LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือน ในระยะเวลายืมนั้น นายแดงได้ขับรถยนต์ไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุด และถูกนายเขียวขับรถยนต์ บรรทุกเข้ามาชนเสียหาย โดยเป็นความผิดของนายเขียวต้องซ่อม คิดเป็นเงินทั้งหมด 20,000 บาท เมื่อนายขาวทราบ จึงบอกเลิกสัญญาเรียกรถยนต์คืน และให้ชําระค่าซ่อม นายแดงคืนรถยนต์แต่ ไม่ยอมชําระค่าซ่อม นายขาวจึงฟ้องศาลให้นายแดงรับผิดค่าซ่อมภายในอายุความ นายแดงต่อสู้ ว่าตนไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือนนั้น สัญญายืมรถยนต์ระหว่างนายแดงและนายขาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตาม มาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 นายแดงผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับนายขาว คือ เอามาใช้ขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแดงได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุดและถูก นายเขียวขับรถยนต์บรรทุกเข้ามาชนเสียหายนั้น แม้จะเป็นความผิดของนายเขียวก็ตาม แต่เมื่อนายแดงได้ประพฤติผิด หน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 กล่าวคือ นายแดงได้นําทรัพย์สินที่ยืมไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากการอัน ปรากฏในสัญญา ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับทรัพย์สินที่ยืม นายแดงผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่ เกิดขึ้นนั้น คือต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมทั้งหมดจํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาวตามมาตรา 643

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายแดงรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์จํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาว

 

ข้อ 2. นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ ระยะนี้เงินไม่พอใช้ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดงพร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย หลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา ข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก….” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียนจดหมายไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 นั้นด้วย ต่อมาปรากฏว่าเมื่อนายดําทวงเงิน 20,000 บาท นั้น จากนายแดง นายแดงปฏิเสธการชําระหนี้ นายดําจึงนําความฟ้องร้องยังศาลโดยมีจดหมาย 2 ฉบับ นั้นเป็นหลักฐาน ในชั้นศาลนายแดงต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ยืม ถ้าท่านเป็นศาลจะตัดสินอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดี ในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ

1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนี้ ต้องมีสาระสําคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกันและต้องมี ข้อความที่แสดงให้เห็นว่าได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่กันแล้วด้วย ซึ่งข้อความอันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จําเป็นว่า จะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลาย ๆ ฉบับก็ได้ เมื่อนําเอาเอกสารเหล่านั้น มาอจนประกอบเข้าด้วยกัน หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว ย่อมถือว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่ง การกู้ยืมได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยมีข้อความในจดหมาย ตอนหนึ่งว่า “ระยะนี้เงินไม่พอใช้ ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดง พร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย และหลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก…” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียน จุดหมายไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 ด้วยนั้น จะเห็นได้ว่าจดหมายของนายแดงถึงนายดําทั้ง 2 ฉบับนั้น ถ้าอ่านเพียง ฉบับใดฉบับหนึ่ง จะไม่แสดงถึงการกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท แต่อย่างใด แต่ถ้าอ่านรวมกันแล้วจะได้ใจความ ว่านายแดงขอกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท จากนายดํา และนายดําได้ส่งมอบเงินจํานวน 20,000 บาท ให้กับ นายแดงแล้ว และนายแดงได้รับเงินจํานวนดังกล่าวแล้ว อีกทั้งในจดหมายทั้ง 2 ฉบับ ก็ได้มีการลงลายมือชื่อ ของนายแดงไว้แล้วด้วย ดังนั้น นายดําจึงสามารถใช้จดหมายทั้ง 2 ฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเพื่อ ฟ้องร้องบังคับให้นายแดงคืนเงินที่กู้ยืมไปจํานวน 20,000 บาท คืนให้แก่ตนได้ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะตัดสินให้นายแดงชําระเงินคืนให้นายดําจํานวน 20,000 บาท

 

 

ข้อ 3. นางสาวนิดเดินทางไปธุระที่ลพบุรี พร้อมกับหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ ไปถึงก็ตรงไปพักที่โรงแรมแสนสบายเจ้าของโรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรมประกาศ นั้นมีใจความว่าทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของ ผู้มาพัก ไม่ว่าในกรณีใด ๆ นางสาวนิดอ่านประกาศแล้วก็หัวเราะไม่พูดว่ากระไร คงลงชื่อเข้าพักไป ตามปกติ ระหว่างที่พักอยู่นั้น หน่อยได้ขโมยนาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดพาหนีไป อยากทราบว่าเจ้าของโรงแรมจะต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาของนางสาวนิดแค่ไหน หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

แต่อย่างไรก็ตาม หากความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือ เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือ บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ เจ้าสํานักย่อมไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (มาตรา 675 วรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวนิดและหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ได้เข้าไปพักที่โรงแรม และเจ้าของ โรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรม โดยประกาศนั้นมีใจความว่า ทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้มาพักไม่ว่ากรณีใด ๆ นั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางโรงแรมทําขึ้นฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่านางสาวนิดได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งใน การยกเว้นความรับผิดนั้น ข้อความในเอกสารหรือในประกาศนั้นจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 677 ดังนั้น ทางเจ้าสํานัก โรงแรมจึงยังคงต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้ที่มาพักในโรงแรมนั้น

แต่อย่างไรก็ดี การที่นาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดได้หายไปนั้น เป็นเพราะถูก หน่อยคนใช้ของนางสาวนิดลักไป จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์สินของคนเดินทางที่เข้าพักยังโรงแรมได้สูญหายไป เพราะบริวารของเขาเอง ดังนั้น เจ้าของโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 675 วรรคสาม

สรุป เจ้าของโรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาให้แก่นางสาวนิด

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้โดยไม่ได้บอกว่าจะเอาไปใช้อย่างไร และปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืน ขณะที่ดอกดินใช้อยู่นั้นมีชะเมาขโมยยางอะไหล่ไป ดังนี้ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาให้ดอกดินนํารถมาคืนและชดใช้ราคายางให้กับตนได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญชนจะพึงสงวนทรัพย์สิน ของตนเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืม จะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้โดยไม่ได้บอกว่าจะเอาไปใช้ อย่างไร และปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 และเป็นสัญญายืมที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ดังนั้น ปลวกแดงผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิจะเรียกคืน เมื่อไหร่ก็ได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะที่ดอกดินใช้รถยนต์อยู่นั้นมีชะเมาขโมยยางอะไหล่ไป ดังนี้ ปลวกแดงย่อมสามารถ บอกเลิกสัญญาและเรียกให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง ส่วนกรณียางอะไหล่ที่ถูกขโมยไปนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าดอกดินผู้ยืมได้เอารถยนต์ไปใช้ไม่ถูกต้องตามมาตรา 643 หรือไม่สงวนทรัพย์สินที่ยืมตามมาตรา 644 แต่อย่างใด ดังนั้นปลวกแดงจะเรียกให้ดอกดินชดใช้ราคายางให้กับตนไม่ได้

สรุป

ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาและให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ แต่จะให้ ดอกดินชดใช้ราคายางให้กับตนไม่ได้

 

ข้อ 2 นายไก่ขอยืมเงินนายไข่เป็นเงิน 20,000 บาท โดยทําเป็นหนังสือ ต่อมาเมื่อถึงเวลากําหนดชําระหนี้นายไก่ไม่มีเงินชําระหนี้ แต่มีทองหนัก 1 บาท ราคาในเวลาที่ส่งมอบคือ 20,000 บาทถ้วน โดยนายไก่ ได้ชําระหนี้ไปโดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ดังนี้ หากนายไข่ต้องการจะให้นายไก่ชําระหนี้ใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 656 “ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น แทนจํานวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชําระโดยจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือ ทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ

ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชําระหนี้ แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชําระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของ หรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ได้ยืมเงินจากนายไข่ไปเป็นเงิน 20,000 บาท โดยได้ทําเป็นหนังสือนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างนายไก่กับนายไข่ย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตาม มาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 653 วรรคสอง นั้น ในกรณีที่การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในการนําสืบ อันจะสามารถนําสืบได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายไก่ได้ชําระหนี้ให้แก่นายไขโดยการส่งมอบทองหนัก 1 บาท และ ราคาในเวลาที่ส่งมอบคือ 20,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นการชําระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงิน และ เมื่อนายไข่ผู้กู้ยืมยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว หนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวย่อมระงับไปตามมาตรา 656 นายไข่จะให้นายไก่ ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้ แม้ว่าการชําระหนี้ด้วยทองของนายไก่จะไม่มีหลักฐานการคืนอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 653 วรรคสองก็ตาม เพราะการชําระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงินตามมาตรา 656 นั้น ไม่อยู่ ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด

สรุป

นายไข่จะให้นายไก่ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้

 

ข้อ 3 นางสาวนิดหน่อยเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ขณะเข้าพักได้วางกระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์จากประเทศฝรั่งเศส ราคาใบละ 40,000 บาท วางไว้ในห้องพักและออกไปซื้อของใช้ส่วนตัว ที่ร้านค้าสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม เมื่อกลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้งหนึ่งจึงพบว่ากระเป๋าถือ ยี่ห้อหลุยส์ได้ถูกขโมยไป นางสาวนิดหน่อยจึงรีบแจ้งนายอาทิตย์เจ้าสํานักโรงแรมทราบทันที ให้ท่าน วินิจฉัยว่า นายอาทิตย์จะต้องชดใช้ต่อนางสาวนิดหน่อยในการที่กระเป๋าถือดังกล่าวถูกขโมยไปหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้ แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ กระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์จากประเทศฝรั่งเศสของนางสาวนิดหน่อยที่ถูกขโมย ไปนั้น แม้จะมีราคา 40,000 บาท ก็ถือว่าเป็นของใช้ธรรมดาสามัญทั่วไปจึงเป็นทรัพย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปตามมาตรา 675 วรรคหนึ่ง มิใช่ของมีค่าอื่น ๆ ตามมาตรา 675 วรรคสอง และเมื่อนางสาวนิดหน่อยพบว่ากระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์ ได้ถูกขโมยไป นางสาวนิดหน่อยก็ได้รีบแจ้งให้นายอาทิตย์เจ้าสํานักโรงแรมทราบทันทีแล้ว ดังนั้น นายอาทิตย์จะต้อง รับผิดชดใช้ให้แก่นางสาวนิดหน่อยตามราคาทรัพย์ที่สูญหายไปคือเป็นเงิน 40,000 บาท

สรุป

นายอาทิตย์จะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่นางสาวนิดหน่อยจํานวน 40,000 บาท

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 วารินยืมรถตู้ของอํานาจเพื่อนําไปทํารถรับขนคนโดยสารมีกําหนด 6 เดือน โดยไม่ได้แจ้งให้อํานาจทราบว่าจะเอาไปใช้อย่างไร แต่วารินนํารถตู้ที่ยืมมาให้ผาแต้มเช่าขับรับคนโดยสาร ผ่านไป 2 เดือนอํานาจรู้ถึงการกระทําของวาริน ดังนี้ อํานาจเรียกรถตู้คืนจากวารินได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วารินยืมรถตู้ของอํานาจไปทํารถขับรับคนโดยสารมีกําหนด 6 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 วารินผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถตู้ตามที่ ตกลงไว้กับอํานาจ คือ เอาไปทํารถรับขนคนโดยสาร

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืมคืน ทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้ เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วารินได้นํารถตู้ไปให้ผาแต้มเช่าขับรับคนโดยสาร กรณีนี้จึงถือว่า วาริน ได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แล้ว คือ เป็นการนําทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ดังนั้น อํานาจผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือ บอกเลิกสัญญาและเรียกรถตู้คืนจากวารินได้แม้จะยังไม่ครบกําหนด 6 เดือนก็ตาม

สรุป

อํานาจสามารถเรียกรถตู้คืนจากวารินได้

 

ข้อ 2. นายกิ่งยืมเงินนายขิงเป็นเงิน 2,000.01 บาท โดยทําเป็นหนังสือเขียนด้วยลายมือของตนว่า “ข้าพเจ้านายกิ่ง นามสกุลไผ่สีทอง ได้ยืมเงินนายขิงเป็นจํานวนเงิน 2,000.01 บาท และจะให้ดอกเบี้ยจํานวน ร้อยละ 15.01 ต่อปี” ซึ่งหนังสือกู้ยืมดังกล่าวนายกิ่งเขียนด้วยลายมือชื่อตนเองเท่านั้น ไม่ได้มี ลายเซ็น ต่อมานายกิ่งได้นําเงินไปคืนนายขิงจํานวน 2,000.01 บาท โดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ส่วนดอกเบี้ยนั้นนายกิ่งได้พูดกับนายขิงว่ายังไม่มี เดือนหน้าจะให้ ดังนี้ การคืนเงินของนายกิ่งมีผล เป็นอย่างไร สมบูรณ์หรือไม่เพียงใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

ตามอุทาหรณ์

การที่นายกิ่งยืมเงินนายขิงเป็นเงิน 2,000.01 บาท ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทนั้น เมื่อนายกิ่งได้ทําเป็นหนังสือแต่ไม่ได้เซ็นชื่อท้ายสัญญากู้ยืมเงิน ถือว่าการกู้ยืมเงินระหว่างนายกิ่ง และนายจึงมีผลสมบูรณ์ เพียงแต่จะนําไปฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้เท่านั้น

เมื่อการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 653 วรรคสอง กล่าวคือเมื่อนายกิ่งลูกหนี้ได้นําเงินไปคืนให้แก่นายชิง การคืนเงินของนายกิ่งก็มีผลสมบูรณ์ แม้จะไม่มี หลักฐานการคืนเงินใด ๆ เพราะนายกิ่งไม่จําต้องนําสืบถึงการใช้เงินตามกรณีพิบัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด

สําหรับดอกเบี้ยซึ่งนายกิ่งตกลงว่าจะจ่ายให้แก่นายชิงในอัตราร้อยละ 15.01 ต่อปี ซึ่งเกินกว่า ร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 654 ในส่วนดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด (ตามมาตรา 654 ประกอบ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา)

สรุป

การคืนเงินของนายกิ่งจํานวน 2,000.01 บาท มีผลสมบูรณ์ ส่วนดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทั้งหมด

 

ข้อ 3 นายดําเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ขณะลงทะเบียนเข้าพักนายดํากรอกชื่อที่อยู่และเซ็นชื่อของผู้เข้าพักลงในใบลงทะเบียน และปรากฏว่าข้อความในใบลงทะเบียนดังกล่าวว่า “โรงแรมจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สิน สิ่งของมีค่า หรือธนบัตรซึ่งอาจเกิดการสูญหาย” ต่อมาใน ระหว่างนายดําพักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ รถยนต์ของนายดําที่จอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรม ถูกขโมยไป นายดําแจ้งต่อนายขาวผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมทราบทันที และขอให้นายเหลืองผู้เป็นเจ้าสํานักชดใช้เงินจํานวน 300,000 บาท ตามราคารถยนต์ที่หายไปคืนหากนายเหลืองไม่สามารถ ติดตามรถยนต์มาคืนแก่นายดําได้ นายเหลืองต่อสู้ว่านายดําได้รับทราบข้อความยกเว้นความรับผิด ของโรงแรมแล้ว และเซ็นชื่อไว้ในใบลงทะเบียนเข้าที่พัก จึงไม่สามารถเรียกร้องให้เจ้าสํานักรับผิดได้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของโรงแรมรับฟังได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลาย ที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น เพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675 วรรคแรก ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อรถยนต์ของนายดําแขกอาศัยที่จอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรมถูกขโมยไป และนายดํา ได้แจ้งต่อนายขาวผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมทราบทันที นายเหลืองผู้เป็นเจ้าสํานักจึงต้องรับผิดต่อนายดําใน ความสูญหายของทรัพย์สินดังกล่าว

สําหรับความรับผิดของนายเหลืองเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อทรัพย์สินของนายดํานั้น เมื่อ รถยนต์เป็นทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไป แม้จะมีราคาสูงก็มิใช่ของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้น นายเหลือง เจ้าสํานักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อนายดําเต็มตามราคาทรัพย์สินที่สูญหายไปคือ 300,000 บาท

ส่วนข้อต่อสู้ของโรงแรมเรื่องที่นายดํากรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ และเซ็นชื่อในใบลงทะเบียน เข้าพัก และในใบลงทะเบียนดังกล่าวมีข้อยกเว้นความรับผิดในเรื่องการสูญหายของทรัพย์สินมีค่าหรือธนบัตร ปรากฏอยู่ด้วยนั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่โรงแรมทําขึ้นฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่านายดําได้ตกลงด้วย โดยชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดนั้น ข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 677 นายเหลืองผู้เป็น เจ้าสํานักจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด ข้อต่อสู้ของโรงแรมจึงรับฟังไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของโรงแรมรับฟังไม่ได้

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้ ปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืนขณะที่ดอกดินใช้อยู่นั้นมีชะเมาน้องชายของดอกดินแอบมาขโมยเอารถยนต์คันดังกล่าวไปใช้งาน โดยที่ดอกดินไม่ทราบเรื่อง ดังนี้เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาให้ดอกดิน นํารถมาคืนให้กับตนได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคล อีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอย เสร็จแล้ว”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืม จะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมรถยนต์ระหว่างดอกดินกับปลวกแดงเป็นสัญญายืมใช้คงรูป ตามมาตรา 640 และเมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใด อีกทั้งไม่ได้ตกลงกันว่าจะคืนเมื่อใด ปลวกแดง ผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะที่ดอกดินใช้รถยนต์อยู่นั้น ชะเมาน้องชายของดอกดินแอบมา ขโมยเอารถยนต์คันดังกล่าวไปใช้งาน ดังนี้ เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาและ เรียกให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง แม้ว่าดอกดินจะมิได้ประพฤติผิดหน้าที่ ของผู้ยืมก็ตาม (ดอกดิน ม่ทราบเรื่องที่ชะเมาแอบมาขโมยรถยนต์ไปใช้งาน)

สรุป

เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาและให้ดอกดินนํารถมาคืนให้กับตนได้

 

ข้อ 2 ทัพมาขอยืมข้าวสารจากสามย่านไปสองพันกิโลกรัมราคาตามท้องตลาดในวันที่ส่งมอบกันนั้นมีราคาทั้งสิ้นแปดหมื่นบาท กําหนดเวลายืมหนึ่งปี และตอนส่งคืนนั้นทัพมาต้องนําข้าวสารส่งคืนทั้งหมด สามพันกิโลกรัม เมื่อถึงกําหนดส่งคืนทัพมาไม่นําข้าวสารมาคืนให้กับสามย่าน ดังนี้เมื่อสามย่าน ฟ้องศาล เพื่อขอให้ศาลบังคับทัพมานําข้าวสารมาคืนจํานวนสามพันกิโลกรัม ทัพมาต่อสู้ว่าข้าวสาร ที่ยืมไปนั้นมีราคาเกินกว่าสองพันบาทไม่มีการทําหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทัพมา จึงไม่อาจบังคับคดีกันได้ และค่าตอบแทนที่กําหนดกันไว้นั้นสูงเกินร้อยสิบห้าต่อปีย่อมตกเป็นโมฆะ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของทัพมารับฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 650 สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาชนิดหนึ่งซึ่งต้องมีผู้ให้ยืม ผู้ยืม และทรัพย์สินที่ยืมโดยการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืม ซึ่งทรัพย์สินนั้นจะต้องเป็นทรัพย์สินประเภทที่ใช้ สิ้นเปลืองไปโดยกําหนดเป็นปริมาณ จํานวน ชนิด เช่น เงิน ข้าวสาร เป็นต้น ดังนี้ ผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สิน ประเภทเดียวกันหรือชนิดเดียวกันแก่ผู้ให้ยืม และต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม สัญญาจึงจะบริบูรณ์

ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงินจึงถือเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง แต่สัญญายืมใช้ สิ้นเปลืองหาใช่สัญญากู้ยืมเงินอย่างเดียวไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมข้าวสารระหว่างทัพมากับสามย่านเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ตามมาตรา 650 หาใช่สัญญากู้ยืมเงินที่จะต้องทําตามแบบที่กฎหมายกําหนดแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น แม้มูลค่า ของข้าวสารที่ยืมกันจะมีราคาเกินกว่าสองพันบาทก็ตาม ก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคแรก ในอันจะต้อง มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทัพมาผู้ยืม อีกทั้งผลประโยชน์ที่เรียกกัน (ข้าวสารหนึ่งพันกิโลกรัม) ก็มิใช่ดอกเบี้ยแต่อย่างใด มิได้อยู่ในบังคับของมาตรา 654 เช่นกัน ข้อต่อสู้ของทัพมาที่ว่าข้าวสารที่ยืมไปนั้น มีราคาเกินกว่าสองพันบาทไม่มีหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทัพมา จึงไม่อาจบังคับคดีกันได้ และ ค่าตอบแทนที่กําหนดกันไว้นั้นสูงเกินร้อยละสิบห้าต่อปีย่อมตกเป็นโมฆะจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของทัพมารับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3 เจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดหรือไม่ อย่างไร ต่อชีวิตร่างกายหรือทรัพย์ของคนเดินทางที่ถูกทําร้ายหรือถูกลักไปในโรงแรม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวน สินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและ ได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝาก ไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ตาม หากความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือ เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือ บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ เจ้าสํานักย่อมไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (มาตรา 675 วรรคสาม)

ดังนั้น จากหลักกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดแล้ว เจ้าสํานัก โรงแรมจะต้องรับผิดต่อทรัพย์สินของคนเดินทางที่ถูกสักหรือสูญหายไปในโรงแรมเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดต่อคน เดินทางที่ถูกทําร้ายในโรงแรมแต่อย่างใด เพราะหามีกฎหมายใดบัญญัติให้เจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดไม่

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมบ้านของปลาดาวทั้งหลังเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ปลาม้าพานางสาวสุดสวยภริยาไปอยู่ด้วยกันระหว่างนั้นเกิดน้ำท่วมทั้งตําบลเป็นเวลาสองเดือนทําให้บ้านที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซม เป็นเงินห้าหมื่นบาท ดังนี้ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 8 “คําว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติที่ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะและภาวะเช่นนั้น”

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปและมีผล สมบูรณ์ตามมาตรา 640 และมาตรา 641 ซึ่งปลาม้าผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยบ้านของปลาดาวทั้งหลัง เป็นที่อยู่อาศัยตามสิทธิของผู้ยืม แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย

จากข้อเท็จจริง การที่ปลาม้าได้พานางสาวสุดสวยภริยาไปอยู่ด้วยกันนั้น ไม่ถือว่าเป็นการ ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แต่อย่างใด เพราะมิใช่เป็นการเอาทรัพย์สินไปใช้เป็นการอย่างอื่น หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย และในระหว่างที่ยืมอยู่ได้เกิดน้ําท่วมเป็นเวลาสองเดือนนั้น การที่น้ำท่วมถือ เป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น การที่บ้านหลังดังกล่าวได้รับความเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาทนั้น ปลาม้าผู้ยืม จึงไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายนั้น ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านไม่ได้

สรุป

ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านไม่ได้

 

ข้อ 2 นายไชโยน้องชายแท้ ๆ ของนายอิสระชัยได้ขอยืมเงินพี่ชายของตนเป็นจํานวน 4,000 บาท โดยได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้ และได้มีข้อกําหนดในสัญญาว่านายไชโยจะผ่อนส่งหนี้ให้เดือนละ 400 บาท เป็นจํานวน 10 ครั้ง พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15.01 บาท ต่อปีให้กับพี่ชายของตนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ต่อมานายอิสระชัยพี่ชายแอบแปลงสัญญาเงินกู้โดยเติมตัวเลข 2 ใส่ข้างหน้าจํานวนเงินกู้เดิม จาก 4,000 บาท เป็น 24,000 บาท ดังนี้นายไชโยลูกหนี้ต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไชโยได้ยืมเงินจากพี่ชายของตนจํานวน 4,000 บาท โดยได้ทํา หลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้นั้น การกู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตาม มาตรา 650 และ 653 วรรคแรก ส่วนที่ได้มีการกําหนดดอกเบี้ยกันไว้ในอัตราร้อยละ 15.01 บาทต่อปีนั้น ถือว่า ในส่วนดอกเบี้ยเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะเกินร้อยละ 15 ต่อปี (มาตรา 654) ดังนั้น ในส่วนดอกเบี้ย จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมดใช้บังคับไม่ได้ นายไชโยลูกหนี้จึงต้องจ่ายคืนเฉพาะเงินต้นคือ 4,000 บาทเท่านั้น ส่วนการที่มีการแก้ไขหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นก็ไม่มีผลต่อนายไชโยลูกหนี้ เพราะถือว่าอย่างไรลูกหนี้ก็จะต้องรับผิด เฉพาะในจํานวนเงินเพียง 4,000 บาทที่ตนได้ยืมมาเท่านั้น

สรุป

นายไชโยลูกหนี้ต้องรับผิดตามสัญญาการกู้ยืมดังกล่าว โดยจะต้องรับผิดเพียงจํานวน เงินที่กู้ยืมคือ 4,000 บาทเท่านั้น

 

ข้อ 3 ดําเข้าที่พักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครซึ่งมีแดงเป็นเจ้าสํานัก และผู้จัดการโรงแรมหลังจากลงทะเบียนเข้าพักและเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บในห้องแล้วดําออกไปธุระข้างนอก กลับมาอีกครั้ง ในตอน 23.00 นาฬิกา และพบว่าอาวุธปืน 1 กระบอก ราคา 8,000 บาท หายไปจากกระเป๋าเสื้อผ้า ดําเห็นว่าดึกมากแล้วจึงไม่ได้แจ้งต่อแดงให้ทราบเรื่องที่อาวุธปืนถูกขโมยไป ต่อมาตอนรุ่งเช้า เมื่อ กินอาหารเช้าเสร็จตอน 09.00 นาฬิกา ดําจึงแจ้งให้แดงทราบว่าเมื่อคืนมีขโมยมาขโมยปืนราคา 8,000 บาท ไป ขอให้แดงผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมชดใช้ในความเสียหายนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ความรับผิด ของเจ้าสํานักโรงแรมว่าต้องรับผิดหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักเเละได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้ แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ อาวุธปืนของดําที่ถูกขโมยไปนั้น ถือเป็นทรัพย์ทั่ว ๆ ไปที่แดงเจ้าสํานักโรงแรม จะต้องรับผิดในความสูญหายต่อดําคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วยตามมาตรา 674 และมาตรา 675 วรรคแรก เต็มราคาคือ 8,000 บาท โดยไม่ต้องคํานึงว่าดําได้ฝากของนั้นไว้และได้บอกราคาของนั้นไว้หรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อาวุธปืนของดําได้หายไปในเวลา 23.00 นาฬิกา แทนที่ดําจะแจ้งให้แดงเจ้าสํานักทราบในทันที แต่กลับแจ้งให้แดงทราบตอนเวลา 9.00 นาฬิกา ของเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้น แดงเจ้าสํานักจึงหลุดพ้นจากความรับผิดต่อดตามมาตรา 676

สรุป

แดงเจ้าสํานักโรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบต่อดําในกรณีที่อาวุธปืนของดําได้สูญหายไป

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมบ้านของปลาดาวเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีกําหนดสองปี แต่ปลาม้าแบ่งห้อง ๆ หนึ่งให้ชะเมาเช่า ระหว่างที่ชะเมาเช่าอยู่นั้นชะเมาประมาททําไฟไหม้บ้านเสียหาย ดังนี้ปลาดาวจะบอกเลิกสัญญาให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกําหนดและเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคล อีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอย เสร็จแล้ว”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ปลาม้าผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยบ้านเป็นที่อยู่อาศัยได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษา ทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าเอาบ้านที่ยืมมาแบ่งให้ ชะเมาเช่า ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ซึ่งเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของ ผู้ยืมตามมาตรา 643 ย่อมเป็นเหตุให้ปลาดาวผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญายืมได้ตามมาตรา 645 และให้ปลาม้า คืนบ้านก่อนครบกําหนดได้ แม้สัญญายืมนั้นจะมีกําหนดระยะเวลาไว้ก็ตาม

และในกรณีที่ปลาม้าผู้ยืมเอาบ้านที่ยืมมาแบ่งให้ชะเมาเช่า และชะเมาประมาททําให้ไฟไหม้บ้าน เสียหาย ปลาดาวผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ตามมาตรา 643 เพราะเป็นกรณี ที่ผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย จึงต้องรับผิดในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินนั้น

สรุป

ปลาดาวสามารถบอกเลิกสัญญาให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกําหนด และเรียกเอาค่าทดแทน ความเสียหายได้

 

ข้อ 2 นายกระทาได้ยืมเงินจํานวน 3,000 บาท และได้ยืมข้าวโพดจํานวน 1 ตัน จากนายกระสา โดยทําเป็นหนังสือสัญญามีความว่า ข้าพเจ้านายกระทาได้รับเงินจากนายกระสาจํานวน 3,000 บาท พร้อมด้วยข้าวโพดหนัก 1 ตันแล้ว ข้าพเจ้าจะส่งมอบทรัพย์ที่ได้ยืมมาทั้งสองอย่างคืน หลังจากนี้ ภายในเวลา 2 ปีพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ดังนี้ หากนายกระทาได้ลงลายมือชื่อ ในสัญญาเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นชื่อเล่นที่พ่อแม่เรียกกันว่า Peter แล้วผลของสัญญายืมดังกล่าวจะเป็นอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และ ปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระทาได้ยืมเงินจํานวน 3,000 บาท และได้ยืมข้าวโพดจํานวน 1 ตัน จากนายกระสานั้น ถือว่าเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการส่งมอบ ทรัพย์สินที่ยืมกันแล้ว สัญญายืมเงินและสัญญายืมข้าวโพดจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 650 วรรคสอง

กรณีการกู้ยืมเงินตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งและลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ ซึ่งการลง ลายมือชื่อผู้ยืมนั้นผู้ยืมอาจเขียนเป็นชื่อตัวเอง หรือลายเซ็นก็ได้ และอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น และจะเป็น ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ ดังนั้นหนังสือสัญญาที่นายกระสาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยลงเป็นชื่อเล่น และเป็นภาษาอังกฤษว่า Peter นั้น ย่อมถือว่าเป็นหนังสือสัญญายืมเงินที่สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

ส่วนกรณีที่มีการตกลงกันว่า จะชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีนั้น ในกรณีที่เป็นการ กู้ยืมเงินนั้นในส่วนของดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด เพราะเป็นการกําหนดดอกเบี้ยเกินกว่าที่ กฎหมายกําหนดคือเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา) แต่ในกรณีการยืมข้าวโพดนั้น ไม่ถือเป็นดอกเบี้ยแต่เป็นค่าตอบแทน จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

สรุป

สัญญายืมเงินและสัญญายืมข้าวโพดมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายใช้บังคับกันได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยของสัญญายืมเงินนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด

 

ข้อ 3 นายเอกเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย มีนายโทเป็นเจ้าสํานักผู้ควบคุมกิจการโรงแรมนายเอกได้ถอดสร้อยคอทองคําหนัก 3 บาท แขวนพระ 1 องค์ (โดยเฉพาะพระมีมูลค่า 8,000 บาท) วางไว้ในห้องพัก ต่อมาก่อนออกไปธุระข้างนอก นายเอกได้แยกสร้อยคอทองคําออกจากพระเครื่อง แล้วนําสร้อยคอติดตัวไป ส่วนพระเครื่องวางไว้ในห้องพัก เมื่อกลับมาพบว่าพระเครื่องหายไป จึงแจ้งนายโทเจ้าสํานักโรงแรมทราบทันที เพื่อให้นายโทชดใช้ราคาพระเครื่อง 8,000 บาท ให้ท่านวินิจฉัยว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่เจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดชอบต่อนายเอกหรือไม่ หากเจ้าสํานักต้องรับผิดจะต้องรับผิดจํานวนเท่าไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง…”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

โดยหลัก เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลาย ที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น เพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อปรากฏว่าพระเครื่องราคา 8,000 บาทของนายเอกคนเดินทางหรือ แขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วยหายไป และนายเอกได้แจ้งให้นายโทเจ้าสํานักโรงแรมทราบทันทีแล้ว นายโทจึงต้อง รับผิดชอบชดใช้ให้แก่นายเอกตามมาตรา 674 และมาตรา 676

แต่อย่างไรก็ตาม การที่พระเครื่องที่หายไปนั้น ถือว่าเป็นของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง เมื่อนายเอกมิได้มีการนํามาฝากและบอกราคาแห่งของนั้น ดังนั้นนายโทจึงรับผิดเพียง 5,000 บาท

สรุป

นายโทเจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดชอบต่อนายเอกในกรณีที่พระเครื่องของนายเอกหายไป แต่จะรับผิดชอบเพียง 5,000 บาทเท่านั้น

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทํางานมีกําหนดหกเดือน ระหว่างนั้นมีชะเมาเพื่อนบ้านมาขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาจากปลาดาวเฉพาะตอนเย็นหลังเลิกงานไปใช้ รับจ้างรับคนโดยสารมีกําหนดสามเดือน ระหว่างที่ชะมาใช้งานอยู่นั้นชายไทยไม่ทราบชื่อขับรถปิกอัพ มาชนแล้วหลบหนีไปทําให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าพันบาท ดังนี้ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมแซมได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทํางานมีกําหนด 5 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ซึ่งปลาม้าผู้ยืมย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถมอเตอร์ไซค์ ได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้งไมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าได้เอารถมอเตอร์ไซค์ที่ยืมให้ชะเมาเพื่อนบ้านเช่าใช้รับจ้างรับคนโดยสาร ถือว่า เป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย จึงเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม

ตามมาตรา 643 ซึ่งผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด ถึงแม้ เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น การที่มีชายไทยไม่ทราบชื่อขับรถปิกอัพมาชนแล้วหลบหนีไป ทําให้รถมอเตอร์ไซค์ ที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าพันบาท ปลาม้าผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกให้ผู้ยืม คืนทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปให้ บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ดังกล่าวปลาดาวผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือ บอกเลิกสัญญาและเรียกให้ปลาม้าคืนรถมอเตอร์ไซค์ได้

สรุป

ปลาดาวสามารถเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมได้

 

ข้อ 2 นายเอกให้นายตรีบุตรชายไปหานายโทซึ่งเป็นเพื่อนกันแล้วนายเอกโทรศัพท์หานายโทความว่า “ตอนนี้เดือดร้อนมาก ๆ ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัว และแบ่งให้ ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป ต้องรบกวนจริง ๆ นะ หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้” นายโทเอาเงินให้นายตรีแปดหมื่นบาทตามที่นายเอกขอยืม 1 ปีผ่านไป นายเอกหายจากโรคร้าย นายตรีค้าขายขาดทุนไม่มีเงินไปใช้คืนให้กับนายโท นายเอกจึงเขียนจดหมายถึงนายโทความว่า “เงินที่ยืมมานั้นลูกชายค้าขายขาดทุน ปีนี้ไม่มีใช้คืน ขอเป็นปีหน้านะ จะใช้คืนทั้งต้นและดอกด้วย” ลงชื่อเอก อีก 1 ปีผ่านไป นายตรีค้าขายมีกําไรมาก แต่ไม่นําเงินไปใช้คืนให้กับนายโท แม้ว่านายโท มาทวงถามก็ไม่ยอมใช้คืน ดังนี้ นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานและใช้จดหมายดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเท่านั้น เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมีข้อความปรากฏในเอกสารว่าผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินในเรื่องการกู้ยืม – เงินกัน และมีการระบุถึงจํานวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งก็ใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ แต่ที่สําคัญจะต้องมีการ ลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญ ส่วนผู้ให้ยืมและพยานจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกโทรศัพท์ไปหานายโทความว่า “ตอนนี้เดือดร้อนมาก ๆ ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัว และแบ่งให้ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป ต้องรบกวน จริง ๆ นะ หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้” นั้น เป็นการเสนอขอยืมเงินจากนายโท เมื่อนายโทเอาเงิน แปดหมื่นบาทมอบให้นายตรีตามที่นายเอกขอยืมถือเป็นการส่งมอบเงินที่ยืมให้กับตัวแทนของผู้ยืมทําให้สัญญา กู้ยืมเงินเกิดขึ้นโดยบริบูรณ์ตามมาตรา 650

การที่นายเอกหายจากโรคร้าย นายตรีค้าขายขาดทุนไม่มีเงินไปใช้คืนให้กับนายโท นายเอก จึงเขียนจดหมายถึงนายโทความว่า “เงินที่ยืมมานั้นลูกชายค้าขายขาดทุน ปีนี้ไม่มีใช้คืน ขอเป็นปีหน้านะ จะใช้คืน ทั้งต้นและดอกด้วย” ลงชื่อ เอก และต่อมาเมื่อนายตรีค้าขายมีกําไรมาก แต่นายเอกก็ไม่ยอมชําระหนี้นั้น ดังนี้ เมื่อนายโทต้องการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาท โดยนายโทจะใช้จดหมายดังกล่าว เป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินนายโทนั้น ย่อมทําไม่ได้ เพราะการฟ้องบังคับคดี การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ซึ่งต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและในหนังสือนั้น จะต้องมีลายมือชื่อ ของผู้ยืมเป็นสําคัญนั้น แม้ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่านายเอกกู้ยืมเงินนายโทมา และมีการลงลายมือชื่อ ของนายเอกผู้ยืมก็ตาม แต่จดหมายดังกล่าวมิได้ระบุจํานวนเงินที่ยืมกันมาแต่อย่างใด ทําให้ไม่อาจทราบได้ว่า นายเอกเป็นหนี้นายโทจํานวนเท่าใด จดหมายดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ตามมาตรา 653 วรรคแรก และการที่นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานว่ามีการกู้ยืมเงินจํานวนแปดหมื่นบาท ก็จะเป็นการรับฟังพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ดังนั้น นายโท จึงอ้างนายตรีเป็นพยานไม่ได้

สรุป

นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานและใช้จดหมายดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดี ขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทไม่ได้

 

ข้อ 3 จันดีเดินทางไปทํางานที่บ้านไผ่เข้าพักที่บ้านของฟ้าสวยที่ตกแต่งเป็นห้องพักรับนักท่องเที่ยวเข้าพักคิดค่าห้องรายวัน ๆ ละห้าร้อยบาท โดยจันดีลงทะเบียนเข้าพักสามวัน ตอนค่ำจันดีไปดื่มกาแฟที่ ลานกาแฟบริเวณบ้านที่ฟ้าสวยเปิดร้านขาย ถูกนางสาวสุดแสบคู่แค้นแอบลักเงินไปห้าหมื่นบาท ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าฟ้าสวยต้องรับผิดชอบชดใช้เงินห้าหมื่นบาทให้กับจันดีหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลาย ขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้น ท่านว่าเจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ฟ้าสวยตกแต่งบ้านเป็นห้องพักเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าพักโดยคิด ค่าห้องเป็นรายวัน ๆ ละ 500 บาทนั้น บ้านของฟ้าสวยจึงถือได้ว่าเป็นสถานที่อื่นเช่นเดียวกับโรงแรมหรือโฮเต็ล และฟ้าสวยจะมีสถานะเป็นเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้นตามมาตรา 674 และมาตรา 675 จึงต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ ตามความเสียหาย ที่เกิดขึ้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 675 วรรคสาม และมาตรา 676 ที่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดชอบ

การที่จันดีได้ลงทะเบียนเข้าพักที่บ้านของฟ้าสวยและมีสถานะเป็นคนเดินทางหรือแขกอาศัย ได้นําพาเงินตราติดไปด้วย แต่จันดีมิได้ฝากเงินไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อจันดีถูก นางสาวสุดแสบลักเงินไป 50,000 บาท และเหตุเกิดขึ้นในบริเวณโรงแรม ซึ่งโดยหลักแล้วฟ้าสวยจะต้องรับผิดชอบ เพียง 5,000 บาทตามมาตรา 675 วรรคสอง แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่จันดีทราบว่าเงินของตนถูกลักไป จันดีก็ไม่ได้แจ้งให้ฟ้าสวยเจ้าสํานักทราบทันทีที่หาย ดังนั้น จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 676 ที่ฟ้าสวยไม่ต้อง รับผิดชอบชดใช้เงิน 50,000 บาทให้กับจันดี

สรุป

ฟ้าสวยไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้เงิน 50,000 บาท ให้กับจันดีแต่อย่างใด

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมรถยนต์ของปลาเค้าเพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรังมีกําหนดสองเดือน แต่ปลาม้าเอารถยนต์ที่ยืมมาให้นางสาวเทโพแฟนสาวขับไปจังหวัดตราดแล้วไปโดนคนร้ายขว้างระเบิดใส่ รถยนต์เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาท ดังนี้ปลาเค้าจะบอกเลิกสัญญาเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนกําหนดและเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ปลาม้ายืมรถยนต์ของปลาเค้าเพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรัง มีกําหนดเวลา 2 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 ปลาม้าจึงมีสิทธิครอบครอง และใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับปลาเค้า คือเอาไปใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรังเท่านั้น

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืม คืนทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้ เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปลาม้าได้นํารถยนต์ไปให้นางสาวเทโพแฟนสาวขับไปจังหวัดตราด กรณีนี้จึงถือว่าปลาม้าได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แล้ว คือ เป็นการนําทรัพย์สินที่ยืมไปให้ บุคคลภายนอกใช้สอย ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินที่ยืม คือการที่รถยนต์โดนคนร้ายขว้างระเบิดใส่ ทําให้เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงิน 50,000 บาท ปลาม้าผู้ยืมก็ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น และปลาเค้าผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนครบ กําหนดได้ และมีสิทธิเรียกร้องให้ปลาม้ารับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

สรุป

ปลาเค้าสามารถบอกเลิกสัญญาเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนครบกําหนดได้ และ สามารถเรียกร้องให้ปลาม้ารับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

 

ข้อ 2 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งนายสุเทพและนายสุพจน์ ได้นั่งกินเหล้าและดูบอลกันอยู่ในห้องอาหาร ซึ่งมีการถ่ายทอดสด การแข่งขันระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับทีมลิเวอร์พูลอยู่ ปรากฏว่านายสุเทพได้ กล่าวกับนายสุพจน์ว่าหากแมนยูแพ้ตนจะจ่ายเงินให้ 5,000 บาท ต่อมาหลังจากรายการจบ ปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะ แต่เนื่องจากนายสุเทพไม่มีเงินสด นายสุพจน์จึงให้นายสุเทพทําหนังสือยืมเงิน นายสุพจน์เป็นเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินร้อยละ 1.50 บาทต่อเดือน โดยในหนังสือ ดังกล่าวมีแต่ลายมือชื่อนายสุเทพเป็นภาษายาวี และไม่มีลายมือพยานใด ๆ เลย ดังนี้ สัญญาการยืมเงินดังกล่าวใช้ได้หรือไม่ อย่างใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และ ปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลื่องอย่างหนึ่ง ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงินย่อม บริบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม ซึ่งหมายถึงเงินนั่นเอง ในกรณีที่ไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่กัน สัญญา กู้ยืมเงินย่อมไม่สมบูรณ์ แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมก็จะฟ้องร้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินกันไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสุพจน์ให้นายสุเทพทําหนังสือยืมเงินนายสุพจน์เป็นเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินร้อยละ 1.50 บาทต่อเดือน หรือร้อยละ 18 ต่อปีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุพจน์ ไม่ได้มีการส่งมอบเงินจํานวน 5,000 บาท แก่นายสุเทพแต่อย่างใด สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ จึงไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 650) อีกทั้งวัตถุประสงค์ของสัญญาก็มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย (ตามมาตรา 150) ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ

เมื่อสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่มีการส่งมอบทรัพย์สิน ที่ยืม (เงิน) ให้แก่กันและมีผลเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 650 ประกอบมาตรา 150 ดังนั้น แม้สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจะมีลายมือชื่อของนายสุเทพผู้ยืมก็ตาม สัญญาการยืมเงิน ดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้ ส่วนดอกเบี้ยที่มีการคิดกันเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เมื่อสัญญาการยืมเงินใช้ไม่ได้ ในส่วน ดอกเบี้ยจึงไม่ต้องนํามาพิจารณา

สรุป

สัญญาการยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ใช้ไม่ได้

 

ข้อ 3 เอกเปิดบัญชีเงินฝากจํานวน 10,000 บาท กับธนาคารไทยออมทรัพย์ ต่อมาธนาคารถูกโจรปล้นในวันที่เอกฝากเงินนั้นเอง ดังนี้ ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคารโดยอ้างว่าเนื่องจากถูกโจรปล้นได้หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 672 “ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทอง ตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจํานวน

อนึ่ง ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจําต้องคืนเงินให้ครบจํานวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จําต้องคืนเงินเป็นจํานวนดังว่านั้น”

วินิจฉัย

การฝากเงิน ถือเป็นสัญญาฝากทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่จะมีลักษณะพิเศษตามมาตรา 672 กล่าวคือ

1 ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินอันเดียวกันกับที่รับฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจํานวน

2 ผู้รับฝากใช้เงินที่ฝากได้ แม้ผู้ฝากจะมิได้อนุญาตก็ตาม

3 แม้เงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็ต้องคืนเงินให้แก่ผู้นั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกเปิดบัญชีเงินฝากจํานวน 10,000 บาท กับธนาคารไทยออมทรัพย์ นั้น ธนาคารผู้รับฝากย่อมมีสิทธิจะเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ตามมาตรา 672 แต่จะต้องคืนเงินให้แก่เอกครบจํานวน แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเอกได้ฝากเงินไว้กับธนาคารแล้ว ต่อมาธนาคารถูกโจรปล้น ในวันที่เอกฝากเงินนั้นเอง ดังนี้แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ธนาคารผู้รับฝากก็จะต้องรับผิดคืนเงิน ให้แก่ผู้ฝาก ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคารโดยอ้างว่าเนื่องจากถูก โจรปล้นไม่ได้

สรุป

ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคาร โดยอ้างว่า เนื่องจากถูกโจรปล้นไม่ได้

 

 

POL2302 ระเบียบปฏิบัติราชการ 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2302 ระเบียบปฏิบัติราชการ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้ใช้วิธีการกําหนดตําแหน่งโดยใช้ระบบ

(1) คุณธรรม

(2) อุปถัมภ์

(3) จําแนกตําแหน่ง

(4) ชั้นยศ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 77 – 78, (คําบรรยาย) วิธีการกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือนโดยทั่วไปมี 2 ระบบ คือ ระบบชั้นยศ (R.C.) และระบบจําแนกตําแหน่ง (P.C.) ซึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. 2551 จะมีวิธีการกําหนดตําแหน่งโดยใช้ระบบจําแนกตําแหน่งแบบแบ่งเป็น ประเภทตําแหน่งตามลักษณะงาน 4 ประเภท คือ ตําแหน่งประเภทบริหาร ตําแหน่งประเภทอํานวยการ ตําแหน่งประเภทวิชาการ และตําแหน่งประเภททั่วไป

2 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน

(1) เป็นบุคคลล้มละลาย

(2) เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

(3) มีสัญชาติไทย

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36)คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ได้แก่

1 มีสัญชาติไทย

2 มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

3 เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3 ข้าราชการประจํามีขอบเขตแห่งอํานาจหน้าที่ที่สําคัญอย่างไร

(1) มีการควบคุมการปฏิบัติงานตามสายการบังคับบัญชา

(2) มีความรับผิดชอบตามกลไกของระบบงานประจํา

(3) มีหน้าที่เสนอแนะเกี่ยวกับการกําหนดนโยบายของข้าราชการการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 8, (คําบรรยาย) ข้าราชการประจํามีขอบเขตแห่งอํานาจหน้าที่ที่สําคัญ คือ

1 มีความรับผิดชอบตามกลไกของระบบงานประจําหรือระบบราชการ นั่นคือ มีการควบคุมการปฏิบัติงานตามสายการบังคับบัญชา

2 มีหน้าที่ต้องรายงานและเสนอแนะนโยบายสาธารณะต่อฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง

3 มีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง และเสนอแนวปฏิบัติตามนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง

(ส่วนฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมืองจะมีหน้าที่รับผิดชอบตามกลไกของรัฐธรรมนูญ)

4 การเลื่อนระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยวิธีสอบคัดเลือก อาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นการพิจารณาจากปัจจัยด้านใด

(1) ความรู้ความสามารถ

(2) อาวุโส

(3) คุณธรรม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 220, (คําบรรยาย) การเลื่อนระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยวิธีสอบคัดเลือกและวิธีการคัดเลือก เป็นการพิจารณาจากปัจจัยตามความเหมาะสม ซึ่งได้แก่ ความรู้ความสามารถ ความประพฤติ (คุณธรรมและจริยธรรม) และประวัติการรับราชการ (อาวุโส) ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว

5 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญระดับทรงคุณวุฒิ เป็นตําแหน่งประเภท

(1) บริหารระดับสูง

(2) วิชาการ

(3) วิชาการระดับสูง

(4) อํานวยการระดับสูง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13 – 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 46) ระดับตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้

1 ตําแหน่งประเภทบริหาร มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการ มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการ มี 5 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ ระดับชํานาญการระดับชํานาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ

4 ตําแหน่งประเภททั่วไป มี 4 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติงาน ระดับชํานาญงาน ระดับอาวุโสและระดับทักษะพิเศษ

ทั้งนี้การจัดประเภทตําแหน่งและระดับตําแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎ ก.พ.

6 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน ใช้บังคับแก่

(1) ราชการบริหารส่วนกลาง

(2) ราชการบริหารส่วนภูมิภาค

(3) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 400, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26), (คําบรรยาย) ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 (ฉบับปัจจุบัน) ให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการ ซึ่งหมายถึง กระทรวง กรม สํานักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือในต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงคณะกรรมการด้วย

7 ปัจจุบันบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพื่อใช้บรรจุบุคคลเข้ารับราชการ ให้ใช้ได้ไม่เกินกี่ปีนับแต่วันขึ้นบัญชี

(1) 1 ปี

(2) 2 ปี

(3) 3 ปี

(4) 4 ปี

(5) 5 ปี ตอบ 2 (คําบรรยาย) ปัจจุบัน ก.พ. ได้กําหนดหลักเกณฑ์การขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพื่อใช้บรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญว่าให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ปีนับแต่วันขึ้นบัญชี

8 หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด

(1) 2 ชนิด

(2) 3 ชนิด

(3) 4 ชนิด

(4) 5 ชนิด

(5) 6 ชนิด

ตอบ 5 หน้า 403, 416, 422, 428, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26 – 27), (คําบรรยาย)หนังสือราชการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 มี 6 ชนิด คือ

1 หนังสือภายนอก

2 หนังสือภายใน

3 หนังสือประทับตรา

4 หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่ คําสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ

5 หนังสือประชาสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว

6 หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทําขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ มี 4 ชนิด ได้แก่ หนังสือรับรอง รายงานการประชุม บันทึก และหนังสืออื่น

9 ปัจจุบันกรรมการ ก.พ. ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งคราวละกี่ปี

(1) 1 ปี

(2) 2 ปี

(3) 3 ปี

(4) 4 ปี

(5) 5 ปี ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7 – 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 6 และมาตรา 7), (คําบรรยาย) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย

1 กรรมการโดยตําแหน่ง จํานวน 5 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการ ก.พ.เป็นกรรมการและเลขานุการ

2 กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมายจํานวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน โดยแต่งตั้งให้อยู่ในตําแหน่งได้คราวละ 3 ปี

10 ปกติการยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ ระเบียบฯ กําหนดว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นจะต้องยื่นขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่ากี่วัน

(1) 15 วัน

(2) 30 วัน

(3) 60 วัน

(4) 75 วัน

(5) 90 วัน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 109)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการ ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อ ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปชั้นหนึ่งโดยยื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า 30 วัน ถ้าผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 (ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจสั่งอนุญาตให้ลาออก) เห็นว่าจําเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการ จะยับยั้งการลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 90 วันนับแต่ วันขอลาออกก็ได้ แต่ถ้าผู้มีอํานาจสั่งบรรจุฯ ไม่ได้สั่งอนุญาตให้ลาออก หรือไม่ได้ยับยั้ง การอนุญาตให้ลาออก การลาออกจะมีผลโดยอัตโนมัติตั้งแต่วันขอลาออก ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กําหนด

11 คําขึ้นต้นหนังสือราชการถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใช้ว่าอย่างไร

(1) กราบเรียน

(2) กราบเรียน ฯพณฯ

(3) เรียน

(4) เรียน ฯพณฯ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 479 480, (คําบรรยาย) การใช้คําขึ้นต้นตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 ในหนังสือราชการสําหรับ ผู้รับหนังสือที่เป็นบุคคลธรรมดานั้น มี 2 แบบ คือ

1 สําหรับประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ให้ใช้คําขึ้นต้นว่า“กราบเรียน” และใช้คําลงท้ายว่า “ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง”

2 บุคคลธรรมดานอกจากข้อ 1 ให้ใช้คําขึ้นต้นว่า “เรียน” และใช้คําลงท้ายว่า“ขอแสดงความนับถือ”

12 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภททั่วไปมีกี่ระดับ

(1) 2 ระดับ

(2) 3 ระดับ

(3) 4 ระดับ

(4) 5 ระดับ

(5) 11 ระดับ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน อยู่ในตําแหน่งคราวละกี่ปี

(1) 3 ปี

(2) 4 ปี

(3) 5 ปี

(4) 6 ปี

(5) 7 ปี ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 11), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 24 และมาตรา 29), (คําบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.” ประกอบด้วยกรรมการจํานวน 7 คน ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นเลขานุการของ ก.พ.ค. โดยตําแหน่ง โดยกําหนดให้กรรมการ ก.พ.ค. ต้องทํางาน เต็มเวลา และมีวาระการดํารงตําแหน่ง 6 ปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว ดังนั้นกรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ก.พ.ค. อีกมิได้ แต่ให้กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการ ก.พ.ค. ใหม่

14 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน กําหนดให้มีข้าราชการพลเรือนกี่ประเภท

(1) 2 ประเภท

(2) 3 ประเภท

(3) 4 ประเภท

(4) 5 ประเภท

(5) 6 ประเภท

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 35),(คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยตรงของ ก.พ. มี 2 ประเภท คือ

1 ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 4 ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งข้าราชการประเภทนี้ถือเป็นข้าราชการที่มีจํานวนมากที่สุดตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้

2 ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา

15 ระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ

(1) สํานักนายกรัฐมนตรี

(2) การกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือน

(3) สํานักงาน ก.พ.

(4) การจัดส่วนราชการ

(5) การบริหารงานบุคคล

ตอบ 5 หน้า 15, (คําบรรยาย) ระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารงานบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในส่วนราชการหรือภาครัฐ โดยระเบียบ ข้าราชการพลเรือนแต่ละฉบับจะตราขึ้นโดยอาศัยหลักวิชาการในทางการบริหารงานบุคคล ตามระบบคุณธรรมเป็นเกณฑ์ ดังนั้นการที่จะศึกษาทําความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบข้าราชการพลเรือนจึงจําเป็นต้องมีความรู้ในหลักวิชาของการบริหารงานบุคคลเป็นพื้นฐานที่สําคัญ

16 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน องค์กรใดต่อไปนี้เป็นผู้จัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหน่งของ ข้าราชการพลเรือนสามัญ

(1) ก.พ.

(2) ก.พ. กระทรวง

(3) อ.ก.พ. กรม

(4) อ.ก.พ. จังหวัด

(5) ก.พ.ร.

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 48)ให้ ก.พ. เป็นผู้จัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยจําแนก ตําแหน่งเป็นประเภทและสายงานตามลักษณะงาน และจัดตําแหน่งในประเภทเดียวกันและสายงานเดียวกันที่คุณภาพของงานเท่ากันโดยประมาณเป็นระดับเดียวกัน ทั้งนี้โดยคํานึงถึง ลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงาน โดยในมาตรฐานกําหนดตําแหน่ง ให้ระบุ ชื่อตําแหน่งในสายงาน หน้าที่ความรับผิดชอบหลัก และคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งไว้ด้วย

17 การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือน ตามกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ต้องคํานึงถึง

(1) ความรู้ความสามารถของบุคคล

(2) ความเสมอภาค ความเป็นธรรม

(3) ประโยชน์ของทางราชการ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 42 (1) การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามหลักการระบบคุณธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับ การรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ต้องคํานึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ

18 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับ พ.ศ.

(1) 2518

(2) 2535

(3) 2540

(4) 2550

(5) 2551

ตอบ 5 (คําบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับ พ.ศ. 2551ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2551 โดย พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวได้กําหนดให้ ยกเลิก พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับเดิม คือ ฉบับ พ.ศ. 2535 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด

19 ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์ของระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก

(1) เพื่อความเป็นมาตรฐาน

(2) เพื่อความเสมอภาคและยุติธรรม

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 30 – 31, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) วัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 (ฉบับแรก) มีดังนี้

1 เพื่อความเป็นระเบียบและมาตรฐาน

2 เพื่อความเสมอภาคและยุติธรรมแก่ผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับราชการและผู้ที่เป็นข้าราชการอยู่แล้ว

3 เพื่อให้หลักประกันความมั่นคงแก่ข้าราชการ

4 เพื่อรักษาประโยชน์ของทางราชการ

20 ในการปฏิบัติราชการเพื่อดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล จะบรรลุผลสําเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับ

(1) ตัวบทกฎหมาย

(2) ประชาชนโดยส่วนรวม

(3) ภาคเอกชน

(4) ระบบราชการ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 1) ในการปฏิบัติราชการเพื่อดําเนินโครงการต่าง ๆตามนโยบายของรัฐบาล จะบรรลุผลสําเร็จมากน้อยเพียงใดหรือผลจะปรากฎออกมาดีชั่ว ประการใดนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคน การจัดองค์การ และวิธีการทํางาน หรือกล่าวอย่างรวบรัดก็คือ ขึ้นอยู่กับระบบราชการว่ามีลักษณะอย่างใดเป็นสําคัญ

21 หนังสือราชการชนิดใดต่อไปนี้ต้องมีคําลงท้าย

(1) หนังสือประทับตรา

(2) หนังสือภายนอก

(3) หนังสือภายใน

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1,2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 404 – 407, (คําบรรยาย) ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณพ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการ ที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการ มีถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก ซึ่งหนังสือภายนอกนี้ จะต้องมีคําขึ้นต้นและคําลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตารางการใช้คําขึ้นต้น สรรพนาม และคําลงท้ายที่กําหนดไว้ในภาคผนวก 2

22 ข้อใดเป็นหลักการของระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

(1) หลักความรู้ความสามารถ

(2) หลักความเสมอภาค

(3) หลักความเป็นกลางในทางการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 17 – 18 ระบบคุณธรรม (Merit System) ในการบริหารงานบุคคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งทางราชการโดยคํานึงถึงความรู้ความสามารถ และความเหมาะสมกับตําแหน่งเป็นเกณฑ์ ซึ่งหลักการสําคัญของระบบคุณธรรมในการ บริหารงานบุคคล มี 4 ประการ คือ

1 หลักความเสมอภาค (Equality)

2 หลักความรู้ความสามารถ (Competence)

3 หลักความมั่นคง (Security)

4 หลักความเป็นกลางในทางการเมือง (Political Neutrality)

23 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นกรรมการ ก.พ. โดยตําแหน่ง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ปลัดกระทรวงยุติธรรม

(2) รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี

(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(4) ปลัดกระทรวงการคลัง

(5) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

24 การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาความดีความชอบ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจารณาจาก

(1) ความประพฤติ

(2) ผลงานและศักยภาพ

(3) ความคิดเห็นทางการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3 ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 42 (3)การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามหลักการระบบคุณธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับ การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตําแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจารณาจากผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ แต่จะนําความคิดเห็นทางการเมืองหรือการสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้

25 หนังสือสั่งการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด

(1) ชนิดเดียว

(2) 2 ชนิด

(3) 3 ชนิด

(4) 4 ชนิด

(5) 5 ชนิด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

26 ราชการคืองานที่เกี่ยวกับ

(1) การทําประโยชน์ให้สังคมทางเศรษฐกิจ

(2) ความสามัคคีในสังคม

(3) การจัดทําบริการสาธารณะ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 1, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 1), (คําบรรยาย) ราชการ คือ การงานของประเทศที่เกี่ยวกับการจัดทําบริการสาธารณะประเภทต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุข ของประชาชน ซึ่งการจัดทํานโยบายบริการสาธารณะนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล โดยมี ข้าราชการประจําเป็นเครื่องมือปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงานที่กําหนดและจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของทางราชการ

27 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่กําหนดในกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ ตําแหน่ง

(1) ปลัดกระทรวง

(2) อธิบดี

(3) นายอําเภอ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่กําหนดใน พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี ผู้อํานวยการกอง ผู้อํานวยการสํานัก ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัดนายอําเภอ ปลัดอําเภอ เป็นต้น

28 ระดับใดต่อไปนี้เป็นระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการ ตามระเบียบข้าราชการ พลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ระดับต้น

(2) ระดับอาวุโส

(3) ระดับเชี่ยวชาญ

(4) ระดับชํานาญงาน

(5) ระดับทักษะพิเศษ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

29 ข้อใดเป็นลักษณะของข้าราชการการเมือง

(1) ต้องสังกัดพรรคการเมือง

(2) มีวาระในการดํารงตําแหน่ง

(3) เน้นเรื่องคุณวุฒิ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 391, (คําบรรยาย) ลักษณะของข้าราชการการเมือง มีดังนี้

1 เป็นข้าราชการการเมืองฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 (ฉบับปัจจุบัน)

2 มีอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทนรายเดือนคงที่ ซึ่งกําหนดตามตําแหน่งและไม่มีขั้นวิ่ง

3 การเข้าดํารงตําแหน่งเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่อง คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ)

4 การออกจากตําแหน่งในกรณีปกติเป็นไปตามวาระ หรือมีวาระในการดํารงตําแหน่ง หรือเป็นไปตามเหตุผลทางการเมือง

5 ไม่จําเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ฯลฯ

30 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน องค์กรใดต่อไปนี้อาจกําหนดตําแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน

(1) ก.พ.

(2) อ.ก.พ. กระทรวง

(3) อ.ก.พ. กรม

(4) อ.ก.พ. จังหวัด

(5) ก.พ.ร.

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 44)นอกจากตําแหน่งที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว อ.ก.พ. กระทรวงอาจกําหนดตําแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่นเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและแจ้งให้ ก.พ. ทราบด้วย

31 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภทวิชาการ มีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

32 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กระทรวง

(1) ปลัดกระทรวง

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง

(3) รองปลัดกระทรวง

(4) นายกรัฐมนตรี

(5) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 15),(คําบรรยาย) อ.ก.พ. กระทรวง ประกอบด้วย

1 อนุกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวง) เป็นประธานปลัดกระทรวง เป็นรองประธาน และผู้แทน ก.พ. 1 คน

2 อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย ที่มิได้เป็นข้าราชการ ในกระทรวงนั้น จํานวนไม่เกิน 3 คน

3 อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูงในกระทรวงนั้น จํานวนไม่เกิน 5 คน

4 ให้ อ.ก.พ. กระทรวง ตั้งเลขานุการ 1 คน

33 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือน หมายถึง

(1) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในกรมเดียวกัน

(2) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในสังกัดเดียวกัน แต่อาจต่างท้องที่ก็ได้

(3) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในต่างกรม แต่อยู่ในกระทรวงเดียวกัน

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญ หมายถึง การย้ายหรือการเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่น ในกรมเดียวกัน และต้องย้ายไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับเดียวกัน กล่าวคือ สังกัดกรมเดิม แต่อาจเปลี่ยนไปอยู่ในส่วนราชการภายในกรมส่วนกลาง หรือไปอยู่จังหวัดหรืออําเภอในส่วนภูมิภาค ก็ได้ ส่วนการโอน หมายถึง การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในต่างกรม กล่าวคือ สังกัดกรมใหม่แต่อาจจะอยู่ในกระทรวงเดียวกัน หรือกระทรวงใหม่ก็ได้

34 หนังสือประชาสัมพันธ์ตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ระเบียบ

(2) ข้อบังคับ

(3) แถลงการณ์

(4) หนังสือประทับตราแทนการลงชื่อ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

35 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้กําหนดเรื่องใดต่อไปนี้ที่สอดคล้องกับหลักความรู้ความสามารถตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

(1) การร้องทุกข์

(2) การอุทธรณ์

(3) การสอบสวนทางวินัย

(4) การออกจากราชการ

(5) การสอบแข่งขัน

ตอบ 5 หน้า 17, (คําบรรยาย) หลักความรู้ความสามารถ (Competence) ตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล หมายถึง การเลือกสรรบุคคลเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการและแต่งตั้งให้ ดํารงตําแหน่งสูงขึ้นหรือการพิจารณาเลื่อนระดับตําแหน่งจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ในการปฏิบัติงานเป็นสําคัญ ซึ่งส่วนมากจะกระทําโดยการสอบแข่งขัน สอบสัมภาษณ์ และการทดลองปฏิบัติงาน

36 ข้อใดเป็นคุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) มีสัญชาติไทย

(2) อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์

(3) ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

37 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทอํานวยการมีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

38 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทบริหาร ได้แก่ตําแหน่ง

(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด

(2) รองผู้ว่าราชการจังหวัด

(3) ปลัดจังหวัด

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มี 2 ระดับ คือ

1 บริหารระดับสูง ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวง), รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และ รองปลัดกระทรวง), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (อธิบดี), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (เช่น เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อํานวยการ สํานักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ), ผู้ว่าราชการจังหวัด, เอกอัครราชทูต เป็นต้น

2 บริหารระดับต้น ได้แก่ รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (รองอธิบดี), รองผู้ว่าราชการจังหวัดอัครราชทูต เป็นต้น

39 ระดับทักษะพิเศษ เป็นระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับปัจจุบันประเภทใด

(1) พิเศษ

(2) ทั่วไป

(3) วิชาการ

(4) บริหาร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

40 การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญที่ระเบียบฯ กําหนดให้ต้องนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

(1) ประเภทบริหารระดับสูง

(2) ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

(3) ประเภทอํานวยการระดับสูง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 16 – 17), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 57 (1) (2) (72), (คําบรรยาย) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีขั้นตอนการบรรจุ และแต่งตั้งโดยต้องขออนุมัติหรือขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและนําความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้แก่

1 ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น

2 ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

41 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คําว่า “คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง” หมายถึง การกําหนดเกี่ยวกับ

(1) หลักการบรรจุผู้ทรงคุณวุฒิ

(2) หลักการจําแนกตําแหน่ง

(3) หลักการของระบบอุปถัมภ์

(4) ความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 94, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 16) คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง หมายถึงคุณสมบัติที่กําหนดไว้โดยเฉพาะสําหรับตําแหน่งใดตําแหน่งหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวกับคุณวุฒิทางการศึกษา ความรู้ความสามารถ หรือประสบการณ์ในการรับราชการ โดยคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งมีอย่างไร จะมีกําหนดไว้ล่วงหน้าในมาตรฐานกําหนด ตําแหน่งของแต่ละประเภทตําแหน่งที่ ก.พ. จัดทําขึ้น

42 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภททั่วไป มีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

43 ข้อใดถูกต้องตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน

(1) บันทึกข้อความเป็นหนังสือภายนอก

(2) ข่าวราชการเป็นหนังสือภายใน

(3) หนังสือรับรองเป็นหนังสือภายนอก

(4) ข้อบังคับเป็นหนังสือภายใน

(5) ระเบียบเป็นหนังสือสั่งการ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

44 ระดับทรงคุณวุฒิ เป็นตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตําแหน่งประเภทใดตามระเบียบ ข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ทั่วไป

(2) อํานวยการระดับสูง

(3) บริหารระดับต้น

(4) วิชาการ

(5) บริหารระดับสูง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

45 ปัจจุบันตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทใดได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งด้วย

(1) ประเภทบริหาร

(2) ประเภทอํานวยการ

(3) ประเภททั่วไปบางระดับ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทที่ได้รับทั้งเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่ง ได้แก่

1 ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้นและระดับสูง

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้นและระดับสูง

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ระดับชํานาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ

4 ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ

46 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทบริหาร ได้แก่ตําแหน่ง

(1) หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง

(2) หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

(3) รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

47 ข้าราชการพลเรือนที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยตรงของ ก.พ. ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา

(2) ข้าราชการครู

(3) ข้าราชการพลเรือนสามัญ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

  1. การสอบแข่งขันเกี่ยวข้องกับเรื่องใดต่อไปนี้โดยตรง

(1) การย้าย

(2) การโอน

(3) คุณสมบัติทั่วไป

(4) คุณสมบัติเฉพาะ

(5) การบรรจุและแต่งตั้ง

ตอบ 5 หน้า 92, (คําบรรยาย) การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลให้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนโดยบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ ถือเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของการบรรจุและแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญในทุกประเทศ ทั้งนี้ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ส่วนใหญ่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน

49 ปัจจุบันตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีกี่ประเภท

(1) ประเภทเดียว

(2) 2 ประเภท

(3) 3 ประเภท

(4) 4 ประเภท

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 45), (คําบรรยาย)ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญแบ่งตามลักษณะงาน ได้เป็น 4 ประเภท คือ

1 ตําแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และตําแหน่งอื่นที่ ก.พ. กําหนดเป็นตําแหน่งประเภทบริหาร

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการ ได้แก่ ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรมและตําแหน่งอื่นที่ ก.พ. กําหนดเป็นตําแหน่งประเภทอํานวยการ เช่น หัวหน้าส่วนราชการ ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค เป็นต้น

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนด (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตําแหน่งนั้น

4 ตําแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ ตําแหน่งที่ไม่ใช่ตําแหน่งประเภทตามข้อ 1, 2 และ 3ทั้งนี้ตามที่ ก.พ. กําหนด

50 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กรมโดยตําแหน่ง

(1) รัฐมนตรีเจ้าสังกัด

(2) ปลัดกระทรวง

(3) รองปลัดกระทรวง

(4) ผู้ว่าราชการจังหวัด

(5) อธิบดี

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 17),(คําบรรยาย) อ.ก.พ. กรม ประกอบด้วย

1 อนุกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ อธิบดี เป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมาย 1 คนเป็นรองประธาน

2 อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย ที่มิได้เป็นข้าราชการในกรมนั้น จํานวน ไม่เกิน 3 คน

3 อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอํานวยการในกรมนั้น จํานวนไม่เกิน 6 คน

4 ให้ อ.ก.พ. กรม ตั้งเลขานุการ 1 คน

51 ระดับใดต่อไปนี้ที่ไม่ใช่ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตําแหน่งประเภทวิชาการ

(1) ระดับปฏิบัติการ

(2) ระดับชํานาญการ

(3) ระดับเชี่ยวชาญ

(4) ระดับทรงคุณวุฒิ

(5) ระดับทักษะพิเศษ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

52 ประธานคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ประธานศาลฎีกา

(2) ประธานศาลปกครองสูงสุด

(3) ประธานวุฒิสภา

(4) ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(5) ประธานรัฐสภา

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 12), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 26)คณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม) ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธาน รองประธานศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมายจาก ประธานศาลฎีกา 1 คน กรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คนซึ่งได้รับเลือกโดย ก.พ. และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ

53 ข้อใดเป็นโทษผิดวินัยขั้นร้ายแรง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ไล่ออก

(2) ปลดออก

(3) ให้ออก

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22 – 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 88), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัย จะต้องได้รับโทษทางวินัย เว้นแต่มีเหตุอันควรงดโทษตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 การดําเนินการทางวินัย โดยโทษทางวินัย มี 5 สถาน ซึ่งแบ่งออกเป็น

1 โทษผิดวินัยประเภทไม่ร้ายแรงมี 3 สถาน ได้แก่ ภาคทัณฑ์ (เบาที่สุด) ตัดเงินเดือน และลดเงินเดือน

2 โทษผิดวินัยประเภทร้ายแรง มี 2 สถาน ได้แก่ ปลดออก และไล่ออก (หนักที่สุด)

54 ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุผู้สําเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กําหนด คือ

(1) ก.พ.

(2) อ.ก.พ. กรม

(3) อธิบดี

(4) อ.ก.พ. กระทรวง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 55), (คําบรรยาย) กรณีที่มีเหตุพิเศษที่ ก.พ. เห็นว่าไม่ต้องดําเนินการสอบแข่งขัน สามารถให้อธิบดี (ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุ และแต่งตั้งตามมาตรา 57) เป็นผู้คัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งได้ เป็นรายกรณี (ไม่ใช่เป็นการพิจารณาเป็นรายบุคคล) เช่น

1 กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้สําเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กําหนด

2 กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง หรือทุนรัฐบาลเพื่อศึกษาวิชาในประเทศหรือต่างประเทศที่สําเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น

55 ก.พ. มีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการใด ๆ แทนได้ คือ

(1) อ.ก.พ. สามัญ

(2) อ.ก.พ. พิเศษ

(3) อ.ก.พ. วิสามัญ

(4) อ.ก.พ. กรม

(5) อ.ก.พ. กระทรวง

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 12)ก.พ. มีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญ เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. วิสามัญ” เพื่อทําการใด ๆ แทนได้ โดยจํานวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง อ.ก.พ. วิสามัญ รวมตลอดทั้งวิธีการได้มา วาระการดํารงตําแหน่ง และการพ้นจากตําแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.

56 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีจํานวนกี่คน

(1) 3 – 5 คน

(2) 4 – 5 คน

(3) 5 – 6 คน

(4) 5 – 7 คน

(5) 7 – 9 คน

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

57 กรณีข้าราชการพลเรือนสามัญถูกสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในระเบียบ ข้าราชการพลเรือน ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นมีสิทธิ

(1) ร้องทุกข์

(2) อุทธรณ์

(3) ฟ้องศาลปกครอง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 114)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 110 (1) (3) (5) (6) (7) และ (8) ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคําสั่งหรือถือว่าทราบคําสั่ง ทั้งนี้การอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.ค.

58 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีจํานวนกี่คน

(1) 5 คน

(2) 6 คน

(3) 7 คน

(4) 8 คน

(59 คน

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

59 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่อํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

(1) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์

(2) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องอุทธรณ์

(3) คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน

(4) เสนอแนะ ก.พ. ให้ลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือน

(5) เสนอแนะ ก.พ. ให้ปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 12 – 13), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 31) ก.พ.ค. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1 เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น ดําเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

2 พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์

3 พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์

4 คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน เป็นต้น

60 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นข้าราชการการเมือง ตามระเบียบข้าราชการการเมือง

(1) นายกรัฐมนตรี

(2) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

(3) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 387 – 388, 391, (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535ตําแหน่งข้าราชการการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การ

1 ตําแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ได้แก่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีประจําสํานัก นายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีประจําสํานัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เป็นต้น

2 ตําแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 61- 100. ข้อใดถูกให้ระบายในช่อง 1 ข้อใดผิดให้ระบายในช่อง 2

61 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมเป็นองค์กรที่ไม่เคยบัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใดมาก่อนเพิ่งบัญญัติในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7), (คําบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยบัญญัติในระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับใดมาก่อน เพราะเป็นองค์กรที่เพิ่งบัญญัติขึ้นใหม่ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เพื่อพิทักษ์คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน และพิทักษ์ระบบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม

62 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้กําหนดเรื่องการร้องทุกข์และการอุทธรณ์ไว้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องสอดคล้องกับหลักความเป็นธรรมตามระบบคุณธรรม

ตอบ 2 หน้า 18, (คําบรรยาย) หลักความมั่นคง (Security) ตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลหมายถึง การให้หลักประกันแก่ข้าราชการที่มีผลงานและความประพฤติดีจะต้องไม่ถูกให้ออก จากงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร โดย พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้กําหนด เรื่องที่สอดคล้องกับหลักการนี้ไว้หลายเรื่อง เช่น การออกจากราชการว่าจะออกเมื่อใด การอุทธรณ์ การร้องทุกข์ การสอบสวนและการดําเนินการทางวินัย เป็นต้น

63 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตําแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้มีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งที่กําหนดสําหรับผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนดเพื่อปฏิบัติงาน ในหน้าที่ตําแหน่งนั้น

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

64 ระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งทางราชการโดยคํานึงถึงความรู้ความสามารถและความเหมาะสมกับตําแหน่งเป็นเกณฑ์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

65 ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 59 วรรคสาม), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่าง ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน แต่ทั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการรับเงินเดือนหรือ ผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลอง ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงไม่ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือข้อห้ามของข้าราชการพลเรือนแต่อย่างใด

66 โทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ เสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ

ตอบ 1 หน้า 267, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 97 วรรคสี่), (คําบรรยาย)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ยังมีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยถือเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ ส่วนข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นไล่ออกจากราชการ จะไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

67 ก.พ. มีอํานาจบรรจุผู้สําเร็จการศึกษาจากต่างประเทศที่เป็นผู้รับทุนรัฐบาล โดยวิธีสอบคัดเลือกเป็นราย ๆ ไป

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

68 การจัดประเภทตําแหน่งและระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎ ก.พ.

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

69 ข้าราชการอัยการไม่อาจโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือน

ตอบ 2 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง), (คําบรรยาย)การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญ (เช่น ข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการครู ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการตุลาการ (ผู้พิพากษา) ข้าราชการอัยการ ข้าราชการรัฐสภา เป็นต้น) และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่ ก.พ. กําหนด มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตลอดจนจะแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทําได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ ก.พ. กําหนด

70 บํานาญ คือ เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมา เมื่อพ้นจากหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับตามกฎหมายบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยจ่ายเป็นรายเดือน

ตอบ 1 หน้า 69 – 70, (คําบรรยาย) บํานาญ หมายถึง เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาเมื่อพ้นจากหน้าที่ราชการแล้ว ซึ่งผู้ที่จะได้รับบํานาญนี้จะต้องเป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยจ่ายให้เป็นรายเดือน

71 ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล (ปลัด อบต.) เป็นตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทอํานวยการระดับต้น ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 หน้า 38, (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนทั่วไปที่ปฏิบัติราชการประจําอยู่ตามกระทรวง กรมฝ่ายพลเรือน หรือจังหวัด และอําเภอในราชการส่วนภูมิภาค เช่น ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด ปลัดอําเภอ ฯลฯ (ส่วนปลัดกรุงเทพมหานคร, ผู้อํานวยการเขตของกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ, ปลัด อบต.ปลัด อบจ. ปลัดเทศบาล (นคร-เมือง ตําบล) เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น)

72 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน กําหนดให้การสรรหา การบรรจุ และการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม และให้คํานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลรวมทั้งประโยชน์ ของทางราชการด้วย

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 52)การสรรหาเพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ ดํารงตําแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคํานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ดังกล่าว ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ

73 การบริหารงานบุคคลในระบบราชการไทย ได้มีการพัฒนามาตามลําดับอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม

ตอบ 1 หน้า 25, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) ระบบการบริหารงานบุคคลในระบบราชการของไทย ได้มีการพัฒนามาตามลําดับ โดยพัฒนามาจากรูปแบบที่ไม่เป็นทางการไปสู่รูปแบบ ที่เป็นทางการมากขึ้น และจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้รับบริการ

74 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม กําหนดให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงรักษาการตามระเบียบนี้

ตอบ 2 หน้า 400, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26) ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณพ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 กําหนดให้ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม ระเบียบนี้ รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวกและจัดทําคําอธิบายกับให้มีหน้าที่ดําเนินการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานสารบรรณ

75 นับตั้งแต่ได้มีการริเริ่มตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นฉบับแรกในปี พ.ศ. 2471 แล้วได้มีการตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นอีกหลายฉบับในเวลาต่อมา โดยแต่ละฉบับเป็นกฎหมายระดับ “พระราชกฤษฎีกา” ทั้งสิ้น

ตอบ 2 หน้า 31 นับตั้งแต่ได้มีการริเริ่มตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นฉบับแรกในปี พ.ศ. 2471แล้วได้มีการตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นอีกหลายฉบับในเวลาต่อมา โดยแต่ละฉบับจะมีฐานะเป็น “พระราชบัญญัติ” รวมทั้งฉบับ พ.ศ. 2551 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วย

76 วินัยของข้าราชการพลเรือนตามระเบียบข้าราชการพลเรือนประการหนึ่งคือ ห้ามมิให้เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 36) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

1 เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

2 เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบหรือเป็นโรคตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.

3 เป็นกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ – ในพรรคการเมือง

4 เป็นบุคคลล้มละลาย ฯลฯ

77 บําเหน็จดํารงชีพเป็นเงินที่ผู้รับบํานาญได้รับ ปัจจุบันจะได้รับเมื่ออายุครบ 60 ปีในปีงบประมาณที่เกษียณอายุราชการ และเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญ ข้าราชการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) บําเหน็จดํารงชีพ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการบํานาญเพื่อช่วยเหลือการดํารงชีพโดยจ่ายให้ครั้งเดียว ซึ่งให้จ่ายในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือน แต่ไม่เกิน 4 แสนบาท โดยปัจจุบันแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือ งวดแรกจ่ายตอนเกษียณอายุราชการ (เมื่ออายุครบ 60 ปี) ไม่เกิน 2 แสนบาท และงวดที่สองจ่ายที่เหลือตอนอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ไม่เกิน 4 แสนบาท

78 ระบบราชการมีลําดับขั้นการบังคับบัญชา คือ การจัดแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นลําดับชั้น และมีการสั่งการจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสู่เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่า

ตอบ 1 หน้า 6, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 2) ระบบราชการมีลําดับขั้นการบังคับบัญชา คือมีการจัดแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นลําดับชั้น และมีการสั่งการจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสู่เจ้าหน้าที่ระดับต่ำ

79 กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกมีผลใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศเป็นกฎหมาย

ตอบ 2 หน้า 29, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ได้ประกาศเป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 โดยทั้งนี้ยังมิได้ใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศเป็นกฎหมาย แต่ให้เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่1 เมษายน พ.ศ. 2472 เป็นต้นไป

80 ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการพลเรือนที่บรรจุเข้ารับราชการและต้องทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ระเบียบฯ กําหนดให้มีการพัฒนาข้าราชการเพื่อให้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และเป็นข้าราชการที่ดี ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง, มาตรา 55 และมาตรา 59), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้รับการบรรจุ กรณีต่อไปนี้ต้องแต่งตั้งให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ และให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้รู้ ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และเป็นข้าราชการที่ดี ตามที่กําหนดในกฎ ก.พ. ได้แก่

1 ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากการสอบแข่งขันได้

2 ผู้ที่ได้รับการบรรจุในกรณีที่มีเหตุพิเศษที่ไม่ต้องดําเนินการสอบแข่งขันตามที่ ก.พ. กําหนด

81 ผู้มีอํานาจกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญของส่วนราชการระดับกระทรวง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 47)ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญจะมีในส่วนราชการใด จํานวนเท่าใด และเป็นตําแหน่ง ประเภทใด สายงานใด ระดับใด ให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กําหนด โดยต้องคํานึงถึง ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้ําซ้อนและประหยัดเป็นหลัก ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กําหนด และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกําหนดตําแหน่ง

82 เงินประจําตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ไม่ถือเป็นเงินเดือนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคํานวณบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

ตอบ 1 หน้า 55, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 50 วรรคห้า) เงินประจําตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ไม่ถือเป็นเงินเดือนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคํานวณบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

83 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่ต่ํากว่าเดิม โดยปกติผู้มีอํานาจสั่งย้ายจะกระทํามิได้

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 63 วรรคสาม), (คําบรรยาย) การย้ายหรือการโอนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ผู้มีอํานาจสั่งย้ายจะกระทํามิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้น

84 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 96 และมาตรา 97), (คําบรรยาย) ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เป็นผู้ มีอํานาจสั่งลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทําผิดวินัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

1 กรณีกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด

2 กรณีกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้สั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก

85 “หนังสือราชการภายนอก” เป็นหนังสือราชการที่ต้องมีคําขึ้นต้น แต่ไม่จําเป็นต้องมีคําลงท้ายตามระเบียบ – งานสารบรรณฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

86 “ส่วนราชการ” หมายถึง ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ํากว่ากรม

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 4)“ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม

87 การลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญนั้น ถ้าผู้มีอํานาจสั่งบรรจุฯ ซึ่งเป็นผู้มีอํานาจสั่งอนุญาตการลาออกไม่ได้สั่งอนุญาตให้ลาออก หรือไม่ได้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออก การลาออกจะไม่มีผลแต่อย่างใด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

88 คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประการหนึ่ง คือ เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

89 ตําแหน่งเอกอัครราชทูต สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ มีสถานะเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทอํานวยการระดับสูง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

90 การบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์มีข้อดีประการหนึ่งคือ ช่วยส่งเสริมการวัดผลโดยการสอบให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้น ตอบ 1 หน้า 19 – 20 ข้อดีของการบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์ มีดังนี้

1 ช่วยให้การบริหารงานบุคคลดําเนินไปได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย

2 ช่วยส่งเสริมการวัดผลโดยการสอบให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

3 ช่วยให้การบริหารงานบุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันท่วงที

91 ปัจจุบันตําแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูงเช่นเดียวกับตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38. และ 60. ประกอบ

92 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตําแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้สําเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนดเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ตําแหน่งนั้น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

93 ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน ถ้าประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการ อาจยื่นเรื่องราวขอกลับเข้ารับราชการในกระทรวง กรมใด ๆ ก็ได้ ไม่จํากัดเฉพาะส่วนราชการที่เคยสังกัดเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 99, (คําบรรยาย) ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน และลาออกจากราชการไปโดยไม่มีความผิดวินัยแต่ประการใด ถ้าประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการ อาจยื่นเรื่องราวขอกลับ เข้ารับราชการในกระทรวง กรมใด ๆ ก็ได้ โดยไม่ได้จํากัดเฉพาะกระทรวง กรมเดิมที่เคยสังกัดก่อนออกจากราชการ และอาจได้รับการบรรจุแต่งตั้งในระดับและเงินเดือนที่ไม่สูงกว่าเดิม

94 ผู้เคยกระทําการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ระเบียบฯ บัญญัติว่า ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปของผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36), (คําบรรยาย) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้าม โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาบังคับไว้ ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้สมัครเข้ารับราชการได้ โดยไม่ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไป มี 4 กรณี ดังนี้

1 เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม

2 เป็นบุคคลล้มละลาย

3 เป็นผู้เคยต้องรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกเพราะกระทําความผิดทางอาญา

4 เป็นผู้เคยกระทําการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ

95 การบริหารงานบุคคลภาครัฐ อาจจําแนกวิธีการบริหารได้เป็น 2 ระบบที่สําคัญคือ ระบบคุณธรรมกับระบบจําแนกตําแหน่ง

ตอบ 2 หน้า 17 ในการบริหารงานบุคคลอาจจําแนกวิธีการบริหารได้เป็น 2 ระบบ คือ ระบบคุณธรรมกับระบบอุปถัมภ์

96 “การคัดเลือก” ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันกําหนดให้กระทรวง กรม เจ้าสังกัดเป็นผู้ดําเนินการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กําหนดให้กระทรวง กรมเจ้าสังกัดเป็นผู้ดําเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งได้โดยไม่ต้องสอบแข่งขัน

97 กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการฯ อีกก็ได้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

98 ข้าราชการการเมืองเข้าดํารงตําแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุผลทางการเมือง ตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติถึงข้าราชการการเมือง รวมทั้งระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันด้วย

ตอบ 2 หน้า 383, 391 ข้าราชการการเมืองเข้าดํารงตําแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่องคุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ) และตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 กล่าวคือ แต่เดิมข้าราชการการเมืองถือว่าเป็น ข้าราชการพลเรือนประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่ในปัจจุบันได้มี การแยกข้าราชการการเมืองออกจากข้าราชการพลเรือน เพื่อไม่ให้มีการก้าวก่ายหน้าที่ ซึ่งกันและกัน และได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 เพื่อใช้บังคับแก่ข้าราชการการเมืองโดยตรง

99 โดยปกติการบรรจุกับการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นขั้นตอนของการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ เมื่อมีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนก็ต้องมีการบรรจุเข้ารับราชการตามมาเสมอ

ตอบ 2 หน้า 91, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15) โดยปกติการบรรจุกับการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นขั้นตอนการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ เมื่อมีการบรรจุ ก็จะต้องมีการแต่งตั้งตามมาเสมอ ซึ่งการบรรจุ หมายถึง การรับบุคคลเข้าเป็นข้าราชการ ส่วนการแต่งตั้ง หมายถึง การมอบหมายให้ทําหน้าที่ในตําแหน่งใดตําแหน่งหนึ่ง โดยอาจเกิดขึ้นพร้อมกับเมื่อมีการบรรจุ หรือต่างวาระกันก็ได้

100 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดลาออกจากราชการไปดํารงตําแหน่งทางการเมือง ส่วนราชการเจ้าสังกัดจะต้องสงวนอัตราตําแหน่งในระดับเดียวกันไว้สําหรับบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ เมื่อพ้นจากตําแหน่ง ทางการเมืองแล้ว

ตอบ 2 หน้า 98 – 99, 113, 119, (คําบรรยาย) ก.พ. กําหนดหลักเกณฑ์การบรรจุเข้ารับราชการไว้ว่าเมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดลาออกจากราชการไปดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือ ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วนราชการเจ้าสังกัดไม่ต้องสงวนตําแหน่ง ไว้สําหรับบรรจุ ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ แต่ถ้าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการ ไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี หรือออกจากราชการไปรับราชการทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหารนั้น ส่วนราชการเจ้าสังกัดต้องสงวนตําแหน่งในระดับเดียวกันไว้ สําหรับบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับราชการภายในเวลาที่กําหนด

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 สามย่านยืมมอเตอร์ไซค์ของแกลงโดยบอกว่าจะเอาใช้ขับขี่ไปทํางาน แกลงได้ส่งมอบมอเตอร์ไซค์ให้สามย่านไปใช้งานโดยไม่คิดค่าตอบแทนและไม่ได้กําหนดเวลาคืนไว้ แต่สามย่านกลับนําไปดัดแปลง โดยมีการตัดต่อเป็นรถสามล้อเติมหลังคากับที่นั่งสองแถวเพื่อรับขนคนโดยสาร วันหนึ่งขณะที่สามย่าน ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ดัดแปลงแล้วหาผู้โดยสารนั้นวังจันทร์ขับรถยนต์มาชนท้ายทําให้รถมอเตอร์ไซค์ ที่สามย่านยืมมาเสียหาย ดังนี้แกลงจะเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ที่ยืมหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามย่านยืมมอเตอร์ไซค์ของแกลงโดยบอกว่าจะเอาใช้ขับขี่ไปทํางาน แกลงได้ส่งมอบมอเตอร์ไซค์ให้สามย่านไปใช้งานโดยไม่คิดค่าตอบแทนและไม่ได้กําหนดเวลาคืนไว้ กรณีถือว่าเป็น สัญญายืมใช้คงรูปที่มิได้กําหนดเวลาสิ้นสุดของสัญญาตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641

และตามมาตรา 643 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ยืมต้องรับผิดในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือ บุบสลายไป ถ้าผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจาก การอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สามย่านได้เอาทรัพย์สินที่ยืม ไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา กล่าวคือ สามย่านได้นําไปดัดแปลงโดยมีการตัดต่อเป็นรถสามล้อ เติมหลังคากับที่นั่งสองแถวเพื่อรับขนคนโดยสาร ดังนั้นเมื่อวังจันทร์ขับรถยนต์มาชนท้ายทําให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ สามย่านยืมมาเสียหาย แกลงย่อมมีสิทธิเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ ที่ยืมได้ตามมาตรา 643

สรุป

แกลงสามารถเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ ที่ยืมได้

 

ข้อ 2 นางอภิลัดดาได้โทรศัพท์ขอยืมเงินนายประเสริทเป็นเงินห้าหมื่นบาทถ้วน และนายประเสริทได้ส่งเช็คจํานวนดังกล่าวไปให้ในวันที่ 14 กันยายน ศกนี้ และได้มีสําเนาเช็คเก็บไว้ โดยไม่ได้ทําหลักฐาน การกู้ยืมเป็นหนังสือใด ๆ ต่อมานางอภิลัดดาได้ถูกนางหนูเมียนายประเสริททวงถามเรื่องหนี้ นางอภิลัดดาได้เขียนข้อความเป็นลายมือของตนในกระดาษให้นางหนูว่า “ฉันอภิลัดดาจะคืนเงิน ห้าหมื่นบาทให้ไม่โกงหรอก รับรองได้” ต่อมานางอภิลัดดาได้ป่วยหนักเขียนจดหมายไปหานางหมู น้านายประเสริทว่า “ถ้าฉันตายให้ชําระหนี้ที่ติดไว้กับไอ้เสริทหลานแกด้วยให้ด้วย ลงชื่อ อภิลัดดา” ต่อมา นางอภิลัดดา ได้เห็นนายประเสริทประท้วงรัฐบาลอยู่ข้างถนน จึงได้เขียนข้อความต่อว่า นายประเสริทว่า “เช็คเงินที่ฉันขอยืมนั่นน่ะนะได้รับตั้งแต่วันที่ 15 กันยาแล้ว แต่ถ้าขืนนยังด่านายกผู้หญิงอีกฉันจะไม่จ่าย ลงชื่อ เพ็ญ” ซึ่งชื่อเพ็ญดังกล่าวเป็นชื่อเล่นของนางอภิลัดดา ดังนี้ นายประเสริทจะมีทางฟ้องร้องนางอภิลัดดาได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงิน เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่อง เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินจะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ

1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น ต้องมีสาระสําคัญให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกัน ซึ่งข้อความ อันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จําเป็นว่าจะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลาย ๆ ฉบับ ก็ได้ เมื่อนําเอาเอกสารเหล่านั้นมาอ่านประกอบเข้าด้วยกัน หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว ถือว่าเอกสาร เหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้

ส่วนการลงลายมือชื่อในหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายบังคับว่าต้องมีลายมือชื่อของ ผู้ยืมเท่านั้น ส่วนผู้ให้ยืมจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ก็ไม่ใช่สาระสําคัญ ไม่ทําให้หลักฐานแห่งการฟ้องคดีนั้น เสียไป และการสงลายมือชื่อนั้น ผู้ยืมอาจเขียนเป็นชื่อตัวเอง หรือลายเซ็นก็ได้ และอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่ถ้ามิได้ลงลายมือชื่อเลย แม้ผู้ยืมจะเป็นผู้ทําหลักฐานเป็นหนังสือ นั้นเอง หลักฐานนั้นก็ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ตามมาตรา 653 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางอภิลัดดาได้กู้ยืมเงินจากนายประเสริทเป็นเงิน 50,000 บาท โดยไม่ได้ มีหลักฐานเป็นหนังสือ นอกจากเช็คที่นายประเสริทได้ให้ไว้นั้น ย่อมไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี การกู้ยืมเงินได้ และแม้ต่อมานางอภิลัดดาจะได้เขียนข้อความเป็นลายมือของตนให้นางหนูเมียนายประเสริทว่า “ฉันอภิลัดดาจะคืนเงินห้าหมื่นบาทให้ไม่โกงหรอก รับรองได้” ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่านางอภิลัดดาได้กู้ยืมเงินจาก นายประเสริท อีกทั้งยังไม่มีการลงลายมือของนางอภิลัดดาด้วย จึงไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกรณีดังกล่าวได้เลย

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อต่อมานางอภิลัดดาได้เขียนจดหมายไปหานางหมูน้านายประเสริทว่า “ถ้าฉันตาย ให้ชําระหนี้ที่ติดไว้กับไอ้เสริทหลานแกด้วยให้ด้วย ลงชื่อ อภิลัดดา” และยังได้เขียนข้อความต่อว่านายประเสริทว่า “เช็คเงินที่ฉันขอยืมนั้นน่ะนะได้รับตั้งแต่วันที่ 15 กันยาแล้ว แต่ถ้าขืนยังด่านายกผู้หญิงอีกฉันจะไม่จ่าย ลงชื่อ เพ็ญ” ซึ่งชื่อเพ็ญดังกล่าวเป็นชื่อเล่นของนางอภิลัดดานั้น แม้ในบันทึกข้อความตอนแรกจะไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐาน ในการฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่ในบันทึกข้อความตอนหลังได้อ้างถึงเช็คและการยืมเงิน อีกทั้งมีการลงลายมือชื่อของ ผู้กู้ยืมด้วย จึงถือได้ว่ามีความชัดเจนเพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน กรณีนี้ได้

สรุป

นายประเสริทสามารถฟ้องร้องบังคับนางอภิลัดดาได้ โดยใช้เช็คและข้อความบันทึกที่ นางอภิลัดดาให้นายประเสริทเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี

 

ข้อ 3 นายเอกและนายโทเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยพักห้องเดียวกันและนายเอกเป็นผู้ลงทะเบียนในนามของผู้พัก ต่อมาทั้งสองคนได้ออกจากห้องไปธุระข้างนอก โดยนายโทวาง โทรศัพท์มือถือราคาแปดพันบาทไว้ในห้อง เมื่อกลับมาพบว่ามีคนเข้ามารื้อค้นของในห้องพักและ โทรศัพท์มือถือกับกางเกงยีนส์ 1 ตัว (ราคา 2,000 บาท) หายไป นายโทรีบแจ้งนายตรีผู้เป็นเจ้าสํานักที่ควบคุมกิจการโรงแรมทราบทันที นายตรีต่อสู้ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพัก เจ้าสํานักโรงแรม จึงไม่ต้องรับผิด จะรับผิดเฉพาะทรัพย์ของแขกผู้ลงชื่อในใบลงทะเบียนเท่านั้น ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายตรีฟังขึ้นหรือไม่ ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อทรัพย์สินของนายโท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอกราคา แห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลาย  คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 674 และ 675 ได้กําหนดให้เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล จะต้องรับผิดชอบใน ความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยนั้น ให้หมายความรวมถึงบุคคล ที่เข้าพักอาศัยร่วมกับผู้เดินทางด้วย ความรับผิดของเจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ลไม่ได้จํากัดเฉพาะทรัพย์สินของ ผู้ที่ลงทะเบียนเข้าพักแรมเท่านั้น ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์เมื่อทรัพย์สินของนายโทหายไป นายตรีผู้เป็นเจ้าสํานักที่ ควบคุมกิจการโรงแรมจึงต้องรับผิดชอบ จะต่อสู้ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพักไม่ได้

และเมื่อทรัพย์สินที่สูญหายไป คือโทรศัพท์มือถือราคา 8,000 บาท และกางเกงยีนส์ราคา 2,000 บาทนั้น เป็นทรัพย์ทั่ว ๆ ไปตามมาตรา 675 วรรคแรก มิใช่ทรัพย์ที่มีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้น แม้ว่าจะมิได้มีการฝากทรัพย์นั้นไว้แก่เจ้าสํานัก เจ้าสํานักโรงแรมก็ต้องรับผิดชอบเต็มจํานวน และเมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่า เมื่อนายโทพบเห็นว่าทรัพย์สินนั้นสูญหาย นายโทได้แจ้งความนั้นต่อนายตรีเจ้าสํานักโรงแรมทันทีตาม มาตรา 676 ดังนั้นกรณีนี้นายตรีจึงต้องรับผิดต่อนายโทจํานวน 10,000 บาท

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายตรีที่ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพักจึงไม่ต้องรับผิดชอบนั้นฟังไม่ขึ้น และนายตรีเจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดต่อนายโทจํานวน 10,000 บาท

 

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!