LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. เป็นผู้จัดการร้านค้า ตัวการห้ามขายเชื่อ หรือขายเชื่อได้แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทและต้องมีผู้ค้ำประกัน ผู้จัดการขายเชื่อ ให้ ข. ไปหนึ่งหมื่นบาท โดยมี ค. ค้ำประกัน หาก ข. ไม่ชําระหนี้ ค่าซื้อเชื่อหนึ่งหมื่นบาทซึ่งจะต้องบังคับโดยการฟ้องคดี อยากทราบว่าในกรณีนี้ใครมีอํานาจฟ้อง ข. และหรือ ค. ได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้ แต่เพียงในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 801 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจทั่วไป ท่านว่าจะทํากิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการ ก็ย่อมทําได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่ คือ

(5) ยื่นฟ้องต่อศาล”

มาตรา 802 “ในเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวิญญชนจะพึงกระทํา ก็ย่อมมีอํานาจจะทําได้ทั้งสิ้น”

มาตรา 807 “ตัวแทนต้องทําการตามคําสั่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มี คําสั่งเช่นนั้น ก็ต้องดําเนินตามทางที่เคยทํากันมาในกิจการค้าขายอันเขาให้ตนทําอยู่นั้น”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตัวการให้ ก. เป็นผู้จัดการร้านค้า และมีคําสั่งห้าม ก. ขายเชื่อ หรือ ขายเชื่อได้แต่ไม่เกิน 10,000 บาท และต้องมีผู้ค้ำประกันนั้น ย่อมถือว่า ก. เป็นตัวแทนได้รับมอบอํานาจทั่วไป และ ก. ต้องทําการตามคําสั่งดังกล่าวของตัวการด้วยตามมาตรา 801 และมาตรา 807

การที่ ก. ตัวแทนได้ขายเชื่อให้ ข. ไป 10,000 บาท โดยมี ค. เป็นผู้ค้ำประกันนั้น เป็นกรณีที่ ก. ตัวแทนได้จัดทํากิจการไปภายในขอบอํานาจและหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 801 และมาตรา 807 จึงมีผล ตามมาตรา 820 กล่าวคือ ผู้เป็นตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่ ก. ตัวแทนได้ทําไปนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อ ข. ไม่ชําระหนี้ค่าซื้อเชื่อจํานวน 10,000 บาท และจะต้องบังคับโดยการฟ้องคดี บุคคลที่มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. ผู้ค้ำประกัน จึงต้องเป็นตัวการ

สําหรับ ก. ตัวแทนนั้น โดยหลักแล้วจะไม่มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. เพราะต้องห้ามตามมาตรา 801 วรรคสอง (5) แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า ก. ตัวแทนได้รับมอบอํานาจจากตัวการให้เป็นผู้ฟ้องคดีแทนตัวการตาม มาตรา 800 ก. ตัวแทนก็ย่อมมีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. ได้ หรือในกรณีเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้อง เสียหาย เช่นคดีดังกล่าวกําลังจะขาดอายุความ เนื่องจากตัวการยังไม่ได้ดําเนินการฟ้องคดี ดังนี้ ก. ตัวแทนจะ ฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองแทนตัวการก็ได้ตามมาตรา 802

สรุป

ผู้มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. คือตัวการ ส่วน ก. ตัวแทนอาจมีอํานาจฟ้องคดีแทนตัวการ ได้ ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 800 หรือ 802 ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นางเพ็ญเปิดร้านขายเพชรอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง นางศรีได้นําแหวนเพชรของตนหนึ่งวงไปฝากนางเพ็ญขายในราคา 80,000 บาท โดยให้นางเพ็ญเป็นตัวแทนค้าต่างและได้ตกลงกันว่า ถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางเพ็ญจํานวน 3,000 บาท ปรากฏว่านางเพ็ญได้ขาย แหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางต้อยไปในราคา 90,000 บาท นอกจากนี้เงินที่นางเพ็ญขายแหวนเพชร ได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางศรีโดยนําเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่นางเพ็ญขายแหวนเพชรได้สูงกว่าที่นางศรีกําหนด นางเพ็ญจะถือเอา เงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางศรี นางเพ็ญจะต้อง รับผิดต่อนางศรีหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของ ตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางศรีได้นําแหวนเพชรของตนหนึ่งวงไปฝากนางเพ็ญขายในราคา 80,000 บาท โดยให้นางเพ็ญเป็นตัวแทนค้าต่าง และได้ตกลงกันว่าถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางเพ็ญ จํานวน 3,000 บาท แต่นางเพ็ญได้ขายแหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางต้อยไปในราคา 90,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขาย ที่สูงกว่าที่นางศรีกําหนดไว้ 10,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการ คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนี้ให้แก่นางศรีตามมาตรา 840 ประกอบมาตรา 833

ส่วนเงินจํานวน 90,000 บาท ที่ขายแหวนเพชรได้ นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างซึ่งได้รับไว้เนื่องด้วย การเป็นตัวแทนต้องส่งมอบให้แก่นางศรีตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างได้นําเงินจํานวนดังกล่าวซึ่งควรจะต้องส่งให้แก่นางศรีตัวการไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ของตน จึงต้องรับผิดโดยการเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับตั้งแต่วันที่เอาไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นางเพ็ญจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางศรี นางเพ็ญจะต้องรับผิดโดยการเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับตั้งแต่วันที่เอาไปใช้

 

ข้อ 3. นายขาวมอบให้นายแดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายขาวเองโดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าร้อยละห้าของราคาที่ดินดังกล่าว นายแดงต่อรองนายขาวว่า แต่ถ้าฉันขายที่ดินได้เกินกว่าราคาที่นายขาว กําหนดไว้นายแดงขอราคาส่วนเกินนั้นด้วย นายขาวตกลงให้ตามที่นายแดงขอ และตกลงกันว่า จะจ่ายค่านายหน้าและส่วนเกินกันในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน นายแดงนําเสนอขาย ที่ดินให้นายเขียว นายเขียวตกลงซื้อและนัดทําสัญญาจะซื้อจะขายกัน ภายหลังทําสัญญา การซื้อขาย เลิกกัน นายแดงเรียกค่านายหน้าและค่าส่วนเกินกับนายขาวตามที่ตกลงกันไว้ นายขาวปฏิเสธไม่จ่าย โดยอ้างว่าเมื่อการซื้อขายไม่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่าเงื่อนไขการเป็นนายหน้าไม่เป็นผลสําเร็จ นายแดง ไม่มีสิทธิเรียกค่านายหน้าและค่าส่วนเกิน

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแดงมีสิทธิเรียกค่านายหน้า และค่าส่วนเกินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้า ได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวมอบให้นายแดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายขาวเอง โดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ดินดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฏว่านายแดงได้นําที่ดินเสนอขายให้ นายเขียว และนายเขียวได้ตกลงซื้อและได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายกันแล้ว ย่อมถือได้ว่านายแดงได้ทําหน้าที่ของตน ในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาเภายหลังการทําสัญญา การซื้อขายได้เลิกกันเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ก็ตาม นายแดงก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ประกอบคําพิพากษาฎีกา ที่ 517/2494

ส่วนเรื่องเงินส่วนเกินที่นายขาวตกลงจะให้แก่นายแดงนั้น เมื่อการซื้อขายเลิกกัน กล่าวคือ ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น นายแดงย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินค่าส่วนเกินในส่วนนี้ ทั้งนี้เพราะเงินค่าส่วนเกินกับ ค่านายหน้าที่นายขาวตกลงจะให้แก่นายแดงนั้น จะต้องพิจารณาแยกกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 257/2522)

สรุป

นายแดงมีสิทธิเรียกค่านายหน้าจากนายขาวได้ แต่จะเรียกค่าส่วนเกินไม่ได้

 

LAW2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สีมอบแสงให้ไปกู้เงินโดยมิได้ทําเป็นหนังสือมอบหมาย แสงไปกู้เงินดําโดยทําหลักฐานการกู้เป็นหนังสือและเขียนในสัญญากู้ว่า กู้แทนสี เมื่อได้เงินมาแสงนําไปให้สี ต่อมาสีผิดนัด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ดําจะฟ้องใครให้รับผิดได้บ้าง ระหว่างสีกับแสง ประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 จากปัญหาข้างต้น ดําเจ้าหนี้จะฟ้องให้สีรับผิดโดยตรงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั่นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตาม กฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า สีมอบให้แสงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้ แสงย่อมไม่มีอํานาจลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะสีตั้งแสงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 798 วรรคสอง

ดังนั้น การที่แสงลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินกับดํา ก็เท่ากับว่าแสงลงลายมือชื่อโดยปราศจาก อํานาจตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินนั้นจึงไม่ผูกพันสีตัวการ แสงตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อดําโดยลําพัง ตามมาตรา 823 วรรคสอง ดําจึงสามารถฟ้องแสงให้รับผิดในฐานะคู่สัญญาได้โดยตรงตามมาตรา 653 แต่ดําจะ ฟ้องสีให้รับผิดในฐานะตัวการตามมาตรา 820 หาได้ไม่

ประเด็นที่ 2 การที่แสงไปกู้เงินจากดํา แล้วนําเงินมาให้สีแล้วนั้น เมื่อสีรับเงินไว้ย่อม เท่ากับว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่แสง สัญญากู้ยืมเงินจึงผูกพันสีตัวการตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง อีกทั้งกรณี ดังกล่าวถือได้ว่าสีเชิดให้แสงออกแสดงเป็นตัวแทนของสีตามมาตรา 821 สีจึงต้องรับผิดต่อดําบุคคลภายนอก เสมือนว่าแสงเป็นตัวแทนของตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อสีผิดนัดชําระหนี้ ดําจึงสามารถ พ้องให้สีรับผิดได้โดยตรง

สรุป

ประเด็นที่ 1 ดําจะฟ้องแสงให้รับผิดได้ แต่จะฟ้องสีให้รับผิดไม่ได้

ประเด็นที่ 2 ดําจะฟ้องให้สีรับผิดโดยตรงได้

 

ข้อ 2. ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อเรือยอร์ชแต่ให้เงินสดไปไม่ครบขาดไป 5 แสนบาท ก. บอกให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อน ข. ตอบตกลงเมื่อได้เรือยอร์ชมาแล้ว ข. เรียกให้ ก. มารับและให้นําเงิน 5 แสนมาใช้คืนด้วย ก. มาถึงจะเอาแต่เรือไปก่อน แต่ยังไม่ชําระหนี้ 5 แสนให้ ข. ดังนี้ ข. สามารถจะยึดหน่วงเรือยอร์ชนั้น ไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และจะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนคืนให้ ก. ทันที ข. ตัวแทนจะมีทางแก้อย่างไรจึงจะได้รับ ชําระหนี้ ประเด็นที่ 3 จากโจทย์เดิม ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ทันที แต่ ก. ไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ข. เลยออกอุบายว่าขอยืมรถเบนซ์สปอร์ตมาขับ 3 วัน แล้วจะคืนให้ ด้วยความเกรงใจ ข. เพราะยังติดหนี้อยู่จึงให้ ข. ยืมรถสปอร์ตไปขับ พอครบ 3 วัน ข. ไม่คืนรถสปอร์ตโดยอ้างว่าขอยึดหน่วง รถสปอร์ตไว้ก่อน เมื่อไหร่ ก. นำเงิน 5 แสนบาท มาคืน ข. จะคืนรถสปอร์ตให้ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคหนึ่ง “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคหนึ่ง “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออก เงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียก เอาเงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 819 “ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความ ครอบครองของตน เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชําระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่ ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อเรือยอร์ชแต่ให้เงินสดไปไม่ครบขาดอยู่ 5 แสนบาท น และให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อนนั้น เมื่อปรากฏว่า ก. มารับเรือยอร์ชจาก ข. แต่ยังไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ให้ ข. ดังนี้ ข. ตัวแทน ย่อมสามารถอ้างสิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 819 ประกอบมาตรา 816 ได้ เพราะทรัพย์นั้นเป็น ทรัพย์ที่ ข. ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน อีกทั้งยังอยู่ในครอบครองของ ข. ตัวแทน ข. จึงมีสิทธิยึด ทรัพย์นั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับชําระหนี้ และไม่ถือเป็นการขัดมาตรา 810 เพราะ ก. ตัวการมีหนี้ที่ต้องชําระ

ประเด็นที่ 2 ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนคืนให้ ก. ทันที แต่ ก. ไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ทางเลือกของ ข. มีทางเดียวคือฟ้องเรียกให้ ก. ตัวการชําระหนี้ 5 แสนบาท เท่านั้นตามมาตรา 816 วรรคหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 ข. ไม่มีอํานาจอ้างสิทธิยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้ได้ เพราะรถสปอร์ตกับเรือยอร์ช เป็นทรัพย์คนละอย่างกัน เรือยอร์ชเขานั้นเป็นทรัพย์ที่ ข. ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนตาม มาตรา 810 จึงจะอ้างสิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 819 ประกอบมาตรา 816 ได้ และทรัพย์ต้องอยู่ในความ ครอบครองของ ข. แต่ ข. ก็โอนเรือยอร์ชไปแล้ว ดังนั้น ข. ตัวแทนจะอ้างสิทธิยึดหน่วงรถสปอร์ตหาได้ไม่

สรุป

ประเด็นที่ 1 ข. สามารถยึดหน่วงเรือยอร์ชนั้นไว้ก่อนได้ และไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย

ประเด็นที่ 2 ทางเลือกของ ข. มีทางเดียวคือ ต้องฟ้องเรียกให้ ก. ชําระหนี้ 5 แสนบาท เท่านั้น

ประเด็นที่ 3 ข. ไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้

 

ข้อ 3. เขียวมอบเหลืองให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จ เหลืองขายที่ดินได้แล้ว เขียวให้ค่าบําเหน็จร้อยละสองของยอดขาย เหลืองบอกเขียวให้น้อยไปขอมากกว่านี้ แต่เขียวปฏิเสธ เหลืองจึงนําคดี ขึ้นสู่ศาล ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะพิจารณาให้ค่าบําเหน็จกับเหลืองอย่างไร นําหลักใดมาเป็นเกณฑ์

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า

ค่าบําเหน็จนั้นถ้ามิได้กําหนดจํานวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ในกรณีที่ได้มีการตกลงกันว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า แต่มิได้กําหนดจํานวน ค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้ตามมาตรา 846 วรรคสอง ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม ที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา ดังนั้นค่าบําเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันจะต้องกําหนดกันไว้โดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม ตามบทบัญญัติมาตรา 846 วรรคสอง

ทั้งนี้มีคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 วางหลักของจํานวนตามธรรมเนียมตามนัยมาตรา 846 วรรคสองว่า เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกําหนดค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน จึงต้อง ถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคิดกันในอัตราร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อ ขายกันแท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เขียวมอบเหลืองให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จแต่ไม่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกําหนดจํานวนค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้ว่าจะจ่ายเท่าใดนั้นจึงต้องถือว่าตกลงกันเป็น 1 จํานวนตามธรรมเนียมตามมาตรา 845 วรรคสอง ประกอบแนวคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 คือ ต้อง จ่ายค่าบําเหน็จนายหน้าให้แก่เหลืองร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ซื้อขายกันจริง

ดังนั้น เมื่อไม่มีการกําหนดจํานวนบําเหน็จกันไว้โดยชัดแจ้ง การที่เหลืองต้องการบําเหน็จเพิ่ม และนําคดีขึ้นสู่ศาล ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งให้เขียวจ่ายบําเหน็จให้เหลืองร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ซื้อขายกัน จริงตามหลักกฎหมายและแนวคําพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาให้ค่าบําเหน็จกับเหลืองร้อยละ 5 ของราคา ที่ดินที่ซื้อขายกันจริง ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดํามอบอํานาจให้แดงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ แดงไปกู้เงินขาว 5 แสนบาท โดยทําหลักฐานการกู้เป็นหนังสือและเขียนใบสัญญาว่ากู้แทนดํา ต่อมาดําผิดนัดชําระหนี้ ขาวจึง ฟ้องดําให้ชําระหนี้ 5 แสนนั้น ศาลยกคําฟ้องของขาวโดยให้เหตุผลในการยกฟ้องว่า ดํามิใช่เป็น คู่สัญญาของขาว ขาวจึงไม่มีอํานาจฟ้อง

ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ประเด็นหนึ่ง อีกประเด็นหนึ่งในการกู้เงินในประเด็นแรก ถ้าแดงกู้เงิน 5 แสนแล้วนํามาให้ดําทั้ง 5 แสน

ดังนี้ขาวจะฟ้องให้ดําต้องรับผิดในหลักกฎหมายใดได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นแรก การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตาม กฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดํามอบอํานาจให้แดงไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้แดงย่อม ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะดําตั้งแดงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคสอง

ดังนั้นการที่แดงลงชื่อในสัญญากู้เงินกับขาวก็เท่ากับว่าแดงลงชื่อโดยปราศจากอํานาจตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินนั้นจึงไม่ผูกพันดําตัวการ แดงตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อขาวโดยลําพังตามมาตรา 823 วรรคสอง และเมื่อขาวฟ้องดําให้ชําระหนี้ ศาลได้ยกคําฟ้องของขาวโดยให้เหตุผลในการยกฟ้องว่า ดํามิใช่เป็นคู่สัญญากับขาว ขาวจึงไม่มีอํานาจฟ้องนั้น คําสั่งของศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย เคานาจในการอบรม

ประเด็นที่สอง การที่แดงไปกู้เงินจากขาว 5 แสนบาทแล้วนํามาให้ดําทั้ง 5 แสนบาทนั้น เมื่อดํารับเงินนั้นไว้ก็เท่ากับว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่แดง ลัญญากู้ยืมเงินจึงผูกพันดําตัวการตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง อีกทั้งกรณีดังกล่าวถือได้ว่าดําได้เชิดให้แดงออกแสดงเป็นตัวแทนของดําตามมาตรา 821 ดําจึงต้องรับผิด ต่อขาวบุคคลภายนอกเสมือนว่าแดงเป็นตัวแทนของตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อดํา ผิดนัดชําระหนี้ ขาวจึงสามารถฟ้องให้ดํารับผิดได้

สรุป

ประเด็นแรก คําสั่งยกฟ้องของศาลชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นที่สอง ขาวฟ้องให้ดํารับผิดชําระหนี้ได้

 

ข้อ 2. นางสุดาเปิดร้านขายเพชร นางสร้อยฟ้ามีแหวนเพชรอยู่หนึ่งวงต้องการขายจึงได้นําไปฝากนางสุดาให้เป็นตัวแทนค้าต่างขายในราคา 50,000 บาท โดยตกลงว่าถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่ นางสุดา 2,500 บาท ปรากฏว่านางสุดาได้ขายแหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางมุกดาในราคา 55,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายแหวนเพชรได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางสร้อยฟ้าโดยนําไปใช้สอยเพื่อ ประโยชน์ส่วนตัวของตนเสีย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายแหวนเพชรได้สูงกว่าที่นางสร้อยฟ้า กําหนด นางสุดาจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่ นางสร้อยฟ้า นางสุดาจะต้องรับผิดต่อนางสร้อยฟ้าอย่างไร หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินแถึงทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทน ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิน”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านราตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสร้อยฟ้าได้นําแหวนเพชรไปฝากนางสุดาซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย ในราคา 50,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายแหวนเพชรดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางสุดาจํานวน 2,500 บาท แต่นางสุดาได้ขายให้แก่นางมุกดาในราคา 55,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นางสร้อยฟ้ากําหนดไว้ 5,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นางสุดาตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการตาม มาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นางสร้อยฟ้า

ส่วนเงินจํานวน 55,000 บาท ที่ขายแหวนเพชรได้ นางสุดาตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่ นางสร้อยฟ้าตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสุดาไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางสร้อยฟ้า แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ย ในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นางสุดาจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางสร้อยฟ้า นางสุดาจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. ประสงค์มอบให้ประสิทธิ์นําที่ดินมือเปล่าของตนเนื้อที่หกสิบไร่ไปขาย โดยตั้งราคาไว้ที่ไร่ละหนึ่งหมื่นห้าพันบาท หากประสิทธิ์ขายได้เป็นราคาที่ตั้งไว้ดังกล่าว ส่วนเกินจะยกให้ประสิทธิ์ เวลาผ่านไปร่วมสองปีเศษเจอกันหลายครั้ง ประสิทธิ์บอกว่าที่ดินยังขายไม่ได้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ขอให้รอหน่อย ประสงค์อยากดูที่ดินที่ซื้อไว้ เมื่อขับรถไปถึงปรากฏว่ามีบ้านปลูกสร้างในที่ดิน และมีการทําประโยชน์ในที่ดินทั้งแปลง สุรชัยบอกว่าตนซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากประสิทธิ์ในราคา หนึ่งล้านสองแสนบาท ซื้อมาปีกว่าแล้ว บ้านหลังนี้ก็เพิ่งสร้างเสร็จ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวท่านคิดว่าประสงค์อาจจะบังคับประสิทธิ์ได้ในทางใดบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อน บังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคหนึ่ง “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

มาตรา 849 “การรับเงินหรือรับชําระหนี้อันจะพึงชําระตามสัญญานั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่านายหน้าย่อมไม่มีอํานาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ประสงค์มอบให้ประสิทธิ์ขายที่ดินนั้น ถือว่าโดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จ (มาตรา 846 วรรคหนึ่ง) โดยมีราคาส่วนที่ขายได้เกินเป็น ค่าบําเหน็จนายหน้า (มาตรา 845 วรรคหนึ่ง)

เมื่อประสิทธิ์ได้ขายที่ดินให้แก่สุรชัยในราคา 1,200,000 บาท ซึ่งตามข้อตกลงจะเป็นของ ประสงค์จํานวน 900,000 บาท (60 x 15,000) ที่ประสิทธิ์จะต้องส่งมอบให้แก่ประสงค์ตามมาตรา 810 วรรคหนึ่ง โดยประสิทธิ์ไม่มีอํานาจรับแทนประสงค์ (มาตรา 849) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อประสิทธิ์ได้รับไว้ย่อมถือว่าได้รับไว้แทน ประสงค์ ซึ่งประสิทธิ์จะต้องส่งมอบให้แก่ประสงค์ เมื่อประสิทธิ์ไม่ยอมส่งมอบแต่กลับนําไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตน ดังนี้ประสิทธิ์จะต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ตามมาตรา 811 และถ้ามีความเสียหาย เกิดขึ้นประสิทธิ์ก็จะต้องรับผิดชอบต่อประสงค์ เพราะถือว่าประสิทธิ์ไม่ทําการเป็นตัวแทนตามมาตรา 812

สรุป

ประสงค์สามารถเรียกให้ประสิทธิ์ส่งมอบเงินจากการขายที่ดินจํานวน 900,000 บาท ให้แก่ตนได้ และยังสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยในเงินนั้นได้ด้วย และในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น ประสงค์สามารถ บังคับให้ประสิทธิ์รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอก ตัวการเซ็นชื่อในใบมอบอํานาจให้โทตัวแทนไปทําการอย่างหนึ่ง คือให้นําที่ดินไปจํานองโดยให้โทไปกรอกข้อความเอง โทกรอกข้อความว่าให้นําที่ดินไปขายฝาก ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของเอกตัวการ และโทได้นําที่ดินไปขายฝากกับดํา ดํารับซื้อฝากไว้โดยสุจริตโดยคิดว่าโทมีอํานาจทําได้ ดังนี้จากพฤติการณ์ของตัวการดังกล่าว เอกตัวการจะต้องผูกพันรับผิดในผลของการกระทําของโท ตัวแทนหรือไม่ มีระยะเวลา เอกตัวการจะปฏิเสธหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาที่โททํากับดําได้หรือไม่ ตามหลักกฎหมายใด

และเอกตัวการฟ้องโทว่าปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และศาลพิพากษาว่าโทผิดจริง ตามฟ้อง ดังนี้ เอกจะนําคําพิพากษานั้นมาอ้างทําให้ดําบุคคลภายนอกเสียสิทธิ์นั้นไปได้หรือไม่

เพราะเหตุใด ใช้หลักกฎหมายใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 822 “ถ้าตัวแทนทําการอันใดเกินอํานาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทําให้ บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอํานาจของตัวแทนไซร์ ท่านให้ใช้บทบัญญัติ มาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

การที่เอกลงลายมือชื่อในใบมอบอํานาจให้โทตัวแทนไปจํานองที่ดิน โดยไม่กรอกข้อความ ลงในใบมอบอํานาจ เป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อย่อมเสี่ยงภัยในการกระทําของตนเองอย่างร้ายแรง เมื่อโทนําใบมอบอํานาจไปกรอกข้อความเป็นให้ขายฝาก ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของเอก เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกตามมาตรา 822 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทน คือโททําการเกินอํานาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทําให้บุคคลภายนอกมีเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การนั้นอยู่ภายในขอบอํานาจของตัวแทน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดํารับซื้อฝากไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ดังนั้น เอกตัวการจึงต้องรับผิดผูกพัน กับการกระทําของโทตัวแทนตามมาตรา 822 ประกอบมาตรา 821 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 671/2523)

เมื่อเอกตัวการจะต้องรับผิดผูกพันกับการกระทําของโทตัวแทนแล้ว ดังนั้นเอกจะปฏิเสธ ความรับผิดโดยอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้ และจะฟ้องเพิกถอน สัญญาที่โททํากับดําไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 580/2507)

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโทถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เอกก็จะนําคําพิพากษาดังกล่าวมาทําให้กระทบกระเทือนสิทธิของดําซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทําการโดย สุจริตไม่ได้ กล่าวคือ สิทธิของดําย่อมไม่เสียไปเพราะคําพิพากษาดังกล่าว ดังนั้นถ้าหากเอกต้องการได้ที่ดินคืน ก็ต้องชําระสินไถ่ตามกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกาที่ 212/2517)

สรุป

เอกตัวการจะต้องผูกพันรับผิดในผลของการกระทําของโทตัวแทน

เอกตัวการจะปฏิเสธหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาที่โททํากับดําไม่ได้

เอกตัวการจะนําคําพิพากษานั้นมาอ้างทําให้ดําบุคคลภายนอกเสียสิทธินั้นไปไม่ได้

 

ข้อ 2. นายทองได้นํารถยนต์ของตนซึ่งใช้มาแล้ว 6 ปี ไปฝากนายเงินซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์ขายรถยนต์มือสองอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษกให้เป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองของตนหนึ่งคันในราคา 400,000 บาท นายทองได้ตกลงว่าถ้าขายรถยนต์ได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายเงินจํานวน 20,000 บาท และได้บอก กับนายเงินว่าถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วจะจ่ายเงิน คืนให้ในภายหลัง ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวแบตเตอรี่หมดอายุ รถยนต์สตาร์ทไม่ติด นายเงิน จึงได้ซื้อแบตเตอรี่ใหม่มาเปลี่ยนให้โดยออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนเป็นเงินจํานวน 2,000 บาท ต่อมานายเงินได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายเพชรจํานวน 400,000 บาท นายเงินจึงได้หักเงิน ค่าบําเหน็จจํานวน 20,000 บาท และเงินทดรองจ่ายจํานวน 2,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ยรวม เป็นเงิน 22,000 บาท และได้ส่งมอบเงินค่าขายรถยนต์ให้แก่นายทองไปจํานวน 378,000 บาท นายทองไม่ยอมรับเงินจํานวนดังกล่าว แต่จะขอรับเงินจํานวน 380,000 บาท โดยยอมให้หัก ค่าบําเหน็จ 20,000 บาท ส่วนค่าแบตเตอรี่นายทองอ้างว่าเป็นหน้าที่ของนายเงินตัวแทนค้าต่างต้อง รับผิดชอบออกเงินเองเพราะเป็นผู้ขายรถยนต์ในนามของนายเงินตัวแทนค้าต่าง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนายทองฟังขึ้นหรือไม่ และนายเงินมีสิทธิหักเงินทดรองจ่ายหรือไม่ จ่ายเท่าใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคแรก “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคแรก “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเงิน ทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอา เงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองได้นํารถยนต์ของตนไปฝากนายเงินซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่าง ขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายเงินจํานวน 20,000 บาท และได้บอกกับนายเงินว่า ถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วจะจ่ายเงินคืนให้ในภายหลัง และเมื่อ ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวแบตเตอรี่หมดอายุรถยนต์สตาร์ทไม่ติด นายเงินจึงได้ซื้อแบตเตอรี่ใหม่มาเปลี่ยนให้ โดยออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนเป็นเงินจํานวน 2,000 บาทนั้น เมื่อนายเงินขายรถยนต์ได้จึงได้หักเงิน 22,000 บาท

และได้ส่งมอบเงินที่เหลือจํานวน 378,000 บาท ให้แก่นายทอง ถือว่านายเงินตัวแทนได้ส่งมอบเงินที่ได้รับ มาจากการเป็นตัวแทนให้กับตัวการแล้วตามมาตรา 810 วรรคแรก

ส่วนกรณีที่นายทองไม่ยอมรับเงินจํานวน 378,000 บาท แต่จะขอรับเงินจํานวน 380,000 บาท โดยอ้างว่านายเงินเป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์ในนามของนายเงินเองตามมาตรา 833 นายเงินจึงต้องรับผิดชอบ ออกเงินเองนั้น ข้ออ้างของนายทองฟังไม่ขึ้น เพราะแม้นายเงินจะขายในนามของตนเอง แต่นายทองได้ตกลงกับ นายเงินว่าถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วนายทองจะจ่ายเงินคืนให้ใน ภายหลัง ดังนั้น เมื่อนายเงินได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนจํานวน 2,000 บาท นายเงินตัวแทนค้าต่างจึงมีสิทธิ เรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 วรรคแรก ประกอบมาตรา 835

สรุป

ข้ออ้างของนายทองฟังไม่ขึ้น และนายเงินมีสิทธิหักเงินทดรองจ่ายได้จํานวน 2,000 บาท โดยจ่ายเงินที่เหลือให้แก่นายทองจํานวน 378,000 บาท

 

ข้อ 3. ที่ดินของ ก. มีที่ดินของ ข. ล้อมอยู่ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ก. เห็นว่า ค. ชอบพอกันอยู่กับ ข. จึงมอบให้ ค. ช่วยเจรจากับ ข. ขอทําทางผ่านที่ดินของ ข. ออกสู่ถนนสาธารณะ ถ้าสําเร็จจะให้ค่าเหนื่อย 100,000 บาท เมื่อเจรจากัน ข. บอกกับ ค. ว่า หาก ค. ไปพูดให้ ก. ขายที่ดินให้ตนก็จะ ตอบแทนให้ ค. 200,000 บาท จากการเจรจาของ ค. ก. ตกลงทําสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่ถูกล้อม ให้ ข. ในราคา 25,000,000 บาท และ ก. ได้จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยออกจากที่ดินของตนเพื่อให้ทัน กําหนดโอนตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อ ค. มาขอค่าบําเหน็จ 100,000 บาท ก. ไม่ยอมจ่ายโดยอ้างว่า ค. ทําการให้แก่บุคคลภายนอกที่จะให้ค่าบําเหน็จอันเป็นการฝ่าฝืนต่อการที่เข้ารับหน้าที่ ข้ออ้างของ ก. ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่เพียง ในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 847 “ถ้านายหน้าทําการให้แก่บุคคลภายนอกด้วยก็ดี หรือได้รับคํามั่นแต่บุคคลภายนอก เช่นนั้นว่าจะให้ค่าบําเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระทําการโดยสุจริตก็ดี เป็นการฝ่าฝืนต่อการที่ตนเข้ารับ ทําหน้าที่ไซร้ ท่านว่านายหน้าหามีสิทธิจะได้รับค่าบําเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้มอบให้ ค. ไปเจรจากับ ข. เพื่อ ก. จะขอทําทางผ่านที่ดินของ ข. และถ้า ค. เจรจาได้สําเร็จ ก. จะให้ค่าเหนื่อยแก่ ค. 100,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นการมอบอํานาจให้ ค. เป็นตัวแทน รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการตามมาตรา 800 และมีลักษณะเป็นการมอบหมายให้ ค. เป็นนายหน้าตามมาตรา 845 ดังนั้น การที่ ค. ได้เสนอให้ ก. ขายที่ดินให้แก่ ช. ซึ่งถ้าทําได้สําเร็จ ค. จะได้บําเหน็จจาก ข. 200,000 บาทนั้น ถือว่า ค. ได้ไปทําการให้แก่ ข. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อการทําหน้าที่นายหน้า ซึ่งโดยหลักแล้ว ค. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตามมาตรา 847

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าต่อมาได้มีการทําสัญญาจะขายที่ดินระหว่าง ก. กับ ข. ตามที่ ค. เสนอ ดังนี้ ย่อมถือว่า ก. ตัวการยอมรับการกระทําของ ค. ซึ่งเท่ากับ ก. ตัวการได้ให้สัตยาบันแก่การกระทําของ ค. แล้วตามมาตรา 823 วรรคแรก ดังนั้น ก. จึงต้องจ่ายค่าบําเหน็จให้แก่ ค. การที่ ก. อ้างว่า ค. ทําการให้ ข. ซึ่งเป็น บุคคลภายนอกด้วยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้น ข้ออ้างของ ก. จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของ ก. ฟังไม่ขึ้น

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบอํานาจให้ ข. ทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์ โดยมิได้ทําเป็นหนังสือ ข. ทําสัญญาให้เช่าซื้อให้ ค. ที่มาขอเช่าซื้อรถยนต์ ในวันทําสัญญาให้เช่าซื้อ ค. ได้วางเงินดาวน์ไว้กับ ข. 300,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) ข. มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่ เพราะเหตุใด

(2) สัญญาเช่าซื้อที่ ข. ทําไปนั้น ผลเป็นเช่นไร

(3) เงินดาวน์ที่ ข. รับไว้จาก ค. ผู้เช่าซื้อนั้น ข. ต้องโอนคืนให้ ก. ตัวการหรือไม่ เพราะอะไร

(4) ถ้า ข. ตัวแทนไม่โอนเงินดาวน์คืนให้ตัวการ ก. ตัวการจะต้องทําอย่างไร และถ้า ก. ฟ้อง ข. ให้โอนเงินดาวน์มาให้ ก. ข. ตัวแทนต่อสู้ว่า ก. ตัวการไม่มีอํานาจฟ้อง ข. ตัวแทน เพราะ ก. ตั้ง ข. เป็นตัวแทน มิได้ทําเป็นหนังสือ

ดังนี้ ข้ออ้างของ ข. ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทําให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”

มาตรา 798 วรรคแรก “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้ง ตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การทําสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทําเป็นหนังสือ มิฉะนั้น จะเป็นโมฆะ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้นการตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญาเช่าซื้อ จึงต้องทําเป็นหนังสือด้วย (มาตรา 798 วรรคแรก) เมื่อการตั้งตัวแทนของ ก. ที่ให้ ข. เป็นตัวแทนไปทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทําเป็น หนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคแรก ดังนั้น สัญญาที่ ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทนจึงตกเป็น โมฆะตามมาตรา 152 ข. จึงไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ

(2) เมื่อ ข. ไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ การที่ ข. ทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับ ค. จึง เป็นการทําสัญญาให้เช่าซื้อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 572 วรรคสอง ประกอบมาตรา 798 วรรคแรก และมีผลทําให้สัญญาเช่าซื้อที่ ข. ทํากับ ค. เป็นโมฆะ ตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดที่มิได้ทําให้ถูกต้อง ตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ

(3) เงินดาวน์ที่ ข. รับไว้จาก ค. ผู้เช่าซื้อจํานวน 300,000 บาท นั้น ข. จะต้องคืนให้แก่ ก. ตัวการ ตามมาตรา 810 ที่มีหลักว่า เงิน ทรัพย์สิน และสิทธิใด ๆ ที่ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน จะต้องโอนคืนตัวการจนสิ้น แม้การเป็นตัวแทนของ ข. จะได้มาโดยมิชอบก็ตาม

(4) ถ้า ข. ตัวแทนไม่โอนเงินดาวน์คืนให้ ก. ตัวการ ก. ย่อมสามารถฟ้อง ข. ให้โอนคืน เงินดาวน์นั้นได้ โดย ข. จะต่อสู้ว่า ก. ไม่มีอํานาจฟ้อง เพราะ ก. ตั้ง ข. เป็นตัวแทนโดยมิได้ทําเป็นหนังสือตาม มาตรา 798 วรรคแรก ไม่ได้ เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ดังนั้น ข้ออ้างของ ข. ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

(1) ข. ไม่มีอํานาจทาสัญญาให้เช่าซื้อ

(2) สัญญาเช่า ซื้อที่ ข. ทําไปนั้น มีผลเป็นโมฆะ

(3) เงินดาวน์ที่ ข. รับไว้จาก ค. ผู้เช่าซื้อนั้น ข. ต้องโอนคืนให้ ก. ตัวการ

(4) ถ้า ข. ตัวแทนไม่โอนคืนเงินดาวน์ให้ ก. ตัวการ ก. สามารถฟ้องเรียกให้ ข.

ตัวแทนโอนคืนมาได้ ข้ออ้างของ ข. ดังกล่าว ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อที่ดิน ข. ซื้อที่ดินของตนเองโดยมิได้รับความยินยอมจาก ก. ตัวการ เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว ข. นํามาจัดสรรแบ่งขาย ปรากฏว่า ขายหมดสิ้น ตัวการได้สมประโยชน์ จึงขอให้ท่านจัดสรรบําเหน็จให้ ข. ตัวแทนว่า ข. ควรได้หรือไม่ได้ในส่วนใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 805 “ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทํานิติกรรมอันใด ในนามของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่ นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชําระหนี้”

มาตรา 818 “การในหน้าที่ตัวแทนสวนใดตัวแทนได้ทํามิชอบในส่วนนั้น ท่านว่าตัวแทน ไม่มีสิทธิจะได้บําเหน็จ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 805 ได้กําหนดไว้ว่า ตัวแทนจะเข้าทํานิติกรรมอันใดในนามของตัวการ ทํากับตัวเองในนามของตนเองมิได้ จะต้องได้รับความยินยอมจากตัวการก่อน เว้นแต่เป็นการทํานิติกรรมที่มีแต่ การชําระหนี้เท่านั้น หากตัวแทนกระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัตินี้ ตัวแทนย่อมไม่มีสิทธิรับบําเหน็จเพราะถือเป็น การกระทํามิชอบตามมาตรา 818

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย 2 กรณี คือ

กรณีแรก การที่ ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อที่ดิน แต่ ข. กลับซื้อที่ดินของตนเองนั้น ถือเป็นกรณีที่ ข. ตัวแทน ทํานิติกรรมในนามของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเอง เมื่อปรากฏว่า ก. ตัวการมิได้ยินยอมด้วย จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 805 ดังนั้น ข. จึงไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จในส่วนนี้ตามมาตรา 818 ที่ว่าการ ในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนทํามิชอบ ตัวแทนจะไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จ

กรณีที่สอง เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว การที่ ข. นําที่ดินมาจัดสรรแบ่งขาย และปรากฏว่าขายดีจน หมดสิ้นนั้น เมื่อปรากฏว่าตัวการได้สมประโยชน์ ข. ตัวแทนจึงมีสิทธิได้รับบําเหน็จในส่วนนี้ตามนัยมาตรา 818 ที่ว่า หากตัวแทนทําการในหน้าที่ขอบในส่วนใด ตัวแทนก็ย่อมมีสิทธิได้บําเหน็จในส่วนนั้น

สรุป

ข้าพเจ้าจะจัดสรรบําเหน็จให้แก่ ข. ตัวแทน โดยเห็นว่า ข. ไม่ควรจะได้รับบําเหน็จใน การที่ ข. ซื้อที่ดินของตัวเอง แต่ ข. ควรได้รับบําเหน็จในการที่ ข. จัดสรรแบ่งขายที่ดิน ตามเหตุผลข้างต้น

 

ข้อ 3. ก. ต้องการจะขายที่ดิน จึงเอาป้ายไปปักไว้ว่า “ที่ดินแปลงนี้ขาย” ข. เป็นเจ้าของนิติบุคคลเป็น สํานักงานทนายความ มี ค. เป็นลูกค้า ค. บอก ข. ว่าต้องการให้ ข. หาที่ดินแถว ๆ ที่ ก. ปิดป้ายไว้ว่า “ขาย” อยู่มาวันหนึ่ง ข. ขับรถผ่านที่ดินแปลงดังกล่าวจึงหยุดรถแล้วโทรไปถาม ก. ว่าที่ดินมีก็ไร่ ไร่ละเท่าใด ลดราคาได้หรือไม่ ก. ตอบคําถามของ ข. ทุกประการแล้ว ข. ก็วางโทรศัพท์ไป 3 วันต่อมา ข. นํา ค. มาพบ ก. เจ้าของที่ดิน มีการเจรจาตกลงซื้อขายและโอนกันวันนั้นเลย 3 วันต่อมา ข. มาพบ ก. ผู้ขาย เรียกค่านายหน้าก. ปฏิเสธไม่จ่าย โดยอ้างว่า ก. มิได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า ข. จึงฟ้อง ก. เพื่อให้ศาลสั่งให้จ่ายค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งจ่ายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้ มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกัน หรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับ บําเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญา ต่อกันโดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ค. จะได้เกิดขึ้นจากการชี้ช่อง และจัดการของ ข. ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. ไม่เคยตกลงให้ ข. เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตาม มาตรา 845 วรรคแรก อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคแรกก็ไม่ได้ เพราะการตกลง ตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้ ก. ยังไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น ข. จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า จาก ก. และถ้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข. แต่อย่างใด (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 705/2505)

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข.

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก่อนที่จะมาสมรสกัน น.ส.ดาวได้รับที่ดินมือเปล่าจากบิดามารดายกให้โดยเสน่หามา 1 แปลง ส่วนนายดีเป็นหนี้นายแดงอยู่ห้าแสนบาท หลังจากสมรสกันแล้ว ดาวมอบให้ดีสามีนําที่ดินดังกล่าว ไปขอออกโฉนด ดีใส่ชื่อตนเองแต่เพียงผู้เดียวในโฉนด ต่อมาแดงเรียกบังคับชําระหนี้จากดี แดงนําเจ้าพนักงานบังคับคดีนํายึดที่ดินดังกล่าวขายทอดตลาด เดียร์เข้ามาซื้อไว้ ดาวจะมาขอเพิกถอนการจดทะเบียนขายทอดตลาด โดยอ้างว่าที่ดินเป็นของตนก่อนสมรส ที่มีชื่อในโฉนดที่พิพาทในฐานะผู้ถือแทนเท่านั้น ข้ออ้างของดาวฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่ เพียงในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่ รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดาวมอบให้ดีสามีนําที่ดินมือเปล่าของตนไปออกโฉนด ถือเป็นการ มอบอํานาจให้ดีเป็นตัวแทนรับมอบอํานาจแต่เฉพาะการตามมาตรา 800 และถือเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อ ตามมาตรา 806 ซึ่งกําหนดไว้ว่า “ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกนอกหน้าเป็นตัวการไซร้ ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อน ที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ดาวตัวการได้ยอมให้ดีตัวแทนทําการยอกนอกหน้าเป็นตัวการ และเดียร์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้เข้าซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาด โดยไม่รู้ว่าที่เป็นตัวแทนของดาวในการนํา ที่ดินมาออกโฉนด กรณีนี้ ดาวซึ่งเป็นตัวการที่มิได้เปิดเผยชื่อและได้แสดงตนให้ปรากฏจะมาขอเพิกถอนการ จดทะเบียนขายทอดตลาด โดยอ้างว่าที่ดินเป็นของตนก่อนสมรส ที่มีชื่อในโฉนดที่พิพาทในฐานะผู้ถือแทนเท่านั้น ไม่ได้ เพราะจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของเดียร์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าดีเป็น ตัวแทนของดาว (ตามมาตรา 806) ดังนั้นข้ออ้างของดาวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของดาวฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นางสร้อยเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ที่ตลาดบางกะปิ นางดาวต้องการขายทองรูปพรรณหนัก 30 บาท จึงได้มอบให้นางสร้อยเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองรูปพรรณของตน โดยตกลงว่าถ้าขายได้ จะจ่ายค่าบําเหน็จจํานวน 20,000 บาทให้แก่นางสร้อย ปรากฏว่าก่อนนําทองรูปพรรณมาฝากขาย ราคาทองรูปพรรณขายบาทละ 17,850 บาท นางดาวได้บอกกับนางสร้อยว่าถ้าราคาทองรูปพรรณสูงกว่านี้ให้นางสร้อยขายทองรูปพรรณของตนให้ด้วย ต่อมาวันที่ 10 มีนาคม 2558 ปรากฏว่า ราคาทองรูปพรรณตามราคาตลาดโลกขึ้นเป็นราคาบาทละ 18,350 บาท ซึ่งนางสร้อยคาดว่า ราคาทองคําจะต้องขึ้นราคาอีก อาจจะถึงบาทละ 19,000 บาท นางสร้อยจึงต้องการซื้อทองรูปพรรณ ดังกล่าวไว้เองเพื่อผลกําไรในภายหน้า จึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้นางดาวทราบว่าตนจะซื้อทองรูปพรรณ ของนางดาวไว้เอง นางดาวไม่ได้บอกปัดในทันที เพราะเห็นว่าราคาทองคําขึ้นราคาแล้ว และตนก็ได้ กําไรเพิ่มขึ้น

ดังนี้อยากทราบว่าสัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนางสร้อยกับนางดาวเกิดขึ้นหรือไม่ และนางสร้อยจะได้รับบําเหน็จจากนางดาวหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843 “ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคําสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคา ของสถานแลกเปลี่ยน ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้ เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญา ในกรณีเช่นนั้น ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกําหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น ณ สถานแลกเปลี่ยนในเวลา เมื่อตัวแทนค้าต่างให้คําบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคําบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่บอกปัดเสียในทันที ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้ สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่ง แม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบําเหน็จก็ย่อมคิดได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 843 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญา ตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคําบอกกล่าว นั้นแล้ว และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบําเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางดาวได้มอบให้นางสร้อยเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองรูปพรรณของตน และตกลงจะจ่ายบําเหน็จให้จํานวน 20,000 บาท ปรากฏว่าต่อมาราคาทองรูปพรรณตามราคาตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน เมื่อนางสร้อยคาดว่าราคาทองคําจะต้องสูงขึ้นอีก จึงต้องการซื้อทองรูปพรรณดังกล่าวไว้เองเพื่อผลกําไรในภายภาคหน้านั้น ดังนี้ นางสร้อยสามารถทําได้ เพราะ ในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา 843 วรรคแรก

และเมื่อนางสร้อยบอกกล่าวทางโทรศัพท์ให้นางดาวทราบว่าตนจะซื้อทองรูปพรรณดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่านางดาวก็มิได้บอกปัดเสียในทันทีที่ได้รับคําบอกกล่าว กรณีนี้จึงถือว่านางดาวได้สนองรับคําบอกกล่าว นั้นแล้ว สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนางสร้อยกับนางดาวจึงเกิดขึ้นตามมาตรา 843 วรรคสอง และนอกจากนี้นางสร้อยก็ยังสามารถคิดเอาค่าบําเหน็จจํานวน 20,000 บาท จากนางดาวตามที่ได้ตกลงกันไว้ได้ด้วย แม้นางสร้อยจะเป็นผู้ซื้อทองรูปพรรณเหล่านั้นไว้เองก็ตามตามมาตรา 843 วรรคท้าย

สรุป

สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนางสร้อยกับนางดาวได้เกิดขึ้นแล้ว และนางสร้อย มีสิทธิจะได้รับบําเหน็จจํานวน 20,000 บาท จากนางดาว

 

ข้อ 3. ก. ต้องการจะขายที่ดิน เลยเอาป้ายไปปักไว้ว่า “ที่ดินแปลงนี้ขาย” ติดต่อโทร. ข. ขับรถผ่านไปเห็นป้ายตัวนี้ก็เลยนึกถึง ค. ซึ่งเป็นลูกค้าของ ข. ว่า ให้หาที่ดินย่านนี้ให้หน่อยจะทําโรงงาน ประมาณสัก 4 หรือ 5 ไร่ก็ได้ ข. จึงจอดรถโทรถาม ก. เจ้าของที่ว่าที่แปลงนี้มีกี่ไร่ ลดราคาได้หรือไม่ เมื่อ ก. บอกไปว่ามี 5 ไร่ ๆ ละ 5 ล้านบาท แล้ว ข. ก็จากไป 3 วันต่อมา ข. ได้นํา ค. มาดูที่ ค. ชอบใจจึงพากัน ไปพบ ก. และตกลงซื้อขายและโอนกันเสร็จเลย หลังจากนั้น 1 วัน ข. มาพบ ก. เพื่อขอค่านายหน้า ก. ปฏิเสธที่จะให้ค่านายหน้า โดยบอกกับ ข. ว่า ก. ไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า ข. นําคดี มาฟ้องศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ศาลวินิจฉัยว่า ก. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า เพราะไม่ได้ มีการมอบหมาย ข. โต้แย้งศาลว่าแม้ไม่ได้มอบหมายโดยตรงก็น่าจะเป็นการกระทําโดยปริยาย ตามมาตรา 846 วรรคแรก เพราะการขายที่ดินก็หวังว่าจะได้ค่านายหน้า

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของ ข. ฟังขึ้นหรือไม่ และ ข. จะได้ค่าบําเหน็จนายหน้าหรือไม่ และถ้าท่านเป็นศาล ท่านจะสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้ มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกัน หรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับ บําเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 345 หรือมีสัญญา ต่อกันโดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ค. จะได้เกิดขึ้นจากการชี้ช่อง และจัดการของ ข. ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. ไม่เคยตกลงให้ ข. เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตาม มาตรา 845 วรรคแรก อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคแรกก็ไม่ได้ เพราะการตกลง ตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้ ก. ยังไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น ข้ออ้างของ ข. จึงฟังไม่ขึ้น ข. ไม่มีสิทธิ ได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าจาก ก. และถ้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะ พิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข. แต่อย่างใด (คําพิพากษาฎีกาที่ 705/2505)

สรุป

ข้ออ้างของ ข. ฟังไม่ขึ้น ข. ไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า และถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข.

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบ ข. เป็นตัวแทนให้ไปทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์ มี ค. มาขอซื้อรถยนต์ และ ข. ได้ทําสัญญาให้เช่าซื้อไป อีกทั้ง ข. ได้รับเงินดาวน์ไว้ 200,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่ เพราะเหตุใด สัญญาให้เช่าซื้อระหว่าง ข. และ ค. ผลเป็นเช่นไร เงินดาวน์ที่ ข. รับไว้ ข. ต้องโอนคืนตัวการหรือไม่ เพราะเหตุใด

และถ้า ข. ไม่โอนเงินดาวน์ให้ ก. ก. จะฟ้อง ข. ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทําให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”มาตรา 798 วรรคแรก “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้ง ตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เมื่อการทําสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นกิจการที่กฎหมายได้บังคับไว้ว่าต้องทําเป็น หนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้น การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ จึงต้องทํา เป็นหนังสือด้วย (มาตรา 798 วรรคแรก) เมื่อการตั้งตัวแทนของ ก. ที่ให้ ข. เป็นตัวแทนไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ มิได้ทําเป็นหนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคแรก ดังนั้น สัญญาที่ ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ข. จึงไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อ

เมื่อ ข. ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อ ดังนั้น การที่ ข. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อ รถยนต์กับ ค. จึงเป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 572 วรรคสอง ประกอบมาตรา 798 วรรคแรก และมีผลทําให้สัญญาเช่าซื้อที่ ข. ทํากับ ค. เป็นโมฆะตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดที่มิได้ทําให้ ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ

ส่วนเงินดาวน์ที่ ข. รับไว้ 200,000 บาทนั้น ข. ก็ต้องคืนให้แก่ ก. ตัวการตามมาตรา 810 เพราะแม้ว่า ข. จะเป็นตัวแทนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่เงินที่ ข. รับไว้นั้นก็ต้องถือว่าเป็นการรับไว้ใน ฐานะตัวแทน

และถ้า ข. ไม่โอนเงินดาวน์ให้ ก. ก. ย่อมสามารถฟ้อง ข. ให้โอนคืนเงินดาวน์นั้นได้ โดย ข. จะอ้างว่า ก. ไม่มีอํานาจฟ้องเพราะ ก. ตั้ง ข. เป็นตัวแทนโดยมิได้ทําเป็นหนังสือตามมาตรา 798 วรรคแรกไม่ได้ เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798

สรุป

ข. ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อ

สัญญาให้เช่าซื้อระหว่าง ข. และ ค. เป็นโมฆะ เงินดาวน์ที่ ข. รับไว้ ข. ต้องโอนคืนให้ ก. ตัวการ ถ้า ข. ไม่โอนเงินดาวน์ให้ ก. ก. สามารถฟ้อง ข. ได้

 

ข้อ 2. นายเอกเป็นตัวแทนค้าต่างขายรถจักรยานยนต์มือสองทุกยี่ห้อ นายโทได้นํารถจักรยานยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายเอกขายในราคา 25,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบําเหน็จ 1,000 บาท นายเอกได้ขายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปในราคา 23,000 บาท และนําเงินจํานวน ดังกล่าวไปมอบให้แก่นายโท นายโทไม่ยอมรับเงินจํานวน 23,000 บาท แต่จะขอรับจํานวน 25,000 บาท โดยอ้างว่าตนกําหนดราคาขายไว้แล้วจะขายต่ํากว่าราคาที่กําหนดไม่ได้ แต่นายเอกอ้างว่าตนเป็น ตัวแทนค้าต่างมีสิทธิที่จะขายตามที่ตนเห็นสมควรเสมือนเป็นการขายทรัพย์สินของตนเอง จะขาย ในราคาเท่าใดก็ได้

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของนายเอกฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด อีกกรณีหนึ่ง ถ้านายเอกขายรถจักรยานยนต์ได้ตามที่นายโทกําหนด แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าว ไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย กรณีนี้นายเอกจะต้องรับผิดต่อนายโทหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 839 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ำไปกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการ ซื้อเป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้น ตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโทได้นํารถจักรยานยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากให้นายเอกซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย โดยกําหนดให้นายเอกขายในราคา 25,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบําเหน็จ 1,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏว่านายเอกได้ขายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปในราคา 23,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่า ราคาที่นายโทกําหนด และอ้างว่าตนเป็นตัวแทนค้าต่างมีสิทธิที่จะขายตามที่ตนเห็นสมควรเสมือนเป็นการขาย

ทรัพย์สินของตนเองจะขายในราคาเท่าใดก็ได้ ข้ออ้างดังกล่าวของนายเอกย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะกรณีนี้นายโท ได้กําหนดราคาขายเป็นที่แน่นอนแล้ว ถ้านายเอกขายต่ำกว่าราคาที่กําหนดสามารถทําได้ แต่นายเอกจะต้องรับใช้ เศษที่ขาดอีก 2,000 บาท คือต้องนําเงินของตนจ่ายให้ครบตามราคาที่กําหนดคือ 25,000 บาท แต่ตามอุทาหรณ์ นายเอกนําเงินไปมอบให้นายโทเพียง 23,000 บาท โดยไม่ได้จ่ายส่วนที่ขาดให้แก่นายโท ดังนั้น นายโทจึงมีสิทธิที่จะ ไม่ยอมรับเงินจํานวนดังกล่าวได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 839

อีกกรณีหนึ่ง ถ้านายเอกขายรถจักรยานยนต์ได้ตามราคาที่นายโทกําหนด นายเอกจะต้องส่งมอบ เงินจํานวนดังกล่าวให้แก่นายโททั้งหมดตามมาตรา 810 เมื่อปรากฏว่านายเอกได้นําเงินที่ควรจะส่งให้แก่นายโท ตัวการไปใช้สอยเป็นประโยชน์ของตนเสีย นายเอกจึงต้องรับผิดต่อนายโท คือต้องคืนเงินจํานวน 25,000 บาท และต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําเอาไปใช้ตามมาตรา 811

สรุป

กรณีแรก ข้ออ้างของนายเอกฟังไม่ขึ้น

กรณีที่สอง นายเอกต้องรับผิดต่อนายโท คือต้องคืนเงินจํานวน 25,000 บาท พร้อมทั้ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

 

ข้อ 3. ที่ดินของ ก. มีที่ดินของ ค. ล้อมอยู่ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ก. เห็นว่า ข. กับ ค. ชอบพอกันอยู่ ก. จึงมอบให้ ข. ไปติดต่อกับ ค. ว่าตนจะขอทําทางผ่านที่ดินของ ค. ออกสู่ถนนสาธารณะ ถ้า ข. ติดต่อได้สําเร็จจะให้ค่าเหนื่อยหนึ่งแสนบาท เมื่อ ข. ไปเจรจากับ ค. ค. กล่าวแก่ ข. ว่า ถ้าตนจะขอซื้อ ที่ดินดังกล่าวของ ก. โดยให้ราคายี่สิบล้านบาท ให้ ข. ไปทาบทาม ก. ว่าจะขายหรือไม่ ถ้าทําสําเร็จ ค. จะให้บําเหน็จเป็นค่าเหนื่อยแก่ ข. สองแสนบาท ต่อมาได้มีการทําสัญญาจะซื้อที่ดินระหว่างก. กับ ค. ตามที่ ข. เสนอ เมื่อ ข. มาขอค่าบําเหน็จหนึ่งแสนบาทจาก ก. ก. ไม่ยอมจ่ายให้ โดยอ้างว่า ข. ทําการให้ ค. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย ข. หามีสิทธิที่จะรับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่าย ที่ได้เสียไปไม่ ข้ออ้างของ ก. ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่ เพียงในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 847 “ถ้านายหน้าทําการให้แก่บุคคลภายนอกด้วยก็ดี หรือได้รับคํามั่นแต่บุคคลภายนอก เช่นนั้นว่าจะให้ค่าบําเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระทําการโดยสุจริตก็ดี เป็นการฝ่าฝืนต่อการที่ตนเข้ารับ ทําหน้าที่ไซร้ ท่านว่านายหน้าหามีสิทธิจะได้รับค่าบําเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้มอบให้ ข. ไปติดต่อกับ ค. เพื่อ ก. จะขอทําทางผ่านที่ดิน ของ ค. และถ้า ข. ติดต่อได้สําเร็จ ก. จะให้ค่าเหนื่อยแก่ ข. หนึ่งแสนบาทนั้น ถือว่าเป็นการมอบอํานาจให้ ข. เป็นตัวแทนรับมอบอํานาจแต่เฉพาะการตามมาตรา 800 และมีลักษณะเป็นการมอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า ตามมาตรา 845 ดังนั้น การที่ ข. ได้เสนอให้ ก. ขายที่ดินให้แก่ ค. ซึ่งถ้าทําได้สําเร็จ ข. จะได้บําเหน็จจาก ค. สองแสนบาทนั้น ถือว่า ข. ได้ไปทําการให้แก่ ค. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อการทําหน้าที่ นายหน้า ซึ่งโดยหลักแล้ว ข. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตามมาตรา 847

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าต่อมาได้มีการทําสัญญาจะซื้อที่ดินระหว่าง ก. กับ ค. ตามที่ ข. เสนอ ดังนี้ ย่อมถือว่า ก. ตัวการยอมรับการกระทําของ ข. ซึ่งเท่ากับ ก. ตัวการได้ให้สัตยาบันแก่การกระทํา ของ ข. แล้วตามมาตรา 823 วรรคแรก ดังนั้น ก. จึงต้องจ่ายค่าบําเหน็จให้แก่ ข. การที่ ก. อ้างว่า ข. ทําการให้ ค. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้น ข้ออ้างของ ก. จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของ ก. ฟังไม่ขึ้น

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบ ข. ให้ไปกู้เงินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ข. ไปกู้เงิน ค. โดยทําเป็นหนังสือสัญญาโดยในสัญญานั้น ข. เขียนว่า กู้แทน ก. ต่อมา ก. ผิดนัดชําระหนี้ ค. จะฟ้องใครให้รับผิดได้บ้าง ระหว่าง ก. กับ ข. และ ข. มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้นั้นหรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่ง เมื่อ ข. ได้เงินมาแล้ว ข. นําเงินที่กู้มานั้นให้กับ ก. ทั้งหมด ดังนี้ ค. จะฟ้อง ก. ให้รับผิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก

(1) การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคแรก บังคับว่า ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐานเป็น หนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. มอบหมายให้ ข. ไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้ ข. ย่อมไม่มี อํานาจลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะ ก. ตั้ง ข. เป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคสอง ดังนั้น การที่ ข. ลงชื่อไปก็เท่ากับว่า ข. ลงชื่อโดยปราศจากอํานาจตามมาตรา 823 วรรคแรก

(2) เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย จึงมีผลเท่ากับว่าไม่มีการมอบหมาย หรือตั้งตัวแทนให้ไปทําสัญญากู้ยืม การที่ ข. ไปกู้ยืมเงิน ค. สัญญากู้ยืมนั้นย่อมไม่ผูกพัน ก. ตัวการแต่อย่างใด เพราะเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถ้า ก. ตัวการให้สัตยาบัน สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็อาจผูกพัน ก. ได้ตามมาตรา 823 วรรคแรกตอนท้าย แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ก. ให้สัตยาบันแก่การกู้ยืมเงินนั้น ข. จึงต้องรับผิดต่อ ค. บุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองตามมาตรา 823 วรรคท้าย แม้สัญญากู้ยืมจะระบุว่าเป็นการที่ ข. กู้แทน ก. ก็ตาม

(3) เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ผูกพัน ก และ ข. ต้องรับผิดโดยลําพังแล้ว ค. จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้ ข. รับผิดชดใช้เงินตามสัญญากู้ได้คนเดียวเท่านั้น กรณีนี้ถือว่า ข. อยู่ในฐานะคู่สัญญากู้ยืมเงินตามมาตรา 653 วรรคแรก โดยตรง

กรณีที่สอง

การที่ ข. ไปกู้เงินจาก ค. และได้นําเงินที่กู้นั้นมาให้กับ ก. ทั้งหมดนั้น แม้ว่าสัญญาตั้งตัวแทน ให้ไปกู้เงินจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกรณีที่ ก. ได้เชิดให้ ข. ออกแสดงเป็น ตัวแทนของ ก. ตามมาตรา 821 แล้ว ดังนั้น ก. จึงต้องรับผิดต่อ ค. บุคคลภายนอกเสมือนว่า ข. เป็นตัวแทนของ ตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 กล่าวคือ เมื่อ ก. ผิดนัดชําระหนี้ ค. ย่อมสามารถฟ้องให้ ก. รับผิดได้

สรุป

กรณีแรก ค. สามารถฟ้องให้ ข. รับผิดได้ แต่จะฟ้องให้ ก. รับผิดไม่ได้ และ ข. ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้นั้น กรณีที่สอง ค. สามารถฟ้อง ก. ให้รับผิดได้ในฐานะที่ ข. เป็นตัวแทนเชิดของ ก.

 

ข้อ 2. ก. มอบ ข. เป็นตัวแทนให้ไปซื้อเรือยอร์ชแล้วให้เงินไปซื้อด้วย แต่ปรากฏว่าเรือยอร์ชได้ขึ้นราคาเพิ่มขึ้นอีก 500,000 บาท ก. ให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อน ข. ตกลงทดรองจ่ายไป พอนําเรือมาถึง ข. เรียก ก. ให้มารับเรือพร้อมนําเงิน 500,000 บาท มาคืนด้วย ก. มารับเรือแต่ไม่ยอมจ่าย 500,000 บาท ข. จึงไม่ให้เรือไปโดยอ้างว่าขอยึดหน่วงไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจ ยึดหน่วงไว้ก่อนได้หรือไม่ จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่ กรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่ง ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ตัวการไปทันที แต่ ก. กลับไม่จ่ายเงินที่ ข. ทดรองจ่าย แทนไป ข. โกรธมากจึงออกอุบายขอยืมรถเบนซ์สปอร์ตมาขับ 3 วัน จะคืนให้ เมื่อครบ 3 วัน ข. ไม่คืน โดยอ้างว่าขอยึดหน่วงรถสปอร์ตไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้ 500,000 บาท ดังนี้ ให้ท่าน วินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคแรก “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคแรก “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเป็น ทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอา เงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 819 “ตัวแทนขอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชําระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

กรณีแรก การที่ ก. ได้มอบให้ ข. เป็นตัวแทนไปซื้อเรือยอร์ช และให้ ข. ออกเงินทดรอง จ่ายไปก่อน 500,000 บาทนั้น เมื่อ ข. ได้นําเรือยอร์ชมาส่งมอบให้ ก. ถือว่า ข. ตัวแทนได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ ได้รับมาจากการเป็นตัวแทนให้กับ ก. ตัวการตามมาตรา 310 วรรคแรก และ ข. ตัวแทนย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ ตัวการชดใช้เงินทดรองที่ตนได้ออกไปได้ตามมาตรา 816 วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า ก. จะขอรับเรือแต่ไม่ยอมจ่ายเงิน 500,000 บาท แก่ ข. และ ข. จึงไม่ให้เรือแก่ ก. ไป โดยอ้างว่าขอยึดหน่วงไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้นั้น ข. ย่อมมีอํานาจ ที่จะยึดหน่วงเรือไว้ได้ โดยไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายตามมาตรา 810 วรรคแรก เพราะเป็นการใช้อํานาจ ตามบทบัญญัติมาตรา 819 ซึ่งได้บัญญัติให้อํานาจแก่ตัวแทนในการยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการ

กรณีที่สอง การที่ ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ตัวการไปแล้ว โดย ก. ไม่ยอมจ่ายเงินที่ ข. ได้ ทดรองจ่ายแทนไปนั้น เมื่อ ข. ได้โอนทรัพย์คือเรือยอร์ชให้กับ ก. ไปแล้ว ข. ย่อมไม่มีอํานาจที่จะไปยึดหน่วง รถเบนซ์สปอร์ตของ ก. ไว้ได้ เพราะตามมาตรา 819 นั้น ตัวแทนมีอํานาจที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการที่ตกอยู่ ในความครอบครองของตนได้ ก็จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทําหน้าที่เป็นตัวแทน เท่านั้น แต่ตามอุทาหรณ์ทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทําหน้าที่เป็นตัวแทนนั้นคือเรือยอร์ช ไม่ใช่รถเบนซ์สปอร์ต ดังนั้น ข. ตัวแทนจึงไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถเบนซ์สปอร์ตของ ก. ไว้จนกว่าจะได้รับชําระหนี้ เพราะเป็นคนละประเด็นกัน

สรุป

กรณีแรก ข. มีอํานาจยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้ได้

กรณีที่สอง ข. ไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถเบนซ์สปอร์ตไว้ได้

 

ข้อ 3. ก. ต้องการจะขายที่ดินแล้วนําป้ายไปปักไว้ว่า ที่ดินแปลงนี้ “ขาย” ติดต่อ โทร 081-000-000 ข. เป็นเจ้าของสํานักงานนิติบุคคลทําทนายความ โดยมี ค. เป็นลูกค้าของบริษัท ค. ได้บอก ข. ว่า ให้หาที่ดินแถว ๆ นั้นให้หน่อย จะสร้างโรงงานใหม่ วันหนึ่ง ข. ขับรถผ่านเส้นทางที่ดินของ ก. จึง หยุดรถแล้วโทรถาม ก. ว่าที่ดินมีกี่ไร่ราคาเท่าใด ก. ตอบว่าที่ดินมี 5 ไร่ ขาย 25 ล้านบาท แล้ว ก. ก็จากไป 3 วันต่อมา ข. ได้นํา ค. มาพบ 11. ทําการซื้อขายและโอนที่ดินเสร็จสิ้นไปวันเดียว 2 วัน ต่อมา ข. มาพบ ก. เพื่อให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ก. ปฏิเสธว่าไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า จึง ไม่จ่ายค่าบําเหน็จนายหน้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะพิจารณา พิพากษาจ่ายบําเหน็จค่านายหน้าให้ ข. หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้ มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกัน หรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับ บําเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญา ต่อกันโดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ค. จะได้เกิดขึ้นจากการชี้ช่อง และจัดการของ ข. ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. ไม่เคยตกลงให้ ข. เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตาม มาตรา 845 วรรคแรก อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคแรกก็ไม่ได้ เพราะการตกลง ตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้ ก. ยังไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น ข. จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า จาก ก. และถ้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข. แต่อย่างใด

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข.

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทนให้มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อโดยมิได้มอบหมายแต่งตั้งเป็นหนังสือมี ค. มาทําสัญญาเช่าซื้อบ้านกับ ข. ข. ลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อนั้นไปให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาที่ ข. ทํากับ ค. นั้นเป็นอย่างไร การที่ ข. ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทําให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”มาตรา 798 วรรคแรก “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้ง ตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เมื่อการทําสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นกิจการที่กฎหมายได้บังคับไว้ว่าต้องทําเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้น การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ จึงต้องทําเป็นหนังสือด้วย (มาตรา 798 วรรคแรก) เมื่อการตั้งตัวแทนของ ก. ที่ให้ ข. เป็นตัวแทนไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ มิได้ทําเป็นหนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคแรก ดังนั้น สัญญาที่ ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ข. จึงไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ

เมื่อ ข. ไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ ดังนั้น การที่ ข. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อบ้าน กับ ค. จึงเป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 572 วรรคสอง ประกอบมาตรา 798 วรรคแรก และมีผลทําให้สัญญาเช่าซื้อที่ ข. ทํากับ ค. เป็นโมฆะตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดที่มิได้ทําให้ถูกต้อง ตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ

สรุป

การที่ ข. ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสัญญาที่ ข. ทํากับ ค. นั้น เป็นโมฆะ ไม่มีผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 2. นางมะลิได้นําทองคําแท่งหนัก 50 บาท ไปฝากนางกุหลาบซึ่งเปิดร้านขายทองอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ เป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคําแท่งให้ตน นางมะลิได้ตกลงกับนางกุหลาบว่า ถ้าขายทองคําแท่งได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางกุหลาบเป็นเงินจํานวน 5,000 บาท ปรากฏว่าวันที่ 10 มีนาคม 2557 ราคาทองคําตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ 19,500 บาท นางกุหลาบเห็นว่าราคา ทองคําลดลงต่ํากว่าราคาก่อนหน้านี้ ถ้าซื้อเก็บไว้ทองคําแท่งอาจจะขึ้นราคาบาทละ 20,000 กว่าบาท ขึ้นไป ถ้าขายก็จะได้กําไร นางกุหลาบจึงมีความต้องการจะซื้อทองคําแท่งดังกล่าวไว้เอง จึงได้โทรศัพท์ ติดต่อขอซื้อทองคําแท่งจากนางมะลิ เมื่อนางมะลิได้รับโทรศัพท์และทราบคําบอกกล่าวขอซื้อแล้ว ก็ไม่ได้บอกปัดเสียในทันที

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการขอซื้อทองคําแท่งของนางกุหลาบเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด และนางกุหลาบมีสิทธิจะได้รับค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาทหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843 “ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคําสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคา ของสถานแลกเปลี่ยน ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้ เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญา ในกรณีเช่นนั้น ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึ่งกําหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น ณ สถานแลกเปลี่ยนในเวลา เมื่อตัวแทนค้าต่างให้คําบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคําบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่บอกปัดเสียในทันที ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้ สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่ง แม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบําเหน็จก็ย่อมคิดได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 843 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญา ตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคําบอกกล่าว นั้นแล้ว และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบําเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางมะลิได้มอบให้นางกุหลาบเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคําแท่ง ของตนและตกลงจะจ่ายค่าบําเหน็จให้จํานวน 5,000 บาท ปรากฏว่าต่อมาราคาทองคําแท่งลดลงตามตลาดโลก ซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน นางกุหลาบต้องการซื้อทองคําแท่งดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกําไร ในภายหน้านั้น ดังนี้ นางกุหลาบสามารถทําได้ เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา 843 วรรคแรก

และเมื่อนางกุหลาบบอกกล่าวทางโทรศัพท์ให้นางมะลิทราบว่าตนจะซื้อทองคําแท่งดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่านางมะลิก็มิได้บอกปัดเสียในทันทีที่ได้รับคําบอกกล่าว กรณีนี้จึงถือว่านางมะลิเป็นอันได้สนองรับ คําบอกกล่าวนั้นแล้ว สัญญาซื้อขายทองคําแท่งระหว่างนางกุหลาบกับนางมะลิจึงเกิดขึ้นตามมาตรา 843 วรรคสอง และนอกจากนี้นางกุหลาบก็ยังสามารถคิดเอาค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาท จากนางมะลิ เนื่องจากการซื้อขาย ของตนได้ด้วย แม้นางกุหลาบจะเป็นผู้ซื้อทองคําแท่งเหล่านั้นไว้เองก็ตามตามมาตรา 843 วรรคท้าย

สรุป

สัญญาซื้อขายทองคําแท่งของนางกุหลาบได้เกิดขึ้นแล้ว และนางกุหลาบมีสิทธิจะได้รับ ค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาท จากนางมะลิ

 

ข้อ 3. ลุงชิดต้องการซื้อที่ดินแปลงใหม่แต่ยังขาดเงินอีกสองล้านบาท จึงมอบให้หลานชายชื่อนายประเสริฐไปติดต่อขอกู้ธนาคารโดยจํานองที่ดินของตนประกันหนี้ และบอกว่าจะให้ค่าป่วยการร้อยละหนึ่ง เมื่อธนาคารมาดูหลักทรัพย์ที่ดินที่จะจํานอง เห็นว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในทําเลดีมีราคาทั้งลุงชิดก็มีรายได้ดี ผู้จัดการธนาคารเสนอให้ลุงชิดกู้ห้าล้านบาทเพื่อไม่ขัดศรัทธา ลุงชิดจดทะเบียนจํานองประกันเงินกู้ สามล้านบาท และได้จ่ายบําเหน็จให้ประเสริฐสองหมื่นบาท แต่ประเสริฐอ้างว่าลุงชิดต้องจ่ายค่า นายหน้าให้ตนสามหมื่นบาท เพราะสัญญาจํานองสามล้านไม่ใช่สองล้าน ข้ออ้างของประเสริฐฟังขึ้น หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทํา สัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

โดยหลัก สัญญานายหน้านั้น ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบําเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทําสัญญากับตัวการจนสําเร็จแล้ว นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จ ตามที่ตกลงกันไว้ (มาตรา 845 วรรคแรก)

ตามอุทาหรณ์ การที่ลุงชิดได้ให้นายประเสริฐไปติดต่อขอกู้เงินกับธนาคารโดยจํานองที่ดินของตน เป็นประกันหนี้นั้น เมื่อธนาคารได้ตกลงรับจํานองแล้ว กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าการจํานองนั้นมีขึ้น เพราะนายประเสริฐได้ ชี้ช่องหรือจัดการจนได้มีการทําสัญญากัน นายประเสริฐจึงมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามมาตรา 845 วรรคแรก

สําหรับค่าบําเหน็จนายหน้าที่นายประเสริฐจะได้รับคือร้อยละหนึ่งจากจํานวนสามล้านบาท ซึ่งเป็นราคาตามสัญญาจํานองที่เกิดจากการชี้ช่องหรือจัดการของนายประเสริฐนายหน้ามิใช่ร้อยละหนึ่งจากจํานวน สองล้านบาท ทั้งนี้เพราะสัญญาจํานองสามล้านบาทที่ลุงชิดทํากับธนาคารนั้น เป็นผลสําเร็จของการที่นายประเสริฐ เป็นนายหน้าชี้ช่องให้แก่ลุงชิด ดังนั้น ข้ออ้างของนายประเสริฐที่ว่าลุงชิดต้องจ่ายค่านายหน้าให้ตนสามหมื่นบาท จึงฟังขึ้น (เทียบฎีกาที่ 1515/2512)

สรุป ข้ออ้างของนายประเสริฐฟังขึ้น

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อบ้านโดยให้เงินไปจ่ายเป็นเงินสด เมื่อ ข. ได้บ้านมาแล้ว ข. ไม่โอนคืนตัวการ ข. ซื้อบ้านมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 พอถึงวันที่ 15 มกราคม 2550 ข. ได้ทําสัญญาเช่าบ้าน หลังดังกล่าวให้กับ ค. ไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ก. จะฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านมาให้ ก. และเรียก ค่าเสียหายจาก ข. ได้หรือไม่ และค่าเสียหายจะเรียกได้ตั้งแต่เมื่อใด (ให้ท่านตอบและใช้หลักกฎหมายมาให้ครบถ้วน)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนที่ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อบ้าน และเมื่อ ข. ได้ไปซื้อบ้านตามที่ ก. มอบหมาย เมื่อได้บ้านแล้ว ข. จะต้องโอนบ้านให้ ก. ตามมาตรา 310 แต่ ข. ก็ไม่โอนให้แก่ ก. กลับนําบ้านไปให้ ค. เช่าตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2550 กรณีนี้ถือว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นนับแต่วันที่ ข. นําบ้านไปให้ ค. เข่าตาม มาตรา 811 ดังนั้น ก. ย่อมสามารถฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านให้แก่ ก. ได้ ตามมาตรา 810 วรรคแรก และ ก. สามารถ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ข. ในกรณีที่ ข. นําบ้านที่จะต้องโอนให้ ก. ไปให้ ค. เช่าได้ โดยสามารถฟ้องเรียกได้ตั้งแต่ วันที่ 15 มกราคม 2550 นับแต่วันที่ให้เช่าตามมาตรา 811 และมาตรา 812

สรุป

ก. สามารถฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านมาให้ ก. ได้ และสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก อ. ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2550

 

ข้อ 2. นายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองทุกยี่ห้อ นายดําได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จ แก่นายแดงจํานวน 20,000 บาท ปรากฏว่านายแดงได้นํารถยนต์คันนั้นไปขายให้แก่นายเขียวในราคา 430,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายรถยนต์ได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายดําโดยนําไปใช้เพื่อ ประโยชน์ส่วนตัวของตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายรถยนต์ได้สูงกว่าที่นายดํากําหนด นายแดง จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายดํา นายแดงจะต้องรับผิดต่อนายดําหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายแดงซึ่งเป็นตัวแทน ค้าต่างขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายแดงจํานวน 20,000 บาท แต่นายแพได้ขายให้แก่นายเขียวในราคา 430,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นายดํากําหนดไว้ 30,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นายแดงตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการ ตามมาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นายดําตัวการ

ส่วนเงินจํานวน 430,000 บาท ที่ขายรถยนต์ได้ นายแดงตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่นายดํา ตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแดงไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายตํา แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นายแดงจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่ดํา นายแดงจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. ก. กับ ข. ได้คบหาไปมาหาสู่กันมานานหลายปี ก. ชวน ข. ไปซื้อที่ดินมือเปล่าของนางต้อยซึ่งมีเนื้อที่ห้าสิบไร่ ในราคาห้าแสนบาท เมื่อซื้อมาแล้ว ข. มอบให้ ก. ขายที่ดินแปลงดังกล่าวในราคาไร่ละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ถ้าขายได้ราคาเกินไปจากนี้ ส่วนที่เกินให้เป็นของ ก. เจอกันหลายครั้ง ก. บอก ข. ว่า ให้รอหน่อย มีผู้สนใจจะซื้อที่ดินหลายราย จนเวลาผ่านไปร่วมสองปี ข. ไปดูที่ดินที่ซื้อไว้ ปรากฏว่า มีบ้านปลูกสร้างอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว หวลเจ้าของบ้านบอกกับ ข. ว่าตนซื้อที่ดินแปลงนี้มาจาก ก. เมื่อปีเศษที่ผ่านมาในราคาแปดแสนบาท ข. จะเรียกและบังคับเอากับ ก. ได้อย่างไรบ้างยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

มาตรา 849 “การรับเงินหรือรับชําระหนี้อันจะพึงชําระตามสัญญานั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่านายหน้าย่อมไม่มีอํานาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ข. มอบให้ ก. ขายที่ดินนั้น ถือว่าโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จ (มาตรา 846 วรรคแรก) โดยมีราคาส่วนที่ขายได้เกินเป็นค่าบําเหน็จนายหน้า (มาตรา 845 วรรคแรก)

เมื่อ ก. ได้ขายที่ดินให้แก่หวลในราคา 800,000 บาท ซึ่งตามข้อตกลงจะเป็นของ ข. จํานวน 750,000 บาท (50 x 15,000) ที่ ก. จะต้องส่งมอบให้แก่ ข. ตามมาตรา 810 วรรคแรก โดย ก. ไม่มีอํานาจรับแทน ข. (มาตรา 849) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ ก. ได้รับไว้ย่อมถือว่าได้รับไว้แทน ข. ซึ่ง ก. จะต้องส่งมอบให้แก่ ข. เมื่อ ก. ไม่ยอมส่งมอบแต่กลับนําไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตน ดังนี้ ก. จะต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินนั้นนับแต่วันที่ได้ เอาไปใช้ตามมาตรา 811 และถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น ก. ก็จะต้องรับผิดชอบต่อ ข. เพราะถือว่า ก. ไม่ทําการ เป็นตัวแทนตามมาตรา 812

สรุป

ข. สามารถเรียกให้ ก. ส่งมอบเงินจากการขายที่ดินจํานวน 750,000 บาท ให้แก่ตนได้ และยังสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยในเงินนั้นได้ด้วย และในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น ข. สามารถบังคับให้ ก. รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!