LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจรัลต้องการซื้อที่ดินที่เกาะช้าง 1 แปลง ราคา 1 ล้านบาท จึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อนของตนคือนายปรีดาให้ช่วยจัดหาที่ดินให้โดยบอกว่า “ถ้ามีใครสนใจอยากขายที่ดิน ให้นายปรีดาติดต่อขอซื้อ ไปได้เลยโดยไม่ต้องบอกผู้ขายว่านายปรีดามาซื้อที่ดินแทนใคร” นายปรีดาตอบตกลง นายจรัล จึงโอนเงินให้นายปรีดา 1 ล้านบาทเพื่อทําการซื้อที่ดิน ต่อมาอีก 2 เดือน นางสมใจประกาศ ขายที่ดิน 1 แปลงราคา 1 ล้านบาท นายปรีดาจึงทําการซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ในนามของตนเอง ต่อมานายจรัลทราบว่านายปรีดาซื้อที่ดินได้สําเร็จตามที่ตกลงกันจึงแจ้งไปยังนายปรีดาให้มา ทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ตน แต่นายปรีดาปฏิเสธโดยอ้างว่าการตั้งตัวแทนให้ทําการซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์นั้นจะต้องทําเป็นหนังสือ นายจรัลตั้งนายปรีดาเป็นตัวแทนด้วยวาจาผ่านทาง โทรศัพท์เท่านั้น การตั้งตัวแทนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายปรีดาไม่จําต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน คืนแก่นายจรัล ข้ออ้างของนายปรีดาฟังขึ้นหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อน ที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจรัลได้ตั้งให้นายปรีดาเป็นตัวแทนเพื่อทําการซื้อขายที่ดิน 1 แปลง ที่เกาะช้างผ่านทางโทรศัพท์ โดยกําหนดเงื่อนไขให้นายปรีดาติดต่อขอซื้อที่ดินไปได้เลยโดยไม่ต้องบอกผู้ขายว่า นายปรีดามาซื้อที่ดินแทนใครนั้น ถือว่านายจรัลเป็นตัวการซึ่งไม่ได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 ดังนั้น นายปรีดาตัวแทนจะต้องเข้าผูกพันรับผิดแก่บุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นตัวการเสียเอง และถึงแม้ว่ากิจการที่นายปรีดาตัวแทนไปกระทําคือการไปซื้อที่ดินนั้น ตามกฎหมายบังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือ ซึ่งการตั้งตัวแทนเพื่อกิจการดังกล่าวก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วยก็ตาม แต่ในเรื่องของตัวการซึ่งไม่ได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 นั้น ถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ดังนั้น การที่นายจรัลตั้งให้นายปรีดาเป็นตัวแทนไปซื้อ ที่ดินดังกล่าวแม้จะทําด้วยวาจาผ่านทางโทรศัพท์ การตั้งตัวแทนก็มีผลสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย

และเมื่อนายปรีดาได้ทําการซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ในนามของตนเองตามความประสงค์ของนายจรัล ตัวการแล้ว นายปรีดาจึงมีหน้าที่ที่จะต้องส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้แก่นายจรัลอันเป็นหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 810 ดังนั้น เมื่อนายจรัลแจ้งไปยังนายปรีดาให้มาทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ตน แต่นายปรีดาปฏิเสธโดย อ้างว่าการตั้งตัวแทนให้ทําการซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนายปรีดาไม่จําต้องโอนกรรมสิทธิ์ เที่ดินคืนให้แก่นายจรัลนั้น ข้ออ้างของนายปรีดาจึงฟังไม่ขึ้น นายปรีดาจะต้องทําการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แปลงดังกล่าวคืนให้แก่นายจรัล

สรุป ข้ออ้างของนายปรีดาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถจักรยานยนต์มือสองอยู่ที่ถนนลาดพร้าว มีทั้งขายเงินสด ขายเงินผ่อนและขายเชื่อ นายจันทร์ได้นํารถจักรยานยนต์ใช้แล้วของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ขาย ในราคา 3 หมื่นบาทโดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์จํานวน 2 พันบาท และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ซื้อจักรยานยนต์ใช้แล้วไม่เกิน 3 ปีให้ตนใหม่หนึ่งคันราคา ไม่เกิน 4 หมื่นบาท โดยตกลงจะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์จํานวน 2 พันบาทเช่นกัน นายอาทิตย์ ได้นํารถจักรยานยนต์ของนายจันทร์ไปขายเพื่อให้แก่นายพุธ เมื่อหนี้ถึงกําหนด นายพุธไม่นําเงิน มาชําระ กรณีนี้นายอาทิตย์หรือนายจันทร์จะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จากนายพุธ และถ้าฟ้องแล้วนายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดต่อนายจันทร์หรือไม่ เพราะเหตุใด อีกกรณีหนึ่ง นายอาทิตย์ได้ไปซื้อเชื่อรถจักรยานยนต์คันใหม่จากนายศุกร์โดยอ้างว่าตนซื้อไปให้ นายจันทร์ ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกําหนด นายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระให้แก่นายศุกร์ ดังนี้ นายศุกร์ จะฟ้องนายอาทิตย์หรือนายจันทร์ให้ชําระหนี้แก่ตน เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่น ร่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคูสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้า ต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อ ถ้วการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทน ประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อน นั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคล ภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อม ต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิฟ้องร้อง ตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถจักรยานยนต์มือสองอยู่ที่ถนนลาดพร้าว และนายจันทร์ได้นํารถจักรยานยนต์ใช้แล้วของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ขาย และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ ซื้อจักรยานยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่หนึ่งคันโดยตกลงจะให้บําเหน็จแก่นายอาทิตย์นั้น ย่อมถือว่านายอาทิตย์เป็น ตัวแทนค้าต่างของนายจันทร์ตามมาตรา 833

การที่นายอาทิตย์ได้นํารถจักรยานยนต์ของนายจันทร์ไปขายเพื่อให้แก่นายพุธ และเมื่อหนี้ ถึงกําหนดนายพุธไม่นําเงินมาชําระนั้น นายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาย่อมเป็นผู้ที่มีสิทธิ ฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จากนายพุธ เพราะนายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายเชื่อรถจักรยานยนต์ให้แก่นายพุธ ในนามของตนเอง จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการขายรถจักรยานยนต์นั้นตามมาตรา 837 และถ้าฟ้องแล้ว นายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างไม่ต้องรับผิดต่อนายจันทร์ตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง การที่นายอาทิตย์ได้ไปซื้อเชื่อรถจักรยานยนต์คันใหม่จากนายศุกร์โดยอ้างว่าตน ซื้อไปให้นายจันทร์นั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดนายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระให้แก่นายศุกร์ ดังนี้นายศุกร์ย่อมมีสิทธิ ฟ้องนายอาทิตย์ให้ชําระหนี้ให้แก่ตนได้ เพราะนายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างทําการซื้อรถจักรยานยนต์กับนายศุกร์ ในนามของตนเอง แม้จะอ้างว่าตนซื้อไปให้นายจันทร์ก็ตาม แต่นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อ นายศุกร์คู่สัญญาด้วยตามมาตรา 837

สรุป ถ้านายพุธไม่นําเงินมาชําระ นายอาทิตย์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารถจักรยานยนต์จาก นายพุธ และถ้าฟ้องแล้วนายพุธไม่มีเงินมาชําระ นายอาทิตย์ไม่ต้องรับผิดต่อนายจันทร์

อีกกรณีหนึ่ง ถ้านายอาทิตย์ไม่นําเงินไปชําระแก่นายศุกร์ นายศุกร์มีสิทธิฟ้องให้นายอาทิตย์ ชําระหนี้ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 3. นายมงคลตกลงให้นายจุ๊บเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายมงคล โดยนายมงคลจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ขายได้ นายมงคลได้มอบนามบัตรของนายมงคลซึ่งมีที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ ที่บ้านของนายมงคลกับได้มอบแผนที่หลังโฉนดที่ดินที่นายมงคลต้องการขายให้แก่นายจุ๊บไว้ด้วย ต่อมานายต้นและนายบุญมาถามซื้อที่ดินบริเวณนั้น นายจุ๊บจึงพาคนทั้งสองไปดูที่ดินของนายมงคล หลังจากนั้นนายต้นและนายบุญได้ไปพานายพลและนายยลมาดูที่ดินของนายมงคลด้วย โดยนายพล ตกลงจะซื้อที่ดินนั้น นายต้นและนายบุญจึงขอนามบัตรของนายมงคลและแผนที่หลังโฉนดมาจาก นายจุ๊บแล้วมอบให้นายพลไปติดต่อกับนายมงคลเอง ในที่สุดนายพลได้เข้าทําสัญญาซื้อที่ดิน แปลงดังกล่าวกับนายมงคลในราคา 5,000,000 บาท เมื่อนายจุ๊บได้ทราบเรื่องการทําสัญญาซื้อขาย ระหว่างนายมงคลและนายพลแล้ว จึงติดต่อนายมงคลเพื่อขอบําเหน็จนายหน้าร้อยละ 5 ตามที่ นายมงคลเคยตกลงกับนายจุ๊บไว้ในการเป็นนายหน้าให้นายมงคลในการขายที่ดินแปลงดังกล่าว เช่นนี้ นายมงคลจะต้องจ่ายบําเหน็จนายหน้าให้แก่นายจุบหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมงคลตกลงให้นายจุ๊บเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายมงคล โดย นายมงคลจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ขายได้ ต่อมานายต้นและนายบุญมาถามซื้อที่ดินบริเวณนั้น นายจุ๊บจึงพาคนทั้งสองไปดูที่ดินของนายมงคล หลังจากนั้นนายต้นและนายบุญได้ไปพานายพลและนายยลมาดู ที่ดินของนายมงคลด้วย โดยนายพลตกลงจะซื้อที่ดินนั้น นายต้นและนายบุญจึงขอนามบัตรของนายมงคลและ แผนที่หลังโฉนดมาจากนายจุ๊บแล้วมอบให้นายพลไปติดต่อกับนายมงคลเอง และในที่สุดนายพลได้เข้าทําสัญญา ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวกับนายมงคลนั้น ย่อมถือว่าการที่นายพลและนายมงคลได้เข้าทําสัญญาซื้อขายที่ดินของ นายมงคลเป็นผลสําเร็จนั้น เป็นผลมาจากการชี้ช่องของนายจุ๊บแล้วตามมาตรา 845 เพราะการที่นายพลได้ ทราบถึงการขายที่ดินของนายมงคลนั้น แม้จะเป็นการที่นายต้นและนายบุญได้มอบนามบัตรและแผนที่หลังโฉนด ห้แก่นายพลไปติดต่อเองก็ตาม แต่เพราะเหตุที่นายต้นและนายบุญทราบได้นั้นก็เพราะนายจุ๊บได้ชี้ช่องไว้นั่นเอง ดังนั้น นายมงคลจึงต้องจ่ายบําเหน็จนายหน้าให้แก่นายจุ๊บร้อยละ 5 ตามที่ได้สัญญาไว้

สรุป นายมงคลต้องจ่ายบําเหน็จให้นายจุ๊บ

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.นายไข่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตกล้วยตากที่จังหวัดเพชรบุรี กล้วยตากที่ผลิตได้บรรจุในถุงสุญญากาศ ทําให้สามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียง่าย นายไข่ต้องการขายกล้วยตากจํานวน 100 ถุง ในราคา ถุงละ 100 บาท จึงตั้งนายขวดเป็นตัวแทนไปจัดหาผู้ซื้อและทําการขายสินค้า นายขวดจึงติดต่อกับ นางชื่นแม่ค้าขายผลไม้แห้งที่ตลาดบางกะปิ โดยนางชื่นตกลงซื้อกล้วยตากทั้งหมด 100 ถุง แต่พอถึง วันนัดส่งสินค้า นางชื่นกลับนําเงินมาเพียง 5,000 บาท ทําให้ซื้อกล้วยตากได้เพียง 50 ถุงเท่านั้น ส่วนกล้วยตากที่เหลืออีก 50 ถุง นายขวดนําไปขายที่ร้านค้าของตนเองในราคาถุงละ 80 บาท (ซึ่งเป็นราคาที่ต่ํากว่าที่นายไข่กําหนด 20 บาท) โดยไม่ได้แจ้งให้นายไข่ทราบแต่อย่างใด และ ได้ทําการขายจนหมด ต่อมานายไข่ทราบจึงเรียกให้นายขวดชําระค่ากล้วยตากที่ขายได้ทั้งหมด โดยแบ่งเป็นเงิน 5,000 บาทที่ขายให้แก่นางชื่น เงิน 4,000 บาทที่นายขวดนํากล้วยตากไปขายที่ ร้านของตนเอง และเงิน 1,000 บาทที่ได้จากการที่นายขวดขายกล้วยตากต่ํากว่าราคาที่กําหนด นายขวดยินยอมใช้เงินที่ขายกล้วยตากได้ทั้งหมด ยกเว้นเงิน 1,000 บาทที่ขายกล้วยตากต่ํากว่า ราคาที่นายไข่กําหนด โดยอ้างถึงเหตุจําเป็นที่จะต้องรีบขายมิเช่นนั้นจะทําให้กล้วยตากเน่าเสียได้

ข้ออ้างในการปฏิเสธของนายขวดฟังขึ้นหรือไม่ และนายขวดจะต้องใช้เงินแก่นายไขในกรณีใดบ้าง จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 802 “ในเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวิญญชนจะพึงกระทํา ก็ย่อมมีอํานาจจะทําได้ทั้งสิ้น”

มาตรา 805 “ตัวแทนนั้น เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ จะเข้าทํานิติกรรมอันใด ในนามของตัวการทํากับตนเองในนามของตนเองหรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่ เว้นแต่ นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชําระหนี้”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทน ตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขวดได้ตกลงเป็นตัวแทนของนายไข่นั้น นายขวดจะต้องกระทําการ แทนนายไข่ตามที่ตนได้รับมอบอํานาจจากนายไข่ โดยการนํากล้วยตาก 100 ถุงไปขายในราคาถุงละ 100 บาท ให้แก่นางชื่นแม่ค้าที่นายขวดได้ติดต่อไว้ และแม้ว่าเมื่อถึงวันนัดส่งกล้วยตาก นางชื่นจะนําเงินมาเพียง 5,000 บาท ทําให้ซื้อกล้วยตากได้เพียง 50 ถุงเท่านั้น กล้วยตากที่เหลืออีก 50 ถุง นายขวดก็ต้องนําส่งคืนให้แก่นายไข่ตาม มาตรา 810 พร้อมกับเงินที่ได้จากการขายกล้วยตากให้แก่นางขึ้นจํานวน 5,000 บาท

การที่นายขวดได้นํากล้วยตากที่เหลือ 50 ถุงไปขายที่ร้านของตนเองนั้นย่อมเป็นการต้องห้าม ตามมาตรา 805 ที่ห้ามตัวแทนทํานิติกรรมกับตนเองในขณะที่กระทําการเป็นตัวแทนของตัวการอยู่ และการที่ นายขวดได้อ้างเหตุจําเป็นเนื่องจากเกรงว่ากล้วยตากจะเน่าเสียตามมาตรา 802 นั้นก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากตาม ข้อเท็จจริงนั้นกล้วยตากของนายไข่ได้บรรจุในถุงสุญญากาศทําให้สามารถเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสียหาย อีกทั้งนายขวด ก็มิได้แจ้งให้นายไข่ตัวการทราบถึงเหตุจําเป็นนี้ด้วย การกระทําของนายขวดในการนํากล้วยตากที่เหลือ 50 ถุง ไปขายที่ร้านของตนเองจึงเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจหรือเกินขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทนตามมาตรา 812 ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายขวดขายกล้วยตากในราคา 80 บาท ต่ำกว่าที่นายไข่ตัวการกําหนด 20 บาท นายขวด จึงต้องรับผิดต่อนายไขในจํานวนเงิน 1,000 บาทที่ขายกล้วยตากต่ํากว่าราคาที่นายไข่ตัวการกําหนด

สรุป นายขวดจะต้องใช้เงินจํานวน 5,000 บาทที่ขายกล้วยตากให้แก่นางชื่น เงินจํานวน 4,000 บาทที่นํากล้วยตากไปขายที่ร้านของตนเอง และเงินอีกจํานวน 1,000 บาทจากการขายกล้วยตากต่ํากว่า ราคาที่นายไข่กําหนดรวมเป็นเงิน 10,000 บาทให้แก่นายไข่

 

ข้อ 2. ร้านหนังสือของนายดินตกลงรับหนังสือมาจากหลายสํานักพิมพ์โดยตกลงว่าในการขายหนังสือให้แต่ละสํานักพิมพ์นั้น ร้านของนายดินจะได้ค่าตอบแทนเล่มละ 50 บาท ต่อมานายจ้อยมาซื้อ หนังสือนวนิยายเรื่องคนละชาติภพของสํานักพิมพ์การะเกดจํานวน 20 เล่มจากร้านของนายดิน แต่ปรากฏว่า ในนวนิยายเล่มที่ซื้อไปนั้นมี 10 เล่มที่หน้าขาดไปหลายสิบหน้า นายจ้อยจึงมาขอให้ นายดินเปลี่ยนเล่มให้หาไม่ได้ก็ขอให้คืนเงิน แต่นายดินกลับไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ อ้างว่าตน เป็นตัวแทนขายหนังสือนวนิยายให้สํานักพิมพ์การะเกดเท่านั้น ขอให้นายจ้อยไปเรียกร้องเอากับ สํานักพิมพ์การะเกดเอาเอง เช่นนี้ ร้านนายดินจะปฏิเสธความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 837 “ในการที่ตัวแทนค้าต่างทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่น ต่างตัวการนั้น ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น และตัวแทนค้าต่าง ย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 837 ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อ บุคคลภายนอกไว้ว่า เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายหรือซื้อหรือจัดทํากิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว ตัวแทนค้าต่าง ย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิ ที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตาม สัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ร้านหนังสือของนายดินตกลงรับหนังสือมาจากหลายสํานักพิมพ์ ซึ่งรวมทั้งของสํานักพิมพ์การะเกดมาขาย โดยตกลงว่าในการขายหนังสือให้แต่ละสํานักพิมพ์นั้น ร้านของนายดิน จะได้รับค่าตอบแทนเล่มละ 50 บาทนั้น ย่อมถือว่าร้านของนายดินเป็นตัวแทนค้าต่างของสํานักพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้ง สํานักพิมพ์การะเกดตามมาตรา 833

และจากข้อเท็จจริง การที่นายจ้อยได้มาซื้อหนังสือนวนิยายเรื่องคนละชาติภพของสํานักพิมพ์ การะเกดจํานวน 20 เล่มจากร้านของนายดิน แต่ปรากฏว่าในจํานวนที่ซื้อไปนั้นมีอยู่ 10 เล่มที่หน้าขาดไปหลายสิบหน้า นายจ้อยจึงขอให้นายดินรับผิดชอบโดยเปลี่ยนเล่มใหม่ให้หรือหากไม่ได้ก็ขอให้คืนเงินนั้น นายดินจะปฏิเสธ ความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยไม่ได้ เพราะเมื่อนายดินซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก คือนายจ้อยโดยตรงแล้ว ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วยตามมาตรา 837

สรุป

ร้านของนายดินจะปฏิเสธความรับผิดชอบใด ๆ ต่อนายจ้อยไม่ได้

 

ข้อ 3. นายเข็มได้ตกลงให้นายธงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายเข็มจํานวน 80 ไร่ มีบําเหน็จ 500,000 บาท และตกลงว่าจะจ่ายค่าใช้จ่ายอย่างใดที่อาจเกิดจากการเป็นนายหน้าด้วย ต่อมานายธงได้แนะนํา นายขวัญให้เข้ามาซื้อที่ดินของนายเข็มโดยตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขายกันไว้ก่อนและตกลงว่า จะทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในอีก 15 วัน โดยนายขวัญได้วางมัดจํา ไว้ 2,000,000 บาท หลังจากนั้นเมื่อถึงวันที่กําหนดให้มาทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ นายขวัญกลับไม่มาและแจ้งขอเลิกสัญญาในวันรุ่งขึ้น เช่นนี้นายธงจะเรียก บําเหน็จค่านายหน้าได้หรือไม่ เพราะเหตุใด อีกทั้งนายธงได้มีค่าใช้จ่ายในการดําเนินการนี้จํานวน 20,000 บาท นายธงจะเรียกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว

นายหน้ามีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้เช่นนั้น ความข้อนี้ ท่านให้ใช้บังคับแม้ถึงว่าสัญญาจะมิได้ทํากันสําเร็จ”

มาตรา 846 “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า

ค่าบําเหน็จนั้นถ้ามิได้กําหนดจํานวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และ นายหน้ารับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อม จะได้รับค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเข็มได้ตกลงให้นายธงเป็นนายหน้าขายที่ดินจํานวน 80 ไร่ และตกลงให้บําเหน็จ 500,000 บาท รวมทั้งตกลงจะจ่ายค่าใช้จ่ายในการเป็นนายหน้าด้วยนั้น เมื่อนายธงได้ชี้ช่อง ให้นายขวัญบุคคลภายนอกเข้าทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของนายเข็มแล้ว จึงถือได้ว่าผลสําเร็จแห่งสัญญาจะซื้อ จะขายระหว่างนายเข็มและนายขวัญนั้นเกิดจากการชี้ช่องของนายธงนายหน้า แม้ต่อมานายขวัญจะไม่ปฏิบัติ ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้นก็ตาม นายธงย่อมมีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้าตามที่ตกลงตามมาตรา 845 ประกอบ มาตรา 846

และในส่วนค่าใช้จ่ายที่นายธงได้ใช้จ่ายไปในการดําเนินการนี้จํานวน 20,000 บาทนั้น เมื่อนายเข็มได้ตกลงว่าจะจ่ายให้แก่นายธง นายธงย่อมมีสิทธิที่จะเรียกจากนายเข็มได้ตามมาตรา 845 วรรคสอง

สรุป

นายธงสามารถเรียกค่านายหน้าจํานวน 500,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่าย 20,000 บาท จากนายเข็มได้

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ไปลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนตน นายแสงตะวันไปทําสัญญาตามคําสั่งและ รับรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้ามาหนึ่งคัน เมื่อนางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบ จึงบอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทน ดังนี้ นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ ให้นายสายฟ้าหรือไม่ จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 799 “ตัวการคนใดใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทน ท่านว่าตัวการคนนั้นย่อม ต้องผูกพันในกิจการที่ตัวแทนกระทํา”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวแสงดาวทําหลักฐานเป็นหนังสือมอบหมายให้นายแสงตะวัน อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์และเป็นบุคคลไร้ความสามารถเป็นตัวแทนไปลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ จากนายสายฟ้าแทนตนนั้น เป็นการมอบอํานาจที่ถูกต้องตามมาตรา 798 วรรคสอง และมาตรา 799 ดังนั้น นายแสงตะวันจึงมีอํานาจทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์จากนายสายฟ้าแทนนางสาวแสงดาวได้

เมื่อนายแสงตะวันได้ทําสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์ตามคําสั่งและรับรถจักรยานยนต์จาก นายสายฟ้ามาหนึ่งคัน จึงถือเป็นกิจการที่นายแสงตะวันตัวแทนได้ทําไปภายในขอบอํานาจของการเป็นตัวแทน ย่อมมีผลทําให้นางสาวแสงดาวต้องผูกพันต่อบุคคลภายนอกคือต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้า ตามมาตรา 820 แม้ว่านางสายหยุดมารดาของนายแสงตะวันทราบและได้บอกล้างนิติกรรมการเป็นตัวแทน แองนายแสงตะวันแล้วก็ตาม นางสาวแสงดาวก็ยังคงต้องรับผิดชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้แก่นายสายฟ้า เนื่องจากการที่ตนได้ใช้บุคคลผู้ไร้ความสามารถเป็นตัวแทนตามมาตรา 799

สรุป

นางสาวแสงดาวต้องชําระราคาค่ารถจักรยานยนต์ให้นายสายฟ้า

 

ข้อ 2. นายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองทุกยี่ห้อ นายจันทร์ได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันมาฝากนายอาทิตย์ขายในราคา 300,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ ค่าบําเหน็จแก่นายอาทิตย์เป็นเงินจํานวน 20,000 บาท ปรากฏว่านายอาทิตย์ได้นํารถยนต์คันนั้น ไปขายให้แก่นายอังคารในราคา 340,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายรถยนต์ได้ยังไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นายจันทร์โดยนําไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายรถยนต์ ได้สูงกว่าที่นายจันทร์กําหนดไว้ นายอาทิตย์จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และ เงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายจันทร์ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดต่อนายจันทร์หรือไม่ อย่างไรจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ํากว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายอาทิตย์ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขายในราคา 300,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่ นายอาทิตย์จํานวน 20,000 บาท แต่นายอาทิตย์ได้ขายให้แก่นายอังคารในราคา 340,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นายจันทร์กําหนดไว้ 40,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการตามมาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นายจันทร์ตัวการ

ส่วนเงินจํานวน 340,000 บาท ที่ขายรถยนต์ได้ นายอาทิตย์ตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่ นายจันทร์ตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอาทิตย์ไม่ยอมส่งมอบ ห้แก่นายจันทร์แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นายอาทิตย์จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่จันทร์ นายอาทิตย์จะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. นายเชิดต้องการขายที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา 1 แปลง กําหนดราคา 10 ล้านบาท จึงได้ตั้งนายชูและนายชอบเป็นนายหน้าขายที่ดินดังกล่าวโดยตกลงจะให้บําเหน็จ 2% จากราคาขาย นายชูและ นายชอบได้ประกาศขายที่ดินดังกล่าวไว้ที่ website ประกาศขายที่ดินแห่งหนึ่ง นายรวยมาเจอเข้า จึงได้ติดต่อมาที่นายชูและนายชอบ นายชูและนายชอบจึงนัดให้นายรวยและนายเชิดได้มาเจอกัน แต่ปรากฏว่าพอถึงวันนัด นายเชิด กลับเสนอขายราคาที่ดินเป็น 11 ล้านบาท นายรวยจึงไม่ยอมตกลงทําสัญญาซื้อขายด้วย อีกสามวัน ถัดมานายเชิดได้ให้ตัวแทนของตนไปติดต่อกับนายรวยอีกครั้ง ในการติดต่อครั้งนี้นายรวยตกลง จะซื้อที่ดินของนายเชิดในราคา 11 ล้านบาท และได้เข้าทําสัญญาจะซื้อจะขายกับนายเชิด ในเวลาต่อมาเมื่อนายชูและนายชอบทราบจึงมาขอรับบําเหน็จจากนายเชิด นายเชิดปฏิเสธโดย อ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการชี้ช่องของนายชูและนายชอบแต่เกิดจาก การที่ตัวแทนของตนไปติดต่อในภายหลัง ดังนี้ ข้ออ้างของนายเชิดฟังขึ้นหรือไม่ จงอธิบายพร้อม ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้น ได้ทํากันสําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และ นายหน้ารับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้า ย่อมจะได้รับค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเชิดต้องการขายที่ดินจึงได้ตั้งนายชูและนายชอบเป็นนายหน้า ขายที่ดินดังกล่าวโดยตกลงจะให้คําบําเหน็จ 2% จากราคาขาย และนายชูและนายชอบได้ประกาศขายที่ดิน ดังกล่าวไว้ที่ website ประกาศขายที่ดินแห่งหนึ่งนั้น เมื่อนายชูและนายชอบได้ตกลงรับเป็นนายหน้าให้แก่ นายเชิดแล้ว สัญญานายหน้าจึงเกิดขึ้น การกระทําการชี้ช่องหรือจัดให้บุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าชี้ช่องกับ บุคคลภายนอกได้เข้าทําสัญญากันจึงเป็นหน้าที่ของนายหน้าอันพึงกระทําลงเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ตกลง ให้นายหน้าซ่อง และเมื่อนายหน้าได้จัดให้บุคคลทั้งสองฝ่ายได้เข้าทําสัญญากันแล้ว การกระทําของนายหน้า ย่อมบริบูรณ์และสมประโยชน์ของบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องแล้ว เมื่อบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าเป็น ผู้ชี้ช่องได้ถือเอาประโยชน์จากการชี้ช่องของนายหน้า สิทธิของนายหน้าในการได้รับบําเหน็จย่อมเกิดขึ้นโดยไม่ต้อง คํานึงว่าการทําสัญญาระหว่างบุคคลผู้ตกลงให้นายหน้าชี้ช่องกับบุคคลภายนอกนั้นจะได้เกิดขึ้นในคราวเดียว หรือในคราวต่อ ๆ ไปก็ตาม

ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ แม้ว่าในคราวแรกนายเชิดจะยังไม่ได้ตกลงทําสัญญา จะซื้อจะขายกับนายรวย แต่ได้ตั้งตัวแทนไปทําสัญญาจนสําเร็จในคราวหลัง ย่อมถือได้ว่านายเชิดได้ถือเอา ประโยชน์จากการที่นายชูและนายชอบได้ชี้ช่องในคราวแรกแล้ว นายชูและนายชอบจึงได้ทําหน้าที่ของการ เป็นนายหน้าโดยสมบูรณ์แล้วย่อมมีสิทธิได้รับบําเหน็จนายหน้าจากนายเชิดได้ การที่นายเชิดปฏิเสธโดยอ้างว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการชี้ช่องของนายชูและนายชอบแต่เกิดจากการที่ตัวแทนของตน ไปติดต่อในภายหลังนั้น ข้ออ้างของนายเชิดจึงฟังไม่ขึ้น (เปรียบเทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1515/2512)

สรุป

ข้ออ้างของนายเชิดฟังไม่ขึ้น

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. อยากออกเงินกู้แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนหากินทางดอกเบี้ย ก. จึงมอบด้วยวาจาให้ ข. ลูกน้องคนสนิทไปออกเงินกู้ ข. ให้ ค. กู้ห้าหมื่นบาทตามสัญญา ข. ลงชื่อผู้ให้กู้ แต่ ค. ทราบว่า ข. ปลูกกระต๊อบอยู่ท้ายสวนบ้านของ ก. ไม่มีเงินมากมายที่จะให้ใครกู้ เจ้าของเงินที่แท้จริงคือ ก. ค. นําเงินห้าหมื่นบาทพร้อมดอกเบี้ยไปชําระให้กับ ก. โดยมีหลักฐาน ข. จะนําสัญญากู้มาบังคับ เอากับ ค. เพราะ ค. มิได้ชําระหนี้กับตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่เพียง ในสิ่งที่จําเป็นเพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 806 “ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและเข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทําไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทําการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทําให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทน และเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่ รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้นได้ไม่”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. อยากออกเงินกู้แต่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนหากินทางดอกเบี้ย ก. จึงมอบหมายด้วยวาจาให้ ข. ไปออกเงินกู้แทนตนนั้น ถือว่า ก. ได้มอบอํานาจให้ ข. เป็นตัวแทนรับมอบ อํานาจเฉพาะการตามมาตรา 800 และถือเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 ดังนั้น แม้กิจการที่ ข. ตัวแทนไปกระทําคือไปออกเงินกู้นั้น ตามกฎหมายบังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งการตั้งตัวแทน เพื่อกิจการดังกล่าวก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วยก็ตาม แต่ในเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา 806 นั้น ถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ดังนั้น การที่ ก. ตั้งให้ ข. เป็นตัวแทนไปออกเงินกู้แม้จะกระทําด้วยวาจา สัญญาตัวแทนก็มีผลสมบูรณ์

เมื่อ ข. ได้ให้ ค. กู้เงิน 50,000 บาท และลงชื่อเป็นผู้ให้กู้ ถือว่า ข. ได้กระทําไปภายใน ขอบอํานาจของตัวแทน และเมื่อ ค. บุคคลภายนอกได้รู้แล้วว่า ก. เป็นตัวการและเจ้าของเงินที่แท้จริง ย่อมถือว่า ชื่อของตัวการนั้นได้เปิดเผยแล้ว ดังนั้น ก. จึงต้องรับเอาสัญญากู้ยืมเงินและมีความผูกพันกับ ค. บุคคลภายนอก

ตามสัญญาที่ ข. ตัวแทนได้กระทํา และมีผลให้ ข. ตัวแทนหลุดพ้นจากความผูกพันตามสัญญาดังกล่าวตามมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อ ค. ได้นําเงินพร้อมดอกเบี้ยไปชําระให้ ก. แล้ว ข. จะนําสัญญากู้มาบังคับเอากับ ค. โดยอ้างว่า ค. ไม่ได้ชําระหนี้ให้แก่ตนไม่ได้

สรุป

ข. จะนําสัญญากู้มาบังคับเอากับ ค. อีกไม่ได้

ข้อ 2. นายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างเปิดร้านขายรถยนต์มือสองอยู่แถวถนนรัชดา นายดําเป็นเจ้าของรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้าซึ่งใช้มาแล้วเป็นเวลา 10 ปี มีปัญหาต้องซ่อมอยู่เสมอ นายดําต้องการจะขายเพื่อจะได้ ซื้อรถยนต์คันใหม่จึงได้ตกลงให้นายแดงเป็นตัวแทนขายรถยนต์ของตนในราคา 230,000 บาท ถ้าขายได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายแดง 10,000 บาท และในขณะเดียวกันนายดําได้ตกลงให้นายแดง ซื้อรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าให้ตนอีกหนึ่งคันมีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ในราคาไม่เกิน 350,000 บาท ถ้าซื้อได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายแดงจํานวน 10,000 บาทเช่นกัน นายแดงได้นํารถยนต์ของนายดําไปเสนอขายให้แก่นายเขียวในราคา 230,000 บาท นายเขียวพอใจ แต่ขอต่อรองราคาลง 5,000 บาท ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ซื้อ นายแดงจึงตกลงขายให้ในราคา 225,000 บาท ซึ่งจํานวนเงินไม่ตรงกับที่นายดํากําหนดไว้ เมื่อขายรถยนต์คันเก่าได้แล้ว นายแดงจึงได้ไปหาซื้อ รถยนต์คันใหม่ให้นายดําจนกระทั่งไปเจอรถยนต์ของนายขาวตรงตามที่นายดําต้องการทุกประการ นายขาวกําหนดราคาสูงกว่าที่นายดํากําหนดไว้ 5,000 บาท ถ้าไม่ได้ราคาตามที่กําหนดไว้ก็จะไม่ขาย นายแดงจึงตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นในราคา 355,000 บาท

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าทั้งสองกรณีนี้ นายดําตัวการจะต้องยอมรับเงินจํานวนที่น้อยกว่า หรือต้องจ่ายเงินจํานวนที่สูงกว่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 839 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายเป็นราคาต่ำไปกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการ ซื้อเป็นราคาสูงไปกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ หากว่าตัวแทนรับใช้เศษที่ขาดเกินนั้นแล้ว ท่านว่าการขายหรือการซื้ออันนั้น ตัวการก็ต้องรับขายรับซื้อ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้นํารถยนต์ไปให้นายแดงซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย โดยตกลง ให้นายแดงขายรถยนต์ของตนในราคา 230,000 บาท ถ้าขายได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายแดง 10,000 บาท แต่นายแดง ได้นําไปขายให้แก่นายเขียวในราคา 225,000 บาทนั้น ถือว่านายแดงได้ทําการขายในราคาต่ําไปกว่าที่นายดํา กําหนดไว้ 5,000 บาท กรณีนี้นายดําตัวการจะไม่ยอมรับเงินจํานวน 225,000 บาทได้ เพราะถือว่านายแดงได้ทํา นอกเหนือคําสั่งของนายดําตัวการ

แต่อย่างไรก็ดี ถ้านายแดงตัวแทนค้าต่างยอมรับใช้เศษที่ขาดไปจํานวน 5,000 บาท และชําระราคาค่าขายรถยนต์ให้แก่นายดําจํานวน 230,000 บาทตามที่ตกลงกัน เช่นนี้ นายดําตัวการก็จะต้อง รับเอาจํานวนเงินที่ขายได้นั้น เพราะถือว่านายดําได้รับชําระเงินตามราคาที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว (ตามมาตรา 839)

ส่วนการซื้อรถยนต์คันใหม่ซึ่งนายดําตัวการได้ตกลงให้ซื้อในราคาไม่เกิน 350,000 บาทนั้น เมื่อนายแดงตัวแทนค้าต่างได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่ในราคา 355,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาที่นายดํากําหนด 5,000 บาท กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน คือนายดําจะไม่ยอมรับเอาการซื้อขายนั้นและไม่ชําระส่วนที่เกินได้ เพราะถือว่านายแดงได้ทํานอกเหนือจากที่ตกลงกันไว้ แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากว่านายแดงตัวแทนยอมรับใช้เศษที่เกินไป จํานวน 5,000 บาท นายดําตัวการก็ต้องรับเอาการซื้อขายนั้น และชําระราคาค่ารถยนต์จํานวน 350,000 บาท (ตามมาตรา 839)

สรุป

ทั้งสองกรณี นายดําตัวการจะไม่ยอมรับเงินจํานวนที่น้อยกว่าและไม่ยอมจ่ายเงินจํานวน ที่สูงกว่าที่ตกลงได้ เว้นแต่ ถ้านายแดงตัวเเทนค้าต่างยอมรับใช้เศษที่ขาดและเกินนั้นแล้ว นายดําก็ต้องรับเอาการขาย และการซื้อรถยนต์นั้น

 

ข้อ 3. ก. มอบ ข. ให้ขายที่ดินให้โดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า ข. นําเสนอขาย ค. ค. ตกลงซื้อ ข. นํา ก. กับ ค. ผู้ซื้อ มาพบกัน และเข้าทําสัญญาต่อกัน แต่ภายหลังทําสัญญาการซื้อขายเลิกกัน ดังนี้ ข. ยังจะได้ค่าบําเหน็จนายหน้าหรือไม่ เพราะอะไร ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ก. บอก ข. ให้ขายที่ดิน และตกลงว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า ข. นําเสนอขาย ค. ค. ตกลงซื้อ แต่มีเงื่อนไขบังคับก่อนว่า “ต้องให้ที่ดินแปลงหน้าตัดถนนมาถึงที่ดินที่กําลังทําสัญญา จะซื้อจะขายกันเมื่อใด การซื้อขายนี้จึงจะสมบูรณ์” ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. จะได้ค่านายหน้า หรือไม่ และเมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้น ได้ทํากันสําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และ นายหน้ารับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อม จะได้รับค่าบําเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม กรณีที่สัญญาที่ทํานั้น เป็นสัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน กฎหมายห้ามมิให้ มีการเรียกค่านายหน้าจนกว่าเงื่อนไขนั้นจะสําเร็จแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

กรณีที่ 1. การที่ ก. ได้ตกลงมอบให้ ข. ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จนั้น เมื่อปรากฏว่า ข. ได้นําที่ดินเสนอขาย ค. ค. ตกลงซื้อ ก. และ ค. เข้าทําสัญญาซื้อขายกัน ดังนี้ถือว่า ข. ได้ทําหน้าที่ของตนใน ฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาภายหลังการซื้อขายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ข. ก็ยังจะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าอยู่ ตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ประกอบคําพิพากษาฎีกาที่ 517/2494

กรณีที่ 2. การที่ ก. มอบ ข. ให้ขายที่ดิน และตกลงว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า เมื่อ ข. นําที่ดิน เสนอขายให้ ค. และ ค. ตกลงซื้อ แต่มีเงื่อนไขบังคับก่อนว่า “ต้องให้ที่ดินแปลงหน้าตัดถนนมาถึงที่ดินที่กําลัง ทําสัญญาจะซื้อจะขายกันเมื่อใด การซื้อขายนี้จึงจะสมบูรณ์” ดังนี้ แม้ว่า ก. และ ค. จะได้เข้าทําสัญญาซื้อขายกันแล้ว ก็ตาม แต่เมื่อสัญญาซื้อขายนั้นมีเงื่อนไขบังคับก่อน ข. จึงยังไม่มีสิทธิได้รับค่านายหน้า ข. จะได้รับค่านายหน้า ก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนนั้นสําเร็จแล้ว คือที่ดินแปลงหน้าได้ตัดถนนมาถึงที่ดินแปลงที่ซื้อขายกันอันมีผลทําให้ สัญญาซื้อขายนั้นมีผลสมบูรณ์

สรุป

กรณีที่ 1. ข. ยังจะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า

กรณีที่ 2. ข. ยังไม่ได้รับค่านายหน้า จะได้รับค่านายหน้าก็ต่อเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อน ที่กําหนดไว้ในสัญญาซื้อขายนั้นสําเร็จแล้ว

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดําตั้งแดงไปกู้เงินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ แดงไปกู้เงินเขียวมา 5 แสนบาท แดงลงชื่อในสัญญากู้ไว้เรียบร้อย โดยเขียนในสัญญากู้ว่ากู้แทนดํา ต่อมาดําผิดนัดชําระหนี้ เขียวจะฟ้องใครระหว่างดํา กับแดงให้รับผิดชําระหนี้ เพราะเหตุใด มีเหตุอื่นที่จะฟ้องดําให้รับผิดได้อีกหรือไม่ ในทางใดบ้าง (ตอบมาโดยยกหลักมาตรามาให้ครบและเหตุผลโดยชัดแจ้ง)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้อง มีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหมือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตาม กฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดํามอบอํานาจให้แดงไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้แดงย่อม ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะดําตั้งแดงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคสอง

การที่แดงลงชื่อในสัญญากู้เงินกับเขียวก็เท่ากับว่าแดงลงชื่อโดยปราศจากอํานาจตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินนั้นจึงไม่ผูกพันดําตัวการ แดงตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อเขียวโดยลําพังตนเองตามมาตรา 823 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อต่อมาดําผิดนัดชําระหนี้ เขียวจึงสามารถฟ้องแดงให้รับผิดในฐานะคู่สัญญาได้โดยตรง

 

กรณีที่ 2 แม้เขียวจะไม่สามารถฟ้องดําให้รับผิดในฐานะตัวการได้ แต่การที่ดําตั้งแดงให้กู้เงิน จากเขียวและแดงได้เขียนในสัญญากู้ว่ากู้แทนดํานั้น ย่อมถือว่าดําได้เชิดแดงออกแสดงเป็นตัวแทนของดํา ดําจึงต้อง รับผิดต่อเขียวเสมือนว่าแดงเป็นตัวแทนของดําตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อดําผิดนัดชําระหนี้ เขียวจึงสามารถฟ้องให้ดํารับผิดในกรณีได้

สรุป

เขียวฟ้องให้แดงรับผิดในฐานะคู่สัญญาโดยตรงได้ และอีกทางหนึ่งสามารถฟ้องให้ดํา รับผิดในฐานะที่ดําเชิดแดงเป็นตัวแทนเขิดได้

ข้อ 2. กระสินมอบกระแสให้ช่วยมาเก็บค่าเช่าห้องแถวที่มีอยู่หลายคูหา กระสินมอบหมายปากเปล่า อีกทั้งยังมอบให้กระแสมีอํานาจทําสัญญาเช่าโดยมอบหมายเป็นหนังสือ ต่อมากระสินตายและเป็นช่วง ที่ต้องเก็บค่าเช่าพอดี ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาระหว่างกระสินกับกระแสระงับสิ้นไปแล้วหรือไม่ และระหว่างเก็บค่าเช่ากับทําสัญญาเช่าภายหลังกระสินตาย กระแสมีสิทธิจะทําอะไรได้บ้าง โดยทั้ง 2 กรณี กระแสอ้างว่า เพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ (ให้นักศึกษาแยกประเด็นตอบพร้อมยกหลักกฎหมายมาให้ชัดเจน)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นด้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

มาตรา 826 วรรคสอง “อนึ่งสัญญาตัวแทนย่อมระงับสิ้นไปเมื่อคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลาย เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับข้อสัญญาหรือสภาพแห่งกิจการนั้น”

มาตรา 828 “เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี ตัวการตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลายก็ดี ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมาย แก่ตนไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่กระสินตั้งกระแสเป็นตัวแทนให้ช่วยเก็บค่าเช่าห้องแถวที่มีอยู่หลายคูหา และยังมอบอํานาจให้กระแสทําสัญญาเช่าได้ด้วยนั้น ต่อมาเมื่อกระสินตาย สัญญาตัวแทนระหว่างกระสินกับกระแส ย่อมระงับสิ้นไปตามมาตรา 826 วรรคสอง และกรณีการเก็บค่าเช่าและการทําสัญญาเช่าภายหลังกระสินตาย กระแสจะมีสิทธิทําได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีการเก็บค่าเช่า แม้กระสินตัวการตายทําให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้นไป แต่ตามมาตรา 828 ได้กําหนดให้ตัวแทนต้องจัดการหรือทําหน้าที่ของตัวแทนไปพลางก่อนเท่าที่จําเป็นเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของ ตัวการ ดังนั้นกระแสจึงมีสิทธิเก็บค่าเช่าได้ เพราะถ้าหากกระแสไม่เก็บค่าเช่าก็ถือว่ากระแสไม่ทําหน้าที่ของการเป็น ตัวแทนตามมาตรา 828 และถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น กระแสตัวแทนจะต้องรับผิดชอบตามมาตรา 812

กรณีการทําสัญญาเช่า เมื่อกระสินตาย กระแสย่อมไม่มีสิทธิทําได้เพราะสัญญาตัวแทน ระงับสิ้นไปแล้ว อีกทั้งสัญญาเช่าเป็นบุคคลสิทธิ เป็นสิทธิส่วนบุคคล เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายย่อมทําให้สัญญาระงับ ถ้าหากกระแสฝ่าฝืนทําสัญญาเช่าถือว่าเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจและย่อมไม่ผูกพันผู้เป็นตัวการตาม มาตรา 823 และไม่ถือว่าเป็นการจัดการเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการตามมาตรา 828 ซึ่งมีผลทําให้ ตัวแทนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองตามมาตรา 823 วรรคสอง ดังนั้น กระแสจะทําสัญญาเช่า โดยอ้างว่าเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการไม่ได้

สรุป

กระแสมีสิทธิเก็บค่าเช่าได้เพราะเป็นการจัดการเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ แต่จะอ้างเหตุผลดังกล่าวเพื่อทําสัญญาเช่าไม่ได้

 

ข้อ 3. ขาวบอกฟ้าว่าให้ช่วยขายที่ดิน โดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จ ฟ้าไปบอกเมฆว่าให้ช่วยขายที่ดิน เมฆนําเสนอขายให้หมอกในราคา 50,000 บาท ตามที่ขาวบอก หมอกตกลงซื้อ พอนัดวันทําสัญญา ขาวกลับขึ้นราคาเป็น 70,000 บาท หมอกเลยไม่ซื้อ หลังจากนั้น 1 เดือน ดําซึ่งเป็นบุตรชายของขาว ได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวเปเสนอขายให้หมอกใหม่ในราคา 50,000 บาท เหมือนเดิม หมอกจึงซื้อไว้

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เมฆจะได้ค่าบําเหน็จนายหน้าหรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง ตามปัญหาข้างต้น ถ้าขาวกับหมอกเข้าทําสัญญากันแล้ว แต่ภายหลังการซื้อขายเลิกกัน เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ดังนี้ ผู้ชี้ช่องยังจะได้ค่าบําเหน็จนายหน้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขาวบอกฟ้าว่าให้ช่วยขายที่ดิน โดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จ และฟ้า ไปบอกเมฆว่าให้ช่วยขายที่ดิน เมื่อเมฆนําเสนอขายให้หมอกในราคา 50,000 บาท ตามที่ขาวบอก แต่เมื่อหมอก ตกลงซื้อ ขาวกลับขึ้นราคาเป็น 70,000 บาท หมอกเลยไม่ซื้อ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากนั้น 1 เดือน ดําซึ่งเป็น บุตรชายของขาวได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวไปเสนอขายให้หมอกใหม่ในราคา 50,000 บาท เหมือนเดิม และหมอก ตกลงซื้อไว้นั้น กรณีนี้ย่อมถือได้ว่าขาวและดําลูกชายได้ทราบอยู่แล้วว่าใครเป็นผู้จะซื้อ และเมื่อมีการทําสัญญา ซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวขึ้นระหว่างดํากับหมอก ย่อมถือว่าทั้งขาวและดําได้ถือเอาประโยชน์จากการที่เมฆ เป็นผู้ชี้ช่องคือเป็นผู้นําเสนอขายที่ดินให้แก่หมอกมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น เมฆย่อมมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า ตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ประกอบคําพิพากษาฎีกาที่ 2610/2521

ส่วนอีกกรณีหนึ่ง ถ้าขาวกับหมอกเข้าทําสัญญาซื้อขายที่ดินกันแล้ว ย่อมถือได้ว่าเมฆได้ ทําหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาภายหลังการทําสัญญาซื้อขายได้เลิกกันเพราะฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ตาม เมฆผู้ชี้ช่องก็ยังมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ประกอบ คําพิพากษาฎีกาที่ 517/2494

สรุป

ทั้งสองกรณี เมฆมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

LAW2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หนึ่งมอบสองให้มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ต่อมามี ค. มาขอเช่าซื้อรถยนต์โดยสองลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อไว้ อีกทั้ง ค. ได้วางเงินดาวน์ไว้ 200,000 บาท สองรับไว้ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) สองมีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่ เพราะเหตุใด และสัญญาที่สองทําไปมีผลเป็นเช่นไร

(2) เงินดาวน์ที่สองรับไว้ 200,000 บาท สองต้องโอนคืนตัวการหรือไม่ เพราะเหตุใด (3) และถ้าสองไม่คืน หนึ่งจะฟ้องให้สองคืนได้หรือไม่ และสองต่อสู้ว่า หนึ่งไม่มีอํานาจฟ้องเพราะหนึ่งทั้งสองเป็นตัวแทนมิได้ทําเป็นหนังสือ ข้อต่อสู้ของสองฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทําให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”มาตรา 798 วรรคหนึ่ง “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้ง ตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การทําสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทําเป็นหนังสือ มิฉะนั้น จะเป็นโมฆะ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้นการตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญาเช่าซื้อ จึงต้องทําเป็นหนังสือด้วย (มาตรา 798 วรรคหนึ่ง) เมื่อการตั้งตัวแทนของหนึ่งที่ให้สองเป็นตัวแทนไปทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทําเป็น หนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ดังนั้น สัญญาที่หนึ่งตั้งสองให้เป็นตัวแทนจึงตกเป็น โมฆะตามมาตรา 152 สองจึงไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ

เมื่อสองไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ การที่สองทําสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับ ค. จึง เป็นการทําสัญญาให้เช่าซื้อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 572 วรรคสอง ประกอบมาตรา 798 วรรคหนึ่ง และมีผลทําให้สัญญาเช่าซื้อที่สองทํากับ ค. เป็นโมฆะ ตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดที่มิได้ทําให้ถูกต้อง ตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ

(2) เงินดาวน์ที่สองรับไว้จาก ค. ผู้เช่าซื้อจํานวน 200,000 บาท นั้น สองจะต้องคืนให้แก่ หนึ่งตัวการตามมาตรา 810 ที่มีหลักว่า เงิน ทรัพย์สิน และสิทธิใด ๆ ที่ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน จะต้องโอนคืนตัวการจนสิ้น แม้การเป็นตัวแทนของสองจะได้มาโดยมิชอบก็ตาม

(3) ถ้าสองตัวแทนไม่โอนเงินดาวน์คืนให้หนึ่งตัวการ หนึ่งย่อมสามารถฟ้องสองให้โอนคืน เงินดาวน์นั้นได้ โดยสองจะต่อสู้ว่าหนึ่งไม่มีอํานาจฟ้อง เพราะหนึ่งทั้งสองเป็นตัวแทนโดยมิได้ทําเป็นหนังสือ ตามมาตรา 798 วรรคหนึ่ง ไม่ได้ เพราะกรณีนี้เป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทนซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 798 ดังนั้น ข้อต่อสู้ของสองดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

(1) สองไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อที่สองทําไปมีผลเป็นโมฆะ(2) เงินดาวน์ที่สองรับไว้ 200,000 บาท สองต้องโอนให้หนึ่งตัวการ

(3) ถ้าสองไม่คืน หนึ่งสามารถฟ้องให้สองคืนได้ ข้อต่อสู้ของสองที่ว่าหนึ่งไม่มีอํานาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเปิดร้ายขายหนังสือทุกชนิดอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง นายสองเป็นเจ้าของสํานักพิมพ์หนังสือหลายประเภทแต่ไม่มีร้านขายของตนเอง จึงได้ตกลงให้นายหนึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขายหนังสือ ของตนโดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะจ่ายค่าบําเหน็จร้อยละ 25 ของหนังสือที่ขายได้ นายหนึ่งได้ขาย หนังสือของนายสองให้แก่นายสามซึ่งเป็นลูกค้าประจําโดยการขายเชื่อกันมาตลอด แต่ไม่เคยมี ปัญหาใด ๆ ในนามของตนเองเป็นเงินจํานวน 100,000 บาท ปรากฏว่าเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายสามมีปัญหาขัดข้องทางการเงินไม่สามารถนําเงินมาชําระหนี้ได้ นายสองจึงทวงให้นายหนึ่ง ชําระเงินค่าขายหนังสือแทนจํานวน 75,000 บาท ส่วนอีก 25,000 บาท เป็นค่าบําเหน็จให้แก่นายหนึ่ง แต่นายหนึ่งไม่ยอมชําระโดยอ้างว่านายสามยังไม่นําเงินมาชําระให้แก่ตนจึงไม่ต้องรับผิดในเงิน จํานวนดังกล่าว

ดังนี้ ข้ออ้างของนายหนึ่งฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด อีกกรณีหนึ่งจากอุทาหรณ์ข้างต้น ถ้านายหนึ่งสัญญากับนายสองว่าถ้าตนขายเชื่อแล้ว ผู้ซื้อเชื่อไม่ ชําระหนี้ นายหนึ่งจะรับผิดชดใช้เงินให้แก่นายสองเอง ดังนี้นายหนึ่งชอบที่จะได้รับสิทธิพิเศษอย่างไร หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 838 “ถ้าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ชําระหนี้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนค้าต่างหาต้องรับผิดต่อ ตัวการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ เว้นแต่จะได้มีข้อกําหนดในสัญญา หรือมีปริยายแต่ทางการที่ตัวการกับตัวแทน ประพฤติต่อกัน หรือมีธรรมเนียมในท้องถิ่นว่าจะต้องรับผิดถึงเพียงนั้น

อนึ่ง ตัวแทนค้าต่างคนใดเข้ารับประกันการปฏิบัติตามสัญญาโดยนัยดังกล่าวมาในวรรคก่อน นั้นไซร้ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นชื่อว่าเป็นตัวแทนฐานประกัน ชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขายหนังสือของนายสองให้แก่นายสาม โดยการขายเชื่อในนามของตนเองเป็นเงินจํานวน 100,000 บาท เมื่อหนี้ถึงกําหนดนายสามไม่นําเงินมาชําระ นายสองจึงมาทวงให้นายหนึ่งชําระค่าหนังสือแทนจํานวน 75,000 บาท แต่นายหนึ่งไม่ยอมชําระโดยอ้างว่านายสาม

ยังไม่นําเงินมาชําระให้แก่ตนจึงไม่ต้องรับผิดในเงินจํานวนดังกล่าวนั้น ข้ออ้างของนายหนึ่งฟังขึ้น ทั้งนี้เพราะการที่นายหนึ่งให้นายสามซื้อเชื่อไปก็เนื่องจากนายสามเป็นลูกค้าประจําโดยการขายเชื่อกันมาตลอดและไม่เคยมี ปัญหาใด ๆ แต่ครั้งนี้เกิดจากมีปัญหาขัดข้องเรื่องเงินจึงไม่สามารถนําเงินมาชําระหนี้ได้ มิได้เกิดจากความ ประมาทเลินเล่อของนายหนึ่ง การที่นายสามซึ่งเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ซื้อเชื่อแล้วไม่ชําระหนี้ให้แก่นายหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างนั้น นายหนึ่งหาต้องรับผิดต่อนายสองตัวการเพื่อชําระหนี้นั้นเองไม่ตามมาตรา 838 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายหนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดชําระหนี้แทนนายสามให้แก่นายสองตัวการ

ส่วนอีกกรณีหนึ่งการที่นายหนึ่งตัวแทนค้าต่างได้สัญญากับนายสองว่า ถ้าตนขายเชื่อแล้ว ผู้ซื้อเชื่อไม่ชําระหนี้ นายหนึ่งจะรับผิดชดใช้เงินให้แก่นายสองเองนั้น การทําสัญญาดังกล่าวเช่นนี้ ถือว่านายหนึ่ง ตัวแทนค้าต่างได้ชื่อว่า “ตัวแทนฐานประกัน” คือตัวแทนที่ให้ความมั่นใจแก่ตัวการว่า ถ้าบุคคลภายนอก ไม่ชําระหนี้ตัวแทนค้าต่างจะชําระหนี้เอง การเป็นตัวแทนฐานประกันนี้ นอกจากจะได้รับบําเหน็จแล้ว ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นอีก คือชอบที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษตามมาตรา 838 วรรคสอง ดังนั้นในกรณีนี้ นายหนึ่งจึงมีสิทธิที่จะได้รับบําเหน็จพิเศษนอกเหนือจากบําเหน็จธรรมดา

สรุป

กรณีแรกข้ออ้างของนายหนึ่งที่ว่า นายสามยังไม่นําเงินมาชําระให้แก่ตน จึงไม่ต้องรับผิด ในเงินจํานวนดังกล่าวนั้น ฟังขึ้น

ส่วนอีกกรณีหนึ่ง นายหนึ่งชอบที่จะได้รับสิทธิพิเศษคือจะได้รับบําเหน็จพิเศษ นอกเหนือจากบําเหน็จธรรมดา

 

ข้อ 3. หนึ่งต้องการขายที่ดินของตน ที่ดินอยู่ในย่านธุรกิจจํานวนเนื้อที่ 10 ไร่ ในราคาไร่ละยี่สิบห้าล้านบาท สองทราบว่าหนึ่งต้องการขายที่ดิน สองนําสามนักธุรกิจมาทําสัญญาจะซื้อขายกับหนึ่ง เมื่อหนึ่งไม่จ่าย บําเหน็จค่านายหน้า สองนําคดีขึ้นสู่ศาลฟ้องบังคับเรียกค่านายหน้าจากหนึ่ง

ถ้าท่านเป็นศาลจะ วินิจฉัยคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้น ได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคหนึ่ง “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้ มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกัน หรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับ บําเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญา ต่อกันโดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างหนึ่งกับสามจะได้เกิดขึ้นจากการชี้ช่อง และจัดการของสองก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนึ่งไม่เคยตกลงให้สองเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตาม มาตรา 845 วรรคหนึ่ง อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะการตกลง ตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้หนึ่งยังไม่ได้มอบหมายให้สองเป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้นสองจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า จากหนึ่ง และถ้าสองฟ้องให้ศาลสั่งให้หนึ่งจ่ายค่านายหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่าหนึ่ง ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่สองแต่อย่างใด (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 705/2505)

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่าหนึ่งไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่สอง

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. เป็นผู้จัดการร้านค้า ตัวการห้ามขายเชื่อ หรือขายเชื่อได้แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทและต้องมีผู้ค้ำประกัน ผู้จัดการขายเชื่อ ให้ ข. ไปหนึ่งหมื่นบาท โดยมี ค. ค้ำประกัน หาก ข. ไม่ชําระหนี้ ค่าซื้อเชื่อหนึ่งหมื่นบาทซึ่งจะต้องบังคับโดยการฟ้องคดี อยากทราบว่าในกรณีนี้ใครมีอํานาจฟ้อง ข. และหรือ ค. ได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้ แต่เพียงในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 801 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจทั่วไป ท่านว่าจะทํากิจใด ๆ ในทางจัดการแทนตัวการ ก็ย่อมทําได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่ คือ

(5) ยื่นฟ้องต่อศาล”

มาตรา 802 “ในเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้องเสียหาย ท่านให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าตัวแทนจะทําการใด ๆ เช่นอย่างวิญญชนจะพึงกระทํา ก็ย่อมมีอํานาจจะทําได้ทั้งสิ้น”

มาตรา 807 “ตัวแทนต้องทําการตามคําสั่งแสดงออกชัดหรือโดยปริยายของตัวการ เมื่อไม่มี คําสั่งเช่นนั้น ก็ต้องดําเนินตามทางที่เคยทํากันมาในกิจการค้าขายอันเขาให้ตนทําอยู่นั้น”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตัวการให้ ก. เป็นผู้จัดการร้านค้า และมีคําสั่งห้าม ก. ขายเชื่อ หรือ ขายเชื่อได้แต่ไม่เกิน 10,000 บาท และต้องมีผู้ค้ำประกันนั้น ย่อมถือว่า ก. เป็นตัวแทนได้รับมอบอํานาจทั่วไป และ ก. ต้องทําการตามคําสั่งดังกล่าวของตัวการด้วยตามมาตรา 801 และมาตรา 807

การที่ ก. ตัวแทนได้ขายเชื่อให้ ข. ไป 10,000 บาท โดยมี ค. เป็นผู้ค้ำประกันนั้น เป็นกรณีที่ ก. ตัวแทนได้จัดทํากิจการไปภายในขอบอํานาจและหน้าที่ของตัวแทนตามมาตรา 801 และมาตรา 807 จึงมีผล ตามมาตรา 820 กล่าวคือ ผู้เป็นตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการที่ ก. ตัวแทนได้ทําไปนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อ ข. ไม่ชําระหนี้ค่าซื้อเชื่อจํานวน 10,000 บาท และจะต้องบังคับโดยการฟ้องคดี บุคคลที่มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. ผู้ค้ำประกัน จึงต้องเป็นตัวการ

สําหรับ ก. ตัวแทนนั้น โดยหลักแล้วจะไม่มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. เพราะต้องห้ามตามมาตรา 801 วรรคสอง (5) แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า ก. ตัวแทนได้รับมอบอํานาจจากตัวการให้เป็นผู้ฟ้องคดีแทนตัวการตาม มาตรา 800 ก. ตัวแทนก็ย่อมมีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. ได้ หรือในกรณีเหตุฉุกเฉิน เพื่อจะป้องกันมิให้ตัวการต้อง เสียหาย เช่นคดีดังกล่าวกําลังจะขาดอายุความ เนื่องจากตัวการยังไม่ได้ดําเนินการฟ้องคดี ดังนี้ ก. ตัวแทนจะ ฟ้องคดีนี้ด้วยตนเองแทนตัวการก็ได้ตามมาตรา 802

สรุป

ผู้มีอํานาจฟ้อง ข. และ ค. คือตัวการ ส่วน ก. ตัวแทนอาจมีอํานาจฟ้องคดีแทนตัวการ ได้ ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 800 หรือ 802 ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นางเพ็ญเปิดร้านขายเพชรอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง นางศรีได้นําแหวนเพชรของตนหนึ่งวงไปฝากนางเพ็ญขายในราคา 80,000 บาท โดยให้นางเพ็ญเป็นตัวแทนค้าต่างและได้ตกลงกันว่า ถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางเพ็ญจํานวน 3,000 บาท ปรากฏว่านางเพ็ญได้ขาย แหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางต้อยไปในราคา 90,000 บาท นอกจากนี้เงินที่นางเพ็ญขายแหวนเพชร ได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางศรีโดยนําเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่นางเพ็ญขายแหวนเพชรได้สูงกว่าที่นางศรีกําหนด นางเพ็ญจะถือเอา เงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางศรี นางเพ็ญจะต้อง รับผิดต่อนางศรีหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของ ตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางศรีได้นําแหวนเพชรของตนหนึ่งวงไปฝากนางเพ็ญขายในราคา 80,000 บาท โดยให้นางเพ็ญเป็นตัวแทนค้าต่าง และได้ตกลงกันว่าถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางเพ็ญ จํานวน 3,000 บาท แต่นางเพ็ญได้ขายแหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางต้อยไปในราคา 90,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขาย ที่สูงกว่าที่นางศรีกําหนดไว้ 10,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการ คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนี้ให้แก่นางศรีตามมาตรา 840 ประกอบมาตรา 833

ส่วนเงินจํานวน 90,000 บาท ที่ขายแหวนเพชรได้ นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างซึ่งได้รับไว้เนื่องด้วย การเป็นตัวแทนต้องส่งมอบให้แก่นางศรีตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางเพ็ญตัวแทนค้าต่างได้นําเงินจํานวนดังกล่าวซึ่งควรจะต้องส่งให้แก่นางศรีตัวการไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ของตน จึงต้องรับผิดโดยการเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับตั้งแต่วันที่เอาไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นางเพ็ญจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางศรี นางเพ็ญจะต้องรับผิดโดยการเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับตั้งแต่วันที่เอาไปใช้

 

ข้อ 3. นายขาวมอบให้นายแดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายขาวเองโดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าร้อยละห้าของราคาที่ดินดังกล่าว นายแดงต่อรองนายขาวว่า แต่ถ้าฉันขายที่ดินได้เกินกว่าราคาที่นายขาว กําหนดไว้นายแดงขอราคาส่วนเกินนั้นด้วย นายขาวตกลงให้ตามที่นายแดงขอ และตกลงกันว่า จะจ่ายค่านายหน้าและส่วนเกินกันในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน นายแดงนําเสนอขาย ที่ดินให้นายเขียว นายเขียวตกลงซื้อและนัดทําสัญญาจะซื้อจะขายกัน ภายหลังทําสัญญา การซื้อขาย เลิกกัน นายแดงเรียกค่านายหน้าและค่าส่วนเกินกับนายขาวตามที่ตกลงกันไว้ นายขาวปฏิเสธไม่จ่าย โดยอ้างว่าเมื่อการซื้อขายไม่เกิดขึ้นย่อมถือได้ว่าเงื่อนไขการเป็นนายหน้าไม่เป็นผลสําเร็จ นายแดง ไม่มีสิทธิเรียกค่านายหน้าและค่าส่วนเกิน

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแดงมีสิทธิเรียกค่านายหน้า และค่าส่วนเกินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 845 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น คือ สัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง หรือจัดการจนเขาได้ทําสัญญากับบุคคลภายนอก และนายหน้า รับกระทําการตามนั้น และเมื่อนายหน้า ได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทําสัญญากันแล้ว นายหน้าย่อมจะได้รับ ค่าบําเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวมอบให้นายแดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของนายขาวเอง โดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้าร้อยละ 5 ของราคาที่ดินดังกล่าวนั้น เมื่อปรากฏว่านายแดงได้นําที่ดินเสนอขายให้ นายเขียว และนายเขียวได้ตกลงซื้อและได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายกันแล้ว ย่อมถือได้ว่านายแดงได้ทําหน้าที่ของตน ในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว แม้ต่อมาเภายหลังการทําสัญญา การซื้อขายได้เลิกกันเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ก็ตาม นายแดงก็ยังมีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามมาตรา 845 วรรคหนึ่ง ประกอบคําพิพากษาฎีกา ที่ 517/2494

ส่วนเรื่องเงินส่วนเกินที่นายขาวตกลงจะให้แก่นายแดงนั้น เมื่อการซื้อขายเลิกกัน กล่าวคือ ไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น นายแดงย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินค่าส่วนเกินในส่วนนี้ ทั้งนี้เพราะเงินค่าส่วนเกินกับ ค่านายหน้าที่นายขาวตกลงจะให้แก่นายแดงนั้น จะต้องพิจารณาแยกกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 257/2522)

สรุป

นายแดงมีสิทธิเรียกค่านายหน้าจากนายขาวได้ แต่จะเรียกค่าส่วนเกินไม่ได้

 

LAW2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สีมอบแสงให้ไปกู้เงินโดยมิได้ทําเป็นหนังสือมอบหมาย แสงไปกู้เงินดําโดยทําหลักฐานการกู้เป็นหนังสือและเขียนในสัญญากู้ว่า กู้แทนสี เมื่อได้เงินมาแสงนําไปให้สี ต่อมาสีผิดนัด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ดําจะฟ้องใครให้รับผิดได้บ้าง ระหว่างสีกับแสง ประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 จากปัญหาข้างต้น ดําเจ้าหนี้จะฟ้องให้สีรับผิดโดยตรงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั่นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตาม กฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า สีมอบให้แสงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้ แสงย่อมไม่มีอํานาจลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะสีตั้งแสงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 798 วรรคสอง

ดังนั้น การที่แสงลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินกับดํา ก็เท่ากับว่าแสงลงลายมือชื่อโดยปราศจาก อํานาจตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินนั้นจึงไม่ผูกพันสีตัวการ แสงตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อดําโดยลําพัง ตามมาตรา 823 วรรคสอง ดําจึงสามารถฟ้องแสงให้รับผิดในฐานะคู่สัญญาได้โดยตรงตามมาตรา 653 แต่ดําจะ ฟ้องสีให้รับผิดในฐานะตัวการตามมาตรา 820 หาได้ไม่

ประเด็นที่ 2 การที่แสงไปกู้เงินจากดํา แล้วนําเงินมาให้สีแล้วนั้น เมื่อสีรับเงินไว้ย่อม เท่ากับว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่แสง สัญญากู้ยืมเงินจึงผูกพันสีตัวการตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง อีกทั้งกรณี ดังกล่าวถือได้ว่าสีเชิดให้แสงออกแสดงเป็นตัวแทนของสีตามมาตรา 821 สีจึงต้องรับผิดต่อดําบุคคลภายนอก เสมือนว่าแสงเป็นตัวแทนของตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อสีผิดนัดชําระหนี้ ดําจึงสามารถ พ้องให้สีรับผิดได้โดยตรง

สรุป

ประเด็นที่ 1 ดําจะฟ้องแสงให้รับผิดได้ แต่จะฟ้องสีให้รับผิดไม่ได้

ประเด็นที่ 2 ดําจะฟ้องให้สีรับผิดโดยตรงได้

 

ข้อ 2. ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อเรือยอร์ชแต่ให้เงินสดไปไม่ครบขาดไป 5 แสนบาท ก. บอกให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อน ข. ตอบตกลงเมื่อได้เรือยอร์ชมาแล้ว ข. เรียกให้ ก. มารับและให้นําเงิน 5 แสนมาใช้คืนด้วย ก. มาถึงจะเอาแต่เรือไปก่อน แต่ยังไม่ชําระหนี้ 5 แสนให้ ข. ดังนี้ ข. สามารถจะยึดหน่วงเรือยอร์ชนั้น ไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และจะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ประเด็นที่ 1

ประเด็นที่ 2 ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนคืนให้ ก. ทันที ข. ตัวแทนจะมีทางแก้อย่างไรจึงจะได้รับ ชําระหนี้ ประเด็นที่ 3 จากโจทย์เดิม ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ทันที แต่ ก. ไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ข. เลยออกอุบายว่าขอยืมรถเบนซ์สปอร์ตมาขับ 3 วัน แล้วจะคืนให้ ด้วยความเกรงใจ ข. เพราะยังติดหนี้อยู่จึงให้ ข. ยืมรถสปอร์ตไปขับ พอครบ 3 วัน ข. ไม่คืนรถสปอร์ตโดยอ้างว่าขอยึดหน่วง รถสปอร์ตไว้ก่อน เมื่อไหร่ ก. นำเงิน 5 แสนบาท มาคืน ข. จะคืนรถสปอร์ตให้ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคหนึ่ง “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคหนึ่ง “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออก เงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียก เอาเงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 819 “ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความ ครอบครองของตน เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชําระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่ ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อเรือยอร์ชแต่ให้เงินสดไปไม่ครบขาดอยู่ 5 แสนบาท น และให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อนนั้น เมื่อปรากฏว่า ก. มารับเรือยอร์ชจาก ข. แต่ยังไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ให้ ข. ดังนี้ ข. ตัวแทน ย่อมสามารถอ้างสิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 819 ประกอบมาตรา 816 ได้ เพราะทรัพย์นั้นเป็น ทรัพย์ที่ ข. ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน อีกทั้งยังอยู่ในครอบครองของ ข. ตัวแทน ข. จึงมีสิทธิยึด ทรัพย์นั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับชําระหนี้ และไม่ถือเป็นการขัดมาตรา 810 เพราะ ก. ตัวการมีหนี้ที่ต้องชําระ

ประเด็นที่ 2 ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนคืนให้ ก. ทันที แต่ ก. ไม่ชําระหนี้ 5 แสนบาท ทางเลือกของ ข. มีทางเดียวคือฟ้องเรียกให้ ก. ตัวการชําระหนี้ 5 แสนบาท เท่านั้นตามมาตรา 816 วรรคหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 ข. ไม่มีอํานาจอ้างสิทธิยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้ได้ เพราะรถสปอร์ตกับเรือยอร์ช เป็นทรัพย์คนละอย่างกัน เรือยอร์ชเขานั้นเป็นทรัพย์ที่ ข. ตัวแทนขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนตาม มาตรา 810 จึงจะอ้างสิทธิยึดหน่วงตามมาตรา 819 ประกอบมาตรา 816 ได้ และทรัพย์ต้องอยู่ในความ ครอบครองของ ข. แต่ ข. ก็โอนเรือยอร์ชไปแล้ว ดังนั้น ข. ตัวแทนจะอ้างสิทธิยึดหน่วงรถสปอร์ตหาได้ไม่

สรุป

ประเด็นที่ 1 ข. สามารถยึดหน่วงเรือยอร์ชนั้นไว้ก่อนได้ และไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย

ประเด็นที่ 2 ทางเลือกของ ข. มีทางเดียวคือ ต้องฟ้องเรียกให้ ก. ชําระหนี้ 5 แสนบาท เท่านั้น

ประเด็นที่ 3 ข. ไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้

 

ข้อ 3. เขียวมอบเหลืองให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จ เหลืองขายที่ดินได้แล้ว เขียวให้ค่าบําเหน็จร้อยละสองของยอดขาย เหลืองบอกเขียวให้น้อยไปขอมากกว่านี้ แต่เขียวปฏิเสธ เหลืองจึงนําคดี ขึ้นสู่ศาล ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะพิจารณาให้ค่าบําเหน็จกับเหลืองอย่างไร นําหลักใดมาเป็นเกณฑ์

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้ เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็น เงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า

ค่าบําเหน็จนั้นถ้ามิได้กําหนดจํานวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ในกรณีที่ได้มีการตกลงกันว่าจะให้บําเหน็จนายหน้า แต่มิได้กําหนดจํานวน ค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้ตามมาตรา 846 วรรคสอง ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม ที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา ดังนั้นค่าบําเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันจะต้องกําหนดกันไว้โดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจํานวนตามธรรมเนียม ตามบทบัญญัติมาตรา 846 วรรคสอง

ทั้งนี้มีคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 วางหลักของจํานวนตามธรรมเนียมตามนัยมาตรา 846 วรรคสองว่า เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกําหนดค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน จึงต้อง ถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่าง ๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคิดกันในอัตราร้อยละ 5 ของราคาที่ซื้อ ขายกันแท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เขียวมอบเหลืองให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บําเหน็จแต่ไม่ ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกําหนดจํานวนค่าบําเหน็จนายหน้ากันไว้ว่าจะจ่ายเท่าใดนั้นจึงต้องถือว่าตกลงกันเป็น 1 จํานวนตามธรรมเนียมตามมาตรา 845 วรรคสอง ประกอบแนวคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 3581/2526 คือ ต้อง จ่ายค่าบําเหน็จนายหน้าให้แก่เหลืองร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ซื้อขายกันจริง

ดังนั้น เมื่อไม่มีการกําหนดจํานวนบําเหน็จกันไว้โดยชัดแจ้ง การที่เหลืองต้องการบําเหน็จเพิ่ม และนําคดีขึ้นสู่ศาล ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งให้เขียวจ่ายบําเหน็จให้เหลืองร้อยละ 5 ของราคาที่ดินที่ซื้อขายกัน จริงตามหลักกฎหมายและแนวคําพิพากษาฎีกาดังกล่าวข้างต้น

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาให้ค่าบําเหน็จกับเหลืองร้อยละ 5 ของราคา ที่ดินที่ซื้อขายกันจริง ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดํามอบอํานาจให้แดงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ แดงไปกู้เงินขาว 5 แสนบาท โดยทําหลักฐานการกู้เป็นหนังสือและเขียนใบสัญญาว่ากู้แทนดํา ต่อมาดําผิดนัดชําระหนี้ ขาวจึง ฟ้องดําให้ชําระหนี้ 5 แสนนั้น ศาลยกคําฟ้องของขาวโดยให้เหตุผลในการยกฟ้องว่า ดํามิใช่เป็น คู่สัญญาของขาว ขาวจึงไม่มีอํานาจฟ้อง

ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด ประเด็นหนึ่ง อีกประเด็นหนึ่งในการกู้เงินในประเด็นแรก ถ้าแดงกู้เงิน 5 แสนแล้วนํามาให้ดําทั้ง 5 แสน

ดังนี้ขาวจะฟ้องให้ดําต้องรับผิดในหลักกฎหมายใดได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นแรก การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตาม กฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดํามอบอํานาจให้แดงไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้แดงย่อม ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะดําตั้งแดงเป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคสอง

ดังนั้นการที่แดงลงชื่อในสัญญากู้เงินกับขาวก็เท่ากับว่าแดงลงชื่อโดยปราศจากอํานาจตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง สัญญากู้ยืมเงินนั้นจึงไม่ผูกพันดําตัวการ แดงตัวแทนจึงต้องรับผิดต่อขาวโดยลําพังตามมาตรา 823 วรรคสอง และเมื่อขาวฟ้องดําให้ชําระหนี้ ศาลได้ยกคําฟ้องของขาวโดยให้เหตุผลในการยกฟ้องว่า ดํามิใช่เป็นคู่สัญญากับขาว ขาวจึงไม่มีอํานาจฟ้องนั้น คําสั่งของศาลจึงชอบด้วยกฎหมาย เคานาจในการอบรม

ประเด็นที่สอง การที่แดงไปกู้เงินจากขาว 5 แสนบาทแล้วนํามาให้ดําทั้ง 5 แสนบาทนั้น เมื่อดํารับเงินนั้นไว้ก็เท่ากับว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่แดง ลัญญากู้ยืมเงินจึงผูกพันดําตัวการตามมาตรา 823 วรรคหนึ่ง อีกทั้งกรณีดังกล่าวถือได้ว่าดําได้เชิดให้แดงออกแสดงเป็นตัวแทนของดําตามมาตรา 821 ดําจึงต้องรับผิด ต่อขาวบุคคลภายนอกเสมือนว่าแดงเป็นตัวแทนของตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น เมื่อดํา ผิดนัดชําระหนี้ ขาวจึงสามารถฟ้องให้ดํารับผิดได้

สรุป

ประเด็นแรก คําสั่งยกฟ้องของศาลชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นที่สอง ขาวฟ้องให้ดํารับผิดชําระหนี้ได้

 

ข้อ 2. นางสุดาเปิดร้านขายเพชร นางสร้อยฟ้ามีแหวนเพชรอยู่หนึ่งวงต้องการขายจึงได้นําไปฝากนางสุดาให้เป็นตัวแทนค้าต่างขายในราคา 50,000 บาท โดยตกลงว่าถ้าขายแหวนเพชรได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่ นางสุดา 2,500 บาท ปรากฏว่านางสุดาได้ขายแหวนเพชรวงนั้นให้แก่นางมุกดาในราคา 55,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายแหวนเพชรได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นางสร้อยฟ้าโดยนําไปใช้สอยเพื่อ ประโยชน์ส่วนตัวของตนเสีย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายแหวนเพชรได้สูงกว่าที่นางสร้อยฟ้า กําหนด นางสุดาจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่ นางสร้อยฟ้า นางสุดาจะต้องรับผิดต่อนางสร้อยฟ้าอย่างไร หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินแถึงทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทน ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิน”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านราตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสร้อยฟ้าได้นําแหวนเพชรไปฝากนางสุดาซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างขาย ในราคา 50,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายแหวนเพชรดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางสุดาจํานวน 2,500 บาท แต่นางสุดาได้ขายให้แก่นางมุกดาในราคา 55,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นางสร้อยฟ้ากําหนดไว้ 5,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นางสุดาตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการตาม มาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นางสร้อยฟ้า

ส่วนเงินจํานวน 55,000 บาท ที่ขายแหวนเพชรได้ นางสุดาตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่ นางสร้อยฟ้าตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสุดาไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางสร้อยฟ้า แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ย ในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นางสุดาจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่นางสร้อยฟ้า นางสุดาจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. ประสงค์มอบให้ประสิทธิ์นําที่ดินมือเปล่าของตนเนื้อที่หกสิบไร่ไปขาย โดยตั้งราคาไว้ที่ไร่ละหนึ่งหมื่นห้าพันบาท หากประสิทธิ์ขายได้เป็นราคาที่ตั้งไว้ดังกล่าว ส่วนเกินจะยกให้ประสิทธิ์ เวลาผ่านไปร่วมสองปีเศษเจอกันหลายครั้ง ประสิทธิ์บอกว่าที่ดินยังขายไม่ได้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ขอให้รอหน่อย ประสงค์อยากดูที่ดินที่ซื้อไว้ เมื่อขับรถไปถึงปรากฏว่ามีบ้านปลูกสร้างในที่ดิน และมีการทําประโยชน์ในที่ดินทั้งแปลง สุรชัยบอกว่าตนซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากประสิทธิ์ในราคา หนึ่งล้านสองแสนบาท ซื้อมาปีกว่าแล้ว บ้านหลังนี้ก็เพิ่งสร้างเสร็จ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวท่านคิดว่าประสงค์อาจจะบังคับประสิทธิ์ได้ในทางใดบ้าง ยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

มาตรา 845 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากันสําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อน บังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคหนึ่ง “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

มาตรา 849 “การรับเงินหรือรับชําระหนี้อันจะพึงชําระตามสัญญานั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่านายหน้าย่อมไม่มีอํานาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ประสงค์มอบให้ประสิทธิ์ขายที่ดินนั้น ถือว่าโดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จ (มาตรา 846 วรรคหนึ่ง) โดยมีราคาส่วนที่ขายได้เกินเป็น ค่าบําเหน็จนายหน้า (มาตรา 845 วรรคหนึ่ง)

เมื่อประสิทธิ์ได้ขายที่ดินให้แก่สุรชัยในราคา 1,200,000 บาท ซึ่งตามข้อตกลงจะเป็นของ ประสงค์จํานวน 900,000 บาท (60 x 15,000) ที่ประสิทธิ์จะต้องส่งมอบให้แก่ประสงค์ตามมาตรา 810 วรรคหนึ่ง โดยประสิทธิ์ไม่มีอํานาจรับแทนประสงค์ (มาตรา 849) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อประสิทธิ์ได้รับไว้ย่อมถือว่าได้รับไว้แทน ประสงค์ ซึ่งประสิทธิ์จะต้องส่งมอบให้แก่ประสงค์ เมื่อประสิทธิ์ไม่ยอมส่งมอบแต่กลับนําไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตน ดังนี้ประสิทธิ์จะต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้ตามมาตรา 811 และถ้ามีความเสียหาย เกิดขึ้นประสิทธิ์ก็จะต้องรับผิดชอบต่อประสงค์ เพราะถือว่าประสิทธิ์ไม่ทําการเป็นตัวแทนตามมาตรา 812

สรุป

ประสงค์สามารถเรียกให้ประสิทธิ์ส่งมอบเงินจากการขายที่ดินจํานวน 900,000 บาท ให้แก่ตนได้ และยังสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยในเงินนั้นได้ด้วย และในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น ประสงค์สามารถ บังคับให้ประสิทธิ์รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอก ตัวการเซ็นชื่อในใบมอบอํานาจให้โทตัวแทนไปทําการอย่างหนึ่ง คือให้นําที่ดินไปจํานองโดยให้โทไปกรอกข้อความเอง โทกรอกข้อความว่าให้นําที่ดินไปขายฝาก ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของเอกตัวการ และโทได้นําที่ดินไปขายฝากกับดํา ดํารับซื้อฝากไว้โดยสุจริตโดยคิดว่าโทมีอํานาจทําได้ ดังนี้จากพฤติการณ์ของตัวการดังกล่าว เอกตัวการจะต้องผูกพันรับผิดในผลของการกระทําของโท ตัวแทนหรือไม่ มีระยะเวลา เอกตัวการจะปฏิเสธหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาที่โททํากับดําได้หรือไม่ ตามหลักกฎหมายใด

และเอกตัวการฟ้องโทว่าปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม และศาลพิพากษาว่าโทผิดจริง ตามฟ้อง ดังนี้ เอกจะนําคําพิพากษานั้นมาอ้างทําให้ดําบุคคลภายนอกเสียสิทธิ์นั้นไปได้หรือไม่

เพราะเหตุใด ใช้หลักกฎหมายใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 822 “ถ้าตัวแทนทําการอันใดเกินอํานาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทําให้ บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอํานาจของตัวแทนไซร์ ท่านให้ใช้บทบัญญัติ มาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับ แล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

การที่เอกลงลายมือชื่อในใบมอบอํานาจให้โทตัวแทนไปจํานองที่ดิน โดยไม่กรอกข้อความ ลงในใบมอบอํานาจ เป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่อย่อมเสี่ยงภัยในการกระทําของตนเองอย่างร้ายแรง เมื่อโทนําใบมอบอํานาจไปกรอกข้อความเป็นให้ขายฝาก ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของเอก เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอกตามมาตรา 822 ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทน คือโททําการเกินอํานาจตัวแทน แต่ทางปฏิบัติของตัวการทําให้บุคคลภายนอกมีเหตุอันสมควรจะเชื่อว่า การนั้นอยู่ภายในขอบอํานาจของตัวแทน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดํารับซื้อฝากไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน ดังนั้น เอกตัวการจึงต้องรับผิดผูกพัน กับการกระทําของโทตัวแทนตามมาตรา 822 ประกอบมาตรา 821 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 671/2523)

เมื่อเอกตัวการจะต้องรับผิดผูกพันกับการกระทําของโทตัวแทนแล้ว ดังนั้นเอกจะปฏิเสธ ความรับผิดโดยอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้ และจะฟ้องเพิกถอน สัญญาที่โททํากับดําไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 580/2507)

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโทถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เอกก็จะนําคําพิพากษาดังกล่าวมาทําให้กระทบกระเทือนสิทธิของดําซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทําการโดย สุจริตไม่ได้ กล่าวคือ สิทธิของดําย่อมไม่เสียไปเพราะคําพิพากษาดังกล่าว ดังนั้นถ้าหากเอกต้องการได้ที่ดินคืน ก็ต้องชําระสินไถ่ตามกฎหมาย (คําพิพากษาฎีกาที่ 212/2517)

สรุป

เอกตัวการจะต้องผูกพันรับผิดในผลของการกระทําของโทตัวแทน

เอกตัวการจะปฏิเสธหรือฟ้องเพิกถอนสัญญาที่โททํากับดําไม่ได้

เอกตัวการจะนําคําพิพากษานั้นมาอ้างทําให้ดําบุคคลภายนอกเสียสิทธินั้นไปไม่ได้

 

ข้อ 2. นายทองได้นํารถยนต์ของตนซึ่งใช้มาแล้ว 6 ปี ไปฝากนายเงินซึ่งเป็นเจ้าของเต็นท์ขายรถยนต์มือสองอยู่ที่ถนนรัชดาภิเษกให้เป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองของตนหนึ่งคันในราคา 400,000 บาท นายทองได้ตกลงว่าถ้าขายรถยนต์ได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายเงินจํานวน 20,000 บาท และได้บอก กับนายเงินว่าถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วจะจ่ายเงิน คืนให้ในภายหลัง ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวแบตเตอรี่หมดอายุ รถยนต์สตาร์ทไม่ติด นายเงิน จึงได้ซื้อแบตเตอรี่ใหม่มาเปลี่ยนให้โดยออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนเป็นเงินจํานวน 2,000 บาท ต่อมานายเงินได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายเพชรจํานวน 400,000 บาท นายเงินจึงได้หักเงิน ค่าบําเหน็จจํานวน 20,000 บาท และเงินทดรองจ่ายจํานวน 2,000 บาท โดยไม่คิดดอกเบี้ยรวม เป็นเงิน 22,000 บาท และได้ส่งมอบเงินค่าขายรถยนต์ให้แก่นายทองไปจํานวน 378,000 บาท นายทองไม่ยอมรับเงินจํานวนดังกล่าว แต่จะขอรับเงินจํานวน 380,000 บาท โดยยอมให้หัก ค่าบําเหน็จ 20,000 บาท ส่วนค่าแบตเตอรี่นายทองอ้างว่าเป็นหน้าที่ของนายเงินตัวแทนค้าต่างต้อง รับผิดชอบออกเงินเองเพราะเป็นผู้ขายรถยนต์ในนามของนายเงินตัวแทนค้าต่าง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนายทองฟังขึ้นหรือไม่ และนายเงินมีสิทธิหักเงินทดรองจ่ายหรือไม่ จ่ายเท่าใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคแรก “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคแรก “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเงิน ทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอา เงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองได้นํารถยนต์ของตนไปฝากนายเงินซึ่งเป็นตัวแทนค้าต่าง ขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายเงินจํานวน 20,000 บาท และได้บอกกับนายเงินว่า ถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วจะจ่ายเงินคืนให้ในภายหลัง และเมื่อ ปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวแบตเตอรี่หมดอายุรถยนต์สตาร์ทไม่ติด นายเงินจึงได้ซื้อแบตเตอรี่ใหม่มาเปลี่ยนให้ โดยออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนเป็นเงินจํานวน 2,000 บาทนั้น เมื่อนายเงินขายรถยนต์ได้จึงได้หักเงิน 22,000 บาท

และได้ส่งมอบเงินที่เหลือจํานวน 378,000 บาท ให้แก่นายทอง ถือว่านายเงินตัวแทนได้ส่งมอบเงินที่ได้รับ มาจากการเป็นตัวแทนให้กับตัวการแล้วตามมาตรา 810 วรรคแรก

ส่วนกรณีที่นายทองไม่ยอมรับเงินจํานวน 378,000 บาท แต่จะขอรับเงินจํานวน 380,000 บาท โดยอ้างว่านายเงินเป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์ในนามของนายเงินเองตามมาตรา 833 นายเงินจึงต้องรับผิดชอบ ออกเงินเองนั้น ข้ออ้างของนายทองฟังไม่ขึ้น เพราะแม้นายเงินจะขายในนามของตนเอง แต่นายทองได้ตกลงกับ นายเงินว่าถ้ามีความจําเป็นเกี่ยวกับรถยนต์ให้นายเงินออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วนายทองจะจ่ายเงินคืนให้ใน ภายหลัง ดังนั้น เมื่อนายเงินได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนจํานวน 2,000 บาท นายเงินตัวแทนค้าต่างจึงมีสิทธิ เรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการได้ตามมาตรา 816 วรรคแรก ประกอบมาตรา 835

สรุป

ข้ออ้างของนายทองฟังไม่ขึ้น และนายเงินมีสิทธิหักเงินทดรองจ่ายได้จํานวน 2,000 บาท โดยจ่ายเงินที่เหลือให้แก่นายทองจํานวน 378,000 บาท

 

ข้อ 3. ที่ดินของ ก. มีที่ดินของ ข. ล้อมอยู่ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ก. เห็นว่า ค. ชอบพอกันอยู่กับ ข. จึงมอบให้ ค. ช่วยเจรจากับ ข. ขอทําทางผ่านที่ดินของ ข. ออกสู่ถนนสาธารณะ ถ้าสําเร็จจะให้ค่าเหนื่อย 100,000 บาท เมื่อเจรจากัน ข. บอกกับ ค. ว่า หาก ค. ไปพูดให้ ก. ขายที่ดินให้ตนก็จะ ตอบแทนให้ ค. 200,000 บาท จากการเจรจาของ ค. ก. ตกลงทําสัญญาจะขายที่ดินแปลงที่ถูกล้อม ให้ ข. ในราคา 25,000,000 บาท และ ก. ได้จัดการให้ผู้ที่อยู่อาศัยออกจากที่ดินของตนเพื่อให้ทัน กําหนดโอนตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อ ค. มาขอค่าบําเหน็จ 100,000 บาท ก. ไม่ยอมจ่ายโดยอ้างว่า ค. ทําการให้แก่บุคคลภายนอกที่จะให้ค่าบําเหน็จอันเป็นการฝ่าฝืนต่อการที่เข้ารับหน้าที่ ข้ออ้างของ ก. ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 800 “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะทําการแทนตัวการได้แต่เพียง ในสิ่งที่จําเป็น เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสําเร็จลุล่วงไป”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการ เว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 847 “ถ้านายหน้าทําการให้แก่บุคคลภายนอกด้วยก็ดี หรือได้รับคํามั่นแต่บุคคลภายนอก เช่นนั้นว่าจะให้ค่าบําเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระทําการโดยสุจริตก็ดี เป็นการฝ่าฝืนต่อการที่ตนเข้ารับ ทําหน้าที่ไซร้ ท่านว่านายหน้าหามีสิทธิจะได้รับค่าบําเหน็จหรือรับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ได้มอบให้ ค. ไปเจรจากับ ข. เพื่อ ก. จะขอทําทางผ่านที่ดินของ ข. และถ้า ค. เจรจาได้สําเร็จ ก. จะให้ค่าเหนื่อยแก่ ค. 100,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นการมอบอํานาจให้ ค. เป็นตัวแทน รับมอบอํานาจแต่เฉพาะการตามมาตรา 800 และมีลักษณะเป็นการมอบหมายให้ ค. เป็นนายหน้าตามมาตรา 845 ดังนั้น การที่ ค. ได้เสนอให้ ก. ขายที่ดินให้แก่ ช. ซึ่งถ้าทําได้สําเร็จ ค. จะได้บําเหน็จจาก ข. 200,000 บาทนั้น ถือว่า ค. ได้ไปทําการให้แก่ ข. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย อันเป็นการฝ่าฝืนต่อการทําหน้าที่นายหน้า ซึ่งโดยหลักแล้ว ค. ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้เสียไปตามมาตรา 847

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าต่อมาได้มีการทําสัญญาจะขายที่ดินระหว่าง ก. กับ ข. ตามที่ ค. เสนอ ดังนี้ ย่อมถือว่า ก. ตัวการยอมรับการกระทําของ ค. ซึ่งเท่ากับ ก. ตัวการได้ให้สัตยาบันแก่การกระทําของ ค. แล้วตามมาตรา 823 วรรคแรก ดังนั้น ก. จึงต้องจ่ายค่าบําเหน็จให้แก่ ค. การที่ ก. อ้างว่า ค. ทําการให้ ข. ซึ่งเป็น บุคคลภายนอกด้วยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าบําเหน็จหรือได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้น ข้ออ้างของ ก. จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของ ก. ฟังไม่ขึ้น

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!