LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 (ก) การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง

(ข) จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินจํานวน 500,000 บาท ระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก เพื่อเป็นการมัดจําในการสั่งซื้อสินค้า ทองไทย สลักหลังขายลดตั๋วแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับโอนและซื้อลดตั๋วแลกเงินนั้น ต่อมาพุธได้ ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชําระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าทองไทยจะต้องรับผิดต่อ พฤหัสผู้ทรงตามกฎหมายตัวเงินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) อธิบาย

การอาวัลตั๋วแลกเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตั๋วเงินนั้นเกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา และการอาวัลโดยผลของกฎหมาย

1 การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา ทําได้โดย

1.1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งการอาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคแรก วรรคสอง และ วรรคสี่)

1.2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความ ใด ๆ ไว้ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

2 การอาวัลโดยผลของกฎหมาย เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินชนิด สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 921 ได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายและ ต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคแรก “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายืน โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้ เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคแรก “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินจํานวน 500,000 บาท ให้แก่ทองไทยโดยมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวถือเป็นตั๋วแลกเงินชนิด สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าทองไทยจะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ขายลดให้แก่พุธ ทองไทยย่อมสามารถโอนได้โดย การส่งมอบตั๋วให้แก่พุธได้เลยโดยไม่ต้องลงลายมือชื่อสลักหลังตัวแต่อย่างใด (ตามมาตรา 918)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทองไทยได้สลักหลังโอนตั่วให้แก่พุธ แม้ว่าทองไทยจะมีเจตนา สลักหลังตั๋วก็ตาม แต่ตามกฎหมายให้ถือว่า การสลักหลังตั๋วของทองไทยนั้น เป็นเพียงการประกันหรือรับอาวัล ผู้สั่งจ่ายคือจันทร์ (ตามมาตรา 921) ซึ่งมีผลทําให้ทองไทยจะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้น เช่นเดียวกับจันทร์ โดยต้องรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลจันทร์ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคแรก มาตรา 914 ประกอบมาตรา 921 และมาตรา 940 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อพุธได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชําระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส ทองไทยจึงต้องรับผิดต่อ พฤหัสผู้ทรงตามกฎหมายตั๋วเงินดังกล่าว

สรุป

ทองไทยต้องรับผิดต่อพฤหัสผู้ทรงตามกฎหมายตั๋วเงินในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย

 

 

ข้อ 2. (ก) ให้นักศึกษาอธิบายหลักการโอนตั๋วเงินตามกฎหมายมาโดยละเอียด

(ข) นายชาติสั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่งระบุให้ชําระเงินแก่นายชาย พร้อมทั้งขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก แล้วส่งมอบเช็คนั้นชําระหนี้ค่าสินค้าให้แก่นายชาย หลังจากนั้นนายชายได้ทําการ สลักหลังลอย และส่งมอบเช็คนั้นชําระหนี้ค่าเช่าอาคารให้แก่นางสาวหญิง ต่อมานางสาวหญิง ต้องการจะนําเช็คฉบับนั้นไปโอนชําระหนี้ค่าสินค้าให้แก่นางสวยแต่ไม่ทราบวิธีการ นางสาวหญิง จึงมาปรึกษาท่าน ดังนี้ให้ท่านจงอธิบายถึงวิธีการโอนเช็คฉบับดังกล่าวตามหลักกฎหมายที่ ถูกต้องให้แก่นางสาวหญิง

ธงคําตอบ

(ก) ตามกฎหมายตั๋วเงินมี 3 ประเภท ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็ค ซึ่งหลักในการโอนตั๋วเงินนั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับตั๋วแลกเงินเท่านั้น เพียงแต่ได้กําหนดให้นําหลักในการโอน ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อไปใช้กับการโอนตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คด้วย (ตามมาตรา 985 วรรคแรก และ มาตรา 989 วรรคแรก) และให้นําหลักในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือไปใช้กับการโอนเช็คชนิดสั่งจ่าย แก่ผู้ถือด้วย (ตามมาตรา 989 วรรคแรก)

สําหรับหลักในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น กฎหมายได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ

1 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ

การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่ บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลัง ระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ ตั๋วแลกเงินนั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรือ อาจจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

2 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ

การโอนตั๋วเงินชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมี การสลักหลังตาม ป.พ.พ. มาตรา 918 ซึ่งบัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียง ด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคแรก “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลัง อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923.”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติสั่งจ่ายเช็คโดยระบุให้ธนาคารใช้เงินแก่นายชาย และได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คนั้นออก ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป ก็จะต้องมีการ สลักหลังและส่งมอบ โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อผู้รับประโยชน์) หรือสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 917 วรรคแรก ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก) ดังนั้นเมื่อนายชายได้ทําการสลักหลังลอย (ไม่ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ และส่งมอบเช็คนั้นให้แก่นางสาวหญิง การโอนเช็คระหว่างนายชายและนางสาวหญิงย่อมเป็นการโอนที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย

และเมื่อเช็คนั้นได้ตกอยู่ในความครอบครองของนางสาวหญิง นางสาวหญิงย่อมเป็นผู้ทรงที่ได้รับ เช็คมาจากการสลักหลังลอยของนายชาย นางสาวหญิงย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 (2) (3) ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก กล่าวคือ สามารถที่จะโอนเช็คนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ ซึ่งการสลักหลังนั้นอาจจะ เป็นการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ หรืออาจจะโอนเช็คนั้นต่อไปโดยการส่งมอบเช็คเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องสลักหลังก็ได้

ดังนั้น เมื่อนางสาวหญิงต้องการโอนเช็คชําระหนี้ให้แก่นางสวย นางสาวหญิงสามารถโอนเช็ค นั้นได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ หรืออาจจะส่งมอบเช็คให้แก่นางสวยโดยไม่ต้องสลักหลังก็ได้

สรุป ข้าพเจ้าจะอธิบายถึงวิธีการโอนเช็คฉบับดังกล่าวแก่นางสาวหญิง ตามที่ได้อธิบายไว้ ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3 (ก) เช็คขีดคร่อมทั่วไปที่มีข้อความ “A/C payee only” กลางรอยขีดคร่อมนั้นโดยผู้สั่งจ่ายก็ดี หรือโดยผู้ทรงก็ดี ยังคงโอนต่อไปได้หรือไม่ และจะมีผลกระทบต่อผู้รับโอนอย่างไร

(ข) แสนลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค ธนาคารสินไทย ขีดคร่อมทั่วไปลงวันที่ เดือน และปี ล่วงหน้าวางมัดจําจ้างศักดิ์ผลิตสินค้า โดยระบุคําว่า “เงินสด” หลังคำว่า “จ่าย” และมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ศักดิ์ได้รับเช็คนั้นมาแล้วจึงเติมคําว่า “A/C payee only” บนรอยขีดคร่อม แต่ได้ทําเช็คนั้นตกหายไปโดยไม่รู้ตัว ส่งเก็บเช็คนั้นได้แล้วนําไปชําระหนี้ ชื่อซึ่งรับโอนเช็คนั้นไว้ โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าซื้อเป็นผู้ทรงเช็คซึ่งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และจะบังคับไล่เบี้ยแสน ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

(ก) เช็คขีดคร่อมทั่วไปที่มีข้อความ “A/C payee only” (จ่ายเข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้น) กลางรอย ขีดคร่อมโดยผู้สั่งจ่ายนั้น เป็นเช็คขีดคร่อมที่ผู้สั่งจ่ายสั่งห้ามเปลี่ยนมือหรือห้ามโอนเช็คนั้นต่อไปตามมาตรา 917 วรรคสองประกอบมาตรา 989 วรรคแรก และจะมีผลตามกฎหมาย คือ ถ้าผู้รับเงิน (ผู้ทรง) จะโอนเช็คนั้นต่อไป ผู้ทรงจะโอนเช็คนั้นด้วยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคแรกไม่ได้ แต่จะต้องโอนโดยวิธีการโอน หนี้สามัญทั่ว ๆ ไปเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 กล่าวคือ จะต้องทําเป็นหนังสือโอนหนี้ตามเช็คนั้นระหว่างผู้โอน กับผู้รับโอนและผู้โอนต้องบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังผู้สั่งจ่าย (ลูกหนี้) หรือให้ผู้สั่งจ่ายให้ความยินยอม ในการโอนหนี้นั้นด้วยโดยการทําเป็นหนังสือเช่นเดียวกัน

ส่วนเช็คขีดคร่อมทั่วไปที่มีข้อความ “A/C payee only” โดยผู้ทรงนั้น เป็นเช็คขีดคร่อมที่ผู้ทรง สั่งห้ามเปลี่ยนมือหรือห้ามโอนเช็คนั้นต่อไปตามมาตรา 905 3) และจะมีผลต่อผู้รับโอนตามมาตรา 999 กล่าวคือ ในกรณีที่บุคคลใดได้รับเช็คขีดคร่อมซึ่งผู้ทรงได้ระบุข้อความว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ลงไว้แล้ว บุคคลผู้รับโอนเช็คนั้น จะไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ที่โอนเช็คให้แก่ตน ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า “ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน” นั่นเอง เช่น ถ้าผู้ที่ โอนเช็คไม่มีสิทธิในเช็ค ผู้รับโอนเช็คนั้นก็ย่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้นเช่นเดียวกัน

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตัวเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่า เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไบซึ่งตัวเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 995 (1) “เช็คไม่มีขีดคร่อม ผู้สั่งจ่ายหรือผู้ทรงคนใดคนหนึ่งจะขีดคร่อมเสียก็ได้ และจะทําเป็นขีดคร่อมทั่วไปหรือขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(3) เช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ขีดคร่อมเฉพาะก็ดี ผู้ทรงจะเติมคําลงว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ก็ได้”

มาตรา 999 “บุคคลใดได้เช็คขีดคร่อมของเขามาซึ่งมีคําว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ท่านว่าบุคคลนั้น ไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่าและไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วบุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง ถ้าเป็นตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ และ บุคคลนั้นได้ตั๋วเงินมาโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 904 ประกอบมาตรา 905 เว้นแต่ในกรณีที่เป็นเช็คขีดคร่อมและมีข้อความว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” หรือ ข้อความอย่างอื่น เช่น “A/C payee only” อยู่ในระหว่างรอยขีดคร่อม บุคคลผู้ได้เช็คนั้นมาย่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้น ยิ่งไปกว่าและไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา (มาตรา 999) กล่าวคือ ถ้าผู้โอนเช็คนั้นไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับโอนก็จะไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสนลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค และขีดคร่อมทั่วไปไว้โดยมิได้ขีดฆ่า คําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ย่อมเป็นเช็คใช้เงินให้แก่ผู้ถือ และการที่ศักดิ์ซึ่งได้รับเช็คนั้นจากแสนได้เติมคําว่า “A/C payee only” ซึ่งมีความหมายว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ลงไว้บนรอยขีดคร่อม ศักดิ์ย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 995 (3) และเมื่อศักดิ์ได้ทําเช็คนั้นตกหายไป และส่งเก็บเช็คนั้นได้ ดังนี้ส่งย่อมไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 904 และ 905 เพราะส่งได้เช็คนั้นมาอยู่ในความครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อส่งนําเช็คนั้น ไปชําระหนี้แก่ชื่อ แม้ว่าชื่อจะได้รับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ซื่อก็ไม่เป็นผู้ทรง โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะชื่อซึ่งได้รับโอนเช็คมาจากสงย่อมไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่าส่ง (ตามมาตรา 999) และชื่อก็จะบังคับไล่เบี้ยแสนผู้สั่งจ่ายไม่ได้เช่นเดียวกัน

สรุป ชื่อไม่เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และจะบังคับไล่เบี้ยแสนไม่ได้

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 (ก) ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ต่อผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงิน

(ข) บัวแดงสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งระบุให้เมืองเก่าจ่ายเงินให้กับบัวขาวห้าแสนบาทและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก และบัวแดงเขียนคําว่า “ตั๋วแลกเงินใบนี้ไม่จําต้องทําคําคัดค้าน” ไว้ที่ ด้านหน้าของตัว บัวขาวสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวให้แก่บัวเหลืองเพื่อชําระ ราคาสินค้าที่ซื้อจากบัวเหลือง เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกําหนดใช้เงินบัวเหลืองได้นําตั๋วแลกเงินไปให้ เมืองเก่าผู้จ่ายใช้เงินแต่เมืองเก่าปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากเมืองเก่าเห็นว่าตนมิได้เป็นลูกหนี้ของ บัวแดง ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าบัวแดงและบัวขาวจะต้องรับผิดหรือไม่ ต่อบัวเหลืองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ตามกฎหมายตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

(ก) อธิบาย

ผู้สั่งจ่าย (ตั๋วแลกเงินหรือเช็ค) หมายถึง บุคคลที่ได้ออกตั๋วแลกเงินและสั่งให้บุคคลอีกคนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรง (หรือผู้รับเงิน)

ผู้สลักหลัง หมายถึง ผู้ทรงคนเดิม (ซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะของผู้รับเงินหรือผู้รับสลักหลัง) ที่ได้ ลงลายมือชื่อของตน (ได้สลักหลัง) ในตั๋วเงินเมื่อมีการโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อต่อไปให้บุคคลอื่น (ผู้รับสลักหลัง)

โดยหลัก บุคคลที่จะต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินก็คือ บุคคลที่ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงิน ตามมาตรา 900 วรรคแรก ที่ว่า “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

เมื่อผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินเป็นบุคคลที่ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินตามมาตรา 900 จึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงิน ในฐานะผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วแลกเงินตามมาตรา 914 ที่ว่า “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่นโดยชอบแล้ว จะมีผู้รับรอง และใช้เงินตามเนื้อความแห่งทั่ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่า ได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว” ประกอบกับมาตรา 967 วรรคแรก ที่ว่า “ในเรื่อง ตั๋วแลกเงินนั้น บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดี รับรองก็ดี สลักหลังก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิด ต่อผู้ทรง”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคแรก “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตัวเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตัวนั้นได้นํายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 937 “ผู้จ่ายได้ทําการรับรองตั๋วแลกเงินแล้วย่อมต้องผูกพันในอันจะจ่ายเงินจํานวนที่ รับรองตามเนื้อความแห่งคํารับรองของตน”

959 “ผู้ทรงตั๋วแลกเงินจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลัง ผู้สั่งจ่าย และบุคคลอื่น ๆ ซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นก็ได้ คือ

(ก) ไล่เบี้ยได้เมื่อตัวเงินถึงกําหนดในกรณีไม่ใช้เงิน”

มาตรา 967 วรรคแรก “ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดี รับรองก็ดี สลักหลัง ก็ดี หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ บัวแดงได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้เมืองเก่าจ่ายเงินให้แก่บัวขาว และขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ตั๋วแลกเงินฉบับนี้ย่อมเป็นตัวแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อและการที่บัวแดงเขียนคําว่า “ตั๋วแลกเงิน ใบนี้ไม่จําต้องทําคําคัดค้าน” ไว้ที่ด้านหน้าของตั๋ว จึงมีผลทําให้ผู้ทรงตั๋วแลกเงินใบนี้สามารถไล่เบี้ยเอาแก่คู่สัญญา ผู้ต้องรับผิดตามตั๋วแลกเงินได้ โดยไม่ต้องทําคําคัดค้านการไม่ใช้เงินหรือการไม่รับรองของผู้จ่ายก่อนแต่อย่างใด

ต่อมา บัวขาวสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินดังกล่าวให้แก่บัวเหลืองเพื่อชําระราคาสินค้า เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกําหนดใช้เงิน บัวเหลืองได้นําตั๋วแลกเงินไปให้เมืองเก่าผู้จ่ายใช้เงิน แต่เมืองเก่าปฏิเสธการใช้เงิน ดังนี้ บัวแดงผู้สั่งจ่ายและบัวขาวผู้สลักหลังซึ่งได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินจึงต้องรับผิดใช้เงินให้แก่บัวเหลือง ผู้ทรงตั๋วแลกเงินตามมาตรา 900 วรรคแรก ประกอบมาตรา 914 มาตรา 959 (ก) และมาตรา 967 วรรคแรก

ส่วนกรณีเมืองเก่าซึ่งเป็นผู้จ่ายนั้นเมื่อยังมิได้ลงลายมือชื่อรับรองตัวแลกเงิน จึงไม่ต้องรับผิด ต่อบัวเหลืองผู้ทรงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามตัวแลกเงินตามมาตรา 900 วรรคแรก และ 937

สรุป

บัวแดงและบัวขาวจะต้องรับผิดต่อบัวเหลือง ส่วนเมืองเก่าไม่ต้องรับผิดต่อบัวเหลือง

 

ข้อ 2. (ก) การสลักหลังโอนเช็คระบุชื่อผู้รับเงิน หรือตามคําสั่ง หรือผู้ถือ จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไรแก่คู่สัญญา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเช็คดังกล่าว ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมาย

(ข) จันทร์ทําสัญญาซื้อขายสินค้า OTOP กับอังคาร มีข้อตกลงในรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้าและการส่งมอบสินค้านั้นไว้ในสัญญา โดยจันทร์ได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คลงวันเดือนปี ล่วงหน้าให้อังคาร พร้อมทั้งได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ขีดคร่อมทั่วไปและลงข้อความว่า “A/C payee only” ไว้ในช่องว่างระหว่างรอยขีดคร่อม อังคารนําเช็คนั้นไปสลักหลังขายลด ให้กับพุธ โดยทําเป็นสัญญาโอนหนี้เงินในเช็คทั้งหมด ซึ่งจันทร์ก็ยินยอมด้วยในการโอนเช็ค ดังกล่าว แต่อังคารมิได้ส่งมอบสินค้า OTOP ตามสัญญา จันทร์จึงบอกห้ามมิให้ธนาคารใช้เงิน ตามเช็ค เป็นผลให้พุธได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงินจากธนาคารผู้จ่าย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าพุธ จะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ได้หรือไม่ อีกทั้งจันทร์จะยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับอังคารขึ้นเป็น ข้อต่อสู้พุธได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) การสลักหลังโอนเช็คระบุชื่อผู้รับเงิน หรือตามคําสั่ง หรือผู้ถือ จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมาย แก่คู่สัญญาซึ่งเกี่ยวข้องกับเช็คดังกล่าว ดังนี้คือ

1 กรณีการสลักหลังโอนเซ็คระบุชื่อผู้รับเงินหรือตามคําสั่ง ย่อมเป็นผลทําให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสิทธิในเช็คจากผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ไปยังผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ตามมาตรา 920 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 989 วรรคแรก ที่ว่า “อันการสลักหลังยอมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่เช็ค” และผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคแรกและวรรคสอง และมีสิทธิไล่เบี้ยผู้สั่งจ่าย และผู้สลักหลัง หากธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น (ตามมาตรา 900 วรรคแรก, 914,959 (ก), 967 วรรคแรก ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก)

2 กรณีการสลักหลังโอนเช็คผู้ถือ ย่อมเป็นผลทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิทธิในเช็ค เช่นเดียวกับการสลักหลังโอนเช็คระบุชื่อผู้รับเงินหรือตามคําสั่ง เช่น ทําให้ผู้รับสลักหลังอยู่ในฐานะเป็นผู้ทรงเช็ค ผู้ถือโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 905 วรรคสองและวรรคสาม) และมีผลทําให้ผู้สลักหลังต้องตกอยู่ในฐานะ เป็นผู้รับอาวัลให้แก่ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคแรก, 918, 921, 940 วรรคแรก, 959 (ก), 967 วรรคแรก ประกอบ มาตรา 989 วรรคแรก)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่า บุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลัง เมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตัวเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฎ สิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นหาจําต้องสละตั๋วเงินไม่เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือ ได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง”

มาตรา 916 “บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัย ความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อน ๆ นั้นได้ไม่ เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้น ด้วยคบคิดกันฉ้อฉล”

มาตรา 917 วรรคสอง “เมื่อผู้สั่งจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินว่า “เปลี่ยนมือไม่ได้” ดังนี้ก็ดี หรือเขียนคําอื่นอันได้ความเป็นทํานองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตั๋วเงินนั้นย่อมจะโอนให้กันได้แต่โดยรูปการ และด้วยผลอย่างการโอนสามัญ”

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเซ็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923. ”

มาตรา 995 (1) “เช็คไม่มีขีดคร่อม ผู้สั่งจ่ายหรือผู้ทรงคนใดคนหนึ่งจะขีดคร่อมเสียก็ได้และ จะทําเป็นขีดคร่อมทั่วไปหรือขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(3) เช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ขีดคร่อมเฉพาะก็ดี ผู้ทรงจะเติมคําลงว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ก็ได้”

มาตรา 999 “บุคคลใดได้เช็คขีดคร่อมของเขามาซึ่งมีคําว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ท่านว่าบุคคลนั้น ไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่าและไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์ผู้สั่งจ่ายขีดคร่อมเช็คและลงข้อความว่า “A/C payee only” นั้น ย่อมสามารถทําได้ตามนัยมาตรา 995(1), 917 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก และการกระทําของผู้สั่งจ่าย ดังกล่าวก็ด้วยเจตนาห้ามมิให้ผู้รับเงินสลักหลังโอนเช็คนั้นต่อไป ดังนั้นถ้าอังคารจะโอนเช็คนั้นต่อไปโดยการสลักหลัง และส่งมอบเช็คตามวิธีการโอนตั๋วเงินตามมาตรา 917 วรรคแรก ย่อมไม่อาจทําได้ เว้นแต่อังคารจะโอนเช็คนั้นต่อไป โดยรูปแบบวิธีการเช่นเดียวกับการโอนหนี้สามัญ (การโอนสิทธิเรียกร้องตามมาตรา 306) ตามมาตรา 917 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก

เมื่ออังคารนําเช็คนั้นไปสลักหลังและส่งมอบให้แก่พุธ ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ดังกล่าวข้างต้น ย่อมมีผลตามมาตรา 999 กล่าวคือ พุธผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าอังคารผู้โอน และแม้ว่าพุธจะได้รับเช็คนั้น มาโดยสุจริต พุธผู้รับโอนก็มิได้มีฐานะเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามนัยมาตรา 905 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนั้นพุธจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ผู้สั่งจ่ายไม่ได้ และจันทร์สามารถยกเอาความเกี่ยวพันระหว่างตนกับอังคารขึ้นเป็น ข้อต่อสู้พุธได้เพราะไม่ต้องห้ามตามมาตรา 916

สรุป

พุธจะบังคับไล่เบี้ยจันทร์ไม่ได้ และจันทร์สามารถยกเอาความเกี่ยวพันระหว่างตนกับ อังคารขึ้นเป็นข้อต่อสู้พุธได้ เพราะพุธมิได้อยู่ในฐานะผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3 (ก) การแก้ไขข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย

(ข) นายไก่สั่งจ่ายเช็คระบุชื่อฉบับหนึ่งระบุให้ใช้เงินจํานวน 50,000 บาท ชําระหนี้ให้นายปู ต่อมานายปูสลักหลังโอนเช็คนั้นชําระหนี้ให้นายปลา โดยหลังจากรับเช็คมา นายปลาได้ทําการแก้ไข จํานวนเงินในเช็คด้วย การใช้ปากกาขีดฆ่าจํานวนเงินเดิมออกแล้วเขียนจํานวนเงินใหม่ลงไป คือ 100,000 บาท โดยที่มิได้แจ้งให้นายไก่และนายปูทราบ แล้วทําการสลักหลังโอนเช็คชําระหนี้ ให้นายกุ้ง ต่อมานายกุ้งสลักหลังโอนเช็คชําระหนี้ให้นายนก หากต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค นายนกจะสามารถเรียกให้บุคคลใดรับผิด ชําระเงินตามเช็คฉบับนี้ได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) การแก้ไขข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายนั้น จะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความ ในข้อสําคัญ (มาตรา 1007) คือจะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความซึ่งเป็นสาระสําคัญ ซึ่งเมื่อมีการแก้ไข เปลี่ยนแปลงแล้วจะทําให้ผลของตั๋วเงิน สิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้นเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงิน อันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงินไปเต็มความระบุ (มาตรา 1007 วรรคสาม) ตาม ป.พ.พ. ไว้ 2 กรณีคือ

1 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไข ไม่แนบเนียนหรือเห็นได้ประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไข เปลี่ยนแปลง และหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคแรก)

2 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขได้อย่างแนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ถือว่าตั๋วเงินนั้นไม่เสียไป และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้ มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้ (มาตรา 1007 วรรคสอง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตัวเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือน ดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้ง เมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงินไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเช็คที่นายไก่ออกให้นายปูนั้นมีจํานวนเงิน 50,000 บาท แต่เมื่อนายปู สลักหลังโอนเช็คนั้นให้แก่นายปลาแล้ว นายปลาได้แก้ไขจํานวนเงินเป็น 100,000 บาท ซึ่งในการแก้ไขนั้นนายปลาใช้ ปากกาขีดฆ่าจํานวนเงินเดิมออกแล้วเขียนจํานวนใหม่ลงไปคือ 100,000 บาท โดยมิได้แจ้งให้นายไก่และนายปูทราบ ดังนี้ถือว่าการแก้ไขจํานวนเงินดังกล่าวเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญตามมาตรา 1007 วรรคสาม และ ความเปลี่ยนแปลงนั้นเห็นได้ประจักษ์ และคู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามเช็คนั้นมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคน จึงมีผล ตามมาตรา 1007 วรรคแรก กล่าวคือให้ถือว่าเช็คนั้นเป็นอันเสียไปใช้บังคับไม่ได้ แต่ยังคงใช้ได้ตามข้อความใหม่ ต่อนายปลาคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งนายกุ้งผู้สลักหลังในภายหลังการแก้ไขนั้นด้วย

ดังนั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค นายนกจึงสามารถเรียกให้นายปลาและนายกุ้ง รับผิดชําระเงินตามเช็คได้เป็นเงินจํานวน 100,000 บาท ตามที่ได้มีการแก้ไข

สรุป

นายนกสามารถเรียกให้นายปลาและนายกุ้งรับผิดชําระเงินตามเช็คได้เป็นเงินจํานวน 100,000 บาท

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 (ก) การโอนตั๋วแลกเงินต้องทําอย่างไรจึงจะชอบด้วยกฎหมาย

(ข) จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงินจํานวน 500,000 บาท ระบุชื่อทองไทยเป็นผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่า “ หรือผู้ถือ” ออก เพื่อเป็นการมัดจําในการสั่งซื้อสินค้า ทองไทย สลักหลังขายลดตัวแลกเงินโดยระบุชื่อพุธเป็นผู้รับโอนและซื้อลดตัวแลกเงินนั้น ต่อมาพุธได้ ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นชําระหนี้เงินกู้ให้แก่พฤหัส ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้น ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) ในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น การโอนจะชอบด้วยกฎหมายตั๋วเงิน ผู้โอนจะต้องทําให้ถูกต้องตาม วิธีการที่กฎหมายลักษณะตั๋วเงินได้กําหนดไว้ ดังนี้คือ

1 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อ เขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่ บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตัวแลกเงินนั้น ให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตัวเงินเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลังระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะ สลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ตั๋วแลกเงิน นั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรืออาจจะโอน ตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

2 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนตั๋วเงินชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการ ส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการสลักหลังตาม ป.พ.พ. มาตรา 918 ซึ่งบัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงิน แก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่จันทร์ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้บุญมีจ่ายเงิน 500,000 บาท โดยระบุชื่อทองไทยเป็น ผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออกนั้น ย่อมถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ในการ โอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตัวนั้นให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าหากมีการสลักหลังในตัวนั้นด้วย กฎหมายให้ถือว่าเป็นเพียงการประกันหรือรับอาวัลผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 และ 921)

และเมื่อตามอุทาหรณ์ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ทองไทยได้โอนตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวให้แก่พุธ โดยการสลักหลังและส่งมอบ และต่อมาพุธได้ส่งมอบตัวนั้นให้แก่พฤหัส จะเห็นได้ว่าการโอนตั๋วนั้นมีการส่งมอบตัว ให้แก่กันทุกครั้ง ดังนั้นการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวจึงถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการสลักหลังของทองไทยนั้น ให้ถือว่าเป็นเพียงการประกันหรือรับอาวัลจันทร์ผู้สั่งจ่ายเท่านั้น

สรุป

การโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กําหนดเวลาให้ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คให้ธนาคารผู้จ่ายใช้ เงินไว้อย่างไรบ้าง

(ข) ข้อเท็จจริงได้ความว่า ห้วยยอดผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทเป็นเช็คธนาคารอันดามัน ระบุชื่อสิเกาเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก แล้วระบุจํานวนเงินลงไว้ในเช็ค 500,000 บาท ลงวันที่ 10 กันยายน 2555 มอบให้กับสิเกาเพื่อชําระหนี้ ต่อมาสิเกาสลักหลังและส่งมอบเช็คใบนั้นชําระหนี้ให้แก่บินหลา หลังจากนั้นบินหลานําเช็คนั้นไปสลักหลังและส่งมอบเพื่อชําระหนี้ให้แก่กันตัง กันตังนําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2556 แต่ธนาคารปฏิเสธการใช้เงินเนื่องจากกันตังยื่นเช็คช้าเกินหกเดือนนับแต่วันที่ลงในเช็ค ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า บุคคลใดบ้างจะต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดต่อกันตั้งผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย

ธงคําตอบ

(ก) อธิบาย

ตามกฎหมาย การนําเช็คไปยื่นให้ธนาคารผู้จ่ายใช้เงินตามเช็คนั้น ผู้ทรงเช็คจะต้องนําไปยื่น ในวันที่เช็คถึงกําหนดซึ่งก็คือ วันออกเช็คอันเป็นวันที่ผู้สั่งจ่ายระบุลงไว้ในเช็คนั่นเอง หรืออย่างช้าต้องนําไปยื่นภายใน กําหนดเวลาตามหลักเกณฑ์ที่ ป.พ.พ. มาตรา 990 ได้กําหนดไว้ ดังนี้คือ

1 ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินในเมือง (จังหวัด) เดียวกับที่ออกเช็ค ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อ ธนาคารตามเช็คเพื่อให้ใช้เงินภายในกําหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ออกเช็ค

2 ถ้าเป็นเช็คที่ออกให้ใช้เงินที่อื่น (ในจังหวัดอื่น) ผู้ทรงต้องยื่นเช็คต่อธนาคารตามเช็ค เพื่อให้ใช้เงินภายในกําหนด 3 เดือนนับแต่วันที่ออกเช็ค

ในกรณีที่ผู้ทรงเช็คไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ผู้ทรงย่อม ได้รับผลเสียดังนี้ คือ

1 ผู้ทรงย่อมสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บรรดาผู้สลักหลังทั้งปวง (โดยไม่ต้องคํานึงว่าผู้สลักหลัง เหล่านั้นจะได้รับความเสียหายหรือไม่)

2 ผู้ทรงย่อมเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายเท่าที่ผู้สั่งจ่ายได้รับความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะการที่ผู้ทรงละเลยไม่ยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินภายในกําหนดเวลานั้น

และตาม ป.พ.พ. มาตรา 991(2) ยังได้วางหลักไว้อีกว่า ผู้ทรงจะต้องยื่นเช็คให้ธนาคารจ่ายเงิน ภายใน 6 เดือนนับแต่วันออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค) ด้วย หากยื่นเช็คเกินกว่านั้น ธนาคารมีสิทธิที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคแรก “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตัวนั้นได้นํายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 917 วรรคแรก “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็กเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923, 925, 926, 938 ถึง 940, 945, 946, 959, 967, 971”

มาตรา 990 วรรคแรก “ผู้ทรงเช็คต้องยื่นเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงิน ในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่นต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ บุคคลใดบ้างจะต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับผิดต่อกันตังผู้ทรงโดยชอบด้วย กฎหมายนั้น เห็นว่า การที่ห้วยยอดได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารอันดามัน ระบุชื่อสิเกาเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ลงวันที่ 10 กันยายน 2555 แล้วมอบให้กับสิเกาเพื่อชําระหนี้นั้น เช็คฉบับนี้ย่อมถือเป็นเช็คชนิด สั่งจ่ายระบุชื่อการโอนเซ็คต่อไปจึงต้องทําตามมาตรา 917 ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก คือ ต้องสลักหลังและ ส่งมอบ

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการสลักหลังโอนเช็คดังกล่าวเปลี่ยนมือกันจนถึงกันตัง กันตังจึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย และการที่กันตั้งผู้ทรงนําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารอันดามันเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2556 ย่อมเป็นการที่กันตังยื่นเช็คให้ธนาคารใช้เงินเมื่อเกินกําหนดเวลาหนึ่งเดือนหรือสามเดือนนับแต่ วันออกเช็ค (วันที่ 10 กันยายน 2555) แล้วแต่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 990 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อธนาคาร ปฏิเสธการใช้เงิน กันดังย่อมหมดสิทธิที่จะไล่เบี้ยผู้สลักหลังทั้งหลาย คือ สิเกากับบินหลา

ส่วนกรณีของห้วยยอดผู้สั่งจ่ายนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าห้วยยอดได้เสียหายเพราะเหตุที่กันตั้งยื่นเช็คเกินกําหนดแต่อย่างใด กันตังจึงมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยให้ห้วยยอดผู้สั่งจ่ายรับผิดได้ตามมาตรา 900 วรรคแรก และ มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก สําหรับกรณีของธนาคารอันดามันนั้นเมื่อปรากฏว่าธนาคารอันดามัน ไม่ได้ลงลายมือชื่อบนเช็ค จึงไม่ต้องรับผิดต่อกันตัง (ตามมาตรา 900 วรรคแรก)

สรุป

สิเกา บินหลา และธนาคารอันดามัน ไม่ต้องรับผิดต่อกันตั้ง ส่วนห้วยยอดต้องรับผิด ต่อกันตัง

 

ข้อ 3. (ก) เช็คที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความสําคัญเช่น วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้เป็นต้น แต่เป็นการแก้ไขที่ประจักษ์ จะเกิดผลตามกฎหมายอย่างไรกับเช็คและผู้ทรงเช็คนั้น

(ข) มกราเป็นผู้รับสลักหลังเช็คจากกุมภาโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ข้อเท็จจริงได้ความว่า เช็คพิพาทดังกล่าวเป็นเช็คธนาคารอ่าวไทยที่เมษาเป็นผู้สั่งจ่ายระบุมีนาเป็นผู้รับเงิน และได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก ระบุจํานวนเงินลงไว้ในเช็คดังกล่าว 500,000 บาท มอบให้แก่ มีนา แต่มีนาแก้ไขเปลี่ยนแปลงจํานวนเงินเป็น 5,000,000 บาท แล้วลงลายมือชื่อกํากับการแก้ไข จากนั้นนําเช็คไปสลักหลังเพื่อชําระหนี้ให้แก่กุมภา ต่อมากุมภาสลักหลังลอยชําระหนี้มกรา ครั้นถึงวันที่ลงในเช็ค มกรานําเช็คยื่นที่ธนาคารอ่าวไทยเพื่อขอรับเงิน ธนาคารจ่ายเงินให้มกราไป 5,000,000 บาท ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ธนาคารจะหักเงินจากบัญชีของเมษาผู้สั่งจ่ายได้หรือไม่

ธงคําตอบ

(ก) เช็คที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความสําคัญ เช่น วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน หรือสถานที่ใช้เงิน เป็นต้น จะเกิดผลตามกฎหมายกับเช็คและผู้ทรงเช็ค ดังนี้คือ

1 ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์ หมายถึง การแก้ไขนั้น แก้ไขได้ไม่แนบเนียน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่าว่ามีการแก้ไข จะมีผลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคแรก คือ ให้ถือว่า เช็คนั้นเสียไป ไม่มีผลบังคับในฐานะเป็นเช็ค แต่เพื่อคุ้มครองผู้ทรงเช็คที่ได้รับเช็คไว้โดยสุจริต กฎหมายจึงได้บัญญัติ เป็นข้อยกเว้นไว้ว่า ผู้ทรงเช็คยังคงใช้เช็คนั้นบังคับกับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น ผู้ที่ได้ยินยอมด้วย กับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น และผู้ที่ได้สลักหลังเช็คในภายหลังที่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น

2 ถ้าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์ หมายถึง การแก้ไขนั้นทําได้อย่างแนบเนียน ไม่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาเปล่าว่ามีการแก้ไข จะมีผลตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 วรรคสอง คือ ให้ถือว่า เช็คนั้นไม่เสีย ยังบังคับกันได้ในฐานะเป็นเช็ค กล่าวคือ ถ้าเช็คนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ทรง โดยชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถที่จะถือเอาประโยชน์จากเช็คนั้นเสมือนว่าเช็คนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง เลยก็ได้และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งเช็คนั้นก็ได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตัวนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ ยินยอมด้วย”

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเช็คที่เมษาออกให้ธนาคารอ่าวไทยจ่ายเงินแก่มีนานั้น มีจํานวน 500,000 บาท แต่มีนาได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็น 5,000,000 บาท พร้อมทั้งลงลายมือชื่อกํากับการแก้ไขไว้ ย่อมถือว่าการแก้ไขจํานวนเงินดังกล่าวเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญตามมาตรา 1007 วรรคสาม และความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นประจักษ์และคู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามเช็คได้ยินยอมด้วยหมดทุกคน ดังนั้น กรณีจึงมีผล ตามมาตรา 1007 วรรคแรก คือ ให้ถือว่าเช็คนั้นเป็นอันเสียไปใช้บังคับไม่ได้ แต่ยังคงใช้ได้ตามข้อความใหม่ต่อมีนา คู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งกุมภาผู้สลักหลังในภายหลังการแก้ไขนั้นด้วย

ดังนั้น เมื่อเช็คดังกล่าวเสียไปไม่อาจบังคับเอากับคู่สัญญาที่อยู่ก่อนการแก้ไข และมิได้รู้เห็น ยินยอมด้วยกับการแก้ไขตามมาตรา 1007 แล้ว คําสั่งของเมษาผู้สั่งจ่ายที่สั่งให้ธนาคารอ่าวไทยจ่ายเงินจึงต้องเสียไปด้วย ดังนั้นการที่ธนาคารอ่าวไทยได้จ่ายเงินให้มกราไป 5,000,000 บาท ย่อมถือได้ว่าธนาคารอ่าวไทยได้จ่ายเงิน ตามเช็คไปโดยไม่สุจริตหรือโดยประมาทเลินเล่อ ธนาคารอ่าวไทยจะหักเงินจากบัญชีของเมษาผู้สั่งจ่ายไม่ได้

สรุป

ธนาคารอ่าวไทยจะหักเงินจากบัญชีของเมษาผู้สั่งจ่ายไม่ได้

 

 

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 (ก) การอาวัลตั๋วแลกเงินคืออะไร เกิดขึ้นได้กรณีใดบ้าง

(ข) เอกลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารอ่างทองชําระหนี้โท โดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออก โทสลักหลังชําระหนี้ตรีระบุชื่อตรีเป็นผู้รับโอนและส่งมอบเช็ค ให้กับตรี ต่อมาตรีสลักหลังลอยและส่งมอบเช็คดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่จัตวา จัตวาส่งมอบเช็ค ชําระหนี้บัวขาว เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บัวขาวนําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารแต่ธนาคารไม่ยอม จ่ายเงิน โดยอ้างว่าเงินในบัญชีของเอกมีไม่พอจ่าย

ดังนี้ บัวขาวจะไล่เบี้ยโท ตรี จัตวาให้รับผิด ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) การอาวัลหรือการรับอาวัลตั๋วแลกเงิน คือการที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว ในตั๋วแลกเงินนั้น ได้เข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งตั๋วแลกเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลได้หลายคน และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุ ไว้ให้ถือว่าเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939 วรรคสี่)

การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้น เกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา และการอาวัลโดยผลของกฎหมาย

1 การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา ทําได้โดย

1.1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งการอาวัสในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสี่)

1.2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตัวแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความ ใด ๆ ไว้ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

2 การอาวัลโดยผลของกฎหมาย เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงิน ชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 921 ได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายและ ต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคแรก “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตัวแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่ายอมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคแรก “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา….. 914 ถึง 923, 938 ถึง 940″

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกสั่งจ่ายเช็คโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือ ผู้ถือ” ออกนั้น เช็คนั้นย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง (มาตรา 918 ประกอบกับมาตรา 989 วรรคแรก)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า จากการโอนเช็คฉบับนี้ให้แก่ตรี จัตวา และบัวขาวตามลําดับนั้น โท และตรีได้ทําการสลักหลังเช็คฉบับนี้ด้วย ดังนี้ตามกฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังของโทและตรีนั้นเป็นเพียงการ รับอาวัลเอกผู้สั่งจ่ายเท่านั้น (มาตรา 921 ประกอบกับมาตรา 989 วรรคแรก) ซึ่งโทและตรีก็จะต้องรับผิดเป็นอย่าง เดียวกันกับเอกผู้สั่งจ่าย (มาตรา 940 วรรคแรก ประกอบกับมาตรา 989 วรรคแรก)

และเมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บัวขาวนําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารแต่ธนาคารไม่ยอมจ่ายเงิน ดังนี้ บัวขาวย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยให้เอก โท และตรีรับผิดใช้เงินให้แก่ตนได้ เพราะ

1 เอกได้ลงลายมือชื่อของตนลงไว้ในเช็คในฐานะผู้สั่งจ่าย จึงต้องรับผิดตามเช็คนั้นในฐานะ ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900, 914 และมาตรา 989 วรรคแรก

2 โทและตรีได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็คโดยการสลักหลังเช็ค ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเป็นเพียง การรับอาวัลผู้สั่งจ่าย จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับอาวัลเอกผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900, 921 และมาตรา 989 วรรคแรก

ส่วนจัตวานั้นไม่ต้องรับผิดตามเช็ค เพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็ค ดังนั้นบัวขาวจะไล่เบี้ย ให้จัตวารับผิดไม่ได้

สรุป

บัวขาวสามารถไล่เบี้ยให้เอก โท และตรีรับผิดแก่ตนได้ แต่จะไล่เบี้ยให้จัตวารับผิดไม่ได้

 

ข้อ 2 (ก) ให้นักศึกษาอธิบายถึงหลักเกณฑ์ของการเป็น “ผู้ทรงตัวเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย” มาให้เข้าใจ

(ข) นายกบสั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่ง ระบุชื่อนายไก่เป็นผู้รับเงิน พร้อมทั้งขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือในเช็คออกแล้วส่งมอบชําระหนี้ให้แก่นายไก่ ต่อมานายไก่นําเช็คนั้นไปสลักหลังลอยชําระหนี้ให้แก่ นางสาวหงส์ ต่อมานางสาวหงส์ได้ส่งมอบเช็คนั้นชําระหนี้ให้แก่นางสาวนก หลังจากนั้น นางสาวนกเกิดความสงสัยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในเช็คนี้โดยชอบหรือไม่ จึงมาปรึกษานายเป็ด ซึ่งนายเป็ดบอกกับนางสาวนกว่า นางสาวนกมิใช่ผู้มีสิทธิในเช็คฉบับนี้ เนื่องจากมีการโอน เช็คมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนี้ คําแนะนําของนายเป็ดที่ให้กับนางสาวนกนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่า เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตัวเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตัวตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ทําให้สามารถสรุปหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้ทรงตัวเงินโดย ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้คือ

1 เป็นผู้มีตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง คือมีการครอบครองหรือยึดถือตั๋วเงินนั้นด้วยเจตนา ยึดถือเพื่อตน

2 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลังในกรณีที่เป็นตั๋วเงิน ชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ หรืออาจครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะผู้ถือในกรณีที่เป็นตัวเงินชนิดสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ

3 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เช่น ได้ตั๋วเงินนั้นมาจากผู้สั่งจ่าย (หรือผู้ออกตัว) หรือได้รับโอนตั๋วเงินนั้นมาโดยสุจริต

4 ในกรณีเป็นผู้ครอบครองตัวเงินในฐานะผู้รับสลักหลัง (ไม่ว่าจะเป็นผู้รับสลักหลังจาก การสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอย) จะต้องแสดงให้ปรากฏสิทธิในการสลักหลังที่ไม่ขาดสายด้วย คือแสดง ให้เห็นว่าตั๋วเงินนั้นมีการสลักหลังโอนติดต่อกันมาตามลําดับโดยไม่ขาดตอน แม้ว่าการสลักหลังบางรายจะเป็น สลักหลังลอยก็ตาม

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ใน ครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอย ก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้นเป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่ง คําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย”

มาตรา 917 วรรคแรก “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อม ฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย” ”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลัง อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 914 ถึง 923”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเช็คที่นายกบออกให้แก่นายไก่เป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (เพราะมี การขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือในเช็คออก) ดังนั้นถ้านายไก่จะโอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวหงส์ นายไก่ก็จะต้องโอนเช็ค โดยการสลักหลังและส่งมอบ ซึ่งการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ตามมาตรา 917 วรรคแรก และมาตรา 919 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายไก่ได้โอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวหงส์โดยการสลักหลังลอย ดังนั้นเมื่อนางสาวหงส์ต้องการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไปให้แก่นางสาวนก นางสาวหงส์ก็สามารถโอนได้โดยการสลักหลัง และส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคแรก ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก หรืออาจจะโอนโดยการส่งมอบเช็คให้แก่ นางสาวนกโดยไม่มีการสลักหลังใด ๆ เลยก็ได้ตามมาตรา 920(3) ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่า นางสาวหงส์ได้โอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวนกโดยการส่งมอบ ย่อมถือว่านางสาวนกได้รับโอนเช็คมาโดยถูกต้อง ตามกฎหมาย และให้ถือว่านางสาวนกได้รับโอนเช็คมาจากการสลักหลังลอยของนายไก่ การสลักหลังโอนเช็คฉบับนี้ จึงไม่ขาดสาย นางสาวนกซึ่งครอบครองเช็คฉบับนี้อยู่จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 และมาตรา 905 วรรคแรก และย่อมมีสิทธิในเช็คฉบับนี้โดยชอบ ดังนั้นคําแนะนําของนายเป็ดที่ว่า นางสาวนก มิใช่ผู้มีสิทธิในเซ็คฉบับนี้ เนื่องจากมีการโอนเช็คมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นจึงไม่ถูกต้อง

สรุป

คําแนะนําของนายเป็ดที่ให้กับนางสาวนกนั้นไม่ถูกต้อง

 

 

ข้อ 3 (ก) ธนาคารมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามเช็คที่ผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงินแก่ตนเสมอไปหรือไม่ อนึ่งคําว่า “ผู้เคยค้า” นั้น หมายถึงใคร อีกทั้งมีนิติสัมพันธ์กับธนาคารเกี่ยวด้วยเรื่องใด

(ข) เอกได้รับเช็คจากการชําระหนี้โดยโทลูกหนี้เป็นเช็คที่ตรีเป็นผู้สั่งจ่ายล่วงหน้าระบุโทเป็นผู้รับเงินหรือผู้ถือ แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ปรากฏจากใบคืนเช็คว่าบัญชีของตรีได้ปิดไปแล้ว

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า เอกจะเรียกร้องให้โทและธนาคารต้องรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คพิพาท ดังกล่าวได้เพียงใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) โดยหลักแล้ว ธนาคารมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามเช็คที่ผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงิน แก่ตนเสมอตามสัญญาฝากทรัพย์ในรูปบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน (Current Deposit Account) ซึ่ง “ผู้เคยค้า” นั้นหมายถึง “ผู้สั่งจ่ายเช็ค” อันเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับผู้สั่งจ่ายในฐานะเจ้าหนี้ ขณะที่ธนาคาร มีฐานะเป็นลูกหนี้

แต่อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นตามมาตรา 991(1) (2) และ (3) ที่กฎหมายบัญญัติให้ธนาคาร มีสิทธิใช้ดุลพินิจว่าจะจ่ายเงินตามเช็คที่ผู้เคยค้าสั่งจ่ายหรือไม่ก็ได้ กล่าวคือธนาคารอาจจะปฏิเสธไม่จ่ายเงิน ตามเช็คก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ

(1) กรณีไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้า หรือมีแต่ไม่พอจ่ายตามเช็ค แต่หากธนาคารอนุมัติ ให้จ่าย ย่อมถือว่าธนาคารได้อนุญาตให้ผู้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชี (O/D) และก่อให้เกิดบัญชีเดินสะพัดตามนัย มาตรา 856 ระหว่างธนาคารกับผู้สั่งจ่าย

(2) กรณีผู้ทรงเช็คได้ยืนเช็คเกิน 6 เดือนนับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค)

(3) กรณีที่ได้มีคําบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป

และถ้าหากเป็นกรณีตามมาตรา 992(1) (2) และ (3) ธนาคารจะจ่ายเงินตามเช็คไม่ได้เลย เพราะถือว่าอํานาจและหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็คของธนาคารได้สิ้นสุดลงแล้ว กรณีดังกล่าวได้แก่

(1) มีคําบอกห้ามมิให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยผู้สั่งจ่าย

(2) ธนาคารรู้ว่าผู้สั่งจ่ายเช็คตาย

(3) ธนาคารรู้ว่าศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว หรือพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือคําสั่ง ให้ผู้สั่งจ่ายเป็นคนล้มละลาย หรือได้มีประกาศโฆษณาคําสั่งเช่นนั้น

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคแรก “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคแรก “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน

มาตรา 989 วรรคแรก “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 914 ถึง 923 938 ถึง 940.”

มาตรา 993 วรรคแรก “ถ้าธนาคารเขียนข้อความลงลายมือชื่อบนเช็ค เช่นคําว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” หรือคําใด ๆ อันแสดงผลอย่างเดียวกัน ท่านว่าธนาคารต้องผูกพันในฐานเป็นลูกหนี้ชั้นต้นใน อันจะต้องใช้เงินแก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกได้รับเช็คจากการชําระหนี้ของโทและเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ (เพราะเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่โทหรือผู้ถือ) เมื่อเอกนําเช็คไปยื่นให้ธนาคารจ่ายเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ เอกจะเรียกร้องให้โทรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คพิพาทดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการโอนเช็คให้แก่เอกนั้น โทได้สลักหลังโอนเซ็คผู้ถือให้แก่เอกหรือไม่

กรณีแรก ถ้าโทได้สลักหลังโอนเช็คพิพาทให้แก่เอก เอกย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้โทรับผิด ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลตรีผู้สั่งจ่ายได้ตามมาตรา 900 วรรคแรก, 918, 921 และ 940 วรรคแรก ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก

กรณีที่ 2 ถ้าโทได้โอนเช็คให้แก่เอกโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ลงลายมือชื่อ สลักหลังในเช็คนั้น เอกย่อมไม่สามารถเรียกร้องให้โทรับผิดได้ เนื่องจากไม่มีลายมือชื่อของโทในเช็คนั้น

ส่วนธนาคารนั้น เอกจะเรียกร้องให้ธนาคารรับผิดไม่ได้ เพราะเมื่อธนาคารไม่ได้ลงลายมือชื่อ รับรองเช็ค ธนาคารก็ไม่ต้องรับผิดตามเช็ค (มาตรา 900 วรรคแรก ประกอบมาตรา 993 วรรคแรก)

สรุป

เอกจะเรียกร้องให้โทรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คพิพาทได้ก็ต่อเมื่อโทได้สลักหลังโอนเช็ค ให้แก่เอก แต่เอกจะเรียกร้องให้ธนาคารซึ่งไม่ได้ลงลายมือชื่อรับรองเช็ครับผิดตามเช็คไม่ได้

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

ช้ คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 น.ส.ใหม่เป็นดาราชื่อดัง ในระหว่างถ่ายทําละครเรื่อง “หนึ่ง” น.ส.ใหม่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน น.ส.ใหม่ได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเป็นโรคมะเร็งปอดขั้นที่สาม ทําให้ นายเทพผู้จัดการส่วนตัวออกแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงโรคร้ายของ น.ส.ใหม่ สื่อทุกประเภท ลงข่าวดังกล่าวเป็นเวลาหลายวัน ต่อมา น.ส.ใหม่ได้ทําประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับ บริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 5 ล้านบาท อายุความคุ้มครองตามสัญญา 10 ปี ระบุนายเทพผู้จัดการส่วนตัวเป็นผู้รับประโยชน์ แต่ในระหว่างยื่นคําขอเอาประกันชีวิต น.ส.ใหม่ ระบุไปว่าตนไม่มีปัญหาสุขภาพ และบริษัทฯ ก็รับทําประกันชีวิตให้ หลังจากทําประกันชีวิตได้ 1 ปี น.ส.ใหม่ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็งดังกล่าว นายเทพจึงแสดงเจตนาเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ ว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์จะขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิต แต่ถูกบริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงิน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเทพสามารถเรียกให้บริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด ใช้เงินตามสัญญา ประกันชีวิตแก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงิน ใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคล อันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่ง อาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้างได้ ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้า ปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 866 “ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงดังกล่าวในมาตรา 865 นั้นก็ดี หรือรู้ว่าข้อแถลงความ เป็นความเท็จก็ดี หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากใช้ความระมัดระวังดังจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนก็ดี ท่านให้ฟังว่า สัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ในขณะทําสัญญาประกันภัยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย มิเช่นนั้นสัญญาประกันภัยจะไม่ผูกพันคู่สัญญาฝ่ายที่เป็นผู้รับประกันภัยให้ต้องรับผิดในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ตามสัญญาประกันภัย (มาตรา 863) อีกทั้งผู้เอาประกันภัยยังมีหน้าที่จะต้องแถลงข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจ ผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ถ้าในขณะทําสัญญาผู้เอาประกันปกปิด ข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆยะ (มาตรา 865) แต่ถ้าหากผู้รับ ประกันภัยได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงการปกปิดข้อความจริงหรือการแถลงข้อความเท็จของผู้เอาประกันภัยหากใช้ ความระมัดระวังดังจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน สัญญาประกันภัยนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ (มาตรา 866)

ตามอุทาหรณ์ การที่ น.ส.ใหม่ได้ทําประกันชีวิตแบบอาศัยความมรณะไว้กับบริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 5 ล้านบาท อายุความคุ้มครองตามสัญญา 10 ปีนั้น ถือว่า น.ส.ใหม่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่เอาประกัน สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา 863 ดังนั้น เมื่อ น.ส.ใหม่ถึงแก่ความตาย บริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด จึงต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนายเทพผู้รับประโยชน์ตามสัญญานั้น ตามมาตรา 862

การที่ น.ส.ใหม่ได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าเป็นโรคมะเร็งปอดขั้นที่สามซึ่งเป็นโรคร้ายแรง แต่ในระหว่าง ยื่นคําขอเอาประกันชีวิต น.ส.ใหม่ระบุในคําขอเอาประกันชีวิตว่าตนไม่มีปัญหาสุขภาพนั้น ถือเป็นการปกปิด ข้อความจริงหรือแถลงข้อความเท็จในระหว่างทําสัญญาประกันภัยตามมาตรา 865 ซึ่งมีผลให้สัญญาประกันภัย ดังกล่าวเป็นโมฆยะ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ น.ส.ใหม่เป็นดาราชื่อดัง ประกอบกับนายเทพผู้จัดการส่วนตัว ได้ออกแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงโรคร้ายของ น.ส.ใหม่ และสือทุกประเภทได้ลงข่าวดังกล่าวเป็นเวลาหลายวัน ซึ่งหากบริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชนแล้วก็จะทราบได้ว่า น.ส.ใหม่ได้แถลง ข้อความเท็จ ดังนั้นกรณีดังกล่าวนี้ย่อมมีผลทําให้สัญญาประกันภัยมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 866 เมื่อ น.ส.ใหม่ ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็งดังกล่าว และนายเทพได้แสดงเจตนาเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ ว่าตนเป็นผู้รับประโยชน์ จะขอรับเงินตามสัญญาประกันชีวิต บริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด จึงต้องใช้เงินตามสัญญาให้แก่นายเทพ จะปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ได้

สรุป นายเทพสามารถเรียกให้ บริษัท แสนดีประกันชีวิต จํากัด ใช้เงินตามสัญญาประกันชีวิต แก่ตนได้

 

ข้อ 2. นายกุนทําประกันอัคคีภัยบ้านของตนเองกับบริษัท เชื่อใจประกันภัย จํากัด วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ทุนเอาประกัน 2 ล้านบาท อายุความคุ้มครองตามสัญญา 2 ปี ระบุนายขาลเป็นผู้รับประโยชน์และ ส่งมอบกรมธรรม์ให้นายขาลเก็บไว้ หลังจากนั้นนายกุนได้โอนขายบ้านหลังดังกล่าวให้แก่นายชวด ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ต่อมาในวันที่ 10 เมษายน 2562 บ้านหลังดังกล่าวเกิดเพลิงไหม้ เสียหายทั้งหลัง ในวันที่ 11 เมษายน 2562 เวลา 11.30 น. นายกุนติดต่อไปยังบริษัทฯ แจ้งว่า ตนได้โอนขายบ้านให้แก่นายชวดและเรียกร้องให้บริษัทฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญา ประกันอัคคีภัยให้แก่นายชวด ต่อมาในเวลา 11.00 น. ของวันเดียวกัน นายขาลได้ติดต่อไปยัง บริษัทฯ โดยแสดงเจตนาที่จะเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันอัคคีภัย ซึ่งบริษัทฯ ได้รับเรื่อง ของนายกุนและนายขาลไว้ทั้งคู่ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า บุคคลใดจะมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันอัคคีภัยจากบริษัท เชื่อใจ ประกันภัย จํากัด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทําสัญญาตกลงว่าจะชําระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชําระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนา แก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ชานหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับจํานวนเงิน ใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรมก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ทานว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ยอมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและบอกกล่าว การโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอน เช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

ในระหว่างเสี่ยงภัยนั้นหากผู้เอาประกันวินาศภัยได้โอนวัตถุที่เอาประกันภัยไปยังบุคคลภายนอกและ ได้บอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไม่ว่าในเวลาใด ๆ ในระหว่างเสียงภัยหรือหลังเสียงภัยก็ตาม สิทธิอันมีอยู่ ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนติดไปกับวัตถุที่เอาประกันภัยด้วยตามมาตรา 875 เว้นเสียแต่ผู้เอาประกันวินาศภัย จะเด้ระบุตัวของผู้รับประโยชน์เอาไว้แล้วและผู้รับประโยชน์ได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว ตามมาตรา 862 ประกอบมาตรา 374 ก่อนที่ผู้เอาประกันภัยจะได้บอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัย สิทธิ ในการรับประโยชน์ตามสัญญาย่อมเป็นของผู้รับประโยชน์และไม่โอนติดไปกับวัตถุที่เอาประกันภัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกันได้ทําประกันอัคคีภัยบ้านของตนเองกับบริษัท เชื่อใจประกันภัย จํากัด ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 ทุน อาประกัน 2 ล้านบาท อายุความคุ้มครองตามสัญญา 2 ปี โดยระบุชื่อ นายขาลเป็นผู้รับประโยชน์และส่งมอบกรมธรรม์ให้นายขาลเก็บไว้ แต่นายขาลยังมิได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ แห่งสัญญาประกันภัยไปยังบริษัท เชื่อใจประกันภัย จํากัด ตามมาตรา 862 ประกอบมาตรา 374 นั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างอายุความคุ้มครองของสัญญาคือในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 นายกุนได้โอนขาย บ้านหลังดังกล่าวให้แก่นายชวด และต่อมาในวันที่ 10 เมษายน 2562 บ้านหลังดังกล่าวได้เกิดเพลิงไหม้ทั้งหลัง และนายกุนได้ติดต่อไปยังบริษัทฯ ในวันที่ 11 เมษายน 2562 เวลา 11.30 น. ว่าตนได้โอนขายบ้านให้แก่นายชวด และเรียกร้องให้บริษัทฯ จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันอัคคีภัยให้แก่นายชวด และเป็นการบอกกล่าวก่อนที่นายขาลจะได้แสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยนั้น เนื่องจากนายขาลได้แสดงเจตนา ที่จะเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาดังกล่าวในเวลา 11.00 น. ของวันเดียวกัน ดังนั้น สิทธิอันมีอยู่ในสัญญา ประกันอัคคีภัยรายนี้จึงโอนติดไปกับวัตถุที่เอาประกันภัยตามมาตรา 875 สิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ตามสัญญาฯ รายนี้จึงตกได้แก่นายชวดผู้รับโอน

สรุป นายชวดเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันอัคคีภัยจากบริษัท เชื่อใจประกันภัย จํากัด

 

ข้อ 3 นายอ๊อดทําสัญญาประกันชีวิตแบบตลอดชีพไว้กับบริษัท อุ่นใจ จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 800,000 บาท โดยระบุนายเทพเป็นผู้รับประโยชน์และส่งมอบกรมธรรม์ให้แก่นายเทพเก็บรักษาไว้ หลังจากทําสัญญา 4 ปี นายเทพเผลอทําปืนลั่นกระสุนปืนเจาะที่กะโหลกของนายอ๊อดจนถึงแก่ ความตาย วันต่อมานายเทพได้ทําหนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อขอรับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิต แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตแก่นายเทพ

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การปฏิเสธของบริษัท อุ่นใจ จํากัด ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอาประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่าตนจํานงจะถือเอา ประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใด ท่านว่าผู้รับประกันภัย จําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือ ให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ๊อดทําสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุมรณะแบบตลอดชีพ ไว้กับบริษัท อุ่นใจ จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 800,000 บาท และระบุให้นายเทพเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทําได้ เพราะถือว่านายอ๊อดผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตาย บริษัทฯ จะต้องใช้เงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นตามมาตรา 889 เว้นแต่จะเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 895 ที่บริษัทฯ ไม่ต้องใช้เงินให้แก่ผู้รับประโยชน์

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากที่ได้ทําสัญญา 4 ปี นายเทพผู้รับประโยชน์เผลอทําปืนลั่น กระสุนปืนเจาะเข้าที่กะโหลกของนายอ๊อดจนนายอ๊อดถึงแก่ความตาย กรณีดังกล่าวถือว่าไม่เข้าข้อยกเว้นตาม มาตรา 895 (2) กล่าวคือไม่ถือว่านายอ๊อดผู้เอาประกันภัยถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา แต่เป็นการกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้นายอ๊อดถึงแก่ความตายเท่านั้น และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏอีกด้วยว่า นายอ๊อดได้ส่งมอบ กรมธรรม์ให้แก่นายเทพแล้ว และนายเทพผู้รับประโยชน์ได้บอกกลาวเป็นหนังสือไปยังบริษัทฯ ผู้รับประกันภัย แล้วว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้นตามมาตรา 891 วรรคหนึ่งแล้ว บริษัทฯ จะอ้างเหตุการกระทํา ของนายเทพที่เป็นเหตุให้นายอ๊อดถึงแก่ความตาย เพื่อปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตแก่นายเทพไม่ได้ บริษัท อุ่นใจ จํากัด จะต้องจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตให้แก่นายเทพ

สรุป

การปฏิเสธการจ่ายเงินตามสัญญาประกันชีวิตแก่นายเทพของบริษัท อุ่นใจ จํากัด ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายทองเป็นเจ้าของบ้านราคา 10 ล้านบาท นายทองเอาประกันอัคคีภัยบ้านหลังนี้ไว้กับบริษัทผู้รับประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยกรมธรรม์ประกันภัยมิได้กําหนดราคาแห่งส่วนได้เสียไว้ ส่วนจํานวนเงิน เอาประกันภัยระบุไว้ 7 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี นายทองชําระเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน 7 พันบาท หลังจากทําสัญญาไป 4 เดือน เกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้บ้านนายทอง เสียหายหมดทั้งหลัง นายทองเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่ได้รับการปฏิเสธ อ้างว่าสัญญาไม่ผูกพันและราคาแห่งส่วนได้เสียเป็นสาระสําคัญที่ต้องระบุไว้ในกรมธรรม์ฯ

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยก ตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 867 วรรคสาม “กรมธรรม์ประกันภัย ต้องลงลายมือชื่อของผู้รับประกันภัย และมีรายการ ดังต่อไปนี้

(1) วัตถุที่เอาประกันภัย

(3) ราคาแห่งมูลประกันภัย ถ้าหากได้กําหนดกันไว้

(4) จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัย”

มาตรา 869 “อันคําว่า “วินาศภัย” ในหมวดนี้ ท่านหมายรวมเอาความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดา ซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองซึ่งเป็นเจ้าของบ้านราคา 10 ล้านบาท นายทองเอาประกัน อัคคีภัยบ้านหลังนี้ไว้กับบริษัทผู้รับประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยกรมธรรม์ประกันภัยมิได้กําหนดราคาแห่งส่วนได้เสียไว้ ส่วนจํานวนเงินเอาประกันภัยระบุไว้ 7 ล้านบาท ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี นายทองได้ชําระเบี้ยประกันภัยเป็น เงิน 7 พันบาท หลังจากทําสัญญาได้ 4 เดือน เกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้วลุกลามมาไหม้บ้านนายทองเสียหาย หมดทั้งหลัง เมื่อนายทองเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ได้รับการปฏิเสธอ้างว่าสัญญา ไม่ผูกพัน และราคาแห่งส่วนได้เสียเป็นสาระสําคัญที่ต้องระบุไว้ในกรมธรรม์ฯ นั้น ข้ออ้างของบริษัทประกันภัย ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 สัญญาประกันภัยผูกพันคู่สัญญาหรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า เมื่อนายทองเป็นเจ้าของบ้านซึ่งเอาประกันอัคคีภัยไว้ ย่อมถือว่านายทองผู้เอา ประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 อีกทั้งการที่เกิดเพลิงไหม้บ้านข้างเคียงแล้ว ลุกลามมาไหม้บ้านของนายทองเสียหายหมดทั้งหลัง ถือว่าเป็นวินาศภัยที่เกิดขึ้นกับนายทองแล้ว และการที่บ้านถูกไฟไหม้ทําให้นายทองเสียหายคิดเป็นเงิน 10 ล้านบาท แต่นายทองได้เอาประกันไว้เพียง 7 ล้านบาท ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นจึงประมาณเป็นเงินได้ตามมาตรา 869 ดังนั้น สัญญาจึงผูกพันคู่สัญญา ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่า สัญญาไม่ผูกพันจึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่ 2 ในกรมธรรม์ฯ จะต้องระบุราคาแห่งส่วนได้เสียหรือไม่

เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติมาตรา 867 วรรคสาม (3) ที่ว่า “กรมธรรม์ประกันภัยต้องลงลายมือชื่อ ของผู้รับประกันภัย และมีรายการดังต่อไปนี้ (3) ราคาแห่งมูลประกันภัย ถ้าหากได้กําหนดกันไว้” ย่อมแสดง ให้เห็นว่าราคาแห่งส่วนได้เสียที่กฎหมายเรียกว่าราคาแห่งมูลประกันภัยนั้น จะกําหนดไว้ในกรมธรรม์ฯ หรือไม่ก็ได้ จึงไม่ใช่สาระสําคัญแห่งกรมธรรม์ฯ ดังนั้น ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยที่ว่าราคาส่วนได้เสียเป็นสาระสําคัญที่ ต้องระบุไว้ในกรมธรรม์ฯ จึงไม่ถูกต้องเช่นกัน

สรุป ข้ออ้างทั้ง 2 ประการของบริษัทประกันภัยไม่ถูกต้อง

 

ข้อ 2 นายฮกทําประกันอัคคีภัยบ้านของตนเองไว้กับบริษัท มานะประกันภัย จํากัด ทุนเอาประกัน 5 แสนบาท อายุความคุ้มครองตามสัญญา 1 ปี หลังจากทําสัญญาฯ ได้ 2 เดือน นายฮกตั้งเตาแก๊ส อุ่นแกงไตปลาทิ้งไว้เป็นเวลานานจนเกิดไฟลุกไหม้บริเวณห้องครัวบ้านของนายฮก นายฮกได้กลิ่นไหม้ จึงรีบไปปิดแก๊สและได้ไปขอยืมถังดับเพลิงของเพื่อนบ้านมาดับไฟ ราคา 2,000 บาท แต่ไฟยังคง ลุกลามอยู่จึงต้องทุบครัวบางส่วนทิ้งเพื่อป้องกันมิให้ไฟลุกลามไปยังส่วนอื่นของบ้าน ตีราคา ค่าเสียหายเป็นจํานวนเงิน 2 แสนบาท นายฮกจึงแจ้งไปยังบริษัท มานะประกันภัย จํากัด เรียกร้อง ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนในราคาค่าถังดับเพลิงที่จะต้องซื้อใช้คืนแก่เพื่อนบ้านและความเสียหาย จากการทุบครัวบางส่วนทิ้ง แต่บริษัท มานะประกันภัย จํากัด ปฏิเสธว่าความเสียหายเกิดจาก ความประมาทเลินเล่อของนายฮกเอง บริษัทฯ ไม่ต้องรับผิด และการใช้ราคาค่าถังดับเพลิงกับ ค่าเสียหายจากการทุบครัวบางส่วนนั้นมิใช่ความเสียหายจากอัคคีภัยตามที่ระบุไว้ในสัญญา บริษัทฯ ไม่ต้องรับผิด ข้ออ้างในการปฏิเสธของบริษัท มานะประกันภัย จํากัด ทั้งสองกรณี ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 877 “ผู้รับประกันภัยจําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแท้จริง

(2) เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควร เพื่อป้องปัดความวินาศภัย

(3) เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ

อันจํานวนวินาศจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่ง จํานวนเงินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น

ท่านห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้”

มาตรา 879 วรรคหนึ่ง “ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัย หรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุ ไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับ ประโยชน์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายฮกทําประกันอัคคีภัยบ้านของตนเองไว้ถือว่าเป็นผู้มีเหตุแห่งส่วนได้เสีย ตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพัน และเมื่อมีภัยเกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญา (อัคคีภัย) บริษัทผู้รับประกันภัย ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาให้กับนายฮกตามมาตรา 877 คือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในบรรดา ความเสียหายอย่างใด ๆ ซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้เพื่อจํานวนวินาศภัยอันแท้จริง เพื่อความบุบสลายอันเกิด แก่ทรัพย์สินซึ่งได้เอาประกันภัยไว้ เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัดความวินาศภัย เพื่อบรรดาค่าใช้จ่าย อันสมควรซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ เว้นแต่วินาศภัยนั้นจะได้เกิดขึ้นเพราะ ความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ ซึ่งทําให้ผู้รับประกันภัย ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 879 วรรคหนึ่ง

เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นจากการที่นายฮกตั้งเตาแก๊ส อุ่นแกงไตปลาทิ้งไว้เป็นเวลานานจนเกิดไฟลุกไหม้บริเวณห้องครัว ซึ่งเป็นความเสียหายจากอัคคีภัยตามที่ระบุไว้ ในสัญญาประกันภัย แม้จะเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายฮกผู้เอาประกันภัย แต่ก็มิใช่ความประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรงตามมาตรา 879 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันอัคคีภัย ต่อนายฮกผู้เอาประกัน รวมทั้งค่าเสียหายในราคาค่าถังดับเพลิง 2,000 บาท และค่าเสียหายที่ตีราคาได้จากการ ทุบครัวบางส่วนทิ้งซึ่งเป็นค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทําของผู้เอาประกันภัยตามมาตรา 377 (2) และ (3) ที่ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิด การที่บริษัทฯ ปฏิเสธไม่ยอมรับผิด โดยยกข้ออ้างในการปฏิเสธความรับผิดของ บริษัทฯ ทั้ง 2 กรณีนั้นจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างในการปฏิเสธความรับผิดทั้ง 2 กรณีของบริษัท มานะประกันภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3 นายอ๊อดทําสัญญาประกันชีวิตโดยเอาประกันชีวิตตนเองด้วยเหตุทรงชีพในวันที่ 24 กันยายน 2560 กับบริษัท ดีเลิศประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 300,000 บาท มีระยะเวลา 10 ปี กําหนดให้ นางเขียดภรรยาเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมานายอ๊อดประสบปัญหาทางการเงินจึงเกิดความเครียด เลยตัดสินใจกินน้ำยาล้างห้องน้ำเพื่อฆ่าตัวตายวันที่ 20 กันยายน 2561 แต่ยังไม่ถึงแก่ความตาย นางเขียดมาเห็นเข้าพอดีจึงรีบพานายอ๊อดส่งโรงพยาบาลเพื่อล้างท้องและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล จนถึงวันที่ 25 กันยายน 2561 นายอ๊อดจึงถึงแก่ความตาย ดังนี้ จงวินิจฉัยว่านางเขียดผู้รับประโยชน์ จะมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิตหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาเต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของ บุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 890 “จํานวนเงินอันจะพึงใช้นั้น จะชําระเป็นเงินจํานวนเดียว หรือเป็นเงินรายปีก็ได้ สุดแล้วแต่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา”

มาตรา 895 “เมื่อใดจะต้องใช้จํานวนเงินในเหตุมรณะของบุคคลคนหนึ่งคนใดท่านว่าผู้รับประกันภัย จําต้องใช้เงินนั้นในเมื่อมรณภัยอันนั้นเกิดขึ้น เว้นแต่

(1) บุคคลผู้นั้นได้กระทําอัตตวินิบาตด้วยใจสมัครภายในปีหนึ่งนับแต่วันทําสัญญา หรือ

(2) บุคคลผู้นั้นถูกผู้รับประโยชน์ฆ่าตายโดยเจตนา

ในกรณีที่ 2 นี้ท่านว่าผู้รับประกันภัยจําต้องใช้เงินค่าไถ่ถอนกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือ ให้แก่ทายาทของผู้นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ๊อดทําสัญญาประกันชีวิตตนเอง ย่อมถือว่านายอ๊อดมีส่วนได้เสีย ในเหตุที่ประกัน สัญญาประกันชีวิตย่อมมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา 863

การที่นายอ๊อดทําสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการทรงชีพนั้น บริษัทจะใช้เงินให้ ตามสัญญาประกันชีวิตตามมาตรา 890 ตามจํานวนที่กําหนดไว้ในสัญญานั้น นายอ๊อดผู้เอาประกันชีวิต และ ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้ถูกเอาประกันชีวิตด้วยนั้นจะต้องมีชีวิตอยู่จนครบตามสัญญา คือ ครบ 10 ปี บริษัท ประกันชีวิตจึงจะใช้เงินให้ตามมาตรา 889

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอ๊อดได้กินน้ำยาล้างห้องน้ำเพื่อฆ่าตัวตายก่อนครบกําหนดอายุ สัญญาประกันชีวิต นางเขียดผู้รับประโยชน์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาดังกล่าว และในกรณีนี้ก็ไม่เข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 895 เพราะการที่จะปรับเข้ากับข้อกฎหมายตามมาตรา 895 นั้นต้องเป็นกรณีการประกันชีวิต โดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะเท่านั้น ฉะนั้นบทบัญญัติมาตรา 895 จึงไม่จําต้องนํามาพิจารณาในกรณีนี้ ดังนั้น บริษัทประกันชีวิตจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่นางเขียดผู้รับประโยชน์ โดยสามารถยกข้อต่อสู้ว่านายอ๊อด ผู้เอาประกันชีวิตมิได้มีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาตามที่สัญญาประกันชีวิตแบบอาศัยความทรงชีพกําหนดไว้ ขึ้นปฏิเสธความรับผิดต่อนางเขียดได้

สรุป

นางเขียดผู้รับประโยชน์ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิต

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายเก่งเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท มอเตอร์อิมแพค จํากัด โดยตกลงจะชําระราคาค่าเช่าซื้อเป็น 60 งวด หลังจากทําสัญญาเช่าซื้อเสร็จนายเก่งกลัวว่ารถยนต์ของตนจะสูญหายเพราะบ้านของตนเอง ไม่มีที่จอดรถจะต้องจอดไว้ที่ถนนหน้าบ้าน ทั้งในบริเวณนั้นเกิดการโจรกรรมรถยนต์ขึ้นบ่อย นายเก่งจึงได้ติดต่อไปที่นายเกมส์ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัท มานะประกันภัย ในการจัดหาและ ชักชวนให้ผู้อื่นมาทําสัญญาประกัน (แต่ไม่ได้รับมอบอํานาจในการพิจารณารับทําสัญญาประกันภัย) เพื่อขอทําประกันภัยประเภทที่ 1 คุ้มครองทุกอย่างรวมถึงการโจรกรรมรถยนต์ด้วย ในขณะทํา สัญญาประกันภัย นายเก่งได้แถลงลงในใบขอเอาประกันว่ารถยนต์ของตนนั้นจอดอยู่ในบ้านและ ในบริเวณนั้นไม่เคยมีการโจรกรรมรถยนต์เกิดขึ้น ซึ่งนายเกมส์ได้รู้ว่าข้อความที่นายเก่งแถลงเป็น ความเท็จแต่ก็นําใบขอเอาประกันของนายเก่งไปเสนอต่อบริษัท มานะประกันภัย รับทําสัญญาประกัน ตามใบเสนอขอเอาประกันดังกล่าวโดยมีอายุการคุ้มครองตามสัญญา 5 ปี ในระหว่างอายุความคุ้มครอง ของสัญญารถยนต์ของนายเก่งซึ่งได้ชําระค่าเช่าซื้อไป 40 งวดแล้วเกิดสูญหายจากการลักขโมย นายเก่งจึงแจ้งไปยังบริษัท มานะประกันภัย เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรม ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขการคุ้มครองของสัญญา บริษัท มานะประกันภัย ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังกล่าวโดยอ้างว่านายเก่งยังชําระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของบริษัท มอเตอร์ อิมแพค นายเก่งไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยประการหนึ่ง และการที่นายเก่งแจ้งข้อความ อันเป็นเท็จว่ารถยนต์ของตนนั้นจอดอยู่ในบ้านและในบริเวณนั้นไม่เคยมีการโจรกรรมรถยนต์เกิดขึ้น จึงทําให้สัญญาตกเป็นโมฆยะอีกประการหนึ่ง ข้ออ้างในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัท มานะประกันภัย ทั้งสองประการนี้ ฟังขึ้นหรือไม่ และบริษัท มานะประกันภัย จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเก่งหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะ บอกล้างได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

มาตรา 866 “ถ้าผู้รับประกันภัยได้รู้ข้อความจริงดังกล่าวในมาตรา 865 นั้นก็ดี หรือรู้ว่า ข้อแถลงความเป็นความเท็จก็ดี หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากใช้ความระมัดระวังดังจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญชนก็ดี ท่านให้ฟังว่าสัญญานั้นเป็นอันสมบูรณ์”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ในขณะทําสัญญาประกันภัยผู้เอาประกันภัยจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอา ประกันภัย มิเช่นนั้นสัญญาประกันภัยจะไม่ผูกพันคู่สัญญาฝ่ายที่เป็นผู้รับประกันภัยให้ต้องรับผิดในการจ่าย ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย (มาตรา 863) อีกทั้งผู้เอาประกันภัยยังมีหน้าที่จะต้องแถลงข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ถ้าในขณะทําสัญญา ผู้เอาประกันปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ สัญญาประกันภัยย่อมตกเป็นโมฆี่ยะ (มาตรา 865) แต่ถ้าหากผู้รับประกันภัยได้รู้หรือควรจะได้รู้ถึงการปกปิดข้อความจริงหรือการแถลงข้อความเท็จของผู้เอาประกันภัย ในขณะทําสัญญาประกันภัย สัญญานั้นย่อมเป็นอันสมบูรณ์ (มาตรา 866)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีที่ 1 การที่นายเก่งได้นํารถยนต์ที่ตนเช่าซื้อไปทําสัญญาประกันภัยกับบริษัท มานะ ประกันภัยนั้น ถือว่านายเก่งในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันโดยไม่ต้องคํานึงว่า นายเก่งจะได้ชําระราคาค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วหรือไม่ ดังนั้น เมื่อรถยนต์ของนายเก่งซึ่งได้ชําระค่าเช่าซื้อไป 40 งวด ยังไม่ครบ 60 งวด เกิดสูญหายจากการลักขโมย การที่บริษัท มานะประกันภัย ได้ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ทดแทนโดยอ้างว่านายเก่งยังชําระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของบริษัท มอเตอร์อิมแพค นายเก่งไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาประกันภัยนั้น ข้ออ้างในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัท มานะ ประกันภัย ในกรณีนี้จึงฟังไม่ขึ้น

กรณีที่ 2 การที่นายเก่งแถลงข้อความอันเป็นเท็จในใบขอเอาประกันว่ารถยนต์ของตนนั้น จอดอยู่ในบ้านและในบริเวณนั้นไม่เคยมีการโจรกรรมรถยนต์เกิดขึ้น ทั้งที่แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ถือว่า นายเก่งได้แถลงข้อความอันเป็นเท็จในขณะทําสัญญาประกันภัย สัญญาประกันภัยดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆี่ยะ ตามมาตรา 865 และถึงแม้ว่านายเกมส์ตัวแทนของบริษัท มานะประกันภัย จะได้รู้ถึงการแถลงข้อความอันเป็นเท็จ ดังกล่าว ก็ถือไม่ได้ว่าบริษัท มานะประกันภัย ได้รู้ถึงการแถลงข้อความอันเป็นเท็จนั้น เพราะนายเกมส์มีหน้าที่เพียง จัดหาและชักชวนให้ผู้อื่นมาทําสัญญาประกันภัยเท่านั้น แต่อํานาจในการพิจารณาและตรวจสอบข้อเท็จจริงใน ใบเสนอขอเอาประกันเป็นอํานาจของบริษัท มานะประกันภัย เมื่อบริษัท มานะประกันภัย ได้ทราบถึงการแถลง ข้อความอันเป็นเท็จของนายเก่ง บริษัท มานะประกันภัย ย่อมมีสิทธิที่จะบอกล้างให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆะ เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ ดังนั้นข้ออ้างในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ว่านายเก่งแจ้งข้อความ อันเป็นเท็จจึงฟังขึ้น

สรุป

ข้ออ้างในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัท มานะประกันภัย ที่ว่า นายเก่งไม่มีสวนได้เสียในสัญญาประกันภัยฟังไม่ขึ้น แต่ข้ออ้างที่ว่านายเก่งแจ้งข้อความอันเป็นเท็จนั้นฟังขึ้น ดังนั้น บริษัท มานะประกันภัย จึงไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเก่ง

 

ข้อ 2 นายหมื่นเป็นเจ้าของรถยนต์คนหนึ่งได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปทําสัญญาประกันภัยในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์กับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด จํานวนเงินซึ่งเอาประกันภัยห้าแสนบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาประกันภัยได้ 5 เดือน นายเรืองมาติดต่อนายหมื่นเพื่อขอซื้อ รถยนต์จากนายหมื่น และนัดทําสัญญาซื้อขายกันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งอยู่ในระหว่าง อายุสัญญาประกันภัย ปรากฏว่าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 นายหมื่นขับรถยนต์นั้นไปทําธุระ แต่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ทําให้เกิดเหตุขับไปเฉียวชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางเป็นเหตุให้รถยนต์นั้น ได้รับความเสียหายตีราคาความเสียหายเป็นจํานวนสามหมื่นบาท โดยนายหมื่นยังไม่ได้เรียก ค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท ยังยืนประกันวินาศภัย จํากัด ดังนั้น เมื่อครบกําหนดวันนัดทําสัญญาซื้อขาย นายเรืองได้มาทําสัญญาตามที่นัดไว้และแม้นายเรือง จะเห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหายแต่ก็ต้องการที่จะซื้อเพราะเห็นว่ารถยนต์คันนี้มีประกัน นายเรืองก็สามารถเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด นั้นชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ ในฐานะผู้รับโอนสิทธิมาโดยสัญญาซื้อขาย อีกทั้งนายหมื่นได้มีการบอกกล่าวการโอนโดยวาจา ไปยังบริษัทฯ แล้ว จงวินิจฉัยว่า นายเรืองมีสิทธิเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 306 วรรคหนึ่ง “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชําระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น ถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คําบอกกล่าวหรือความยินยอม เช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือ”

มาตรา 875 “ถ้าวัตถุอันได้เอาประกันภัยไว้นั้น เปลี่ยนมือไปจากผู้เอาประกันภัยโดยพินัยกรรม ก็ดี หรือโดยบทบัญญัติกฎหมายก็ดี ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยก็ยอมโอนตามไปด้วย

ถ้าในสัญญามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น เมื่อผู้เอาประกันภัยโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและ บอกกล่าวการโอนไปยังผู้รับประกันภัยไซร้ ท่านว่าสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยนั้นย่อมโอนตามไปด้วย อนึ่ง ถ้าในการโอนเช่นนี้ช่องแห่งภัยเปลี่ยนแปลงไปหรือเพิ่มขึ้นหนักไซร้ ท่านว่าสัญญาประกันภัยนั้นกลายเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมื่นซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ได้นํารถยนต์ไปทําสัญญาประกันภัย ในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์กับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด และหลังจากทําสัญญาประกันภัยได้ 5 เดือน นายหมื่นได้ตกลงขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายเรือง และนัดทําสัญญาซื้อขายกันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งอยู่ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 นายหมื่นได้ ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉียวชนกับเสาไฟฟ้าข้างทางเป็นเหตุให้รถยนต์คันนั้นได้รับความเสียหายตีราคาความเสียหาย เป็นจํานวนเงินสามหมื่นบาท โดยนายหมื่นยังไม่ได้เรียกค่าสินไหมทดแทนกับบริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด และเมื่อครบกําหนดวันนัดทําสัญญาซื้อขาย นายเรืองได้มาทําสัญญาตามที่นัดไว้ และนายหมื่นได้มีการบอกกล่าว โดยวาจาไปยังบริษัทฯ แล้วนั้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ นายเรืองจะมีสิทธิเรียกให้บริษัทยังยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้หรือไม่

กรณีดังกล่าว นายเรืองย่อมไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัท ยังยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหม ทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่นได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์การโอนวัตถุ ที่เอาประกันภัยตามมาตรา 875 วรรคสอง เนื่องจากนายเรืองได้รับโอนรถยนต์ที่เอาประกันภัยมาภายหลัง ที่เกิดวินาศภัยแล้ว สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยจึงไม่โอนตามไปด้วย ซึ่งตามมาตรา 875 วรรคสองนั้น การโอนวัตถุที่เอาประกันภัยและสิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยยอมโอนตามไปด้วยนั้นจะต้องเป็นการโอน ก่อนเกิดวินาศภัยเท่านั้น ดังนั้น หากเกิดวินาศภัยขึ้นแล้วและภายหลังมีการโอนเกิดขึ้นก็จะต้องทําตามมาตรา 306 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ จะต้องทําเป็นหนังสือระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอนและมีการบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยัง ลูกหนี้ (ผู้รับประกันภัย) ก่อน สิทธิที่มีอยู่จึงจะโอนตามไปด้วย แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่ามิได้มีการปฏิบัติตาม มาตรา 306 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด

สรุป

นายเรืองไม่มีสิทธิเรียกให้บริษัท ยั่งยืนประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่นายเรืองได้ซื้อมาจากนายหมื่น

 

ข้อ 3 นายปรีชาและนางบุญมี เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นายปรีชาได้ทําสัญญากู้เงินจากนายเจริญมาจํานวน 200,000 บาท เพื่อใช้จ่ายในกิจการค้าของตน ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2555 นายปรีชาได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตตนเองต่อบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงิน เอาประกัน 500,000 บาท โดยทําสัญญาแบบอาศัยเหตุมรณะ ระบุให้นางบุญมีเป็นผู้รับประโยชน์ โดยได้ชําระเบี้ยประกันไป จํานวน 50,000 บาท วันที่ 25 สิงหาคม 2556 นายปรีชาประสบอุบัติเหตุ ระหว่างเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน ทําให้นายปรีชาถึงแก่ความตาย นางบุญมีจึงแจ้งไปยังบริษัท เมืองดีประกันชีวิต เพื่อขอรับเงินประกันตามสัญญา และนอกจากนั้นนายเจริญเจ้าหนี้ของนายปรีชา ก็ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด ใช้เงินให้แก่นายเจริญก่อนในฐานะเจ้าหนี้ ของผู้เอาประกันภัย ดังนั้น จงวินิจฉัยว่า บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนางบุญมีและ นายเจริญหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 897 “ถ้าผู้เอาประกันภัยได้เอาประกันภัยไว้โดยกําหนดว่าเมื่อตนถึงซึ่งความมรณะ ให้ใช้เงินแก่ทายาททั้งหลายของตนโดยมิได้เจาะจงระบุชื่อผู้หนึ่งผู้ใดไว้ไซร้ จํานวนเงินอันจะพึงใช้นั้นท่านให้ฟัง เอาเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัย ซึ่งเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้

ถ้าได้เอาประกันภัยไว้โดยกําหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง ท่านว่า เฉพาะแต่จํานวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วเท่านั้น จักเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดก ของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปรีชาได้ทําสัญญาประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งการมรณะ ต่อบริษัท เมืองดีประกันภัย จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 500,000 บาทนั้น ถือว่านายปรีชาเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเหตุที่เอาประกัน สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา 863 ประกอบมาตรา 889 ดังนั้น เมื่อนายปรีชา ถึงแก่ความตาย บริษัท เมืองดีประกันภัย จํากัด จึงต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนางบุญมีผู้รับประโยชน์เป็นเงิน จํานวน 450,000 บาท

ส่วนกรณีของนายเจริญซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายปรีชานั้น เมื่อนายปรีชาได้ทําสัญญาประกันชีวิต ตนเองและกําหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง กรณีจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 897 วรรคสอง กล่าวคือ เมื่อผู้เอาประกันภัยถึงแก่ความตายเฉพาะจํานวนเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้ว เท่านั้น จะเป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยที่เจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายปรีชาผู้เอาประกันภัยได้ส่งเบี้ยประกันไปแล้วจํานวน 50,000 บาท ดังนั้น บริษัท เมืองดีประกันภัย จํากัด จึงต้องใช้เงินให้แก่นายเจริญจํานวน 50,000 บาท ตามมาตรา 897 วรรคสอง

สรุป

บริษัท เมืองดีประกันภัย จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนางบุญมีจํานวน 450,000 บาท และใช้เงินให้แกนายเจริญจํานวน 50,000 บาท

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสงบทําสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบมรณะกับบริษัทไทยประกันชีวิต มีระยะเวลาตามกรมธรรม์ 20 ปี โดยระบุให้นางแก้วตาภริยาเป็นผู้รับประโยชน์ ในเวลาทําสัญญานายสงบรู้ตัวดีว่าตนกําลัง ป่วยเป็นโรคหัวใจ แต่ได้ปกปิดไว้ไม่เปิดเผยให้บริษัทฯ ทราบ เพราะกลัวว่าบริษัทฯ จะไม่รับทํา สัญญาด้วย อีก 2 ปีต่อมาหลังจากทําสัญญา นายสงบถูกสุนัขบ้ากัดจนเสียชีวิต อยากทราบว่าสัญญาระหว่างบริษัทไทยประกันชีวิตกับนายสงบมีผลตามกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 865 “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ

ถ้ามิได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลอันจะบอกล้าง ได้ก็ดี หรือมิได้ใช้สิทธินั้นภายในกําหนดห้าปีนับแต่วันทําสัญญาก็ดี ท่านว่าสิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสงบทําสัญญาประกันชีวิตตนเองแบบมรณะกับบริษัทไทยประกันชีวิต มีระยะเวลาตามกรมธรรม์ 20 ปี โดยระบุให้นางแก้วตาภริยาเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมถือว่านายสงบ เป็นผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเวลาทําสัญญา นายสงบรู้ตัวดีว่าตนกําลังป่วย เป็นโรคหัวใจซึ่งเป็นโรคสําคัญที่บริษัทประกันชีวิตไม่รับทําสัญญา แต่นายสงบได้ปกปิดไว้ไม่เปิดเผยให้บริษัทฯ ทราบ เพราะกลัวว่าบริษัทฯ จะไม่รับทําสัญญาด้วย กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นกรณีที่นายสงบผู้เอาประกันชีวิต รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา ดังนั้น สัญญาประกันชีวิตดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆยะตั้งแต่ขณะทําสัญญาตามมาตรา 865 วรรคหนึ่ง แม้จะปรากฏใน ภายหลังว่านายสงบได้เสียชีวิตเพราะถูกสุนัขบ้ากัดไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคที่ปกปิดก็ตาม ก็ไม่ทําให้สัญญาที่ตกเป็น โมฆียะตั้งแต่แรกนั้นเปลี่ยนแปลงมาเป็นสัญญาที่สมบูรณ์แต่อย่างใด บริษัทประกันชีวิตจึงมีสิทธิ์บอกล้างสัญญา ประกันชีวิตนี้ได้แต่จะต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในกําหนด 1 เดือนนับแต่วันที่บริษัทประกันชีวิตได้ทราบมูล อันอาจจะบอกล้างได้ แต่ต้องไม่เกิน 5 ปีนับแต่วันทําสัญญา (มาตรา 865 วรรคสอง)

สรุป

สัญญาประกันชีวิตระหว่างบริษัทไทยประกันชีวิตกับนายสงบมีผลเป็นโมฆียะ และ บริษัทไทยประกันชีวิตมีสิทธิบอกล้างได้ภายในกําหนดเวลาตามมาตรา 865 วรรคสอง

 

ข้อ 2 ออมทําประกันภัยรถยนต์กับบริษัท ตะวันประกันภัย จํากัด (มหาชน) คุ้มครองครอบคลุมภัยที่เกิดจากรถชนและรถหายในวงเงิน 100,000 บาท ขณะที่ออมขับขี่รถยนต์อยู่ได้ถูกเอ้ซึ่งประกันภัย กับบริษัท โปรดปราณประกันภัย จํากัด (มหาชน) คุ้มครองเฉพาะกรณีผู้เอาประกันภัยขับรถไป ก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลภายนอุกในวงเงิน 100,000 บาท ได้ขับรถเสียหลักมาชนรถออม ได้รับความเสียหาย 70,000 บาท บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับประกันภัยของออม ได้นํารถของออมไปจัดการซ่อมแซม และส่งมอบคืนให้แก่ออมเรียบร้อย บริษัท ตะวันประกันภัยฯ จึงเข้ามาเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จํานวน 70,000 บาทคืนจากเอ้ และบริษัทโปรดปราณประกันภัยฯ แต่บริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าบริษัท ตะวันประกันภัยฯ ไม่มีสิทธิ เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย นอกจากนี้การที่บริษัท ตะวันประกันภัยฯ นํารถ ไปซ่อมแซมให้ออมยังถือไม่ได้ว่าได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอันจะทําให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ และหากบริษัท ตะวันประกันภัยฯ จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ต้องให้ออมในฐานะผู้เสียหายโอนสิทธิเรียกร้องก่อน ดังนี้

1)ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ที่ว่า บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหายฟังไม่ขึ้น เพราะเหตุใด

2) ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ที่ว่า บริษัท ตะวันประกันภัยฯ นํารถไปซ่อมแซมให้ออมยังถือไม่ได้ว่าได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอันจะทําให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

3) กรณีบริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ นั้น ออมต้องโอนสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ก่อนหรือไม่ ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 438 วรรคสอง “อนึ่งค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่ การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหาย ต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย”

มาตรา 880 วรรคหนึ่ง “ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจํานวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอา ประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้น”

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าความวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทําของบุคคลภายนอก เมื่อผู้รับ ประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิผู้รับประกันภัยที่จะรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัย ไปเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกนั้นได้ตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ออมทําประกันภัยรถยนต์กับบริษัท ตะวันประกันภัย จํากัด (มหาชน) ขณะขับรถถูกเอ้ซึ่งประกันภัยค้ำจุนไว้กับบริษัท โปรดปราณประกันภัย จํากัด (มหาชน) ได้ขับรถเสียหลักมาชนรถออมได้รับความเสียหาย 70,000 บาท บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยของออมได้นํารถ ของออมไปจัดการซ่อมแซมและส่งมอบคืนให้แก่ออมเรียบร้อยแล้ว บริษัท ตะวันประกันภัยฯ จึงเข้ามาเรียกร้อง ค่าสินไหมทดแทนจํานวน 70,000 บาทคืนกับเอ และบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ แต่บริษัท โปรดปราณ ประกันภัยฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยมีข้ออ้างดังกล่าวนั้น ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยๆ ฟังขึ้นหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1) ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ที่ว่า บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ไม่มีสิทธิ์ เรียกร้อง เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหายนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะบริษัท ตะวันประกันภัยฯ ได้ใช้สิทธิตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง ในการเข้ารับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน และการที่บริษัท ตะวันประกันภัยฯ นํารถไปซ่อมให้ออมนั้นถือเป็น การชําระค่าสินไหมทดแทนให้แก่ออมแล้ว ดังนั้น บริษัท ตะวันประกันภัยฯ จึงใช้สิทธิเรียกเงิน 70,000 บาท จากบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนได้ตามมาตรา 887 วรรคหนึ่งได้

2) ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ที่ว่า บริษัท ตะวันประกันภัยฯ นํารถ ไปซ่อมแซมให้ออมยังถือไม่ได้ว่าได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอันจะทําให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะการที่บริษัท ตะวันประกันภัยฯ นํารถไปซ่อมแซมและส่งมอบคืนให้ ผู้เอาประกันภัยแล้ว ถือได้ว่าเป็นการชําระค่าสินไหมทดแทนโดยการคืนทรัพย์ตามมาตรา 438 วรรคสองแล้ว

3) การที่บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท โปรดปราณ ประกันภัยฯ นั้น ออมไม่จําต้องโอนสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ก่อน เพราะผู้รับประกันภัยย่อม ใช้สิทธิเรียกร้องจากบุคคลภายนอกได้ในนามของตนเองตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง โดยผู้รับประกันภัยสามารถ เข้ารับช่วงสิทธิได้ทันทีโดยไม่ต้องให้ผู้เอาประกันภัยทําหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องก่อนแต่อย่างใด

สรุป

ข้ออ้างของบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ ตาม 1) และ 2) ฟังไม่ขึ้น และตาม 3) กรณี บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ใช้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท โปรดปราณประกันภัยฯ นั้น ออมไม่ต้อง โอนสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ตะวันประกันภัยฯ ก่อนแต่อย่างใด

 

ข้อ 3 นายปรีชาและนางบุญมีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นายปรีชาได้ทําสัญญากู้เงินจากนายเจริญมาจํานวน 200,000 บาท เพื่อใช้จ่ายในกิจการค้าของตน ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2555 นายปรีชาได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตนางบุญมีต่อบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงิน เอาประกัน 500,000 บาท โดยทําสัญญาแบบอาศัยเหตุมรณะ ระบุให้นายปรีชาเป็นผู้รับประโยชน์ โดยได้ชําระเบี้ยประกันไป จํานวน 50,000 บาท วันที่ 25 สิงหาคม 2556 นางบุญมีประสบอุบัติเหตุ ระหว่างเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อน ทําให้นางบุญมีถึงแก่ความตาย นายปรีชาจึงแจ้งไปยังบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด เพื่อขอรับเงินประกันตามสัญญา และนอกจากนั้นนายเจริญเจ้าหนี้ของ นายปรีชาก็ได้ยื่นหนังสือเพื่อขอให้บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด ใช้เงินให้แก่นายเจริญก่อน ในฐานะเจ้าหนี้ของผู้เอาประกันภัย ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนายปรีชาและ นายเจริญหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 897 วรรคสอง “ถ้าได้เอาประกันภัยไว้โดยกําหนดว่าให้ใช้เงินแก่บุคคลคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะเจาะจง ท่านว่าเฉพาะแต่จํานวนเงินเบี้ยประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยได้ส่งไปแล้วเท่านั้นจักเป็นสินทรัพย์ ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้เอาประกันภัยอันเจ้าหนี้จะเอาใช้หนี้ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปรีชาและนางบุญมีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และนายปรีชาได้ทําสัญญาเอาประกันชีวิตนางบุญมีต่อบริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จํานวนเงินเอาประกัน 500,000 บาท โดยทําสัญญาแบบอาศัยเหตุมรณะ และระบุให้นายปรีชาเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ถือว่าเป็นการ ประกันชีวิตของผู้อื่น และเมื่อนายปรีชามีความสัมพันธ์กับนางบุญมในฐานะคู่สมรส จึงถือว่านายปรีชามีส่วนได้เสีย ในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 และมาตรา 889 สัญญาดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนางบุญมี ถึงเก่ความตาย บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จึงต้องใช้เงินตามสัญญาให้แก่นายปรีชาผู้รับประโยชน์ จํานวน 500,000 บาท

ส่วนกรณีของนายเจริญซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายปรีชานั้น บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด ไม่ต้องใช้เงินให้กับนายเจริญเนื่องจากกรณีตามมาตรา 897 วรรคสองนั้น จะใช้กับกรณีที่ผู้เอาประกันภัยได้ทํา สัญญาประกันชีวิตตนเอง และเมื่อผู้เอาประกันถึงแก่ความตาย เฉพาะจํานวนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัย ได้ส่งไปแล้วจึงจะตกเข้ากองมรดกของผู้เอาประกันภัยซึ่งเจ้าหนี้สามารถเอาไปใช้หนี้ได้ แต่ถ้าหากเป็นเรื่อง เอาประกันชีวิตผู้อื่น ย่อมไม่มีโอกาสที่เงินประกันภัยหรือเบี้ยประกันภัยจะตกเข้ากองมรดกของผู้เอาประกันชีวิตได้ เพราะผู้เอาประกันชีวิตยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามสัญญานั้น

สรุป

บริษัท เมืองดีประกันชีวิต จํากัด จะต้องใช้เงินตามสัญญาให้กับนายปรีชาแต่ไม่ต้องใช้ ให้แก่นายเจริญ

LAW2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้ายประกันภัย 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้ายประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายก้านมีนิสัยชอบสูบบุหรี่ แต่ตรวจสุขภาพของตนทุกปี และปีนี้แพทย์สรุปผลการตรวจว่าสุขภาพแข็งแรงแต่มีจุดสีดําในปอดหลายที่ ถ้าต้องการตรวจจุดสีดําที่ปอดและโรคอย่างอื่นให้ละเอียดต้องนัด มาตรวจใหม่และแพทย์ยังแนะนํานายก้านให้เลิกสูบบุหรี่เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หลังจากตรวจสุขภาพได้ 2 สัปดาห์ นายก้อนตัวแทนบริษัทประกันชีวิตแนะนํานายก้านทําประกันชีวิต แบบอาศัยความมรณะโดยกําหนดภริยาและบุตรเป็นผู้รับประโยชน์ นายก้านไม่ได้กรอกแบบพิมพ์ ใบคําขอเอาประกันชีวิตด้วยตนเองแต่นายก้อนเป็นคนกรอกข้อมูลตามคําบอกกล่าวของนายก้าน และนายก้านลงชื่อในใบคําขอเอาประกันภัยด้วยตนเอง นายก้านไม่ได้แจ้งผลการตรวจสุขภาพ และคําแนะนําของแพทย์ให้นายก้อนกรอกลงในแบบพิมพ์คําของเอาประกันภัย หลังจากทําสัญญา ประกันชีวิตได้ 2 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างอายุสัญญา นายก้านได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายฉับพลัน หลังจาก เสร็จงานศพของนายก้านแล้ว ภริยาและบุตรของนายก้านจึงไปเรียกร้องเงินจํานวนหนึ่งตามที่ได้ กําหนดไว้ในสัญญากับบริษัทประกันชีวิต ดังนี้ บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินให้แก่ภริยาและบุตรของนายก้านหรือไม่ เพราะเหตุใด จงยกตัวบทอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 865 วรรคหนึ่ง “ถ้าในเวลาทําสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดีหรือในกรณี ประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผย ข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือให้บอกปัดไม่ยอมทําสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จไซร้ ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆยะ”

วินิจฉัย

มาตรา 865 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆยะ ถ้าประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ คือ

1 ในขณะเวลาทําสัญญาประกันภัย

2 ผู้เอาประกันภัย หรือในกรณีสัญญาประกันชีวิตบุคคลผู้ถูกเอาประกันชีวิต

3 รู้อยู่แล้ว

4 ละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงหรือแถลงข้อความอันเป็นเท็จ

5 ข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจให้ผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรือ อาจบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา

กรณีตามอุทาหรณ์ในการทําคําเสนอขอเอาประกันภัยนั้น ผู้ขอเอาประกันภัยไม่จําเป็นต้องกรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบคําขอด้วยตนเองโดยอาจจะให้บุคคลใดกรอกให้ก็ได้ แต่ต้องลงลายมือในใบคําขอด้วยตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการให้บุคคลอื่นกรอกข้อความให้ ผู้ขอเอาประกันภัยต้องไม่ละเว้นเสียใน การเปิดเผยข้อความจริงและต้องไม่แถลงข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นข้อความจริงที่อาจจะได้จูงใจให้ผู้รับประกันภัย เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีกหรืออาจบอกปัดไม่ยอมทําสัญญาด้วย และเป็นข้อความจริงที่ตนเองได้รู้อยู่แล้ว ในขณะขอเอาประกันภัยไปจนกว่าผู้รับประกันภัยจะตอบรับทําสัญญา

ตามข้อเท็จจริง เมื่อนายก้านไม่ได้กรอกแบบพิมพ์ใบคําขอเอาประกันชีวิตด้วยตนเอง แต่นายก้อนเป็นคนกรอกให้และนายก้านได้ลงชื่อด้วยตนเองนั้นย่อมสามารถทําได้ ส่วนการที่นายก้านไม่ได้แจ้งผล การตรวจสุขภาพและคําแนะนําของแพทย์ในใบคําขอนั้นยังไม่ถือว่านายก้านละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงหรือ แถลงข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับสุขภาพของตนเองที่รู้อยู่แล้วซึ่งจะได้จูงใจให้ผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัย สูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทําสัญญา เพราะผลการตรวจสุขภาพและคําแนะนําของแพทย์นั้นยังไม่เป็นการยืนยัน ว่านายก้านสุขภาพไม่ดีหรือมีสาเหตุที่จะทําให้นายก้านเสียชีวิตโดยฉับพลันแต่อย่างใด ดังนั้น แม้ว่าอีก 2 ปีต่อมา นายก้านจะได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายฉับพลันซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่ทําให้คนเสียชีวิตมากก็ตาม สัญญาประกันชีวิต ระหว่างนายก้านกับบริษัทประกันชีวิตก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 865 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด กรณีนี้ บริษัทประกันชีวิตจึงต้องจ่ายเงินให้แก่ภริยาและบุตรของนายก้าน

สรุป บริษัทประกันชีวิตต้องจ่ายเงินให้แก่ภริยาและบุตรของนายก้าน

ข้อ 2 นายอุดรเป็นเจ้าของรถยนต์คันหนึ่ง นายอุดรได้ใช้รถยนต์คันดังกล่าวมาได้ปีกว่า หลังจากนั้นได้ขายรถยนต์คันนั้นไปให้กับนางบัวชื่น อีก 2 เดือนต่อมานางบัวชื่นได้นํารถยนต์นั้นไปทําประกันวินาศภัย ไว้กับบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ในความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ที่เอาประกันรวมทั้ง ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สามด้วย จํานวนวงเงินที่เอาประกันภัยสองแสนบาท มีกําหนดเวลา 1 ปี หลังจากทําสัญญาได้ 9 เดือน นางบัวชื่นขับรถยนต์คันดังกล่าวชนราวสะพานและเสียหลัก พุ่งตกลงบนหลังคาบ้านของนางบัวชมได้รับความเสียหายหนึ่งแสนบาท โดยที่นางบัวชื่นยังไม่ได้ ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางบัวชม แต่นางบัวชื่นได้มาเรียกให้บริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนจํานวนหนึ่งแสนบาทในความเสียหายที่เกิดกับนางบัวชม ปรากฏว่าบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างว่าสิทธิในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ดังกล่าวนั้นเป็นของนางบัวชมซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายโดยตรง เนื่องจากนางบัวชื่นนั้น ไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเสียหาย แม้จะเป็นผู้เอาประกันภัยนั้นก็ตาม

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางบัวชื่นได้นํารถยนต์ไปทําประกันวินาศภัยไว้กับบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ในความเสียหายที่เกิดกับตัวรถยนต์ที่เอาประกันรวมทั้งประกันภัยความรับผิดต่อบุคคล ที่สามซึ่งเป็นประกันภัยค้ำจุนด้วยนั้น บุคคลที่ถือว่าเป็นคู่สัญญาคือนางบัวชื่น (ผู้เอาประกันภัย) และบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด (ผู้รับประกันภัย) ซึ่งตามมาตรา 887 วรรคหนึ่งนั้น สัญญาประกันภัยค้ำจุน เป็นสัญญา ซึ่งผู้รับประกันภัยได้ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่ บุคคลหนึ่งและซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ

จากข้อเท็จจริง การที่นางบัวชื่นขับรถยนต์คันดังกล่าวชนราวสะพานและเสียหลักพุ่งตกลง บนหลังคาบ้านของนางบัวชมได้รับความเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นความเสียหายที่นางบัวชื่น ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อนางบัวชมในความเสียหายต่อทรัพย์สินของนางบัวชม ดังนั้น แม้นางบัวชื่นจะยังไม่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับนางบัวชม นางบัวขึ้นก็มีสิทธิเรียกให้บริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางบัวชมได้ตามมาตรา 887 วรรคหนึ่ง ในกรณีประกันภัย ค้ำจุน เพราะกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องรับช่วงสิทธิ การที่บริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างว่า สิทธิในการเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวนั้นเป็นของนางบัวชมซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายโดยตรง เนื่องจากนางบัวชื่นนั้นไม่ได้เป็นผู้ได้รับความเสียหายนั้น ข้ออ้างของบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของบริษัท ธานี ประกันวินาศภัย จํากัด ฟังไม่ขึ้น

ข้อ 3 นายชิดชัยทําประกันชีวิตตนเองกับบริษัท พอใจประกันชีวิต จํากัด ด้วยเหตุมรณะ จํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ระยะเวลาการคุ้มครอง 10 ปี กําหนดให้นางเตือนเป็นผู้รับประโยชน์ ขณะทําสัญญานายชิดชัยอายุ 71 ปี แต่แจ้งอายุในการทําประกันชีวิต 68 ปี เพื่อให้ทําสัญญาได้ เพราะบริษัทฯ จํากัดอายุผู้เอาประกันไว้ที่ 70 ปี นายชิดชัยทําประกันได้ 6 ปีก็เสียชีวิต นางเดือน จึงเรียกร้องจํานวนเงิน 1 ล้านบาทจากบริษัทฯ แต่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินขณะเดียวกันก็ใช้สิทธิ บอกล้างสัญญาประกันชีวิตโดยอ้างว่านายชิดชัยแถลงอายุคลาดเคลื่อน ซึ่งหากบริษัทฯ ทราบจะ ไม่รับทําประกันชีวิตให้ สัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆยะ

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าบริษัท พอใจประกันชีวิต จํากัด จะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้หรือไม่ นางเดือนจะมีสิทธิได้รับเงินตามสัญญาหรือไม่ ให้อธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง

มาตรา 893 “การใช้เงินอาศัยเหตุความทรงชีพ หรือมรณะของบุคคลใด แม้ได้แถลงอายุ ของบุคคลผู้นั้นไว้คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้ได้กําหนดจํานวนเบี้ยประกันภัยไว้ต่ำไซร้ ท่านให้ลดจํานวนเงิน อันผู้รับประกันภัยจะพึ่งต้องใช้นั้นลงตามส่วน

แต่ถ้าผู้รับประกันภัยพิสูจน์ได้ว่า ในขณะที่ทําสัญญานั้นอายุที่ถูกต้องแท้จริงอยู่นอกจํากัดอัตรา ตามทางการค้าปกติของเขาแล้ว ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชิดชัยได้ทําประกันชีวิตตนเองไว้กับบริษัท พอใจประกันชีวิต จํากัด ด้วยเหตุมรณะจํานวนเงินเอาประกัน 1 ล้านบาท ระยะเวลาการคุ้มครอง 10 ปี กําหนดให้นางเดือนเป็น ผู้รับประโยชน์ และเมื่อนายชิดชัยทําประกันได้ 6 ปีก็เสียชีวิตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะทําสัญญานั้น นายชิดชัยอายุ 71 ปี แต่ได้แจ้งอายุในการทําประกันชีวิต 68 ปี ถือว่านายชิดชัยได้แถลงอายุไว้คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง และเมื่อบริษัทฯ ได้จํากัดอายุของผู้เอาประกันไว้ที่ 70 ปี ย่อมถือว่าในขณะทําสัญญานั้น อายุที่ถูกต้องแท้จริง ของนายชิดชัยคือ 71 ปี อยู่นอกจํากัดอัตราทางการค้าปกติของบริษัทฯ จึงมีผลทําให้สัญญาประกันชีวิตดังกล่าว ตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 893 วรรคสอง ดังนั้น บริษัทฯ จึงสามารถใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้ภายในกําหนด ระยะเวลาตามหลักทั่วไป นางเดือนจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา

สรุป บริษัท พอใจประกันชีวิต จํากัด สามารถใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้ และนางเดือนจะ ไม่มีสิทธิได้รับเงินตามสัญญา

LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2012 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยประกันภัย

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายเก่งจดทะเบียนสมรสกับนางกิ่ง นางกิ่งเอาประกันชีวิตนายเก่งไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะจํานวนเงินเอาประกัน 5 แสนบาท มีกําหนดระยะเวลา 20 ปี โดยนางกิ่ง เป็นผู้รับประโยชน์ หลังจากทําสัญญา 5 ปีต่อมา นายเก่งจดทะเบียนหย่าขาดจากนางกิ่งเนื่องจาก นายเก่งสืบทราบว่านางกิ่งแอบคบกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ต่อมาอีก 5 เดือน นายเก่งถึงแก่ความตาย เพราะอุบัติเหตุรถยนต์ นางกิ่งมายื่นขอรับเงินประกันจํานวน 5 แสนบาท แต่บริษัทปฏิเสธการจ่าย โดยอ้างว่าการที่นางกิ่งได้หย่าขาดจากนายเก่งแล้วนั้น นางกิ่งจึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางกิ่งไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายเก่งอีกต่อไป

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 862 “ตามข้อความในลักษณะนี้

คําว่า “ผู้รับประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือใช้เงินจํานวนหนึ่งให้

คําว่า “ผู้เอาประกันภัย” ท่านหมายความว่า คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย

คําว่า “ผู้รับประโยชน์” ท่านหมายความว่า บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทนหรือรับ จํานวนเงินใช้ให้

อนึ่งผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนหนึ่งคนเดียวกันก็ได้”

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

วินิจฉัย

สัญญาประกันชีวิตนั้นถือว่าเป็นสัญญาประกันภัยประเภทหนึ่ง จึงต้องนําเอาบทบัญญัติใน หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป มาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ผู้เอาประกันชีวิตจะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย คือจะต้องมีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัยด้วย ซึ่งอาจจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นก็ได้ สัญญาประกันชีวิตจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญา (มาตรา 863)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งจดทะเบียนสมรสกับนางกิ่ง และต่อมานางกิ่งเอาประกันชีวิต นายเก่งไว้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแบบอาศัยความมรณะนั้น ถือว่าเป็นการประกันชีวิตของผู้อื่น ซึ่งเมื่อ พิจารณาตัวผู้เอาประกันภัยคือนางกิ่งจะเห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์กับนายเก่งในฐานะคู่สมรส จึงถือว่านางกิ่ง มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้ตามมาตรา 863 และประการสําคัญส่วนได้เสียนั้นผู้เอาประกันจะต้องมีอยู่ ในขณะทําสัญญาด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะทําสัญญานางกิ่งมีส่วนได้เสียในชีวิตของนายเก่งเนื่องจาก ขณะนั้นยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา แม้ต่อมาส่วนได้เสียจะหมดไปเพราะหย่าขาดจากกัน ก็ไม่ทําให้สัญญาที่มีผลผูกพันกันตั้งแต่ต้นกลายเป็นสัญญาที่ไม่มีผลผูกพันกันในภายหลัง

และในสัญญาประกันภัยนั้นตามมาตรา 863 ได้กําหนดไว้โดยเฉพาะว่า ผู้เอาประกันภัยเท่านั้น ที่จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าผู้รับประโยชน์จะต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่ ประกันภัยด้วยแต่อย่างใด อีกทั้งตามมาตรา 862 วรรคท้าย ก็ได้บัญญัติไว้ว่า ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประโยชน์นั้น จะเป็นบุคคลคนเดียวกันก็ได้ ดังนั้น เมื่อนายเก่งถึงแก่ความตายภายในกําหนดเวลาของสัญญาประกันชีวิตดังกล่าว บริษัทประกันชีวิตจึงมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่นางกิ่งผู้รับประโยชน์ตามสัญญา การที่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่ นางกิ่งโดยอ้างว่า การที่นางกิ่งได้หย่าขาดจากนายเก่งแล้วนั้น นางกิ่งจึงเป็นผู้รับประโยชน์ไม่ได้ เพราะนางกิ่ง ไม่มีส่วนได้เสียในชีวิตของนายเก่งอีกต่อไปนั้น ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของบริษัทประกันภัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2 ห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภเป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อราคา 2 ล้านบาท ได้นํารถคันดังกล่าวไปทําสัญญาประกันภัยประเภทที่ 3 คือคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลที่สามหรือบุคคลภายนอก จํานวนเงิน ซึ่งเอาประกันภัย 1 ล้านบาท หลังจากทําสัญญาได้ 2 เดือนต่อมา ห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภขายรถ ที่เอาประกันให้นายโชคดีราคา 1 ล้านบาท โดยตกลงชําระราคาเดือนละ 1 แสนบาท และกรรมสิทธิ์ โอนเมื่อจ่ายครบ 10 เดือน อีก 3 เดือนต่อมาในระหว่างสัญญาประกันภัยมีผลบังคับ นายดวงดีลูกจ้าง ของนายโชคดีขับรถบรรทุกคันดังกล่าวชนท้ายรถของนายมีโชคโดยประมาทตีราคาความเสียหาย 3 แสนบาท นายมีโชคจึงเรียกร้องให้บริษัทประกันภัยใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่บริษัทปฏิเสธการจ่าย โดยอ้างว่านายมีโชคไม่มีสิทธิ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายมีโชคมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 887 วรรคหนึ่ง “อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัย ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และ ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภซึ่งเป็นเจ้าของรถบรรทุกสิบล้อ ได้นํารถคันดังกล่าว ไปทําสัญญาประกันภัยประเภทที่ 3 คือคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลที่สามหรือบุคคลภายนอก โดยบริษัทผู้รับ ประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยนั้น สัญญาประกันภัยดังกล่าวจึงเป็นสัญญา ประกันภัยค้ำจุน และถึงแม้ว่าต่อมาห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภจะได้ขายรถที่เอาประกันให้แก่นายโชคดีก็ตาม บุคคลที่ถือว่าเป็นคู่สัญญาประกันภัยค้ำจุนรายนี้คือ ห้างหุ้นส่วนจํากัดผู้เอาประกันภัยและบริษัทผู้รับประกันภัย ตามมาตรา 887 วรรคหนึ่ง สัญญาประกันภัยค้ำจุนนั้น เป็นสัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยได้ตกลง ว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่ง ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ แต่ตามข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่วินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้นมิได้เกิดจากผู้เอาประกันภัย คือห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภแต่อย่างใด แต่เกิดจากการที่บุคคลอื่นคือนายดวงดีลูกจ้างของนายโชคดีซึ่งเป็นผู้ที่ ซื้อรถไปโดยมีเงื่อนไข ได้ขับรถบรรทุกคันดังกล่าวไปชนท้ายรถของนายมีโชคโดยประมาท ทําให้รถของนายมีโชค ได้รับความเสียหาย ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เป็นกรณีที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดมีลาภผู้เอาประกันภัยจะต้อง รับผิดชอบแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกัน กล่าวคือ บริษัทผู้รับประกันภัย จึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยให้แก่นายมีโชค ดังนั้น นายมีโชคจึงไม่มีสิทธิ ที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย

สรุป

นายมีโชคไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ในการนี้ได้

 

ข้อ 3 นายรุ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกุ้ง นายรุ่งทําสัญญาประกันชีวิตแบบมรณะไว้กับบริษัท เรืองรองประกันชีวิต จํากัด วงเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท มีกําหนด 20 ปี และระบุให้นางกุ้ง เป็นผู้รับประโยชน์ บริษัทฯ ได้จัดส่งกรมธรรม์ให้นางกุ้งเก็บไว้แล้ว ต่อมาทั้งสองมีปัญหากัน นายรุ่งจึงทําหนังสือถึงบริษัทฯ แสดงความประสงค์ขอเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นนายบุ้งบุตรชาย ที่เกิดจากภริยาเก่า อีก 1 ปีต่อมา นายรุ่งขับรถไปประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นางกุ้งจึงมาขอรับเงิน ประกันในสัญญา บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายโดยอ้างว่าบริษัทฯ อนุมัติจ่ายให้นายบุ้งไปแล้ว ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางกุ้งจะมีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 863 “อันสัญญาประกันภัยนั้น ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย ไว้นั้นไซร้ ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาแต่อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 889 “ในสัญญาประกันชีวิตนั้น การใช้จํานวนเงินย่อมอาศัยความทรงชีพ หรือมรณะ ของบุคคลคนหนึ่ง”

มาตรา 891 วรรคหนึ่ง “แม้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์เองก็ดี ผู้เอา ประกันภัยย่อมมีสิทธิที่จะโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ เว้นแต่จะได้ส่งมอบกรมธรรม์ ประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว และผู้รับประโยชน์ได้บอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้รับประกันภัยแล้วว่า ตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายรุ่งซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกุ้ง ได้ทําสัญญา ประกันชีวิตตนเองโดยอาศัยเหตุแห่งความมรณะไว้กับบริษัท เรืองรองประกันชีวิต จํากัด วงเงินเอาประกัน 2 ล้านบาท มีกําหนด 20 ปี และระบุให้นางกุ้งเป็นผู้รับประโยชน์นั้น ย่อมสามารถทําได้เพราะถือว่านายรุ่งผู้เอาประกันภัย มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้นตามมาตรา 863 สัญญาจึงมีผลผูกพันคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อทําสัญญาประกันชีวิต ได้ 1 ปี นายรุ่งประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งเป็นการเสียชีวิตภายในกําหนดเวลาที่เอาประกันไว้ บริษัทฯ จึงต้องใช้เงิน จํานวน 2 ล้านบาท ให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตนั้นตามมาตรา 889

สําหรับผู้รับประโยชน์ที่มีสิทธิได้รับเงินจํานวน 2 ล้านบาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมนายรุ่งได้ระบุให้นางกุ้งเป็นผู้รับประโยชน์และนางกุ้งได้รับมอบกรมธรรม์ไว้แล้ว แต่เมื่อนางกุ้งยังไม่ได้ทํา หนังสือแจ้งไปยังบริษัทฯ ว่าตนจํานงจะถือเอาประโยชน์แห่งสัญญานั้น สิทธิของนางกุ้งจึงยังไม่สมบูรณ์ นายรุ่ง ผู้เอาประกันภัยจึงสามารถโอนประโยชน์แห่งสัญญานั้นให้แก่นายบุ้งบุตรชายได้ตามมาตรา 891 และเมื่อผู้ถือว่า นายกุ้งเป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้น การที่บริษัทฯ ปฏิเสธการจ่ายเงินให้แก่นางกุ้งโดยอ้างว่าบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่าย ให้แก่นายบุ้งไปแล้วนั้น การที่บริษัทฯ ได้จ่ายเงินให้กับนายบุ้งจึงชอบด้วยกฎหมาย นางกุ้งไม่มีสิทธิเรียกร้องเงิน ดังกล่าว เพราะถือว่านางกุ้งมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามสัญญา

สรุป นางกุ้งไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าว

WordPress Ads
error: Content is protected !!