LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. จันทร์และอังคารตกลงเข้าหุ้นส่วนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) มีวัตถุประสงค์เป็นสถานเสริมความงามและลดความอ้วน โดยลงหุ้นด้วยเงินคนละ 5 ล้านบาท มีจันทร์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กิจการมีกําไรดีทุกปี ต่อมาพุธซึ่งเป็นเพื่อนของอังคารได้มาชักชวนอังคารร่วมหุ้นกับตนด้วย โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด มีอังคารเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ลงหุ้น 3 ล้านบาท และพุธเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการด้วย ห้างหุ้นส่วนจํากัดระหว่างพุธและอังคารนี้ก็มีวัตถุประสงค์เป็นสถานเสริมความงามและลดความอ้วน เช่นเดียวกัน และยังได้ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันกับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลที่จันทร์และอังคาร เข้าหุ้นกันอีกด้วย เป็นเหตุให้รายได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลลดลงไปมาก จันทร์จึงกล่าวหาอังคารว่า ไปร่วมหุ้นกับบุคคลอื่นประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างตนกับอังคารมีกําไรลดลง ห้างหุ้นส่วนสามัญจึงมีสิทธิเรียกเอาผลกําไร จากอังคารได้ อังคารจึงมาปรึกษาท่านว่า ข้ออ้างของจันทร์ดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนํา อังคารด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1066 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่น ซึ่งประกอบกิจการ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น เว้นไว้แต่จะได้รับคํายินยอม ของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นทั้งหมด

แต่ข้อห้ามเช่นว่ามานี้ ท่านว่าจะไม่พึงใช้ได้ ถ้าหากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายได้รู้อยู่แล้วในเวลา เมื่อลงทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ทํากิจการหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนอื่นอันมี วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน และในสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ทําไว้ต่อกันนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ถอนตัวออก”

มาตรา 1067 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดกระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา ก่อนนี้ไซร้ ท่านว่าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนนั้นชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรอันผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งห้างหุ้นส่วนได้รับเพราะเหตุนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า อังคารได้กระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1066 หรือไม่ ซึ่งตามมาตรา 1066 นั้น ได้ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น หรือเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัด ความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นซึ่งประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อังคารไม่ได้ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างฯ แต่อย่างใด เพียงแต่อังคารได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัดอื่นเท่านั้น ดังนี้ แม้ว่าห้างหุ้นส่วนจํากัด อื่นนั้นจะประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมที่อังคาร เป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 1066 เพราะไม่ได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ดังนั้นการที่จันทร์กล่าวหาอังคารว่าไปร่วมหุ้นกับบุคคลอื่นประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ทําให้ห้างฯ มีสิทธิเรียกเอาผลกําไรจากอังคารได้นั้น ข้ออ้างของจันทร์รับฟังไม่ได้

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนําอังคารว่าข้ออ้างของจันทร์รับฟังไม่ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมาย ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงโสมก่อสร้าง มีนายแสงเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นางโสมเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์ รับเหมาก่อสร้างดําเนินกิจการมาได้ 10 ปีเศษ นางโสมก็โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวสายพิณ ซึ่งเป็นบุตรสาว โดยนายแสงไม่ขัดข้อง และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง จํานวน 2 ล้านบาท เจ้าหนี้จึงทวงถามให้นายแสงชําระหนี้ แต่นายแสงไม่มีเงินชําระเจ้าหนี้รายนี้ จึงมาปรึกษาท่านว่า จะเรียกร้องให้นางโสมรับผิดชอบในหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะหนี้สินดังกล่าว ได้เกิดขึ้นขณะที่นางโสมยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ และเพิ่งจะครบกําหนดชําระเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 นี้เอง ให้ท่านแนะนําเจ้าหนี้รายนี้ด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัด หรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางโสมซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของ ตนเองระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงโสมก่อสร้าง นางโสมจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และแม้ว่านางโสมได้โอนหุ้นทั้งหมดของตนให้บุตรสาวไปแล้วและได้จดทะเบียนออกจากห้างฯ ไปแล้วก็ตาม นางโสมก็จะต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ ที่เกิดขึ้นก่อนที่นางโสมจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปด้วย ตามมาตรา 1051 ประกอบกับมาตรา 1080 วรรคแรก อีกทั้งตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า นางโสมได้ออกจากห้างหุ้นส่วน ไปยังไม่เกินกําหนด 2 ปี ดังนั้นนางโสมจึงยังคงต้องรับผิดในหนี้จํานวน 2 ล้านบาทนั้นตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนําเจ้าหนี้รายนี้ว่า สามารถเรียกร้องให้นางโสมรับผิดชอบในหนี้ดังกล่าวได้

 

ข้อ 3. บริษัท แสงเพชร จํากัด มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีนายแสงถือหุ้นจํานวน 1,000 หุ้น นางสมถือ 400 หุ้น นางสาวสายสมรถือ 300 หุ้น นายสมชายถือ 100 หุ้น และนางสมพรถือไว้ 200 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท นายแสงประธานกรรมการได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนของบริษัท โดยได้มีการส่งคําบอกกล่าวนัดประชุมถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกประการ ปรากฏว่า เมื่อถึง วันนัดประชุมมีนายแสง และนางสาวสมพร สองคนเท่านั้นมาประชุม ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่ได้ มาประชุมและมิได้มอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมแทนด้วย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การประชุมครั้งนี้ครบองค์ประชุมหรือไม่ และการลงมติจะต้องลงมติอย่างไร จึงจะเพิ่มทุนได้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1178 “ในการประชุมใหญ่ ถ้าไม่มีผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุมรวมกันแทนหุ้นได้ถึงจํานวน หนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัทเป็นอย่างน้อยแล้ว ท่านว่าที่ประชุมอันนั้นจะปรึกษากิจการอันใดหาได้ไม่”

มาตรา 1194 “การใดที่กฎหมายกําหนดให้ต้องทําโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติใน เรื่องนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนน

มาตรา 1220 “บริษัทจํากัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกเป็น 2 กรณี คือ

กรณีแรก การประชุมของผู้ถือหุ้นครั้งนี้ครบองค์ประชุมหรือไม่

ตามมาตรา 1178 ได้กําหนดไว้ว่า ในการประชุมใหญ่ของบริษัทนั้น จะต้องมีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม รวมกันแทนหุ้นได้ถึงจํานวนหนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัทเป็นอย่างน้อยจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม

ตามอุทาหรณ์ เมื่อหุ้นทั้งหมดของบริษัท แสงเพชร จํากัด มีจํานวน 2,000 หุ้น ดังนั้น 1 ใน 4 ของทุนของบริษัท คือ 1 ใน 4 ของจํานวนหุ้นทั้งหมดซึ่งก็คือจํานวนหุ้น 500 หุ้น เมื่อผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุม คือ นายแสง ซึ่งถือหุ้นจํานวน 1,000 หุ้น และนางสาวสมพรซึ่งถือหุ้นจํานวน 200 หุ้น รวมกันแล้วได้ 1,200 หุ้น ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 ของจํานวนหุ้นทั้งหมด คือ 500 หุ้น จึงถือว่ามีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมครบองค์ประชุมและสามารถประชุมกันได้

กรณีที่สอง การลงมติเพื่อการเพิ่มทุนของบริษัทต้องลงมติอย่างไร

ตามมาตรา 1220 ประกอบมาตรา 1194 ได้กําหนดว่า บริษัทจะเพิ่มทุนของบริษัทได้ก็ต้องมี มติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น และมติพิเศษนั้นต้องเป็นมติโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของ จํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน

ดังนั้นในการลงมติเพื่อให้มีการเพิ่มทุนของบริษัทจะต้องได้คะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของ จํานวนหุ้นทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมคือต้องไม่ต่ำกว่า 900 หุ้น (1,200 x 4) จึงจะเพิ่มทุนได้

สรุป การประชุมของบริษัทครั้งนี้ครบองค์ประชุม และการลงมติจะต้องลงมติด้วยคะแนนเสียง ไม่ต่ำกว่า 900 หุ้น จึงจะเพิ่มทุนได้

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) การโอนเช็คนั้นต้องทําอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงิน

(ข) เอกลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารอ่างทอง ชําระหนี้โทโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงิน และได้ขีดฆ่าคําว่า “ หรือผู้ถือ” ออก โทสลักหลังชําระหนี้ตรีระบุชื่อตรีเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาตรี สลักหลังลอยและส่งมอบเช็คดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่จัตวา ต่อมาจัตวาได้นําเช็คไปส่งมอบ ชําระหนี้ให้กับบ้านไร่ เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บ้านไร่นําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร แต่ธนาคาร ไม่ยอมจ่ายเงินโดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโอนเช็คมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 99 ได้บัญญัติให้นําวิธีการในการโอนตั๋วแลกเงินตามมาตรา 917 ถึงมาตรา 920 มาใช้กับการโอนเช็คด้วย ดังนั้น ในการโอนเช็คเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงินจึงต้องปฏิบัติดังนี้ คือ

1 ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) การโอนจะต้องกระทําโดยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) จะโอนโดยการส่งมอบเพียงอย่างเดียวไม่ได้

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในเช็ค โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรืออาจเป็นการสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919 ประกอบ มาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ไว้ด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของเซ็คก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของเช็คเท่านั้น

อนึ่ง ในการสลักหงโอนเช็คนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลังระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรง จะโอนเช็คนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะ หรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่ มอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้เช็คนั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนเช็คนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรืออาจจะโอนเช็คนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (มาตรา 920 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

2 ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนเช็คชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการส่งมอบ แต่เพียงอย่างเดียวไม่ต้องสลักหลัง การโอนก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อ ผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทํา อะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลัง เช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย” ”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่ง อย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923.”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่เอก ออกเช็คชําระหนี้แก่โท โดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคําว่า หรือผู้ถือออกนั้น ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้นถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนจะถูกต้องตามกฎหมายก็จะต้องมีการสลักหลังและส่งมอบ โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสลักหลังลอย ก็ได้ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้นเมื่อโทสลักหลังโดยระบุชื่อ ตรีเป็นผู้รับประโยชน์ และตรีได้สลักหล้ สอยและส่งมอบให้แก่จัตวา การโอนเช็คระหว่างโทกับตรี และระหว่าง ตรีกับจัตวาย่อมเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย

และเมื่อเช็คนั้นได้ตกอยู่ในความครอบครองของจัตวา ซึ่งเป็นผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังลอยของตรี จัตวาย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 (3) ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง คือสามารถโอนเช็คนั้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องสลักหลังแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนั้นเมื่อจัตวาส่งมอบเช็คให้แก่บ้านไร่ การโอนเช็คของจัตวาให้แก่ บ้านไร่จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และถือว่าบ้านไร่เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้รับโอนเช็คมา โดยถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ และบ้านไร่ย่อมมีสิทธินําเช็คไปยื่นให้ธนาคารอ่างทองจ่ายเงินได้ เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค การที่ธนาคารอ่างทองไม่ยอมจ่ายเงินโดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโอนเช็คโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายนั้น ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป

ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. มั่นออกตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งสั่งแม้นเป็นผู้จ่ายเงินตามจํานวนค่าสินค้า โดยมีมิ่งผู้เป็นนายจ้างบอกมั่นว่ายินดีเป็นผู้ค้ำประกันแม้น ถ้าแม้นไม่ชําระราคาสินค้านั้น มิ่งและแม้นต่างได้ลงลายมือชื่อตน แต่เพียงอย่างเดียวไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน มั่นจึงได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ยื่นชําระให้แก่หมอกหรือ ผู้ถือ เมื่อถึงกําหนดใช้เงิน หมอกนําตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปทวงถามจากแม้น ปรากฏว่าแม้นไม่มีเงินใช้ตามตั๋ว จึงเป็นผู้ต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วเงิน และหมอกได้ทําคําคัดค้านโดยชอบด้วย กฎหมายแล้ว จงวินิจฉัยว่า มั่นและมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ตามหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตัวนั้นได้นํายื่น โดยซอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตาม เนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 939 วรรคสามเละวรรคสี่ “อนึ่งเพียงเเต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย” มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มั่นออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แม้นเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ โดยมีมิ่งและแม้น ต่างได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น แม้ว่าแม้นจะได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนแต่เพียงอย่างเดียว ตามกฎหมายถือว่าแม้นเป็นผู้ซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงกําหนดในการใช้เงินตามตั๋วและหมอก ได้นําตั๋วแลกเงินไปยื่นให้แม้นใช้เงินแต่แม้นไม่ใช้เงินตามตัว แม้นจึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงิน ส่วนมั่นและมิ่งจะต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้างนั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของมั่น เมื่อมั่นได้ออกตั๋วแลกเงินเพื่อสั่งให้แม้นจ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ และได้ลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน ดังนั้น มั่นจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 914

กรณีของมิ่ง การที่ยมิ่งซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาผูกพันตนเข้าค้ำประกันการชําระหนี้ โดยเป็นผู้ค้ำประกันแม้นนั้น เมื่อมิ่งได้ลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ระบุว่า อาวัลผู้ใด ตามกฎหมายให้ถือว่ามิ่งได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้รับอาวัล และให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย (ตามมาตรา 939 วรรคสามและวรรคสี่ ดังนั้น มิ่งจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย มิใช่ ในฐานะผู้รับอาวัลแม้น และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับมั่นตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

สรุป

มั่นต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่าย ส่วนมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่น

 

ข้อ 3. (ก) การเเก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย

(ข) ข้อเท็จจริงได้ความว่าเช็คพิพาทมีการแก้ไขจํานวนเงินโดยผู้สลักหลังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการแก้ไขที่เห็นได้อย่างชัดเจน ต่อมาธนาคารผู้จ่ายได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นโดยให้เหตุผลว่า เงินในบัญชีของผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งเช็คนั้นจะสามารถบังคับไล่เบี้ยคู่สัญญาแห่งเช็คนั้นได้เพียงใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายนั้น จะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อความในข้อสําคัญ (มาตรา 1007) คือจะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความซึ่งเป็นสาระสําคัญ ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วจะทําให้ผลของตั๋วเงิน สิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงิน อันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงินไปเติมความ ระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ ยินยอมด้วย (มาตรา 1007 วรรคสาม) ตาม ป.พ.พ. ได้บัญญัติผลตาม กฎหมายไว้ 2 กรณีคือ

1 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขไม่แนบเนียน หรือเห็นได้ประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง)

2 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขได้อย่าง แนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ถือว่าตั๋วเงินนั้นไม่เสียไป และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้ มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้ (มาตรา 1007 วรรคสอง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใน ข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเช็คพิพาทได้มีการแก้ไขจํานวนเงินโดยผู้สลักหลังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการแก้ไขที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั้น ย่อมถือว่าเช็คพิพาทดังกล่าวได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ โดยที่ผู้เป็นคู่สัญญาซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคน และเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ประจักษ์ ดังนั้นย่อมมีผลทําให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป เว้นแต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไข เปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลังตามมาตรา 1007 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

ดังนั้นเมื่อธนาคารผู้จ่ายได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งเช็คนั้น ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้สลักหลังที่เป็นผู้ เก้ไขจํานวนเงินในเช็คนั้น รวมทั้งผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และผู้ที่สลักหลังเช็คพิพาทในภายหลังที่มีการแก้ไขจํานวนเงินนั้น (ถ้ามี) ตามจํานวนเงินที่ได้มีการแก้ไขนั้น

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอ๋ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้โอจ่ายเงินจํานวนหนึ่งให้แก่จ๋า โดยเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อให้ใช้เงิน แก่จ๋าหรือผู้ถือ ต่อมาจ๋าได้ทําการสลักหลังเฉพาะตัวระบุชื่อจา แล้วทําการส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น เพื่อชําระหนี้ให้แก่จา ภายหลังจากนั้นจาได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้สลักหลังเฉพาะให้แก่เท่ง และต่อมา เท่งก็ได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินฉบับนี้เพื่อชําระหนี้ให้แก่โทน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ให้วินิจฉัยว่า โทนเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด (อธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบอย่างชัดเจน)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอ๋ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้โอ๋จ่ายเงินโดยระบุชื่อให้ใช้เงินแก่จ๋าหรือผู้ถือนั้น ถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้นในการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการ ส่งมอบตั๋วให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าการโอนตัวนี้ต่อไปได้มีการสลักหลังในตั๋วนี้ด้วยกฎหมาย ให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการรับอาวัลผู้สั่งจ่ายเท่านั้น (ตามมาตรา 918 และมาตรา 921)

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อมีการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปนั้น จ๋าสลักหลังระบุชื่อและส่งมอบให้แก่จา และจาสลักหลังและส่งมอบแก่เท่ง และเท่งส่งมอบตัวต่อไปให้แก่โทนนั้น จะเห็นได้ว่าการโอนตั๋วทุกครั้ง มีการส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่กัน ดังนั้นการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวจึงถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโทนเป็นบุคคล ผู้มีตั๋วเงินอยู่ในความครอบครอง และได้รับการโอนตั๋วมาโดยชอบด้วยกฎหมาย โทนจึงเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงิน ดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 ส่วนการที่จ๋าและจาได้ลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋วเงินไว้นั้นให้ถือว่า เป็นเพียงผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย (ตามมาตรา 921)

สรุป โทนเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. คมสันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงทอง จํากัด จํานวน 500,000 บาท ระบุดอกดินเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก แล้วให้กับดอกดินเพื่อชําระหนี้ ต่อมาดอกดินสลักหลังและ ส่งมอบเช็คนั้นชําระราคาสินค้าให้แก่เหลือง เหลืองรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตเพราะเชื่อเครดิตของคมสัน ผู้สั่งจ่าย ดังนี้ หากต่อมาเหลืองยื่นเช็คให้ธนาคารกรุงทอง จํากัด ใช้เงิน แต่ธนาคารกรุงทอง จํากัด ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเงินในบัญชีของคมสันผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย ดังนี้ เหลืองจะใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดใช้เงินตามเช็คนี้ได้หรือไม่ในฐานะใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910 914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คมสันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงทอง จํากัด จํานวน 500,000 บาท โดยได้ระบุ ให้ดอกดินเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออกนั้น ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง ถ้ามีการสลักหลัง ให้ถือว่าเป็นเพียงการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ดอกดินได้สลักหลังและส่งมอบเช็คนั้นชําระราคาสินค้าให้แก่เหลืองย่อม ถือว่าการสลักหลังของดอกดินเป็นเพียงการรับอาวัลคมสันผู้สั่งจ่าย และมีผลให้ดอกดินต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับคมสันผู้สั่งจ่าย (มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้นหากต่อมาเหลืองได้ ยื่นเช็คให้ธนาคารกรุงทอง จํากัด ใช้เงิน แต่ธนาคารกรุงทอง จํากัด ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว เหลืองย่อมสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดตามเช็คฉบับนี้ได้ในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 921 มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง

สรุป เหลืองสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดตามเช็คนี้ได้ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลคมสันผู้สั่งจ่าย

 

ข้อ 3. นายมั่นนําแหวนเพชรมาเสนอขายแก่นายคงในราคา 300,000 บาท นายคงกําลังจะหาของขวัญวันเกิดให้แก่ภริยาเห็นว่าแหวนเพชรดังกล่าวราคาไม่แพงจึงตกลงซื้อ ในการชําระหนี้ค่าแหวนเพชร นายคงได้ออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าระบุชื่อนายมั่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ใน แบบพิมพ์เช็คออกมอบให้แก่นายมั่น ก่อนเช็คถึงกําหนดนายนากลูกจ้างของนายมั่นได้แอบเข้าไปในห้องนอนของนายมั่นลักเช็คดังกล่าวไปแล้วปลอมลายมือชื่อนายมั่นสลักหลังเช็คนําไปแลกเงินสด จากนายสินซึ่งรับแลกเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อมานายมั่นทราบว่า เช็คดังกล่าวอยู่ที่นายสินจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายสินทราบและขอเช็คคืน

ให้วินิจฉัยว่า นายสินจะต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่นหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่า บุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลัง เมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามีได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต หรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้ มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตัวเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตัวนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือ ถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้น ขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายคงได้ออกเช็คสั่งจ่ายแก่นายมั่นโดยระบุชื่อนายมั่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่า คําว่า “ หรือผู้ถือ” ในแบบพิมพ์เช็คออานั้น ถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ การที่นายนาก ลูกจ้างของนายมั่นได้แอบลักเช็คดังกล่าวไป แล้วปลอมลายมือชื่อของนายมั่นสลักหลังเช็คให้แก่นายสินไปนั้น ตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าลายมือชื่อปลอมของนายมั่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ถือเสมือนหนึ่งว่านายมั่น ไม่เคยสลักหลังเช็คดังกล่าว ดังนั้นแม้ว่านายสินจะได้รับเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม ก็ไม่ถือว่านายสินเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด เพราะนายสินได้รับเช็ค มาจากการสลักหลังที่ขาดสาย

และเมื่อนายสินไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นนายสินจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่ง อย่างใดเพื่อยึดหน่วงเช็คไว้ย่อมไม่อาจทําเด้เป็นอันขาด นายสินจึงต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่นตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

สรุป นายสินจะต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่น

 

 

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 (ก) มะระสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ให้แก่มะกรูด ขีดฆ่าหรือผู้ถือออก ครั้นก่อนถึงวันที่ลงในเช็ค หากมะกรูดต้องการโอนเช็คฉบับนี้ชําระหนี้ให้แก่มะนาวเจ้าหนี้ มะกรูดต้องโอนเช็คฉบับนี้อย่างไร ตามกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

(ข) สายฟ้าสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้พายุจ่ายเงินให้กับเมฆหมอกหรือผู้ถือ เมฆหมอกสลักหลังลอยตั๋วแลกเงินฉบับนี้ชําระหนี้ให้แก่น้ำค้าง เมื่อถึงวันกําหนดใช้เงินในตั๋วแลกเงิน น้ำค้างนําตั๋วเงินไปให้พายุผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินและจ่ายเงินตามตั๋ว แต่ถูกปฏิเสธการรับรองและการจ่ายเงิน โดยพายุอ้างว่า น้ำค้างไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบเพราะได้ทําการโอนผิดวิธี ดังนี้ ข้ออ้างของพายุ ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ก็ตาม “ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อ ผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้ กระทําไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ “มาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923”

ตามอุทาหรณ์ การที่มะระสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ให้มะกรูด และขีดฆ่าหรือผู้ถือออกนั้น ถือว่า เช็คฉบับ ดังกล่าวเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้น หากมะกรูดต้องการโอนเช็คฉบับนี้ชําระหนี้ให้แก่มะนาวเจ้าหนี้ มะกรูด มะต้องโอนเช็คฉบับนี้ตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง มาตรา 919 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง กล่าวคือมะกรูดจะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง) โดยมะกรูดจะต้องลงลายมือชื่อ ของตนในเร็คและระบุชื่อของมะนาวผู้รับโอน หรือมะกรูดอาจจะลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังเช็คโดยไม่ระบุชื่อ ของมะนาวซึ่งเรียกว่าสลักหลังลอยก็ได้ (ตามมาตรา 919 ประกอบมาตรา 939 วรรคหนึ่ง) แล้วส่งมอบเช็คนั้นให้แก่ มะนาว ซึ่งถ้ามะกรูดปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าว การโอนเช็คของมะกรูดก็จะเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงิน มาก

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รองนายกอง

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อม โอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย…”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่สายฟ้าสั่งจ่ายตั๋วแลกเงินสั่งให้พายุจ่ายเงินให้กับเมฆหมอกหรือผู้ถือนั้น ถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งการโอนตั๋วแลกเงินชนิดนี้ย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบไม่ต้องมีการ สลักหลังแต่อย่างใด (มาตรา 918) ดังนั้น การที่เมฆหมอกสลักหลังลอยตั๋วแลกเงินฉบับนี้และส่งมอบชําระหนี้ ให้แก่น้ำค้างนั้น การโอนย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย

เมื่อตั๋วแลกเงินถึงกําหนดและน้ำค้างนําตั๋วเงินไปให้พายุผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินและจ่ายเงิน ตามตั๋ว แต่พายุปฏิเสธการรับรองและการจ่ายเงิน โดยอ้างว่า น้ำค้างไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายเพราะได้ ทําการโอนผิดวิธีนั้น ข้ออ้างของพายุย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะการโอนตัวของเมฆหมอกนั้นถูกต้องตามวิธีการโอนตั๋วเงิน ตามมาตรา 918 และน้ำค้างเป็นผู้ทรงในฐานะผู้ถือตามมาตรา 904 และแม้ว่าการโอนจะมีการสลักหลังด้วยก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อการพิสูจน์ให้ปรากฏสิทธิว่าการสลักหลังไม่ขาดสาย เพราะการพิสูจน์ให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลัง ที่ไม่ขาดสายตามมาตรา 905 นั้น จะใช้กับตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อเท่านั้น

สรุป

(ก) มะกรูดจะต้องโอนเช็คฉบับนี้โดยการสลักหลังและส่งมอบ

(ข) ข้ออ้างของพายุฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. (ก) การรับรองตั๋วแลกเงินมีกี่แบบ อะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย

(ข) การอาวัลตั๋วเงินโดยการแสดงเจตนาตามมาตรา 940 แตกต่างจากการค้ำประกันในสัญญา เรื่องอื่นอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

(ก) “การรับรองตั๋วแลกเงิน” คือ การที่ “ผู้จ่าย” ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อ ผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคําสั่งของผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ทรง (หรือผู้รับเงิน) ตามจํานวนเงินที่ได้ ให้คํารับรองไว้

การรับรองตั๋วแลกเงิน มี 2 แบบ ได้แก่ การรับรองตลอดไป และการรับรองเบี่ยงบ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 935)

1 การรับรองตลอดไป คือ การที่ผู้จ่ายรับรองว่าจะจ่ายเงินให้กับผู้ทรงโดยไม่มีการแก้แย้ง คําสั่งของผู้สั่งจ่ายแต่อย่างใด เช่น ผู้สั่งจ่ายให้ผู้จ่ายจ่ายเงินแก่ผู้ทรง 10,000 บาท เมื่อผู้ทรงนําตั๋วเงินไปยื่นให้ผู้จ่าย รับรอง ผู้จ่ายก็รับรองว่าจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรง 10,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นต้น

  1. การรับรองเบี่ยงบ่าย คือ การที่ผู้จ่ายรับรองกับผู้ทรงว่าจะจ่ายเงินให้แต่มีการแก้แย้ง คําสังของผู้สั่งจ่ายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทําให้ตั๋วเงินมีผลผิดแผกไปจากที่ผู้สั่งจ่ายเขียนสั่งไว้ ได้แก่

1) รับรองโดยมีเงื่อนไข เช่น รับรองว่าจะจ่ายเงินเมื่อถึงกําหนดผู้จ่ายมีเงินพอที่จะจ่ายเป็นต้น

2) รับรองแต่เพียงบางส่วน เช่น รับรองว่าจะจ่ายเงินให้เพียงครึ่งหนึ่งของจํานวนเงินในตั๋วเงิน เป็นต้น

(ข) “การอาวัลหรือการรับอาวัลตั๋วแลกเงิน” คือการที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว ในตั๋วแลกเงินนั้น ได้เข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่ง ตั๋วแลกเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลได้หลายคน และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุไว้ ให้ถือว่าเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939 วรรคสี่)

การอาวัลตั๋วเงินโดยการแสดงเจตนาตามมาตรา 940 จะแตกต่างจากการค้ำประกันในสัญญา เรื่องอื่น ดังนี้คือ

การอาวัลตั๋วเงินนั้น มาตรา 940 วรรคสองบัญญัติว่า “แม้ถึงว่าความรับผิดใช้เงินอันผู้รับอาวัล ได้ประกันอยู่นั้น จะตกเป็นอันใช้ไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆ นอกจากเพราะทําผิดแบบระเบียบ ท่านว่าข้อที่สัญญารับอาวัลนั้น ก็ยังคงสมบูรณ์” ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า ในกรณีที่บุคคลที่ผู้รับอาวัลได้ประกันอยู่นั้นไม่ต้องรับผิด ตามตั๋วเงินไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ อันเป็นข้อต่อสู้ที่ทําให้บุคคลนั้นไม่ต้องรับผิด ผู้รับอาวัลก็ยังคงต้องรับผิดตามตั๋วเงิน เช่น นายดําเข้ามารับอาวัลนายแดงผู้สลักหลังตั๋วเงิน ถ้าปรากฏว่านายแดงเป็นผู้เยาว์และผู้แทนโดยชอบธรรมของ นายแดงได้บอกล้างการลงลายมือชื่อของนายแดงแล้ว ทําให้นายแดงไม่ต้องรับผิดตามตั๋วเงิน ดังนี้นายดําผู้รับอาวัล ก็ยังคงต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นเช่นเดิม จะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยไม่ได้

ส่วนการค้ำประกันในสัญญาเรื่องอื่นนั้น ป.พ.พ. มาตรา 698 ได้บัญญัติไว้ว่า “อันผู้ค้ำประกัน ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใด ๆ” ตัวอย่างเช่น ก. กู้เงิน ข. โดยมี ค. เป็นผู้ค้ำประกัน ดังนี้ ถ้าต่อมา ก. ได้ชําระหนี้ให้แก่ ข. ครบถ้วนแล้ว หรือ ข. ได้ปลดหนี้ให้แก่ ก. ถูกต้อง ตามกฎหมายแล้ว หนี้ของ ก. ก็เป็นอันระงับสิ้นไป และเมื่อหนี้เงินกู้ยืมอันเป็นหนี้ประธานระงับสิ้นไป หนี้ตาม สัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ก็จะระงับสิ้นไป ทําให้ ค. ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย

 

ข้อ 3. นายมกราคมได้ทําการขโมยเช็คของนายกุมภาพันธ์มาและลงลายมือชื่อปลอมเป็นชื่อนายกุมภาพันธ์ในช่องผู้สั่งจ่าย และได้เขียนเช็คสั่งจ่ายให้แก่นายมีนาคม โดยมิได้ขีดชาคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก ต่อมานายมีนาคมได้สลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับนี้ให้แก่นายเมษายน ต่อมาเมื่อเช็คถึงกําหนดตามวันที่ลงในเช็ค นายเมษายนซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้นํา เช็คฉบับนี้ไปขึ้นเงินกับธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เนื่องจากได้รับแจ้งจากนายกุมภาพันธ์ ให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็ค เนื่องจากเช็คหาย

ดังนี้ ให้ท่านพิจารณาว่า นายมีนาคมต้องรับผิดและชดใช้เงินให้แก่นายเมษายนหรือไม่ เพราะเหตุใด (อธิบายให้ชัดเจนพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อม โอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

มาตรา 1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 1008 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อ ในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจ ให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญา แห่งตัวนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด”

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องของการลงลายมือชื่อปลอมในตัวเงินตามมาตรา 1008 เมื่อ เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายสั่งจ่ายแก่นายมีนาคมหรือผู้ถือ ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง ถ้ามีการสลักหลัง ให้ถือว่าเป็นเพียงการอาวัลผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อมี การสลักหลังมอบเช็คพิพาทให้แก่นายเมษายน จึงถือว่านายมีนาคมซึ่งได้ลงลายมือชื่อในเช็คต้องรับผิดตามเช็ค ในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

และแม้ว่าตามข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ลายมือชื่อของนายกุมภาพันธ์จะเป็นลายมือปลอม และลายมือปลอมของนายกุมภาพันธ์จะตกเป็นอันใช้ไม่ได้ตามมาตรา 1008 ก็ไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์ของ ลายมือชื่อของนายมีนาคมที่ได้ลงไว้ในเช็คนั้น (มาตรา 1006) ดังนั้น เมื่อนายเมษายนนําเช็คพิพาทฉบับดังกล่าว ไปขึ้นเงินไม่ได้ เพราะทางธนาคารแจ้งว่าเช็คฉบับนี้ถูกระงับการจ่ายจากนายกุมภาพันธ์ผู้สั่งจ่าย นายมีนาคมจึงยังคง ต้องรับผิดใช้เงินให้แก่นายเมษายน แม้ชื่อนายกุมภาพันธ์ผู้สั่งจ่ายจะเป็นลายมือปลอมก็ตาม (คําพิพากษาฎีกาที่ 918/2522)

สรุป นายมีนาคมต้องรับผิดใช้เงินให้แก่นายเมษายน แม้ชื่อของนายกุมภาพันธ์ผู้สั่งจ่ายจะเป็นลายมือชื่อปลอมก็ตาม

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) ให้นักศึกษาอธิบายถึงหลักเกณฑ์ทางกฎหมายของการเป็น “ผู้ทรงตั๋วเงินโดยชอบด้วยกฎหมาย” มาให้เข้าใจ

(ข) นายสาทรสั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่ง ระบุชื่อนายแสนแสบเป็นผู้รับเงิน พร้อมทั้งขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือในเช็คออก แล้วส่งมอบชําระหนี้ให้แก่นายแสนแสบ ต่อมานายแสนแสบนําเช็คนั้น ไปสลักหลังลอยชําระหนี้ให้แก่นางสาวจอมทอง ต่อมานางสาวจอมทองได้ส่งมอบเช็คนั้น ชําระหนี้ให้แก่นางสาวสายไหม หลังจากนั้นนางสาวสายไหมเกิดความสงสัยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิ ในเช็คนี้โดยชอบหรือไม่ จึงมาปรึกษานายนครไทย ซึ่งนายนครไทยบอกกับนางสาวสายไหมว่า นางสาวสายไหมมิใช่ผู้มีสิทธิในเช็คฉบับนี้ เนื่องจากมีการโอนเช็คมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนี้ คําแนะนําของนายนครไทยที่ให้กับนางสาวสายไหมนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1208 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่า เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ทําให้สามารถสรุปหลักเกณฑ์ของการเป็นผู้ทรงตั๋วเงินโดย ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้คือ

1 เป็นผู้มีตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง คือมีการครอบครองหรือยึดถือตั๋วเงินนั้นด้วยเจตนา ยึดถือเพื่อตน

2 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลังในกรณีที่เป็นตัวเงิน ชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ หรืออาจครอบครองตั๋วเงินนั้นในฐานะผู้ถือในกรณีที่เป็นตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ

3 ได้ครอบครองตั๋วเงินนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยไม่ได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เช่น ได้ตั๋วเงินนั้นมาจากผู้สั่งจ่าย (หรือผู้ออกตั๋ว) หรือได้รับโอนตั๋วเงินนั้นมาโดยสุจริต

4 ในกรณีเป็นผู้ครอบครองตั๋วเงินในฐานะผู้รับสลักหลัง (ไม่ว่าจะเป็นผู้รับสลักหลังจากการสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอย) จะต้องแสดงให้ปรากฏสิทธิในการสลักหลังทีไม่ขาดสายด้วย คือแสดง ให้เห็นว่าตั๋วเงินนั้นมีการสลักหลังโอนติดต่อกันมาตามลําดับโดยไม่ขาดตอน แม้ว่าการสลักหลังบางรายจะเป็น สลักหลังลอยก็ตาม

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ใน ครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอย ก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่ง คําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย”

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลัง อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 914 ถึง 923”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเช็คที่นายสาทรออกให้แก่นายแสนแสบเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (เพราะมีการขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือในเช็คออก) ดังนั้นถ้านายแสนแสบจะโอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวจอมทอง นายแสนแสบก็จะต้องโอนเช็คโดยการสลักหลังและส่งมอบ ซึ่งการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ หรือสลักหลังลอยก็ได้ตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแสนแสบได้โอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวจอมทองโดยการ สลักหลังลอย ดังนั้นเมื่อนางสาวจอมทองต้องการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไปให้แก่นางสาวสายไหม นางสาวจอมทอง ก็สามารถโอนได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง หรืออาจจะ โอนโดยการส่งมอบเช็คให้แก่นางสาวสายไหมโดยไม่มีการสลักหลังใด ๆ เลยก็ได้ตามมาตรา 920 (3) ประกอบ มาตรา 989 วรรคหนึ่ง และเมื่อปรากฏว่านางสาวจอมทองได้โอนเช็คฉบับนี้ให้แก่นางสาวสายไหมโดยการส่งมอบ ย่อมถือว่านางสาวสายไหมได้รับโอนเช็คมาโดยถูกต้องตามกฎหมาย และให้ถือว่านางสาวสายไหมได้รับโอนเช็ค มาจากการสลักหลังลอยของนายแสนแสบ การสลักหลังโอนเช็คฉบับนี้จึงไม่ขาดสาย นางสาวสายไหมซึ่งครอบครองเช็คฉบับนี้อยู่จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 และมาตรา 905 วรรคหนึ่ง และย่อมมีสิทธิ ในเช็คฉบับนี้โดยชอบ ดังนั้นคําแนะนําของนายนครไทยที่ว่า นางสาวสายไหมมิใช่ผู้มีสิทธิในเช็คฉบับนี้ เนื่องจาก มีการโอนเช็คมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นจึงไม่ถูกต้อง

สรุป คําแนะนําของนายนครไทยที่ให้กับนางสาวสายไหมนั้นไม่ถูกต้อง

 

ข้อ 2. (ก) ผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่ายตั๋วเงินสามารถเป็นผู้รับอาวัลตั๋วเป็นได้หรือไม่

(ข) ชะมดสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็ค ลงวันที่ 9 มกราคม 2561 จํานน 1.1 ล้านบาท ระบุชื่อชะม้อย ขีดฆ่าหรือผู้ถือออก ก่อนเช็คถึงกําหนด ชะม้อยได้นําเช็คให้แช่มช้อยอาวัลตน (ชะม้อย) ไว้ด้านหน้าเช็คฉบับดังกล่าวทําอย่างถูกต้อง และชะม้อยได้ทําการสลักหลังส่งมอบเช็คต่อไปอีกให้แก่แฉล้มเพื่อชําระหนี้ แฉล้มรับเช็คไว้ และเดินทางไปต่างประเทศและหลงลืมนําเช็คไปขึ้นเงินจนกระทั่งวันที่ 9 มีนาคม 2561 นึกขึ้นได้จึงรีบนําเช็คไปเรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คแต่ถูกปฏิเสธการจ่ายเพราะเงินในบัญชี มีไม่พอจ่าย แฉล้มทวงถามชะม้อยในฐานะผู้สลักหลัง แต่ชะม้อยต่อสู้ว่าแฉล้มไปเรียกเก็บเงิน ล่าช้าเพราะเช็คต้องยื่นแก่ธนาคารภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันออกเช็คเป็นความล่าช้า ของแฉล้มเองที่ให้ล่วงพ้น 2 เดือน ตนจึงหลุดพ้นความผิดตามเช็คแฉล้มย่อมสิ้นสิทธิไล่เบี้ย ผู้สลักหลัง แช่มช้อยยกข้ออ้างว่าตนก็ไม่ต้องรับผิดเพราะชะม้อยซึ่งตนอาวัลหรือค้ำประกัน หลุดพ้นความรับผิด การรับอาวัลก็ต้องหลุดพ้นความผิดไปด้วย

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้ออ้างของแช่มช้อยฟังขึ้นหรือไม่ เพราะอะไร (หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า แฉล้มติดต่อชะมดผู้สั่งจ่ายไม่ได้)

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณ์ชย์

มาตรา 938 “ตั๋วแลกเงินจะมีผู้ค้ำประกันรับประกันการใช้เงินทั้งจํานวนหรือแต่บางส่วนก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า “อาวัล”

อันอาวัลนั้นบุคคลภายนอกคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้รับ หรือแม้คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้รับก็ได้”

มาตรา 939 “อันการรับอาวัลย่อมทําให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจําต่อ

ในการนี้จึงใช้ถ้อยคําสํานวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดทํานองเดียวกันนั้นและ ลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัล แล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

การอาวัลตัวเงิน คือการค้ำประกันหรือรับประกันการใช้เงินตามตัวเงิน ซึ่งอาจจะเป็นการค้ำประกันทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ และบุคคลที่จะเข้ามารับอาวัลผู้เป็นคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้น อาจเป็นบุคคลภายนอก หรืออาจจะเป็นคู่สัญญาเดิมในตั๋วเงิน เช่น ผู้สั่งจ่าย ผู้จ่าย หรือผู้สลักหลังก็ได้ (มาตรา 938)

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่ายจะเข้ามารับอาวัลคู่สัญญาในตั๋วเงิน ผู้สั่งจ่ายหรือผู้จ่าย จะต้องเขียนข้อความว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายเดียวกันลงไว้ในตั๋วเงินด้วยและต้อง ระบุไว้ด้วยว่าอาวัลผู้ใด จะลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าของตัวเงินเพียงอย่างเดียวไม่ได้ (มาตรา 939)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 940 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคล ซึ่งตนประกัน

ถึงแม้ว่าความรับผิดใช้เงินอันผู้รับอาวัลได้ประกันอยู่นั้นจะตกเป็นอันใช้ไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆ นอกจากเพราะทําผิดแบบระเบียบ ท่านว่าข้อที่สัญญารับอาวัลนั้นก็ยังคงสมบูรณ์”

990 วรรคหนึ่ง “ผู้ทรงเช็คต้องยืนเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็ค ให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น ต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อ ผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยืนเช็คนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชะมดสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับ ที่ออกเช็คลงวันที่ 9 มกราคม 2561 จํานวน 1.1 ล้านบาท โดยระบุชื่อชะม้อยและขีดฆ่าหรือผู้ถือออกนั้น เช็คฉบับนี้ ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้น การโอนเช็คฉบับนี้ต่อไปจึงต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบ

การที่ชะม้อยได้ทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คต่อไปให้แก่เฉล้ม โดยมีแช่มช้อยได้เข้ามารับอาวัลชะม้อยนั้น แช่มช้อยย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับชะม้อยบุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง และแม้ว่าความรับผิดใช้เงินอันผู้รับอาวัลได้ประกันอยู่นั้นจะตกเป็นอันใช้ไม่ได้ด้วยเหตุใด ๆ นอกจาก เพราะทําผิดแบบระเบียบ ข้อสัญญารับอาวัลของผู้รับอาวัลก็ยังคงสมบูรณ์ตามมาตรา 940 วรรคสอง

ดังนั้น การที่แฉล้มมิเด้นําเช็คดังกล่าวไปยื่นให้ธนาคารใช้เงินภายใน 1 เดือนนับแต่วันออกเช็ค เป็นเหตุให้ชะม้อยผู้สลักหลังหลุดพ้นจากความรับผิด กล่าวคือทําให้แฉล้มสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ขะม้อยตาม มาตรา 990 วรรคหนึ่งนั้น มิใช่เป็นกรณีเพราะทําผิดแบบระเบียบแต่อย่างใด แฉล้มจึงยังสามารถไล่เบี้ยเอาแก่แช่มช้อยผู้รับอาวัลได้ แช่มช้อยจะยกเอาเหตุที่ชะม้อยหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะเหตุดังกล่าวขึ้นมาเป็นข้ออ้าง ว่าทําให้ตนในฐานะผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยไม่ได้ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

สรุป ข้ออ้างของแช่มช้อยฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3. (ก) ผู้ทรงเช็คขีดคร่อมต้องทําอย่างไรจึงจะได้รับเงินตามเช็ค

(ข) สุดหล่อเป็นผู้รับเงินตามเช็คที่ธนาคารกรุงสุโขทัยเป็นผู้จ่าย มีเส้นขนานคู่ขีดขวางอยู่ที่มุมซ้ายด้านหน้าของเช็ค เมื่อถึงวันที่ลงในเช็คสุดหล่อนําเช็คไปขอคําแนะนําจากธนาคารกรุงทิพย์ ว่าจะต้องทําอย่างไรจึงจะได้เงินตามเช็ค ธนาคารกรุงทิพย์แนะนําให้สุดหล่อเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์กับธนาคารกรุงทิพย์ และทางธนาคารจะเรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารกรุงสุโขทัยแล้วให้สุดหล่อมาเบิกเงิน ออกจากบัญชีในวันหลัง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าคําแนะนําของธนาคารกรุงทิพย์ถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่

ธงคําตอบ

(ก) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 994 ได้บัญญัติไว้ว่า

“ถ้าในเช็คมีเส้นขนานคู่ขีดขวางไว้ข้างด้านหน้า กับมีหรือไม่มีคําว่า “และบริษัท” หรือคําย่อ อย่างใด ๆ แห่งข้อความนี้อยู่ในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นไซร้ เช็คนั้นชื่อว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป และจะใช้เงินตาม เช็คนั้นได้แต่เฉพาะให้แก่ธนาคารเท่านั้น

ถ้าในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นกรอกชื่อธนาคารอันหนึ่งอันใดลงไว้โดยเฉพาะ เช็คเช่นนั้นชื่อว่า เป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ และจะใช้เงินตามเช็คนั้นได้เฉพาะให้แก่ธนาคารอันนั้น”

ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า คําว่า “เช็คขีดคร่อม” นั้น หมายถึงเช็คที่มีการขีดเส้น คู่ขนานไว้ที่ด้านหน้าเช็ค ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1 เช็คขีดคร่อมทั่วไป หมายถึง เช็คที่มีเส้นขนานคู่ขีดขวางไว้ด้านหน้า โดยในระหว่าง เส้นคู่ขนานนั้นอาจจะไม่มีข้อความอะไร.ลยหรือมีคําว่า “และบริษัท” หรือคําย่อใด ๆ ก็ได้ เช็คขีดคร่อมทั่วไปนี้ ผู้ทรงเช็คจะนําไปยื่นให้ธนาคารจ่ายเป็นเงินสดไม่ได้ จะต้องนําเช็คไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากของผู้ทรงเพื่อให้ธนาคาร ผู้รับฝากเป็นผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารผู้จ่ายแล้วผู้ทรงค่อยไปเบิกเงินในวันหลัง เพราะเช็คชนิดนี้จะใช้เงิน ตามเช็คนั้นได้แต่เฉพาะให้แก่ธนาคารเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 994 วรรคหนึ่ง) เพียงแต่ผู้ทรงจะนําเช็คไปเข้าบัญชี ธนาคารใดธนาคารหนึ่งก็ได้

2 เช็คขีดคร่อมเฉพาะ หมายถึง เช็คที่มีเส้นคู่ขนานขีดไว้ที่ด้านหน้าเช็ค และในระหว่าง เส้นคู่ขนานจะมีชื่อของธนาคารใดธนาคารหนึ่งลงไว้โดยเฉพาะ เช็คชนิดนี้จะมีการใช้เงินตามเช็คให้แก่ธนาคารที่ ระบุไว้เท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 994 วรรคสอง) ดังนั้นผู้ทรงเช็คจะต้องนําเช็คไปเข้าบัญชีกับธนาคารที่ระบุลงไว้ ในเส้นคู่ขนานเท่านั้น เป็นผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คจากธนาคารผู้จ่ายแล้วผู้ทรงค่อยไปเบิกเงินในวันหลัง (และจะนําเช็คไปยื่นให้ธนาคารจ่ายเป็นเงินสดไม่ได้เช่นเดียวกัน)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 994 “ถ้าในเช็คมีเส้นขนานคู่ขีดขวางไว้ข้างด้านหน้า กับมีหรือไม่มีคําว่า “และบริษัท หรือคําย่ออย่างใด ๆ แห่งข้อความนี้อยู่ในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นไซร้ เช็คนั้นชื่อว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป และจะใช้เงินตามเช็คนั้นได้แต่เฉพาะให้แก่ธนาคารเท่านั้น

ถ้าในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นกรอกชื่อธนาคารอันหนึ่งอันใดลงไว้โดยเฉพาะ เช็คเช่นนั้นชื่อว่า เป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ และจะใช้เงินตามเช็คนั้นได้เฉพาะให้แก่ธนาคารอันนั้น”

วินิจฉัย

ตามหลัก ป.พ.พ. มาตรา 994 ในกรณีที่เช็คนั้นเป็นเช็คที่มีเส้นขนานคู่ขีดขวางอยู่ที่มุมซ้าย ด้านหน้าของเช็ค ย่อมถือว่าเป็นเช็คขีดคร่อม ซึ่งเช็คขีดคร่อมนั้นถ้าไม่มีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งอยู่ในรอยขีดคร่อม ถือว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป ซึ่งผู้ทรงจะนําเช็คนั้นไปเข้าบัญชีกับธนาคารใดธนาคารหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อม เฉพาะ คือเป็นเช็คที่มีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งอยู่ในรอยขีดคร่อม ผู้ทรงจะต้องนําเช็คนั้นไปเข้าบัญชีกับธนาคารที่มี ชื่ออยู่ในรอยขีดคร่อมเท่านั้น จะไปเข้าบัญชีกับธนาคารอื่นเพื่อให้ธนาคารอื่นนั้นไปเรียกเก็บเงินกับธนาคารผู้จ่ายไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สุดหล่อเป็นผู้รับเงินตามเช็คที่ธนาคารกรุงสุโขทัยเป็นผู้จ่าย โดยเช็คนั้น มีเส้นขนานคู่ขีดขวางอยู่ที่มุมซ้ายด้านหน้าของเช็คนั้น ถือว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป ดังนั้น การที่สุดหล่อนําเช็ค ไปขอคําแนะนําจากธนาคารกรุงทิพย์ว่าจะต้องทําอย่างไรจึงจะได้เงินตามเช็ค และธนาคารกรุงทิพย์ได้แนะนํา ให้สุดหล่อเปิดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์กับธนาคารกรุงทิพย์ และทางธนาคารกรุงทิพย์จะเรียกเก็บเงิน ตามเช็คจากธนาคารกรุงสุโขทัยแล้วให้สุดหล่อมาเบิกเงินออกจากบัญชีในวันหลังนั้น คําแนะนําของธนาคารกรุงทิพย์ จึงถูกต้องตามมาตรา 994

สรุป คําแนะนําของธนาคารกรุงทิพย์ถูกต้องตามกฎหมาย

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) การโอนตั๋วเงินมีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่สําคัญอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

(ข) นางสายไหมสั่งจ่ายเช็คฉบับหนึ่ง โดยทําการระบุชื่อนายจอมทอง เป็นผู้รับเงิน และมิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก และส่งมอบให้แก่นายจอมทอง เพื่อชําระหนี้ค่าเช่าอาคาร ต่อมานายจอมทองนําเช็คฉบับดังกล่าวมาทําการลงลายมือชื่อสลักหลัง และส่งมอบให้แก่นายบางรัก เพื่อชําระหนี้ค่าสินค้า หากต่อมานายบางรักต้องการจะทําการสลักหลัง และส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวเพื่อชําระหนี้ ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่นายประเวศ จะสามารถกระทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) ตามกฎหมายตั๋วเงินมี 3 ประเภท ได้แก่ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และเช็ค ซึ่งหลักในการ โอนตั๋วเงินนั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้ในส่วนที่เกี่ยวกับตั๋วแลกเงินเท่านั้น เพียงแต่ได้กําหนดให้นําหลักในการโอน ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อไปใช้กับการโอนตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คด้วย (ตามมาตรา 985 วรรคหนึ่ง และ มาตรา 989 วรรคหนึ่ง) และให้นําหลักในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือไปใช้กับการโอนเซ็คชนิดสั่งจ่าย แก่ผู้ถือด้วย (ตามมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

สําหรับหลักในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น กฎหมายได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ

1 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ

การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่ บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของ ตนไว้ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลัง ระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ ตั๋วแลกเงินนั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรือ อาจจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

2 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ

การโอนตั๋วเงินชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้อง มีการสลักหลังตาม ป.พ.พ. มาตรา 918 ซึ่งบัญญัติว่า “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียง ด้วยส่งมอบให้กัน”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าว ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910. 914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสายไหมสั่งจ่ายเช็คเพื่อชําระหนี้ค่าเช่าอาคารให้แก่นายจอมทอง โดยระบุชื่อนายจอมทอง เป็นผู้รับเงิน แต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก เช็คฉบับนี้ถือว่าเป็นเช็คชนิด สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้อง สลักหลัง และถ้ามีการสลักหลังให้ถือว่าเป็นเพียงการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

การที่นายจอมทองนําเช็คฉบับดังกล่าวมาทําการลงลายมือชื่อสลักหลังและส่งมอบให้แก่ นายบางรักเพื่อชําระหนี้ค่าสินค้านั้น การโอนเช็คระหว่างนายจอมทองและนายบางรักถือเป็นการโอนเซ็คที่ ชอบด้วยกฎหมาย เพียงแต่การสลักหลังของนายจอมทองนั้น ให้ถือว่าเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายซึ่งนายจอมทอง จะต้องรับผิดตามเช็คในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายคือนางสายไหม

และเมื่อนายบางรักต้องการจะทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวเพื่อชําระหนี้ตาม สัญญากู้ยืมเงินให้แก่นายประเวศ นายบางรักย่อมสามารถทําได้ เพียงแต่การสลักหลังของนายบางรักย่อมมีผลทําให้ นายบางรักจะตกเป็นผู้ที่จะต้องรับผิดตามเช็คนั้นในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายคือนางสายไหมด้วย

สรุป นายบางรักสามารถทําการสลักหลังและส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายประเวศได้

 

ข้อ 2. (ก) การรับรองตั๋วแลกเงินจะต้องทําอย่างไรถึงจะเป็นการรับรองโดยถูกต้องตามกฎหมาย และการรับรองนั้นมีกี่อย่าง อะไรบ้าง

(ข) การอาวัลตั๋วแลกเงินคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง ผู้จ่ายเงินตามตั๋วจะเข้ามาเป็นผู้รับอาวัลได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) “การรับรองตั๋วแลกเงิน” คือ การที่ “ผู้จ่าย” ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคําสั่งของผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ทรง (หรือผู้รับเงิน) ตามจํานวนเงินที่ได้ให้ คํารับรองไว้

สําหรับ “วิธีการรับรองตั๋วแลกเงิน” ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ผู้จ่ายจะต้องปฏิบัติตาม แบบหรือวิธีการรับรองตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 931 ดังนี้ คือ

1 ให้ผู้จ่ายเขียนข้อความว่า “รับรองแล้ว” หรือข้อความอื่นทํานองเดียวกันนั้น และ ลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น โดยอาจจะลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้ หรือ

2 ผู้จ่ายลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน โดยไม่เขียนข้อความ ดังกล่าวไว้เลยก็ได้ กฎหมายก็ให้จัดว่าเป็นคํารับรองแล้ว

อนึ่ง ถ้าผู้จ่ายได้ทําการรับรองโดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินนั้น ย่อมเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกําหนด จึงไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคํารับรองนั้นไม่มีผลนั่นเอง

การรับรองตั๋วแลกเงิน มี 2 ประเภท ได้แก่ การรับรองตลอดไป และการรับรองเบี่ยงบ่าย(ป.พ.พ. มาตรา 935)

1 การรับรองตลอดไป คือ การที่ผู้จ่ายรับรองว่าจะจ่ายเงินให้กับผู้ทรงโดยไม่มีการแก้แย้งคําสั่งของผู้สั่งจ่ายแต่อย่างใด เช่น ผู้สั่งจ่ายให้ผู้จ่ายจ่ายเงินแก่ผู้ทรง 10,000 บาท เมื่อผู้ทรงนําตั๋วเงินไปยื่นให้ผู้จ่ายรับรอง ผู้จ่ายก็รับรองว่าจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ทรง 10,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นต้น

2 การรับรองเบี่ยงบ่าย คือ การที่ผู้จ่ายรับรองกับผู้ทรงว่าจะจ่ายเงินให้แต่มีการแก้แย้ง คําสั่งของผู้สั่งจ่ายอย่างใดอย่างหนึ่ง ทําให้ตั๋วเงินมีผลผิดแผกไปจากที่ผู้สั่งจ่ายเขียนสั่งไว้ ได้แก่

1) รับรองโดยมีเงื่อนไข เช่น รับรองว่าจะจ่ายเงินเมื่อถึงกําหนดผู้จ่ายมีเงินพอที่จะจ่าย

เป็นต้น

2) รับรองแต่เพียงบางส่วน เช่น รับรองว่าจะจ่ายเงินให้เพียงครึ่งหนึ่งของจํานวนเงินในตั๋วเงิน เป็นต้น

(ข) “การอาวัลหรือการรับอาวัลตั๋วแลกเงิน” คือการที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว ในตั๋วแลกเงินนั้น ได้เข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่ง ตั๋วแลกเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลได้หลายคน และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุไว้ ให้ถือว่าเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939 วรรคสี่)

การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้น เกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา และอาวัลโดยผลของกฎหมาย

1 การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา ทําได้โดย

1.1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งการอาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่)

1.2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความ ใด ๆ ไว้ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

2 การอาวัลโดยผลของกฎหมาย เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินชนิด สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 921 ได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายและ ต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

สําหรับผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินนั้น จะเข้ามาเป็นผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงินได้ แต่ผู้จ่ายจะต้อง ปฏิบัติตาม 1.1 กล่าวคือ จะต้องเขียนข้อความและลงลายมือชื่อของผู้จ่ายไว้ด้วย จะลงแต่ลายมือชื่อของผู้จ่ายไว้ ที่ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินตาม 1.2 ไม่ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939)

 

ข้อ 3. (ก) ธนาคารผู้มีหน้าที่ใช้เงินตามเช็คจะสามารถปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ในวันที่ 15 ตุลาคม 2560 น้ำสั่งจ่ายเช็คธนาคารริชชี่ จํากัด (มหาชน) สาขาหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งตนเป็นลูกค้าอยู่จํานวน 500,000 บาท ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2560 ระบุชื่อ สุดสวย เป็นผู้รับเงิน และขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก แล้วส่งมอบเช็คนั้นชําระหนี้ค่าซื้อ ลิขสิทธิ์งานศิลปกรรมให้แก่สุดสวย ต่อมาเมื่อถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2560 สุดสวยก็ยังไม่นําเช็ค ไปยื่นให้ธนาคารริชชี่ฯ ใช้เงิน เนื่องจากมีภารกิจต้องเดินทางไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศ เมื่อสุดสวยเดินทางกลับมาจากต่างประเทศวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 จึงได้รีบนําเช็คฉบับ ดังกล่าวไปยื่นให้ธนาคารริชชี่ฯ สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ใช้เงินในวันเดียวกันนั้นทันที เมื่อ ธนาคารริชซี่ฯ ทําการตรวจสอบเงินในบัญชีของน้ำผู้สั่งจ่ายแล้ว ปรากฏว่ามีเงินคงเหลืออยู่ใน บัญชีที่ธนาคารจะสามารถจ่ายได้จํานวน 1,000,000 บาท ต่อจากนั้นธนาคารริชชี่ฯ ได้ทําการ สอบถามไปยังน้ำ เมื่อน้ำทราบเรื่องก็แจ้งให้ธนาคารริชชี่ฯ ระงับการจ่ายเงินตามเช็คฉบับ ดังกล่าวทันที เพราะเห็นว่าเป็นเช็คที่ล่วงเลยเวลาใช้เงินตามเช็คมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว

ดังนี้ ธนาคารริชชี่ฯ จะสามารถจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวนี้ให้แก่สุดสวยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) โดยหลักแล้ว ธนาคารมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินตามเช็คที่ผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงิน แก่ตนเสมอตามสัญญาฝากทรัพย์ในรูปบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน (Current Deposit Account) ซึ่ง “ผู้เคยค้า” นั้นหมายถึง “ผู้สั่งจ่ายเช็ค” อันเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างธนาคารกับผู้สั่งจ่ายในฐานะเจ้าหนี้ ขณะที่ธนาคาร มีฐานะเป็นลูกหนี้

แต่อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นตามมาตรา 991 (1) (2) และ (3) ที่กฎหมายบัญญัติให้ธนาคาร มีสิทธิใช้ดุลพินิจว่าจะจ่ายเงินตามเช็คที่ผู้เคยค้าสั่งจ่ายหรือไม่ก็ได้ กล่าวคือธนาคารอาจจะปฏิเสธไม่จ่ายเงิน ตามเช็คก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือ

(1) กรณีไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้า หรือมีแต่ไม่พอจ่ายตามเช็ค แต่หากธนาคารอนุมัติ ให้จ่าย ย่อมถือว่าธนาคารได้อนุญาตให้ผู้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเกินบัญชี (O/D) และก่อให้เกิดบัญชีเดินสะพัดตามนัย มาตรา 856 ระหว่างธนาคารกับผู้สั่งจ่าย

(2) กรณีผู้ทรงเช็คได้ยื่นเช็คเกิน 6 เดือนนับแต่วันเดือนปีที่ออกเช็ค (วันที่ลงในเช็ค) (3) กรณีที่ได้มีคําบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป

และถ้าหากเป็นกรณีตามมาตรา 992 (1) (2) และ (3) ธนาคารจะจ่ายเงินตามเช็คไม่ได้เลย เพราะถือว่าอํานาจและหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็คของธนาคารได้สิ้นสุดลงแล้ว กรณีดังกล่าวได้แก่

(1) มีคําบอกห้ามมิให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยผู้สั่งจ่าย

(2) ธนาคารรู้ว่าผู้สั่งจ่ายเช็คตาย

(3) ธนาคารรู้ว่าศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว หรือพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือคําสั่ง ให้ผู้สั่งจ่ายเป็นคนล้มละลาย หรือได้มีประกาศโฆษณาคําสั่งเช่นนั้น

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 990 วรรคหนึ่ง “ผู้ทรงเช็คต้องยืนเช็คแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน คือว่าถ้าเป็นเช็ค ให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็คต้องยื่นภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คนั้น ถ้าเป็นเช็คให้ใช้เงินที่อื่น ต้องยื่นภายในสามเดือน ถ้ามิฉะนั้นท่านว่าผู้ทรงสิ้นสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลังทั้งปวง ทั้งเสียสิทธิอันมีต่อ ผู้สั่งจ่ายด้วย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการที่ละเลยเสียไม่ยื่นเช็คนั้น”

มาตรา 992 “หน้าที่และอํานาจของธนาคารซึ่งจะใช้เงินตามเช็คอันเบิกแก่ตนนั้น ท่านว่า เป็นอันสุดสิ้นไปเมื่อกรณีเป็นดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) มีคําบอกห้ามการใช้เงิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่น้ำสั่งจ่ายเช็คธนาคารริชชี่ จํากัด (มหาชน) สาขาหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2560 โดยระบุชื่อ สุดสวย เป็นผู้รับเงิน และขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ออก และส่งมอบเช็คนั้นให้แก่สุดสวยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นกรณีผู้สั่งจ่ายได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารในกรุงเทพมหานคร

เพื่อชําระหนี้ในกรุงเทพมหานคร จึงถือว่าเป็นเช็คที่ออกในเมืองเดียวกัน ดังนั้น ผู้ทรงคือสุดสวยจะต้องนําเช็คนั้น ไปยืนให้ธนาคารฯ จ่ายเงินภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ลงในเช็ค คือภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 มิฉะนั้นแล้ว จะมีผลตามมาตรา 990 วรรคหนึ่ง คือสุดสวยจะสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้สลักหลัง และเสียสิทธิอันมีต่อผู้สั่งจ่าย เพียงเท่าที่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้สั่งจ่ายเพราะการละเลยเสียไม่ยืนเช็คภายในกําหนดนั้น

แต่ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า สุดสวยจะได้ยื่นเช็คให้ธนาคารฯ ใช้เงินในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเลยระยะเวลา 1 เดือน นับแต่วันที่ลงในเช็คมากว่า 3 เดือนเศษแล้วก็ตาม แต่ก็ถือว่าน้ำยังไม่หลุดพ้นจาก ความรับผิดตามมาตรา 990 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะไม่ปรากฏว่าธนาคารริชชี่ฯ ล้มละลายทําให้น้ำได้รับความเสียหาย แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าน้ำจะได้หลุดพ้นจากความรับผิดหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าน้ำซึ่งเป็นผู้สั่งจ่าย เช็คฉบับดังกล่าวได้แจ้งให้ธนาคารริชชี่ฯ ระงับการจ่ายเงินตามเช็คฉบับนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่ายมี คําบอกห้ามการใช้เงินแล้ว ดังนั้น เมื่อธนาคารฯ ทราบแล้ว ธนาคารฯ จะใช้ดุลพินิจจ่ายเงินไม่ได้เพราะถือว่า อํานาจและหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็คของธนาคารฯ ได้สิ้นสุดลงแล้วตามมาตรา 992 (1)

สรุป ธนาคารริชชีฯ ไม่สามารถจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่สุดสวยได้

 

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) ให้นักศึกษาอธิบายการแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสายของผู้ที่ครอบครองตั๋วเงินโดยชอบว่า “การสลักหลังไม่ขาดสาย” หมายความว่าอย่างไร ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ ว่าด้วยตั๋วเงิน

(ข) นายฉันทะ สั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ให้นายวิริยะ ขีดฆ่าหรือผู้ถือออก ต่อมานายวิริยะลงลายมือชื่อตนไว้ด้านหลังเช็ค โดยมิได้เติมข้อความใด ๆ แล้วส่งมอบชําระหนี้กู้ยืมให้นายจิตตะ นายจิตตะ ได้ทําการเติมข้อความบนลายมือชื่อของนายวิริยะว่า “ชําระหนี้นายวิมังสา” แล้วส่งมอบเช็ค ฉบับดังกล่าวให้นายวิมังสา โดยมิได้ลงลายมือชื่อตน ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายวิมังสา ได้รับการโอนเช็คมาถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่ง คําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียแล้วท่านให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย…”

การแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสายของผู้ที่ครอบครองตั๋วเงินโดยชอบนั้น หมายถึง การที่ผู้ที่ได้รับโอนตั๋วเงินชนิดระบุชื่อได้แสดงหรือได้พิสูจน์ให้เห็นว่าตนได้รับโอนตั๋วเงินนั้นมาโดยมี การสลักหลังติดต่อกันมาเป็นทอด ๆ อย่างถูกต้อง แม้ว่าการสลักหลังบางรายจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม และเมื่อได้แสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นถึงการสลักหลังที่ไม่ขาดสายดังกล่าวแล้ว กฎหมายให้ถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย (ตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง)

ตัวอย่าง แดงได้รับตั๋วเงินฉบับหนึ่งไว้ในความครอบครองที่ด้านหลังตัวมีลายมือชื่อของหนึ่ง ผู้รับเงินสลักหลังโอนให้สอง สองสลักหลังโอนตั๋วให้สาม และสามสลักหลังโอนตั๋วให้แดง ดังนี้ แดงย่อมเป็นผู้ทรง โดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง เพราะแดงสามารถแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าตนได้รับตั๋วเงินนั้น มาด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย

หรือตามตัวอย่างข้างต้น ถ้าปรากฏว่าตอนที่สามสลักหลังโอนตั๋วให้แก่แดงนั้น สามเพียงแต่ ลงลายมือชื่อของสามไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินโดยไม่ได้ระบุชื่อบุคคลใดเป็นผู้รับประโยชน์หรือผู้รับสลักหลัง (ซึ่ง เรียกว่า “สลักหลังลอย”) ดังนี้ ย่อมถือว่าแดงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่งเช่นเดียวกัน เพราะถือว่าแดงได้รับโอนตั๋วเงินนั้นมาด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมาตรา 905 วรรคหนึ่ง อยู่ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 ซึ่งตามมาตรา 1008 มีหลักว่า “ถ้าลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือชื่อปลอม หรือเป็นลายมือชื่อที่ลงไว้ โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจให้ลงลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจาก อํานาจนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย” ซึ่งเมื่อนํามาปรับกับมาตรา 905 วรรคหนึ่งแล้ว ย่อมถือได้ว่า ถ้าการสลักหลังรายใดเป็นการสลักหลังด้วยการลงลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่เจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจให้ลงลายมือชื่อของเขาแล้ว ลายมือชื่อนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้ กล่าวคือ ลายมือชื่อนั้นจะถูกตัดออกไป จึงมีผลทําให้การสลักหลังตั๋วเงินนั้น ขาดสาย

ตัวอย่าง แดงได้รับตั๋วเงินไว้ในความครอบครอง ที่ด้านหลังตั๋วมีลายมือชื่อของหนึ่งผู้รับเงิน สลักหลังโอนให้สอง และสองสลักหลังโอนให้แดง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลายมือชื่อของหนึ่งเป็นลายมือชื่อปลอม เนื่องจากดําแอบขโมยเอาตั๋วไปจากหนึ่งและดําได้ปลอมลายมือชื่อของหนึ่งสลักหลังโอนให้สอง ดังนี้ ลายมือชื่อของหนึ่ง ย่อมตกเป็นอันใช้ไม่ได้ แดงจึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะแดงได้รับโอนตั๋วมาโดยการสลักหลังที่ขาดสาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใดก็ได้ คือ

(1) กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลัง อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายฉันทะสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ให้นายวิริยะและขีดฆ่าคําว่าหรือผู้ถือออกนั้น ถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ การที่นายวิริยะได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ด้านหลังเช็คโดยมิได้ เติมข้อความใด ๆ แล้วส่งมอบชําระหนี้กู้ยืมให้นายจิตตะ ถือว่านายวิริยะได้สลักหลังลอยและส่งมอบเช็คให้แก่ นายจิตตะ การโอนเช็คระหว่างนายวิริยะกับนายจิตตะจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง และให้ถือว่านายจิตตะเป็นผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจาก การสลักหลังลอยของนายวิริยะ

การที่นายจิตตะได้ทําการเติมข้อความบนลายมือชื่อของนายวิริยะว่า “ชําระหนี้นายวิมังสา” แล้วส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวให้นายวิมังสานั้น เป็นกรณีที่นายจิตตะได้ใช้สิทธิของผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจากการ สลักหลังลอยตามมาตรา 920 วรรคสอง (1) ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง และเมื่อนายจิตตะได้ส่งมอบเช็ค ดังกล่าวให้นายวิมังสา การโอนเช็คระหว่างนายจิตตะกับนายวิมังสาจึงมีผลสมบูรณ์ และให้ถือว่านายวิมังสา เป็นผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังลอยของนายวิริยะ

สรุป

นายวิมังสาได้รับโอนเช็คมาโดยถูกต้อง

 

ข้อ 2. (ก) จงอธิบายวิธีการอาวัลตั๋วเงินโดยการแสดงเจตนาพร้อมหลักกฎหมายประกอบ

(ข) นายฟักข้าวสั่งจ่ายเช็คชําระค่าซื้อขายเผือกให้แก่นายฟักทองหรือผู้ถือ นายฟักทองลงลายมือชื่อไว้ด้านหลังเช็ค แล้วส่งมอบชําระหนี้ให้แก่โรงงานที่มาทําการเก็บเกี่ยวหัวเผือก ให้นักศึกษา วินิจฉัยว่า หากผู้มีอํานาจของโรงงานนําเช็คฉบับดังกล่าวไปขึ้นเงินตามวันที่ลงในเช็คแต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่าย บุคคลใดบ้างที่ต้องรับผิดตามมูลหนี้ตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 939 “อันการรับอาวัลย่อมทําให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเอง หรือที่ใบประจําต่อในการนี้จึงใช้ถ้อยคําสํานวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดทํานองเดียวกันนั้นและ ลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล

อนึ่ง เพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัล แล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

ตามมาตรา 939 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับวิธีการอาวัลตั๋วเงินโดยการแสดงเจตนา ซึ่งผู้รับ อาวัลสามารถทําได้ โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วเงิน (ซึ่งอาจเป็นตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ เช็ค) หรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัล ประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลซึ่งการอาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วเงินก็ได้ (มาตรา 939 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่)

2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความใด ๆ ไว้ ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

ในคํารับอาวัลจะต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด หากไม่ได้ระบุไว้ให้ถือว่าผู้รับประกันผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสี่)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตาม เนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับ ให้ใช้เงินตามตัวนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าว ต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910…914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายฟักข้าว สั่งจ่ายเช็คชําระค่าซื้อขายเผือกให้แก่นายฟักทอง หรือ ผู้ถือ ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการ ส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง และถ้ามีการสลักหลังให้ถือว่าเป็นเพียงการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายฟักทองได้สลักหลังโอนเช็คโดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังเช็ค จึงให้ถือว่าการสลักหลังของนายฟักทองเป็นเพียงการรับอาวัลนายฟักข้าวผู้สั่งจ่ายเท่านั้น และมีผลทําให้ นายฟักทองต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับนายฟักข้าวผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อผู้มีอํานาจของโรงงานที่ได้รับเช็คมาจากนายฟักทองและได้นําเช็คฉบับ ดังกล่าวไปขึ้นเงินตามวันที่ลงในเซ็ค แต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่าย บุคคลที่จะต้องรับผิดตามมูลหนี้ของเช็คนั้น ได้แก่

1 นายฟักข้าว เพราะนายฟักข้าวได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในเช็คในฐานะผู้สั่งจ่าย จึงต้อง รับผิดในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง

2 นายฟักทอง เพราะนายฟักทองได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในเช็คในฐานะผู้รับอาวัล นายฟักข้าวผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง

สรุป

บุคคลที่จะต้องรับผิดตามมูลหนี้ของเช็คฉบับดังกล่าว ได้แก่ นายฟักข้าวผู้สั่งจ่าย และ นายฟักทองผู้รับอาวัลนายฟักข้าว

 

ข้อ 3. เช็คพิพาทมีชื่อกุมภาเป็นผู้สั่งจ่าย โดยผู้ที่ลงลายมือปลอมเขียนสั่งจ่ายคือ มกรา เป็นผู้ปลอมในช่องผู้สั่งจ่าย สั่งจ่ายแก่ มีนาหรือผู้ถือ มีนาสลักหลังมอบให้เมษา ครั้นถึงกําหนดวันที่ลงในเช็คพิพาท ฉบับนี้ เมษาซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบ นําเช็คฉบับดังกล่าวไปขึ้นเงินไม่ได้เพราะทางธนาคารแจ้งว่า เช็คฉบับนี้ถูกระงับการจ่ายจากผู้สั่งจ่ายคือนายกุมภา ดังนี้ มีนาต้องรับผิดใช้เงินแก่เมษาหรือไม่ แม้ชื่อกุมภาผู้สั่งจ่ายจะเป็นลายมือชื่อปลอมจากมกราก็ตาม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

1 มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตัวเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

มาตรา 1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ผู้สั่งจ่ายสั่งจ่ายแก่มีนาหรือผู้ถือ ย่อมถือว่า เป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็ค ให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง ถ้ามีการสลักหลังให้ถือว่าเป็นเพียงการอาวัลผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อมีการสลักหลังมอบเช็คพิพาทให้แก่เมษา จึงถือว่ามีนาซึ่งได้ลงลายมือชื่อ ในเช็คต้องรับผิดตามเช็คในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย (มาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

และแม้ว่าตามข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ลายมือชื่อของกุมภาจะเป็นลายมือปลอม และลายมือปลอม ของกุมภาจะตกเป็นอันใช้ไม่ได้ ก็ไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์ของลายมือชื่อของมีนาที่ได้ลงไว้ในเช็คนั้น (มาตรา 1006) ดังนั้น เมื่อเมษานําเช็คพิพาทฉบับดังกล่าวไปขึ้นเงินไม่ได้ เพราะทางธนาคารแจ้งว่าเช็คฉบับนี้ ถูกระงับการจ่ายจากกุมภาผู้สั่งจ่าย มีนาจึงยังคงต้องรับผิดใช้เงินให้แก่เมษา แม้ชื่อกุมภาผู้สั่งจ่ายจะเป็นลายมือปลอมก็ตาม (คําพิพากษาฎีกาที่ 918/2522)

สรุป มีนาต้องรับผิดใช้เงินให้แก่เมษา แม้ชื่อของกุมภาผู้สั่งจ่ายจะเป็นลายมือชื่อปลอม

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสาวน้ำสั่งจ่ายเช็คชําระหนี้ให้แก่นายพิชญ์ 2 ฉบับ

ฉบับแรกเป็นเช็คชนิดผู้ถือ ฉบับที่สองระบุชื่อนายพิชญ์ เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่า “หรือผู้ถือ” นายพิชญ์ทําเช็คทั้งสองฉบับตกหาย นายกุ้งเก็บเช็คได้ จึงได้นําเช็คฉบับแรกไปชําระหนี้กู้ยืมโดยส่งมอบให้นางสาวทราย

ฉบับที่สอง นายกุ้งได้ทําการ ปลอมลายมือชื่อ นายพิชญ์ สลักหลังและส่งมอบชําระค่างวดผ่อนคอนโดฯ ที่ซื้อมาจากนางสาวเดียร์ โดยนางสาวทรายและนางสาวเดียร์ต่างรับเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อมานายพิชญ์ทราบว่าเช็คที่ตนทําตกหายอยู่ที่นางสาวทรายและนางสาวเดียร์ จึงทวงถามบุคคล ทั้งสองให้คืนเช็คให้

จงวินิจฉัยว่า

(ก) นางสาวทราย ต้องคืนเช็คฉบับแรกซึ่งเป็นเช็คชนิดผู้ถือ หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นางสาวเดียร์ ต้องคืนเช็คฉบับที่สองซึ่งเป็นชนิดระบุชื่อ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่า เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคล ผู้มีลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินตัวยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสีย และห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 1008 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อ ในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจ ให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญา แห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) เช็คฉบับแรกที่นางสาวน้ำสั่งจ่ายให้แก่นายพิชญ์นั้น เมื่อเป็นเช็คชนิดผู้ถือ การที่นายพิชญ์ได้ ทําเช็คฉบับนี้ตกหายและนายกุ้งเก็บได้ การที่นายกุ้งได้นําเช็คฉบับนี้ไปชําระหนี้โดยส่งมอบให้แก่นางสาวทราย โดยนางสาวทรายได้รับเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง นางสาวทรายย่อมเป็นผู้ทรงและเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 ประกอบมาตรา 905 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ดังนั้น เมื่อนายพิชญ์ซึ่งเป็นบุคคลที่ต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครองเนื่องจากการทำเช็คตกหายได้ทวงถามเช็คคืน จากนางสาวทราย นางสาวทรายซึ่งเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายและสามารถแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนที่ ได้รับเช็คฉบับดังกล่าวมาโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จึงไม่ต้องคืนเช็คให้แก่นายพิชญ์ตาม มาตรา 905 วรรคสอง ประกอบวรรคสาม

(ข) เช็คฉบับที่ 2 นั้น เมื่อนางสาวน้ำสั่งจ่ายให้แก่นายพิชญ์ โดยระบุชื่อนายพิชญ์เป็นผู้รับเงิน และได้ขีดฆ่าคําว่า “ หรือผู้ถือ” ในเช็คออก ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดระบุชื่อ เมื่อนายพิชญ์ทําเช็คฉบับนี้ตกหาย และนายกุ้งเป็นผู้เก็บได้ ได้ทําการปลอมลายมือชื่อของนายพิชญ์แล้วสลักหลังและส่งมอบให้แก่นางสาวเดียร์ไปนั้น แม้นางสาวเดียร์จะได้รับเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม แต่เมื่อตามมาตรา 1008 ให้ถือว่าลายมือชื่อปลอมนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย คือให้ถือเสมือนหนึ่งว่านายพิชญ่ไม่เคยสลักหลังเช็คนั้นเลย ดังนั้น จึงถือว่านางสาวเดียร์ได้รับเช็คชนิดระบุชื่อนี้มาจากการสลักหลังที่ขาดสาย นางสาวเดียร์จึงมิใช่ผู้ทรง โดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง และเมื่อนายพิชญ์ได้ทวงถามเรียกเช็คคืนจากนางสาวเดียร์ นางสาวเดียร์จะต้องคืนเช็คฉบับนี้ให้แก่นายพิชญ์ตามมาตรา 905 วรรคสอง นางสาวเดียร์จะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงเช็คไว้ไม่ได้ แม้นางสาวเดียร์จะได้รับเช็คมาโดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่อ อย่างร้ายแรงก็ตาม ทั้งนี้เพราะมาตรา 905 ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008

สรุป

(ก) นางสาวทรายไม่ต้องคืนเช็คให้แก่นายพิชญ์

(ข) นางสาวเดียร์ต้องคืนเช็คให้แก่นายพิชญ์

 

ข้อ 2. (ก) การรับรองตั๋วแลกเงินจะต้องทําอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

(ข) การอาวัลตั๋วแลกเงินคืออะไร เกิดขึ้นได้ในกรณีใดบ้างจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย

ธงคําตอบ

(ก) “การรับรองตั๋วแลกเงิน” คือ การที่ “ผู้จ่าย” ได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคําสั่งของผู้สั่งจ่ายให้แก่ผู้ทรง (หรือผู้รับเงิน) ตามจํานวนเงินที่ได้ให้ คํารับรองไว้

สําหรับ “วิธีการรับรองตั๋วแลกเงิน” ที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ผู้จ่ายจะต้องปฏิบัติตาม แบบหรือวิธีการรับรองตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 931 ดังนี้ คือ

1 ให้ผู้จ่ายเขียนข้อความว่า “รับรองแล้ว” หรือข้อความอื่นทํานองเดียวกันนั้น และ ลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น โดยอาจจะลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้ หรือ

2 ผู้จ่ายลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงิน โดยไม่เขียนข้อความ ดังกล่าวไว้เลยก็ได้ กฎหมายก็ให้จัดว่าเป็นคํารับรองแล้ว

อนึ่ง ถ้าผู้จ่ายได้ทําการรับรองโดยการลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินนั้น ย่อมเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกําหนด จึงไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคํารับรองนั้นไม่มีผลนั่นเอง

(ข) “การอาวัลหรือการรับอาวัลตั๋วแลกเงิน” คือการที่บุคคลภายนอกหรือผู้ที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว ในตัวแลกเงินนั้น ได้เข้ามารับประกันการใช้เงินทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินต่อผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่ง ตั๋วแลกเงินใบหนึ่งนั้นอาจมีผู้รับอาวัลได้หลายคน และผู้รับอาวัลนั้นต้องระบุไว้ด้วยว่ารับประกันผู้ใด ถ้าไม่ระบุไว้ ให้ถือว่าเป็นการรับประกันผู้สั่งจ่าย (ป.พ.พ. มาตรา 938 และมาตรา 939 วรรคสี่)

การอาวัลตั๋วแลกเงินนั้น เกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่ การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา และอาวัลโดยผลของกฎหมาย

1 การอาวัลตามแบบหรือโดยการแสดงเจตนา ทําได้โดย

1.1 ผู้รับอาวัลเขียนข้อความลงบนตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสํานวนอื่นใดที่มีความหมายทํานองเดียวกันนั้น เช่น “เป็นอาวัลประกันผู้สั่งจ่าย” และลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัล ซึ่งการอาวัลในกรณีนี้จะทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วแลกเงินก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 939 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่)

1.2 ผู้รับอาวัลลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ต้องเขียนข้อความ ใด ๆ ไว้ก็ให้ถือว่าเป็นการอาวัลแล้ว แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย (มาตรา 939 วรรคสาม)

2 การอาวัลโดยผลของกฎหมาย เกิดขึ้นได้ในกรณีที่มีการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินชนิด สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 921 ได้บัญญัติให้บุคคลที่เข้ามาสลักหลังนั้นเป็นการอาวัลผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

 

ข้อ 3. (ก) การที่มีลายมือชื่อปลอม หรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจ ปรากฏอยู่ในตั๋วเงินนั้น จะมี ผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร

(ข) นายจันทร์ลักเอาสมุดเช็คของนายอาทิตย์บิดาไป แล้วนายจันทร์ได้ทําการปลอมลายมือชื่อของนายอาทิตย์ลงในเช็คฉบับหนึ่งเพื่อสั่งจ่ายเช็คที่ลักมานั้นระบุชําระเงินให้กับตัวนายจันทร์เอง แล้วต่อมานายจันทร์ได้นําเช็คนั้นไปโอนชําระหนี้ต่อให้กับนายเสาร์ นายเสาร์เมื่อได้รับเช็คมาแล้ว ได้สอบถามไปยังนายอาทิตย์ถึงการสั่งจ่ายเช็คฉบับดังกล่าว นายอาทิตย์จึงได้ตรวจสอบและ ทราบว่านายจันทร์บุตรชายได้ทําการปลอมลายมือชื่อตนเพื่อสั่งจ่ายเช็คไป แต่เนื่องจากเกรงว่า นายจันทร์จะถูกดําเนินคดี นายอาทิตย์จึงได้แจ้งแก่นายเสาร์ไปว่าตนเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับ ดังกล่าวเอง หากต่อมา เช็คฉบับดังกล่าวขาดความเชื่อถือ นายเสาร์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คจะสามารถไล่เบี้ยให้นายอาทิตย์ต้องรับผิดตามเช็คฉบับนั้นกับตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1008 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อ ในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิ อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่ง ตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับ ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็น ข้อต่อสู้

แต่ข้อความใด ๆ อันกล่าวมาในมาตรานี้ ท่านมิให้กระทบกระทั่งถึงการให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อ ซึ่งลงโดยปราศจากอํานาจแต่หากไม่ถึงเเก่เป็นลายมือปลอม”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว กรณีที่มีลายมือชื่อปลอม หรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจ ปรากฏอยู่ในตั๋วเงินนั้น จะมีผลทางกฎหมายดังนี้ คือ

1 ผลต่อเจ้าของลายมือชื่อ ลายมือชื่อปลอมหรือลายมือชื่อที่ลงโดยปราศจากอํานาจนั้น ย่อมไม่มีผลผูกพันต่อเจ้าของลายมือชื่อ กล่าวคือ เจ้าของลายมือชื่อไม่ต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ทั้งนี้เพราะเจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอมมิได้เป็นผู้เขียนลายมือชื่อนั้นลงไว้ในตั๋วเงิน หรือมิได้มอบอํานาจให้บุคคลใดลงลายมือชื่อ ในตั๋วเงินในกรณีที่มีการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอํานาจ เว้นแต่กรณีที่เป็นตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อที่ลงไว้โดยปราศจาก อํานาจนั้นอาจมีผลผูกพันเจ้าของลายมือชื่อได้ หากเจ้าของลายมือชื่อได้ให้สัตยาบันตามมาตรา 1008 วรรคท้าย

2 ผลต่อคู่สัญญาคนอื่น ๆ ในตั๋วเงิน ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อปลอม ย่อมไม่มี ผลกระทบถึงความรับผิดของคู่สัญญาคนอื่น ๆ ที่ลงไว้ในตั๋วเงินโดยถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะความรับผิดของลูกหนี้ แต่ละคนที่ได้ลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วเงิน และต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง นั้นเป็น เรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้แต่ละคนนั่นเอง ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1006 ที่บัญญัติไว้ว่า

“การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์ แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตั๋วเงินนั้น”

3 ผลต่อผู้ที่ได้ตั๋วเงินไว้ในความครอบครองและบุคคลอื่น ๆ ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีการลงลายมือชื่อปลอม หรือมีการลงลายมือโดยปราศจากอํานาจจะมีผลตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง คือ ให้ถือว่าลายมือชื่อ ปลอมหรือลงโดยปราศจากอํานาจนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย และผู้ใดจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อ

(1) จะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้ เว้นแต่ ผู้ที่จะพึงถูกยึดหน่วง อยู่ในฐานเป็นผู้ต้อง ตัดบท มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(2) จะทําให้ตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินมิได้ เว้นแต่ ได้ใช้เงินไป ในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม (ตามมาตรา 1009)

(3) จะบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นคนใดคนหนึ่งมิได้ เว้นแต่ คู่สัญญา ผู้ที่จะพึงถูกบังคับให้ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท มิให้ยกลายมือชื่อปลอมหรือข้อลงลายมือชื่อปราศจาก อํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้ มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วง หรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจาก อํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ได้ลักเอาสมุดเช็คของนายอาทิตย์บิดาไปแล้วทําการปลอม ลายมือชื่อของนายอาทิตย์ลงในเช็คฉบับดังกล่าวนั้น โดยหลักแล้ว ลายมือชื่อปลอมของนายอาทิตย์นั้นเป็นอันใช้ ไม่ได้เลย กล่าวคือ นายอาทิตย์ไม่ต้องรับผิดต่อนายเสาร์เพราะนายอาทิตย์มิได้ลงลายมือชื่อในเช็คนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อนายเสาร์ได้รับเช็คฉบับดังกล่าวมาแล้วได้สอบถามไปยังนายอาทิตย์ถึงการสั่งจ่ายเช็ค และนายอาทิตย์ได้แจ้งแก่นายเสาร์ว่าตนเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คฉบับดังกล่าว ทั้งนี้ย่อมถือได้ว่านายอาทิตย์เป็นผู้ที่อยู่ใน ฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

ดังนั้น เมื่อเช็คฉบับดังกล่าวขาดความเชื่อถือ นายเสาร์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คจึงสามารถไล่เบี้ยให้นายอาทิตย์รับผิดตามเช็คฉบับนั้นให้กับตนได้

สรุป

นายเสาร์สามารถไล่เบี้ยให้นายอาทิตย์รับผิดตามเช็คฉบับนั้นให้กับตนได้

 

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อตั๋วแลกเงินขาดความเชื่อถือและเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงินได้ทําคัดค้านไว้โดยชอบแล้ว เจ้าหนี้ จะฟ้องบุคคลใดได้บ้าง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตัวเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่น โดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 937 “ผู้จ่ายได้ทําการรับรองตั๋วแลกเงินแล้วย่อมต้องผูกพันในอันจะจ่ายเงินจํานวนที่รับรองตามเนื้อความแห่งคํารับรองของตน”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

ตามกฎหมายตั๋วเงินนั้น เมื่อตั๋วแลกเงินขาดความเชื่อถือและเจ้าหนี้ตามตั๋วแลกเงินได้ทําคําคัดค้านไว้โดยชอบแล้ว เจ้าหนี้ย่อมสามารถที่จะฟ้องให้บุคคลผู้ที่ได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วแลกเงินนั้น รับผิดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่ตนได้ (ตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง) และบุคคลที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องให้รับผิด ตามตั๋วแลกเงินได้ ได้แก่

1 ผู้สั่งจ่าย ซึ่งจะต้องรับผิดตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 914

2 ผู้สลักหลัง (ถ้ามี) ซึ่งจะต้องรับผิดตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 914 เช่นเดียวกันกับผู้สั่งจ่าย

3 ผู้รับรองตั๋วแลกเงิน ซึ่งหมายถึง ผู้จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงิน และถ้าได้ทําการรับรอง ตั๋วแลกเงินไว้ถูกต้องตามมาตรา 931 ก็จะต้องรับผิดตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 937

4 ผู้รับอาวัล ซึ่งหมายถึง บุคคลที่ได้เข้ามารับประกันหรือค้ำประกันการใช้เงินตาม ตั๋วแลกเงินให้แก่ผู้เป็นคู่สัญญาในตั๋วแลกเงินนั้น โดยการลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วเงิน ก็จะต้องรับผิดตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง และมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

และในการฟ้องให้บุคคลดังกล่าวรับผิดตามตั๋วแลกเงินนั้น เจ้าหนี้อาจจะฟ้องเรียงตัวหรือฟ้องรวมกันก็ได้ (มาตรา 967 วรรคสอง)

 

ข้อ 2. (ก) การโอนตั๋วแลกเงินนั้นมีหลักเกณฑ์ที่สําคัญในทางกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย

(ข) นายวารินได้รับโอนเช็คฉบับหนึ่งมาจากนายทุ่งสงเพื่อชําระหนี้ราคาค่าสินค้าที่นายทุ่งสงมีอยู่กับนายวาริน โดยที่เช็คฉบับดังกล่าวนั้นมีการระบุรายละเอียดในเช็คครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ ทางกฎหมาย โดยระบุให้จ่ายเงินจํานวน 100,000 บาท และระบุชื่อนายทุ่งสงอยู่ในช่องของผู้รับเงิน พร้อมทั้งมีข้อความว่า “หรือตามคําสั่ง” ต่อท้ายชื่อของนายทุ่งสง โดยในการโอนเช็คนั้น นายทุ่งสงได้เพียงแต่ส่งมอบเช็คฉบับดังกล่าวนั้นให้แก่นายวาริน โดยมิได้ระบุรายละเอียดอื่นใด ลงในเช็ค ดังนี้ ให้นักศึกษาอธิบายว่าการโอนเช็คระหว่างนายทุ่งสงและนายวารินนั้นเป็นการโอน ที่ชอบด้วยกฎหมายตัวเงินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) ในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น มีหลักเกณฑ์ที่สําคัญในทางกฎหมายอยู่ 2 ประการ คือ

ประการแรก จะต้องเป็นการโอนเพื่อการชําระหนี้เงินที่ผู้รับโอนเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับชําระหนี้ เงินนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชําระหนี้อย่างอื่นแทนการชําระหนี้ ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป”

ประการที่สอง ในการโอนตั๋วแลกเงินนั้น จะต้องโอนโดยวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ

1 ตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ

การโอนสามารถกระทําได้โดยการสลักหลังและส่งมอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 917 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ผู้รับเงิน นั้น ถ้าจะมีการโอนต่อไปให้แก่ บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทําการสลักหลังและส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น ให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย” ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 919)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตัวก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินเท่านั้น (ป.พ.พ. มาตรา 919 วรรคสอง)

อนึ่ง ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลัง ระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรงจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะหรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้ ตั๋วแลกเงินนั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรือ อาจจะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 920)

 

ข้อ 3. เมฆาออกเช็คระบุชื่อสั่งธนาคารให้จ่ายเงิน 50,000 บาทแก่นาคี นาคีทําเช็คหาย นทีเก็บได้เอาไปสลักหลังปลอมลายมือชื่อว่า นาคีโอนให้ธารา ธารารับโอนเช็คไว้โดยสุจริต ต่อมาธาราสลักหลัง เช็คฉบับนี้โอนให้นภา ซึ่งรับโอนโดยสุจริต จงตอบคําถามต่อไปนี้พร้อมหลักกฎหมายประกอบมา โดยละเอียด

(ก) ธาราจะใช้สิทธิบังคับให้เมฆา (ผู้สั่งจ่าย) และนที (ซึ่งปลอมลายมือชื่อนาคี) ใช้เงินตามเช็คได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นภามีสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากธาราได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 1006 “การที่ลายมือชื่ออันหนึ่งในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมย่อมไม่กระทบกระทั่งถึง ความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ในตัวเงินนั้น”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใด ลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้ มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตัวนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วง หรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อสายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจาก อํานาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เมฆาออกเช็คระบุชื่อสั่งธนาคารให้จ่ายเงิน 50,000 บาทแก่นาคี เมื่อ นาคีทําเช็คหาย และนทีเก็บได้ นทีได้ปลอมลายมือชื่อของนาคีสลักหลังโอนให้ธารา ซึ่งธาราได้รับโอนเช็คไว้โดยสุจริต และต่อมาธาราได้สลักหลังเช็คฉบับนี้ให้แก่นภา ซึ่งนภาก็ได้รับโอนไว้โดยสุจริตนั้น ย่อมถือว่าเช็คฉบับดังกล่าว ได้มีการสลักหลังที่ขาดสาย และจะมีผลตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง คือให้ถือว่าลายมือชื่อของนาคีนั้นเป็นอันใช้ ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัยลายมือชื่อปลอมของนาคีเพื่อไปบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตัวนั้นไม่ได้ ดังนั้น ตามอุทาหรณ์วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) ธารา แม้จะได้รับโอนเช็คไว้โดยสุจริต ก็จะใช้สิทธิบังคับให้เมฆา (ผู้สั่งจ่าย) ซึ่งได้ลงลายมือชื่อ ไว้ก่อนมีการลงลายมือปลอมใช้เงินตามเช็คฉบับนี้ไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นจะเป็นการอาศัยลายมือชื่อปลอมของนาคี เพื่อไปบังคับเอากับเมฆา ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ธาราสามารถใช้สิทธิบังคับให้นทีซึ่งได้ลงลายมือชื่อไว้ในเช็คใช้เงินตามเช็ค ได้ตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง เพราะแม้นที่จะได้ลงลายมือชื่อเป็นนาคี ก็ถือว่าเป็นลายมือชื่อของนทีเอง

(ข) นภามีสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากธาราได้ เพราะแม้ลายมือชื่อของนาคีจะเป็นลายมือปลอม ก็ไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งลายมือชื่ออื่น ๆ ที่ได้ลงไว้ในตั๋วเงินนั้น (มาตรา 1006) กล่าวคือให้ถือว่า ลายมือชื่อของธารายังคงสมบูรณ์และต้องรับผิดตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง อีกทั้งการที่นภาได้เรียกเงินตามเช็คจากธารา ก็มิได้เป็นการอาศัยลายมือชื่อปลอมของนาคีเพื่อบังคับเอาแก่ธาราแต่อย่างใด จึงไม่ต้องห้ามตาม มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

สรุป

ก ธาราจะใช้สิทธิบังคับให้เมฆา (ผู้สั่งจ่าย) ใช้เงินตามเช็คไม่ได้ แต่สามารถบังคับให้

นที (ซึ่งปลอมลายมือชื่อของนาคี) ใช้เงินตามเช็คได้

ข นภามีสิทธิเรียกเงินตามเช็คจากธาราได้

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) การสลักหลังตัวเงินมีวิธีการอย่างไร จงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย

(ข) ปริมสั่งจ่ายเช็คระบุชื่อให้ปริกและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออกแล้วส่งมอบเช็คนั้นให้แก่ปริก เพื่อชําระราคาค่าซื้อแหวนเพชร หลังจากนั้นปริกได้ทําการสลักหลังลอยและส่งมอบ เช็คนั้นชําระค่าสร้างโรงงานเพชรของตนให้แก่ปริดซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ต่อมาปริดต้องการจะนําเช็คฉบับนี้ไปโอนชําระหนี้ค่าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างให้แก่เจ็จูวัสดุ ก่อสร้างแต่ไม่ทราบวิธีการ จึงมาปรึกษาปราดซึ่งเป็นนักศึกษานิติศาสตร์และเรียนวิชาตัวเงินแล้ว หากนักศึกษาเป็นปราด จะอธิบายวิธีการโอนเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่เจ๊จูตามหลักกฎหมายที่ ถูกต้องอย่างไรให้แก่ปริด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อ ผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้ กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคหนึ่ง “อันการสลักหลังย่อมโอนไปซึ่งบรรดาสิทธิอันเกิดแต่ตั๋วแลกเงิน”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าในการโอนตั๋วเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือเช็ค) การโอนจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายและทําให้บรรดาสิทธิทั้งหลายอันเกิดแต่ตั๋วเงินนั้นได้โอนไปยังผู้รับโอนด้วยนั้น ผู้โอนจะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่ผู้รับโอน (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ใน ตั๋วเงิน (หรือใบประจําต่อ) โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือเป็นการสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919)

“การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)” คือ การสลักหลังที่มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับ ประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วเงินนั้นด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของตัวเงินนั้นก็ได้ (มาตรา 919 วรรคหนึ่ง)

“การสลักหลังลอย” คือ การสลักหลังที่มิได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์ หรือผู้รับโอน) ไว้ในตั๋วเงิน เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินนั้นเท่านั้น (มาตรา 919 วรรคสอง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง “อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่ง ก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ”

มาตรา 919 วรรคสอง “การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทําอะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลังเช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(1) กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเอง หรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(2) สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลัง อย่างหนึ่งอย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923…”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่ปริมสั่งจ่ายเช็คระบุชื่อให้ปริกและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก แล้วส่งมอบเช็คนั้นให้แก่ปริก ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ เมื่อปริกได้ทําการสลักหลังลอยและส่งมอบเช็คนั้น ชําระค่าสร้างโรงงานเพชรของตนให้แก่ปริด การโอนเช็คระหว่างปริกและปริดจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) และให้ถือว่าปริดเป็นผู้ทรง ซึ่งได้รับตั๋วเงิน คือ เช็คฉบับดังกล่าวมาจากการสลักหลังลอยของปริก และปริดย่อมมีสิทธิที่จะโอนเช็คฉบับนี้ ให้แก่เจ๊จู โดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 920 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง ดังนี้คือ

1 เขียนชื่อของปริดลงในที่ว่าง (ซึ่งจะทําให้การสลักหลังลอยตอนแรกกลายเป็นสลักหลัง ระบุชื่อ) และปริดสามารถโอนเช็คให้แก่เจ๊จูได้ต่อไป แต่ต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเช็คนั้นให้แก่เจ๊จู

หรือปริดอาจจะเขียนชื่อเจ๊จูลงในที่ว่าง แล้วส่งมอบเช็คนั้นให้แก่เจ๊จูก็ได้

2 สลักหลังเช็คนั้นต่อไปอีก โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อเจ๊จู) หรือ อาจจะเป็นการสลักหลังลอย (ไม่ระบุชื่อเจ๊จู) ก็ได้

3 โอนเช็คนั้นต่อไปโดยการส่งมอบเพียงอย่างเดียว โดยไม่กระทําการตาม 1 หรือ 2 แต่อย่างใด คือไม่ต้องเขียนชื่อบุคคลใดลงในที่ว่าง และโดยไม่ต้องสลักหลังใด ๆ เลยก็ได้

สรุป หากข้าพเจ้าเป็นปราด ข้าพเจ้าจะอธิบายวิธีการโอนเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ปริดตามที่ ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. (ก) จงยกตัวอย่างผู้ที่จะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้นจากการลงลายมือชื่อตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงินมาพอสังเขป

(ข) มั่นออกตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งสั่งแม้นเป็นผู้จ่ายเงินตามจํานวนค่าสินค้า โดยมีมิ่งผู้เป็นนายจ้างบอกมั่นว่ายินดีเป็นผู้ค้ำประกันแม้น ถ้าแม้นไม่ชําระราคาสินค้านั้น มิ่งและแม้นต่างได้ลง ลายมือชื่อตนแต่เพียงอย่างเดียวไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน มั่นจึงได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ยื่นชําระ ให้แก่หมอกหรือผู้ถือ เมื่อถึงกําหนดใช้เงิน หมอกนําตัวแลกเงินดังกล่าวไปทวงถามจากแม้น ปรากฏว่าแม้นไม่มีเงินใช้ตามตั๋ว จึงเป็นผู้ต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วเงิน และหมอกได้ทําคําคัดค้านโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จงวินิจฉัยว่า มั่นและมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ตามหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

(ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่าบุคคลที่จะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ในตั๋วเงินนั้นเอง โดยได้บัญญัติไว้ว่า “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตน ในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น”

ซึ่งความรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินจากการลงลายมือชื่อไว้ในตั๋วเงินนั้น อาจจะรับผิดในฐานะ ผู้สั่งจ่าย ผู้สลักหลัง ผู้รับรอง หรือผู้รับอาวัลก็ได้ แล้วแต่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องและลงลายมือชื่อ ไว้ในฐานะอะไร เช่น

1 ความรับผิดของผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลัง จะต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 914 ซึ่ง กําหนดว่า “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงิน ย่อมต้องรับผิดต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงินเมื่อผู้ทรงได้นําตัวนั้นไปยื่นโดยชอบแล้ว แต่ผู้จ่ายไม่ใช้เงินหรือไม่รับรองตั๋วแลกเงิน”

2 ความรับผิดของผู้รับรองตั๋วแลกเงิน จะต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 937 ซึ่งกําหนดว่า “ผู้รับรองตั๋วแลกเงินย่อมต้องผูกพันในอันที่จะจ่ายเงินตามจํานวนที่ตนได้รับรองไว้ในตั๋วแลกเงิน”

3 ความรับผิดของผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงิน จะต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ซึ่งกําหนดว่า “ผู้รับอาวัลย่อมต้องรับผิดเป็นเช่นเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนได้ประกันไว้”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นํายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 939 วรรคสามและวรรคสี่ “อนึ่งเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มั่นออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แม้นเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ โดยมี มิ่งและแม้นต่างได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น แม้ว่าแม้นจะได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนแต่เพียงอย่างเดียว ตามกฎหมายถือว่าแม้นเป็นผู้ซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงกําหนดในการใช้เงินตามตั๋ว และหมอกได้นําตั๋วแลกเงินไปยื่นให้แม้นใช้เงินแต่แม้นไม่ใช้เงินตามตั๋ว แม้นจึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงิน ส่วนมั่นและมิ่งจะต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้างนั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของมั่น เมื่อมั่นได้ออกตั๋วแลกเงินเพื่อสั่งให้แม้นจ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ และได้ ลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน ดังนั้น มั่นจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 914

กรณีของมิ่ง การที่มิ่งซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาผูกพันตนเข้าค้ำประกันการชําระหนี้ โดยเป็นผู้ค้ำประกันแม้นนั้น เมื่อมิ่งได้ลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ระบุว่า อาวัลผู้ใด ตามกฎหมายให้ถือว่ามิ่งได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้รับอาวัล และให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย (ตามมาตรา 939 วรรคสามและวรรคสี่) ดังนั้น มิ่งจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย มิใช่ในฐานะ ผู้รับอาวัลแม้น และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับมั่นตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

สรุป

มั่นต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่าย ส่วนมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่น

 

ข้อ 3. (ก) ธนาคารจะมีอํานาจในการขีดคร่อมเช็คกรณีใดบ้าง จงอธิบายตามหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

(ข) มานีเป็นผู้รับเงินตามเช็คที่ธนาคารซิตี้รามเป็นผู้จ่าย มีเส้นคู่ขนานขีดขวางอยู่ที่มุมซ้ายด้านหน้า มีคําว่า “A/C PAYEE ONLY” เมื่อถึงวันที่ลงในเช็ค มานีนําเช็คไปขอคําแนะนําจากธนาคาร ซิตี้รามเรื่องการเบิกเงิน ธนาคารฯ เห็นว่ามานีไม่มีบัญชีเงินฝากกับตน ธนาคารฯ จึงแนะนําให้มานี เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารฯ แล้วให้มานีฝากเงินตามเช็คเข้าบัญชีเงินฝากแล้วให้มานีเบิกเงินสด จากบัญชีภายหลัง ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า คําแนะนําของธนาคารซิตี้ราม ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 995 “(4) เช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารใด ธนาคารนั้นจะซ้ำขีดคร่อมเฉพาะ ให้ไปแก่ธนาคารอื่นเพื่อเรียกเก็บเงินก็ได้

(5) เช็คไม่มีขีดคร่อมก็ดี เช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ส่งไปยังธนาคารใดเพื่อให้เรียกเก็บเงิน ธนาคารนั้นจะลงขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนเองก็ได้”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าธนาคารนั้นมีอํานาจในการขีดคร่อมเช็ค เพียงแต่ กระทําได้ในวงจํากัด กล่าวคือ ธนาคารจะทําการขีดคร่อมเช็คได้เพียงประเภทเดียว คือการขีดคร่อมเฉพาะเท่านั้น จะขีดคร่อมทั่วไปไม่ได้ ซึ่งการขีดคร่อมเช็คของธนาคารมีได้ 2 กรณี คือ

1 กรณีธนาคารได้รับเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ธนาคารที่มีชื่อระบุอยู่ในเช็คขีดคร่อมเฉพาะ ซึ่งเป็นธนาคารที่ต้องเรียกเก็บเงินจากธนาคารผู้จ่ายแทนผู้ทรงโดยนําเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงนั้น อาจจะไม่เรียกเก็บเงิน จากธนาคารผู้จ่ายด้วยตนเอง แต่ให้ธนาคารอื่นไปเรียกเก็บเงินแทนได้โดยการขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารนั้น เพื่อเรียกเก็บเงินแทน (เป็นการขีดคร่อม ฉพาะชําตามมาตรา 995 (4)

2 กรณีธนาคารซึ่งได้รับเช็คเพื่อให้เรียกเก็บเงิน หมายถึง ธนาคารซึ่งได้รับเช็คจากลูกค้า เพื่อให้เรียกเก็บเงิน โดยเช็คนั้นไม่มีการขีดคร่อม หรือมีการขีดคร่อมทั่วไป ธนาคารนั้นอาจขีดคร่อมเฉพาะเช็คนั้น ให้กับตนเองได้ เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ธนาคารผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่บุคคลอื่นหากเช็คนั้นได้หลุดมือไปจากธนาคาร ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 994 “ถ้าในเช็คมีเส้นขนานคู่ขีดขวางไว้ข้างด้านหน้า กับมีหรือไม่มีคําว่า “และบริษัท” หรือคําย่ออย่างใด ๆ แห่งข้อความนี้อยู่ในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นไซร้ เช็คนั้นชื่อว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป และจะใช้เงิน ตามเช็คนั้นได้แต่เฉพาะให้แก่ธนาคารเท่านั้น

ถ้าในระหว่างเส้นทั้งสองนั้นกรอกชื่อธนาคารอันหนึ่งอันใดลงไว้โดยเฉพาะ เช็คเช่นนั้นชื่อว่า เป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ และจะใช้เงินตามเช็คนั้นได้เฉพาะให้แก่ธนาคารอันนั้น”

วินิจฉัย

ตามหลัก ป.พ.พ. มาตรา 994 ในกรณีที่เช็คนั้นเป็นเช็คที่มีเส้นขนานคู่ขีดขวางอยู่ที่มุมซ้าย ด้านหน้าของเช็ค ย่อมถือว่าเป็นเช็คขีดคร่อม ซึ่งเช็คขีดคร่อมนั้นถ้าไม่มีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งอยู่ในรอย ขีดคร่อม ถือว่าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป ซึ่งผู้ทรงจะนําเช็คนั้นไปเข้าบัญชีกับธนาคารใดธนาคารหนึ่งก็ได้ แต่ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ คือเป็นเช็คที่มีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งอยู่ในรอยขีดคร่อม ผู้ทรงจะต้องนําเช็คนั้นไปเข้าบัญชี กับธนาคารที่มีชื่ออยู่ในรอยขีดคร่อมเท่านั้น จะไปเข้าบัญชีกับธนาคารอื่นเพื่อให้ธนาคารอื่นนั้นไปเรียกเก็บเงิน กับธนาคารผู้จ่ายไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่มานีเป็นผู้รับเงินตามเช็คที่ธนาคารซิตี้ราม เป็นผู้จ่ายและมีเส้นคู่ขนาน ขีดขวางอยู่ที่มุมซ้ายด้านหน้าเช็คและมีคําว่า “A/C PAYEE ONLY” นั้น ถือว่าเช็คดังกล่าวเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป เพราะไม่มีชื่อธนาคารใดธนาคารหนึ่งอยู่ในรอยขีดคร่อม ซึ่งมานีผู้ทรงเช็คย่อมสามารถที่จะนําเช็คนั้นไปเข้าบัญชี กับธนาคารใดธนาคารหนึ่งก็ได้ การที่มานีได้นําเช็คไปขอคําแนะนําจากธนาคารซิตี้รามและธนาคารซิตี้รามเห็นว่า มานีไม่มีบัญชีเงินฝากกับตน จึงได้แนะนําให้มานีเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารฯ แล้วให้มานีฝากเงินตามเช็คเข้าบัญชี เงินฝาก แล้วให้มานีเบิกเงินสดจากบัญชีในภายหลังนั้น คําแนะนําของธนาคารซิตี้รามจึงถูกต้องตามมาตรา 994 วรรคหนึ่ง

สรุป

คําแนะนําของธนาคารซิตีราม ถูกต้องตามกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!