LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสมเป็นผู้เช่าซื้อรถบรรทุกสิบล้อ แล้วนําเข้ามาร่วมเพื่อขอจดทะเบียนในนามบริษัท ขนส่งรุ่งเรือง จํากัด โดยมีนายทรงเป็นกรรมการผู้จัดการ รายได้ในการบรรทุกหรือเมื่อรถเกิดเสียหาย นายสมเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมาบริษัท ขนส่งรุ่งเรืองฯ นํารถบรรทุกสิบล้อนี้ไปทําสัญญาประกันภัย คุ้มครองรถหายด้วย การที่บริษัท ขนส่งรุ่งเรืองฯ เอาประกันภัยก็เพราะต้องการช่วยนายสมได้ใช้รถ ในนามของบริษัท ขนส่งรุ่งเรืองฯ และเพื่อส่งเสริมให้บริษัทขายรถบรรทุกแห่งหนึ่งขายรถได้ดีขึ้น ผู้รับประกันภัยออกกรมธรรม์ๆ ให้แล้ว ในระหว่าอายุสัญญารถนี้ถูกลักไป ดังนี้ผู้รับประกันภัย ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 869 “อันคําว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้”

วินิจฉัย

เนื่องจากสัญญาประกันภัยรถเป็นสัญญาประกันวินาศภัยตามนัยของมาตรา 869 ซึ่งถือว่าเป็น สัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องนําบทบัญญัติในหมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นด้วย สัญญาประกันภัยจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 683)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมเป็นผู้เช่าซื้อรถบรรทุกสิบล้อ แล้วนํามาเข้าร่วมเพื่อขอจดทะเบียน ในนามบริษัท ขนส่งรุ่งเรือง จํากัด รายได้ในการบรรทุกหรือเมื่อรถเกิดเสียหายนายสมเป็นผู้รับผิดชอบนั้น ย่อมถือว่า นายสมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถคันดังกล่าว ส่วนบริษัท ขนส่งรุ่งเรือง จํากัด ซึ่งได้นํารถบรรทุกสิบล้อคันดังกล่าวไปทํา สัญญาประกันภัยคุ้มครองรถหายนั้น มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถคันนี้แต่อย่างใด แม้ว่าการที่บริษัท ขนส่งรุ่งเรือง จํากัด ได้นํารถคันนี้ไปทําสัญญาประกันภัยก็เพราะต้องการช่วยเหลือนายสมได้ใช้รถในนามของบริษัทฯ ก็ตาม แต่บริษัทฯ ก็ไม่มีกรรมสิทธิ์ สิทธิครอบครอง หรือสิทธิใด ๆ ในรถที่มาเอาประกันภัย อีกทั้งเมื่อรถถูกขโมยบริษัทฯ ผู้เอาประกันภัยก็ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด แต่ผู้ที่ต้องเสียหายและตีราคาความเสียหายจากเหตุวินาศภัยนั้นได้คือ นายสมผู้เช่าซื้อ

เมื่อบริษัท ขนส่งรุ่งเรือง จํากัด มิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น สัญญาประกันภัย จึงไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนั้น เมื่อรถคันนี้ถูกลักไปในระหว่างอายุสัญญา ผู้รับประกันภัยจึง ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาตามมาตรา 863

สรุป ผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา

 

ข้อ 2 นายหมูเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง ได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําสัญญาประกันวินาศภัยกับบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ตัวรถที่เอาประกัน รวมทั้งความรับผิดต่อบุคคลที่สามด้วย จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยสองแสนบาทมี กําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาประกันวินาศภัยได้หกเดือน นายหมึกซึ่งเป็นน้องชายของ นายหมูได้แอบนํารถยนต์ดังกล่าวขับไปเที่ยวกับเพื่อนโดยที่นายหมูไม่ทราบ ปรากฏว่านายหมึกได้ ขับรถยนต์คันนั้นด้วยความคึกคะนองและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ขับไปชนกับรถยนต์ของ นางกุ้งได้รับความเสียหายตีราคาความเสียหายเป็นเงินแปดหมื่นบาท ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางกุ้งหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมูซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ ได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําสัญญา ประกันวินาศภัยกับบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือคุ้มครองความเสียหายที่ เกิดกับตัวรถที่เอาประกัน รวมทั้งความรับผิดต่อบุคคลที่สามซึ่งเป็นประกันภัยค้ำจุนด้วยนั้น บุคคลที่ถือว่าเป็น คู่สัญญาคือนายหมู (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย)

และตามมาตรา 887 วรรคหนึ่งนั้น สัญญาประกันภัยค้ำจุน เป็นสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยได้ ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ แต่ตามข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่นายหมีกซึ่งเป็นน้องชายของนายหมูได้แอบ นํารถยนต์คันดังกล่าวขับไปเที่ยวกับเพื่อนโดยนายหมูไม่ทราบ จึงถือได้ว่านายหมูไม่ได้ยินยอมให้นายหมึกนํา รถยนต์ไปใช้แต่อย่างใด เมื่อนายหมึกได้ขับรถยนต์ด้วยความคึกคะนองและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไปชน กับรถยนต์ของนางกุ้งได้รับความเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงมิใช่ความเสียหายที่นายหมู (ผู้เอาประกันภัย) จะต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย) จึงไม่ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน กล่าวคือ บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางกุ้งในกรณีที่รถยนต์ของนางกุ้ง ได้รับความเสียหาย

สรุป

บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางกุ้ง

 

ข้อ 3 โจ๋ทําประกันชีวิตตนเองด้วยเหตุมรณะ ขณะทําสัญญาโจ๋ไม่ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งระยะที่ 2 แต่แจงซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายทราบ แจงเป็นผู้ชักชวนโจ๋ทําประกันชีวิตกับบริษัท อุ่นใจประกัน ชีวิต จํากัด โดยกรอกแบบคําขอทําประกันโดยไม่แจ้งให้บริษัทฯ ทราบว่าโจ๋เป็นมะเร็งและให้โจ๋ลงนาม ในแบบคําขอในฐานะผู้เสนอขอทําประกัน กําหนดระยะเวลา 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท และให้แจงเป็นผู้รับประโยชน์ โจ๋มอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่แจงเก็บรักษาไว้ ทําประกันได้ 1 ปี โจ๋มีอาการทรุดหนักลงทําให้แจงขอหย่าและไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับจํารัส โจ๋เสียใจจึงมีหนังสือ ถึงบริษัทฯ ให้เปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์จากแจงเป็นจ้อนคนรับใช้ในบ้านที่ดูแลโจ๋มาโดยตลอด โจ๋อยู่ได้อีก 2 เดือนก็เสียชีวิต บริษัทฯ ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาในอีก 2 สัปดาห์ จ้อนทวงถาม เงินเอาประกัน 1 ล้านบาทจากบริษัทฯ บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่ามีการปกปิดโรคร้ายแรง ซึ่งต้องแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ และบริษัทฯ ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาแล้ว และอ้างว่าจ้อนไม่มีสิทธิ ทวงถามเพื่อรับประโยชน์ตามสัญญา เพราะไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสีย อีกทั้งกรมธรรม์ระบุชื่อแจงเป็น ผู้รับประโยชน์ไว้ก่อนแล้ว ดังนี้ ขออ้างของบริษัทฯ ฟังขึ้นหรือไม่ บริษัทฯ ต้องจ่ายเงินตามสัญญาหรือไม่ และจ้อนจะมีสิทธิรับประโยชน์ตามสัญญาหรือไม่ ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้” มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอา ประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่า ตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจ๋ได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตตนเองด้วยเหตุมรณะกับบริษัท อุ่นใจ ประกันชีวิต จํากัด สัญญามีกําหนดระยะเวลา 10 ปี จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท โดยระบุให้แจงเป็นผู้รับ ประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่าโจ๋ผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อโจ๋ได้เสียชีวิตในระหว่างอายุสัญญา บริษัทฯ จึงต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นตามมาตรา 889

แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อจ้อนทวงถามเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท จากบริษัทฯ แต่ บริษัทฯ ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโอยอ้างเหตุต่าง ๆ นั้น ข้ออ้างของบริษัทฯ ฟังขึ้นหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การที่บริษัทฯ อ้างว่ามีการปกปิดโรคร้ายแรงซึ่งต้องแจ้งให้บริษัทฯ ทราบ และบริษัทฯ ได้ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาแล้วนั้น ข้ออ้างของบริษัทฯ กรณีนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากในขณะที่มีการทําสัญญาประกัน ชีวิตนั้น โจ๋ไม่ทราบว่าตนป่วยเป็นโรคร้ายแรงคือเป็นมะเร็งระยะที่ 2 จึงไม่อาจถือได้ว่าโจ๋รู้อยู่แล้วละเว้นเสีย ไม่เปิดเผยข้อความจริงตามนัยของมาตรา 865 ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ บริษัทฯ จะบอกล้างสัญญาไม่ได้

2 การที่บริษัทฯ อ้างว่าจ้อนไม่มีสิทธิทวงถามเพื่อรับประโยชน์ตามสัญญาเพราะไม่ใช่ผู้มี ส่วนได้เสียนั้น ข้ออ้างของบริษัทฯ กรณีนี้ฟังไม่ขึ้น เพราะผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 862 นั้นไม่จําต้องมีส่วนได้เสีย กับเหตุที่ประกันภัยไว้ก็ได้

3 การที่บริษัทฯ อ้างว่าในกรมธรรม์ได้ระบุชื่อแจงเป็นผู้รับประโยชน์ไว้ก่อนแล้วนั้น ข้ออ้างกรณีนี้ของบริษัทฯ ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะแม้ว่าในสัญญาจะได้ระบุให้แจงเป็นผู้รับประโยชน์ไว้ ก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าเมื่อแจงได้รับมอบกรมธรรม์แล้วนั้น แจงยังไม่ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ ว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น อันจะมีผลทําให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์ได้ตาม มาตรา 891 ดังนั้น เมื่อโจ๋ได้มีหนังสือไปถึงบริษัทฯ ให้เปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์จากแจงเป็นจ้อนแล้ว จ้อนจึง มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตรายนี้

สรุป

ข้ออ้างทั้งหมดของบริษัทฯ ฟังไม่ขึ้น บริษัทฯ ต้องจ่ายเงินตามสัญญา 1 ล้านบาท ให้แก่ จ้อน ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามสัญญา

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายจันทร์เป็นโรคมะเร็งระยะแรกแต่ยังไม่ปรากฏอาการจึงทําให้ตนเองไม่ทราบมาก่อน ต่อมาได้ไปทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัท อังคารประกันชีวิตฯ ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี จํานวน เงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท ระบุนางพุธเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทําสัญญา 2 ปี นายจันทร์ ปวดท้องอย่างแรงจึงไปพบแพทย์ ปรากฏว่าเป็นมะเร็งที่ตับได้ผ่าตัดเนื้อร้ายออก โดยนายจันทร์ ไม่ได้แจ้งให้บริษัท อังคารฯ ทราบ ต่อมาอีก 1 ปี นายจันทร์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง นางพุธได้ยืน คําขอรับประโยชน์ แต่บริษัท อังคารฯ ปฏิเสธการจ่าย อ้างว่า นายจันทร์รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งแล้ว ปกปิด บริษัท อังคารฯ จึงขอบอกล้างสัญญา อยากทราบว่าสัญญาประกันภัยนี้มีผลสมบูรณ์หรือไม่และบริษัท อังคารฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 วรรคหนึ่ง “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณี ประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผย ข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 865 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัย มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสําคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น อีก หรืออาจบอกปัดไม่ยอมทําสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์เป็นโรคมะเร็งระยะแรก แต่ยังไม่ปรากฏอาการจึงทําให้ ตนเองไม่ทราบมาก่อน ต่อมาได้ไปทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัท อังคารประกันชีวิตฯ ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี จํานวนเงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท ระบุนางพุธเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทําสัญญา 2 ปี นายจันทร์ ปวดท้องอย่างแรงจึงไปพบแพทย์ ปรากฏว่าเป็นมะเร็งที่ตับและได้ผ่าตัดเนื้อร้ายออก โดยนายจันทร์ไม่ได้แจ้งให้ บริษัท อังคารฯ ทราบนั้น ถือว่าในเวลาทําสัญญาประกันภัย นายจันทร์ผู้เอาประกันภัยไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคมะเร็ง แต่มารู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งก็เป็นช่วงเวลาหลังจากได้ทําสัญญาแล้ว 2 ปี กรณีดังกล่าวนี้จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่ นายจันทร์ผู้เอาประกันภัยได้รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้ บอกปัดไม่ยอมทําสัญญาตามนัยของมาตรา 865 แต่อย่างใด อีกทั้งการที่นายจันทร์ได้รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ภายหลังการทําสัญญาประกันภัยแล้วนั้น นายจันทร์ก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยให้บริษัท อังคารฯ ทราบ ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตระหว่างนายจันทร์กับบริษัท อังคารฯ จึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ และบริษัท อังคารฯ จะขอบอกล้างสัญญาและปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ได้

สรุป

สัญญาประกันภัยดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ และบริษัท อังคารฯ จะปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ได้

 

ข้อ 2 นางแหม่มได้นํารถยนต์ของตนไปทําประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2557 ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวนั้นได้รับความเสียหาย จากการที่นายหมึกขับรถยนต์โดยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของนางแหม่ม โดยนายหมึกได้ทํา บันทึกข้อตกลงระหว่างนายหมึกกับนางแหม่มว่า นายหมึกจะซ่อมรถยนต์ของนางแหม่มให้อยู่ใน สภาพเดิม โดยไม่มีรายละเอียดและข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจํานวนเงิน วิธีชําระตลอดจนระยะเวลา ในการใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าว และไม่มีข้อความโดยชัดแจ้งว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ตกลงระงับข้อพิพาทต่อกัน ดังนี้วันที่ 31 มีนาคม 2558 บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด จึงมาฟ้อง เรียกให้นายหมึกใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่บริษัท โชคดีประกันภัยนั้นรับช่วงสิทธิของนางแหม่มมา เนื่องจากนายหมึกไม่ได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด จึงได้มีการ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแหม่มในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของนางแหม่มไปแล้ว

ดังนั้นจงวินิจฉัยว่าบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด สามารถมารับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายหมึกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 880 วรรคหนึ่ง “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับประกันภัย ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยไปเรียกร้อง เอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางแหม่มได้นํารถยนต์ของตนไปทําประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2557 ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2557 ในระหว่างอายุสัญญา ปรากฏ ว่ารถยนต์คันดังกล่าวนั้นได้รับความเสียหายจากการที่นายหมึกขับรถยนต์โดยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ ของนางแหม่มนั้น กรณีนี้ถือว่าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของนายหมึกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว

สําหรับบันทึกข้อตกลงระหว่างนายหมึกกับนางแหม่มที่ว่า นายหมึกจะซ่อมรถยนต์ของนางแหม่ม ให้อยู่ในสภาพเดิมนั้น เมื่อไม่มีรายละเอียดและข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจํานวนเงิน วิธีชําระตลอดจนระยะเวลา ในการใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายดังกล่าว และไม่มีข้อความโดยชัดแจ้งว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงระงับ ข้อพิพาทต่อกัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นมูลหนี้ละเมิดที่เกิดขึ้นจึงยังไม่ระงับ

และจากข้อเท็จจริงเมื่อปรากฏว่า นายหมีกไม่ได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทําให้ บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแหม่มในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของ นางแหม่มจากการทําละเมิดของนายหมึกบุคคลภายนอกไปแล้ว บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด จึงสามารถเข้า รับช่วงสิทธิของนางแหม่มผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายหมึกได้ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง

สรุป

บริษัท โชคดีประกันภัย จํากัด สามารถรับช่วงสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก นายหมึกได้

 

ข้อ 3 เอกสิทธิ์ทําประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัท มั่นใจประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 2 แสนบาท ระยะเวลา 15 ปี กําหนดให้สหสิทธิบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ ในระหว่าง อายุสัญญาประกันภัย สหสิทธิต้องการเงินประกันชีวิตเพื่อไปใช้หนี้พนันบอล จึงใช้ปืนยิงเอกสิทธิ์ที่ บริเวณท้อง แต่ไม่ถูกเอกสิทธิ์ สหสิทธิถูกดําเนินคดีและศาลมีคําพิพากษาลงโทษจําคุกฐานพยายามฆ่า ต่อมาเอกสิทธิ์ประสบอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ บริษัทผู้รับประกันภัยต้องจ่ายเงินให้แก่สหสิทธิหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกัน จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะได้กระทําอัตวินิบาตหรือฆ่าตัวตายด้วยใจสมัคร ภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกสิทธิ์ทําประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะไว้กับบริษัท มั่นใจประกันชีวิต จํากัด กําหนดให้สหสิทธิบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ และในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยสหสิทธิ ต้องการเงินประกันชีวิตเพื่อไปใช้หนี้พนันบอล จึงใช้ปืนยิงเอกสิทธิ์ที่บริเวณท้องแต่ไม่ถูกเอกสิทธิ์ สหสิทธิจึงถูก ดําเนินคดีและศาลมีคําพิพากษาลงโทษจําคุกฐานพยายามฆ่านั้น กรณีนี้ถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันถูกผู้รับประโยชน์ ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) ดังนั้น เมื่อต่อมาเอกสิทธิ์ประสบอุบัติเหตุขับรถชนต้นไม้ถึงแก่ความตาย จึงเป็นกรณีที่บริษัทผู้รับประกันภัยจําต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของเอกสิทธิ์ให้แก่สหสิทธิผู้รับประโยชน์ตาม สัญญาตามมาตรา 889

สรุป บริษัทผู้รับประกันภัยต้องจ่ายเงินให้แก่สหสิทธิตามสัญญา

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายกรุงไทยนํารถยนต์ที่เขาซื้อกับบริษัท กรุงเก่า ไปทําสัญญาประกันภัยกับบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด โดยนายกรุงไทยเป็นผู้เอาประกันภัย และระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์ หลังจาก ทําสัญญาประกันภัยได้สามเดือน นายกรุงไทยได้ค้างชําระค่าเช่าซื้อกับบริษัท กรุงเก่า ทําให้บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ นายกรุงไทยจึงเปลี่ยนแปลงข้อตกลง ในสัญญาประกันภัยกับบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด โดยระบุให้นายกรุงไทยเป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากนั้นรถยนต์คันดังกล่าวได้สูญหายไป นายกรุงไทยจึงเรียกให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ปฏิเสธไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่า นายกรุงไทยยังค้างชําระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ซึ่งขึ้นหรือไม่ และนายกรุงไทยจะฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทําสัญญาตกลงว่าจะชําระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนา แก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลง หรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

มาตรา 376 “ข้อต่อสู้อันเกิดแต่มูลสัญญาดังกล่าวมาในมาตรา 374 นั้น ลูกหนี้อาจจะ ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้จะได้รับประโยชน์จากสัญญานั้นได้”

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแท้จริง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงไทยนํารถยนต์ที่เช่าซื้อไปทําสัญญาประกันภัยกับบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด โดยระบุให้บริษัท กรุงเก่า เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายกรุงไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่จะเอาประกันภัยตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรุงไทยระบุในสัญญาให้บริษัท กรุงเก่า ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อเป็น ผู้รับประโยชน์จึงเป็นกรณีที่ผู้เอาประกันภัยระบุให้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก จึงต้องปรับเข้ากับมาตรา 374, 375 และ 376 นั่นคือ ผู้รับประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกนั้น จะต้องแสดงเจตนาเข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยเสียก่อน สิทธิของผู้รับประโยชน์จึงจะเกิดขึ้น และเมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์เกิดขึ้นแล้ว ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของผู้รับประโยชน์ในภายหลังไม่ได้

กรณีตามข้อเท็จจริง การที่บริษัท กรุงเก่า ฟ้องเรียกให้นายกรุงไทยชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระนั้น ย่อมแสดงว่า บริษัท กรุงเก่า ได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยแล้ว นายกรุงไทย ผู้เอาประกันภัยจึงมีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญาเข้าเป็นผู้รับประโยชน์เองได้ (มาตรา 862) นายกรุงไทย ผู้เอาประกันภัยและบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด จึงเป็นคู่สัญญาที่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัย ซึ่งกันและกันตามหลักทั่วไป

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ที่นายกรุงไทยได้เอาประกันภัยไว้สูญหายไป บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ผู้รับประกันภัยจึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับนายกรุงไทยตามมาตรา 877 ถึงแม้ว่านายกรุงไทยจะค้างชําระค่าเช่าซื้ออยู่ก็ตาม (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1950/2543)

ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ที่ว่านายกรุงไทยยังค้างชําระค่าเช่าซื้ออยู่ ไม่มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจึงฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ในการเพิ่ม สรุป ข้ออ้างของบริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น และนายกรุงไทยสามารถฟ้องให้ บริษัท มั่นคงประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

ข้อ 2 นายแหลมซื้อรถเบนซ์ด้วยเงินสดราคา 3 ล้าน 5 แสนบาท นายแหลมทําสัญญาประกันภัยรถคันดังกล่าวไว้กับบริษัทประกันวินาศภัยแห่งหนึ่ง เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองทุกอย่าง รวมถึงตัวรถของผู้เอาประกันภัยด้วยจํานวนเงินเอาประกันภัย 2 ล้าน 5 แสนบาท ในระหว่างที่สัญญา มีผลบังคับ นายแมนเป็นผู้ทําให้เกิดอุบัติเหตุโดยขับรถกระบะด้วยความประมาทเลินเล่ออย่าง ร้ายแรงแซงรถบรรทุกคันหน้าเข้าไปในช่องเดินรถที่นายแหลมแล่นสวนทางมาในระยะกระชั้นชิด โดยนายแมนไม่รอให้รถเบนซ์ของนายแหลมขับแล่นผ่านไปก่อน เป็นเหตุให้นายแหลมจําต้องขับ รถเบนซ์หลบไปด้านซ้ายของถนนเพื่อไม่ให้ถูกรถของนายแมนชนประสานงากัน จึงทําให้รถเบนซ์ ของนายแหลมพลิกคว่ําเสียหาย นายแหลมจึงแจ้งผู้รับประกันภัย บริษัทประกันชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่นายแหลมตามทุนประกัน คือ 2 ล้าน 5 แสนบาท แต่ปรากฏว่านายแหลมนํารถนั้นเข้า อู่ซ่อมและจ่ายค่าซ่อมให้เก่นายแช่มเจ้าของอู่ไป 1 ล้าน 5 แสนบาท อยากทราบว่า บริษัทประกันภัย มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจํานวน 2 ล้าน 5 แสนบาท จากนายแมนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงยก ตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 880 วรรคหนึ่ง “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 880 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการ กระทําของบุคคลภายนอก และผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิ เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น แต่ผู้รับประกันภัย สามารถเข้ารับช่วงสิทธิไปเรียกเอาแก่บุคคลภายนอกเพียงเท่าที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ได้รับ ความเสียหายจริงเท่านั้น จะเรียกเอาจากบุคคลภายนอกเกินความเสียหายจริงที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ ได้รับไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่รถของนายแหลมผู้เอาประกันภัยได้รับความเสียหายโดยการพลิกคว่ํา นั้น เป็นผลโดยตรงมาจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายแมน ซึ่งขับรถแซงเข้ามาในช่องเดินรถสวน จึงต้องถือว่าวินาศภัยดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก และการที่บริษัทประกันวินาศภัย ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแหลม 2 ล้าน 5 แสนบาท ถือว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ ผู้เอาประกันภัยไปแล้ว บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายแหลมที่มีต่อนายแมนบุคคลภายนอกได้ ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การรับช่วงสิทธิของบริษัทประกันภัยในการเรียกร้องเอาจากนายแมนนั้น จะต้องไม่เกินความเสียหายจริงที่นายแหลมได้รับจากการกระทําของนายแมน ดังนั้น เมื่อความเสียหายที่นายแหลม ได้รับจากการกระทําของนายแมน คือ 1 ล้าน 5 แสนบาท บริษัทจึงเข้ารับช่วงสิทธิของนายแหลมในการเรียกร้อง เอาแก่นายแมนได้เพียง 1 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น ส่วนที่เกินความเสียหายอีก 1 ล้านบาท นายแมนหาจําต้อง รับผิดต่อบริษัทประกันภัยแต่อย่างใดไม่ (เทียบฎีกาที่ 16/2552)

สรุป

บริษัทประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจํานวน 2 ล้าน 5 แสนบาท จากนายแมน แต่สามารถเรียกได้เพียง 1 ล้าน 5 แสนบาทเท่านั้น

 

ข้อ 3 นายหมึกทําสัญญาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุมรณะกับบริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 ระบุให้นายกุ้งบุตรของนายหมึกเป็นผู้รับประโยชน์จํานวนเงินซึ่งเอาประกันชีวิต 1 ล้านบาท วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 นายหมึกทําสัญญาประกันโดยเอาประกันชีวิตนางปลา ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายหมึกไว้กับบริษัท ร่ํารวยประกันชีวิต จํากัด ระบุให้นายกุ้งเป็น ผู้รับประโยชน์เช่นกัน มีจํานวนเงินที่เอาประกันชีวิต 5 แสนบาท วันที่ 1 มีนาคม 2556 ซึ่งอยู่ใน อายุกรมธรรม์ นายหมึกทะเลาะกับนางปลาอย่างรุนแรง นายหมึกใช้อาวุธปืนยิงนางปลาตาย และใช้ ปืนนั้นยิงตัวเองตายตาม จงวินิจฉัยว่า บริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ํารวยประกันชีวิต จํากัด จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นายกุ้งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกัน จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะได้กระทําอัตวินิบาตหรือฆ่าตัวตายด้วยใจสมัคร ภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมีกได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุมรณะกับบริษัท มั่งมีประกันชีวิตเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 โดยระบุให้นายกุ้งบุตรของนายหมึกเป็นผู้รับประโยชน์ และได้ทํา สัญญาประกันโดยเอาประกันชีวิตนางปลากริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายหมีกไว้กับบริษัท ร่ํารวยประกันชีวิต จํากัด ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 โดยระบุให้นายกุ้งเป็นผู้รับประโยชน์เช่นเดียวกันนั้น ทั้งสองกรณีนายหมึก ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่านายหมึกผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 ดังนั้น สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ในวันที่ 1 มีนาคม 2556 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุกรมธรรม์ การที่นายหมึกทะเลาะกับนางปลา อย่างรุนแรง นายหมึกได้ใช้อาวุธปืนยิงนางปลาตายและใช้ปืนยิงตัวเองตายตามนั้น กรณีดังกล่าว บริษัท มั่งมี ประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ํารวยประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่นายกุ้งผู้รับ ประโยชน์ทั้งนี้เพราะ

กรณีแรก การที่นายหมึกใช้อาวุธปืนยิงตัวเองตายนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายหมึกได้กระทํา อัตวินิบาตด้วยใจสมัครเมื่อพ้นกําหนด 1 ปีนับแต่วันทําสัญญาแล้ว จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1)

กรณีที่ 2 การที่นางปลาตายนั้น เกิดจากการที่นายหมีกซึ่งมิใช่ผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา มิได้เกิดจากการกระทําของนายกุ้งผู้รับประโยชน์แต่อย่างใด จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (2)

สรุป

บริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด จะปฏิเสธไม่ใช้เงิน ตามสัญญาประกันชีวิตให้นายกุ้งไม่ได้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสมจดทะเบียนสมรสกับนางสาวศรี ต่อมานายสมเอาประกันชีวิตนางศรีไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะ ระยะเวลาเอาประกันภัย 30 ปี วงเงิน 5 แสนบาท ชื่อผู้เอาประกันภัย และชื่อผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์คือนายสม 10 ปีต่อมา นายสมอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องนางสาวสวยฉันภริยา นางศรีจึงฟ้องหย่า ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้หย่าได้ อีก 2 ปีต่อมา นางศรี จดทะเบียนสมรสใหม่กับนายเท่ห์ ครั้น 1 ปีต่อมานางศรีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงแก่ความตาย นายสมทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์จึงยื่นขอรับเงินประกันชีวิต แต่บริษัทประกันฯ ปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่านายสมได้หย่าขาดกับนางศรีไปแล้วโดยคําพิพากษาของศาล บริษัทประกันจึงไม่มีหน้าที่จ่ายเงิน ตามสัญญาประกันชีวิตแม้อยู่ในระหว่างอายุสัญญาก็ตาม อยากทราบว่าข้ออ้างของบริษัทประกันฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตนั้นถือว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง จึงต้องนําเอาบทบัญญัติใน หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันชีวิตจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย คือจะต้องมีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัยด้วย ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นก็ได้ สัญญาประกันชีวิตจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 863)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมจดทะเบียนสมรสกับนางสาวศรี และต่อมานายสมเอาประกันชีวิต นางศรีไว้กับบริษัทประกันชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการประกันชีวิตผู้อื่น ซึ่งเมื่อพิจารณาตัวผู้เอาประกันภัยคือนายสม จะเห็นได้ว่า มีความสัมพันธ์กับนางศรีในฐานะคู่สมรส ทั้งนี้เพราะนายสมมีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่อชีวิตของ นางศรีภริยาที่ได้มาเอาประกันไว้กับบริษัทผู้รับประกัน จึงถือว่านายสมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้แล้ว และ ประการสําคัญส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันต้องมีในขณะทําสัญญาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะทําสัญญา นายสมมีส่วนได้เสียในชีวิตของนางศรีเนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่ากันสัญญาจึงมีผลผูกพัน แม้ต่อมาส่วนได้เสีย จะหมดไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้นกลายเป็นสัญญาที่ไม่ผูกพันในภายหลัง ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา จะปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่านายสมได้หย่าขาดกับนางศรี ไปแล้ว บริษัทประกันจึงไม่มีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นไม่ได้

สรุป

บริษัทประกันชีวิตมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่นายสมผู้รับประโยชน์ ข้ออ้างของบริษัท ประกันชีวิตดังกล่าวข้างต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2557 นายแหนมได้ทําประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557 นายแหนมขับรถยนต์คันนี้ด้วยความประมาท เลินเล่อชนรถยนต์ของนายเนื่องได้รับความเสียหาย แต่นายแหนมยังไม่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ในความเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับนายเนื่อง ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 นายเนื่องจึงมาเรียก ให้นายแหนมใช้ค่าเสียหาย และบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุน แต่บริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าการมาเรียก ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวของนายเนื่องเลยกําหนดอายุความ 1 ปีมาแล้ว เนื่องจากมูลหนี้ ดังกล่าวเกิดจากมูลหนี้ละเมิดจึงต้องมาเรียกค่าสินไหมทดแทนภายในกําหนด 1 ปีนับแต่รู้เหตุถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของบริษัท มีโชค ประกันภัย จํากัด ฟังขึ้นหรือไม่ และบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายเนื่องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 882 วรรคหนึ่ง “ในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้น กําหนดเวลาสองปีนับแต่วันวินาศภัย”

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

สัญญาประกันภัยค้ำจุนนั้น เป็นสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหม ทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัย จะต้องรับผิดชอบ (มาตรา 887 วรรคหนึ่ง) และในการเรียกให้ผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น จะต้องฟ้องภายในกําหนดอายุความ 2 ปีนับแต่วันวินาศภัย (มาตรา 882 วรรคหนึ่ง)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแหนมได้ทําสัญญาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของตนไว้กับบริษัท มีโชค ประกันภัย จํากัด ในวันที่ 15 มกราคม 2557 และต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2557 นายแหนมได้ขับรถยนต์คันนี้ ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของนายเนื่องได้รับความเสียหายนั้น เมื่อวินาศภัยที่เกิดขึ้นกับนายเนื่องนั้น เป็นวินาศภัยซึ่งนายแหนมผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ ดังนั้น บริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด จึงต้อง ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยให้แก่นายเนื่องตามมาตรา 887 วรรคหนึ่ง

และการที่นายเนื่องได้เรียกให้บริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 นั้น ก็ยังไม่เกินอายุความ 2 ปีนับแต่วันวินาศภัยตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง บริษัทมีโชคประกันภัย จํากัด จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายเนื่อง การที่บริษัท มีโชค ประกันภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าการมาเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวของนายเนื่องเลยกําหนด อายุความ 1 ปีมาแล้ว เนื่องจากมูลหนี้ดังกล่าวเกิดจากมูลหนี้ละเมิดนั้น ข้ออ้างของบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น และบริษัท มีโชคประกันภัย จํากัด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนายเนื่อง

 

ข้อ 3 ลําดวนทําสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท เอื้ออาทรประกันชีวิต จํากัด โดยตกลงเอาประกันชีวิตปิยะซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายในเหตุมรณะ จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี กําหนดให้ลําดวนเป็นผู้รับประโยชน์ ทําประกันได้ 3 ปี ลําดวนกับปิยะมีปัญหาทะเลาะกัน บ่อยครั้ง จนกระทั่งทั้งสองหย่าขาดจากกัน วันหนึ่งปิยะพาแก้วตาภริยาใหม่ของปิยะมาพบลําดวน แก้วตาพูดจาเยาะเย้ยจนกระทั่งลําดวนทนไม่ไหวจึงหยิบปืนมาจะยิงแก้วตา แต่ปิยะเข้ายื้อแย่งปืน จนกระทั่งปืนลั่นถูกปิยะเสียชีวิต ดังนี้ บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินตามสัญญาหรือไม่ อย่างไรให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึ่งได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาเต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอา ประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่า ตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา :

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ลําดวนทําสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท เอื้ออาทรประกันชีวิต จํากัด โดย ตกลงเอาประกันชีวิตปิยะซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายในเหตุมรณะนั้น ถือเป็นกรณีเอาประกันชีวิตผู้อื่น เมื่อลําดวนและปิยะเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงถือว่าทั้งสองมีส่วนได้เสียซึ่งกันและกันในขณะ ทําสัญญาเนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สัญญาจึงมีผลผูกพันตามมาตรา 863 แม้ว่าต่อมาส่วนได้เสีย จะหมดไปเพราะหย่าขาดจากกันก็ตาม ปิยะจึงเป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิต ส่วนลําดวนเป็นทั้งผู้เอาประกันและเป็น ผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 862 และแม้ต่อมาภายหลังจะมีการหย่าขาดจากกัน และตามข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า ได้มีการโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตให้กับบุคคลอื่นอีกตามมาตรา 891 วรรคหนึ่ง ดังนั้นลําดวนจึงยังมีสิทธิ รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้น

และจากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่ปิยะพาแก้วตาภริยาใหม่ของปิยะมาพบลําดวน แก้วตาพูดจาเยาะเย้ยจนกระทั่งลําดวนทนไม่ไหวจึงหยิบปืนมาจะยิงแก้วตา แต่ปิยะเข้ายื้อแย่งปืนจนกระทั่งปืนลั่น ถูกปิยะเสียชีวิตนั้น เป็นกรณีที่ผู้รับประโยชน์ได้ฆ่าผู้ถูกเอาประกันตายโดยประมาทเท่านั้น มิใช่เป็นกรณีที่ ผู้รับประโยชน์ฆ่าผู้ถูกเอาประกันตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) ดังนั้น บริษัท เอื้ออาทรประกันชีวิต จํากัด จึงต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่สําดวนผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 889

สรุป

บริษัท เอื้ออาทรประกันชีวิต จํากัด ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ลําดวนผู้รับระโยชน์ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 วันที่ 15 มกราคม 2553 นายแก้วทําสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัยความมรณะกับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งซึ่งกําหนดให้นางขำภริยาเป็นผู้รับประโยชน์ ระยะเวลา 30 ปี จํานวนเงินเอา ประกันภัย 1 ล้านบาท ก่อนทําสัญญาประกันชีวิตนายแก้วทราบดีว่าตนเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคสําคัญที่บริษัทประกันชีวิตไม่รับทําสัญญา นายแก้วแถลงในใบคําขอเอาประกันชีวิตว่าไม่เคยเป็นโรคดังกล่าว เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2555 นายแก้วเสียชีวิตด้วยโรค ไข้หวัดใหญ่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 นางขำเรียกร้องให้บริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินให้แก่ตนพร้อมทั้ง แนบประวัติการรักษาของนายแก้วตั้งแต่เข้ารักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคเบาหวาน และ โรคไข้หวัดใหญ่ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2555 บริษัทประกันชีวิตจึงปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่า นายแก้วปกปิดข้อเท็จจริง ดังนี้ บริษัทประกันชีวิตจึงต้องจ่ายเงินประกันให้แก่นางขำหรือไม่ เพราะ เหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแก้วได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบอาศัยความมรณะ ไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งในวันที่ 15 มกราคม 2553 โดยกําหนดให้นางขำภริยาเป็นผู้รับประโยชน์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก่อนทําสัญญาประกันชีวิตนายแก้วทราบดีว่าตนเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันและ โรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคสําคัญที่บริษัทประกันชีวิตไม่รับทําสัญญา แต่นายแก้วได้แถลงในใบคําขอเอาประกันชีวิต ว่าไม่เคยเป็นโรคดังกล่าว การกระทําของนายแก้วถือว่าเป็นกรณีที่นายแก้วผู้เอาประกันชีวิตรู้อยู่แล้วละเว้นเสีย ไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือรู้อยู่แล้วแต่ได้แถลง ข้อความนั้นเป็นเท็จ ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆยะตั้งแต่ขณะทําสัญญาตามมาตรา 865 วรรคแรก แม้จะปรากฏในภายหลังว่านายแก้วได้เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคที่ปกปิดก็ตาม ก็ไม่ทําให้สัญญาที่ตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลงมาเป็นสัญญาที่สมบูรณ์แต่อย่างใด บริษัทประกันชีวิต จึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ได้แต่จะต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนด 1 เดือนนับแต่วันที่บริษัท ประกันชีวิตได้ทราบมูลอันอาจจะบอกล้างได้ แต่ต้องไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันทําสัญญา (มาตรา 865 วรรคสอง)

และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่าในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 นางขำเรียกร้องให้ บริษัทประกันชีวิตจ่ายเงินให้แก่ตนพร้อมทั้งแนบประวัติการรักษาของนายแก้วตั้งแต่เข้ารักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตันโรคเบาหวาน และโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถือว่าบริษัทประกันชีวิตได้ทราบข้อมูลอันจะบอกล้างแล้ว และการที่บริษัท ปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่นางขําในวันที่ 10 มีนาคม 2555 จึงเป็นการบอกล้างสัญญาประกันภัยภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ทราบข้อมูลอันจะบอกล้างได้ และไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันทําสัญญาตามมาตรา 865 วรรคสอง ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินให้แก่นางขํา

สรุป

บริษัทประกันชีวิตไม่ต้องจ่ายเงินประกันให้แก่นางขํา

 

ข้อ 2 นายแช่มได้เช่าซื้อรถยนต์จากนายแล่มโดยมีข้อตกลงว่าให้นายแล่มทําสัญญาประกันวินาศภัยเกี่ยวกับรถยนต์คันนี้ในการเสี่ยงภัยทุกประเภท นายแล่มนํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําประกันวินาศภัยทั่วไป ประเภทที่ 1 รวมทั้งประกันภัยค้ำจุนด้วยกับบริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด โดยนายแช่มเป็นผู้ชําระ เบี้ยประกันภัยในการทําประกันวินาศภัยดังกล่าว วันเกิดเหตุนายแช่มได้ใช้ให้นายแจ่ม ซึ่งเป็น ลูกจ้างขับรถยนต์นั้นไปส่งของที่จังหวัดชลบุรี ปรากฏว่านายแจ่มขับไปโดยประมาทเลินเล่อทําให้ไปชน กับรถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหาย

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าบริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแหม่มในกรณีที่รถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคแรก “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแล่มนํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําประกันวินาศภัยทั่วไปประเภทที่ 1 รวมทั้งประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด นั้น ถึงแม้ว่านายแช่มผู้เช่าซื้อจะเป็นผู้ชําระเบี้ย ประกันภัยในการทําประกันวินาศภัยดังกล่าวก็ตาม บุคคลที่ถือว่าเป็นคู่สัญญาคือนายแล่ม (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย)

และตามมาตรา 887 วรรคแรก สัญญาประกันภัยค้ำจุนนั้น เป็นสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยได้ ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ แต่ตามข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่นายแจ่มซึ่งเป็นลูกจ้างของนายแช่มขับ รถยนต์คันดังกล่าวไปชนรถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหาย จึงมิใช่เป็นกรณีที่นายแล่ม (ผู้เอา ประกันภัย) จะต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด ดังนั้นบริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย) จึงไม่ต้องรับผิด เช่นเดียวกัน กล่าวคือ บริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแหม่มในกรณีที่ รถยนต์ของนางแหม่มได้รับความเสียหาย

สรุป

บริษัท ยั่งยืนประกันภัย จํากัด ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางแหม่ม

 

ข้อ 3 นายพนมทําสัญญาเอาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งความมรณะ กับบริษัท เสรีประกันชีวิตจํากัด สัญญามีกําหนด 10 ปี จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท โดยระบุให้ น.ส.เชอรี่ซึ่งเป็นคนรัก เป็นผู้รับประโยชน์ และได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ น.ส.เชอรี่เป็นผู้เก็บไว้ น.ส.เชอรี่เมื่อรับมอบกรมธรรม์แล้วได้ทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อแสดงความจํานงจะถือเอาประโยชน์ตามสัญญา ต่อมานายพนมโกรธกับ น.ส.เชอรี่จึงทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ ว่าขอเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์ จาก น.ส.เชอรี่เป็นนายตั้มซึ่งเป็นบุตรชาย ต่อมาอีก 3 ปี นายพนมถึงแก่ความตาย นายตั้มจึงติดต่อ ขอรับเงินจากบริษัทฯ แต่ น.ส.เชอรี่คัดค้านโดยอ้างว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์ ส่วนนายตั้มต่อสู้ว่า นายพนมทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์แล้ว และ น.ส.เชอรี่เป็นเพียงคนรัก ไม่มีส่วนได้เสียที่จะเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตได้

ดังนี้ ระหว่าง น.ส.เชอรี่ และนายตั้ม ใครเป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตดีกว่ากัน และข้อต่อสู้ของนายตั้มรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคแรก “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอา ประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่า ตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพนมทําสัญญาเอาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งความมรณะ กับบริษัท เสรีประกันชีวิต จํากัด สัญญามีกําหนด 10 ปี จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท โดยระบุให้ น.ส.เชอรี่ เป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่านายพนมผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อทําประกันชีวิตได้ 3 ปี นายพนมถึงแก่ความตาย ซึ่ง เป็นการตายภายในกําหนดเวลาที่เอาประกันไว้ บริษัทฯ จึงต้องใช้เงินจํานวน 1 ล้านบาท ให้แก่ผู้รับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตนั้น (มาตรา 889)

สําหรับผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับเงินจํานวน 1 ล้านบาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเดิม นายพนมได้กําหนดให้ น.ส.เชอรี่ซึ่งเป็นคนรักเป็นผู้รับประโยชน์ และได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ น.ส.เขอร์ เป็นผู้เก็บไว้ และเมื่อน.ส.เชอรี่ได้รับมอบกรมธรรม์แล้วได้ทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อแสดงความจํานง จะถือเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้ว สิทธิในฐานะผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรายนี้ของน.ส.เชอรี่ จึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 891 วรรคแรก นายพนมผู้เอาประกันภัยจึงไม่สามารถที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้น ให้กับนายตั้มซึ่งเป็นบุตรชายได้อีก ดังนั้น การที่นายตั้มไปติดต่อบริษัทฯ เพื่อขอรับเงินโดยต่อสู้ว่านายพนมได้ทํา หนังสือแจ้งบริษัทฯ เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้รับประโยชน์แล้วนั้นจึงรับฟังไม่ได้ และการที่นายตั้มได้ต่อสู้ว่า น.ส.เชอรี่ เป็นเพียงคนรักไม่มีส่วนได้เสียที่จะเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตได้นั้น ก็รับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะตามมาตรา 862 ไม่ได้กําหนดให้ผู้รับประโยชน์จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยแต่อย่างใด

สรุป

น.ส.เชอรี่เป็นผู้มีสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตดีกว่านายตั้ม และข้อต่อสู้ของนายตั้ม รับฟังไม่ได้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายบุญมีเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก ปรากฏว่านายบุญมากได้มาเช่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวเพื่อใช้ในกิจการ โดยทําสัญญาเช่ากันปีต่อปี หลังจากนั้นนายบุญมีได้นํารถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปทําประกัน วินาศภัยกับบริษัทผู้รับประกันภัย แต่ไม่ได้บอกกับบริษัทผู้รับประกันภัยทราบว่ารถคันดังกล่าว นายบุญมากได้เช่าอยู่ ในระหว่างการเช่าและภายในอายุสัญญาประกันภัย นายบุญมีได้ผิดสัญญากับ นายบุญมาก ขายรถยนต์บรรทุกตามสัญญาเช่านั้นให้กับนายบุญหลายพร้อมกับโอนทะเบียนรถยนต์ หลังจากนั้นนายบุญมีกับนายบุญหลายได้ร่วมกันแจ้งการโอนขายรถยนต์บรรทุกให้บริษัทผู้รับ ประกันภัยทราบ ต่อมานายบุญมากได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล้วไปประสบอุบัติเหตุ รถยนต์บรรทุกได้รับความเสียหาย

จงวินิจฉัยว่า นายบุญมีหรือนายบุญหลาย จะมีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 วรรคแรก “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณี ประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผย ข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 865 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า ในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัย มีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยข้อความจริงที่มีลักษณะสําคัญซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรืออาจบอกปัดไม่ยอมทําสัญญาให้ผู้รับประกันภัยทราบ มิฉะนั้นแล้วสัญญานั้นจะตกเป็นโมฆียะ

กรณีตามอุทาหรณ์ นายบุญมีหรือนายบุญหลาย จะมีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัย ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ สัญญาประกันภัยรายนี้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย หรือตกเป็นโมฆียะ เพราะถ้าสัญญาประกันภัยรายนี้ตกเป็นโมฆียะแล้ว นายบุญมีหรือนายบุญหลายย่อมไม่มีสิทธิ เรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

จากข้อเท็จจริง การที่นายบุญมีซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกได้นํารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว ไปทําสัญญาประกันวินาศภัย โดยไม่ได้บอกกับบริษัทผู้รับประกันภัยว่ารถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวนั้นนายบุญมาก เช่าอยู่ กรณีนี้จึงถือว่าในเวลาทําสัญญาประกันภัย นายบุญมีไม่ได้เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะจูงใจ ประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ดังนั้นสัญญาประกันภัยรายนี้จึง ตกเป็นโมฆียะเมื่อนายบุญมากได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล้วไปประสบอุบัติเหตุ ทําให้รถยนต์บรรทุก ได้รับความเสียหาย นายบุญมีหรือนายบุญหลายจึงไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

สรุป

นายบุญมีหรือนายบุญหลายไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัทผู้รับประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ เพราะสัญญาประกันภัยรายนี้ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 865 วรรคแรก

 

ข้อ 2 นายเอี่ยมเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง นายเอี่ยมใช้รถยนต์คันดังกล่าวมาได้ปีกว่า หลังจากนั้นนายเอี่ยมได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปให้กับนางอรทัย วันที่ 25 มิถุนายน 2556 ภายหลังจากทําสัญญา ซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว ในวันนั้นเองนายเอี่ยมก็ได้ทําสัญญาประกันภัยไว้กับบริษัทเชี่ยวชาญ ประกันภัย จํากัด เป็นการประกันภัยประเภทที่ 1 คือ คุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอา ประกันรวมทั้งความรับผิดต่อบุคคลที่สามด้วย จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยสองแสนบาทมีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญา วันที่ 24 มิถุนายน 2557 นายอ่องขับรถบรรทุกโดยความประมาทเลินเล่อ ชนกับรถยนต์ของนางอรทัยได้รับความเสียหาย ตีราคาความเสียหายเป็นเงินหนึ่งแสนบาท ปรากฏว่า บริษัทเชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ได้นํารถยนต์ของนางอรทัยไปซ่อมและสามารถนํากลับไปใช้ได้แล้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า บริษัทเชี่ยวชาญ ประกันภัย จํากัด มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่องได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 880 วรรคแรก “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย และของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอี่ยมซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่งได้ขายรถยนต์คันดังกล่าว ให้กับนางอรทัยไปแล้ว และภายหลังจากการทําสัญญาซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว นายเอี่ยมก็ได้ทําสัญญาประกันภัย รถยนต์คันดังกล่าวไว้กับบริษัทเชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด นั้น จะเห็นได้ว่าในขณะที่ทําสัญญาประกันภัยนายเอี่ยม ไม่ได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือเป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวแล้ว และแม้ว่าการประกันภัยจะได้ทําในนามของ นายเอี่ยมเอง ก็ไม่ถือว่านายเอี่ยมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แต่อย่างใด ดังนั้นสัญญา ประกันภัยจึงไม่ผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 863)

และเมื่อสัญญาประกันภัยไม่ผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น การที่นายอ่องขับรถบรรทุกโดยความ ประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์ของนางอรทัยได้รับความเสียหาย และบริษัทเชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ได้นํารถยนต์ ของนางอรทัยไปซ่อมและสามารถนํากลับไปใช้ได้แล้ว บริษัทเชี่ยวชาญประกันภัยจํากัดก็จะใช้สิทธิตามมาตรา 880 วรรคแรก เพื่อเข้ารับช่วงสิทธิของนายเอียมในการเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่องไม่ได้ (ฎีกาที่ 115/2511 และ 961/2522)

สรุป

บริษัท เชี่ยวชาญประกันภัย จํากัด ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายอ่อง

 

ข้อ 3 สมชายกับสมศรีเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรชายหนึ่งคนคือ สมพงษ์ สมพงษ์ได้ไปทําสัญญาประกันชีวิตของนายสมชายบิดาของตนไว้กับบริษัทประกันชีวิต จํากัด เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 จํานวนเงินที่เอาประกัน 2 ล้านบาท สัญญากําหนด 5 ปี โดยระบุให้ตนเองเป็น ผู้รับประโยชน์ ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2555 สมพงษ์ก็ได้ไปทําสัญญาประกันชีวิตของสมศรีมารดา อีกกรมธรรม์หนึ่งไว้กับบริษัทเดียวกันนั้น จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากําหนด 5 ปี โดยระบุให้สมพงษ์เป็นผู้รับประโยชน์อีกเช่นกัน ต่อมาวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 สมชายกับสมศรี ทะเลาะกันอย่างรุนแรง เนื่องจากสมชายไปติดพันสดสี ซึ่งเป็นสาวสวยข้างบ้าน จึงทําให้สมศรีเกิด การหึงหวง สมชายบันดาลโทสะ จึงใช้ปืนยิงสมศรีถึงแก่ความตาย และด้วยความเสียใจในเหตุที่เกิดขึ้น เขาจึงได้ยิงตัวตายตามสมศรีไป สมพงษ์จึงไปขอรับเงินจากบริษัทประกันชีวิตตามสัญญาทั้ง 2 กรณี ดังกล่าว

จงวินิจฉัยว่าบริษัทจะต้องชดใช้เงินให้กับสมพงษ์ เนื่องจากเหตุการตายของสมชายและสมศรีหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมือมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมพงษ์ซึ่งเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของสมชายและสมศรี ได้ไป ทําสัญญาประกันชีวิตของสมชายบิดาของตน และได้ไปทําสัญญาประกันชีวิตของสมศรีมารดาอีกกรมธรรม์หนึ่ง ไว้กับบริษัทประกันชีวิต จํากัด ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 และวันที่ 15 มีนาคม 2555 ตามลําดับ โดยได้ระบุให้ ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ทั้ง 2 กรมธรรม์นั้น ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่าสมพงษ์ผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุ ที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม ตามมาตรา 895 ผู้รับประกันภัยสามารถปฏิเสธการใช้เงินตามสัญญา ประกันชีวิตได้ ในกรณีที่

1 บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตกระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทําสัญญา

2 บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ดังนั้น จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ บริษัทผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้เงินหรือปฏิเสธไม่ใช้ เงินแก่สมพงษ์เนื่องจากเหตุการตายของสมชายและสมศรีได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสมชาย การที่สมชายใช้ปืนยิงตัวตาย ถือเป็นกรณีที่บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิต กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญา ดังนั้นบริษัทจึงสามารถปฏิเสธการใช้เงินให้แก่ สมพงษ์ตามสัญญาประกันชีวิตได้ตามมาตรา 895 (1)

กรณีของสมศรี การที่สมชายใช้ปืนยิงสมศรีตายนั้นแม้เป็นการฆ่าสมศรีตายโดยเจตนา แต่สมชาย มิใช่เป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิตถูกผู้รับประโยชน์ ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) ดังนั้น บริษัทจึงปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สมพงษ์ตามสัญญาประกันชีวิตไม่ได้ บริษัทจะต้องชดใช้เงินให้กับสมพงษ์

สรุป

บริษัทสามารถปฏิเสธไม่ใช้เงินแก่สมพงษ์เนื่องจากเหตุการตายของสมชายได้ แต่จะต้อง ชดใช้เงินให้แก่สมพงษ์เนื่องจากเหตุการตายของสมศรี จะปฏิเสธไม่ใช้เงินให้แก่สมพงษ์ไม่ได้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสมจดทะเบียนสมรสกับนางสาวศรี ต่อมานายสมเอาประกันชีวิตนางศรีไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะ ระยะเวลาเอาประกันภัย 30 ปี วงเงิน 5 แสนบาท ชื่อผู้เอาประกันภัย และชื่อผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์คือนายสม 10 ปีต่อมา นายสมอุปการะเลี้ยงดูและยกย่อง นางสาวสวยฉันภริยา นางศรีจึงฟ้องหย่า ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้หย่าได้ อีก 2 ปีต่อมา นางศรี จดทะเบียนสมรสใหม่กับนายเท่ห์ ครั้น 1 ปีต่อมานางศรีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงแก่ความตาย นายสมทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์จึงยื่นขอรับเงินประกันชีวิต แต่บริษัทประกันฯ ปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านายสมได้หย่าขาดกับนางศรีไปแล้วโดยคําพิพากษาของศาล บริษัทประกันจึงไม่มีหน้าที่ จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตแม้อยู่ในระหว่างอายุสัญญาก็ตาม อยากทราบว่าข้ออ้างของบริษัทประกันฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวอย่างบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตนั้นถือว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง จึงต้องนําเอาบทบัญญัติใน หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันชีวิตจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย กล่าวคือ มีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัยด้วย ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นก็ได้ สัญญา ประกันชีวิตจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 863)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมจดทะเบียนสมรสกับนางสาวศรี และต่อมานายสมเอาประกันชีวิตนางศรีไว้กับบริษัทประกันชีวิตนั้น ถือว่าเป็นการประกันชีวิตผู้อื่น ซึ่งเมื่อพิจารณาตัวผู้เอาประกันภัย คือนายสม จะเห็นได้ว่า มีความสัมพันธ์กับนางศรีในฐานะคู่สมรส ทั้งนี้เพราะนายสมมีสิทธิและหน้าที่ความรับผิด ต่อชีวิตของนางศรีภริยาที่ได้มาเอาประกันไว้กับบริษัทผู้รับประกัน จึงถือว่านายสมมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้แล้ว และประการสําคัญส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันต้องมีในขณะทําสัญญาด้วย

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะทําสัญญานายสมมีส่วนได้เสียในชีวิตของนางศรีเนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่ากันสัญญาจึงมีผลผูกพัน แม้ต่อมาส่วนได้เสียจะหมดไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้นกลายเป็นสัญญาที่ไม่ ผูกพันในภายหลัง ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา จะปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่านายสม ได้หย่าขาดกับนางศรีไปแล้ว บริษัทประกันจึงไม่มีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้นไม่ได้

สรุป

บริษัทประกันชีวิตมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่นายสมผู้รับประโยชน์ ข้ออ้างของบริษัท ประกันชีวิตดังกล่าวข้างต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 มดจองรถยนต์คันหนึ่งกับบริษัท อีอีซี จํากัด ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยบริษัทฯ แถมฟรีประกันภัยชั้น 1 (คุ้มครองรถคันเอาประกันกรณีมีการเฉี่ยวชนเกิดขึ้นทั้งที่มีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณีรวมถึงรถหาย) กับลูกค้าที่จองรถยนต์ของบริษัททุกคัน บริษัทฯ กําหนดให้มดรับรถยนต์คันที่จองได้ในวันที่ 23 มีนาคม ช่วงที่มดรอรับรถยนต์ ตัวแทนบริษัท นําร่องประกันภัย จํากัด ได้ตกลงทําสัญญาประกันวินาศภัย รถยนต์กับมดและจะออกกรมธรรม์ให้มดในวันที่มดรับรถจากบริษัท อีอีซุ จํากัด ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม ขณะทีมดขับขี่รถยนต์บนถนน เกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของหมวยได้รับความเสียหาย โดยมดเป็นฝ่ายผิด มดจึงเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท นําร่องประกันภัย จํากัด แต่บริษัท ประกันภัยปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่า ขณะทําสัญญามดไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัย

ดังนี้ ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยฟังขึ้นหรือไม่ บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือไม่อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 867 วรรคสาม “กรมธรรม์ประกันภัย ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย และ มีรายการดังต่อไปนี้

(1) วัตถุที่เอาประกันภัย

(3) ราคาแห่งมูลประกันภัย ถ้าหากได้กําหนดกันไว้

(4) จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัย”

มาตรา 869 “อันคําว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การทีมดจองรถยนต์คันหนึ่งกับบริษัท อีอีซี จํากัด ในเดือนกุมภาพันธ์โดย บริษัทฯ แถมฟรีประกันภัยชั้น 1 กับลูกค้าที่จองรถยนต์ของบริษัททุกคัน และบริษัทฯ กําหนดให้มครับรถยนต์ คันที่จองได้ในวันที่ 23 มีนาคมนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในช่วงที่มดรอรับรถยนต์ ตัวแทนของบริษัทนําร่อง ประกันภัย จํากัด ได้ตกลงทําสัญญาประกันวินาศภัยรถยนต์กับมดและจะออกกรมธรรม์ให้มดในวันที่มดรับรถ จากบริษัท อีอีซุ จํากัด จะเห็นได้ว่าในขณะทําสัญญาประกันวินาศภัยนั้น ยังอยู่ในช่วงของการจองรถเพื่อรอรับรถ และรอทําสัญญาเช่าซื้อ จึงยังไม่สามารถที่จะระบุตัวรถยนต์ซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยตามมาตรา 867 วรรคสาม (1) ได้ มดจึงยังไม่มีความสัมพันธ์หรือมีส่วนได้เสียกับทรัพย์สินที่เอาประกันและไม่สามารถตีราคาทรัพย์สินที่เอาประกัน วินาศภัยได้ตามมาตรา 863 ประกอบมาตรา 869 และมาตรา 867 วรรคสาม (3) และ (4) แม้ตัวแทนจะส่งมอบ กรมธรรม์ในวันรับรถและวันทําสัญญาเช่าซื้อก็ตาม การส่งมอบกรมธรรม์ไม่เกี่ยวกับการเกิดของสัญญาประกันภัย ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงถือว่าสัญญาไม่มีผลผูกพันกับคู่สัญญา

และเมื่อสัญญาไม่มีผลผูกพัน การที่มดได้ขับขี่รถยนต์บนถนนในวันที่ 27 มีนาคม และเกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของหมวยได้รับความเสียหาย การที่บริษัท นําร่องประกันภัย จํากัด ปฏิเสธการจ่ายเงินแก่มด โดยอ้างว่า ขณะทําสัญญามดไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยนั้น ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยจึงฟังขึ้น บริษัท ประกันภัยจึงไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้มด

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยฟังขึ้น บริษัทประกันภัยไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน ให้แก่มด

 

ข้อ 3. นายหมึกทําสัญญาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุมรณะกับบริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 ระบุให้นายกุ้งบุตรของนายหมึกเป็นผู้รับประโยชน์จํานวนเงินซึ่งเอาประกันชีวิต 1 ล้านบาท วันที่ 2 มกราคม 2554 นายหมึกทําสัญญาประกันโดยเอาประกันชีวิตนางปลากริยา ที่ชอบด้วยกฎหมายของนายหมึกไว้กับบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด ระบุให้นายกุ้งเป็นผู้รับ ประโยชน์เช่นกัน มีจํานวนเงินที่เอาประกันชีวิต 5 แสนบาท วันที่ 2 มกราคม 2555 ซึ่งอยู่ในอายุ กรมธรรม์ นายหมึกทะเลาะกับนางปลาอย่างรุนแรง นายหมึกใช้อาวุธปืนยิงนางปลาตาย และใช้ปืนนั้น ยิงตัวเองตายตาม จงวินิจฉัยว่า บริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด จะปฏิเสธไม่ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้นายกุ้งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก เมื่อผู้เอาประกันชีวิต หรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตได้ถึงแก่ความตาย บริษัทผู้รับประกัน จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตนั้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะได้กระทําอัตวินิบาตหรือฆ่าตัวตายด้วยใจสมัครภายใน 1 ปี นับแต่วันทําสัญญา หรือบุคคลนั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุมรณะกับบริษัท มั่งมีประกันชีวิตเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2554 โดยระบุให้นายกุ้งบุตรของนายหมึกเป็นผู้รับประโยชน์ และได้ทํา สัญญาประกันโดยเอาประกันชีวิตนางปลากริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายหมึกไว้กับบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด ในวันที่ 2 มกราคม 2554 โดยระบุให้นายกุ้งเป็นผู้รับประโยชน์เช่นเดียวกันนั้น ทั้งสองกรณีนายหมึกย่อม สามารถทําได้เพราะถือว่านายหมึกผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 ดังนั้นสัญญา จึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

ในวันที่ 2 มกราคม 2555 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุกรมธรรม์ การที่นายหมึกทะเลาะกับนางปลาอย่างรุนแรง นายหมึกได้ใช้อาวุธปืนยิงนางปลาตายและใช้ปืนยิงตัวเองตายตามนั้น กรณีดังกล่าว บริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่นายกุ้งผู้รับประโยชน์ทั้งนี้เพราะ

กรณีแรก การที่นายหมึกใช้อาวุธปืนยิงตัวเองตายนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายหมึกได้กระทํา อัตวินิบาตด้วยใจสมัครเมื่อพ้นกําหนด 1 ปีนับแต่วันทําสัญญาแล้ว จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (1)

กรณีที่ 2 การที่นางปลาตายนั้น เกิดจากการที่นายหมีกซึ่งมิใช่ผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา มิได้เกิดจากการกระทําของนายกุ้งผู้รับประโยชน์แต่อย่างใด จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 895 (2)

สรุป

บริษัท มั่งมีประกันชีวิต จํากัด และบริษัท ร่ำรวยประกันชีวิต จํากัด จะปฏิเสธไม่ใช้เงิน ตามสัญญาประกันชีวิตให้นายกุ้งไม่ได้

 

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

1 นายเนื่องเป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นของนายเจริญผู้เป็นนายจ้าง นายเจริญยื่นคําขอเอาประกันภัยอุบัติเหตุไว้กับบริษัทสยามรุ่งเรือง แอสชัวรันซ์ จํากัด ซึ่งประกอบธุรกิจรับประกันอุบัติเหตุ โดยนายเจริญเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ด้วย จํานวนเงินเอาประกันภัย 3 แสนบาท นายเจริญเป็นผู้ชําระเบี้ยประกันภัยเอง กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “นายเนื่องถึงแก่ความตาย ในระหว่างวันที่ 8 สิงหาคม 2550 ถึง 7 สิงหาคม 2551 บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ตกลงจ่ายเงินจํานวน ดังกล่าวให้แก่นายเจริญ”

ครั้นวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 นายเนื่องขับรถบรรทุกน้ำมันกลับจาก ต่างจังหวัดได้เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำลงไปข้างถนน นายเนื่องถึงแก่ความตายจากการถูกรถทับศีรษะ นายเจริญจึงยื่นขอรับเงินประกันภัย 3 แสนบาท แต่บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ปฏิเสธการจ่าย อ้างว่านายเจริญไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหาย เพราะผู้ได้รับความเสียหายที่แท้จริงคือทายาทของนายเนื่อง นายเจริญจึงมีเจตนาไม่สุจริตเพราะรู้ดีว่าตนไม่มีส่วนได้เสียที่จะนําชีวิตของนายเนื่องมา ประกันภัยไว้ แสดงให้เห็นว่าก่อนทําสัญญา นายเจริญมีเจตนาพนันกับบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ โดย ใช้ชีวิตของนายเนื่องเป็นเครื่องเดิมพัน สัญญาประกันภัยจึงเป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อยากทราบว่า ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ต้องจ่ายเงิน 3 แสนบาทให้แก่นายเจริญหรือไม่เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเนื่องลูกจ้างขับรถบรรทุกน้ำมันที่เป็นของนายเจริญผู้เป็นนายจ้าง และนายเจริญได้ยื่นคําขอเอาประกันอุบัติเหตุไว้กับบริษัทสยามรุ่งเรือง แอสชัวรันซ์ จํากัด โดยนายเจริญเป็นทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์ และในกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “ถ้านายเนื่องถึงแก่ความตาย บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ตกลงจ่ายเงินให้แก่นายเจริญ” นั้น ถือได้ว่านายเจริญผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุ ที่ประกันภัยไว้นั้น เพราะการที่นายเจริญจะมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก ความสัมพันธ์ระหว่างนายเจริญผู้เอาประกันภัยกับผู้ถูกเอาประกันภัยคือนายเนื่อง ซึ่งเมื่อปรากฏว่าบุคคลทั้งสอง มีความสัมพันธ์ที่มีกฎหมายจ้างแรงงานรับรองไว้ทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบที่นายเจริญในฐานะที่ เป็นนายจ้างมีต่อนายเนื่องในฐานะลูกจ้าง จึงต้องถือว่านายเจริญมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ที่ว่านายเจริญไม่มีส่วนได้เสียจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การที่บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ อ้างว่า นายเจริญมีเจตนาพนันกับบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ โดยใช้ชีวิต ของนายเนื่องเป็นเครื่องเดิมพันก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะสัญญาประกันภัยมิใช่การพนันขันต่อ เนื่องจาก สัญญาการพนันขันต่อนั้นผู้เข้าพนั้นไม่ต้องมีส่วนได้เสีย ซึ่งแตกต่างกับสัญญาประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยต้องมี ส่วนได้เสีย เมื่อนายเจริญมีส่วนได้เสียจึงมิใช่การเดิมพันชีวิตของนายเนื่องแต่อย่างใด

และข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ที่ว่าสัญญาประกันภัยเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์ ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น ข้ออ้างดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเมื่อนายเจริญผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ ย่อมทําให้สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญา ตามมาตรา 863 ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ จึงต้องจ่ายเงินประกันภัยจํานวน 3 แสนบาท ให้แก่นายเจริญ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 64/2516)

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทสยามรุ่งเรืองฯ ต้องจ่ายเงิน 3 แสนบาท ให้แก่นายเจริญผู้เอาประกันภัย

 

ข้อ 2 นายวีรภาพทําสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยประกันภัยประเภทที่ 1 คือคุ้มครองทุกอย่าง รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับตัวรถที่เอาประกันด้วย วงเงินเอาประกัน 5 แสนบาท ในระหว่างอายุสัญญา นายเอกภาพขับรถโดยประมาทชนท้ายรถ ของนายวีรภาพเสียหาย บริษัทประกันภัยจึงนํารถยนต์ของนายวีรภาพไปให้นายโชคดีซ่อม คิดเป็น เงิน 5 หมื่นบาท แต่บริษัทประกันภัยยังมิได้จ่ายค่าซ่อมรถให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่เมือซ่อมรถ ของนายวีรภาพเสร็จ นายวีรภาพได้รับมอบรถไปแล้ว บริษัทประกันภัยเรียกร้องให้นายเอกภาพ จ่ายค่าซ่อมรถ แต่นายเอกภาพปฏิเสธ ดังนี้ บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าซ่อมรถ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย ต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึ่งบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย”

มาตรา 880 วรรคแรก “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอา ประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับ ประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย ไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ นายวีรภาพทําสัญญาเอาประกันวินาศภัยรถยนต์ของตนไว้กับบริษัทประกันภัย และในระหว่างอายุสัญญานายเอกภาพได้ขับรถโดยประมาทชนท้ายรถของนายวีรภาพเสียหาย กรณีนี้ถือว่า ความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของนายเอกภาพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว และการที่บริษัทประกันภัย ได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปให้นายโชคดีซ่อมจนใช้การได้ และส่งมอบรถยนต์ให้นายวีรภาพแล้วนั้น ถือว่าเป็นการ คืนทรัพย์ตามมาตรา 438 วรรคสอง ซึ่งถือได้ว่าผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัยแล้ว (เทียบฎีกาที่ 1006/2503)

ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของนายวีรภาพผู้เอาประกันภัย เรียกค่าซ่อมรถยนต์ 5 หมื่นบาทจากนายเอกภาพได้ตามมาตรา 880 วรรคแรก

ส่วนการที่บริษัทประกันภัยติดค้างค่าซ่อมรถ ซึ่งยังมิได้ชําระให้แก่นายโชคดีเจ้าของอู่นั้น เป็นหนี้ตามสัญญาจ้างทําของระหว่างบริษัทประกันภัยกับนายโชคดีซึ่งเป็นหนี้ต่างหากจากกัน ไม่เกี่ยวกับการที่ บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นายวีรภาพ

สรุป

บริษัทประกันภัยมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน 5 หมื่นบาท จากนายเอกภาพได้เพราะเป็นกรณีที่บริษัทประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิตามมาตรา 880

 

ข้อ 3 ประพันธ์ทําสัญญาประกันชีวิตเพื่อความมรณะกับบริษัท B&B จํากัด ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท กําหนดให้สมรคู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์ สมรทําหนังสือถึง บริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนประสงค์จะถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต ทําประกันชีวิตได้ 3 ปี ประพันธ์ทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ ว่าขอโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันให้ดวงใจคนรักใหม่ บริษัทฯ รับทราบการเปลี่ยนแปลงแล้ว ต่อมาประพันธ์ทะเลาะกับสมรอย่างรุนแรงเนื่องจากสมร ไม่ยอมหย่าตามความต้องการของประพันธ์ ประพันธ์จึงนําปืนมาขู่จะฆ่าตัวตายหากสมรไม่ยอมหย่าให้ ดวงใจเข้าไปแย่งปืนเพื่อไม่ให้ประพันธ์ฆ่าตัวตาย ขณะยื้อแย่งปืนกันอยู่ปืนเกิดลั่นถูกประพันธ์ทําให้ประพันธ์เสียชีวิต

ดังนี้ สมรและดวงใจจะมีสิทธิตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึ่งได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 891 “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัยย่อม มีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้รับ ประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ประพันธ์ทําสัญญาประกันชีวิตเพื่อความมรณะกับบริษัท B&B จํากัด ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปี จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท กําหนดให้สมรคู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ถือว่า ประพันธ์เป็นผู้เอาประกันภัย ส่วนสมรเป็นผู้รับประโยชน์ตามมาตรา 862

ตามข้อเท็จจริง แม้สมรจะได้ทําหนังสือถึงบริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนประสงค์จะถือประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตแล้วก็ตาม แต่เมื่อประพันธ์ยังไม่ได้ส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่สมร ประพันธ์ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ตามมาตรา 891 ดังนั้น เมื่อทําสัญญา ประกันชีวิตได้ 3 ปี ประพันธ์ได้ทําหนังสือแจ้งบริษัทฯ ว่าขอโอนประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยนั้นให้ดวงใจคนรักใหม่ และบริษัทฯ รับทราบการเปลี่ยนแปลงแล้ว ย่อมถือว่าประพันธ์ได้โอนสิทธิตามสัญญาประกันให้กับดวงใจแล้ว และถือว่าดวงใจเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรายนี้แล้ว

เมื่อต่อมา ประพันธ์ทะเลาะกับสมรอย่างรุนแรง เนื่องจากสมรไม่ยอมหย่าตามความต้องการ ของประพันธ์ ประพันธ์จึงนําปืนมาขู่ว่าจะฆ่าตัวตายหากสมรไม่ยอมหย่า และดวงใจได้เข้าไปแย่งปืนเพื่อไม่ให้ ประพันธ์ฆ่าตัวตายทําให้ปืนเกิดลั่นถูกประพันธ์ทําให้ประพันธ์เสียชีวิตนั้น การเสียชีวิตของประพันธ์ไม่ถือว่าเป็น การกระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายใน 1 ปีนับแต่วันทําสัญญา หรือถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา ตามมาตรา 895 แต่อย่างใด ดังนั้นบริษัทผู้รับประกันภัยจึงต้องใช้เงินให้แก่ดวงใจซึ่งเป็นผู้มีสิทธิรับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิต

สรุป

ดวงใจจะมีสิทธิตามสัญญาประกันภัยชีวิต เพราะดวงใจเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรายนี้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายอังคารจดทะเบียนสมรสกับนางศุกร์ นางศุกร์เอาประกันชีวิตนายอังคารไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะ จํานวนเงินเอาประกัน 1 แสนบาท มีกําหนดระยะเวลา 30 ปี อีก 10 ปีต่อมา นายอังคารจดทะเบียนหย่าขาดจากนางศุกร์ หลังจากนั้นอีก 1 เดือน นายอังคารถึงแก่ ความตาย เพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ นางศุกร์ยื่นขอรับเงินประกัน 1 แสนบาท แต่บริษัทประกัน ปฏิเสธการจ่ายอ้างว่า ก. สัญญาไม่ผูกพัน เพราะส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นหมดสิ้นไป โดยเหตุที่นางศุกร์และนายอังคารไม่ได้เป็นคู่สมรสกันแล้วเนื่องจากหย่าขาดจากกัน ข. การที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

ก. สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่ ต้องใช้มาตรา 863 พิวารณาในเรื่องส่วนได้เสีย ของผู้เอาประกันภัย กรณีตามอุทาหรณ์เป็นการประกันชีวิตผู้อื่น เมื่อพิจารณาตัวผู้เอาประกันภัย คือ นางศุกร์ จะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส ทั้งนี้เพราะนางศุกร์มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิด ต่อชีวิตของนายอังคาร สามีที่ได้มาเอาประกันไว้กับบริษัทผู้รับประกัน และประการสําคัญส่วนได้เสียนั้น ผู้เอาประกันต้องมีในขณะทํา สัญญาด้วย เมื่อขณะทําสัญญา นางศุกร์มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคาร เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้หย่าสัญญา จึงมีผลผูกพัน แม้ต่อมาส่วนได้เสียจะหมดสิ้นไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันตั้งแต่ต้น กลายเป็นสัญญาที่ไม่ผูกพันในภายหลัง ดังนั้นข้ออ้างของบริษัทประกันที่ว่าสัญญาไม่ผูกพันจึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย

ข. ประเด็นข้อกฎหมายคือ นางศุกร์เป็นผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่ตามมาตรา 863 จะเห็น ได้ว่า ผู้ซึ่งต้องมีส่วนได้เสียก็แต่เฉพาะผู้เอาประกันภัยเท่านั้น กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้รับประโยชน์ ต้องมีส่วนได้เสีย แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นผู้รับประโยชน์จะเป็นใครก็ได้ถึงแม้ไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยก็เป็นผู้รับประโยชน์ได้ ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าการที่นางศุกร์ได้หย่าขาดจากนายอังคารแล้ว นางศุกร์จึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางศุกร์ ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายอังคารอีกต่อไป จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยทั้งสองประการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 นายแดงได้ทําสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านของตนไว้กับบริษัทประกันภัยจํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท สัญญากําหนด 1 ปี ระบุให้ตนเองเป็นผู้รับประโยชน์ ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย นางส้มจีนมารดาของนายแดงซึ่งป่วยเป็นโรคข้ออักเสบได้มาพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย เนื่องจากที่บ้านยุงชุมมาก นางส้มจีนจึงได้จุดยากันยุงไล่และจุดทิ้งไว้ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงทําให้ไฟไหม้บ้านหมดทั้งหลัง จงวินิจฉัยว่า บริษัทผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามสัญญาประกันอัคคีภัยบ้านให้กับนายแดงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแท้จริง วรรคท้าย ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้”

มาตรา 879 วรรคแรก “ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่น ซึ่ง ได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงเอาประกันอัคคีภัยบ้านของตนถือว่าเป็นผู้มีเหตุแห่งส่วนได้เสีย ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพัน และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย) บริษัทผู้รับประกันภัย ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับนายแดงตามมาตรา 877 (1) และวรรคท้าย ในฐานะที่เป็นทั้งผู้เอา ประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ เพราะวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากการกระทําโดยทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงของนายแดง จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้รับประกันภัยไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 879 วรรคแรก

สรุป

ผู้รับประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายแดง

 

ข้อ 3 นายทรพาเอาประกันชีวิต 1 ล้านบาทในเหตุมรณะกับบริษัทประกันภัยในวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 สัญญามีกําหนด 10 ปี โดยระบุให้นายทรพีบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์ วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 นายทรพีอยากได้เงินประกันชีวิต จึงวางแผนทําร้ายร่างกายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงนายทรพาที่ขา ได้รับอันตรายสาหัส นายทรพาน้อยใจที่นายทรพีบุตรชายทําร้ายตน จึงกินยาพิษจนถึงแก่ความตาย นายทรพีมาขอรับเงินประกันชีวิต 1 ล้านบาท ดังนี้ บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินประกันชีวิตให้แก่นายทรพีหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับ ประกันภัยจําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายทรพีผู้รับประโยชน์วางแผนทําร้ายนายทรพาโดยใช้ปืนยิงถูกนายทรพา ที่ขาได้รับอันตรายสาหัส ถือว่าผู้รับประโยชน์มีเจตนาทําร้ายร่างกายผู้เอาประกันให้ได้รับอันตรายสาหัส แต่มิได้มีเจตนาฆ่า จึงไม่ใช่เป็นกรณีถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนาตามมาตรา 895 (2) และเมื่อนายทรพาน้อยใจจึง กินยาพิษจนถึงแก่ความตาย เป็นการฆ่าตัวตายด้วยใจสมัคร แต่เลยเวลา 1 ปีนับแต่วันทําสัญญาประกันชีวิตแล้ว จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่บริษัทประกันภัยจะไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 895 (1) ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงต้อง จ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต 1 ล้านบาท ให้แก่นายทรพีผู้รับประโยชน์

สรุป

บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิต 1 ล้านบาท ให้แก่นายทรพีผู้รับ ประโยชน์

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายกรุงทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับ บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด เป็นเงิน 1 ล้านบาท กําหนดสัญญา 10 ปี โดยทําสัญญาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2544 นายกรุงได้ปกปิดเรื่องที่ตนเองเป็นวัณโรคอยู่ บริษัทไม่ทราบความจริงในเรื่องนี้ จึงตกลงรับประกัน ภายในอายุสัญญานายกรุงไปเที่ยวแล้ว รับประทานอาหารร้านริมถนนจนเกิดท้องร่วงถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 เมื่อ นายกรุงตายแล้วบริษัทจึงทราบว่านายกรุงเป็นวัณโรคมาก่อนทําสัญญาประกันชีวิต บริษัทประกันชีวิต จึงบอกล้างสัญญาประกันชีวิต เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2549 ดังนี้ บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมในสัญญาประกันชีวิตรายนี้กับผู้รับประโยชน์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด โดยนายกรุงได้ปกปิดเรื่องที่ตนเองเป็นวัณโรคอยู่นั้น ข้อที่นายกรุงได้ปกปิดนี้เห็นได้แน่ชัดว่าเป็นข้อสําคัญ ซึ่งถ้านายกรุงไม่ปกปิดและแถลงความจริงให้บริษัทผู้รับประกันทราบแล้ว บริษัทผู้รับประกันจะต้องบอกปัดไม่ยอม ทําสัญญาประกันชีวิตอย่างแน่นอน เพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคร้ายแรงอันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆยะ ตั้งแต่ขณะทําสัญญาตามมาตรา 865 วรรคแรก แม้จะปรากฏภายหลัง ว่านายกรุงจะได้ถึงแก่ความตายเพราะเกิดท้องร่วงก็ตาม ก็ไม่ทําให้สัญญาที่ตกเป็นโมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลง มาสมบูรณ์แต่อย่างใดบริษัทผู้รับประกัน จึงมีสิทธิบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนี้ได้

อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติมาตรา 865 วรรคสอง ได้กําหนดว่า ผู้รับประกันชีวิตจะต้องบอกล้าง สัญญาประกันชีวิตที่เป็นโมฆียะนั้นภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ หรือภายใน กําหนด 5 ปีนับแต่วันทําสัญญา มิฉะนั้นสิทธิบอกล้างย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป กรณีนี้แม้บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด จะได้บอกล้างสัญญาที่เป็นโมฆียกรรมนี้ภายในกําหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ทราบมูลอันจะบอกล้างได้ แต่ก็เป็นเวลา เกินกว่า 5 ปีนับแต่วันทําสัญญาแล้ว ดังนั้น บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด จึงไม่มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมสัญญา ประกันชีวิตฉบับนี้

สรุป

บริษัท ไทยประกันชีวิต จํากัด ไม่มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรมสัญญาประกันชีวิตฉบับนี้

 

ข้อ 2 นายก้านเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ทําสัญญาประกันภัยโดยคุ้มครองรถถูกลักขโมยด้วยกับบริษัท มั่นคงประกันวินาศภัยไว้ 1 ปี จํานวนเงินเอาประกันภัย 5 แสนบาท หลังจากทําสัญญา 7 เดือน นายก้าน ขายรถคันดังกล่าวโดยโอนกรรมสิทธิ์ให้นายเข้ม ต่อมาอีก 1 เดือน ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถของนายเข้มที่ซื้อจากนายก้านถูกโจรกรรมไป นายเข้มจึงแจ้งบริษัท มั่นคงฯ โดยไม่ชักช้าเพื่อเรียก ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ บริษัท มั่นคงฯ มีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้มหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ยอมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและ บอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายก้านซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ทําสัญญาประกันภัยโดยคุ้มครองรถถูกลักขโมย ด้วยกับบริษัท มั่นคงประกันวินาศภัย นั้น ถือได้ว่านายก้านผู้เอาประกันมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันไว้นั้นตามมาตรา 863 ใน ปานกลาง และตามข้อเท็จจริง การที่นายก้านได้ขายรถยนต์ที่ทําประกันภัยไปให้นายเข้ม ซึ่งถือว่าเป็น การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยโดยทางนิติกรรมสัญญาตามมาตรา 875 วรรคสอง

ดังนั้นสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้น จะโอนไปด้วยก็ต่อเมื่อได้มีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยด้วย เมื่อการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยดังกล่าว ไม่ปรากฏว่ามีการบอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนไปยังนายเข้ม ดังนั้นเมื่อรถยนต์ของนายเข้มที่ซื้อจากนายก้านถูกโจรกรรมไป บริษัท มั่นคงประกันวินาศภัย จึงไม่มีหน้าที่ที่จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้ม

สรุป

บริษัทมั่นคงประกันวินาศภัยไม่มีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทนจํานวน 5 แสนบาทให้แก่นายเข้ม

 

ข้อ 3 นายหารเอาประกันชีวิตตนเองอาศัยเหตุแห่งความมรณะ สัญญามีกําหนด 10 ปี จํานวนเงินที่เอาประกัน 1 ล้านบาท โดยระบุให้นางสาวมีนาเป็นผู้รับประโยชน์ และได้มอบกรมธรรม์ประกันภัย ให้นางสาวมีนาเก็บไว้ ต่อมานายหารโกรธนางสาวมีนาที่ไม่ทํางานเอาแต่เที่ยวเตร่ จึงมีจดหมายแจ้ง บริษัทประกันภัยว่าขอเปลี่ยนให้นายเมษาบุตรชายเป็นผู้รับประโยชน์แทนนางสาวมีนา หลังจาก ทําประกันชีวิตได้ 4 ปี นายหารขาดส่งเบี้ยประกันภัย และหลังจากนั้นอีก 3 ปี นายหารถึงแก่ความตาย นายเมษาจึงไปขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิตจากบริษัท แต่นางสาวมีนาคัดค้านโดยอ้างว่าตน เป็นผู้รับประโยชน์โดยชอบแต่ผู้เดียว และบริษัทก็ปฏิเสธการใช้เงินใด ๆ ทั้งสิ้น โดยอ้างว่านายหาร ผู้ตายขาดส่งเบี้ยประกันภัย 3 ปี มีผลเป็นการเลิกสัญญาประกันภัยแล้ว

อยากทราบว่า ข้ออ้าง ของบริษัทประกันภัยและข้ออ้างของนางสาวมีนาฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 891 วรรคแรก “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 894 “ผู้เอาประกันภัยขอบที่จะบอกเลิกสัญญาประกันภัยเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ด้วย การงดไม่ส่งเบี้ยประกันภัยต่อไป ถ้าและได้ส่งเบี้ยประกันภัยมาแล้วอย่างน้อยสามปีไซร้ ท่านว่าผู้เอาประกันภัย ชอบที่จะได้รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย หรือรับกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จจากผู้รับประกันภัย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 891 วรรคแรกนั้น แม้ผู้เอาประกันชีวิตจะได้กําหนดตัวผู้รับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตไว้แล้ว ผู้เอาประกันชีวิตก็ยังมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์ตามสัญญานั้นให้บุคคลอื่นได้ (โอนสิทธิ เรียกร้องตามสัญญาประกันชีวิตในการที่จะได้รับชดใช้เงินที่เอาประกันภัย) เว้นแต่จะเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการต่อไปนี้ ผู้เอาประกันชีวิตไม่มีสิทธิโอนประโยชน์ให้แก่ผู้ใดอีก คือ

1 ได้ส่งมอบกรมธรรม์นั้นให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และ

2 ผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้นายหารจะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้กับนางสาวมีนาผู้รับประโยชน์ แล้วก็ตาม แต่เมื่อนางสาวมีนาผู้รับประโยชน์ยังมิได้แจ้งเป็นหนังสือไปยังบริษัทผู้รับประกันภัยว่าตนจะถือเอา ประโยชน์ตามสัญญานั้น สิทธิของนางสาวมีนาจึงยังไม่สมบูรณ์ นายหารผู้เอาประกันภัยจึงสามารถโอนประโยชน์แห่ง สัญญาให้กับนายเมษาได้ ดังนั้น การที่นางสาวมีนาอ้างว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์โดยชอบแต่ผู้เดียวนั้น ข้ออ้างของ นางสาวมีนาจึงฟังไม่ขึ้น

และการที่นายหารผู้เอาประกันภัยขาดส่งเบี้ยประกันภัยนั้น ถือได้ว่ามีเจตนาบอกเลิกสัญญา ประกันภัยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายหารได้ส่งเบี้ยประกันภัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี บริษัทผู้รับ ประกันภัยต้องคืนค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย หรือมอบกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จให้แก่ผู้เอาประกันภัย แต่เนื่องจาก นายหารผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตายไปแล้วโดยที่ยังไม่ได้รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันภัย

ดังนั้น บริษัท จึงต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จรูปให้กับนายเมษาผู้รับประโยชน์

สรุป

ข้ออ้างของบริษัทฟังไม่ขึ้น บริษัทต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ใช้เงินสําเร็จให้กับนายเมษา ผู้รับประโยชน์ และข้ออ้างของนางสาวมีนาก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกันตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!