีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในวันที่ 1 มีนาคม 2560 และผู้เช่าต้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการเช่าต่อตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ซึ่งเป็นวันทําสัญญาเช่านี้”

ข้อ 6 “ผู้เช่าตกลงเช่าอาคารพาณิชย์ไปใช้ในการประกอบธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการจําหน่าย วัสดุก่อสร้าง”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าขาวผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ว่าจะเช่าอาคารต่อไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ให้แดงทราบแล้ว และขาวได้ใช้อาคารประกอบธุรกิจมาได้เพียง 2 ปี แดงได้ขายอาคารพาณิชย์ให้กับเขียว การซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2560 ขาวอยู่ในอาคารพาณิชย์ต่อมาแต่เขียวก็มิได้ว่ากระไรและขาวได้นําค่าเช่าไปชําระกับเขียวตามปกติ ต่อมาหลังจากนั้นขาวมิได้ประกอบธุรกิจการค้าในอาคารที่เช่า แต่ได้นํากล่องกระดาษ และกล่องกระดาษบรรจุเศษผ้า ตลอดจนเศษกล่องกระดาษไปเก็บไว้ในอาคารแทนจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันที

ให้ท่านวินิจฉัยว่าการบอกเลิก สัญญาเช่าเพราะการกระทําดังกล่าวของขาวนั้น เขียวได้บอกเลิกสัญญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่”

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืน ข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เข้าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงและขาวมีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และ สัญญาเช่า ข้อ 5 ที่ว่า “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในวันที่ 1 มีนาคม 2560 และผู้เช่าต้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการเช่าต่อตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ซึ่งเป็นวันทําสัญญาเช่านี้” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า เมื่อปรากฏว่าขาวผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ว่าจะเช่าอาคารต่อไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ให้แดงทราบแล้ว ย่อมถือว่าขาวได้สนองรับคํามั่นจะให้เช่าแล้วจึงเป็นการทําสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ รวม 6 ปี แต่เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้น ตามมาตรา 538

การที่ขาวได้ใช้อาคารประกอบธุรกิจได้เพียง 2 ปี และต่อมาแดงได้ขายอาคารพาณิชย์ให้กับเขียว โดยการซื้อขายได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น กรณีนี้ไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยเขียวผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่าด้วยตาม มาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ เขียวต้องให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปีตามสัญญาเช่า และ ขาวต้องนําอาคารพาณิชย์นั้นไปใช้ในการประกอบธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการจําหน่ายวัสดุก่อสร้างตามสัญญาเช่า ข้อ 6 ด้วย

และเมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2560 แต่ขาวยังคงอยู่ในอาคารพาณิชย์นั้น จนถึงปัจจุบัน และได้นําค่าเช่าไปชําระกับเขียวตามปกติซึ่งเขียวก็มิได้ว่ากระไรนั้น ถือว่าเขียวและขาวได้ทําสัญญาเช่า กันใหม่โดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาจึงเป็นไปตามสัญญาเช่าเดิม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมาขาวไม่ได้ใช้อาคารพาณิชย์ตามข้อตกลงในสัญญาข้อที่ 6 คือมิได้ใช้อาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการค้า แต่ได้นํากล่องกระดาษและกล่องกระดาษบรรจุเศษผ้า ตลอดจนเศษกล่องกระดาษไปเก็บไว้ในอาคารแทนจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนี้ ย่อมถือว่าขาวผู้เช่าได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการ อย่างอื่นนอกจากการที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 แล้ว ดังนั้น เขียวผู้ให้เช่าจึงมีสิทธิตามมาตรา 554 คือมีสิทธิบอกกล่าวให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาได้ และถ้าขาวละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม เขียวผู้ให้เขาจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 552 นั้น เขียวได้บอก เลิกสัญญากับขาวทันทีในวันที่ 16 ตุลาคม 2560 โดยมิได้บอกกล่าวให้ขาวปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลงใน สัญญาข้อที่ 6 ก่อนแต่อย่างใด ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) มืดเจ้าของที่ดินได้ให้ดําเช่าที่ดินของมืดมีกําหนดเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป โดยทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 25,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 20 ของ แต่ละเดือน ในวันทําสัญญาเช่าดําได้ให้เงินมัดจําค่าเช่าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ดําได้ใช้ที่ดินของมืดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2560 แต่ดําไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับมืดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน 2560 ดังนั้นมืดจึงมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ดําชําระค่าเช่าทั้งหมดภายใน 7 วัน มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา หนังสือบอกกล่าวนี้ไปถึงดํา ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2560 ดําได้รับหนังสือบอกกล่าวแต่ก็ไม่ชําระค่าเช่าตามที่กําหนด ดังนั้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 มืดจึงฟ้องขับไล่ดําออกจากที่ดินที่เช่า

ให้วินิจฉัยว่าการกระทําของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําไม่ชําระค่าเช่าให้กับมืดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินมัดจําค่าเช่าออก 2 เดือน ที่ดําชําระไว้ ย่อมถือว่ายังไม่ได้ชําระ ค่าเช่าอีก 1 เดือน คือ ค่าเช่าเดือนกันยายน 2560 ซึ่งมีผลให้มืดสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน มืดจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ดํานำค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ดําน้ำค่าเช่ามาชําระ อย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าดํายังไม่ยอมชําระอีก มืดจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง และตาม ข้อเท็จจริง การที่มืดได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ดําชําระค่าเช่าทั้งหมดภายใน 7 วัน มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือ บอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญานั้นถือว่ามืดได้บอกกล่าวให้นําเงินค่าเช่ามาชําระและมีการบอกเลิกสัญญาไปด้วยแล้ว และเมื่อหนังสือบอกกล่าวไปถึงดําตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2560 และดําได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่ก็ไม่ชําระ ค่าเช่าตามที่กําหนดนั้น การที่มืดฟ้องขับไล่ดําออกจากที่ดินที่เช่าในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 นั้น มืดย่อมสามารถ กระทําได้ เพราะแม้จะเป็นการบอกกล่าวโดยให้เวลาเพียง 7 วันก็ตาม แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องขับไล่แล้วถือว่าได้มี การบอกกล่าวแก่ผู้เช่าไม่น้อยกว่า 15 วันแล้ว ดังนั้น การกระทําของมืดจึงชอบด้วยกฎหมาย

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 2 เดือนแล้ว เท่ากับดําไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนกันยายน 2560 จึงถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินลองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง มืดจึงไม่มีสิทธิบอกเลิก สัญญาเช่าซื้อ มีสิทธิก็แต่เพียงเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างเท่านั้น ดังนั้น การที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันที ในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 การกระทําของมืดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของมืดชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3. (ก) นายสมบัติ (นายจ้าง) ได้ทําสัญญาจ้าง น.ส.นิภาเป็นลูกจ้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 โดยตกลงจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ปรากฏว่าในเดือนกันยายน 2560 นายสมบัติเห็น น.ส.นิภาเดินเอาของไปขายให้กับเพื่อนร่วมงานทั่วทั้งตึกสํานักงานในช่วง ระหว่างเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. อยู่บ่อยครั้ง นายสมบัติเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องจึง บอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาทันทีในวันที่ 30 กันยายน 2560 แต่ น.ส.นิภาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่กําหนดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาจ้างในเดือนธันวาคม 2560 เช่นนี้ นายสมบัติสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายอรุณทําสัญญารับก่อสร้างบ้านให้นายนพพร โดยมีข้อตกลงในการทําการก่อสร้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 ในสัญญากําหนดให้จ่ายสินจ้างตามความสําเร็จ ของงานเป็นส่วน ๆ ไว้แล้ว ปรากฏว่านายอรุณทําการก่อสร้างเสร็จและส่งมอบให้นายนพพร ได้ในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 นายนพพรเห็นว่านายอรุณทําการส่งมอบบ้านไม่ทันกําหนดเวลา นายนพพรจะมีสิทธิอย่างไรตามที่กําหนดไว้ในกฎหมาย และตามกฎหมายมีข้อยกเว้นที่ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดในการส่งมอบการที่ทําไม่ทันกําหนดเวลาในสัญญาหรือไม่ คืออะไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 583 “ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นําพา ต่อคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทําความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทําประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบัติได้ทําสัญญาจ้าง น.ส.นิภาเป็นลูกจ้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 โดยตกลงจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาทนั้น เป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกําหนดเวลาแน่นอน ซึ่งโดยหลักแล้ว นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกําหนดเวลาไม่ได้ เว้นแต่จะต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 583 ที่นายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้

การที่ น.ส.นิภาลูกจ้างได้เดินเอาของไปขายให้กับเพื่อนร่วมงานทั่วทั้งตึกสํานักงานในช่วง ระหว่างเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. อยู่บ่อยครั้งนั้น ถือได้ว่าลูกจ้างได้กระทําการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามมาตรา 583 แล้ว ดังนั้น เมื่อนายสมบัตินายจ้างเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นายสมบัติย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทน

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 596 “ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือถ้า ไม่ได้กําหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น หากผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามกฎหมายมาตรา 596 กําหนดให้ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างลงได้ หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ผู้ว่าจ้างก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอรุณทําสัญญารับก่อสร้างบ้านให้นายนพพร โดยมีข้อตกลง ในการทําการก่อสร้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 และในสัญญากําหนดให้จ่ายสินจ้างตาม ความสําเร็จของงานเป็นส่วน ๆ ไว้แล้วนั้น เป็นกรณีที่นายอรุณตกลงจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายนพพร และนายนพพรตกลงที่จะจ่ายสินจ้างให้นายอรุณเพื่อผลสําเร็จของการที่ทํานั้น สัญญาจ้างระหว่าง นายนพพรกับนายอรุณจึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

จากข้อเท็จจริง การที่นายอรุณทําการก่อสร้างบ้านเสร็จและส่งมอบให้นายนพพรในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 นั้น เป็นกรณีที่นายอรุณผู้รับจ้างส่งมอบการงานที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามมาตรา 596 ดังนั้น นายนพพรผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิที่จะให้นายอรุณลดสินจ้างลงได้ แต่จะขอเลิกสัญญาไม่ได้ เนื่องจากสาระสําคัญแห่งสัญญาไม่ได้อยู่ที่เวลา

และตามกฎหมายในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการงานที่ทําไม่ทันกําหนดเวลา ในสัญญา ผู้รับจ้างจะต้องรับผิดต่อผู้ว่าจ้างตามมาตรา 596 แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นว่าผู้รับจ้างอาจไม่ต้องรับผิดก็ได้ ถ้าเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

  1. ถ้าความชักช้าในการที่ทําเกิดขึ้นเพราะสัมภาระที่ผู้ว่าจ้างส่งให้ หรือเพราะคําสั่งของ ผู้ว่าจ้าง กรณีเช่นนี้ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด เว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะสม หรือคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง และมิได้บอกกล่าวตักเตือน (มาตรา 591)
  2. แม้ว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานที่ทําให้ผู้ว่าจ้างภายหลังกําหนดเวลาในสัญญา หรือภายหลัง เวลาอันควรในกรณีที่มิได้กําหนดเวลาในสัญญาไว้ และผู้ว่าจ้างรับมอบงานที่ทํานั้นโดยมิได้คิดเอื้อน กรณีเช่นนี้ ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเพื่อการส่งมอบล่าช้า (มาตรา 597)

สรุป

(ก) นายสมบัติสามารถบอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาได้

(ข) นายนพพรมีสิทธิให้นายอรุณลดสินจ้างลงได้ แต่จะขอเลิกสัญญาไม่ได้

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดง 1 คูหา มีกําหนด 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญ ดังนี้คือ

ข้อ 5. “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี”

ข้อ 6. “ผู้เช่าตกลงเช่าตึกแถวนี้เพื่อเปิดกิจการเป็นร้านเสริมสวยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อขาวเช่าตึกได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ขาวได้มี หนังสือแจ้งไปยังแดงว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ตามที่แดงให้คํามั่นจะให้เช่าไว้ในสัญญาข้อ 5 เมื่อ ขาวอยู่ในตึกแถวได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับมืดบุตรชายของแดง การให้ได้ทําถูกต้องตามกฎหมาย ในปีที่ 2 ที่ขาวใช้ตึกแถว ขาวได้เปลี่ยนกิจการร้านเสริมสวยเป็นกิจการ อาบ อบ นวด ขึ้น นอกเหนือข้อตกลงในสัญญาข้อ 6 ดังนั้นมืดจึงบอกเลิกสัญญากับขาวทันที

ให้วินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดชอบด้วยกําหมายหรือไม่ และถ้าหากว่าขาวไม่เคยผิดสัญญาเลย แต่ขาวอยู่ในตึกแถวมาจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 หลังจากสัญญาเช่าครบ 3 ปีแล้ว มืดจึงฟ้อง ขับไล่ขาวออกจากตึกแถวโดยอ้างว่าสัญญาเช่าครบกําหนดตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2560 แล้ว ขาวต่อสู้ว่าขาวไม่ต้องออกไปจากตึกแถวเพราะขาวมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปี ขาวต่อสู้ได้หรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เข่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่”

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืน ข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงและขาวมีกําหนด 3 ปี เมื่อได้ทําเป็น หนังสือสัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และสัญญาเช่าข้อ 5 ที่ว่า “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อขาวเช่าตึกแถวได้เพียง 1 เดือน ในวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ขาวได้มีหนังสือแจ้งไปยัง แดงว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ตามที่แดงให้คํามั่นจะให้เช่าตามสัญญาข้อ 5 ย่อมถือว่าขาวสนองรับต่อคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงเกิดสัญญาเช่าตึกแถวรวม 6 ปี แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าจึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อขาวอยู่ในตึกแถวได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวดังกล่าว ให้กับมืดบุตรชาย โดยการให้ได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น ไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าตึกแถวต่อไป จนครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง

สําหรับข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อต่อสู้ของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

– กรณีที่ 1 การที่ขาวเช่าตึกแถวเพื่อเปิดกิจการเป็นร้านเสริมสวย แต่พอปีที่ 2 ขาวได้เปลี่ยน กิจการร้านเสริมสวย เป็นกิจการ อาบ อบ นวด นั้น ถือว่าขาวผู้เช่าได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจาก การที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 แล้ว ดังนั้น มืดผู้ให้เช่าจึงมีสิทธิ ตามมาตรา 554 กล่าวคือ มืดมีสิทธิบอกกล่าวให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาได้ และถ้าขาวละเลย เสียไม่ปฏิบัติตาม มืดผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้กระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 มืดได้บอกเลิกสัญญา เช่ากับขาวทันทีโดยมิได้บอกกล่าวให้ขาวปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลงในสัญญาข้อ 6 ก่อนแต่อย่างใด ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

– กรณีที่ 2 เมื่อสัญญาเช่ามีผลใช้บังคับกันได้เพียง 3 ปี และเมื่อครบกําหนด 3 ปีแล้ว มืดย่อม มีสิทธิฟ้องขับไล่ขาวออกจากตึกแถวที่เช่าได้ ขาวจะต่อสู้ว่าตนมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปี จนครบกําหนด 6 ปีไม่ได้ เพราะเมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวแม้จะมีระยะเวลา 6 ปี แต่เมื่อไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงฟ้องร้อง บังคับคดีได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538

สรุป

การที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อต่อสู้ของขาว ที่ว่าขาวมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปีนั้น ก็ไม่ชอบเช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของน้ําเงินมีกําหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 30,000 บาท เหลืองได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ในวันทําสัญญา 30,000 บาท ปรากฏว่า หลังจากที่เหลืองได้เช่ารถบรรทุกจากน้ําเงินมาแล้ว เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าสําหรับวันที่ 20 มกราคม 20 มีนาคม และ 20 พฤษภาคม 2560 เป็นค่าเช่าที่ไม่ได้ชําระ 3 เดือน ดังนั้น น้ำเงินจึงมีหนังสือแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับ หนังสือบอกกล่าว ครั้นครบกําหนด 15 วันแล้ว เหลืองก็ไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงิน ดังนั้น น้ำเงินจึงจ้างให้มืดไปนํารถยนต์กลับคืนมาทันที

ให้วินิจฉัยว่า การกระทําของน้ําเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของน้ําเงินมีกําหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท และเหลืองได้ให้ เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ในวันทําสัญญา 30,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากที่เหลืองได้เช่ารถบรรทุกจากน้ำเงิน แล้ว เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าสําหรับวันที่ 20 มกราคม, 20 มีนาคม และ 20 พฤษภาคม 2560 ดังนั้น การที่เหลือง ได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 30,000 บาทนั้น ย่อมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่น้ำเงินแล้ว 1 เดือน คือเดือนมกราคม และถือว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงิน 2 เดือน คือเดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคม จึงมีผลทําให้น้ำเงิน มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้นการที่ น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่า น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อนโดยต้องให้เวลาเหลืองไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินก็จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 และเมื่อน้ำเงิน บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ก็จะมีผลทําให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงและน้ําเงินย่อมสามารถนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนได้

แต่ตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า เมื่อน้ำเงินได้มีหนังสือแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้น ภายใน 15 วัน แต่เหลืองก็ไม่ได้นําค่าเช่ามาชําระให้กับน้ำเงินภายในกําหนดเวลาดังกล่าวนั้น โดยหลักแล้วน้ำเงิน ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่เมื่อปรากฏว่าน้ำเงินยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแต่อย่างใด แต่น้ำเงินได้จ้าง ให้มืดไปนํารถยนต์กลับคืนมาทันที ตามกฎหมายการที่น้ำเงินนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนทันทีโดยไม่มีการบอกเลิก สัญญาเช่าตามมาตรา 560 ก่อนนั้น ย่อมถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อหักเงินที่เหลืองได้ชําระล่วงหน้าแล้ว 1 เดือน แม้จะถือว่าเหลืองผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อ 2 เดือน คือ เดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคมก็ตาม แต่เมื่อการที่เหลือง ผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 เดือนนั้น มิใช่เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 เดือนติดกัน ดังนั้นน้ำเงินผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญา เช่าซื้อเพื่อนําทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อกลับคืนไม่ได้เช่นเดียวกัน

สรุป

(ก) การกระทําของน้ำเงินที่นํารถยนต์กลับคืนโดยไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่านั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อ น้ำเงินก็จะนํารถยนต์กลับคืนไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะน้ำเงินไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น คําตอบจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. ม่วงจ้างให้แสดมาทํางานเป็นพนักงานทําภาชนะบรรจุของซึ่งเป็นภาชนะที่ทําด้วยพลาสติกโดยให้ค่าจ้างคราวละ 7,500 บาท และจะจ่ายค่าจ้างให้ทุก ๆ วันศุกร์ของเดือน มีกําหนดเวลาจ้าง 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 แสดทํางานให้ม่วงมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2560 แม้สัญญาจ้างจะครบกําหนดแล้วก็ตาม ครั้นถึงวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับแสด และแสดต้องทํางานให้ม่วงถึงวันที่เท่าใด จงวินิจฉัย

และหากปรากฏว่ามืดจ้างม่วงให้ผลิตภาชนะบรรจุของให้จํานวน 50 กล่อง โดยจ่ายสินจ้างให้ เมื่องานเสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท แต่ขณะที่ม่วงให้พนักงานออกแบบกล่องสินค้าและเริ่มจะ ผลิตสินค้าให้กับมืด มืดเปลี่ยนใจบอกเลิกสัญญาไม่จ้างให้ม่วงผลิตสินค้าดังกล่าวให้ ดังนี้มืดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

ตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีระหว่างม่วงกับแสด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาจ้างระหว่างม่วงนายจ้างและแสดลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี และได้ ครบกําหนดแล้วในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 แต่แสดยังคงทํางานให้ม่วงมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2560 โดยม่วง นายจ้างก็ไม่ทักท้วงนั้น ตามมาตรา 581 ให้สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่และเป็นสัญญาจ้างที่ ไม่มีกําหนดเวลาโดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้

ตามมาตรา 582 โดยการบอกกล่าวเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผล เลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อม่วงได้ตกลงจะจ่ายค่าจ้างให้แก่แสดทุก ๆ วันศุกร์ของเดือนนั้น การที่ม่วงได้บอกเลิกสัญญาจ้างกับแสดในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาก่อนถึง กําหนดจ่ายสินจ้างในวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 จึงต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างในวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันกําหนดจ่ายสินจ้าง และจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 ดังนั้น แสดจึงต้องทํางานต่อไปให้แก่ม่วงจนถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560

  1. กรณีระหว่างมืดกับม่วง

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อ เสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิก สัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

ตามอุทาหรณ์ การที่มืดจ้างม่วงให้ผลิตภาชนะบรรจุของให้จํานวน 50 กล่อง โดยจ่ายสินจ้าง ให้เมื่องานเสร็จเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ม่วง ให้พนักงานออกแบบกล่องสินค้าและเริ่มจะผลิตสินค้าให้กับมืดนั้น มืดได้เปลี่ยนใจบอกเลิกสัญญาไม่จ้างให้ม่วง ผลิตสินค้าดังกล่าว ดังนี้มืดย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่มืดต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย อย่างใด ๆ ที่เกิดจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่ม่วงด้วยตามมาตรา 605

สรุป

แสดต้องทํางานให้ม่วงจนถึงวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560

มืดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ม่วงด้วย

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ให้ดําเช่าอาคารของแดงมีกําหนด 3 ปี โดยสัญญาเช่าได้ทําเป็นหนังสือตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือนเดือนละ 50,000 บาท สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญคือ

ข้อ 5 “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในสิ้นปี 2559 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี โดยผู้เช่าต้องแจ้งความจํานงว่าจะเช่าต่อไปอีกภายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เป็นวันสุดท้าย”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ดําเช่าอาคารมาถึงเดือนธันวาคม 2559 ดําเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศและ กลับมาในวันที่ 15 มกราคม 2560 โดยดํามิได้แจ้งความจํานงที่จะเช่าต่อไปอีก 3 ปี ให้แดงทราบ แต่ครั้นถึงวันที่ 31 มกราคม 2560 ดํานำค่าเช่าไปชําระให้แดง และในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ดําก็นําค่าเช่าไปชําระให้แดงอีกเช่นกัน และแดงก็รับค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาทนี้ตามปกติโดยมิได้ พูดอะไรกับดํา ครั้นถึงวันที่ 15 มีนาคม 2560 แดงได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับดําโดยดํามิได้ผิดสัญญาเลย แดงขอให้ดําส่งมอบอาคารคืนให้ตนในวันที่ 15 เมษายน 2560 แต่ดําปฏิเสธอ้างว่าดํามีสิทธิอยู่ใน อาคารหลังนี้ได้อีก 3 ปี ตามข้อ 5 และดํามิได้ผิดสัญญาเช่าแต่ประการใด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการปฏิเสธของดําฟังขึ้นหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงกับดํามีกําหนด 3 ปี ได้ทําเป็น หนังสือสัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และข้อความตามสัญญาเช่า ในข้อที่ 5 ที่ว่า “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในสิ้นปี 2529 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี โดยผู้เช่า ต้องแจ้งความจํานงว่าจะเช่าต่อไปอีกภายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เป็นวันสุดท้าย” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดําผู้เช่าไม่ตอบรับคํามั่นจะเช่าต่อภายในกําหนดเวลาดังกล่าว คํามั่นจะให้เช่านั้น ย่อมสิ้นผลไป การที่ดําได้นําค่าเช่าไปชําระให้แดงในวันที่ 31 มกราคม 2560 และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560

โดยแดงก็ยอมรับค่าเช่าตามปกติและโดยไม่ได้พูดอะไรกับดํานั้น ถือว่าแดงและดําได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่โดย เป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 570 แดงจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับดําโดยที่มิได้ผิด สัญญาได้ตามมาตรา 566 และดําจะอ้างว่าตนมีสิทธิอยู่ในอาคารหลังนี้อีก 3 ปีไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่แดงได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับดําในวันที่ 15 มีนาคม 2560 และให้ดํา ส่งมอบอาคารคืนให้ตนในวันที่ 15 เมษายน 2560 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 566 ทั้งนี้เพราะการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลานั้น เมื่อแดงได้บอกเลิกสัญญาเช่าใน วันที่ 15 มีนาคม 2560 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันชําระค่าเช่า และแดง จะต้องบอกกล่าวให้ดํารู้ตัวและให้ดําอยู่ในอาคารหลังดังกล่าวจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นช่วงกําหนดเวลา ชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าวของแดงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดําย่อมมีสิทธิ ที่จะอยู่ในอาคารที่เช่าจนถึงสันที่ 30 เมษายน 2560

สรุป การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการปฏิเสธของดําที่อ้างว่า ดํามีสิทธิอยู่ในอาคารหลังดังกล่าวได้อีก 3 ปีฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. (ก) ในวันที่ 25 ธันวาคม 2559 เขียวทําสัญญาเป็นหนังสือให้ขาวเช่าที่ดินของเขียวมีกําหนด 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าขาวได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายที่เกิดจากการกระทําผิดสัญญาเช่า และได้ให้เงินค่าเช่าไว้ล่วงหน้า เป็นเงิน 50,000 บาท เมื่อขาวเข้าไปอยู่ในที่ดินที่เช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 นั้น ขาวไม่ได้ ชําระค่าเช่าให้กับเขียวอีกเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ในวันที่ 6 มีนาคม 2560 เขียว จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวให้ขาวออกจากที่ดินที่เช่าภายในวันที่ 21 มีนาคม 2560 แต่ขาวไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่า ดังนั้นในวันที่ 22 มีนาคม 2560 เขียวจึงฟ้องขับไล่ขาวออกจากที่ดินของตน

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการกระทําของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่เพียงใดและเขียวจะเรียกให้ขาวชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชําระทั้งหมดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขาวไม่ได้ชําระค่าเช่า 3 ครั้งนั้น เมื่อหักค่าเช่าออก 1 เดือน ที่ขาว ชําระล่วงหน้าไว้ ย่อมถือว่าขาวไม่ได้ชําระค่าเช่า 2 เดือนติดต่อกัน คือ เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม (เงินประกัน สัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาท จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้) ซึ่งมีผลทําให้เขียว มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน เขียวจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ขาวนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ขาวนําค่าเช่ามา ชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าขาวไม่ยอมชําระอีก เขียวจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่เขียวบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีในวันที่ 6 มีนาคม 2560 และให้ขาวออกจากที่ดินที่เช่าภายในวันที่ 21 มีนาคม 2560 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเขียวจะฟ้องขับไล่ขาวไม่ได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ขาวผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนกุมภาพันธ์และ มีนาคม 2560 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่ขาวผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น เขียวผู้ให้เช่าซื้อ จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของเขียวจึงชอบด้วยกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม เขียวจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ขาวยังไม่ชําระในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2560 จํานวน 100,000 บาท ไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายมาตรา 574 วรรคหนึ่ง หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ สองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และริบเงินค่าเช่าซื้อ ที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของเขียวชอบด้วยกฎหมาย แต่เขียวจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ขาวยังไม่ชําระทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้น คําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3. นายอุทัย ทําสัญญาจ้างนายพิภพให้จัดเตรียมงานการสมรสทุกอย่างตั้งแต่การทําสัญญาหมั้นจนถึงการจัดพิธีการจัดเลี้ยงสมรส โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นจํานวนเงิน 500,000 บาท โดยตกลง ชําระสินจ้างเป็นงวด ๆ ตามที่กําหนดไว้ในสัญญา นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายแสวงเป็นหัวหน้างานมีกําหนดเวลา 1 ปี และทําสัญญาจ้างนายทนง และนายนคร โดยไม่ได้กําหนดระยะเวลาไว้ โดยให้เริ่มทํางานตั้งแต่เดือนเมษายน ในสัญญาได้ตกลง ให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพเป็นสัญญาอะไร ตามกฎหมายมาตราใด โดยให้อธิบายตามองค์ประกอบของกฎหมายด้วย และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวง และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครเป็นสัญญาอะไร ตามกฎหมายมาตราใด โดยให้ อธิบายตามองค์ประกอบของกฎหมายด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับ จะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อ ผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพ

การที่นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิภพให้จัดเตรียมงานการสมรสทุกอย่างตั้งแต่การทําสัญญา หมั้นจนถึงการจัดพิธีการจัดเลี้ยงสมรส โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นจํานวนเงิน 500,000 บาท โดยตกลงชําระสินจ้าง เป็นงวด ๆ ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้น เป็นกรณีที่นายพิภพผู้รับจ้างตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้กับ นายอุทัยผู้ว่าจ้าง และนายอุทัยผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น ดังนั้นสัญญาระหว่าง นายอุทัยกับนายพิภพ จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

  1. สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวง

การที่นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายแสวงเป็นหัวหน้างานมีกําหนด 1 ปี โดยให้เริ่มทํางาน ตั้งแต่เดือนเมษายน และในสัญญาได้ตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น เป็นกรณีที่นายแสวงลูกจ้างตกลงจะทํางานให้แก่นายพิภพนายจ้าง และนายพิภพนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างเป็น กําหนดระยะเวลารายเดือนตลอดเวลาที่ทํางานให้ ดังนั้น สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวงจึงเป็นสัญญา จ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่มีกําหนดระยะเวลา 1 ปี

  1. สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนคร

การที่นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายทนงและนายนครโดยไม่ได้กําหนดระยะเวลาไว้ โดยให้ เริ่มทํางานตั้งแต่เดือนเมษายน และในสัญญาได้ตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน เช่นเดียวกับนายแสวงนั้น สัญญาจ้างระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม มาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาไว้โดยสัญญา

สรุป

สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 โดยมีกําหนดระยะเวลา 1 ปี

และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มี กําหนดระยะเวลา

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวหนึ่งคูหาของแดงมีกําหนดเวลา 3 ปี โดยสัญญาเช่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2556 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 สัญญาเช่า มีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 1 มีนาคม 2556 นั้นขาวได้เข้าไปอยู่ในตึกแถวแล้วและขาวได้ตอบ ให้แดงทราบว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ในวัน 1 มีนาคม 2556 เช่นกัน ครั้นขาวเช่าตึกแถวนี้มาถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 แดงได้ขายตึกแถวที่ให้เช่าของตนหลังนี้ให้กับมืด การซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวอยู่ในตึกแถวมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่ได้ทําสัญญาเช่าใหม่กับมืดเลย และได้ชําระค่าเช่ามาโดยตลอด แต่มืดต้องการบอกเลิกสัญญาโดยที่ขาวมิได้ผิดสัญญา ดังนั้นมืดบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่จะต้องชําระค่าเช่าตามที่สัญญาเช่า กําหนดไว้ตั้งแต่ต้น และมืดให้ขาวส่งคืนตึกแถวให้ตนในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559

ขาวอ้างว่าการบอกเลิกสัญญาของมืดไม่ชอบเพราะขาวยังมีสิทธิอยู่ในตึกแถวได้จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2562 (คืออยู่ต่อไปอีก 3 ปี หลังจากครบ 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว) ให้ท่านวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดและข้ออ้างของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาว มีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และสัญญาเช่า ข้อ 5 ที่ว่า “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 1 มีนาคม 2556 ขาวได้เข้าไปอยู่ในตึกแถวแล้ว และขาวได้ตอบให้แดงทราบว่าขาวขอเช่าตึกเถวต่อไปอีก 3 ปี ดังนี้ย่อมถือว่าขาวสนองรับคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงเกิดสัญญาเช่าตึกแถวรวม 6 ปี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสัญญาดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าจึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ตามมาตรา 538

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 แดงได้ขายตึกแถวที่ให้เช่าของตนให้แก่มืด โดยการซื้อขายกระทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่า ระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าตึกแถวนี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง

การตามข้อเท็จจริง เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี และขาวยังคงอยู่ในตึกแถวมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยไม่ได้ทําสัญญาเช่าใหม่กับมืดและได้ชําระค่าเช่ามาโดยตลอด ซึ่งมืดเองก็มิได้ทักท้วงแต่อย่างใดนั้นถือเป็นการ ทําสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไป โดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา ให้นําสัญญาเดิมมาใช้บังคับ

ดังนั้น เมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา มืดจึงสามารถบอกเลิกสัญญากับขาวโดยที่ขาว มิได้ผิดสัญญาได้ตามมาตรา 566 แต่การที่มืดบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 และให้ขาวส่งตึกแถวให้ตนในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 นั้น ถือว่าเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบตามมาตรา 566 เพราะตามหลักกฎหมาย ดังกล่าว มืดจะต้องบอกให้ขาวรู้ตัวและให้ขาวอยู่ในตึกแถวที่เช่าจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งเป็น ชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง

ส่วนข้ออ้างของขาวที่ว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดไม่ชอบเพราะขาวยังมีสิทธิอยู่ในตึกแถว ได้จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2562 ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างขาวกับมืดนั้นใช้บังคับกันได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ตามมาตรา 538 ประกอบมาตรา 569

สรุป การบอกเลิกสัญญาของมืดและข้ออ้างของขาวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าที่ดินเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้ให้เงินเป็นประกันการชําระค่าเช่าไว้ 3 เดือน เมื่อเหลืองอยู่ในที่ดินที่เช่าเหลืองได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินเพียง 3 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นมาเหลืองมิได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2559 เป็นเวลา 4 เดือน ติดกัน ดังนั้นในวันที่ 30 กันยายน 2559 น้ำเงินจึงแจ้งให้เหลืองมาชําระค่าเช่า ที่ยังไม่ชําระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 หากเหลืองไม่ชําระตามที่น้ำเงินแจ้งให้ทราบถือว่าน้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าด้วย แต่เหลืองก็มิได้ชําระเงินค่าเช่าให้กับน้ำเงิน

ดังนั้นน้ำเงินจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากเหลืองในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 การกระทําของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ หากน้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในวันที่ 30 กันยายน 2559 กับเหลืองทันทีการบอกเลิกชอบหรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2559 เป็นเวลา 4 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือน ที่ เหลืองชําระไว้ ย่อมถือว่าเหลืองยังไม่ได้ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือ ค่าเช่าเดือนกันยายน 2559 ซึ่งมีผลให้น้ำเงิน สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน น้ำเงินจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนําค่าเช่ามา ชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองยังไม่ยอมชําระอีก น้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง และตามข้อเท็จจริง การที่น้ำเงินแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 หากไม่ชําระให้ถือว่า น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าด้วยนั้น ย่อมถือเป็นการบอกกล่าวแก่เหลืองผู้เช่าแล้ว เมื่อเหลืองมิได้ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงิน น้ำเงินจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากเหลืองในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ได้ เพราะครบกําหนด การบอกกล่าวแก่ผู้เช่าอย่างน้อย 15 วัน ตามมาตรา 560 แล้ว ดังนั้นการกระทําของน้ําเงินจึงชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือนแล้ว เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนกันยายน 2559 จึงถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ดังนั้น น้ำเงินจะบอกเลิก สัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 25,000 บาทได้ การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันที ในวันที่ 30 กันยายน 2559 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายอนุทินทําสัญญาจ้างนายสัญญาให้ก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ 30 หลัง โดยตกลงกําหนดให้จ่ายสินจ้างหลังละ 1 ล้านบาท เมื่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ให้ทําการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ถึง ธันวาคม 2560 นายสัญญาเห็นว่ามีงานต้องทําเป็นจํานวนมากจึงทําสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช เป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา กําหนดจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ปรากฏว่าในเดือนตุลาคม นายสัญญาได้ทําการก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว 13 หลัง แต่ นายอนุทินได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านที่เหลือทั้งหมดโดยอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี นายสัญญาต่อสู้ว่าไม่สามารถบอกเลิกได้เพราะได้ก่อสร้างไปแล้วแต่ยังไม่เสร็จ นายสัญญาเห็นว่า ไม่มีงานให้ทํามากนักจึงได้บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 และบอกเลิกสัญญาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 เช่นนี้

(ก) นายอนุทินบอกเลิกสัญญาก่อสร้างบ้านพักตากอากาศที่เหลือได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิก สัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอนุทินทําสัญญาจ้างนายสัญญาให้ก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ 30 หลัง โดยตกลงกําหนดให้จ่ายสินจ้างหลังละ 1 ล้านบาท เมื่อสร้างบ้านแล้วเสร็จนั้น สัญญาก่อสร้างบ้านพัก ตากอากาศดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างคือ นายสัญญาตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายอนุทิน ผู้ว่าจ้าง และนายอนุทินตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตาม มาตรา 587

เมื่อปรากฏว่า นายสัญญาได้ทําการก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว 13 หลัง แต่นายอนุทินได้ขอบอกเลิก สัญญาก่อสร้างบ้านที่เหลือทั้งหมดโดยอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ดังนี้ นายอนุทินย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้

แต่นายอนุทินจะต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญานั้น ให้แก่นายสัญญาด้วยตามมาตรา 605 กล่าวคือ นายอนุทินจะต้องชําระสินจ้างให้นายสัญญาสําหรับการก่อสร้าง บ้าน 13 หลัง และต้องชําระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดจากสัญญานั้นให้แก่นายสัญญา

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสัญญาได้ทําสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช เป็นลูกจ้าง ไม่มีกําหนดเวลา กําหนดจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้าง แรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกําหนดเวลา จึงเข้าหลักของมาตรา 582 วรรคหนึ่ง คือ ถ้านายสัญญาจะบอกเลิกสัญญาจ้าง จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้าง คราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสัญญาได้บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ย่อมถือเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาของการจ่ายสินจ้างในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปคือ เลิกสัญญาในวันที่ 25 ธันวาคม 2559 ดังนั้น การที่นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 จึงไม่ถูกต้องตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

สรุป

(ก) นายอนุทินบอกเลิกสัญญาก่อสร้างบ้านพักตากอากาศที่เหลือได้ แต่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่นายสัญญา

(ข) การที่นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นั้นไม่ถูกต้อง

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดงหนึ่งคูหา มีกําหนดเวลา 3 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 5 ของแต่ละเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละหนึ่งหมื่นบาท สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5. “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ผู้ให้เช่ายินยอมจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี และผู้ให้เช่า จะได้รับค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท”

ข้อ 6. “ในวันทําสัญญาเช่าผู้เช่าได้ให้เงินผู้ให้เช่าไว้เพื่อเป็นการประกันการชําระค่าเช่าไว้ซึ่งเป็น เงินเท่ากับค่าเช่า 3 เดือน (สามหมื่นบาท) และถ้าผู้เช่าได้ชําระค่าเช่าตามปกติ ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินนี้ ให้กับผู้เช่าหากครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตึกแถวนี้แล้ว”

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าแดงให้ขาวเช่าตึกแถวได้เพียง 1 ปีเท่านั้น แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับดำบุตรบุญธรรมของแดง การให้ทําถูกต้องตามกฎหมาย ขาวได้อยู่ในตึกแถวที่เช่ามาจนครบ 3 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 30 เมษายน 2559 ขาวไปพบดําและขอเช่าตึกแถวจากดําต่อไปอีก 3 ปี ตามข้อ 5. ของสัญญาเช่า แต่ถูกดําปฏิเสธและดําบอกให้ขาวส่งคืนตึกแถวนี้ให้กับดําภายใน 15 วัน เพราะสัญญาสิ้นสุดแล้ว ให้ท่านวินิจฉัยว่า

  • การกระทําของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใด และ
  • ส่วนขาวจะเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ ของสัญญานี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาว มีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อปรากฏว่า หลังจากขาวเช่าตึกแถวคูหานี้ได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับดําบุตรบุญธรรมของแดง โดยการให้ทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีเช่นนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใดตาม มาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยดําผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่า ด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าตึกแถวคูหานี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี

สําหรับข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5. ที่ว่า “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ผู้ให้เช่ายินยอม จะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี และผู้ให้เช่าจะได้รับค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตาม คํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันดําผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อครบกําหนดเวลา ตามสัญญาเช่า ขาวได้ไปพบดําและขอเช่าตึกแถวจากดําต่อไปอีก 3 ปีตามสัญญาเช่าข้อ 5. ดําย่อมสามารถปฏิเสธ ไม่ให้ขาวเช่าต่อได้ การที่ดําปฏิเสธและบอกให้ขาวส่งคืนตึกแถวนี้ให้กับดําภายใน 15 วัน เพราะสัญญาสิ้นสุดแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6. ที่ว่า “ในวันทําสัญญาเช่าผู้เช่าได้ให้เงินผู้ให้เช่าไว้เพื่อเป็นประกันการชําระค่าเช่าไว้ ซึ่งเป็นเงินเท่ากับค่าเช่า 3 เดือน (สามหมื่นบาท) และถ้าผู้เช่าได้ชําระค่าเช่า ตามปกติ ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินนี้ให้กับผู้เช่าหากครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตึกแถวนี้แล้ว” นั้น เป็นเรื่องค่าเช่า และถือเป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า ดังนั้น เมื่อขาวจะเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ 6. ของสัญญา ดําจึงปฏิเสธไม่ได้ตามมาตรา 569 วรรคสอง

สรุป การกระทําของดําที่ปฏิเสธไม่ให้ขาวเช่าต่อไปอีก 3 ปีนั้น ชอบด้วยกฎหมาย และขาว สามารถเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ 6. ของสัญญานี้ได้

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าที่ดินของน้ำเงินมีกําหนดเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่านั้น ม่วงได้ให้เงินประกันการชําระค่าเช่าเป็นเงินเท่ากับค่าเช่าสามเดือน เมื่อม่วงเข้าไปอยู่ในที่ดินของน้ำเงินตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าให้ น้ำเงินเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วง ทันทีโดยให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่านี้ ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงินตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึง วันที่ 1 มิถุนายน 2559 นั้น เมื่อหักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือน ที่ม่วงได้ชําระไว้ย่อมถือว่าม่วงยังไม่ได้ ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือค่าเช่าเดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งมีผลให้น้ำเงินสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ม่วงนําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าม่วง ยังไม่ยอมชําระอีก น้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่นําเงินบอกเลิกสัญญาเช่า ทันทีในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 และให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือนแล้ว เท่ากับม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือ ในเดือนพฤษภาคม 2559 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด ไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ดังนั้น น้ำเงินจะ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 50,000 บาทได้ การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับม่วง ทันทีในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. (ก) มืดจ้างให้เขียวทํางานเป็นพนักงานทําบัญชีในร้านค้าของมีดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นต้นไปตกลงชําระค่าจ้างทุกวันที่ 14 และวันที่ 28 ของแต่ละเดือนเป็นค่าจ้างคราวละ 15,000 บาท มืดบอกเลิกจ้างกับเขียวในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 โดยที่เขียวไม่ผิดสัญญาจ้างได้หรือไม่เพียงใด และเขียวต้องทํางานให้มืดถึงวันที่เท่าใด จงวินิจฉัย

(ข) แสดตกลงจ้างให้เหลืองก่อสร้างบ้านและอาคารเก็บรถยนต์ให้ โดยตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นงวดมีกําหนด 15 งวด (จนงานเสร็จ) เป็นค่าจ้างทั้งหมด 5 ล้านบาท เหลืองสร้างบ้านให้เสร็จแล้ว เหลือแต่ยังไม่ได้สร้างอาคารเก็บรถยนต์ เหลืองจึงบอกเลิกสัญญากับแสด โดยอ้างว่าจะสร้าง เฉพาะบ้านให้แสดเท่านั้น เหลืองทําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มืดจ้างให้เขียวทํางานเป็นลูกจ้าง โดยมืดได้ตกลงทําสัญญาจ้าง ไม่มีกําหนดเวลาไว้กับเขียว จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 582 วรรคหนึ่ง คือ ถ้ามืดจะบอกเลิกสัญญาจ้างกับเขียว จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มืดได้บอกเลิกจ้างกับเขียวในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นการ บอกเลิกสัญญาจ้างก่อนถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างในวันที่ 14 มีนาคม 2559 กรณีนี้จึงถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญา ล่วงหน้า เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกสัญญากันในวันที่ 28 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป ดังนั้น เขียวจึงมีสิทธิทํางานจนถึงวันสุดท้าย คือ วันที่ 28 มีนาคม 2559 และมืดจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับเขียว ในวันที่ 14 มีนาคม 2559 เป็นเงิน 15,000 บาท และจ่ายค่าจ้างในวันที่ 28 มีนาคม 2559 อีก 15,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30,000 บาท หรือมืดจะจ่ายค่าจ้างให้แก่เขียวทั้งหมด 30,000 บาท แล้วให้เขียวออกจากงาน ในทันทีเลยก็ได้ตามมาตรา 582 วรรคสอง

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องจ้างทําของนั้น มาตรา 605 ได้กําหนดไว้ว่า ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยให้เสียค่าสินไหมทดแทนให้เพื่อความเสียหายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกรณีที่ กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ว่าจ้างเท่านั้น หารวมถึงผู้รับจ้างด้วยไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสดตกลงจ้างให้เหลืองก่อสร้างบ้านและอาคารเก็บรถยนต์ให้โดยตกลง จ่ายค่าจ้างเป็นงวดนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 ดังนั้น เมื่อการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ เหลืองได้สร้างบ้านให้เสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้สร้างอาคารเก็บรถยนต์ ผู้ที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้จึงมีเฉพาะแสด ผู้ว่าจ้างคนเดียวเท่านั้น ส่วนเหลืองไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้าง การที่เหลืองผู้รับจ้างบอกเลิกสัญญากับแสด โดยอ้างว่าจะสร้างเฉพาะบ้านให้แสดเท่านั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) เขียวต้องทํางานให้กับมืดจนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2559 และมืดจะต้องจ่ายเงินราค่าจ้างให้กับเขียวเป็นจํานวนรวมทั้งสิ้น 30,000 บาท

(ข) การกระทําของเหลืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าอาคารเก็บสินค้าของแดงมีกําหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่าอาคารมีข้อความสําคัญ คือ

ข้อ 5. “หากผู้เช่าเช่าครบกําหนด 5 ปี ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก 5 ปี โดยผู้เช่าต้อง ชําระค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท และผู้ให้เช่าต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าเช่าต่อภายใน วันที่ 31 มีนาคม 2559”

ข้อ 6. “ผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันสัญญาเช่าจากผู้เช่าไว้เป็นเงิน 500,000 บาท หากครบกําหนด สัญญาเช่า 5 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคม 2559 ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้กับผู้เช่าทั้งหมด โดยที่ผู้เช่าจะต้องไม่กระทําผิดสัญญาเช่าด้วย”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อขาวเช่าอาคารหลังนี้ได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายอาคารนี้ให้กับมืดโดยสัญญา ซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย ขาวจึงต้องส่งค่าเช่าให้กับมืดมาตลอดสัญญาเช่าครบ 5 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 ขาวจึงไปขอเช่าอาคารต่อไปอีก 5 ปีจากมืด และตกลงจะชําระค่าเช่าให้เดือนละ 120,000 บาท ตามข้อ 5. ที่เขียนไว้ในสัญญาเช่าและมืดตกลงยินยอมที่จะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี เช่นกัน ดังนั้นขาวจึงแจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวต่อไปอีกในวันที่ 30 มีนาคม 2559 แต่กลับถูกมืดปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี และขาวได้เรียกให้มืดคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้ขาว 500,000 บาท ตามสัญญาข้อ 6. เพราะขาวไม่เคยผิดสัญญาเลย มืดก็ปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินให้ขาวอีกเช่นกัน ให้วินิจฉัยว่า การปฏิเสธของมืดทั้ง 2 ประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารเก็บสินค้าระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกําหนดเวลา 5 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 5 ปี ตาม มาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากขาวเช่าอาคารหลังนี้ได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายอาคารหลังนี้ ให้กับมืด โดยสัญญาซื้อขายได้ทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีเช่นนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับ ขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใดตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ มืดจะต้องให้ขาวเช่าอาคารเก็บ สินค้าหลังนี้ต่อไปจนครบกําหนด 5 ปี

สําหรับข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5. ที่ว่า “หากผู้เช่าเช่าครบกําหนด 5 ปี ผู้ให้เช่าให้คํามั่น จะให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก 5 ปี โดยผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท และผู้ให้เช่าต้องไปจดทะเบียนการเช่า ให้ผู้เช่าเช่าต่อภายในวันที่ 31 มีนาคม 2559” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อสัญญาเช่าครบ กําหนด 5 ปี ขาวได้ไปขอเช่าอาคารต่อไปอีก 5 ปีจากมืด และตกลงจะชําระค่าเช่าให้เดือนละ 120,000 บาท และมืดได้ตกลงยินยอมที่จะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีเช่นกัน ดังนั้น เมื่อขาวได้แจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวต่อไปอีกในวันที่ 30 มีนาคม 2559 มืดจึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี การที่มืดปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีนั้น การปฏิเสธของมืดกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6. ที่ว่า “ผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันสัญญาเช่าจากผู้เช่าไว้ เป็นเงิน 500,000 บาท หากครบกําหนด สัญญาเช่า 5 ปี ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้กับผู้เช่าทั้งหมด โดยที่ผู้เช่าจะต้องไม่กระทําผิดสัญญาเช่าด้วย” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อขาวเช่าอาคารหลังนี้จนครบ 5 ปี และขาวไม่เคยกระทําผิด สัญญาเช่าเลยก็ตาม เมื่อขาวเรียกให้มืดคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้ขาว 500,000 บาท มืดย่อมสามารถปฏิเสธไม่ยอม คืนเงินให้แก่ขาวได้ ซึ่งการปฏิเสธของมืดในกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การปฏิเสธของมืดกรณีไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการปฏิเสธของมืดที่ไม่ยอมคืนเงินให้แก่ขาว 500,000 บาท นั้น ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2.

(ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่านั้น ม่วงได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเป็นเงินประกันความเสียหาย ไว้เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมทั้งม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือน เมื่อม่วงได้เข้าไปอยู่ ในบ้านเช่าแล้ว แต่ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดังนั้นในวันที่ 31 มีนาคม 2559 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันที โดยให้ม่วงส่งมอบ บ้านคืนในวันที่ 16 เมษายน 2559 การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่า กําหนดชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิก สัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท และม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือนนั้น เมื่อปรากฏว่าม่วงไม่ได้ชําระเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดังนี้ การที่ม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือนเเล้วนั้น ย่อมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่น้ำเงินแล้ว 2 เดือน คือเดือน มกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ (ส่วนเงินประกันสัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาท นั้น จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้) การที่ม่วงไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงินเลยย่อมถือว่าม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าในวันที่ 20 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นค่าเช่าของเดือนมีนาคม 2559 จึงมีผลทําให้น้ำเงินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้น น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาม่วง ไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าม่วงไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 ดังนั้น การที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันทีในวันที่ 31 มีนาคม 2559 โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนให้แก่น้ำเงินในวันที่ 16 เมษายน 2559 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนมีนาคม 2559 เพียงเดือนเดียว ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงงวดเดียว น้ำเงินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้นการที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. นายชาติชายมีอาชีพรับทํางานก่อสร้างอาคาร ได้ทําสัญญาจ้างนายตรี นายโท เป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2557 ตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน นายอุทัยได้มาทําสัญญาจ้างนายชาติชายให้ก่อสร้างอาคารเก็บสินค้า 2 อาคาร โดยตกลงราคาค่าก่อสร้างอาคารละ 2 ล้านบาท

(ก) นายชาติชายทําการก่อสร้างอาคารที่ 1 เสร็จเรียบร้อย และกําลังก่อสร้างอาคารที่ 2 ได้ครึ่งหนึ่ง นายอุทัยเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนักจึงบอกเลิกสัญญาก่อสร้าง แต่นายชาติชายเห็นว่าได้ก่อสร้างไปแล้วบอกเลิกไม่ได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายชาติชายเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงบอกเลิกสัญญาจ้างนายโททันทีในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยชําระสินจ้างให้ 15,000 บาท เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทัยได้ทําสัญญาจ้างให้นายชาติชายก่อสร้างอาคารเก็บสินค้า 2 อาคาร โดยตกลงราคาค่าก่อสร้างอาคารละ 2 ล้านบาทนั้น สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างคือ นายชาติชายตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้กับนายอุทัยผู้ว่าจ้าง และนายอุทัยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อปรากฏว่านายชาติชายได้ทําการ ก่อสร้างอาคารที่ 1 เสร็จเรียบร้อย และกําลังก่อสร้างอาคารที่ 2 ได้ครึ่งหนึ่ง นายอุทัยเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างกับนายชาติชาย ดังนี้ นายอุทัยย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่นายอุทัย ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่นายชาติชายด้วย ตามมาตรา 605 กล่าวคือ นายอุทัยจะต้องชําระสินจ้างให้นายชาติชายสําหรับอาคารที่ 1 เป็นเงิน 2 ล้านบาท และ สําหรับอาคารที่ 2 นั้น เมื่อได้ก่อสร้างไปแล้วครึ่งหนึ่ง นายอุทัยก็ต้องชําระสินจ้างให้นายชาติชายในส่วนซึ่งได้ ก่อสร้างไปแล้ว และต้องชําระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่ นายชาติชายด้วย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 ถ้าเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกําหนดเวลาแน่นอน สัญญานั้นย่อมระงับลงเมื่อครบกําหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างมิได้ทําผิดสัญญาตามกฎหมาย จ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ตกลงกันไว้ นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายได้ทําสัญญาจ้างนายตรีและนายโท เป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2557 ตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น ถือว่าเป็น สัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 เมื่อสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมีกําหนด 1 ปี จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มี กําหนดเวลาแน่นอน ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านายโทได้ทําผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงานหรือผิดสัญญา ตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่อย่างใด และการจ้างก็ยังไม่ครบกําหนด 1 ปี นายชาติชายจึงบอกเลิกสัญญาจ้างนายโททันที ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ไม่ได้

สรุป

(ก) นายอุทัยบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างได้ แต่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายชาติชายตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น (ข) นายชาติชายจะบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายโทไม่ได้

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสืออย่างเดียวให้ขาวเช่าอาคารเก็บสินค้าของแดงมีกําหนดเวลา 10 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือนเป็นค่าเช่าเดือนละ 500,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่า ขาวผู้เช่าได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเพื่อประกันความเสียหายที่เกิดจากการผิดสัญญาเช่าเป็นเงินหนึ่งล้านบาท โดยผู้ให้เช่าตกลงคืนเงินประกันให้กับผู้เช่าเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าและไม่ทําผิดสัญญาเช่าต่อผู้ให้เช่า ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขาวเช่าอาคารมาได้เพียง 1 ปีเท่านั้น แดงได้ยกอาคาร ที่เช่าซึ่งเป็นของแดงหลังนี้ให้กับมืดบุตรบุญธรรมของแดง การให้ได้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาว ได้เช่าอาคารนี้มาจนถึงปีที่ 4 ซึ่งตรงกับปี 2558 นี้ โดยขาวไม่เคยทําสัญญาเช่าฉบับใหม่กับมืดเลย ครั้นถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 มืดไม่ประสงค์ให้ขาวเช่าอาคารหลังนี้ มืดจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับ ขาวโดยที่ขาวมิได้กระทําผิดสัญญาและมืดบอกให้ขาวออกจากอาคารที่เช่านี้ในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ขาวจึงเรียกเอาเงินประกันสัญญาคืนจากมืดหนึ่งล้านบาท จงวินิจฉัยว่า

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ขาวมีสิทธิเรียกเอาเงินประกันสัญญาหนึ่งล้านบาทคืนจากมืดได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารเก็บสินค้าซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนด 10 ปี ได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสืออย่างเดียวโดยไม่จดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย แต่จะใช้ฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538 และเมื่อขาวได้เช่าอาคารมาได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกอาคารที่เช่าดังกล่าวให้แก่มืดบุตรบุญธรรมของแดง โดยการให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่าด้วย กล่าวคือ มืดจะต้องให้ขาวเช่าอาคารนั้นต่อไปอีก 2 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง

ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้เช่าอาคารจนครบ 3 ปีแล้ว ขาวยังได้เช่าอาคารมาถึงปีที่ 4 โดย ขาวไม่เคยทําสัญญาเช่าฉบับใหม่กับมืดเลย ดังนี้ย่อมถือว่าขาวและมืดได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่ และเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 โดยสิทธิและหน้าที่เป็นไปตามสัญญาเดิม

และเมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา มืดย่อมบอกเลิกสัญญาเช่าได้แม้ขาวจะมิได้กระทําผิดสัญญา ทั้งนี้ตามมาตรา 566 แต่การที่มืดได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้ขาวออกจากอาคารที่เช่าในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 นั้น ย่อมถือเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบตามมาตรา 566 เพราะตามกฎหมายการที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 30 กันยายน 2558 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นวันชําระค่าเช่า และมืดจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัว และให้ขาวอยู่ในอาคารจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งเป็นช่วงกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าเดิมที่ระบุว่า ผู้ให้เช่าตกลงคืนเงินประกันจํานวน 1 ล้านบาท ให้กับผู้เช่าเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่านั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ซึ่งมิใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้นขาวจะเรียกเอาเงินประกันดังกล่าวคืนจากมืดไม่ได้

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ขาวไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินประกันสัญญาหนึ่งล้านบาทคืนจากมืด

 

ข้อ 2.

(ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2557 นั้น ม่วงได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเป็นเงินประกัน ความเสียหายไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ม่วงได้อยู่ในบ้านเช่าและได้ชําระค่าเช่าให้ตามปกติ มาตลอด แต่ปรากฏว่าในปี 2558 ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม 2558 ดังนั้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันที โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ และน้ำเงินจะเรียกให้ม่วงชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ชําระนี้ทั้งหมดได้หรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า มีกําหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชําระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระไม่น้อยกว่า 15 วันจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่างน้ำเงินกับม่วงมีการตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน ดังนั้นเมื่อม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม 2558 น้ำเงินย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่ถ้าน้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่า น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาม่วงไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าม่วงไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ (ตามมาตรา 560) ดังนั้น การที่น้ำเงินบอกเลิก สัญญาเช่ากับม่วงทันทีในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 การบอกเลิก สัญญาเช่าของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเงินประกันสัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาทนั้น จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนตุลาคม 2558 เพียงเดือนเดียว ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงงวดเดียว น้ำเงินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ มีสิทธิก็แต่เพียงเรียกให้ม่วงชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างเท่านั้น ดังนั้นการที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 574 วรรคแรก

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่น้ำเงินมีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ม่วงยังไม่ชําระได้

 

ข้อ 3.

(ก) นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิจิตรเป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 มีข้อตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีนักนายอุทัย ได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายพิจิตรในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้ออกจากงานในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายเจริญทําสัญญาจ้างนายชัยชนะซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงให้ดําเนินการเร่งรัดหนี้สินจากนายมนูญเป็นจํานวนเงิน 4 ล้านบาท โดยตกลงจะให้สินจ้าง 500,000 บาท นายชัยชนะได้ ดําเนินการเร่งรัดหนี้สินจากนายมนูญได้เป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท ก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน บาดเจ็บสาหัส กลายเป็นคนพิการไม่สามารถทําการต่อไปได้ เช่นนี้ นายเจริญจะต้องชําระสินจ้างให้แก่นายชัยชนะหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิจิตรเป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2557 นั้น สัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลงนายพิจิตรก็ยังคงทํางานต่อไปโดยนายอุทัยก็ไม่ได้ทักท้วง ดังนี้ตามมาตรา 581 ให้ สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยมีข้อตกลงเป็นอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และเป็นสัญญาที่ ไม่มีกําหนดเวลา ดังนั้น ถ้ามีการบอกเลิกสัญญาจ้างก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 582

เมื่อในสัญญาจ้างได้ตกลงกันว่าจะจ่ายสินจ้างทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ดังนั้น การที่นาย อุทัยได้บอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้นายพิจิตรออกจากงานในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 จึงไม่ถูกต้อง เพราะการบอกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าว ถือว่าเป็นการบอกกล่าวก่อนในการจ่ายสินจ้างของวันที่ 25 ตุลาคม 2558 และเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญาจ้างเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ตามมาตรา 582 วรรคแรก

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 606 “ถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง และผู้รับจ้างตายก็ดี หรือตกเป็นผู้ไม่สามารถทําการที่รับจ้างนั้นต่อไปได้ด้วยมิใช่ความผิดของตนก็ดี ท่านว่าสัญญานั้น ย่อมเป็นอันสิ้นลง

ถ้าและการส่วนที่ได้ทําขึ้นแล้วนั้นเป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างไซร้ ท่านว่าผู้ว่าจ้างจําต้องรับเอาไว้ และใช้สินจ้างตามสมควรแก่ส่วนนั้น ๆ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญทําสัญญาจ้างนายชัยชนะ ซึ่งเป็นนักกฎหมายให้ดําเนินการ เร่งรัดหนี้สินให้นั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อนายชัยชนะเกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน บาดเจ็บสาหัสจนเป็นคนพิการตกเป็นผู้ไม่สามารถทําการที่รับจ้างนั้นต่อไปได้ ดังนี้ถือว่าสัญญาจ้างนั้นย่อมสิ้นสุด ลงตามมาตรา 606 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชัยชนะสามารถเร่งรัดหนี้สินได้เป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการที่ได้ทําขึ้นแล้ว และเป็นประโยชน์แก่นายเจริญผู้ว่าจ้าง นายเจริญจะต้องรับเอาไว้ และใช้สินจ้างตามสมควรแก่ส่วนนั้น ๆ ตามมาตรา 606 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อนายชัยชนะได้ทําสําเร็จแล้ว ครึ่งหนึ่งของการงาน นายเจริญจึงต้องใช้สินจ้างให้แก่นายชัยชนะเป็นจํานวนเงิน 250,000 บาท

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาจ้างนายพิจิตรของนายอุทัยไม่ถูกต้อง

(ข) นายเจริญจะต้องชําระสินจ้างให้แก่นายชัยชนะเป็นเงิน 250,000 บาท

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าที่ดินซึ่งแดงเป็นเจ้าของมีกําหนดเวลา 10 ปี ตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 25 ของแต่ละเดือน ขาวเช่าที่ดินของแดงมาจนถึง ปีที่ 5 โดยแดงและขาวมิได้ไปจดทะเบียนการเช่าหรือทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือฉบับใหม่อีกเลย และในสัญญาเช่าที่แดงและขาวตั้งแต่เริ่มเช่ายังมีข้อตกลงระบุว่า หากการเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าขาวเช่าที่ดินมาอย่างน้อย 3 ปี แดงตกลงจะให้ค่าขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินที่เช่าแก่ขาวเป็นเงิน หนึ่งแสนบาท ปรากฏว่าในปีที่ 5 นี้ ซึ่งตรงกับปี 2558 นี้ แดงได้ขายที่ดินให้กับม่วง การซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาโดยที่ขาวไม่ผิดสัญญาในวันที่ 31 มีนาคม 2558 และให้ขาวออกจาก ที่ดินในวันที่ 30 เมษายน 2558 แต่ขาวยังคงอยู่ในที่ดินจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนี้ ม่วงจึงฟ้องขับไล่แล้วเรียกที่ดินคืนจากขาวในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ให้วินิจฉัยว่า

ก. การกระทําของม่วงขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ข. ขาวจะเรียกให้ม่วงจ่ายเงินค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินเป็นเงินหนึ่งแสนบาทได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกําหนด เวลา 10 ปี ได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมาย แต่จะใช้บังคับกัน ได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538 และเมื่อปรากฏว่าขาวได้เช่าที่ดินของแดงมาจนถึงปีที่ 5 โดยแดงและขาวมิได้ ไปจดทะเบียนการเช่าหรือทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือฉบับใหม่เลย ย่อมถือว่าแดงและขาวได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่ ต่อไปโดยไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 และเมื่อแดงได้ขายที่ดินให้กับม่วงย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดง ผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยม่วงผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง

เมื่อสัญญาเช่าเป็นสัญญาที่ไม่มีกําหนดเวลา ม่วงจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 566 แต่ จะต้องบอกกล่าวให้ขาวได้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดระยะเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย เมื่อม่วงบอกเลิกสัญญาเช่า ในวันที่ 31 มีนาคม 2558 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าในวันชําระค่าเช่าคือวันที่ 25 เมษายน 2558 และมีผล เป็นการเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 ดังนั้นแม้ม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2558 และให้ขาวออกจากที่ดินในวันที่ 30 เมษายน 2558 จะเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าม่วงได้ฟ้องขับไล่ แล้วเรียกที่ดินคืนจากขาวในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเลยวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 มาแล้ว กรณีนี้จึงถือว่า การกระทําของม่วงชอบด้วยมาตรา 566

ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าเดิมที่ระบุว่า หากการเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าขาวเช่าที่ดิน มาอย่างน้อย 3 ปี แดงตกลงจะให้ค่าขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินที่เช่าแก่ขาวเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น เป็นเพียง สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ซึ่งไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าจึงไม่มีผลผูกพันม่วงผู้รับโอน ดังนั้น ขาวจะเรียกเงิน 100,000 บาท จากม่วงเพื่อเป็นค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินไม่ได้

สรุป

ก. การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมาย

ข. ขาวจะเรียกให้ม่วงจ่ายเงินค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินเป็นเงิน 100,000 บาทไม่ได้

 

ข้อ 2. (ก) แสดทําสัญญาเป็นหนังสือให้ดําเช่ารถยนต์ มีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2558 ดําได้จ่ายค่าเช่าให้กับแสดไว้ทั้งหมดเป็นเงิน 75,000 บาท (เจ็ดหมื่นห้าพันบาท) หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ดําไม่ชําระค่าเช่าให้กับแสดเลย ดังนั้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 แสดจึง บอกเลิกสัญญากับดํา และให้เวลาส่งรถยนต์คืนในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 ดังนี้ การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ แสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ และจะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ไม่ได้ชําระให้ทั้งหมดได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า มีกําหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้า ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชําระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระไม่น้อยกว่า 15 วันจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่ารถยนต์ระหว่างแสดและดํามีการตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน ๆ ละ 25,000 บาท และการที่ดําได้จ่ายค่าเช่าให้กับแสดไว้ ทั้งหมดเป็นเงิน 75,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2558 นั้น ถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่แสดแล้ว 3 เดือน คือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม และการที่ดําไม่ชําระค่าเช่าให้แก่แสดอีกจนถึงปัจจุบันก็เท่ากับว่าดําไม่ได้ ชําระค่าเช่าในวันที่ 20 เมษายน และ 20 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นค่าเช่าของเดือนเมษายน และพฤษภาคม 2558 ดังนั้น ถ้าแสดจะบอกเลิกสัญญาเช่า แสดจะต้องบอกกล่าวให้ดํานำค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาดําไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าดําไม่นําค่าเช่ามาชําระแสดจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ (ตามมาตรา 560) ดังนั้น การที่แสดบอกเลิก สัญญาเช่ากับดําในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 และให้เวลาดําส่งรถยนต์คืนในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 นั้น การบอกเลิก สัญญาเช่าของแสดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินขอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ดําผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2558 นั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น แสด ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 แต่จะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ ไม่ได้ชําระอีก 2 งวดเป็นเงิน 50,000 บาท ไม่ได้ ตามมาตรา 574 วรรคแรก

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อแสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แต่จะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชําระให้แก่แสดทั้งหมดไม่ได้

 

ข้อ 3. สัญญาจ้างระหว่างเขียวนายจ้างและเหลืองลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานทําบัญชีได้รับค่าจ้างทุก ๆ วันที่ 15 และวันสิ้นเดือน เป็นค่าจ้างคราวละ 10,000 บาท โดยตกลงจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2556 แต่เหลืองยังคงทํางานมาจนถึงปัจจุบันนี้ หากเหลืองบอกเลิกสัญญาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 เหลืองต้องทํางานไปอีกจนถึงวันที่เท่าใด และเหลืองจะได้รับค่าจ้างจากเขียวนับตั้งแต่วันบอกเลิก สัญญาถึงวันสุดท้ายของการทํางานเป็นเงินเท่าใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาจ้างระหว่างเขียวนายจ้างและเหลืองลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี และได้ ครบกําหนดแล้วในวันที่ 1 มีนาคม 2557 แต่เหลืองยังคงทํางานมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยเขียวนายจ้างก็ไม่ทักท้วงนั้น ตามมาตรา 581 ให้สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดเวลาโดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้ตามมาตรา 582 โดยการบอกกล่าว เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้าง คราวถัดไปข้างหน้า

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองบอกเลิกสัญญาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 นั้น ถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาก่อนถึงกําหนดจ่ายสินจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 จึงต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าว เลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นวันกําหนดจ่ายสินจ้างและจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้าง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ดังนั้นเหลืองจึงต้องทํางานต่อไปอีก จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 และเหลืองจะได้รับสินจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 15 มิถุนายน 2558 รวมเป็นเงิน 20,000 บาท ตามมาตรา 582

สรุป เหลืองจะต้องทํางานต่อไปอีกจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 และเหลืองจะได้รับค่าจ้าง จากเขียวในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 15 มิถุนายน 2558 รวมเป็นเงิน 20,000 บาท จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดง มีกําหนด 6 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2558 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่าอาคารมีข้อความสําคัญดังนี้ คือ

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าและผู้เช่าตกลงว่าค่าเช่าปีแรกผู้เช่าต้องชําระเดือนละ 50,000 บาท ส่วนค่าเช่าปีต่อ ๆ ไปต้องชําระเพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าเช่าเดิม”

ข้อ 6 “ถ้าครบกําหนดสัญญาเช่านี้แล้ว ผู้ให้เช่ายินยอมจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่า ๆ การ ต่อไปอีก 6 ปี แต่ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบภายในวันที่ 15 เมษายน 2558 และผู้ให้เช่าจะปฏิเสธไม่จดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าเช่ามิได้”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่า แดงได้ยกอาคารที่ขาวเช่านี้ให้กับม่วงพี่ชายบุญธรรมของแดงในปลายปี 2553 การยกให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ครั้นถึงปี 2554 ม่วงจึงเรียกค่าเช่าเพิ่มจากขาวอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าเช่าเดิม แต่ขาวปฏิเสธไม่ยอมตามความต้องการของม่วง อ้างว่าขาวไม่ผูกพันกับม่วงตาม สัญญาข้อ 5

ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด และถ้าหากขาวอยู่ในอาคารมาจนครบกําหนดเวลา 6 ปี ขาวแจ้งให้ม่วงไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ในวันที่ 1 เมษายน 2558 ม่วงปฏิเสธไม่ไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ดังนี้ ข้อปฏิเสธของม่วงที่ไม่ ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนดเวลา 6 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้ บังคับกันได้ 6 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า แดงได้ยกอาคารที่ขาวเช่านี้ให้กับม่วงพี่ชายบุญธรรมของแดงในปลายปี 2553 กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยม่วงผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาว ผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ม่วงจะต้องให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์นั้นต่อไปจนครบกําหนด 6 ปี ตามสัญญาเช่า

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในปี 2554 ม่วงได้เรียกเก็บค่าเช่าเพิ่มจากขาวอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าเช่าเดิม ดังนี้ ขาวย่อมไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของม่วงได้ เพราะขาวต้องผูกพันตามสัญญาเช่าข้อ 5 ซึ่งถือเป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง ที่ม่วงสามารถบังคับขาวได้ ดังนั้น ข้ออ้างของขาวที่ว่า ขาวไม่ผูกพันกับม่วงตามสัญญาข้อ 5 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6 ที่ว่า ถ้าครบกําหนดสัญญาเช่านี้แล้ว ผู้ให้เช่ายินยอมจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 6 ปี นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันม่วงผู้รับโอน ดังนั้น การที่ขาวอยู่ในอาคารมาจนครบกําหนดเวลา 6 ปี และ ได้แจ้งให้ม่วงไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ม่วงย่อมปฏิเสธไม่ไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวได้ ข้อปฏิเสธของม่วง ที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของขาวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้ออ้างของม่วงชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) แสดทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของแสด มีกําหนดเวลา 4 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 25 ของแต่ละเดือน เป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท แสดได้รับค่าเช่าล่วงหน้าในวันทําสัญญาเช่าเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อแสดส่งมอบรถยนต์ให้กับเหลือง เหลืองชําระค่าเช่ามาตลอด แต่เดือนพฤศจิกายน 2557 เหลืองขัดสนเงินจึงไม่ชําระค่าเช่าให้กับแสดจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้น ในวันที่ 2 เมษายน 2558 แสดจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันที เพราะเหตุที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าและให้เหลือง จ่ายค่าเช่าที่ค้างชําระให้ทั้งหมด และต้องส่งรถคืนให้แสดภายในวันที่ 15 เมษายน 2558

การบอกเลิกสัญญาของแสดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตาม (๑) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้แสดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 จนถึง เดือนมีนาคม 2558 นั้น เมื่อหักค่าเช่าออก 4 เดือน ที่เหลืองชําระล่วงหน้าไว้ ย่อมถือว่าเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่า เดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีผลให้แสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนด ชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน แสดจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามา ชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองยังไม่ยอมชําระอีกแสดจึง จะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้นการที่แสดบอกเลิกสัญญาทันทีในวันที่ 2 เมษายน 2558 และให้เหลืองส่งรถคืนให้แสดภายในวันที่ 15 เมษายน 2558 การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิแสดที่จะเรียกเอาค่าเช่าที่ค้างชําระจากเหลือง

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักค่าเช่าซื้อล่วงหน้าออก 4 เดือนแล้ว เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือ ในเดือนมีนาคม 2558 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันตามมาตรา 574 วรรคแรก ดังนั้น แสดจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 25,000 บาทได้ การที่แสดบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่ 2 เมษายน 2558 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

 

ข้อ 3. (ก) นายสุเทพได้รู้จักกับ น.ส.ปวีณา ซึ่งทําอาหารเก่ง จึงชักชวนให้มาทํางานเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารที่กรุงเทพฯ นายสุเทพได้ให้เงินค่าเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ โดยตกลงให้เป็นแม่ครัว 1 ปี ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ในระหว่างที่ เดินทางมาในรถโดยสารได้พบกับ น.ส.อรสา น.ส.ปวีณาจึงได้ชักชวนให้ไปทํางานเป็นแม่ครัวด้วยกัน โดยโทรศัพท์ตกลงกับนายสุเทพ เมื่อทํางานครบหนึ่งปีในวันที่ 31 มีนาคม 2558 น.ส.ปวีณา และ น.ส.อรสา ขอเงินค่าเดินทางกลับไปยังเชียงใหม่ แต่ น.ส.ปวีณาจะอยู่ช่วย ทํางานที่ร้านของพี่ชายที่กรุงเทพฯ ไปก่อน เช่นนี้ นายสุเทพจะต้องให้เงินค่าเดินทางขากลับแก่ น.ส.ปวีณา และ น.ส.อรสา หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายพินิจจะจัดงานมงคลสมรสกับ น.ส.นัยนา จึงได้ทําสัญญาจ้างนายสมบัติให้สร้างบ้านเรือนหอมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นงวด ๆ ตามความสําเร็จของงาน โดยนายพินิจได้แจ้งให้นายสมบัติทราบว่าต้องการจัดงานมงคลสมรสที่บ้านนี้ ในวันที่ 20 มกราคม 2558 แต่เมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปรากฏว่านายสมบัติสร้างบ้านไม่เสร็จ แต่จะเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เมื่อทราบเช่นนั้นก็เสียใจมาก จึงอ้าง สาระสําคัญของสัญญาจ้างว่าจะจัดงานมงคลสมรสในวันที่ 20 มกราคม 2558 เมื่อเสร็จไม่ทันเวลา ก็ขอเลิกสัญญา เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 586 “ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กําหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้างจําต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้ แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้ คือ

(1) สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทําหรือความผิดของลูกจ้าง และ

(2) ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุเทพได้จ้างนางสาวปวีณาจากจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นแม่ครัวที่กรุงเทพฯ โดยออกเงินค่าเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ ให้นั้น โดยหลักแล้ว เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงนายสุเทพ จะต้องออกเงินค่าเดินทางขากลับให้แก่นางสาวปวีณา เพราะถือเป็นกรณีที่นายจ้างได้จ้างลูกจ้างมาแต่ต่างถิ่น โดยนายจ้างได้ออกเงินค่าเดินทางให้ตามมาตรา 586 แต่เนื่องจากเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว นางสาวปวีณา จะอยู่ช่วยทํางานที่ร้านของพี่ชายที่กรุงเทพฯ จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างไม่กลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร ซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 586 (2) ดังนั้น นายสุเทพไม่จําต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้แก่ นางสาวปวีณา

ส่วนนางสาวอรสานั้น ไม่ใช่กรณีที่นายสุเทพได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นตามมาตรา 586 จึงไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางกลับไปเชียงใหม่แก่นางสาวอรสาแต่อย่างใด

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 596 “ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือถ้าไม่ได้กําหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น หากผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามกฎหมายมาตรา 596 กําหนดให้ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างลงได้ หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ผู้ว่าจ้างก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพินิจได้ทําสัญญาจ้างนายสมบัติให้สร้างบ้านเรือนหอให้นั้น ถือเป็นกรณีที่นายสมบัติตกลงจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายพินิจ และนายพินิจตกลงที่จะจ่าย สินจ้างให้นายสมบัติเพื่อผลสําเร็จของการที่ทํานั้น ดังนั้น สัญญาจ้างระหว่างนายพินิจกับนายสมบัติจึงเป็น สัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสมบัติสร้างบ้านไม่เสร็จตามกําหนดเวลาคือวันที่ 31 ธันวาคม 2557 นายสมบัติย่อมต้องรับผิดตามมาตรา 596 คือ นายพินิจผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่ต้องจ่ายลงได้ และถ้าสาระสําคัญของสัญญาสร้างบ้านเรือนหออยู่ที่เวลา นายพินิจก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้

จากข้อเท็จจริง แม้นายพินิจจะกําหนดเวลาที่จะจัดงานมงคลสมรสในวันที่ 20 มกราคม 2558 ก็มิใช่กรณีที่สาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลาตามมาตรา 596 อันจะทําให้นายพินิจมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายพินิจขอเลิกสัญญากับนายสมบัติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นายพินิจชอบที่จะเรียกร้องให้ลดสินจ้างลงด้วยเหตุที่นายสมบัติส่งมอบการที่ทําล่าช้าตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

สรุป

(ก) นายสุเทพไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางขากลับแก่นางสาวปวีณาและนางสาวอรสา

(ข) การขอเลิกสัญญาของนายพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นายพินิจชอบที่จะเรียกร้องให้ลดสินจ้างลงด้วยเหตุที่นายสมบัติส่งมอบการที่ทําล่าช้าได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!