LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอและบีขับรถแข่งกันบนถนนสาธารณะต่างชิงขับปาดหน้ากันไปมา ขณะที่เอขับปาดหน้ารถของบีโดยกะทันหันทําให้บีเกิดความโกรธ จึงเร่งเครื่องรถยนต์ชนท้ายรถของเออย่างแรง ทําให้รถของเอ เสียหลักพุ่งไปชนรถจักรยานยนต์ที่แดงขับล้มลงเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตาย ส่วนเอศีรษะแตก เลือดไหล ดังนี้ จะต้องรับผิดในความตายของแดงอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสอง “กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่บีเร่งเครื่องยนต์ชนท้ายรถของเออย่างแรงในขณะที่เอกําลังขับรถด้วยความเร็วนั้น บีย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะทําให้เอได้รับอันตราย จึงถือว่าบีได้กระทําโดยมีเจตนาทําร้ายเอตาม มาตรา 59 วรรคสอง และจากการกระทําของบีทําให้รถของเอเสียหลักพุ่งไปชนรถจักรยานยนต์ที่แดงขับล้มลงนั้น ย่อมถือว่ามีเจตนาทําร้ายแดงโดยพลาดไปตามมาตรา 60 และเมื่อถือว่ามีเจตนาทําร้ายแดงและผลของการทําร้ายดังกล่าวนั้นทําให้แดงถึงแก่ความตาย ความตายของแดงจึงเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของปี ดังนั้นบีจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม มาตรา 290 วรรคหนึ่ง

สรุป

บีมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 2 นายอาทิตย์ อายุ 21 ปี กับ น.ส.กวาง อายุ 17 ปีเศษ คบหาเป็นคนรักกันมากว่า 2 ปี วันหนึ่งเวลา 21.00 น. น.ส.กวาง หนีออกจากบ้านมาขอพักอยู่ที่บ้านเช่าของนายอาทิตย์โดยบอกว่าทะเลาะกับที่บ้าน นายอาทิตย์ยอมให้ น.ส.กวางพักอยู่ด้วยและตั้งใจจะร่วมประเวณีกันเพราะเป็นคนรักกัน อยู่แล้ว เวลา 21.30 น. มารดาของ น.ส.กวางก็ตามมาพาตัว น.ส.กวางกลับบ้านโดยนายอาทิตย์ ยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับ น.ส.กวาง แต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 319 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจาก บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี

2 ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล

3 โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4 โดยเจตนา

5 เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจาร

องค์ประกอบของความผิดที่สําคัญประการหนึ่งของความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง คือต้องมีการพราก ซึ่งหมายถึงการเอาไปหรือพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ทําให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าวนั้นถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน อันเป็นการส่วงอํานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เยาว์นั้น

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่ น.ส.กวางอายุ 17 ปีเศษได้หนีออกจากบ้านมาหานายอาทิตย์เองโดยที่ นายอาทิตย์ไม่ได้พาหรือชักชวน แต่เป็นกรณีที่ น.ส.กวางสมัครใจไปจากบิดามารดานั้น จึงไม่อยู่ในความหมายของ คําว่าพราก อันเป็นองค์ประกอบของความผิด ดังนั้นเมื่อนายอาทิตย์ไม่ได้กระทําการอันใดอันเป็นการพราก ผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปีไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง นายอาทิตย์จึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง (ฎีกาที่ 949/2536)

สรุป

นายอาทิตย์ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3 แดงได้จ้างแท็กซี่ของดําไปส่งที่สนามบินดอนเมืองเพื่อเดินทางไปเชียงใหม่ เมื่อถึงสนามบินแดงลืมโทรศัพท์มือถือของแดงไว้บนแท็กซีของดํา เมื่อไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แดงได้โทรศัพท์เข้ามือถือที่ตน ลืมไว้บนแท็กซี่ แต่ดําปิดโทรศัพท์มือถือของแดงไม่ยอมรับสาย หลังจากนั้น 3 วันแดงเดินทางกลับ จากเชียงใหม่ ดําได้โทรศัพท์ไปหาแดงและจะคืนโทรศัพท์มือถือของแดงซึ่งมีราคาถึงสามหมื่นบาท ให้แดง แต่แดงจะต้องจ่ายค่าไถ่โทรศัพท์ให้ดําก่อนเป็นเงิน 5,000 บาท มิฉะนั้นดําจะไม่ยอมคืนโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ให้กับแดง ดํามีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ โดยอาจจะเป็นการครอบครองเพราะเจ้าของส่งมอบการครอบครองให้โดยชอบ หรือเพราะเจ้าของส่งมอบให้โดยสําคัญผิด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้เอาไปนั้นเก็บได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหายแล้วแต่กรณีตามมาตรา 352

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่แดงได้ลืมโทรศัพท์มือถือของแดงไว้บนรถแท็กซี่ของดํานั้นไม่ถือว่า แดงได้ส่งมอบโทรศัพท์มือถือให้ดําครอบครองแต่อย่างใด และไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายที่ดําเก็บได้ เพราะการที่แดงได้ลืมทรัพย์สินดังกล่าวไว้บนรถแท็กซี่นั้น ยังไม่ถือว่าทรัพย์สินนั้นขาดจากการยึดถือหรือขาดจากการ ครอบครองของแดง แต่ยังถือว่าแดงยังคงครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ ดังนั้นเมื่อดําได้เอาทรัพย์สินคือโทรศัพท์มือถือของแดงไป จึงถือว่าเป็นการแย่งการครอบครองเอาทรัพย์สินไปจากผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการตัด กรรมสิทธิ์ตลอดไป และเมื่อดําได้โทรศัพท์ไปหาแดงและจะคืนโทรศัพท์มือถือให้แดงโดยแดงจะต้องจ่ายค่า โทรศัพท์ให้ดําก่อนนั้น การกระทําของคําถือว่าเป็นการกระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดย ชอบด้วยกฎหมาย การกระทําของดําจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ดังนั้น ดํา จึงมีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สรุป

ดํามีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 หนึ่งทําสัญญาให้สองเป็นนายหน้าขายที่ดินให้ตนในราคาสิบล้านบาท โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่สองร้อยละสามเป็นเงินค่านายหน้าสามแสนบาท สองติดต่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้สมยศและขอให้ สมยศหักเงินค่านายหน้าจํานวนสามแสนบาทจากเงินที่ต้องชําระค่าที่ดินให้หนึ่งเก็บไว้ให้ด้วย แต่ในวันที่ทําสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินกัน สมยศจ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งสิบล้านบาทเต็มจํานวนโดยมิได้ หักค่านายหน้าไว้ ต่อมาสองได้ไปขอรับค่านายหน้าจากหนึ่งแต่หนึ่งหลอกสองว่ายังไม่ได้โอนขาย เมื่อถูกทวงถามหลายครั้งในที่สุดหนึ่งปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงให้สองเป็นนายหน้า ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิด เกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของ รวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้อง ระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งทําสัญญาให้สองเป็นนายหน้าขายที่ดินให้ตน โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่สอง ต่อมาสองได้ติดต่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้สมยศโดยมีการทําสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินกันแล้ว และสมยศได้จ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งเต็มจํานวนแล้ว แต่เมื่อสองได้ไปขอรับค่านายหน้าจากหนึ่งแต่หนึ่งหลอกสองว่า ยังไม่ได้โอนขายที่ดิน และเมื่อถูกทวงถามหลายครั้งในที่สุดหนึ่งปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงให้สองเป็นนายหน้านั้น การปฏิเสธไม่จ่ายค่านายหน้าให้แก่สองดังกล่าว หนึ่งย่อมไม่มีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น ความผิดฐานฉ้อโกงหรือความผิดฐานยักยอก ทั้งนี้เพราะ

1 การที่หนึ่งหลอกสองว่ายังไม่ได้โอนขายที่ดินโดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้แก่ สองนั้น แม้จะเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาก็ตาม แต่การหลอกลวง ดังกล่าวก็ไม่ทําให้หนึ่งได้ทรัพย์สินจากสองผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด เป็นเพียงการที่หนึ่งมีเจตนาจะไม่จ่าย ค่านายหน้าเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป ดังนั้น การกระทําของหนึ่งจึงไม่เป็นความผิด ฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

2 การที่สมยศจ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งเต็มจํานวนโดยมิได้หักค่านายหน้าไว้ และหนึ่งปฏิเสธ ไม่จ่ายค่านายหน้าจํานวน 300,000 บาทให้แก่สองนั้น การกระทําของหนึ่งย่อมไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะเงินที่หนึ่งได้รับจากการขายที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของหนึ่งผู้ขายจึงไม่ ถือว่าหนึ่งได้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย แล้วได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็น ของตนแต่อย่างใด

สรุป

หนึ่งไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงหรือความผิดฐานยักยอกทรัพย์แต่อย่างใด

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอมีเรื่องโกรธแค้นที่ถูกหนุ่มมาแย่งหญิงคนรักของตนไป เอจึงชวนบีให้ไปช่วยเอชกต่อยหนุ่มเพื่อเป็นการสั่งสอน วันเกิดเหตุเอและบีพากันไปดักรอ เมื่อหนุ่มเดินผ่านมาทั้งสองคนตรงเข้าชกต่อย ทําร้ายหนุ่ม ในขณะที่ชกต่อยนั้นบีได้เอามีดที่พกติดตัวไปด้วยฟันข้อมือของหนุ่มจนได้รับอันตรายสาหัสโดยที่เอไม่รู้มาก่อนว่าปีได้พกพามีดมาด้วย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า เอจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 295 “ผู้ใดทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ”

มาตรา 297 “ผู้ใดกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับ อันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ

1 ทําร้าย

2 ผู้อื่น

3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น

4 โดยเจตนา

ความผิดฐานทําร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 เป็นเหตุที่ ทําให้ผู้กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทํานั้น ผู้กระทําไม่จําต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่ทําให้ต้องรับโทษหนักขึ้นแต่อย่างใด และในกรณีที่มี ตัวการร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อื่น แม้ผู้ที่เป็นตัวการร่วมกระทําผิดจะไม่มีเจตนาให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือ มิได้เป็นผู้ที่ลงมือกระทําให้เกิดผลขึ้น ผู้ร่วมกระทําผิดทุกคนก็ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เอได้ร่วมกับบีทําร้ายร่างกายหนุ่มโดยเจตนา แม้เอจะชักชวนบีให้ไปช่วยกันชกต่อยทําร้ายหนุ่ม และบีแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดพกฟันข้อมือของหนุ่มจนได้รับ อันตรายสาหัสโดยเอไม่ทราบว่าบีพกอาวุธไปด้วย และเอไม่มีเจตนาให้หนุ่มได้รับอันตรายสาหัส แต่การที่หนุ่มได้รับอันตรายสาหัสก็เป็นผลธรรมดาที่เกิดจากการกระทําผิดฐานทําร้ายร่างกาย เอก็จะต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น จากการกระทําของบีด้วย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเอเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายหนุ่มจนเป็นเหตุให้หนุ่มได้รับอันตรายสาหัส เอจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 ประกอบมาตรา 83

สรุป

เอมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 ประกอบมาตรา 83

 

ข้อ 2 บุคคลอื่นเล่าให้นางทับทิมฟังว่าเห็น น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้างที่บ้านบ่อย ๆ ต่อมานายเอกก็มาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนางทับทิม นางทับทิมก็บอกกับนายเอกว่า น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้าง ที่บ้านตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟัง หลังจากนั้น น.ส.รัศมีจึงดําเนินคดีกับนางทับทิมในข้อหา หมิ่นประมาท นางทับทิมต่อสู้ว่าตนเองไม่ได้กระทําความผิดตามข้อกล่าวหาเพราะที่พูดไปก็พูดตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาเท่านั้น ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านางทับทิมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

3 โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางทับทิมได้บอกกับนายเอกว่า น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้าง ที่บ้านบ่อย ๆ ตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟังนั้น คําพูดของนางทับทิมถึงแม้จะเป็นการพูดตามที่บุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการใส่ความ น.ส.รัศมีต่อบุคคลที่สามแล้ว และข้อความนั้นก็น่าจะทําให้ น.ส.รัศมีเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ดังนั้น นางทับทิมจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

สรุป

นางทับทิมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

 

ข้อ 3 นาย ก. เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ โดยมีจําเลยเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ นายแดงนํารถยนต์มาที่อู่ของนาย ก. เพื่อซ่อมเครื่องยนต์ โดยนายแดงตกลงกับนาย ก. ว่านายแดงจะเป็นผู้ซื้ออะไหล่แท้ มาให้นาย ก. ต่อมาเมื่อนายแดงซื้ออะไหล่แท้มาได้แล้วก็นํามามอบให้นาย ก. ครั้นถึงเวลาซ่อมเครื่องยนต์ จําเลยซึ่งเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ได้จงใจเปลี่ยนเอาอะไหล่แท้ที่นายแดงซื้อมาไปใส่ ให้กับรถยนต์ของนายขาว แล้วนําอะไหล่เทียมมาใส่ให้กับรถยนต์ของนายแดง โดยที่นาย ก. เจ้าของอู่ไม่ทราบเรื่อง ทั้งนี้จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 339 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงซื้ออะไหล่แท้มอบให้นาย ก. เจ้าของอู่ นาย ก. ย่อมเป็น ผู้ครอบครอง เมื่อจําเลยซึ่งเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ได้จงใจเปลี่ยนเอาอะไหล่แท้ที่นายแดงซื้อมาไปใส่ให้กับรถยนต์ ของนายขาว แล้วนําอะไหล่เทียมมาใส่ให้รถยนต์ของนายแดง โดยที่นาย ก. เจ้าของอู่ไม่ทราบเรื่อง การกระทําของจําเลยจึงเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น โดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ไม่ใช่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะจําเลยไม่ได้รับมอบการครอบครองจากผู้ใด

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ไปที่บ้านของนาย ก. เมื่อไปถึง จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ใช้เท้าเตะไปที่รั้วบ้านของนาย ก. ซึ่งรั้วบ้านของนาย ก. เป็นรั้วสังกะสี นาย ก. ได้ยินเสียงจึงออกมาดู จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท นาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพัง และกลัวจะถูกทําร้ายจึงยอมให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 500 บาท จําเลยที่ 1 รับเงินมาแล้วจึงพูดกับ นาย ก. ว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ”

ดังนี้ จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 340 “ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทํา ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ชิงทรัพย์

2 โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป

3 โดยเจตนา

การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น อันจะเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 และถ้าได้ร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก็จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 นั้น การขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายดังกล่าวอาจจะเป็นการขู่ตรง ๆ ก็ได้ หรืออาจจะ เป็นการใช้ถ้อยคําทํากิริยาหรือทําโดยประการใด ๆ อันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภยันตราย จากการกระทําของผู้ขู่เข็ญก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท เมื่อนาย ก. ตอบว่า ไม่มี จําเลยที่ 1 กับพวกช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพังและกลัวถูกทําร้ายจึงยอม ให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 500 บาท นั้น จะเห็นได้ว่า การกระทําของจําเลยที่ 1 และพวกเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย และการที่จําเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ” คําพูดขู่เข็ญของจําเลยที่ 1 ดังกล่าวแม้ไม่ใช่ถ้อยคําขู่เข็ญตรง ๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าต่อไปถ้าจําเลยที่ 1 อยากได้อะไรแล้ว นาย ก. ต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกจําเลยที่ 1 ทําร้าย ดังนั้น การกระทําของจําเลยที่ 1 กับพวกอีกสามคน จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ (เทียบฎีกาที่ 549/2517)

สรุป

จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 340

LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอและปีมีเหตุทะเลาะโต้เถียงกัน เอระงับความโกรธไม่อยู่ ตรงเข้าผลักและต่อยบีล้มลงถูกเศษแก้วแตกแทงถูกที่ขาบีเลือดไหล ปีไม่ไปหาหมอแต่รักษาแผลเอง ซึ่งรักษาแผลไม่สะอาดพอทําให้แผล อักเสบติดเชื้อจนเข้ากระแสโลหิต บีถึงแก่ความตายในอีก 2 วันต่อมา ปรากฏผลการชันสูตรของ แพทย์ระบุวาบาดแผลที่ขาไม่รุนแรงหากมาหาแพทย์รักษาก็จะไม่ตาย ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอผลักและต่อยบีล้มลงทําให้บีถูกเศษแก้วแตกแทงถูกที่ขามีเลือดไหล นั้น ถือว่าเอใช้กําลังประทุษร้ายต่อปีแล้ว และเมื่อการทําร้ายของเอทําให้ถึงแก่ความตายในอีก 2 วันต่อมานั้น แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้ไปหาหมอแต่รักษาแผลเอง ซึ่งมีรักษาแผลไม่สะอาดพอทําให้แผลอักเสบติดเชื้อ จนเข้ากระแสโลหิตเเละถึงแก่ความตาย และปรากฎผลในการชันสูตรของแพทย์ระบุว่าบาดแผลที่ขาไม่รุนแรง หากมาหาแพทย์รักษาก็จะไม่ตายก็ตาม แต่การที่บีไม่ไปหาหมอแต่ทําแผลเองทําให้แผลอักเสบติดเชื้อนั้น ถือว่า เป็นเหตุแทรกแซงที่คาดหมายได้ จึงไม่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างการทําร้ายของเอกับความตายของปี ความตายของปี จึงเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของเอ ดังนั้น เอจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง

สรุป

เอมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2 นายเสือฆ่าคนตายแล้วหลบหนีในระหว่างทางพบนายช้างจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่พักริมทาง

นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจากนายช้างเพื่อจะใช้รถเป็นพาหนะหลบหนี แต่นายช้างไม่ยอมโดย ตัดสินใจขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป นายเสือจึงไม่ได้รถจากนายช้าง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการกระทํา ของนายเสือเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือ ของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจักรยานยนต์จากนายซ้างนั้น การกระทําของนายเสือถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อนายช้างไม่ยอมโดยตัดสินใจขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป ทําให้ นายเสือไม่ได้รถจากนายช้างนั้น ถือว่าการกระทําของนายเสือเป็นการลงมือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํา นั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป

นายเสือมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตาม มาตรา 309 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 3 แดงเป็นเจ้าของเสื้อผ้าและได้ส่งเสื้อผ้าให้มืดนําไปซักที่ร้านซักเสื้อผ้าของมืด โดยแดงได้นําเสื้อผ้าที่ใช้แล้วใส่ลงในตะกร้าที่บรรจุเสื้อผ้าเพื่อนําไปซัก แต่แดงลืมเอาเงินออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า เป็นเงิน 5,000 บาท แดงได้ส่งตะกร้าเสื้อผ้าให้กับมืดไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่มีเงินติดไปด้วย ขณะที่แดงส่งมอบ ตะกร้าพร้อมเสื้อผ้าให้กับมืดนั้น มืดไม่เห็นว่ามีสิ่งอื่นใดอยู่ในตะกร้าใบนั้นเลยนอกจากเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เมื่อมืดนําเสื้อผ้าของแดงที่บรรจุไว้ในตะกร้ากลับไปยังร้านซักรีดของมืด ก่อนที่จะนําเสื้อผ้าไปซัก มืดได้พบเงิน 5,000 บาท ที่แดงลืมไว้ หลังจากนั้น 2 วัน เมื่อมืดนําเสื้อผ้าที่ซักรีดเสร็จไปแล้วไป คืนให้แดง แต่มืดได้เอาเงิน 5,000 บาทนั้น เป็นของตนเสียเอง มืดมีความผิดอาญาฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตาม มาตรา 352 วรรคหนึ่ง)

ตามอุทาหรณ์ การที่เดงเป็นเจ้าของเสื้อผ้าได้ส่งเสื้อผ้าให้มืดนําไปซักที่ร้านซักเสื้อผ้าของมืด โดยแดงลืมเอาเงินออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าเป็นเงิน 5,000 บาทนั้น ถือว่าเงินดังกล่าวยังอยู่ในความครอบครอง ของแดง เพราะแดงไม่ได้ส่งมอบการครอบครองให้มืด การที่มืดได้เอาเงิน 5,000 บาทไป จึงเป็นการแย่งการ ครอบครองเงินจากแดง ซึ่งเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น และเมื่อมืดเอาเงินนั้นเป็นของตนเสียเอง จึงเป็นการกระทํา โดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย มืดจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สรุป

มืดมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 หนึ่งจะต้องไปร่วมงานราตรีสโมสรจึงขอยืมเครื่องประดับสร้อยคออัญมณีล้อมเพชรของสองไปสวมใส่ หนึ่งสะเพร่าทําสร้อยคอของสองตกหายในงานโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสร้อยเพชรไปคืนให้สอง จึงหลอกสองว่า ถูกคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์ในห้องนอนลักสร้อยของสองไปด้วย ขอเวลา 10 วัน จะเอาเงินมาชดใช้คืน สองเห็นหนึ่งหายไป 2 สัปดาห์จึงทวงถาม หนึ่งก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่ายังหาเงินไม่ครบ เมื่อถูกทวงถาม อีกครั้งหนึ่งไม่มีเงินใช้คืนจึงปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมสร้อย ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งขอยืมสร้อยคออัญมณีล้อมเพชรของสองไปสวมใส่ และหนึ่งสะเพร่า ทําสร้อยคอของสองตกหายในงานโดยไม่รู้ตัว ทําให้ไม่มีสร้อยคอไปคืนให้สอง จึงได้หลอกสองว่าถูกคนร้ายที่เข้ามา ลักทรัพย์ในห้องนอนลักสร้อยของสองไปด้วยนั้น การกระทําของหนึ่งไม่ถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าหนึ่งจะครอบครองทรัพย์คือสร้อยคอของสอง แต่การที่หนึ่งทําสร้อยคอตกหายไปนั้น มิใช่เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตแต่อย่างใด หนึ่งจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์

อีกทั้งการกระทําของหนึ่งก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 เพราะแม้ว่าหนึ่งจะ หลอกลวงสองด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่การหลอกลวงนั้นก็มิได้ทําให้หนึ่งได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากสอง ผู้ถูกหลอกแต่อย่างใด ดังนั้น หนึ่งจึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

สรุป หนึ่งไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายเสือประสงค์ต่อทรัพย์ของผู้อื่น วันเกิดเหตุนายเสือใช้เส้นลวดขึงเสาสะพานทั้งสองข้างเวลาประมาณ 20.00 น. นายช้างขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนโดยมีนางนกภริยานั่งซ้อนท้าย พอจะผ่านสะพานตัวของนายช้างกระทบกับเส้นลวดทําให้รถล้มลง ศีรษะของนายข้างกระแทกกับราวสะพานจนถึงแก่ความตาย ส่วนนางนกขาข้างซ้ายหักต้องรักษาตัว 35 วัน จึงหาย ดังนี้ ให้ วินิจฉัยว่าการกระทําของนายเสือเป็นความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสอง “กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนด ไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 288 “ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบด้วย

1 ฆ่า

2 ผู้อื่น

3 โดยเจตนา

การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 288 นั้น นอกจากจะมีการกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการฆ่าบุคคลอื่นแล้ว ผู้กระทํายังต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในด้วย อาจจะเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้

สําหรับเจตนาเล็งเห็นผล หมายความว่า ผู้กระทําเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ ดังนั้นหากผู้กระทําเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้น แม้ในที่สุดผลจะไม่เกิด ผู้กระทําก็ต้องรับผิดฐานพยายาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือใช้เส้นลวดขึงเสาสะพานทั้งสองข้าง โดยประสงค์ต่อทรัพย์ ของผู้อื่นนั้น นายเสือย่อมเล็งเห็นได้ว่า หากมีรถจักรยานยนต์แล่นผ่าน อาจทําให้รถพลิกคว่ำและทําให้ผู้ขับขี่ถึงแก่ความตายได้ จึงถือว่านายเสือมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยหลักย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง

และเมื่อปรากฏว่า นายช้างขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนดังกล่าว และตัวของนายช้าง กระทบกับเส้นลวดทําให้รถล้มลง ศีรษะของนายช้างกระแทกกับราวสะพานจนถึงแก่ความตาย นายเสือจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ส่วนกรณีของนางนกซึ่งนั่งซ้อนท้ายมากับนายช้าง เพียงแค่ขาข้างซ้ายหักไม่ถึงแก่ความตาย ถือเป็นกรณีที่นายเสือได้ลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้น ไม่บรรลุผล ดังนั้น นายเสือจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

สรุป

นายเสือมีความผิดฐานฆ่านายช้างตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 และมีความผิดฐาน พยายามฆ่านางนกตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 2 นายอาทิตย์ไปพบ ร.ต.อ.สมพรเพื่อขอประกันตัวเพื่อนที่ถูกจับดําเนินคดีในความผิดฐานหนึ่ง ร.ต.อ.สมพรบอกว่ายังให้ประกันตัวไม่ได้เพราะเป็นคดีสําคัญต้องขออนุมัติผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นก่อน นายอาทิตย์เกิดความไม่พอใจจึงพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ตํารวจ กระจอก เฮงซวย” ซึ่งในขณะที่พูดนั้น มีบุคคลอื่นอยู่ในห้อง 4 – 5 คน ต่อมา ร.ต.อ.สมพรจึงดําเนินคดีกับนายอาทิตย์ในข้อหาหมิ่นประมาท ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์มีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

  1. โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ดังนั้น ข้อความที่เป็นถ้อยคําเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้ อับอาย หรือข้อความที่ไม่ทําให้บุคคลซึ่งได้ยินเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันถือเป็น การใส่ความตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ คําพูดของนายอาทิตย์ที่ว่า “ตํารวจกระจอก เฮงซวย” ถึงแม้จะเป็นการ ใส่ความร.ต.อ.สมพรต่อบุคคลที่สาม แต่ถ้อยคําดังกล่าวเป็นเพียงคําดูหมิ่นเท่านั้นไม่น่าจะทําให้ ร.ต.อ.สมพร เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด ดังนั้น การกระทําของนายอาทิตย์จึงไม่เป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาทตามมาตรา 326

สรุป

นายอาทิตย์ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ร.ต.อ.สมพร ตามข้อกล่าวหา

 

ข้อ 3 จําเลยเป็นเจ้าของปั้มน้ำมัน นาย ก. ก็เป็นเจ้าของปั้มน้ำมันแต่คนละปั้ม ปรากฏว่าปั้มน้ำมันของจําเลยขายดีมากจนน้ำมันหมด จําเลยจึงขอยืมน้ำมันจากปั้มน้ำมันของนาย ก. จํานวน 5,000 ลิตร โดย ตกลงกันว่าอีก 7 วันจะนํามาคืน ครั้นเมื่อครบกําหนดจําเลยไม่ยอมคืน ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม โดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยยืมน้ำมันของนาย ก. ไปเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง กรรมสิทธิ์ใน น้ำมันจึงตกเป็นของจําเลยแล้ว ย่อมถือไม่ได้ว่าจําเลยครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นอยู่ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจําเลย ไม่ยอมคืนน้ำมันที่ยืมไปจากนาย ก. การกระทําของจําเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ขณะเดียวกันจําเลยก็ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ เนื่องจากจําเลยไม่ได้แย่งการครอบครองน้ำมันไปจาก นาย ก. การกระทําของจําเลยเป็นเพียงผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น (เทียบฎีกาที่ 1250/2530)

สรุป

จําเลยไม่ผิดฐานยักยอกทรัพย์ และไม่ผิดฐานลักทรัพย์ แต่เป็นเพียงผิดสัญญาในทางแพ่ง

 

ข้อ 4 วันเกิดเหตุเด็กชาย ก. นํากระบือไปเลี้ยงที่ทุ่งนา โดยที่ขณะนั้นเด็กชาย ก. ใช้มือจับเชือกจูงกระบือกําลังเดินไปจําเลยถือโอกาสกระชากเชือกเพื่อที่จะให้หลุดจากมือเด็กชาย ก. ปรากฏว่าเชือกไม่หลุด จําเลยจึงเดินเข้าไปแกะเชือกจากมือเด็กจนหลุดจากมือเด็กชาย ก. จากนั้นจําเลยจึงจูงเชือกพากระบือหนีไป ดังนี้จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 339 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้ กําลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่จําเลยแกะเชือกจากมือเด็กชาย ก. จนหลุด และจูงเชือกพากระบือ หนีไปนั้น ถือเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยมีลักษณะเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์แล้ว และ พฤติการณ์ดังกล่าวของจําเลยถือได้ว่าเป็นการใช้กําลังประทุษร้ายโดยมีเจตนาพิเศษ คือ เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ดังนั้น เมื่อการกระทําของจําเลยเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 จําเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์

สรุป

จําเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339

LAW3001 กฎหมายอาญา3 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน) ข้อ

1 เอเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ เห็นปลอดคนมี น.ส.บี พนักงานขายอยู่คนเดียวเกิดความโลภอยากได้เงิน จึงเดินเข้าไปใกล้ น.ส.บี แกล้งทําลวนลาม เพื่อให้ น.ส.บีเดินหนีไปจากเคาน์เตอร์เก็บเงิน ตนจะได้ฉวยโอกาสสลักเงินโดยเอดึงตัว น.ส.บี มากอดและหอมแก้ม น.ส.บี ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนตกใจกลัวจนหัวใจวายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคแรก “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอดึงตัว น.ส.ปีเข้ามากอดและหอมแก้มนั้น แม้เอจะเพียงต้องการ ให้ น.ส.บี เกิดความกลัวจะได้เดินหนีไปจากเคาน์เตอร์เก็บเงิน และเพื่อตนจะได้ฉวยโอกาสลักเงินก็ตาม แต่การกระทําดังกล่าวของเอถือว่าเป็นการใช้กําลังประทุษร้ายต่อ น.ส.บีแล้ว และเมื่อการกระทําของเอเป็นผลให้ น.ส.บี ตกใจกลัวจนหัวใจวายถึงแก่ความตาย ความตายของ น.ส.บีจึงเป็นผลโดยตรง และเป็นผลใกล้ชิดกับการทําร้ายของเอ ดังนั้น เอจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคแรก

สรุป

เอมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคแรก

 

ข้อ 2 นางทับทิมกู้ยืมเงินจากนายเพชร 30,000 บาท โดยมีหลักฐานการกู้ยืมตามกฎหมาย เมื่อหนี้ถึงกําหนดนางทับทิมผิดนัดชําระหนี้ นายเพชรได้ทวงถามหลายครั้งนางทับทิมก็พูดท้าทายให้นายเพชร ไปฟ้องร้องเอา วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 14.00 น. นายเพชรได้เข้าไปในบ้านของนางทับทิมและพูดจาขู่เข็ญให้นางทับทิมชําระหนี้ โดยขู่ว่าถ้ายังไม่ยอมชําระจะใช้มีดกรีดใบหน้าให้หน้าเสียโฉม นางทับทิมเกิดความกลัวจึงบอกให้นายเพชรรอยู่ที่บ้านตนเองจะไปเบิกเงินธนาคารมาให้ ขณะ ออกจากบ้านพบกับเจ้าพนักงานตํารวจสายตรวจที่ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาในหมู่บ้าน นางทับทิม จึงแจ้งให้ตํารวจจับกุมตัวนายเพชร ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า การกระทําของนายเพชรเป็นความผิดเกี่ยวกับ เสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้นต้อง ระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้น หรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเพชรเป็นเจ้าหนี้นางทับทิมจากการกู้ยืมเงินและมีสิทธิที่จะเรียก ให้นางทับทิมลูกหนี้ชําระหนี้ได้ แต่การใช้สิทธิดังกล่าวนายเพชรจะต้องดําเนินการตามกฎหมาย การที่นายเพชร ได้เข้าไปในบ้านของนางทับทิมและพูดจาขู่เข็ญให้นางทับทิมชําระหนี้ โดยขู่ว่าถ้ายังไม่ยอมชําระหนี้จะใช้มีดกรีดใบหน้าให้หน้าเสียโฉมนั้น ถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางทับทิมยังไม่ได้กระทําการชําระหนี้ตามที่ถูกข่มขืนใจเนื่องจากได้แจ้งให้ตํารวจจับกุมตัวนายเพชรเสียก่อน จึงเป็นกรณีที่นายเพชรได้ลงมือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้น ไม่บรรลุผล การกระทําของนายเพชรจึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ๆ ตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80

สรุป

นายเพชรมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทําการใด ๆ ตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 3 จําเลยกับนาย ก. โดยสารรถประจําทางคันเดียวกัน โดยที่นั่งของจําเลยกับที่นั่งของนาย ก. นั่งติดกัน ขณะเกิดเหตุนาย ก. เกิดปวดห้องน้ำ นาย ก. สุกจากที่นั่งและวางกระเป๋าสตางค์ไว้ตรงที่นั่ง จากนั้น นาย ก. พูดกับจําเลยว่า “ช่วยดูกระเป๋าสตางค์ให้ด้วย เดี๋ยวจะมารับคืน” หลังจากพูดเสร็จ นาย ก. เดินเข้าห้องน้ำในรถคันนั้นระหว่างที่นาย ก. กําลังทําธุระในห้องน้ำ จําเลยถือโอกาสเปิดกระเป๋าสตางค์ ของนาย ก. แล้วหยิบเงินไปเป็นจํานวน 2,000 บาท ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตาม มาตรา 352 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. บอกจําเลยว่า “ช่วยดูกระเป๋าสตางค์ให้ด้วย เดี๋ยวจะมารับคืน” นั้น กรณีดังกล่าวถือเป็นการมอบหมายให้จําเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว ยังไม่ถึงกับเป็นการฝากทรัพย์ จึงยังไม่เป็นการส่งมอบการครอบครอง การครอบครองกระเป๋าสตางค์จึงยังคงอยู่ที่นาย ก. ดังนั้น การที่จําเลย เปิดกระเป๋าสตางค์ของนาย ก. แล้วหยิบเอาเงินไป 2,000 บาท จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น และเมื่อเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต จําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 (เทียบฎีกาที่ 179/2507)

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยลอบเข้าไปในบ้านของนาย ก. เวลากลางคืน จําเลยมองเห็นกรงนกของนาย ก. แขวนอยู่ที่ระเบียงบ้าน จําเลยถือโอกาสยกกรงนกพาเดินเคลื่อนที่ไปได้ 2 เมตร บังเอิญนางสาว ข. คนรับใช้ ในบ้านมาพบเข้าพอดี นางสาว ข. จึงเข้าแย่งกรงนกจากจําเลย แต่สู้กําลังของจําเลยไม่ได้ ท้ายที่สุดจําเลยจึงแย่งเอากรงนกไปได้ ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 339 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลัง ประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยยกกรงนกพาเดินเคลื่อนที่ไปได้ 2 เมตรนั้น ถือว่าเป็นการทําให้ ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากเดิมในลักษณะที่จะพาเอาทรัพย์นั้นไปได้แล้ว จึงถือว่าจําเลยได้แย่งการครอบครองทรัพย์ ไปจากนาย ก. โดยทุจริต และเป็นการแย่งการครอบครองได้สําเร็จแล้ว ดังนั้นจําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์

ส่วนการที่นางสาว ข. คนรับใช้ในบ้านมาพบและได้เข้าแย่งกรงนกจากจําเลยแต่สู้กําลังของจําเลยไม่ได้ จําเลยจึงแย่งเอากรงนกไปได้นั้น พฤติการณ์ที่จําเลยแย่งกรงนกไป ไม่ถือว่าเป็นการใช้กําลังประทุษร้าย ดังนั้น การกระทําของจําเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 (เทียบฎีกาที่ 2103/2521)

สรุป

จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แต่ไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339

POL2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม2 S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม 2

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

มาร์กซ์, เลนิน และเมา เซ ตุง

1 ชนชั้นกลางเกิดขึ้นจากการขยายตัวของ

(1) การเมือง

(2) เศรษฐกิจ

(3) สังคม

(4) วัฒนธรรม

(5) อุตสาหกรรม

ตอบ 5 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในช่วงปี ค.ศ. 1815 – 1848 เยอรมนีกําลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คือ สังคมกําลังพัฒนาจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคม อุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ผลจากการขยายตัวของระบบอุตสาหกรรมได้ทําให้มีชนชั้นกลางเกิดขึ้น ซึ่งชนชั้นกลางนี้ก็คือพวกพ่อค้า พวกนี้ต่อมายกระดับจากการเป็นพ่อค้าไปเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีความมั่งคั่ง และเป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องการเมืองมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

2 ความเป็นชนชั้นกลางวัดได้จาก

(1) ความสนใจในการเมืองมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

(2) ความสนใจในเศรษฐกิจมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

(3) ความสนใจในสังคมมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

(4) ความสนใจในวัฒนธรรมมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

(5) ความสนใจในอุตสาหกรรมมากกว่าชนชั้นอื่น ๆ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3 แนวคิด “อนุรักษนิยม” ก่อนปี ค.ศ. 1848 มีอิทธิพลมาจากข้อใด

(1) ชนชั้นกลาง

(2) ชนชั้นสูง

(3) กลุ่มศาสนา

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 หน้า 173 สถานการณ์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1848 การเมืองพัฒนาล้าหลังกว่าทางเศรษฐกิจกล่าวคือ ยังไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีรัฐธรรมนูญ และคนมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกัน ออกไป โดยชนชั้นฟิวดัลและกลุ่มศาสนาจะมีแนวความคิดอนุรักษนิยม ส่วนชนชั้นกลางจะมีแนวความคิดแบบเสรีนิยม

4 นักคิดจากประเทศใดต่อไปนี้ที่มีอิทธิพลต่อ Kart Marx ในการที่จะช่วยแก้ปัญหาคนจน

(1) ประเทศอังกฤษ

(2) ประเทศฝรั่งเศส

(3) ประเทศอิตาลี

(4) ประเทศสวีเดน

(5) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตอบ 2 หน้า 173 Kart Mar. ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดของนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ซัง ซิมองต์ (Saint Simon) ในการที่จะช่วยแก้ปัญหาคนจน โดยมีผลต่อการกําหนดทัศนะในการมองโลกของ Marx ตั้งแต่เด็ก ซึ่งก็คือการให้ “ความสนใจต่อชนชั้นที่ยากจน” ในสังคมนั่นเอง

5 ผู้ที่มีอิทธิพลต่อ Kart Marx ในเรื่อง “Dialectic Process”

(1) Friedrich Engels

(2) George Wilhelm Friedrich Hegel

(3) Ludwig Feuerbach

(4) Adam Smith

(4) David Ricardo

ตอบ 2 หน้า 174, 178, (คําบรรยาย) Kart Marx ได้รับอิทธิพลทางความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสังคมมาจากกระบวนการวิภาษวิธี (Dialectic Process) หรือความเป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งของจอร์จ วิลเลียม – ฟรีดริช เฮเกล (George Wilhelm Friedrich Hegel) โดยเขาเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกนี้ มีความขัดแย้งกันในตัวมันเอง และความขัดแย้งนั้นมีรากมาจากความคิดแบบวัตถุนิยม

6 “การต่อสู้ทางชนชั้น” เป็นทฤษฎี Marx ใช้สถานการณ์ของประเทศใด

(1) ประเทศอังกฤษ

(2) ประเทศฝรั่งเศส

(3) ประเทศอิตาลี

(4) ประเทศเบลเยียม

(5) ประเทศสหรัฐอเมริกา

ตอบ 2 หน้า 175 ในช่วงที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสหลายครั้งนั้น Marx และ Engels ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเรื่อง คําประกาศคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) ขึ้นในปี ค.ศ. 1848 โดย Marx ได้ใช้ความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงนั้นส่งเสริมทฤษฎี “การต่อสู้ทางชนชั้น” จนเขาถูกรัฐบาลฝรั่งเศสเนรเทศออกจากกรุงบรัสเซล

7 “คําประกาศคอมมิวนิสต์” เกิดขึ้นในปี

(1) ค.ศ. 1818

(2) ค.ศ. 1836

(3) คศ. 1848

(4) ค.ศ. 1865

(5) ค.ศ. 1883

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ ภาพ

8 สิ่งที่เป็นตัวจัดระบบสังคม ในทัศนะของ Mark

(1) ระบบสังคม

(2) ระบบเศรษฐกิจ

(3) ระบบการเมือง

(4) ระบบความเชื่อ

(5) ระบบวัฒนธรรม ตอบ 2 หน้า 177 Marx เห็นว่า สิ่งที่เป็นตัวจัดระบบสังคมก็คือระบบเศรษฐกิจ โดยเขาเชื่อว่าเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่สําคัญที่สุดในการควบคุมสังคม การเมือง และความคิดของคน

9 ระบบที่ Marx ระบุว่า เป็นระบบที่เลวร้าย คือ

(1) บุพกาล

(2) ทาส

(3) ศักดินา

(4) ทุนนิยม

(5) คอมมิวนิสต์

ตอบ 4 หน้า 177 Max เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นระบบที่เลวร้ายมากที่สุด โดยดูได้จากประวัติศาสตร์การเกิดและวิธีการทํางานของระบบทุนนิยมที่ทําลายความเป็นมนุษย์ ซึ่งทั้งประวัติศาสตร์และวิธีการทํางานของระบบนี้ Marx ใช้เป็นพื้นฐานในการทํานายอนาคตของโลก คือ ผลสุดท้ายสังคมทุนนิยมจะทําลายตัวเอง และสุดท้ายสังคมจะพัฒนาเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมาชิกทุกคนเสมอภาคและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง ๆ

10 Marx เชื่อว่า ทุกอย่างในโลกมีความขัดแย้งในตัวเอง โดย Marx เชื่อว่า ความขัดแย้งนั้นมีรากมาจาก

(1) วัตถุนิยม

(2) จิตนิยม

(3) สังคมนิยม

(4) ชาตินิยม

(5) เชื้อชาตินิยม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

11 สิ่งใดต่อไปนี้ที่ Marx เรียกว่าโครงสร้างส่วนบน

(1) ศาสนา

(2) รัฐบาล

(3) รูปแบบการผลิต

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 179, (คําบรรยาย) Marx ได้จําแนกโครงสร้างของสังคมออกเป็น 2 ส่วน คือ

1 โครงสร้างส่วนบน (Superstructure) ได้แก่ สถาบันต่าง ๆ ในสังคม เช่น กฎหมาย ศาสนา รัฐบาล ศีลธรรม การเมือง ปรัชญา ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ฯลฯ

2 โครงสร้างส่วนล่าง (Substructure) ซึ่งเป็นรากฐานของระบบการผลิตทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย รูปแบบการผลิต (วิธีการผลิต เครื่องมือการผลิต เช่น จอบ เสียม เครื่องจักร แรงงาน ฯลฯ) และความสัมพันธ์ทางการผลิต ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องมือการผลิต

12 “ความรู้สึกแปลกแยก” หมายถึง

(1) กรรมกรยิ่งผลิตมากยิ่งมีความสุขมาก

(2) กรรมกรยิ่งผลิตมากยิ่งมีพลังมากขึ้น

(3) กรรมกรยิ่งทํางานยิ่งชื่นชมการผลิต

(4) กรรมกรยิ่งผลิตยิ่งมั่งคั่ง

(5) กรรมกรยิ่งผลิตยิ่งไร้ค่า

ตอบ 5 หน้า 184 185, คําบรรยาย) Max อธิบายว่า ในสังคมทุนนิยมนั้น นอกจากจะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการกดขี่ทางชนชั้นแล้วยังเป็นสังคมของการผลิตที่ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือที่เรียกว่า “ความรู้สึกแปลกแยก” (Alienation) ซึ่งดูได้จากความจริงที่ว่า ยิ่งกรรมกรผลิตมาก กรรมกรก็ยิ่งจนลง และกรรมกรยิ่งมีชีวิตที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ลดลง กล่าวคือ กรรมกรยิ่งผลิตยิ่งไร้ค่า

13 “เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ” หมายถึง

(1) ประชาธิปไตย

(2) สังคมนิยม

(3) ชาตินิยม

(4) เชื้อชาตินิยม

(5) ภูมิภาคนิยม

ตอบ 2 หน้า 186, (คําบรรยาย) ในแนวคิดของ Marx นั้น “เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ” หมายถึง การปกครองแบบสังคมนิยมหรืออํานาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีเป้าหมาย 2 ประการ คือ

1 กวาดล้างโครงสร้างระบบนายทุน

2 สร้างสถาบันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมาแทนที่

14 ในสังคมใดที่กรรมกรจะได้รับค่าจ้างตามแรงงาน

(1) สังคมบุพกาล

(2) สังคมทาส

(3) สังคมศักดินา

(4) สังคมทุนนิยม

(5) สังคมคอมมิวนิสต์

ตอบ 4 หน้า 180 – 188, (คําบรรยาย) Mark อธิบายวา สังคมจะมีการพัฒนาเป็นยุค ๆ ทั้งหมด 5 ยุค ตามรูปแบบการผลิต ได้แก่

1 ยุคสังคมดึกดําบรรพ์ (สังคมบุพกาล) เป็นสังคมที่ไม่มีเครื่องมือการผลิต

2 ยุคสังคมทาส เป็นสังคมที่มนุษย์เริ่มมีเครื่องมือการผลิต มีการสะสมผลผลิต มีทรัพย์สินส่วนตัวและเริ่มมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นนายทาสที่เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต และชนชั้นทาสที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต 3 ยุคสังคมศักดินาหรือฟิวดัล เป็นสังคมที่มีเครื่องมือการผลิตที่ก้าวหน้า มีการใช้เครื่องจักร

4 ยุคสังคมทุนนิยม เป็นสังคมที่กดขี่ทางชนชั้นและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกรรมกร ซึ่งทําให้แรงงานกลายเป็นสินค้า และเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้กรรมกรมีความรู้สึกแปลกแยก กับการดํารงชีวิตมากที่สุด ในขณะที่ทํางานตามความสามารถและพอใจที่จะรับค่าจ้างตามแรงงานหรือตามความต้องการของแต่ละคน

5 ยุคสังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมที่ไร้ชนชั้นหรือไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น เพราะสังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ทุกคนทํางานเต็มที่ตามความสามารถและพอใจที่จะรับค่าตอบแทนตามความจําเป็นของตนเอง

15 สิ่งใดต่อไปนี้ที่ Kart Marx ปฏิเสธไม่ยอมรับ

(1) ความเป็นชนชั้น

(2) สังคมคอมมิวนิสต์

(3) สังคมทุนนิยม

(4) ศาสนา

(5) มูลค่าส่วนเกิน

ตอบ 4 หน้า 196 Marx ปฏิเสธไม่ยอมรับศาสนา เพราะเชื่อว่าศาสนาเป็นสิ่งมัวเมาเหมือนยาเสพติดที่ทําให้คนอยู่แต่ในโลกจินตนาการ และลืมความเป็นจริงในโลก

16 Lenin ระบุว่า

(1) พลังสําคัญในการปฏิวัติคือ กรรมกรเท่านั้น

(2) ต้องสร้างนักปฏิวัติอาชีพ

(3) การปฏิวัติต้องเกิดขึ้นครั้งละหลาย ๆ ประเทศ

(4) จิตสํานึกทางการเมืองเกิดขึ้นเองได้

(5) สาเหตุของการปฏิวัติต้องเกิดจากเรื่องเศรษฐกิจ

ตอบ 2 หน้า 200, 203, 206 207 Lenin ระบุว่า “การปฏิวัติสังคมนิยม” จะสําเร็จได้ต้องมีเงื่อนไขดังนี้

1 ต้องสร้างนักปฏิวัติอาชิพมาทําหน้าที่เป็นผู้นําในการปฏิวัติและปลุกจิตสํานึกทางการเมืองให้

2 พลังสําคัญในการปฏิวัติคือ ชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) และชาวนาชาวไร่เข้าร่วมด้วย

3 เกิดขึ้นในประเทศเดียวก็ได้ ไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในหลายประเทศ

4 เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง ไม่จําเป็นต้องมีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

17 Lenin ระบุว่า

(1) พรรคเป็นตัวแทนของกรรมกร

(2) พรรคเป็นผู้นําของกรรมกร

(3) พรรคเป็นตัวแทนของนายทุน

(4) พรรคต้องใช้ความรุนแรงตลอดเวลา

(5) พรรคต้องปล่อยให้สมาชิกทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์พรรคได้ตลอดเวลา

ตอบ 2 หน้า 203 – 204 Lenin ระบุว่า พรรคต้องดําเนินตามหลักการ “ศูนย์กลางประชาธิปไตย” (Democratic Centralism) นั่นคือ นโยบายของพรรคต้องมีการกําหนดโดยให้มีการถกเถียง อย่างอิสระโดยสมาชิกทุกคน และเมื่อนโยบายได้ถูกกําหนดแล้ว ทุกคนจะต้องทําตาม ห้ามมิให้ มีการวิจารณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อทําให้พรรคมีลักษณะเป็นการรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิก ดังนั้นพรรคจึงมีฐานะเป็นผู้นําของกรรมกร แต่มิได้เป็นตัวแทนของกรรมกร

18 สิ่งที่ทําให้เกิด “สงคราม” ในทัศนะของ Lenin

(1) การพัฒนาที่ไม่เท่ากันของระบอบการเมือง

(2) การพัฒนาที่ไม่เท่ากันของระบบทุนนิยม

(3) การพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันด้านการศึกษา

(4) การพัฒนาที่ไม่เท่าเทียมกันด้านวัฒนธรรม

(5) การพัฒนาทางสติปัญญาที่ไม่เท่ากันของคนในสังคม

ตอบ 2 หน้า 205 Lenin เชื่อว่า หากสังคมอยู่ในยุคทุนนิยม สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสงครามเป็นผลมาจากการมีเครื่องมือการผลิตไว้ในครอบครอง นั่นคือ การพัฒนาที่ไม่เท่ากันของระบบทุนนิยมจะทําให้เกิดสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

19 การพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยมในทัศนะของ Lenin

(1) ระบบบุพกาล

(2) ระบบทาส

(3) ระบบศักดินา

(4) ระบบคอมมิวนิสต์

(5) ระบบจักรวรรดินิยม

ตอบ 5 หน้า 210 211 ทฤษฎีจักรวรรดินิยม เป็นแนวคิดของ Lenin ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมกันของระบบเศรษฐกิจและการเมือง โดย Lenin อธิบายว่า ทําไมจึงไม่มีการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศทุนนิยมที่เจริญเต็มที่ ซึ่งคําตอบก็คือ ในระบบทุนนิยมนั้นจะมีการสร้างวิธีการลดความรุนแรงของความขัดแย้งในสังคมทุนนิยมลง โดยการส่งความขัดแย้งไปยังอาณานิคมทั่วโลก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยมก็คือระบบจักรวรรดินิยมนั่นเอง

20 การปฏิวัติในจีนของ Mao Tse Tung มีวัตถุประสงค์เพื่อ

(1) กําจัดนายทุน

(2) ล้มล้างจักรวรรดินิยม

(3) ล้มล้างพวกปฏิกิริยา

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 229 เมา เซ ตุง (Mao Tse Tung) อธิบายว่า เป้าหมายของการปฏิวัติจีน คือ การล้มล้างการปกครองของจักรวรรดินิยมต่างชาติและพวกปฏิกิริยา แต่มิได้ทําลายส่วนหนึ่งของลัทธิทุนนิยมซึ่งสามารถใช้ต่อต้านจักรวรรดินิยมและระบบฟิวดัล

21 ประสบการณ์จากการปฏิวัติในจีนในระหว่างปี 1930 – 1940 ทําให้ Mao สร้างสิ่ง

(1) สงครามกองโจร

(2) อํานาจมาจากปากกระบอกปืน

(3) การปฏิวัติโลก

(4) ประชาธิปไตยแบบใหม่

(5) ระบบเศษ 3 ส่วน 4

ตอบ 2 หน้า 232 “อํานาจมาจากปากกระบอกปืน” เป็นทฤษฎีที่ Mao เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิวัติในจีนระหว่างปี ค.ศ. 1930 – 1940 โดยเห็นว่าสงครามเป็นรูปแบบสูงสุดของการต่อสู้ และสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสงครามเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม

22 ประสบการณ์การทําสงครามกับญี่ปุ่น ทําให้ Mao เรียนรู้ยุทธวิธีในข้อใด

(1) สงครามกองโจร

(2) อํานาจมาจากปากกระบอกปืน

(3) การปฏิวัติโลก

(4) ประชาธิปไตยแบบใหม่

(5) ระบบเศษ 3 ส่วน 4

ตอบ 1 หน้า 232 Miao ได้เสนอยุทธวิธีในการทําสงครามปฏิวัติเพื่อปลดแอกขึ้นมาใหม่ เรียกว่า “สงครามกองโจร” ซึ่งเป็นสงครามนอกแบบที่ไม่มีการประกาศเป็นทางการ ไม่มีอาณาเขตที่แน่นอนตายตัวในการจู่โจม โดยเขาได้เรียนรู้ยุทธวิธีนี้มาจากการทําสงครามกับญี่ปุ่น

23 เครื่องมือสําคัญในการสร้างคนของ Mao

(1) การใช้ศิลปะ

(2) การใช้วัฒนธรรม

(3) การใช้การเมือง

(4) การใช้เศรษฐกิจ

(5) การใช้การศึกษา

ตอบ 5 หน้า 236 Miao เห็นว่า การพัฒนาสังคมนิยมคือการเน้นความสําคัญของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม และการศึกษาอย่างกว้าง ๆ ที่ต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างคนขึ้นมาใหม่ในสังคมจีน ดังนั้นจึงสนับสนุนให้มีการศึกษาแบบใหม่ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ

24 Mao ระบุว่า ความขัดแย้ง มี 2 ประเภท 1 ในนั้นคือ

(1) ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับศัตรู

(2) ความขัดแย้งในหมู่ประชาชนกับสังคม

(3) ความขัดแย้งในการพัฒนาพลังการผลิต

(4) ความขัดแย้งระหว่างสังคมกับธรรมชาติ

(5) ความขัดแย้งทุกประการที่เกิดขึ้นในโลก

ตอบ 1 หน้า 227 228 Mao เห็นว่า ในสังคมจีนนั้นมีความขัดแย้งอยู่ 2 ประเภท คือ ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับศัตรู และความขัดแย้งในหมู่ประชาชน โดยความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับศัตรูจะเป็นความขัดแย้งที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน ส่วนความขัดแย้งในหมู่ประชาชนจะไม่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กัน

25 Mao เชื่อว่า ประวัติศาสตร์เป็นการแสดงออกถึง

(1) การต่อสู้ระหว่างชนชั้น

(2) ความล้าหลังของการพัฒนาสังคมที่จีน

(3) การกระทําของคนที่พยายามชนะธรรมชาติ

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก

ตอบ 5 หน้า 224 225 Miao เชื่อว่า ประวัติศาสตร์เป็นการแสดงออกถึงการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นผู้กดขี่กับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ และเป็นการแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างจิตนิยมกับวัตถุนิยมด้วย อีกทั้งยังเป็นการกระทําของคนที่พยายามชนะธรรมชาติ เนื่องจากคนจําเป็นต้องต่อสู้เพื่อความ อยู่รอด

 

มองเตสกิเออ (Montesquieu)

26 มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติในทัศนะของ Montesquieu

(1) โหดร้าย ก้าวร้าว ไม่มีกฎเกณฑ์

(2) รักเสรีภาพ อ่อนโยน มีเมตตา

(3) ทําร้ายซึ่งกันและกัน

(4) สะสมทรัพย์และอํานาจ

(5) อ่อนแอ ขี้ขลาด และหวาดกลัว

ตอบ 5 หน้า 49 มองเตสกิเออ เห็นว่า มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นสัตว์โลกที่มีความอ่อนแอ ขี้ขลาด และหวาดกลัวเป็นคุณสมบัติประจําตัว ดังนั้นจึงทําให้ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน โดยก่อนหน้าที่สังคมจะเกิดขึ้นนั้น แต่ละคนจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและคิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น

27 การเกิดสังคมการเมืองในทัศนะของ Montesquieu

(1) มนุษย์ต้องการความเสมอภาค

(2) มนุษย์ต้องการการปกครองที่มีความเป็นธรรม

(3) มนุษย์ต้องการสันติภาพ

(4) มนุษย์ต้องการความสุขความสมหวัง

(5) มนุษย์ต้องการความปลอดภัย

ตอบ 3 หน้า 50 Montesquieu เห็นว่า การเกิดสังคมการเมืองนั้นขึ้นอยู่กับกฎธรรมชาติ 4 ประการ คือ

1 มนุษย์ต้องการสันติภาพ

2 มนุษย์ต้องการแสวงหาสิ่งที่จะมาบําบัดความต้องการของตน

3 มนุษย์ต้องการคบหาสมาคมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

4 มนุษย์ต้องการที่จะดํารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม

28 การแยกอํานาจ (Separation of Power) เป็นผลดีในด้านใด

(1) การผ่อนปรนการใช้อํานาจ

(2) ประชาชนมีส่วนร่วม

(3) แบ่งงานกันทํา

(4) เกิดประสิทธิภาพการบริหาร

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 58, 62, (คําบรรยาย) Montesquieu ได้เสนอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลสายกลางเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันในอิสรภาพทางการเมือง โดยจัดให้มีระบบการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) และระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย อันได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งทัศนะดังกล่าวนี้จะเป็นผลดีในด้าน การผ่อนปรนการใช้อํานาจปกครอง และยังถือเป็นรากฐานของระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดีและระบบกึ่งประธานาธิบดีในปัจจุบัน

29 องค์กรหรือสถาบันใดที่จะช่วยตรวจสอบและจํากัดอํานาจการบริหารที่ป้องกันการใช้อํานาจเกินขอบเขต

(1) กองทัพ

(2) ขุนนาง

(3) นิติบัญญัติ

(4) รัฐธรรมนูญ

(5) กฎหมายการเมือง

ตอบ 2 หน้า 53, 60 ในทัศนะของ Montesquieu นั้น สถาบันตัวกลางในรัฐบาลแบบกษัตริย์หมายถึง สถาบันที่อยู่ระหว่างกษัตริย์กับประชาชน ซึ่งก็คือบรรดาขุนนางและข้าราชการ โดยจะคอยช่วยเหลือกษัตริย์ในการบริหารงาน รวมทั้งยังเป็นสถาบันที่ช่วยตรวจสอบและจํากัดอํานาจบริหารของกษัตริย์ไม่ให้ใช้อํานาจนอกเหนือจากที่กฎหมายกําหนด

30 รูปแบบรัฐบาลของ Montesquieu คือ

(1) รัฐบาลแบบประชาธิปไตย

(2) รัฐบาลแบบสาธารณรัฐ

(3) รัฐบาลสายกลาง

(4) รัฐบาลแบบอภิชนาธิปไตย

(5) รูปแบบใด ๆ ที่ก่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน

ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) Montesquieu เห็นว่า รูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐบาลที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลสายกลาง (Moderate Government) ซึ่งการสถาปนารัฐบาลสายกลางขึ้นมาจะช่วย ให้เกิดความมั่นคงในสังคมขึ้นมาได้ เพราะรัฐบาลสายกลางจะยึดถือหลักการแห่งอิสรภาพหรือเสรีภาพของประชาชนเป็นหลักการสําคัญ

31 หลักการ Check and Balance สอดคล้องกับข้อใด

(1) การเลือกตั้งวุฒิสภา

(2) การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา

(3) สภาผู้แทน-สภาขุนนาง

(4) การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

(5) การมีส่วนร่วมทางการเมือง

ตอบ 3 หน้า 58, (คําบรรยาย) ในทัศนะของ Montesquieu นั้น การตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจ (Check and Balance) คือ การให้แต่ละอํานาจสามารถตรวจสอบการทํางานของกันและกันได้ และอํานาจที่แยกให้แต่ละองค์กรใช้นั้นต่างมีฐานะเท่ากัน โดยอํานาจหนึ่งจะถอดถอนอีกอํานาจหนึ่งไม่ได้ ซึ่งหลักการดังกล่าวนี้จะสอดคล้องกับการใช้อํานาจของฝ่ายนิติบัญญัติ (สภาผู้แทน-สภา ขุนนาง) ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ

32 ในทัศนะของ Montesquieu อะไรเป็นสาเหตุของความเสื่อมของรัฐบาลแบบประชาธิปไตย

(1) ทหารเข้าแทรกแซง

(2) ประชาชนนอนหลับทับสิทธิ

(3) ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากเกินไป

(4) ปล่อยให้มีความเสมอภาคกันจนไม่มีขอบเขต

(5) ความไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาไว้ได้

ตอบ 4 หน้า 56 Montesquieu กล่าวว่า สําหรับรัฐบาลประชาธิปไตยนั้น หากปล่อยให้มีความเสมอภาคกันจนไม่มีขอบเขตแล้ว รัฐบาลแบบนี้ก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะต่างคนต่างก็ทําตามความต้องการของตน ความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นตามมา 33 ในทัศนะของ Montesquieu อะไรเป็นหลักการของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐ (Republic)

(1) หลักเกียรติยศ

(2) หลักคุณธรรม

(3) หลักความยุติธรรม

(4) หลักความถูกต้อง

(5) หลักความเสมอภาค

ตอบ 2 หน้า 53 – 54 Montesquieu ได้แยกหลักการของรัฐบาลตามธรรมชาติของรัฐบาลไว้ดังนี้

1 หลักการของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐ (Republic) คือ คุณธรรม

2 หลักการของรัฐบาลแบบกษัตริย์ (Monarchy) คือ เกียรติยศ

3 หลักการของรัฐบาลแบบเผด็จการ (Despotism) คือ ความกลัว

34 ผู้ใช้อํานาจของ “องค์กรบริหาร” ในทัศนะของ Montesquieu

(1) คณะรัฐมนตรี

(2) ประธานาธิบดี

(3) นายกรัฐมนตรี

(4) ตัวแทนของประชาชน

(5) กษัตริย์โดยความช่วยเหลือของขุนนาง

ตอบ 5 หน้า 59 – 60 Montesquieu ได้แบ่งผู้ใช้อํานาจของรัฐบาลสายกลางออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 องค์กรนิติบัญญัติ เป็นอํานาจที่ใช้โดยสภา 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและสภาสูง

2 องค์กรบริหาร เป็นอํานาจที่ใช้โดยกษัตริย์ด้วยความช่วยเหลือของขุนนาง

3 องค์กรตุลาการ เป็นอํานาจที่ใช้โดยองค์กรที่ไม่ถาวร หรือตุลาการ

 

สํานักอนุรักษนิยม (Conservative)

35 ทัศนะของ Home เกี่ยวกับรัฐที่ดี

(1) รัฐบาลที่ไม่แทรกแซงกิจการของเอกชน

(2) รัฐที่ยอมรับมติจากประชาชน

(3) รัฐที่สร้างสันติภาพ ความเป็นระเบียบ และผดุงความยุติธรรม

(4) รัฐที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย

(5) รัฐที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองมากที่สุด

ตอบ 3 หน้า 91 รัฐที่ดีในทัศนะของ Hume คือ รัฐที่มีหน้าที่ในการสร้างความยุติธรรมและสันติภาพกับความเป็นระเบียบในสังคมให้เกิดขึ้นได้

36 ผู้พิทักษ์สันติภาพได้ดีที่สุดในทัศนะของ Burke

(1) ผู้มีความรู้สูง

(2) ชนชั้นสูง

(3) รัฐบาล

(4) กฎหมาย

(5)ประชาชนทุกคน

ตอบ 2 หน้า 100, (คําบรรยาย) Burke เห็นว่า ชนชั้นสูงจะเป็นผู้พิทักษ์สันติภาพหรือเสรีภาพได้ที่ที่สุด และช่วยปกป้องสังคมให้ปราศจากระบบเผด็จการอํานาจนิยม (Authoritarianism) หรือเผด็จการแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ควบคู่ไปกับช่วยป้องกันระบบทรราชที่มีคนนิยมอยู่ใน ขณะนั้นได้อีกด้วย

37 ทัศนะของ Hume มนุษย์มีความจําเป็นที่จะต้องธำรงรักษาสังคมไว้เพื่ออะไร

(1) เสรีภาพ

(2) ความยุติธรรม

(3) ความเสมอภาค

(4) จริยธรรม

(5) ภราดรภาพ

ตอบ 2 หน้า 89 – 90 ในทัศนะของ Hume นั้น รัฐหรือสังคมการเมืองมีรากเหง้าความเป็นมาจาก

1 “ความจําเป็น” ของมนุษย์ที่จะต้องธํารงรักษาสังคมให้มีอยู่เพื่อความยุติธรรม

2 “ความโน้มเอียงตามธรรมชาติ” ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของมนุษย์

3 “นิสัย” ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยทําให้เกิดความเคยชินต่อการเคารพเชื่อฟัง

38 Hume ให้ความหมาย “ความยุติธรรม” (Justice) ไว้ว่าอย่างไร

(1) ความทัดเทียมกันทางเศรษฐกิจ

(2) ความทัดเทียมกันด้านสังคม

(3) ความเท่าเทียมกันในด้านการเมือง

(4) การยอมรับในทรัพย์สินส่วนบุคคล

(5) การที่รัฐต้องปฏิบัติต่อประชาชนเท่าเทียมกัน

ตอบ 4 หน้า 91 ในทัศนะของ Hume นั้น ความยุติธรรม (Justice) หมายถึง การยอมรับในสิทธิการมีทรัพย์สินส่วนบุคคลหรือกรรมสิทธิ์ส่วนตัว

39 ทัศนะของ Hume ต่อมาตรฐานทางศีลธรรม

(1) ความรู้สึกจะบอกมาตรฐานทางศีลธรรม

(2) มนุษย์มีเหตุผลเพื่อประโยชน์ตน

(3) ประสบการณ์ของมนุษย์จะกําหนดมาตรฐานทางศีลธรรม

(4) ศาสนาจะกําหนดมาตรฐานทางศีลธรรม

(5) กฎหมายคือส่วนสําคัญของศีลธรรม

ตอบ 3 หน้า 88 – 89 Hume เห็นว่า มาตรฐานทางศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกําหนดขึ้นมาจากประสบการณ์ของมนุษย์เอง ซึ่งประสบการณ์นี้จะเป็นเครื่องกําหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรหลีกเลี่ยง อะไรควรรีบรับ ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่นั่งคิดขึ้นมาและเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น

40 ทัศนะของ Burke ต่อสิทธิของมนุษย์

(1) มนุษย์มีสิทธิตั้งแต่เกิด

(2) เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้

(3) สิทธิเกิดขึ้นเมื่อมีกฎหมาย

(4) สิทธิไม่สามารถถ่ายโอนได้

(5) การปฏิวัติเป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 98, (คําบรรยาย) Burke เห็นว่า สิทธิของมนุษย์นั้นจะเกิดขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายโดยสิทธิการปกครองตนเองอาจเคยมีอยู่ในสภาวะแรกเริ่ม แต่มิใช่สิทธิทางสังคม เพราะเมื่อคนเข้ามาสู่สังคมการเมืองแล้วสิทธิแรกเริ่มจะถูกทิ้งไป

41 ที่อยู่เบื้องหลังหรือเป็นที่มาของประเพณีและสถาบันต่าง ๆ ในทัศนะของ Burke

(1) กฎหมาย

(2) ความรู้ความสามารถ

(3) ความเท่าเทียมกัน

(4) ภูมิปัญญาของสังคม

(5) ประโยชน์ของมนุษย์

ตอบ 5 หน้า 97, (คําบรรยาย) Burke เห็นว่า สถาบันต่าง ๆ ที่คนก่อตั้งขึ้นมานั้นเป็นการก่อตั้งขึ้นมาจากขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้าเป็นระเบียบ ทีละเล็กทีละน้อยต่อเนื่องกับอดีต โดยที่มีผลประโยชน์ของคนส่วนรวมเป็นพลังผลักดันให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในการกําหนดโครงสร้างของสังคมการเมืองที่ซับซ้อน หรือโครงสร้างของประเพณีและสถาบันต่าง ๆ ขึ้นมา

42 สํานักอนุรักษนิยมให้ความสําคัญในเรื่องใดเป็นที่สุด

(1) หลักเสรีภาพ

(2) หลักกฎหมาย

(3) หลักแห่งเสรีภาพ

(4) ดุลยภาพของสังคม

(5) หลักแห่งความเสมอภาค

ตอบ 4 หน้า 97, (คําบรรยาย) นักอนุรักษนิยมโดยเฉพาะ Burke จะให้ความสําคัญแก่ดุลยภาพของสังคมมากที่สุด โดยเขาเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงและการปฏิวัติอาจทําลายดุลยภาพของโครงสร้างทางสังคมให้พินาศเสื่อมสูญลงได้

สํานักประโยชน์นิยม (The Utilitarians)

43 ทัศนะของ Bentham ต่อสิทธิของคนกลุ่มน้อย

(1) สิทธิของคนกลุ่มน้อยจะต้องถูกทดแทนเมื่อมีการละเมิดไม่ว่าในกรณีใด

(2) รัฐบาลต้องรับฟังเสียงและสิทธิของคนส่วนน้อยอย่างตั้งใจ

(3) สิทธิของบุคคลต้องได้รับการปกป้อง

(4) สิทธิอาจถูกจํากัดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มาก

(5) สิทธิของคนส่วนน้อยจะถูกละเมิดมิได้

ตอบ 4 หน้า 144, (คําบรรยาย) ในเรื่องสิทธิของคนกลุ่มน้อย (Minority Right) นั้น Bentham เห็นว่าถ้าผลประโยชน์สูงสุดถูกกระทบกระเทือน ก็อาจจํากัดสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกชนลงได้ แม้จะต้องละเมิดสิทธิของคนกลุ่มน้อยก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของคนหมู่มากนั่นเอง ซึ่งทัศนะในเรื่องนี้ของ Bentham จะสอดคล้องต้องกันกับของ James Mill นั่นคือ ทั้งสองคนไม่ได้ให้ความสําคัญแก่สิทธิของคนกลุ่มน้อย

44 ผู้ไม่ได้ให้ความสําคัญแก่สิทธิของคนกลุ่มน้อย (Minority Right)

(1) Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) Bentham & James Mill

(5) James Mill & John Stuart Mill

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 43 ประกอบ

45 ทัศนะของ Jeremy Bentham ต่อสิทธิ์

(1) สิทธิติดตัวมาตั้งแต่มนุษย์เกิดมา

(2) มีกฎหมายจึงมีสิทธิ

(3) เมื่อมีสังคมจึงมีสิทธิ

(4) สิทธิมีอยู่แล้วในธรรมชาติ

(5) สิทธิเกิดเมื่อมีการทําสัญญา

ตอบ 2 หน้า 142 Bentham คัดค้านหลักสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยเขาเห็นว่า สิทธิของมนุษย์นั้นเป็นสิทธิที่ได้มาโดยกฎหมาย กล่าวคือ มีกฎหมายจึงมีสิทธิ ไม่ใช่สิทธิที่ได้มาโดยธรรมชาติ หรือโดยกําเนิดตามที่ชอบอ้างกันแต่อย่างใด 46 หลักคิดที่สําคัญของสํานักประโยชน์นิยม

(1) หลักเสรีภาพ

(2) หลักเหตุผล

(3) หลักประชาธิปไตย

(4) หลักประสบการณ์

(5) หลักความสุขสูงสุดของคนจํานวนมากที่สุด

ตอบ 5 หน้า 138, 142, (คําบรรยาย) หลักคิดที่สําคัญของสํานักประโยชน์นิยมที่ได้นํามาใช้ในการกําหนดนโยบายของรัฐ คือ “หลักความสุขสูงสุดของคนจํานวนมากที่สุด” หรือ“หลักประโยชน์สูงสุดของคนจํานวนมากที่สุด”

47 “ระบบผู้แทนเป็นทางออกของทุกปัญหา” เป็นทัศนะของใคร

(1) Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) Bentham & James Mill

(5) James Mill & John Stuart Mill

ตอบ 2 หน้า 150 – 152 แนวความคิดที่สําคัญของ James Mill ได้แก่

1 จุดมุ่งหมายปลายทางของรัฐบาลก็คือ ความสุขมากที่สุดของประชากรจํานวนมากที่สุด

2 ระบบผู้แทน เป็นระบบยิ่งใหญ่ที่ค้นพบได้ในสมัยใหม่ เป็นระบบที่สามารถยุติความลําบากและข้อยุ่งยากทั้งปวง รวมทั้งเป็นทางออกของทุกปัญหาด้วย

3 ผู้แทนราษฎรทุกคนต้องมีสองสถานะ คือ เป็นผู้แทนซึ่งต้องใช้อํานาจเหนือผู้อื่น และเป็นสมาชิกของชุมชน

4 นิยมการปกครองโดยชนชั้นกลางเช่นเดียวกันกับ Aristotle ฯลฯ

48 ผู้เสนอให้มีการเลือกผู้แทน “แบบสัดส่วน

(1) Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) Bentham & James Mill

(5) James Mill & John Stuart Mill

ตอบ 3 หน้า 152, 159, 161 – 163 แนวความคิดที่สําคัญของ John Stuart Mitt ได้แก่

1 เสนอให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้เท่าเทียมกับบุรุษ

2 ให้ความสําคัญในเรื่องเสรีภาพ (Liberty) ส่วนบุคคลอย่างมาก โดยเชื่อว่า “การห้ามแสดงความคิดเห็น ถือว่าเป็นการปล้นมนุษย์”

3 จุดหมายปลายทางของรัฐบาลก็คือ การทําให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น

4 ให้ความสําคัญแก่สิทธิของคนกลุ่มน้อย (Minority Right) โดยเสนอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน ฯลฯ

49 James Mill กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ดังนี้

(1) อายุ 18 ปีขึ้นไป

(2) อายุ 20 ปีขึ้นไป

(3) อายุ 40 ปีขึ้นไป

(4) ผู้มีอาชีพ และมีทรัพย์สิน

(5) ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป มีอาชีพ และมีทรัพย์สิน

ตอบ 5 หน้า 152 James Mill ได้กําหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ 3 ประการ คือ

1 ต้องเป็นชายที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

2 ต้องเป็นผู้ที่มีอาชีพ

3 ต้องเป็นผู้ที่มีทรัพย์สิน

50 ผู้ที่เสนอให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียวคือใคร

(1) Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) James Mitt & John Stuart Mitt

(5) ทุกคน

ตอบ 1 หน้า 143 – 145, 152 Bentham ได้เสนอให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎรโดยต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกปี ซึ่งประชากรเพศชายเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง และจัดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรปีละครั้ง เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีเวลาพอเพียง ที่จะไปพบราษฎรในท้องถิ่นของตน ส่วนสภาซีเนตหรือวุฒิสภานั้นเขาเห็นว่าไม่มีความจําเป็นและควรยกเลิกไปเสีย

 

มาเคียเวลลี่

51 มาเคียเวลลี่ ถูกจัดให้เป็นนักปราชญ์คนแรกของยุค

(1) ยุคโบราณ

(2) ยุคกลาง

(3) ยุคนวสมัย

(4) ยุคปฏิรูป

(5) ยุคสงครามกลางเมือง

ตอบ 3 หน้า 2, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนวสมัย (Modern Time)” โดยเขาเป็นเมธีคนแรกที่บุกเบิกการศึกษาวิชาปรัชญาการเมือง และได้เสนอ ทัศนะที่มีลักษณะผิดเผกไปจากลักษณะความคิดทางการเมือง (เชิงอุดมคติ) ในสมัยกลางอย่าง ชัดเจน ซึ่งจะศึกษาและถ่ายทอดความคิดทางการเมืองในเชิงปรัชญาตามสภาพที่เป็นจริง นอกจากนี้งานเขียนทางการเมืองของเขาส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษสําหรับผู้ปกครอง ในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาวิธีการ (Means) ที่สามารถปฏิบัติในการที่จะได้มาซึ่งอํานาจ

52 ในผลงานเรื่อง The Prince ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า

(1) การจูงใจมวลชนเป็นภารกิจที่ยากที่สุด

(2) การรักษาไว้ซึ่งอํานาจยากเสียยิ่งกว่าการได้มาซึ่งอํานาจ

(3) เมตตาธรรมของผู้ปกครองเท่านั้นที่จะครองโลก

(4) ภูมิปัญญาของผู้นําเปรียบเสมือนเข็มทิศของสังคม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 9, (คําบรรยาย) ในหนังสือเรื่อง The Prince นั้น มาเคียเวลลี่เห็นว่าเป้าหมายของการเมืองก็คือ การรักษาหรือเพิ่มอํานาจการเมืองโดยเฉพาะ ซึ่งในการที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายนี้ มาเคียเวลลี่ยอมรับวิธีการทุกอย่าง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่มาเคียเวลลี่ สนใจมากที่สุดก็คือ ทําอย่างไรผู้ปกครองจึงจะสามารถรักษาอํานาจไว้ได้ ทั้งนี้เพราะการรักษาไว้ซึ่งอํานาจเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการได้มาซึ่งอํานาจเสียอีก

53 ความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของมนุษย์เป็นเหตุให้เกิด

(1) สันติภาพ

(2) ความรู้รักสามัคคี

(3) รัฐ

(4) การใช้กําลังอํานาจ

(5) กลุ่มการเมือง

ตอบ 3 หน้า 2 – 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า “รัฐ” หรือสังคมการเมืองนั้นมิได้เกิดจากธรรมชาติหรือการบันดาลของพระเจ้า แต่มีรากฐานมาจากความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของมนุษย์ที่ไม่สามารถพิทักษ์ตนเองให้พ้นจากความก้าวร้าวของบุคคลอื่นได้ต่างหาก

54 ตามทัศนะของมาเคียเวลลี่ ศัตรูโดยธรรมชาติสําหรับนักปฏิรูป คือ

(1) ทหารในระบอบเก่า

(2) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแบบแผนเก่า

(3) เหล่าอํามาตย์ขุนนาง

(4) ปัญญาชนประเภทอนุรักษนิยม

(5) อาณาจักรข้างเคียง

ตอบ 2 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ กล่าวว่า ผู้ที่ทําการปฏิรูปจะสร้างศัตรูหรือมีแนวโน้มถูกต่อต้านจากผู้ที่เคยได้รับผลประโยชน์จากแบบแผนเก่า ๆ ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จากระเบียบใหม่ ๆ นั้นอาจจะสนับสนุนผู้ปกครองคนใหม่ แต่การสนับสนุนนั้นยังหาความมั่นคงไม่ได้ อาจเป็นการสนับสนุนเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะยังไม่เชื่อในความมั่นคงของสิ่งใหม่รวมทั้งผู้ปกครองใหม่มากนัก

55 มาเคียเวลลี่ สอนว่าคนรอบข้างผู้ปกครองมักชอบ

(1) นินทาผู้ปกครอง

(2) เพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยิน

(3) มีนิสัยสุร่ยสุร่าย

(4) แสวงหาอามิสสินจ้าง

(5) แสดงความจงรักภักดีจนเกินเลย

ตอบ 2 หน้า 5 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คนรอบข้างผู้ปกครอง (มุขบุรุษหรือมุขชน) ทั้งพวกขุนนางหรือข้าราชการมักชอบประจบสอพลอ ชอบเพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยินมากกว่าสิ่งที่ควรจะฟัง หรือชอบปิดกั้นความจริงที่ผู้ปกครองควรจะทราบ ซึ่งหากผู้ปกครองค้นพบคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ในตัวข้าราชการผู้ใด ก็ควรที่จะลงโทษหรือกําจัดโดยเร็ว เพราะพวกนี้เองที่จะเป็นผู้ทําลายเสถียรภาพของผู้ปกครอง

56 มาเคียเวลลี่ เห็นว่าผู้ที่ได้อํานาจมาด้วยการสืบสันตติวงศ์ย่อม

(1) ปกครองอย่างเป็นธรรม

(2) มีแนวโน้มจะขยายอาณาจักรได้ง่ายกว่าผู้อื่น

(3) มีศักยภาพในการบําบัดทุกข์บํารุงสุข

(4) มีขนบธรรมเนียมประเพณีรองรับความชอบธรรม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า สิ่งฉลาดที่ผู้ปกครองที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยการสืบสันตติวงศ์ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ การรักษาแบบแผนประเพณีดั้งเดิมของประเทศไว้ อย่าพยายามเสี่ยง เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมของเดิมเสียใหม่ ทั้งนี้เพราะสิ่งแวดล้อมและขนบธรรมเนียม ประเพณีเดิมนั้นสนับสนุนการครองอํานาจอันชอบธรรมของผู้ปกครองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

57 มาเคียเวลลี่ เห็นว่ากลุ่มคนที่จะเป็นอันตรายต่อมุขบุรุษ คือ

(1) ประชาชนหัวแข็ง

(2) คนยากจน

(3) ปัญญาชน

(4) คนต่างด้าว

(5) ขุนนางข้าราชการรอบข้าง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ

58 มาเคียเวลลี่ เชื่อว่าผู้ปกครองควรมีความเด็ดขาดมากกว่าความเมตตา เนื่องจาก

(1) ความเด็ดขาดทําให้เกิดความยําเกรง

(2) ความอ่อนแอแสดงให้เห็นถึงความโลเล

(3) ความเด็ดขาดเป็นคุณสมบัติของผู้ชาย

(4) ความอ่อนแอเป็นคุณสมบัติของอิสตรีเพศ

(5) ไม่ควรมีเหตุผลกับผู้อยู่ใต้ปกครอง

ตอบ 1 หน้า 6 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ผู้ปกครองต้องมีความเมตตาและความเด็ดขาดควบคู่กันไป จะมีแต่เพียงความเมตตาไม่ได้ เพราะความเมตตาหมายถึงความอ่อนแอ ซึ่งอาจทําให้เกิดความยุ่งเหยิง ตามมา ดังนั้นด้วยพันธะหน้าที่ผู้ปกครองจึงต้องใช้ความเด็ดขาดมากกว่าความเมตตา เพื่อทําให้ประชาชนเกิดความยําเกรงและเชื่อฟังไม่กระด้างกระเดื่อง รวมทั้งเพื่อรักษาผู้ที่ถูกปกครองให้มีเอกภาพและซื่อสัตย์ต่อผู้ปกครองด้วย

59 ผลสําเร็จของการแย่งชิงอํานาจในรูปของการปราบดาภิเษกหรือปฏิวัติมาจากข้อใด

(1) ความร่วมมือจากประชาชน

(2) ความช่วยเหลือของขุนนางหรือข้าราชการ

(3) ความร่วมมือจากกองทัพประชาชน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 3 มาเคียเวลลี เห็นว่า การได้อํานาจมาด้วยวิธีการปราบดาภิเษกหรือการปฏิวัติอาจจะเป็นผลมาจากการสนับสนุนของกลุ่มขุนนาง (ข้าราชการ) หรือประชาชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ แต่เมื่อได้อํานาจมาแล้วหากผู้ปกครองต้องการความมั่นคงในอํานาจ ก็จําต้องแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการมีเพียงสิ่งเดียวคือ อิสรภาพหรือเสรีภาพจากการกดขี่ข่มเหง ซึ่งต่างจากกลุ่มขุนนางที่ต้องการกดขี่ข่มเหงประชาชนเพื่อมุ่งแข่งอํานาจกับผู้ปกครองเสมอ

60 “อํานาจบังคับ”

(1) สังคมการเมือง

(2) ผู้ปกครอง

(3) การปราบดาภิเษก

(4) กองทัพ

(5) เสรีภาพผู้ปกครอง

ตอบ 1 หน้า 2 – 3, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ เห็นว่า หากไม่มีอํานาจใดมาบังคับให้มนุษย์มีความเกรงกลัวได้แล้ว มนุษย์ก็มักจะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมหรือธรรมชาติอันชั่วร้ายอยู่เสมอ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่รัฐหรือสังคมการเมืองจะสามารถนํามาใช้เป็นมาตรการควบคุมความเห็นแก่ตัวอันเป็นธรรมชาติที่ชั่วร้ายของมนุษย์ได้ก็คือ การใช้อํานาจบังคับ

61 “ความยําเกรงของประชาชน” เป็นผลที่เกิดจาก

(1) ความรอบคอบ

(2) ความรัก

(3) ความเด็ดขาด

(4) การปราบดาภิเษก

(5) คุณสมบัติของสุนัขจิ้งจอกและราชสีห์

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

62 “กฎหมาย”

(1) เมตตาธรรม

(2) เสรีภาพของรัฐบาล

(3) เสรีภาพของผู้ปกครอง

(4) ขนบธรรมเนียมประเพณี

(5) สาธารณรัฐ

ตอบ 2 หน้า 9 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า การปกครองด้วยกฎหมายจะสร้างเสถียรภาพของรัฐ (รัฐบาล)และควบคุมผู้ปกครองไม่ให้ใช้อํานาจเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตนเพียงกลุ่มเดียว

 

ฮอบส์

63 ฮอบส์ เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้น 2 ประการ คือ

(1) กิเลสและตัณหา

(2) ความอยากและความไม่อยาก

(3) การเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่ง

(4) ความรุนแรงและความสงบ

(5) โลกียธรรมและโลกุตรธรรม

ตอบ 2 หน้า 16 ฮอบส์ เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นภายใน 2 ประเภท คือ

1 ความอยากหรือความต้องการ (Appetite/Desire)

2 ความไม่อยากหรือความไม่ต้องการ (Aversion) นอกจากนี้ความรักหรือความเกลียดความดีหรือความชั่ว ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดจากแรงกระตุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้เช่นเดียวกัน

64 เมื่อสัญญาประชาคมได้กระทําแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาได้แก่

(1) รัฐ

(2) รัฐบาล

(3) สังคม

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 22, 38, (คําบรรยาย) ฮอบส์ เห็นว่า เมื่อสัญญาประชาคมได้กระทําขึ้นแล้วเพียงครั้งเดียวสังคม รัฐ และรัฐบาลก็จะเกิดขึ้นตามมาทันที เพราะสังคม รัฐ และรัฐบาลเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้น การล้มล้างรัฐบาลจึงเป็นการกลับไปสู่สภาวะธรรมชาติตามเดิม เนื่องจากฮอบส์ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างสังคม รัฐ และรัฐบาลออกจากกันนั้นเอง

65 “อํานาจอธิปไตย” อันเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคมเป็นของใครโดยเฉพาะ

(1) ประชาชน

(2) สภาผู้แทนราษฎร

(3) คณะรัฐมนตรี

(4) คู่สัญญา

(5) บุคคลที่สาม

ตอบ 5 หน้า 21 – 22, 24 ฮอบส์ เห็นว่า อํานาจร่วม (Common Power) หรือการก่อตั้งรัฏฐาธิปัตย์นั้นเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคมระหว่างคนทุกคนที่เป็นคู่สัญญากัน โดยเห็นพ้องต้องกัน ที่จะมอบอํานาจและสละสิทธิตามธรรมชาติของตนให้แก่บุคคลที่สาม ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญา แต่จะอยู่ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์หรือรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจร่วมหรืออํานาจอธิปไตย โดยอํานาจ อธิปไตยนี้ถือเป็นอํานาจเด็ดขาดขององค์อธิปัตย์ ดังนั้นการล้มล้างหรือการเปลี่ยนแปลงองค์อธิปัตย์จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ทําหรือกระทําไม่ได้

66 “องค์อธิปัตย์” คือใคร

(1) พระมหากษัตริย์

(2) สภาผู้แทนราษฎร

(3) เลวิเอทัน

(4) ประชาชน

(5) เจตจํานงทั่วไป

ตอบ 1 หน้า 22, 24 – 25, 27 ในทัศนะของฮอบส์นั้น องค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์จะทําหน้าที่เป็นผู้บริหารประเทศ โดยการใช้อํานาจทางการเมืองพิเศษที่เด็ดขาดและสูงสุด เพื่อควบคุมผู้ใต้ปกครองในสังคมมิให้ละเมิดสัญญา แต่ลักษณะการใช้อํานาจขององค์อธิปัตย์ก็มีขอบเขตหรือเงื่อนไขที่จะไม่ทําอันตรายต่อชีวิตของผู้ใต้ปกครอง

67 การล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงองค์อธิปัตย์ ฮอบส์กล่าวไว้อย่างไร

(1) ใช้มติเสียงข้างมากก็พอ

(2) ต้องใช้มติเอกฉันท์จึงจะชอบธรรม

(3) ต้องให้ลงมติถอดถอนโดยคู่สัญญา

(4) ต้องกระทําเมื่อมีการละเมิดสัญญา

(5) เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่ทํา

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 65. ประกอบ

68 สิ่งที่มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติแข่งขันกันแสวงหาได้แก่สิ่งใด

(1) ความสมบูรณ์

(2) อํานาจ

(3) อาหาร

(4) สันติภาพ

(5) ความสุขในปัจจุบัน

ตอบ 2 หน้า 17 – 20 สภาวะธรรมชาติในทัศนะของฮอบส์ หมายถึง สภาวะที่ปราศจากรัฐบาลซึ่งอาจจะเป็นสภาวะก่อนที่จะเกิดสังคมการเมือง หรือเป็นสภาวะที่ยังไม่มีผู้ปกครองที่มีอํานาจ ที่แท้จริงในบ้านเมือง โดยในสภาวะธรรมชาตินั้นทุกคนจะมีสิทธิเสรีภาพ และมีอิสรภาพที่จะทําอะไรก็ได้เพื่อตอบสนองความต้องการของตน แต่เมื่อมีความต้องการในสิ่งเดียวกัน ปัญหาการแบ่งปันจึงเกิดขึ้น ทําให้มนุษย์ต้องแข่งขันกันแสวงหาอํานาจเหนือคนอื่นอยู่ร่ําไป จนนําไปสู่“สภาวะสงคราม” ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองในที่สุด

69 ในการทําสัญญาประชาคม ผู้ใดคือผู้ที่ไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญา

(1) องค์อธิปัตย์

(2) ผู้แทนราษฎร

(3) ประชาชน

(4) ผู้ไม่มีสิทธิออกเสียง

(5) ผู้ที่ไม่ได้ร่วมทําความตกลง

ตอบ 1 หน้า 24 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมของฮอบส์นั้น องค์อธิปัตย์จะทําหน้าที่เป็นเพียงผู้รับมอบอํานาจตามที่คู่สัญญาหรือประชาชนทั้งหลายได้ตกลงกันไว้ ดังนั้นองค์อธิปัตย์จึงไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามหรือรับผิดชอบต่อคู่สัญญา ซึ่งในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่นอกเหนือสัญญาแล้วก็จะไม่มีการกระทําใด ๆ ขององค์อธิปัตย์ที่จะถือว่าเป็นการละเมิดสัญญาหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าองค์อธิปัตย์จะทําอะไรก็ไม่มีความผิดนั่นเอง

 

ล็อค

70 นอกจากความมีเหตุผลแล้ว ล็อคเชื่อว่ามนุษย์ยังมี

(1) ความเมตตาและการใฝ่สันติ

(2) ความเฉลียวฉลาดและการชิงไหวชิงพริบ

(3) ความดุร้ายและการแก่งแย่งชิงดี

(4) ความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมา

(5) ความฝันและจินตนาการอันสูงส่ง

ตอบ 1 หน้า 33 ล็อค เห็นว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีคุณสมบัติประจําตัว คือ ความมีเหตุผลอันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์ทุกคน ซึ่งนอกจากความมีเหตุผลแล้วมนุษย์ยังมีความเมตตาธรรม ใฝ่สันติ และสุขุมรอบคอบอีกด้วย

71 ล็อคได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ในประเทศ

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) อิตาลี

(3) ฝรั่งเศส

(4) เยอรมนี

(5) ฮอลแลนด์

ตอบ 5 หน้า 31 – 32 ล็อค เป็นนักปราชญ์ทางการเมืองชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ในประเทศฮอลแลนด์ และถูกขนานนามว่าเป็นผู้ให้กําเนิดแนวความคิดเสรีนิยม นอกจากนี้แนวความคิดของเขายังมีอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักคิด ทั้งมองเตสกิเออ, รุสโซ, เดอ ทอคเกอร์วิลล์ และนักคิดร่วมสมัยในฝรั่งเศสก็ได้ใช้ทฤษฎีของล็อคในการวิเคราะห์ระบบเก่าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

72 ความมีเหตุผลของมนุษย์ ล็อคเชื่อว่าเกิดจาก

(1) พระผู้เป็นเจ้า

(2) การมีปัญญา

(3) ประสบการณ์

(5) การเอาตัวรอด

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 70 ประกอบ

73 ระบบการเมืองตามทฤษฎีสัญญาประชาคมสอดคล้องกับระบบการเมืองแบบใดมากที่สุด

(1) รัฐสภา

(2) ประธานาธิบดี

(3) ถึงประธานาธิบดี

(4) กึ่งรัฐสภา

(5) แบบผสมระหว่าง 1 กับ 2

ตอบ 1 หน้า 38 – 41, (คําบรรยาย) ตามหลักสัญญาประชาคมของล็อคนั้น เมื่อมนุษย์ตัดสินใจเข้ามาใช้ร่วมกันในสังคมการเมืองแล้ว สิ่งแรกที่จําเป็นต้องดําเนินการคือ การสถาปนาองค์กรที่ใช้อํานาจ นิติบัญญัติขึ้นมาเพื่อวางแนวทางในการดําเนินงานหรือกําหนดนโยบายให้ฝ่ายบริหารนําไปปฏิบัติ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงไม่มีอิสระที่จะทําอะไรตามเจตจํานงของตน ทั้งนี้เพราะการใช้อํานาจของฝ่ายบริหารนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติกําหนดขึ้น ซึ่งจากหลักการดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับระบบการเมืองแบบรัฐสภามากที่สุด

74 เมื่อสัญญาได้กระทํากันแล้ว สิทธิ์ในทรัพย์สินถูกเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอย่างไร

(1) มีความมั่นคงกว่าเดิม

(2) มีความมั่นคงน้อยกว่าเดิม

(3) เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

(4) กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลกลายเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม

(5) กลายเป็นที่มาแห่งสิทธิในทรัพย์สิน

ตอบ 1 หน้า 36 ล็อค เห็นว่า การทําสัญญาประชาคมเพื่อการดํารงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมหรือประชาคมเดียวกันนั้น จะเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือความยินยอมของทุกคน โดยทุกคนมุ่งหวังที่จะดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัย และมีความสงบสุขในการใช้ทรัพย์สินของตนอย่างมั่นคง และเป็นความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่ไม่เข้าร่วมหรือมีความมั่นคงกว่าเดิม

75 หลักการใดที่ถือว่าเป็นรากฐานของสังคมและรัฐบาล

(1) ความยินยอม

(2) ความกินดีอยู่ดี

(3) เสรีภาพ

(4) ความเสมอภาค

(5) ความเป็นระเบียบ

ตอบ 1 หน้า 36 – 38 ตามหลักการแห่งสัญญาประชาคมนั้น ล็อค อธิบายว่า การสถาปนารัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องของการให้ความยินยอมเช่นเดียวกับการสถาปนาสังคมการเมืองหรือรัฐ กล่าวคือ การสถาปนารัฐจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเอกฉันท์ ส่วนการสถาปนา รัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) นั้นจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเสียงข้างมากของประชาชน

76 ข้อใดเป็นแนวความคิดของล็อค

(1) มนุษย์ย่อมเห็นแก่ตัวโดยกําเนิด

(2) มนุษย์เป็นผู้มีเหตุผลและเมตตาธรรม

(3) ความโหดร้ายทารุณเป็นคุณสมบัติของมนุษย์

(4) ความเสมอภาคเป็นเรื่องเพ้อฝัน

(5) ไม่มีสังคมใดที่มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 70. ประกอบ

77 สภาวะแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ คือ

(1) คนมีอิสระอย่างเต็มเปี่ยม

(2) สิ่งที่เกิดขึ้นในอุดมคติ

(3) การที่สังคมมีกฎหมายสมบูรณ์

(4) เมื่อทุกคนเท่ากัน

(5) ภาวะที่ปราศจากสงคราม

ตอบ 1 หน้า 33 ในทัศนะของล็อคนั้น มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติมีลักษณะที่สําคัญอยู่ 2 ประการ คือ

1 สภาวะแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ หมายถึง ทุกคนมีอิสระเสรีอย่างเต็มเปี่ยมที่จะกระทําสิ่งใด ๆไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพย์สินหรือร่างกายของเขาตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสมภายใต้กฎธรรมชาติโดยไม่จําเป็นต้องขออนุญาตหรือขึ้นอยู่กับเจตจํานงของผู้อื่น

2 สภาวะแห่งความเสมอภาค หมายถึง ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสิทธิและอํานาจ โดยที่อํานาจและสิทธิทั้งหมดอยู่ที่บุคคลแต่ละคน เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกัน จึงไม่มีผู้ใดมีอํานาจหรือสิทธิเหนือผู้อื่น

78 ที่มาของทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property)

(1) กฎหมาย

(2) ร่างกายมนุษย์

(3) แรงงาน

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกเฉพาะข้อ 2

ตอบ 5 หน้า 34 ล็อค เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติในโลกนี้ทั้งหมดเป็นของเขา(ชาวโลกทั้งมวล) หรือทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคนสามารถมีกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินส่วนตัวหรือส่วนบุคคล (Private Property) ได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้ใช้แรงงานจากร่างกาย เคลื่อนย้ายหรือเก็บเกี่ยวของสิ่งนั้น รวมทั้งในการสะสมทรัพย์สินก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย

79 หากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนจะต้องทําอะไรในอันดับต่อไป

(1) ทําสัญญาก่อตั้งสังคมใหม่

(2) เลือกตั้งรัฐบาลใหม่

(3) ใช้สิทธิพิเศษ

(4) ใช้อํานาจสหพันธ์

(5) ดูแลความปลอดภัยให้แก่ตนเอง

ตอบ 2 หน้า 38, 43, (คําบรรยาย) ล็อค กล่าวว่า รัฐบาลกับสังคมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสามารถกระทําได้โดยไม่กระทบต่อสังคม ดังนั้นหากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนต้องทําการเลือกตั้งหรือสถาปนารัฐบาลขึ้นใหม่ ที่เรียกว่าเปลี่ยนความยินยอม ซึ่งต้องเป็นไปตามเสียงข้างมากเท่านั้น

80 ข้อใดเป็นการแสดงออกโดยชัดแจ้ง (Express Consent) ในการทําสัญญาประชาคม

(1) การไม่มีความขัดแย้ง

(2) การอาศัยอยู่ในสังคม

(3) การใช้สิทธิเลือกตั้ง

(4) การได้ประโยชน์จากสังคม

(5) การยอมอ่อนข้อต่อเสียงข้างน้อย

ตอบ 3 หน้า 37 ล็อค เห็นว่า การให้ความยินยอมมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ

1 การให้ความยินยอมโดยชัดแจ้ง (Express Consent) เป็นการสดงความสมัครใจหรือความยินยอมออกมาให้ปรากฏ โดยที่คนอื่นสามารถรู้เห็นได้ เช่น การยินยอมที่จะอยู่ ร่วมกันเป็นสังคม การยินยอมต่อเสียงของฝ่ายข้างมาก และการใช้สิทบเลือกตั้ง

2 การให้ความยินยอมโดยปริยาย (Tacit Consent) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอาศัยอยู่ในสังคมและได้รับประโยชน์จากสังคม เช่น บริการสาธารณะต่าง ๆ

81 รัฐบาลเกิดเมื่อใดในทัศนะของล็อค

(1) เมื่อมีสัญญาประชาคม

(2) เมื่อประชาชนเลือกตัวแทนไปทําหน้าที่นิติบัญญัติ

(3) เมื่อเสียงข้างมากในองค์กรนิติบัญญัติยกอํานาจสูงสุดให้แก่องค์กรอื่น

(4) เมื่อมีกฎหมาย

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 38 ล็อค เห็นว่า การสถาปนารัฐบาลนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่ายเสียงข้างมากในสังคมตกลงที่จะยกอํานาจสูงสุดให้แก่องค์กรหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญา แต่จะอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนทําหน้าที่ให้แก่สังคมเป็นส่วนรวม

 

รุสโซ

82 การที่มนุษย์ห่างไกลธรรมชาติ สิ่งที่เขาได้รับนั้นคืออะไร

(1) ความเจริญก้าวหน้า

(2) ความมีเหตุผล

(3) ความยุติธรรม

(4) ความอุดมสมบูรณ์

(5) การสูญเสียความบริสุทธิ์

ตอบ 5 หน้า 66 รุสโซ ได้ชี้ให้เห็นถึงความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์ในทํานองว่าความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์จะทําให้คนหนีไกลออกไปจากธรรมชาติ และถ้ามนุษย์ยิ่งห่างไกล ธรรมชาติมากเท่าใด ก็ยิ่งทําให้ความบริสุทธิ์และคุณงามความดีซึ่งเป็นคุณสมบัติประจําตัวของ มนุษย์ลดน้อยลงมากเท่านั้น

83 “ความไม่สมบูรณ์”

(1) สังคมธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมเมือง

(4) สังคมอุตสาหกรรม

(5) สังคมบุพกาล

ตอบ 1 หน้า 69 รุสโซ เชื่อว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่มีแต่สันติภาพ ความเสมอภาค และเสรีภาพอย่างบริบูรณ์ โดยมนุษย์จะต่างคนต่างอยู่และไม่มีการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่การมีชีวิตอยู่ อย่างโดดเดี่ยวในสังคมธรรมชาติย่อมจะหาความสมบูรณ์ได้ยาก เพราะว่าความสมบูรณ์นั้นมนุษย์หาได้จากการร่วมมือกับผู้อื่นหรือการพึ่งพิงบุคคลอื่นเท่านั้น

84 “ผลที่ตามมาจากการทําสัญญาประชาคม

(1) ความรู้สึกที่ไม่ถูกกดขี่โดยกฎหมาย

(2) ความรู้สึกที่ไม่ถูกกดขี่จากองค์อธิปัตย์

(3) การมีอิสรภาพทางการเมือง

(4) การมีหลักประกันความปลอดภัย

(5) การมีหลักประกันการใช้ทรัพย์สิน

ตอบ 1 หน้า 73 – 76 รุสโซ เห็นว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการทําสัญญาประชาคมมี 2 ประการ ได้แก่

1 เสรีภาพ (แบบใหม่) อันเกิดจากการออกกฎหมายมาใช้บังคับตนเอง ซึ่งทําให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าไม่ถูกกดขี่จากกฎหมาย

2 ความเสมอภาค เป็นภาวะที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน นับตั้งแต่การมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยหรือเจตจํานงทั่วไป และการเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย

85 แนวความคิดใดที่ไม่ใช่แนวคิดของรุสโซ

(1) สัญญาประชาคม

(2) เสรีภาพและความเสมอภาค

(3) เจตจํานงทั่วไป

(4) สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์

(5) ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 69 – 77, (คําบรรยาย) แนวความคิดที่สําคัญของรุสโซ ได้แก่

1 การเกิดระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว จะนําไปสู่ความไม่เสมอภาคในหมู่มนุษย์

2 มนุษย์เราเกิดมาย่อมใฝ่หาเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ

3 การปฏิเสธเสรีภาพ คือ การปฏิเสธในการแยกแยะสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ถูก

4 มนุษย์เราเกิดมาถูกจองจําในอาณาจักรแห่งความคิด

5 คนจะยินดีอยู่ในรัฐมากขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายมากขึ้น

6 การทําสัญญาประชาคมจะก่อให้เกิดเสรีภาพ (แบบใหม่) และความเสมอภาคขึ้น

7 เจตจํานงทั่วไปคือเจตจํานงของคนทุกคน

8 ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์ในทํานองว่าความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์จะทําให้คนหนีไกลออกไปจากธรรมชาติ เป็นต้น

86 “เสรีภาพแบบใหม่” อันหมายถึงการเคารพเชื่อฟังเจตจํานงของตนเองนั้นเกิดขึ้นจากอะไร

(1) การเคารพกฎหมายที่ดี

(2) การเชื่อฟังเจตจํานงทั่วไป

(3) การใช้เหตุผลกํากับการกระทํา

(4) การใช้สิทธิเลือกตั้ง

(5) การกระทํานอกเหนือจากที่กฎหมายห้าม

ตอบ 2 หน้า 78 รุสโซ เชื่อว่า เสรีภาพแบบใหม่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ประชาชนทุกคนเป็นผู้มีส่วนในการบัญญัติกฎหมายหรือการร่วมกันแสดงเจตจํานงทั่วไป และขณะเดียวกันก็เคารพกฎหมายหรือเชื่อฟังเจตจํานงทั่วไปที่ตนเองเป็นผู้บัญญัติขึ้น

87 มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขาได้ถูกพันธนาการด้วย “โซ่ตรวน” ข้อความที่ขีดเส้นใต้ หมายถึงอะไร

(1) สัญญาประชาคม

(2) อารยธรรมของมนุษย์

(3) อํานาจรัฐบาล

(4) รัฐบาลทรราช

(5) ความรับผิดชอบและเหตุผล

ตอบ 2 หน้า 67, 71 – 72 จากคํากล่าวข้างต้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของสังคมสมัยใหม่ซึ่งความเป็นอิสระหรือภาวะที่เป็นเสรีนั้นได้ถูกทําลายลงโดยสถาบันการปกครองและอารยธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการหรือโซ่ตรวนบันทอนเสรีภาพของมนุษย์ในลักษณะที่แฝงมาในรูปอื่น เช่น กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ปทัสถานของสังคม ข้อบังคับต่าง ๆ เป็นต้น

88 การที่จะบังคับบุคคลที่หลงผิดให้เป็นอิสระ เกิดขึ้นได้ในกรณีใดบ้าง

(1) การถูกครอบงําโดยผลประโยชน์ส่วนตัว

(2) การถูกครอบงําโดยผลประโยชน์ส่วนรวม

(3) การถูกบังคับให้ไปเลือกตั้ง

(4) การถูกบังคับให้ไปใช้อํานาจอธิปไตย

(5) ผู้ที่บุคคลถูกบังคับไม่ให้เสพยาเสพติด

ตอบ 4 หน้า 75, 77 – 78 รุสโซ เห็นว่า เจตจํานงทั่วไปเป็นเจตจํานงที่แสดงออกเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของคนทุกคนเป็นหลัก ดังนั้นใครก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างจาก เจตจํานงทั่วไปย่อมแสดงว่าเขาได้หลงผิดไป เพราะตกอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ส่วนตัวครอบงํา จนเกิดเป็นเจตจํานงเฉพาะส่วนขึ้น ทั้งนี้บุคคลที่หลงผิดจะต้องถูกบังคับให้ยอมรับและเชื่อฟัง เจตจํานงทั่วไป โดยการให้ไปใช้อํานาจอธิปไตยหรือไปร่วมกันทําหน้าที่บัญญัติกฎหมายในสภาราษฎร เพราะการเคารพกฎหมายบ้านเมืองจะทําให้ทุกคนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง

89 “กฎหมาย”

(1) เสรีภาพ

(2) สันติภาพ

(3) เจตจํานงทั่วไป

(4) เจตจํานงของคนทั้งหมด

(5) ความเสมอภาค ตอบ 3 หน้า 74 รุสโซ เห็นว่า การที่ทุกคนมาแสดงเจตจํานงเพื่อบัญญัติกฎหมายเพื่อใช้บังคับในสังคมนี้เอง ที่ทําให้กฎหมายของสังคมนั้นกลายเป็นตัวแทนของเจตจํานงของสังคมหรือ เจตจํานงทั่วไป ซึ่งเราสามารถจะเห็นเจตจํานงทั่วไปได้ก็โดยดูจากกฎหมายที่มวลสมาชิกเป็นผู้ออกนั่นเอง

90 รุสโซ เห็นว่าอุปสรรคสําคัญต่อการบรรลุเจตจํานงทั่วไป คือ

(1) สัญญาประชาคมที่บกพร่อง

(2) การมีผู้ปกครองที่ไม่เป็นธรรม

(3) การยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนตน

(4) การละเมิดสัญญาแต่ฝ่ายเดียว

(5) การใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 88. ประกอบ

 

เฮเกล

91 แนวความคิดใดของเฮเกลที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการศึกษาเรื่องอํานาจทางการเมืองการปกครอง

(1) รัฐ

(2) ครอบครัว

(3) พระเจ้า

(4) องค์อธิปัตย์

(5) สังคมเข้มแข็ง

ตอบ 1 หน้า 116, 121 ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ “รัฐ” ถือได้ว่าเป็นหัวใจของปรัชญาการเมืองของเฮเกล โดยเขาเห็นว่ารัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม ทั้งนี้เพราะรัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในสังคม

92 เหตุผลใดที่เฮเกลใช้ในการสนับสนุนความคิดที่ว่า รัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม

(1) รัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองเป็นจริงขึ้นมา

(2) การเปลี่ยนแปลงสังคมแบบรุนแรงและถอนรากถอนโคน

(3) ความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล

(4) รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต

(5) รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93 ข้อใดเป็นคําอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐที่สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องกระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกล

(1) ครอบครัวเป็น Thesis, รัฐเป็น Antithesis, ก่อให้เกิดสังคมพลเรือนซึ่งเป็น Synthesis

(2) รัฐเป็นการผสมผสาน (Synthesis) ระหว่างครอบครัวกับสังคมพลเรือน

(3) ครอบครัวเป็น Antithesis ต่อสังคมพลเรือน ทําให้จําเป็นต้องสถาปนารัฐขึ้นมา

(4) สังคมพลเรือนเป็น Synthesis อันเป็นผลมาจากการปะทะขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับครอบครัว

(5) รัฐเป็น Antithesis ทั้งต่อครอบครัวและสังคมพลเรือน

ตอบ 2 หน้า 116 117, 121 ตามแนวคิดเรื่องกระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกลนั้น รัฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างครอบครัว (ความรัก) ซึ่งเป็น Thesis กับสังคมพลเรือน (การแข่งขัน) ซึ่งเป็น Antithesis ดังนั้นรัฐจึงถือได้ว่าเป็นภาวะผสมผสาน (Synthesis) ซึ่งมีความสมบูรณ์กว่าคือ มีเหตุมีผลและเสรีภาพมากกว่านั้นเอง

  1. ตามแนวความคิดเรื่องจิตนิยม (Idealism) เฮเกลแบ่งความเป็นจริงออกเป็น 2 ส่วน อะไรบ้าง

(1) สสารกับอสสาร

(2) จิตกับกาย

(3) จิตกับวัตถุ

(4) ตัวตนและไม่ใช่ตัวตน

(5) กายภาพกับชีวภาพ

ตอบ 1 หน้า 110 ในเรื่องจิตนิยม (Idealism) นั้น เฮเกล เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงจะมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน ได้แก่

1 สสาร คือ เป็นวัตถุ มองเห็น และจับต้องได้

2 อสสาร คือ ไม่เป็นวัตถุ มองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้

95 อะไรเป็นเหตุที่ทําให้เฮเกลได้ชื่อว่าเป็นนักปรัชญาคนสําคัญในสํานัก “จิตนิยม”

(1) เน้นความสําคัญของ “จิต” ว่าเป็นต้นกําเนิดของวัตถุและการเปลี่ยนแปลงในโลก

(2) เน้นสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ว่าอยู่เหนือสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา

(3) “อรูป” สําคัญกว่า “รูป”

(4) เน้น “เนื้อหา” มากกว่า “รูปแบบ”

(5) อธิบายเรื่องรัฐว่าเป็นอสสาร

ตอบ 1 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) เฮเกล ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปรัชญาเมธีคนสําคัญในสํานักจิตนิยม ทั้งนี้เพราะเขาได้ให้ความสําคัญในเรื่องของจิตเป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าจิตนั้นเป็นต้นกําเนิดของวัตถุและการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก

96 ข้อใดเป็นการอธิบาย “การเปลี่ยนแปลง (Becoming)” ในทัศนะของเฮเกล

(1) ทุกสิ่งมีสภาวะที่เป็นอยู่ (Being) กับสภาวะที่ยังไม่ได้เป็น (Not Being) อยู่ในตัวของมันเอง

(2) ทุกสิ่งมีสภาวะที่ “ปฏิเสธ” (Negation) กับสภาวะธรรมชาติ

(3) ทุกสิ่งเป็น “สภาวะขัดแย้ง” กับประวัติศาสตร์

(4) ทุกสิ่งเป็นพลวัตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

(5) ทุกสิ่งมีเหตุผล แต่ขัดแย้งกันเองเสมอ

ตอบ 1 หน้า 111 เฮเกล อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลง (Becoming) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพหรือสถานภาพของสรรพสิ่งทั้งหลายจากที่เคยเป็นอยู่ไปสู่สภาพอื่น ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ เขาเห็นว่าทุกสิ่งจะมีสภาวะที่เป็นอยู่ (Being) กับสภาวะที่ยังไม่ได้เป็น (Not Being) อยู่ภายในตัวของมันเองในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงทําให้เกิดการขัดแย้งระหว่างลักษณะทั้งสองขึ้น ซึ่งการขัดแย้งนี้ก็จะนําไปสู่การผสมผสานเกิดเป็นสิ่งใหม่หรือสภาวะใหม่ที่ดีกว่าของเดิม

97 ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาประเทศได้แก่ข้อใด

(1) สงครามระหว่างรัฐ

(2) ความสงบภายใน

(3) แผนพัฒนาประเทศ

(4) การระดมทุนภายในประเทศ

(5) การระดมทุนภายนอกประเทศ

ตอบ 1 หน้า 130 เฮเกล เห็นว่า สงครามระหว่างรัฐคือปัจจัยที่ทําให้เกิดการพัฒนาประเทศ เนื่องจากเป็นเสมือนตัวเร่งไปสู่สภาวะใหม่ที่ดีกว่า โดยช่วยขจัดฝ่ายที่เก่าแก่และล้าสมัยให้หมดสิ้นไป แล้วเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้การทําสงครามยังเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขความเสื่อมทราม (Corruption) อันเป็นผลจากการมีสันติภาพอันถาวรอีกด้วย

98 ลักษณะใดที่ไม่ปรากฏในลัทธิฟาสซิสต์

(1) Irrationalism

(2) Social Darwinism

(3) Internationalism

(4) Elitism

(5) Nationalism

ตอบ 3 หน้า 301 302, (คําบรรยาย) หลักการพื้นฐานที่สําคัญของลัทธิฟาสซิสต์ มีดังนี้

1 หลักความไม่มีเหตุผล (Irrationalism) โดยมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

2 หลักชาตินิยมหรือความรักชาติ (Nationalism) โดยสนับสนุนให้ประชาชนสร้างความรู้สึกรักชาติอย่างไม่มีเหตุผล

3 หลักทฤษฎีการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Charles Darwin ซึ่งเรียกว่า Social Darwinism

4 หลักว่าด้วยรัฐ (State)

5 หลักว่าด้วยเรื่องผู้นํา (Elitism)

6 หลักว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ (Economic)

99 ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

(1) Internationalism

(2) Nationalism

(3) Irrationalism

(4) Social Darwinism

(5) Elitism

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100 ความเชื่อที่ว่าอารยันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่

(1) Irrationalism

(2) Nationalism

(3) Internationalism

(4) Social Darwinism

(5) Elitism

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ลัทธิฟาสซิสต์และลัทธินาซีมีหลักการสําคัญที่แตกต่างกันก็คือ หลักชาตินิยม(Nationalism) โดยลัทธิฟาสซิสต์จะเป็นชาตินิยมแบบธรรมดาที่สนับสนุนให้ประชาชน เกิดความรู้สึกรักชาติอย่างไม่มีเหตุผล เช่น การสนับสนุนให้รัฐบาลเป็นจักรวรรดินิยม ฯลฯ ส่วนลัทธินาซีนั้นเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาติ โดยมีความเชื่ออย่างฝังแน่นที่ว่าอารยันเป็นชนชาติ ที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาติอื่น

LAW3001 กฎหมายอาญา 3 S-2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอกขับรถบรรทุกมาบนทางหลวงแผ่นดินด้วยความเร็วประมาณ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อแล่นลอดใต้สะพานแห่งหนึ่ง ถูกโทซึ่งซุ่มอยู่บนสะพานเอาก้อนหินโตขนาดกําปั้นของผู้ใหญ่ขว้างมาใส่กระจก หน้ารถด้านคนขับจนแตก รถของเอกเสียหลักเกือบพลิกคว่ำ แต่เอกประคองรถไว้ได้ถูกเศษกระจกบาดที่ใบหน้าเลือดไหล ดังนี้โทจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสอง “กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนด ไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 288 “ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบด้วย

1 ฆ่า

2 ผู้อื่น

3 โดยเจตนา

การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 288 นั้น นอกจากจะมีการกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการฆ่าบุคคลอื่นแล้ว ผู้กระทํายังต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในด้วย อาจจะเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้

สําหรับเจตนาเล็งเห็นผล หมายความว่า ผู้กระทําเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ ดังนั้นหากผู้กระทําเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้น แม้ในที่สุดผล จะไม่เกิด ผู้กระทําก็ต้องรับผิดฐานพยายาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โทซุ่มอยู่บนสะพาน แล้วเอาก้อนหินขนาดเท่ากําปั้นของผู้ใหญ่ ขว้างใส่กระจกหน้ารถด้านคนขับของเอก ซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วนั้น โทย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะทําให้ก้อนหินถูกคนขับ หรือทําให้รถพลิกคว่ำ อันอาจจะทําให้เอกเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จึงถือว่าโทมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยหลักย่อม เล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง

และเมื่อปรากฏว่าโทได้ลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือ เอกเพียงแต่ถูกเศษกระจกบาดที่ใบหน้าเลือดไหลเท่านั้นไม่ถึงแก่ความตาย ดังนั้น โทจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามมาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80

สรุป

โทมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 2 นางน้อยกู้ยืมเงินจากนายเล็ก 30,000 บาท โดยมีหลักฐานการกู้ยืมตามกฎหมาย เมื่อหนี้ถึงกําหนดนางน้อยผิดนัดชําระหนี้และเมื่อนายเล็กมาทวงถามนางน้อยก็พูดท้าทายให้นายเล็กไปฟ้องร้องเอา วันเกิดเหตุนายเล็กได้จับตัวนางน้อยไปกักขังในสถานที่แห่งหนึ่งแล้วขู่เข็ญให้นายใหญ่สามีของนางน้อยนําเงินไปใช้ชําระหนี้ตามจํานวนที่กู้ยืม โดยขู่ว่าถ้าไม่ได้รับเงินจะไม่รับรองความปลอดภัยของนางน้อย นายใหญ่ได้ไปแจ้งความและพาเจ้าพนักงานตํารวจไปช่วยพาตัวนางน้อยออกมาได้ โดยยังไม่ได้ให้เงินแก่นายเล็กแต่อย่างใด ต่อมานายเล็กถูกดําเนินคดีในข้อหาเอาตัวคนไปหน่วงเหนียว กักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่านายเล็กจะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 “ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กําลังประทุษร้าย ใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใด ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตาม มาตรา 313 วรรคแรก (3) ประกอบด้วย

1 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด

2 โดยเจตนา

3 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

“ค่าไถ่” หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอา หรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพ ของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนียวหรือผู้ถูกกักขัง (ป.อ. มาตรา 1(13)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเล็กจับตัวนางน้อยไปกักขังไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง แล้วขู่เข็ญให้ นายใหญ่สามีของนางน้อยนําเงินไปชําระหนี้ตามจํานวนที่กู้ยืมนั้น ถือเป็นการเจตนาเอาตัวบุคคลไปเพื่อหน่วงเหนี่ยว กักขัง

แต่อย่างไรก็ตามการกระทําของนายเล็กก็มิได้มีเจตนาเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เพราะเงินที่นายเล็กเรียก เอาเป็นเงินตามจํานวนหนี้ที่นางน้อยกู้ยืมซึ่งนายเล็กมีสิทธิจะได้เงินดังกล่าว จึงไม่ถือว่าเป็นค่าไถ่ตามกฎหมาย ดังนั้น การกระทําของนายเล็กจึงไม่เป็นความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313 นายเล็กจึงไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

สรุป นายเล็กไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา

 

ข้อ 3 หนึ่งขอยืมสร้อยข้อมือของสองไปใส่แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังหนึ่งทําสร้อยข้อมือที่ยืมมาตกหายหนึ่งไม่กล้าบอกความจริงต่อสอง จึงหลอกสองว่ามีขโมยเข้ามาในบ้านลักเอาสร้อยของสองไป ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคแรก “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งขอยืมสร้อยข้อมือของสองไปใส่ และได้ทําสร้อยข้อมือที่ยืมมา ตกหาย แต่หนึ่งไม่กล้าบอกความจริงต่อสอง จึงหลอกสองว่ามีขโมยเข้ามาในบ้านลักเอาสร้อยของสองไปนั้น การ กระทําของหนึ่งไม่ถือเป็นการยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก เพราะถึงแม้ว่าหนึ่งจะครอบครองทรัพย์ ของผู้อื่น แต่หนึ่งก็มิได้ทุจริตเบียดบังทรัพย์เป็นของตนแต่อย่างใด หนึ่งเพียงทําทรัพย์ตกหายเท่านั้น

อีกทั้งการกระทําของหนึ่งก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 เพราะแม้ว่าหนึ่งจะ หลอกลวงสองด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่การหลอกลวงนั้นก็มิได้ทําให้หนึ่งได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากสอง ผู้ถูกหลอกแต่อย่างใด ดังนั้น หนึ่งจึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

สรุป หนึ่งไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

 

ข้อ 4 แดงเป็นนายจ้างของขาวซึ่งเป็นลูกจ้างทํางานในไร่ข้าวโพดของแดง ขาวเป็นคนขยันทํางานแต่มีนิสัยชอบเล่นการพนันฟุตบอล และจะเสียเงินจากการเล่นการพนันเสมอ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นว่า ก่อนวันตรุษจีนแดงอนุญาตให้ขาวหยุดงานได้ 3 วัน และแดงอนุญาตให้ขาวยืมรถปิกอัพขับไป เยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดได้ เมื่อขาวนํารถยนต์ของแดงไปใช้แล้ว ครั้นครบกําหนดเวลาที่ขาวจะกลับมา ทํางานให้แดง ขาวไม่กลับมาทํางาน และนํารถยนต์คันนี้ไปจํานําในราคา 200,000 บาท และได้ นําเงินไปใช้เล่นการพนัน ดังนี้ แดงจะดําเนินคดีอาญากับขาวในความผิดอาญาฐานใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 352 วรรคแรก “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของ รวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้อง ระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงเป็นนายจ้างของขาว และแดงอนุญาตให้ขาวยืมรถปิกอัพขับไป เยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดนั้น ขาวย่อมเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น มิได้ยึดถือไว้แทนแดงในฐานะลูกจ้างแต่ อย่างใด

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขาวไม่กลับมาทํางาน และนํารถยนต์คันนี้ไปจํานํา โดยนําเงินที่ได้ ไปใช้เล่นการพนัน จึงเป็นการกระทําโดยทุจริตเบียดบังทรัพย์ของแดง เพราะถือเป็นการกระทําในลักษณะที่ เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์นั้นจากเจ้าของโดยเด็ดขาดแล้ว เนื่องจากขาวมิได้มีเจตนาจะนําเงินไปไถ่คืนเพื่อ นํารถยนต์มาคืนแดงในภายหลังแต่อย่างใด ดังนั้น ขาวจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก

สรุป

แดงจะดําเนินคดีอาญากับขาวได้ในความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก

LAW3001 กฎหมายอาญา 3 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอกขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทเฉียวชนรถกระบะทําให้โทที่นั่งซ้อนท้ายตกจากรถศีรษะกระแทกพื้นบาดเจ็บเลือดไหล โทถูกนําตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์ต้องเย็บบาดแผล 20 เข็ม แล้ว อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาบาดแผลไม่ได้รับการทําความสะอาด อย่างเพียงพอเป็นเหตุให้แผลติดเชื้อรุนแรงจนเข้าสู่กระแสโลหิตทําให้โทถึงแก่ความตายใน 3 วันต่อมา ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าเอกจะมีความผิดตอชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 291 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

มาตรา 390 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย หรือจิตใจต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกขับขี่รถจักรยานยนต์โดยประมาทเฉียวชนรถกระบะทําให้โท ที่นั่งซ้อนท้ายตกจากรถศีรษะกระแทกพื้นบาดเจ็บเลือดไหล และแพทย์ต้องเย็บบาดแผล 20 เข็มนั้น การกระทํา ของเอกย่อมเป็นความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายตามมาตรา 390

ส่วนการที่โทได้ถึงแก่ความตายใน 3 วันต่อมาเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาบาดแผล ไม่ได้รับการทําความสะอาดอย่างเพียงพอเป็นเหตุให้แผลติดเชื้อรุนแรงจนเข้าสู่กระแสโลหิต และทําให้โทถึงแก่ ความตายนั้น ถือเป็นเหตุแทรกแซงที่ไม่อาจพึงคาดหมายได้ จึงตัดความรับผิดในผลคือความตายของโทจากการ กระทําโดยประมาทของเอก ดังนั้น เอกจึงไม่ต้องรับผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291

สรุป เอกมีความผิดฐานกระทําโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายตาม มาตรา 390

 

ข้อ 2 นายเอกมีอาชีพเป็นทนายความได้สมัครเข้าทํางานฝ่ายกฎหมายที่บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถึงวันสอบสัมภาษณ์ได้มีบุคคลอื่นเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์มาถึงนายโทพนักงานฝ่ายกฎหมายของ บริษัทนั้นระบุข้อความว่า “นายเอกเป็นทนายนิสัยไม่ดี เฮงซวย” หลังจากอ่านจดหมายแล้วนายโท ได้มอบจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายกิตติซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของบริษัทและจะต้องทําการ สอบสัมภาษณ์นายเอก เมื่อถึงวันสอบสัมภาษณ์นายกิตติได้มอบจดหมายนั้นให้นายเอกอ่าน โดยบอกด้วยว่านายโทเป็นผู้มอบจดหมายให้มา ต่อมานายเอกจึงดําเนินคดีกับนายโทในข้อหาหมิ่นประมาท ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายโทจะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

3 โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 325 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ดังนั้น ข้อความที่เป็นถ้อยคําเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้ อับอาย หรือข้อความที่ไม่ทําให้บุคคลซึ่งได้ยินเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายกันถือเป็น การใส่ความตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโทได้อ่านจดหมายจนทราบข้อความในจดหมายที่เขียนส่งมาให้โดยระบุข้อความว่า “นายเอกเป็นทนายนิสัยไม่ดี เฮงซวย” แล้วส่งมอบจดหมายนั้นให้นายกิตติ อ่านต่อนั้น ถึงแม้จะเป็นการใส่ความนายเอกต่อบุคคลที่สาม แต่ข้อความในจดหมายนั้นก็ไม่น่าจะทําให้นายเอก เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังแต่อย่างใด เพราะคําว่า “นิสัยไม่ดี” ก็ไม่มีข้อความใดแสดงว่านายเอก นิสัยไม่ดีอย่างไร ส่วนคําว่า “เฮงซวย” ก็เป็นเพียงคําดูถูกแสดงถึงคุณภาพต่ำเท่านั้น ข้อความดังกล่าวจึงไม่ใช่ ข้อความที่เป็นหมิ่นประมาท ดังนั้นการกระทําของนายโทจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

สรุป นายโทไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทนายเอกตามข้อกล่าวหา

 

ข้อ 3 จําเลยกับนาย ก. นําโคไปเลี้ยงกลางทุ่งนา ปรากฏว่าฝูงโคของนาย ก. เดินปะปนไปกับฝูงโคของจําเลยจนแยกไม่ออก นาย ก. ไม่สามารถแยกฝูงโคของนาย ก. ออกมาได้ นาย ก. จึงบอกแก่จําเลย ให้ดูไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอา จําเลยรับปากจะดูให้หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง จําเลยพาฝูงโคของจําเลย และนาย ก. ไปที่บ้านของจําเลย และนําโคของนาย ก. ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตน ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตาม มาตรา 352 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. บอกให้จําเลยดูฝูงโคของนาย ก. ไว้ให้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอานั้น ถือเป็นการบอกให้จําเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว ยังไม่ถึงกับเป็นการฝากทรัพย์ จึงยังไม่เป็นการส่งมอบ การครอบครอง ดังนั้น การครอบครองฝูงโคดังกล่าวจึงยังคงอยู่ที่นาย ก. การที่จําเลยนําโคของนาย ก. ไปขาย จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น และเมื่อเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต จําเลย จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 (เทียบฎีกาที่ 535/2500)

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ไปที่บ้านของนาย ก. เมื่อไปถึง จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ใช้เท้าเตะไปที่รั้วบ้านของนาย ก. ซึ่งรั้วบ้านของนาย ก. เป็นรั้วสังกะสี นาย ก. ได้ยินเสียงจึงออกมาดู จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท นาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพัง และกลัวจะถูกทําร้ายจึงยอมให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 2,000 บาท จําเลยที่ 1 รับเงินมาแล้วจึงพูดกับ นาย ก. ว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” ดังนี้ จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 340 “ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำ ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ..”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ชิงทรัพย์

2 โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป

3 โดยเจตนา

การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น อันจะเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 และถ้าได้ร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก็จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 นั้น การขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายดังกล่าวอาจจะเป็นการขู่ตรง ๆ ก็ได้ หรืออาจจะ เป็นการใช้ถ้อยคําทํากิริยาหรือทําโดยประการใด ๆ อันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภยันตราย จากการกระทําของผู้ขู่เข็ญก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท เมื่อนาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 กับพวกช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะฟังและกลัวถูกทําร้ายจึงยอมให้เงิน จําเลยที่ 1 ไป 2,000 บาท นั้น จะเห็นได้ว่า การกระทําของจําเลยที่ 1 และพวกเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็น การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย และการที่จําเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ทีหลัง ถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” คําพูดขู่เข็ญของจําเลยที่ 1 ดังกล่าวแม้ไม่ใช่ถ้อยคําขู่เข็ญตรง ๆ แต่ก็เข้าใจ ได้ว่าต่อไปถ้าจําเลยที่ 1 อยากได้อะไรแล้ว นาย ก. ต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกจําเลยที่ 1 ทําร้าย ดังนั้น การกระทําของ จําเลยที่ 1 กับพวกอีกสามคน จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ (เทียบฎีกาที่ 549/2517)

สรุป จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 340

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา 3 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอวางแผนฆาบี โดยเอายาพิษผสมในขวดน้ำดื่มเตรียมจะเอาไปให้บีดื่ม เอวางขวดน้ำนั้นไว้ในห้องนอนของเอ รอเวลาที่มีจะกลับมาจากทํางาน บังเอิญหนึ่งเข้าไปในห้องนอนของเอ เห็นขวดน้ำดื่มจึงหยิบไปดื่มทําให้หนึ่งถึงแก่ความตาย ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใด หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้ กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาท…

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความ ระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอด แล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

มาตรา 288 “ผู้ใดฆาผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคแรก ที่ว่าบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทําซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ซึ่งคําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเป็นการกระทําที่เลยขั้นตระเตรียมการ มาจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแล้ว เช่น ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 จะต้องมี องค์ประกอบที่สําคัญคือการ “ฆ่า” ซึ่งคําว่า “ฆ่า” นั้น หมายถึง การลงมือกระทําและการกระทํานั้นเป็นเหตุให้คนตาย ถ้าการลงมือกระทํานั้นได้กระทําไปไม่ตลอดหรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผลคือไม่ทําให้ ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําก็จะมีความผิดฐานพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอมีเจตนาฆ่าบี และได้วางแผนโดยเอายาพิษผสมในขวดน้ำดื่ม เตรียมจะเอาไปให้บีดื่มและได้วางขวดน้ำนั้นไว้ในห้องนอนของเอนั้น การกระทําของเอถือว่ายังอยู่ในขั้น ตระเตรียมการเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําผิด จะถือว่าการกระทําของเอเป็นการลงมือกระทําความผิดแต่ กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผลไม่ได้ ดังนั้น เอจึงไม่มีความผิดฐาน พยายามฆ่าบี

ส่วนการที่หนึ่งได้เข้าไปในห้องนอนของเอแล้วหยิบเอาขวดน้ำที่ผสมยาพิษไปดื่มทําให้หนึ่งถึง แก่ความตายนั้น ความตายของหนึ่งมิได้เกิดจากการกระทําของเอ เพราะเอไม่มีเจตนาฆ่าหนึ่ง และจะถือว่า เป็นการกระทําโดยพลาดของเอตามมาตรา 60 หรือเป็นการกระทําโดยประมาทของเอตามมาตรา 59 วรรคสี่ ก็ไม่ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพราะเอยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิดนั่นเอง ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ เอจึงยังไม่มีความผิด ต่อชีวิตฐานใดเลย

สรุป เอไม่มีความผิดต่อชีวิตฐานใดเลย

 

ข้อ 2 นายเพชรเคยแต่งตั้งให้นายเอกเป็นทนายความว่าความให้ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ซึ่งนายเพชรถูกฟ้องเป็นจําเลย ผลของคดีนั้น นายเพชรเป็นฝ่ายแพ้จึงทําให้นายเพชรไม่พอใจเพราะเข้าใจว่านายเอก ไม่ทําหน้าที่ทนายความให้เต็มที่ โดยแสดงพฤติการณ์เข้าข้างฝ่ายโจทก์และอาจรับทรัพย์สินจาก ฝ่ายโจทก์ด้วย วันเกิดเหตุขณะที่นายเอกยืนอยู่หน้าสํานักงาน นายเพชรชี้มือไปที่นายเอกแล้วพูด กับคนอื่น ๆ ซึ่งยืนอยู่ใกล้เคียงว่า “ระวังทนายสกปรกจะเอาเรื่อง” จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า การกระทําของนายเพชรเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

3 โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ดังนั้น ข้อความที่เป็นถ้อยคําเปรียบเทียบที่ไม่สุภาพหรือเหยียดหยามให้ อับอาย หรือข้อความที่ไม่ทําให้บุคคลซึ่งได้ยินเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ยังไม่ถือว่าเป็นการกล่าวหาเรื่องร้ายอันถือเป็น การใส่ความตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเพชร ชี้มือไปที่นายเอกแล้วพูดกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงว่า “ระวังทนายสกปรกจะเอาเรื่อง” นั้น คําพูดของนายเพชรดังกล่าว ไม่มีข้อความอื่นประกอบให้เห็นว่า นายเอก เป็นทนายความสกปรกในเรื่องอะไร และแม้คําพูดของนายเพชรจะเป็นคําเสียดสีนายเอกว่าเป็นคนน่ารังเกียจ แต่ไม่ถึงขนาดทําให้ผู้ที่รับฟังเข้าใจว่านายเอกเป็นคนคดโกง ขาดความน่าเชื่อถือ หรือน่าจะทําให้นายเอก เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ถ้อยคําที่นายเพชรกล่าวจึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทหรือใส่ความนายเอก ดังนั้น การกระทําของนายเพชรจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

สรุป การกระทําของนายเพชรไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท

 

ข้อ 3 จําเลยกับนาย ก. โดยสารรถทัวร์คันเดียวกันและที่นั่งติดกัน ขณะเกิดเหตุนาย ก. เกิดปวดห้องน้ำจึงลุกจากที่นั่งแล้ววางกระเป๋าสตางค์ไว้ตรงที่นั่งโดย นาย ก. บอกจําเลยว่า “ดูกระเป๋าสตางค์ให้ด้วย เสร็จธุระแล้วจะมารับคืน” จากนั้น นาย ก. เดินไปเข้าห้องน้ำในรถทัวร์ ระหว่างนั้นจําเลยเปิด กระเป๋าสตางค์ของนาย ก. แล้วหยิบเงินไป จํานวน 2,000 บาท ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั้นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคแรก)

ตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยกับนาย ก. โดยสารรถทัวร์คันเดียวกันและที่นั่งติดกัน เมื่อนาย ก. จะไปห้องน้ำจึงลุกจากที่นั่งแล้ววางกระเป๋าสตางค์ไว้ตรงที่นั่งและได้บอกกับจําเลยว่า “ดูกระเป๋าสตางค์ให้ด้วย เสร็จธุระแล้วจะมารับคืน” นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นาย ก. ได้มอบหมายให้จําเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว เท่านั้น มิได้มีเจตนาสละการครอบครองให้แก่จําเลย การครอบครองทรัพย์ยังอยู่ที่นาย ก. ดังนั้นการที่จําเลย เปิดกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเงินไป 2,000 บาท จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปจากการครอบครองของผู้อื่น หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง และเมื่อได้เอาไปโดยเจตนาและโดยทุจริต จึงครบองค์ประกอบของความผิด ฐานลักทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 334 ดังนั้น จําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ (เทียบฎีกาที่ 179/2507)

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ไปที่บ้านของนาย ก. เมื่อไปถึง จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ใช้เท้าเตะไปที่รั้วบ้านของนาย ก. ซึ่งรั้วบ้านของนาย ก. เป็นรั้วสังกะสี นาย ก. ได้ยินเสียงจึงออกมาดู จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 5,000 บาท นาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพัง และกลัวจะถูกทําร้ายจึงยอมให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 3,000 บาท จําเลยที่ 1 รับเงินมาแล้วจึงพูดกับ นาย ก. ว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” ดังนี้ จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 340 “ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทํา ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ชิงทรัพย์

2 โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป

3 โดยเจตนา

การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น อันจะเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 และถ้าได้ร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก็จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 นั้น การขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายดังกล่าวอาจจะเป็นการขู่ตรง ๆ ก็ได้ หรืออาจจะ เป็นการใช้ถ้อยคําทํากิริยาหรือทําโดยประการใด ๆ อันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภยันตราย จากการกระทําของผู้ขู่เข็ญก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 5,000 บาท เมื่อนาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 กับพวกช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพังและกลัวถูกทําร้ายจึงยอมให้เงิน จําเลยที่ 1 ไป 3,000 บาท นั้น จะเห็นได้ว่า การกระทําของจําเลยที่ 1 และพวกเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็น การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย และการที่จําเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ที่หลังถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” คําพูดขู่เข็ญของจําเลยที่ 1 ดังกล่าวแม้ไม่ใช้ถ้อยคําขู่เข็ญตรง ๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าต่อไป ถ้าจําเลยที่ 1 อยากได้อะไรแล้ว นาย ก. ต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกจําเลยที่ 1 ทําร้าย ดังนั้น การกระทําของจําเลยที่ 1 กับพวกอีกสามคน จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ (เทียบฎีกาที่ 549/2517)

สรุป จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 340

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา 3 S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 หนึ่งกระทําโดยประมาทขับรถมาด้วยความเร็ว เมื่อใกล้ถึงทางข้ามก็ไม่ชะลอความเร็ว ทําให้รถเกือบจะชนสองที่กําลังเดินข้ามถนนไปหามารดาที่ข้ามไปก่อนแล้ว เคราะห์ดีที่สองกระโดดหลบทัน มารดาของสองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด เมื่อเห็นรถของหนึ่งพุ่งมาจะชนสอง ทําให้มารดาของสองตกใจจนเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันถึงแก่ความตาย ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสี่ “กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดย ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความ ระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําตอบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้นเพราะฐานะของบุคคล หรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับ เพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 291 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 ประกอบด้วย

1 กระทําด้วยประการใด ๆ

2 การกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3 โดยประมาท

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่หนึ่งกระทําโดยประมาทขับรถด้วยความเร็ว เมื่อใกล้ถึงทางข้ามก็ไม่ชะลอความเร็ว ทําให้รถเกือบจะชนสองที่กําลังเดินข้ามถนนไปหามารดาที่ข้ามไปก่อนแล้วนั้น เมื่อปรากฏว่าสองกระโดดหลบทันจึงไม่ได้รับอันตรายหรือถึงแก่ชีวิตแต่อย่างใด ดังนั้นหนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดต่อสองฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

ส่วนกรณีที่มารดาของสองเห็นรถของหนึ่งพุ่งจะมาชนสอง ทําให้มารดาของสองตกใจจนเกิด อาการหัวใจวายเฉียบพลันถึงแก่ความตายนั้น ถือเป็นผลที่ห่างไกลเกินเหตุ ซึ่งตามปกติแล้วการที่เห็นผู้อื่นกําลัง จะถูกรถชนไม่น่าจะทําให้คนตกใจจนถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นการบังเอิญที่มารดาของสองซึ่งเป็นโรคหัวใจได้เห็น เหตุการณ์ดังกล่าว และตกใจจนเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน จึงถือว่าความตายของมารดาของสองไม่มี ความสัมพันธ์กับการกระทําของหนึ่ง ดังนั้น หนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้น อีกทั้งการกระทําของหนึ่ง ก็ไม่ถือเป็นการกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 เพราะมิใช่เรื่องที่หนึ่งเจตนากระทําต่อสองแล้วไปเกิดผลร้ายแก่มารดา ของสองแต่อย่างใด ดังนั้นหนึ่งจึงไม่มีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291

สรุป หนึ่งไม่มีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข้อ 2 นายเสือฆ่าคนตายแล้วหลบหนี ในระหว่างทางที่หลบหนีพบนายช้างจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่พักริมทาง นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจากนายช้างแล้วขับขี่รถหลบหนีไป หลังจากหนีไปได้ประมาณ 10 กิโลเมตร นายเสือได้จอดรถทิ้งไว้ข้างทางโดยมิได้ซุกซ่อน ส่วนตัวนายเสือก็หลบหนีต่อไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า นายเสือจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 309 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือ ของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจักรยานยนต์จากนายช้าง จนทําให้ นายช้างกลัวและยอมให้นายเสือขับรถไปนั้น การกระทําของนายเสือถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ๆ หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต และนายช้างก็ได้จํายอมตามที่ถูกนายเสือข่มขืนใจ หรือขู่เข็ญแล้ว อีกทั้งการกระทําของนายเสือก็เป็นการกระทําโดยเจตนา ดังนั้น นายเสือจึงมีความผิดฐานข่มขืนใจ ผู้อื่นตามมาตรา 309 วรรคแรก

สรุป นายเสือจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามมาตรา 309 วรรคแรก

 

ข้อ 3 แดงนำวัวไปเลี้ยงยังทุ่งหญ้าเลี้ยงวัวแห่งหนึ่ง บรากฏว่ามีวัวของขาวกินหญ้าในทุ่งหญ้าแห่งนั้นด้วยทั้งยังมีวัวของคนอื่น ๆ อีกหลายตัวก็กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าแห่งนั้น ครั้นถึงตอนเย็นวัวของแดงตัวหนึ่ง พลัดหลงไปกับวัวของขาว และแดงรีบตามไปเอาวัวของตน ครั้นขาวนําวัวเข้าคอกแล้วขาวเห็นวัว ของแดงเข้าไปในคอกวัวของขาวด้วยในเวลานั้นเอง แดงจะเข้าไปเอาวัวของตนในคอกวัวของขาว แต่ขาวผลักหน้าอกแดงให้แดงออกไปจากคอกวัว และขาวบอกแดงว่าต้องเอาเงินค่าไถ่มาไถ่วัว ของแดงก่อน 1,000 บาท ถ้าไม่เอาเงินค่าไถ่มาไถ่ ขาวจะไม่ยอมให้วัวคืนกับแดงอย่างแน่นอน ดังนี้

ให้วินิจฉัยว่า ขาวมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 339 วรรคแรก “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้ กําลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ มาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วัวของแดงตัวหนึ่งพลัดหลงไปกับวัวของขาว และแดงได้รีบตามไป เอาวัวของตนในคอกของขาวนั้น ถือว่าวัวยังคงอยู่ในความครอบครองของแดงตลอดเวลา การที่ขาวผลักหน้าอกแดง ให้แดงออกไปจากคอกวัว และขาวบอกแดงว่าต้องเอาเงินค่าไถ่มาไถ่วัวของแดงก่อนนั้น ถือเป็นการเอาทรัพย์ของ ผู้อื่นไปโดยมีลักษณะเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ไปแล้ว การกระทําของขาวจึงเป็นการใช้กําลัง ประทุษร้ายโดยมีเจตนาพิเศษคือ เพื่อยึดถือเอาวัวของแดงไว้ และเมื่อการกระทําของขาวเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ดังนั้น ขาวจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์

สรุป ขาวมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339

 

ข้อ 4 เอเก็บสร้อยข้อมือทองคําประดับเพชรมูลค่าประมาณแปดหมื่นบาทได้จากสวนสาธารณะที่มีคนไปออกกําลังกายโดยไม่ทราบว่าเป็นของใคร ทําตกแต่เมื่อใด หลังจากนั้นสามวันมีเจ้าของสร้อยข้อมือ มาติดต่อขอรับสร้อยคืน เพราะมีคนยืนยันว่าเห็นเอเป็นคนเก็บสร้อยได้ เอเกิดความเสียดายอยากได้ สร้อยไว้ จึงหยิบเอาสร้อยข้อมือทองคําของตนที่มีมูลค่าประมาณหนึ่งหมื่นบาทมาส่งคืนให้ โดยหลอกว่าเป็นสร้อยเส้นที่ตนเก็บได้ ดังนี้ เอจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยเบียดบัง เอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทําความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสําคัญ ผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทําความผิดเก็บได้ ผู้กระทําต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง”

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา 352 วรรคสองเป็นเหตุลดโทษให้แก่ผู้กระทําความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก ถ้าทรัพย์ที่ผู้กระทําความผิดยักยอกนั้นตกมาอยู่ในครอบครองของผู้กระทําความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบ ให้โดยสําคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหาย ซึ่งผู้กระทําความผิดเก็บได้แล้วยักยอกไว้ ผู้กระทําความผิด ต้องรับโทษเพียงกึ่งหนึ่งของโทษตามมาตรา 352 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าของสร้อยข้อมือทําสร้อยข้อมือทองคําประดับเพชรตกหายในสวนสาธารณะนั้น สร้อยข้อมือดังกล่าวย่อมถือเป็นทรัพย์สินหาย เมื่อปรากฏว่าเอเก็บได้จึงเป็นการครอบครอง ทรัพย์ของผู้อื่น ดังนั้น เมื่อเจ้าของสร้อยข้อมือมาติดต่อขอรับสร้อยคืน การที่เอปฏิเสธกรรมสิทธิ์ต่อเจ้าของทรัพย์ จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายตามมาตรา 352 วรรคสอง แม้จะมีการหลอกเอาสร้อยข้อมือ ของตนที่ถูกกว่าไปคืนก็ไม่เป็นฉ้อโกง เพราะจะเป็นฉ้อโกงได้นั้นจะต้องเป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ของผู้อื่น แต่กรณีนี้เอได้ทรัพย์สินของผู้อื่นมาอยู่ในความครอบครองอยู่แล้ว แต่ได้เบียดบังเอาทรัพย์สินนั้นไป

สรุป เอมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายตามมาตรา 352 วรรคสอง

WordPress Ads
error: Content is protected !!