LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําธุรกิจส่วนตัวซื้อ-ขายยางพาราแต่มักจะบอกกับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายยางพาราว่าเหลืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของตนร่วมลงหุ้นด้วยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญโดยเหลืองก็ทราบดีว่าแดงยกยอตนว่าเป็น หุ้นส่วนด้วย แต่เหลืองก็ไม่เคยคัดค้านเลยและรู้สึกภาคภูมิใจที่แดงได้กล่าวอ้างเช่นนั้น ต่อมาแสด ได้ทวงถามค่ายางพาราที่แดงได้ซื้อไปจากตนและยังมิได้ชําระราคา แต่แดงไม่มีเงินที่จะชดใช้ให้แสด เพราะกิจการค้าขายยางพาราขาดทุนมาก ดังนี้แสดจะเรียกร้องให้เหลืองรับผิดได้หรือไม่เนื่องจากแสด ก็เข้าใจว่าเหลืองเข้าหุ้นสวนกับแดง เพราะในวันที่แดงซื้อยางพาราจากแสด เหลืองก็มาด้วยและแดง ก็กล่าวอ้างว่าเหลืองร่วมหุ้นกับตน ซึ่งเหลืองก็ไม่ได้คัดค้าน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงทําธุรกิจส่วนตัวซื้อ-ขายยางพาราแต่เพียงผู้เดียว แต่มักจะบอก กับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายยางพาราว่าเหลืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของตนร่วมลงหุ้นด้วยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ โดยเหลืองก็ ทราบดีว่าแดงยกยอตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยแต่เหลืองก็ไม่เคยคัดค้านเลยนั้น ถือว่าเหลืองรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้ เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน ดังนั้น เหลืองจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้สินต่าง ๆ เสมือนว่าทั้งแดง และเหลืองเป็นหุ้นส่วนกันตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

เมื่อแสดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ทวงถามค่ายางพาราที่แดงได้ซื้อไปจากตนและยังมิได้ชําระ ราคา แต่แดงไม่มีเงินที่จะชดใช้ให้แสด ดังนี้ แสดย่อมสามารถเรียกร้องให้เหลืองซึ่งแสดเข้าใจว่าเป็นหุ้นส่วนกับ แดงรับผิดชดใช้ค่ายางพาราที่แดงเป็นหนี้แสดได้เสมือนว่าเหลืองกับแดงเป็นหุ้นส่วนกัน

สรุป แสดสามารถเรียกร้องให้เหลืองรับผิดค่ายางพาราที่แดงเป็นหนี้แสดได้

 

ข้อ 2. นายขาวเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัดสองสี โดยมีนายดําเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายขาวได้เข้ามาช่วยจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดเสมอในระหว่างที่นายดําต้องไปติดต่อการงานข้างนอกหรือที่จังหวัดอื่น รวมถึงการพิม นามบัตรชื่อตนเองและระบุตําแหน่งว่านายขาวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ต่อมา นายขาวได้รับการแนะนําจากทนายความของห้างหุ้นส่วนว่า การทําเช่นนี้อาจทําให้นายขาวต้องถูกฟ้อง ให้ร่วมรับผิดกับนายดําโดยไม่จํากัดจํานวนได้ นายขาวจึงโอนหุ้นให้นายแดง ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) คําแนะนําของทนายความห้างหุ้นส่วน เป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด

(2) นายแดงผู้รับโอนหุ้นจากนายขาว จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

มาตรา 1077 อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทหนึ่ง ซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนสองจําพวก ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งมีจํากัดความรับผิดเพียงไม่เกินจํานวนเงินที่ตน รับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นจําพวกหนึ่ง และ…”

มาตรา 1080 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้น หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายขาวซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัด สองสี ได้ เข้ามาช่วยจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดเสมอในระหว่างที่นายดําซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จํากัดความรับผิดและ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องไปติดต่องานข้างนอกหรือที่จังหวัดอื่น รวมถึงการที่นายขาวได้พิมพ์นามบัตรชื่อตนเอง และระบุตําแหน่งว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนแห่งนี้นั้น การกระทําของนายขาวถือว่าเป็นการสอดเข้าไป เกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน และนายขาวจะต้องรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น โดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น การที่ทนายความของห้างหุ้นส่วนได้แนะนํากับนายขาวว่า การกระทําของนายขาว ดังกล่าวนั้น อาจทําให้นายขาวต้องถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับนายดําโดยไม่จํากัดจํานวนนั้น คําแนะนําของทนายความ จึงเป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

2 การที่นายแดงได้รับโอนหุ้นจากนายขาวและเข้าไปเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิด ในห้างหุ้นส่วนจํากัดแห่งนี้นั้น นายแดงจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างในบรรดาหนี้ที่ห้างได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตน จะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง เพียงแต่จะต้องรับผิดจํากัดไม่เกิน จํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนเท่านั้นตามมาตรา 1077 แต่ไม่ต้องรับผิดในการกระทําของนายขาว ที่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด

สรุป

1 คําแนะนําของทนายความห้างหุ้นส่วน เป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

2 นายแดงผู้รับโอนหุ้นจากนายขาว จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างในฐานะ

หุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิด แต่ไม่ต้องรับผิดในการกระทําของนายขาวที่ สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน

 

ข้อ 3. คณะกรรมการบริษัท จํากัด แห่งหนึ่งได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยส่งจดหมายทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนของบริษัท โดยส่งไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 และได้กําหนด วันประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริษัทในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ที่ทําการบริษัท เวลา 10.00 น. เมื่อถึงวันประชุม มีผู้ถือหุ้นครบองค์ประชุมแต่ผู้ถือหุ้นอีกหลายคนก็ไม่ได้รับหนังสือเชิญประชุม เพราะไปต่างประเทศจึงมิได้มาประชุม ที่ประชุมได้เลือกนายหนึ่ง, นายสอง และนายสามเป็น กรรมการบริษัท แต่นายเอก และนายโทซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มิได้เข้าประชุมในวันดังกล่าวไม่พอใจมติ ในที่ประชุมจึงมาปรึกษาท่านว่าจะมีทางเพิกถอนมติที่เลือกกรรมการดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ท่านแนะนํานายเอก และนายโทด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อใน ทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอ ให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืน บทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลง มตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายเอกและนายโทมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ ฟ้องเพิกถอนมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนํานายเอกและนายโทดังนี้คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1175 นั้นได้กําหนดเอาไว้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นก่อนวัน นัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เรื่องใดที่ต้องลงมติพิเศษจึงจะต้องกระทําก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการบริษัทได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยส่งทางไปรษณีย์ ตอบรับแต่เพียงอย่างเดียว โดยมิได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่แต่อย่างใด จึงถือว่าคําบอกกล่าวเรียก ประชุมใหญ่มิได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ การนัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในครั้งนี้จึงไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย แม้จะมีผู้ถือหุ้นมาประชุมครบองค์ประชุมก็ตาม ดังนั้นนายเอกและนายโทผู้ถือหุ้นสามารถนําคดี มาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลเพิกถอนมติการเลือกกรรมการดังกล่าวได้ แต่นายเอกและนายโทจะต้องร้องขอต่อศาล ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ลงมตินั้นตามมาตรา 1195

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายเอกและนายโทว่า การนัดประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าวไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย นายเอกและนายโทสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมติในที่ประชุมได้ แต่จะต้องร้องขอต่อศาล ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น

 

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางแจ่วและนายจิ๋วได้เข้าหุ้นส่วนกันโดยเปิดร้านขายอาหารโต้รุ่ง มีนางแจ่วเป็นกุ๊กลงหุ้นด้วยแรงงานส่วนนายจิ๋วลงหุ้นด้วยเงินสด 200,000 บาท และยังนําอาคารตึกของตนเองมาลงหุ้นโดยใช้เป็น ร้านอาหาร ทั้งสองคนจะแบ่งกําไรกันคนละครึ่ง ส่วนขาดทุนมิได้ตกลงกันไว้เลย กิจการของร้านอาหาร ในระยะสามปีแรกขายมีกําไรดีทุกปี ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 กิจการเริ่มไม่ดีเศรษฐกิจย่ำแย่ ร้านอาหารขาดเงินสดหมุนเวียน นางแจ๋วจึงได้กู้ยืมเงินนางสาวหม่อมมาใช้ในกิจการของห้างฯ จํานวน 300,000 บาท และทั้งสองคนยังได้ชักชวนนายคํารณมาเข้าหุ้นด้วยอีกคนหนึ่ง โดยบอกว่า กิจการของร้านขายอาหาร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันนี้มีกําไรดีมาก นายคํารณจึงตกลงนําเงินมาลงหุ้นด้วย 100,000 บาท หลังจากที่นายคํารณลงหุ้นแล้วหนึ่งเดือนก็พบว่า ห้างหุ้นส่วนมีแต่หนี้สิน และยังขาดทุนทุกวัน จึงได้ทะเลาะกับนางแจ๋วและนายจิ๋ว และนายคํารณขอถอนเงินลงหุ้นคืน แต่นางแจ๋ว และนายจิ๋วไม่มีเงินคืนให้นายคํารณ แต่ยอมให้นายคํารณลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน ต่อมา นางสาวหม่อมได้ทวงถามให้นางแจ่วและนายจิ๋วชําระหนี้กู้ยืมเงินที่นางแจ๋วกู้ไปใช้ในกิจการของ ห้างหุ้นส่วน แต่บุคคลทั้งสองไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวหม่อมจึงได้ทวงถามให้นายคํารณร่วมรับผิดด้วย แต่นายคํารณได้ต่อสู้ว่าตนมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนางแจ๋วและนายจิ๋วแล้ว และการเข้าหุ้นของตนเมื่อก่อน หน้านี้ก็ได้เข้าหุ้นไปเพราะถูกหลอกลวงจึงถือว่ามิได้มีการเข้าหุ้น จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว นางสาวหม่อมจึงได้มาปรึกษาท่าน ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคําแหงว่า นางสาวหม่อมจะเรียกร้องให้นายคํารณรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวข้างต้นได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนํา นางสาวหม่อมด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1026 “ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วน สิ่งที่นํามาลงหุ้นด้วยนั้น จะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่นหรือลงแรงงานก็ได้”

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางแจ่วและนายจิ๋วได้เข้าหุ้นส่วนกันโดยเปิดร้านขายอาหารโต้รุ่ง มีนางแจ่ว เป็นกุ๊กลงหุ้นด้วยแรงงาน ส่วนนายจิ๋วลงหุ้นด้วยเงินสด 200,000 บาท และยังนําอาคารตึกของตนเองมาลงหุ้น โดยใช้เป็นร้านอาหาร และทั้งสองตกลงกันว่าจะแบ่งกําไรกันคนละครึ่ง แต่ส่วนขาดทุนมิได้ตกลงกันไว้นั้น ถือว่า นางแจ่วและนายจิ๋วได้ทําสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว โดยนางแจ๋วลงหุ้นด้วยแรงงาน และนายจิ๋ว ลงหุ้นด้วยเงินและทรัพย์สินตามมาตรา 1012, 1025 และมาตรา 1026 แม้ทั้งสองจะมิได้ตกลงกันในส่วนขาดทุน ก็ตาม ก็มิใช่สาระสําคัญของสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 แต่อย่างใด

และตามบทบัญญัติมาตรา 1050 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วน ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และนอกจากนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งได้ออกจาก หุ้นส่วนไปแล้วก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไปด้วยตาม มาตรา 1051 และบุคคลผู้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางแจ๋วได้กู้ยืมเงินนางสาวหม่อมมาใช้ในกิจการของห้างฯ จํานวน 300,000 บาท ถือว่าหนี้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากการจัดทําไปในทางธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน คือ นางแจ๋วและนายจิ๋วต้องร่วมกันรับผิดในหนี้รายนี้ตามมาตรา 1050

และต่อมาภายหลังที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวได้เกิดหนี้ขึ้นมาแล้ว นางแจ่วและนายจิ๋วได้ชักชวน นายคํารณเข้ามาเป็นหุ้นส่วน และนายคํารณก็ตกลงเข้ามาเป็นหุ้นส่วนโดยได้นําเงินมาลงหุ้นด้วย 100,000 บาทนั้น ย่อมมีผลตามมาตรา 1052 กล่าวคือ นายคํารณต้องรับผิดในหนี้เงินกู้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย และแม้ต่อมานายคํารณจะได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนไป นายคํารณก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวด้วย เพราะถือว่าเป็นหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1051 ดังนั้น การที่นายคํารณต่อสู้ว่าตนมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนางแจ๋วและนายจิ๋วแล้วจึงไม่ต้องรับผิดนั้นจึงฟังไม่ขึ้น และการที่ นายคํารณได้ต่อสู้ว่า การเข้าเป็นหุ้นส่วนของตนเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการเข้าไปเป็นหุ้นส่วนเพราะถูกหลอกลวง ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะข้อต่อสู้ดังกล่าวนั้นไม่สามารถนํามาใช้ต่อสู้กับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้

ดังนั้น เมื่อนางสาวหม่อมได้ทวงถามให้นางแจ้วและนายจิ๋วชําระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว แต่ทั้ง สองไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวหม่อมจึงสามารถทวงถามให้นายคํารณร่วมรับผิดได้ โดยนายคํารณจะยกข้อต่อสู้ ดังกล่าวขึ้นต่อสู้กับนางสาวหม่อมเพื่อปฏิเสธไม่รับผิดในหนี้นั้นไม่ได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะแนะนําแก่นางสาวหม่อมว่า นางสาวหม่อมสามารถเรียกร้องให้นายคํารณรับผิด ในหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามสหาย มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสามเข้าหุ้นส่วนกัน มีวัตถุประสงค์รับเหมาก่อสร้างและซ่อมแซมอาคารโดยนายหนึ่งและนายสองเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนนายสามเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด ทั้งหมดได้ตกลงให้นายสามเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่ก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด นายสามได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างมากักตุนไว้เป็นเงิน หนึ่งล้านบาท และยังมิได้ชําระหนี้ ต่อมาได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดเรียบร้อยแล้ว และได้ดําเนินกิจการมาได้สองปีเศษ แต่ก็ประสบภาวะขาดทุนมาตลอดเนื่องจากไม่มีผู้ใดมาว่าจ้าง ไปทําการก่อสร้าง ส่วนค่าวัสดุก่อสร้างก็ยังมิได้ชําระ และห้างหุ้นส่วนจํากัดก็ได้ขอผัดผ่อนต่อเจ้าหนี้ มาเป็นเวลาสองปีเศษแล้ว ต่อมานายหนึ่งได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยนายสองและนายสาม ไม่ขัดข้อง เมื่อนายหนึ่งได้จดทะเบียนออกจากห้างฯ ไปได้สองปีเศษแล้วเจ้าหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างจึงได้ มีหนังสือเรียกให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดชําระหนี้ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้จึงได้เรียก ให้นายหนึ่ง นายสอง และนายสามร่วมกันรับผิด แต่นายหนึ่งได้อ้างว่าตนได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด มาเป็นเวลาสองปีเศษแล้วจึงไม่ต้องรับผิด แต่เจ้าหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างก็อ้างว่าหนี้สินดังกล่าวเกิดขึ้น ก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ซึ่งต้องถือว่าในขณะนั้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่ ไม่จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนที่ออกจากห้างฯ ไปยังคงต้องรับผิดในหนี้นั้นจนกว่าจะหมดอายุความ ของหนี้นั้น และขณะนี้หนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความ นายหนึ่งจึงต้องรับผิดด้วย ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของฝ่ายใดจะชอบด้วยกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่า เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

มาตรา 1080 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้น หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสามได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นเงินหนึ่งล้านบาทก่อนที่จะมีการ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ต้องถือว่าหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนย่อมต้องร่วมกันรับผิดและโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1079

การที่นายหนึ่งได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนนั้น นายหนึ่งยังคงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว เพราะเป็นหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกไปตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง และ เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดังนั้นแม้นายหนึ่งจะได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดไปเกินสองปีแล้วก็ตาม นายหนึ่งก็จะต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวจนกว่าหนี้นั้นจะหมดอายุความ จะนํามาตรา 1068 มาใช้บังคับกับกรณีนี้มิได้ และเมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าซื้อสินค้าดังกล่าวได้มีการผ่อนผันกับเจ้าหนี้ มาตลอด จึงถือว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาดอายุความ ดังนั้น นายหนึ่งจึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว ข้ออ้างของเจ้าหนี้ จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของฝ่ายเจ้าหนี้ เป็นข้ออ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. บริษัท นพคุณ จํากัด มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสาม เป็นกรรมการ ซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อหมดวาระลงให้เลือกตั้งใหม่ตามข้อบังคับ ของบริษัท ปรากฏว่า นายหนึ่งเป็นกรรมการมาได้ 2 ปี ก็ถึงแก่กรรม นายสองและนายสามเห็นว่า หากให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเลือกตั้งกรรมการขึ้นแทนนายหนึ่งจะเสียเวลามาก ทั้งสองคนปรึกษา หารือกันแล้วก็ตั้งนายสี่ซึ่งมิได้เป็นผู้ถือหุ้นขึ้นเป็นกรรมการแทนนายหนึ่ง แต่นายแดงผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ในบริษัทเห็นว่าการกระทําของนายสองและนายสามน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งกรรมการ ควรให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้คัดเลือกจากผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วยกัน นายสองและนายสาม จึงมาปรึกษาท่านว่า ในกรณีดังกล่าวนายสองและนายสามจะมีสิทธิตั้งนายสี่เป็นกรรมการบริษัท หรือไม่ ให้ท่านแนะนําบุคคลทั้งสอง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1155 “ถ้าตําแหน่งว่างลงในสภากรรมการเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตาม เวรไซร้ ท่านว่ากรรมการจะเลือกผู้อื่นตั้งขึ้นใหม่ให้เต็มที่ว่างก็ได้ แต่บุคคลที่ได้เป็นกรรมการใหม่เช่นนั้น ให้มีเวลาอยู่ในตําแหน่งได้เพียงเท่ากําหนดเวลาที่กรรมการผู้ออกไปนั้นชอบที่จะอยู่ได้”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1155 ในกรณีที่ตําแหน่งกรรมการในสภากรรมการว่างลงเพราะเหตุอื่น นอกจากถึงคราวออกตามวาระ เช่น กรรมการคนใดตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ กฎหมายให้สิทธิ แก่กรรมการที่ยังเหลืออยู่อาจจะตั้งผู้อื่นขึ้นมาเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างก็ได้ โดยกรรมการที่ได้เป็นใหม่นี้ กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด เพียงแต่กําหนดให้กรรมการใหม่นี้อยู่ในตําแหน่งได้เฉพาะ เท่ากับเวลาที่กรรมการผู้ออกไปนั้นชอบที่จะอยู่ได้เท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ถึงแก่กรรมนั้น ถือว่าตําแหน่งกรรมการของนายหนึ่งว่างลง เพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระ ดังนั้นกรรมการที่เหลืออยู่คือนายสองและนายสามจึงมีอํานาจตั้ง บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ถือหุ้นในบริษัทขึ้นเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างได้ การที่นายสองและนายสามได้ตั้งให้นายสี่ ซึ่งมิใช่ผู้ถือหุ้นเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างนั้น การกระทําของนายสองและนายสามจึงถูกต้อง เพราะนายสอง และนายสามมีสิทธิตั้งให้นายสี่เป็นกรรมการได้ตามมาตรา 1155

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายสองและนายสามตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโขงประกอบกิจการค้าขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ นายโขงว่าจ้างนายไชโยเป็นพนักงานของกิจการดังกล่าว ต่อมา 3 ปี นายไชโยได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย มีลูกน้อง 45 คน นายไชโย ใช้ความรู้ความสามารถเพิ่มยอดขายให้แก่กิจการดังกล่าวทําให้กิจการดังกล่าวได้กําไร 70 ล้านบาท ต่อปี ต่อมานายโขงแบ่งกําไรจากกิจการดังกล่าวทุกปีให้แก่นายไชโย 12 เปอร์เซ็นต์ ต่อมานายโป ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของกิจการดังกล่าวได้ร่วมกับนายไชโยจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นใหม่ค้าขาย อุปกรณ์วิทยาศาสตร์แข่งขันกับกิจการเดิมดังกล่าว ต่อมาในขณะที่นายโปทําหน้าที่ขับรถในฐานะพนักงานและในทางการที่จ้างของกิจการเดิมนั้น นายโปขับรถโดยมิได้เจตนาทําละเมิดแต่ขับรถโดยประมาทชนร้านค้าอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็น ของห้างหุ้นส่วนที่นายไชโยและนายโปตั้งขึ้นได้รับความเสียหาย 1,000,000 บาท ให้ท่านวินิจฉัยว่าค่าเสียหายดังกล่าวบุคคลใดบ้างต้องรับผิดเพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทําไป ในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1038 วรรคแรก “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพ ดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่นโดยมิได้รับ ความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ”

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ระหว่างนายโขงกับนายไชโยเป็น หุ้นส่วนกันตามมาตรา 1012 หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นายโขงว่าจ้างนายไชโยเป็นพนักงานและต่อมาได้แต่งตั้ง ให้เป็นหัวหน้าฝ่ายขายนั้น ถือว่าเป็นเพียงสัญญาจ้างแรงงานเท่านั้น โดยนายโขงอยู่ในฐานะนายจ้าง ส่วนนายไชโยอยู่ในฐานะลูกจ้าง แม้ต่อมานายไชโยจะใช้ความรู้ความสามารถเพิ่มยอดขายให้แก่กิจการของนายโขงทําให้นายโขง แบ่งกําไรให้แก่นายไชโยทุกปีก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายไชโยเป็นหุ้นส่วนกับนายโขงตามนัยของมาตรา 1012 แต่อย่างใด และเมื่อนายไชโยมิใช่หุ้นส่วนกับนายโขง การที่นายไชโยได้ร่วมกับนายโปซึ่งเป็นพนักงานขับรถของกิจการของนายโขง จัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นใหม่ และค้าขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับกิจการของนายโขง การกระทําดังกล่าว ของนายไชโยจึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรก แต่อย่างใด

ส่วนประเด็นต่อมา การที่นายโปได้ขับรถในฐานะพนักงานและในทางการที่จ้างของกิจการเดิม โดยประมาทชนร้านค้าอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นของห้างหุ้นส่วนที่นายไชโยและนายโปตั้งขึ้นได้รับความเสียหาย 1,000,000 บาท นั้น การกระทําของนายโปถือเป็นการกระทําละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขา เสียหายแก่ทรัพย์สิน ดังนั้นนายโปจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวตามมาตรา 420 และนายโขงในฐานะ นายจ้างของนายโปก็ต้องร่วมรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวด้วยตามมาตรา 425

สําหรับนายไซโยนั้น เมื่อมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนายโขงจึงมิได้อยู่ในฐานะนายจ้างของนายโป จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับนายโปตามมาตรา 425 อีกทั้งการกระทําของนายโปก็มิได้เป็นการจัดการในทางที่เป็น ธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนที่นายโปกับนายไชโยได้จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 1050 ดังนั้นนายไชโยจึงไม่ ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทําละเมิดของนายโปแต่อย่างใด

สรุป

ค่าเสียหายดังกล่าวบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบคือนายโปผู้ทําละเมิดและนายโขงซึ่งต้อง ร่วมรับผิดชอบในฐานะนายจ้างของนายโป

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม มีนายอุทิศเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด และนายบุญธรรมเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ จําหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ทุกชนิดและผ้าไตรจีวร ห้างฯ ได้จดทะเบียนจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ดําเนิน กิจการมาหลายปีแล้ว ต่อมานายอุทิศได้แนะนํานายบุญธรรมให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่าย ในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีน้ำตาลเข้ม (สีกรัก) มาจําหน่ายในห้างฯ นายบุญธรรมก็เห็นชอบด้วย จึงได้ซื้อ ผ้าไตรจีวรสีดังกล่าวมาจําหน่ายในห้างฯ แต่ปรากฏว่าขายไม่ดี เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาท และ ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจะฟ้องนายอุทิศให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้หรือไม่ ถ้านายอุทิศได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว และห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม ก็ยังมิได้เลิกกันด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1081 “ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดมาเรียกขานระคน เป็นชื่อห้าง”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1088 “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน

แต่การออกความเห็นและแนะนําก็ดี ออกเสียงเป็นคะแนนนับในการตั้งและถอดถอนผู้จัดการ ตามกรณีที่มีบังคับไว้ในสัญญาหุ้นส่วนนั้นก็ดี ท่านหานับว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน นั้นไม่”

มาตรา 1095 “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิ จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวก จํากัดความรับผิดได้เพียงจํานวนดังนี้ คือ…”

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา 1095 วรรคแรก ถ้าห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วน จํากัด จะฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่ได้ จะฟ้องได้ก็แต่เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นบางกรณีที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะยังมิได้เลิกกัน เช่น กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง หรือกรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แนะนํา นายบุญธรรมให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่ายในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีน้ำตาลเข้ม (สีกรัก) มาจําหน่ายในห้างฯ ซึ่งนายบุญธรรมหุ้นส่วนผู้จัดการก็เห็นชอบด้วย และได้ซื้อผ้าไตรจีวรสีดังกล่าวมาจําหน่ายในห้างฯ แต่ขายไม่ดี เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาทนั้น การกระทําของนายอุทิศเป็นเพียงการออกความเห็นและแนะนําเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ อันจะทําให้นายอุทิศต้องรับผิดในหนี้รายนี้โดยไม่จํากัด จํานวนแต่อย่างใด (มาตรา 1088 วรรคแรกและวรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 1081 โดยยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างนั้น นายอุทิศจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก และอาจถูกเจ้าหนี้ของห้างฯ ฟ้องได้ แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม จะยังมิได้เลิกกันก็ตาม

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อห้างฯ เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาท และห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจึงสามารถฟ้องนายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดแต่ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตน เรียกขานระคนเป็นชื่อห้างฯ ให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้ แม้นายอุทิศจะได้ส่งเงินลงหุ้นครบแล้ว และห้าง หุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม จะยังมิได้เลิกกันก็ตามตามมาตรา 1082 วรรคแรก ประกอบมาตรา 1095 วรรคแรก

สรุป

เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจะฟ้องนายอุทิศให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้ตามเหตุผล และหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. เอก โท ตรี และจัตวา เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ผลิตอาหารสัตว์จําหน่าย หลังจากที่ผู้เริ่มก่อการได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว และมีผู้จองซื้อหุ้นจนครบจํานวนแล้ว เอกจึงได้ติดต่อทําสัญญาซื้อเครื่องจักรเพื่อจะนํามาผลิตอาหารสัตว์ตามวัตถุประสงค์ ของบริษัทจํากัดโดยมิได้ปรึกษาโท ตรี และจัตวาเลย ทําให้โท ตรี และจัตวาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อถึงคราวประชุมจัดตั้งบริษัท ที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นจึงไม่อนุมัติในสัญญาที่เอกซื้อเครื่องจักร และเลือกโท กับตรี เป็นกรรมการชุดแรกของบริษัท ส่วนจัตวาไม่ได้รับเลือกเป็นกรรมการ คงเป็น ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเท่านั้น ต่อมาบริษัทที่ทําสัญญากับเอกได้ฟ้องเอก โท ตรี และจัตวา ให้รับผิดชดใช้ ค่าเสียหายกรณีที่เอกผิดสัญญา โท ตรี และจัตวา จึงยื่นคําให้การต่อสู้คดีว่า เอกทําสัญญาซื้อ เครื่องจักรโดยมิได้ปรึกษาตนเลย และเอกก็เป็นคู่สัญญาแต่เพียงผู้เดียว พวกจําเลยทั้ง 3 คนมิได้มี ส่วนรับรู้ด้วย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องจําเลยทั้ง 3 (คือ โท ตรี และจัตวา)

ดังนี้ ให้นักศึกษา วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของโท ตรี และจัตวา จะรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 “ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จํากัดในบรรดาหนี้และการ จ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียน บริษัท

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดในบรรดา หนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้อง รับผิดอยู่จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอก โท ตรี และจัตวา เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัด ซึ่งมี วัตถุประสงค์ผลิตอาหารสัตว์จําหน่าย ต่อมาเอกได้ทําสัญญาซื้อเครื่องจักรเพื่อจะนํามาผลิตอาหารสัตว์ตาม วัตถุประสงค์ของบริษัทโดยมิได้ปรึกษาโท ตรี และจัตวาเลยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่มีการประชุมจัดตั้ง บริษัทนั้น ที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นมิได้อนุมัติในสัญญาที่เอกซื้อเครื่องจักรดังกล่าว ดังนั้น จึงมีผลทําให้ผู้เริ่มก่อการ ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าซื้อเครื่องจักรนั้นตามมาตรา 1113 เมื่อบริษัทที่ทําสัญญากับเอกได้ฟ้องให้ เอก โท ตรี และจัตวา รับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่เอกผิดสัญญา โท ตรี และจัตวา ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทร่วมกันกับเอก จะต่อสู้ว่า เอกทําสัญญาซื้อเครื่องจักรโดยมิได้ปรึกษาพวกตนเลย และเอกก็เป็นคู่สัญญาแต่ เพียงผู้เดียว พวกตนทั้ง 3 คน มิได้มีส่วนรับรู้ด้วยนั้นไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของโท ตรี และจัตวาดังกล่าวรับฟังไม่ได้

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแสงเข้าหุ้นกับนายสีและนายเสียง โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีวัตถุประสงค์ขายและให้เช่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ลําโพง และอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ดําเนินกิจการมาได้หลายปี ก็ขาดเงินสดหมุนเวียน เนื่องจากมีการปฏิวัติขายสินค้าไม่ค่อยได้และไม่มีผู้ใดมาเช่าอุปกรณ์ดังกล่าว ไปจัดมหรสพ ทั้งสามคนจึงไปกู้ยืมเงินจากนางสาวพิมพ์สนิทมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวน 3 แสนบาท ต่อมาทั้งสามคนได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโดยมีวัตถุประสงค์ เช่นเดิมทุกประการ แต่กิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนก็ยังไม่ดีขึ้น นายแสงจึงได้ลาออกจากการเป็น หุ้นส่วน ซึ่งนายสีและนายเสียงก็ไม่ขัดข้อง เมื่อนายแสงได้ออกจากห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนได้ 3 ปีแล้ว นางสาวพิมพ์สนิทจึงได้ทวงถามให้ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลชําระหนี้ 3 แสนบาท พร้อมทั้ง ดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อปี แต่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลก็ไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวพิมพ์สนิท จึงฟ้องนายแสง นายสี และนายเสียงให้ชําระหนี้ดังกล่าวแทนห้างฯ แต่นายแสงต่อสู้ว่าตน ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเกิน 2 ปีแล้วไม่ขอรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมด

ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายแสงรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นไม่ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน กฎหมาย ได้กําหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินของห้างหุ้นส่วนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการ จัดทํากิจการในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และแม้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใด จะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป (มาตรา 1051) เพียงแต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน ความรับผิดดังกล่าวย่อมมีจํากัดเพียง สองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วนไป (มาตรา 1068)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสี และนายเสียง ได้ไปกู้ยืมเงินจากนางสาวพิมพ์สนิทมาใช้จ่าย ในห้างฯ เป็นเงินจํานวน 3 แสนบาท ในขณะที่ห้างฯ ยังมิได้จดทะเบียนนั้น หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงต้องถือว่าเป็นหนี้ ของห้างหุ้นส่วนสามัญที่ยังไม่จดทะเบียน ที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสามคนจะต้องร่วมกันรับผิด เพราะเป็นหนี้ที่เกิด จากการกู้มาใช้จ่ายในกิจการของห้างฯ และแม้ต่อมาห้างหุ้นส่วนสามัญจะได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ก็มิได้ทําให้ ความรับผิดในหนี้ดังกล่าวของผู้เป็นหุ้นส่วนเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ แม้นายแสงจะได้ออกจากหุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงรับผิดในหนี้ดังกล่าว และต้องรับผิดตลอดไปจนกว่าจะได้มีการชําระหนี้หรือหนี้จะขาดอายุความ มิใช่ รับผิดจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อได้ออกจากหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1068 แต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อนางสาวพิมพ์สนิทได้ฟ้องให้นายแสง นายสี และนายเสียงชําระหนี้เงินกู้ดังกล่าว นายแสงจะต่อสู้ว่าตนได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเกิน 2 ปีแล้ว และไม่ขอรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมดไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสงดังกล่าวรับฟังไม่ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามสหายพาณิชย์ มีสมหมาย สมชาย และสมถวิล เป็นหุ้นส่วนกันโดยจดทะเบียนให้สมหมายและสมชายเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดและรับลงคนละ 1 ล้านบาท ส่วนสมถวิล เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้ได้จดทะเบียน จัดตั้งเรียบร้อยแล้ว และได้ดําเนินธุรกิจมาเป็นเวลาได้ 5 ปีเศษ ก็ขาดเงินสดหมุนเวียน สมถวิล จึงได้กู้ยืมเงินในนามของห้างหุ้นส่วนจํากัดจากธนาคาร กรุงธน จํากัด (มหาชน) มาใช้จ่ายในห้างฯ เป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยนําที่ดินที่เป็นที่ตั้งอาคารของห้างฯ มาจดทะเบียนจํานองประกันหนี้เงินกู้ รายนี้ด้วย เมื่อสมหมายและสมชายทราบเรื่องก็ไม่พอใจสมถวิล เพราะเกรงว่าหากไม่มีเงินใช้หนี้ ธนาคารก็เกรงว่าธนาคารจะบังคับจํานองเอาที่ดินที่เป็นที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนจํากัดไปขายทอดตลาดได้ สมหมายและสมชายจึงมาปรึกษานักศึกษาว่าทั้งสองคนจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอน การกู้ยืมเงินและเพิกถอนการจํานองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คําปรึกษาแก่สมหมายและสมชายดังนี้คือ ตามมาตรา 1087 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า หากเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดหามีอํานาจจัดการไม่ ซึ่งคําว่า การจัดการนั้น ก็คือ การดูแลรักษา หาผลประโยชน์ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจํากัด และการระมัดระวังไม่ให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดได้รับความเสียหาย ตลอดจน การทําให้บรรลุวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามที่ได้จดทะเบียนไว้

สําหรับ การฟ้องคดีแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถือเป็นการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัด อย่างหนึ่ง ซึ่งหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีสิทธิจัดการแทนห้างหุ้นส่วนจํากัด ดังนั้นเมื่อปรากฏว่า สมหมาย และสมชายเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด จึงไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการกู้ยืมเงิน และเพิกถอนการจํานองได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําสมหมายและสมชายว่า ทั้งสองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาล เพิกถอนการกู้ยืมเงินและเพิกถอนการจํานองไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายแดงมีหุ้นระบุชื่อจํานวน 1 แสนหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ของบริษัท ทรงสมัย จํากัด นายแดงมีความประสงค์จะโอนหุ้น 1 แสนหุ้นของตนให้แก่นายเหลืองเพื่อใช้หนี้จํานวน 1 ล้านบาทที่ตน เป็นหนี้นายเหลืองอยู่ จึงได้ทําหนังสือโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นายเหลือง แล้วลงลายมือชื่อของ นายแดงผู้โอน และนายเหลืองผู้รับโอนไว้ข้างท้ายหนังสือโอนหุ้น และนายแดงได้มอบใบหุ้นให้ นายเหลืองไปพร้อมได้โทรศัพท์ไปบอกกรรมการบริษัทให้ช่วยแก้ไขในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นให้เป็น ชื่อนายเหลืองด้วย ซึ่งกรรมการก็ได้ดําเนินการให้ตามวัตถุประสงค์ของนายแดง และยังได้ออกใบหุ้น ระบุชื่อให้นายเหลืองจํานวน 1 แสนหุ้นด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแดงยังจ่ายเงินค่าหุ้นยังไม่ครบ โดยจ่ายมาเพียงครึ่งเดียว ยังคงค้างเงินค่าหุ้นอยู่อีก 500,000 บาท บริษัทจึงขอให้นายเหลือง จ่ายเงินค่าหุ้นให้ครบตามที่บริษัทเรียกเก็บ แต่นายเหลืองไม่ยอมจ่าย ดังนี้ถามว่า

1 การโอนหุ้นครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

2 บริษัทจะต้องเรียกให้ผู้ใดรับผิดในเงินค่าหุ้นที่ยังจ่ายไม่ครบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1129 “อันว่าหุ้นนั้นยอมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่ เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น

การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับ ผู้รับโอน มีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้น ต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อ และสํานักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

ในการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อนั้น การโอนจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 1129 วรรคสอง คือ การโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคน ลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น เมื่อนายแดงเพียงแต่ทํา หนังสือโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นายเหลือง แล้วลงลายมือชื่อของนายแดงผู้โอน และนายเหลืองผู้รับโอนไว้ข้างท้าย หนังสือโอนหุ้น แต่เมื่อไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายมือชื่อของผู้โอนและผู้รับโอน การโอนหุ้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1129 วรรคสอง ดังนั้นหุ้นจึงยังเป็น ของผู้โอนคือนายแดงอยู่ และให้ถือว่านายแดงยังเป็นเจ้าของหุ้นนั้น แม้ว่าจะได้มีการแก้ไขชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เป็นชื่อนายเหลืองแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่า นายแดงยังค้างเงินค่าหุ้นอยู่อีก 500,000 บาท บริษัทจึงมีสิทธิเรียก ให้นายแดงรับผิดชําระเงินค่าหุ้นที่ค้างชําระได้

สรุป

1 การโอนหุ้นครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2 บริษัทจะต้องเรียกให้นายแดงรับผิดในเงินค่าหุ้นที่ยังจ่ายไม่ครบ

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 สมศักดิ์เข้าหุ้นกับสมชายโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์รับซื้อ-ขายยางพารา ทั้งสองตกลงกันให้สมศักดิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กิจการของห้างหุ้นส่วนมีกําไรดีทุกปี สมชาย ต้องการประกอบกิจการรับซื้อ-ขายยางพาราบ้างแต่ก็เกรงใจสมศักดิ์ ต่อมาแนบชิดได้ชักชวน สมชายลงหุ้นกับตนตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดรับซื้อ-ขายยางพารา สมชายก็ตกลงและนําเงินมาลงหุ้น กับแนบชิด 3 แสนบาท และจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนแนบชิดเป็นหุ้นส่วน จําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยห้างหุ้นส่วนจํากัดที่ตั้งใหม่นี้อยู่ใกล้เคียงกัน กับห้างหุ้นส่วนสามัญที่สมศักดิ์เข้าหุ้นกับสมชาย สมศักดิ์จึงกล่าวหาสมชายว่า สมชายประกอบกิจการ แข่งขันกับห้างฯ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและของผู้อื่นด้วย จึงเรียกร้องให้สมชายรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายที่ทําให้ห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างสมศักดิ์กับสมชายมีกําไรลดลง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า สมชายต้องรับผิดต่อสมศักดิ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะ เรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรกนั้น จะห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น แต่ไม่ได้ห้ามรวมไปถึงกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วน ได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม โดยที่ตนมิได้เข้าไป เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือลงมือจัดการงานด้วยตนเองแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมชายได้เข้าหุ้นกับแนบชิดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดรับซื้อ-ขาย ยางพารานั้น แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดที่ตั้งขึ้นใหม่จะประกอบกิจการซึ่งมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขัน กับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมที่สมชายเป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ตาม แต่การที่สมชายเข้าไปเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัด ความรับผิด ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการงานของห้างฯ โดยตรง และสมชายก็มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้าง หุ้นส่วนจํากัด เพราะในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้นที่จะจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ เมื่อสมชายนําเงินมาลงหุ้นกับแนบชิดแต่เพียงอย่างเดียวมิได้ร่วมจัดการงานด้วย จึงไม่อาจถือได้ว่าสมชายได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรก คือได้ประกอบกิจการซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนที่ตนเป็นหุ้นส่วนอยู่ ดังนั้นข้อกล่าวหาของสมศักดิ์ที่ได้กล่าวหา สมชายว่า สมชายได้ประกอบกิจการแข่งขันกับห้างฯ จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ฟังไม่ขึ้น สมศักดิ์จึงเรียกร้องให้สมชาย รับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทําให้ห้างฯ มีกําไรลดลงไม่ได้

สรุป สมชายไม่ต้องรับผิดต่อสมศักดิ์

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม มีนายอุทิศเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดลงหุ้นไว้เป็นเงิน 2 แสนบาท ส่วนนายบุญธรรมเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์จําหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ทุกชนิด นายอุทิศได้แนะนํานายบุญธรรม ให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม (สีเหลืองแก่) มาจําหน่ายในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีกรัก (น้ำตาลเข้ม) มาจําหน่ายในห้างฯ นายบุญธรรมก็ได้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่ายในห้างฯ แต่ปรากฏว่า ขายไม่ดี เนื่องจากพระสงฆ์นิยมนุ่งห่มจีวรสีน้ำตาลเข้มมากกว่าสีเหลืองแก่ ห้างฯ จึงเป็นหนี้ค่าผ้าไตร จีวรจํานวน 3 แสนบาท และไม่มีเงินชําระหนี้รายนี้ นายบุญธรรมจึงต่อว่านายอุทิศที่แนะนําตน ทําให้นายอุทิศไม่พอใจจึงโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวอุษาและจดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด ไปได้สองเดือนแล้ว ดังนี้ เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดจะเรียกร้องให้นายอุทิศรับผิดในหนี้ของห้างฯ ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1088 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวรที่นายบุญธรรมได้ ซื้อเข้ามาขายในห้างฯ ตามคําแนะนําของนายอุทิศเป็นเงินจํานวน 3 แสนบาทนั้น แม้ว่าการที่นายอุทิศได้แนะนําแก่ นายบุญธรรมนั้น จะไม่ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ตามมาตรา 1088 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน จํากัดอุทิศธรรม นายอุทิศจึงต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ จํานวนดังกล่าวด้วย เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนจําพวก ไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ต่อมานายอุทิศจะได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวอุษา และจดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปแล้ว แต่เมื่อหนี้ค่าผ้าไตรจีวรนั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่นายอุทิศจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป นายอุทิศจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก และเมื่อ ปรากฏว่านายอุทิศได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปยังไม่เกิน 2 ปี เจ้าหนี้ของห้างฯ จึงสามารถเรียกร้องให้นายอุทิศ รับผิดในหนี้รายนี้ได้ตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก

สรุป เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม สามารถเรียกร้องให้นายอุทิศรับผิดในหนี้ ค่าผ้าไตรจีวรจํานวน 3 แสนบาทได้

 

ข้อ 3. ข้อบังคับของบริษัท อัมรินทร์ จํากัด มีว่า “ห้ามผู้ถือหุ้นของบริษัทโอนหุ้นทุกชนิดของตนให้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริษัทก่อนจึงจะโอนได้” ข้อบังคับนี้ได้ จดทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ต่อมานางสาวสกุนตลาผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัท ดังกล่าว ซึ่งถือหุ้นผู้ถือ (ไม่ระบุชื่อ) จํานวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท และต้องการโอนหุ้น ให้นายศารินทร์ทั้งหมด เนื่องจากตนเป็นหนี้นายศารินทร์ 1,000,000 บาท จึงได้ยื่นขออนุญาตโอนหุ้น ต่อคณะกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการฯ มีมติไม่อนุญาตให้โอนหุ้น โดยอ้างว่านายศารินทร์เป็น คู่แข่งทางการค้าของบริษัท ไม่สมควรจะมาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ดังนี้ ถ้านางสาวสกุนตลา มาปรึกษาท่านว่า มติของคณะกรรมการนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนางสาวสกุนตลาจะโอนหุ้นผู้ถือดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ท่านแนะนํานางสาวสกุนตลาด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1129 วรรคแรก “อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น ซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1135 “หุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้เพียงด้วยส่งมอบใบหุ้น แก่กัน”

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การที่ผู้ถือหุ้นในบริษัทจํากัดจะโอนหุ้นของตนให้แก่ บุคคลอื่นนั้นย่อมสามารถโอนได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบริษัท เว้นแต่ถ้าเป็นหุ้น “ชนิดระบุชื่อ” ซึ่งมี ข้อบังคับของบริษัทได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท อัมรินทร์ จํากัด ได้ออกข้อบังคับในเรื่องการโอนหุ้นไว้ว่า “ห้ามผู้ถือหุ้นของบริษัทโอนหุ้นทุกชนิดของตนให้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริษัทก่อน จึงจะโอนได้” นั้น ข้อบังคับของบริษัทดังกล่าวสามารถใช้บังคับได้ แต่จะใช้บังคับได้เฉพาะการโอนหุ้นที่เป็นหุ้น ชนิดระบุชื่อเท่านั้น จะนํามาใช้บังคับกับหุ้นผู้ถือไม่ได้ตามมาตรา 1129 วรรคแรก

ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางสาวสกุนตลาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัทดังกล่าว ได้ ถือหุ้นผู้ถือจํานวน 10,000 หุ้น และต้องการโอนหุ้นให้แก่นายศารินทร์ทั้งหมด นางสาวสกุนตลาย่อมสามารถทําได้ โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นายศารินทร์ผู้รับโอนตามมาตรา 1135 การที่นางสกุนตลาได้ยื่นขออนุญาตโอนหุ้นต่อ คณะกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการบริษัทมีมติไม่อนุญาตให้โอนหุ้นนั้น มติของคณะกรรมการบริษัทที่ไม่อนุญาต ให้โอนหุ้นผู้ถือจึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขัดกับมาตรา 1129 วรรคแรก

สรุป มติของคณะกรรมการบริษัทดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนางสาวสกุนตลาสามารถ โอนหุ้นผู้ถือของตนได้ โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นายสารินทร์

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สายสวรรค์เข้าหุ้นกับแนบชิดและแนบภู โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ตกลงให้สายสวรรค์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนมีวัตถุประสงค์จัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการทําการค้า ระหว่างประเทศ และรับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ โดยมีแนบภูเป็นวิทยากร ฝึกอบรม กิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นที่รู้จักของบุคคลในแวดวงที่ทําธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นจํานวนมาก แนบภูเห็นว่ากิจการของห้างหุ้นส่วนประสบผลสําเร็จ มีกําไรดีทุกปี แนบภูจึงชักชวน สิงหาซึ่งจบการศึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศ สาขาประกันภัยทางทะเลมาร่วมหุ้นกับตน โดยตั้ง เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน โดยมีวัตถุประสงค์รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าขายระหว่าง ประเทศ เช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด แต่ในห้างหุ้นส่วนสามัญ จดทะเบียนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสิงหานี้ แนบภูตกลงให้สิงหาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโดยแนบภูทําหน้าที่ ให้คําปรึกษาคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศตามที่มีลูกค้ามาขอรับคําปรึกษา โดยห้างฯ คิดค่าตอบแทนจากลูกค้าชั่วโมงละ 5,000 บาท ต่อมาสายสวรรค์และแนบชิดทราบว่า แนบภูเข้าหุ้นกับสิงหา และทําธุรกิจเช่นเดียวกับที่แนบภูเข้าหุ้นกับตน สายสวรรค์จึงเรียกเอาผลกําไร จากแนบภูทั้งหมด แต่แนบภูก็เถียงว่า ตนมิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1038 ก็มิได้ห้ามหุ้นส่วนคนใดไปลงหุ้นกับคนอื่นอีกจึงไม่ต้องรับผิดต่อสายสวรรค์และแนบชิด ดังนี้ข้ออ้างของแนบภูฟังขึ้นหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะ เรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะ เหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1038 บัญญัติห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ประกอบกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการค้าขายแข่งกับห้างฯ หากผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นก็สามารถเรียกเอาผลกําไรทั้งหมด หรือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นได้

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไปลงหุ้นกับผู้อื่นโดยมิได้เป็นผู้ดําเนิน กิจการในห้างหุ้นส่วนอันใหม่นั้น แม้ว่ากิจการที่ร่วมลงหุ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ถือว่าเป็นการประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แนบภูชักชวนสิงหามาร่วมหุ้นกับตน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน โดยมีวัตถุประสงค์รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าขายระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้น กับสายสวรรค์และแนบชิดนั้น ถือเป็นกรณีที่แนบภูประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตน ได้เข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิดแล้ว เนื่องจากห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด ก็ทําธุรกิจ รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ จึงเท่ากับว่าแนบภูประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างฯ เพื่อประโยชน์ของตนและของผู้อื่น อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 1038 อนึ่ง ถึงแม้แนบภูจะอ้างว่าตนมิได้เป็น หุ้นส่วนผู้จัดการ และ ป.พ.พ. มาตรา 1038 ก็มิได้ห้ามหุ้นส่วนคนใดไปลงหุ้นกับคนอื่นอีก จึงไม่ต้องรับผิดต่อ สายสวรรค์และแนบชิดก็ตาม แต่เมื่อดูลักษณะการกระทําของแนบภูแล้ว จะเห็นว่าแนบภูเป็นผู้ประกอบกิจการ รวมทั้งเป็นผู้ดําเนินกิจการในห้างหุ้นส่วนใหม่อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนเดิมที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด ดังนั้นข้ออ้างของแนบภูดังกล่าวจึงเป็นข้ออ้างที่มิชอบ ด้วยหลักของกฎหมาย และฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของแนบภูฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง มีนายสมพรเข้าหุ้นกับนายจักรินทร์ โดยนายสมพรเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายจักรินทร์เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ก่อนจดทะเบียนจัดตั้ง นายสมพรได้สั่งซื้อปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นไว้เป็นเงิน 500,000 บาท ได้นํามา จําหน่ายในกิจการค้าขายของห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดได้จดทะเบียน จัดตั้งแล้ว และต่อมาหนี้ดังกล่าวใกล้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง ไม่มีเงินพอ ที่จะชําระหนี้ได้ นายสมพรจึงได้กู้ยืมเงินจากนางสาวเพียงใจมาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นเงิน 200,000 บาท นายจักรินทร์เห็นว่ากิจการของห้างหุ้นส่วนฯ น่าจะไปไม่รอด จึงโอนเงินลงหุ้นของตน ทั้งหมดให้นางสาวสุมนาและจดทะเบียนให้นางสาวสุมนาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด แทนตน และได้จดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนไปได้ 1 ปีเศษแล้ว ต่อมาหนี้ค่าเหล็กเส้น หนี้ค่า ปูนซีเมนต์ และหนี้เงินกู้ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ เจ้าหนี้ของ ห้างฯ จะฟ้องให้นายจักรินทร์ซึ่งออกจากห้างฯ ไปแล้วให้รับผิดได้หรือไม่ ถ้านายจักรินทร์ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีหนี้ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนที่ห้างฯ จะจดทะเบียน จัดตั้งเป็นนิติบุคคล นายสมพรได้สั่งซื้อปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นไว้เป็นเงิน 500,000 บาท เพื่อนํามาจําหน่ายใน กิจการค้าขายของห้างฯ และยังมิได้ชําระหนี้ เช่นนี้ เจ้าหนี้ของห้างฯ ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้นายจักรินทร์หุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดให้ร่วมกันรับผิดกับห้างฯ ได้ เพราะว่าหนี้ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ได้เกิดขึ้นก่อนที่ จะมีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด จึงถือว่าขณะที่ก่อหนี้นั้นห้างฯ ยังคงเป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดหรือจําพวกไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิด ร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวนตามมาตรา 1079 และแม้ว่านายจักรินทร์จะออกจาก ห้างหุ้นส่วนไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีเศษก็ต้องรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัด เนื่องจากหนี้ดังกล่าวได้เกิดขึ้น ก่อนที่นายจักรินทร์ลาออกจากห้างฯ จึงต้องรับผิดตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 โดยรับผิดภายใน ระยะเวลาไม่เกินสองปีนับตั้งแต่ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด

กรณีหนี้เงินกู้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ จดทะเบียนจัดตั้งแล้ว และนายจักรินทร์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดก็ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว นายจักรินทร์จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว แม้ว่านายจักรินทร์ยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ไม่ต้องรับผิด อีกทั้งข้อเท็จจริง ยังปรากฏอีกว่านายจักรินทร์ได้โอนหุ้นให้แก่นางสาวสุมนาไปหมดแล้ว และออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปแล้ว ดังนั้น นางสาวเพียงใจจึงฟ้องนายจักรินทร์ให้รับผิดในหนี้เงินกู้ไม่ได้

สรุป

เจ้าหนี้ของห้างฯ สามารถฟ้องให้นายจักรินทร์ซึ่งออกจากห้างฯ ไปแล้วให้รับผิดในหนี้ ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ได้ ส่วนนางสาวเพียงใจจะฟ้องนายจักรินทร์ให้รับผิดในหนี้เงินกู้ไม่ได้

 

ข้อ 3. กรรมการบริษัท ใบเตย จํากัด ได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติในเรื่องตั้งกรรมการบริษัท โดยส่งคํา

บอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2556 และ หนังสือบอกกล่าวนัดประชุมได้กําหนดวันประชุมในวันที่ 9 ตุลาคม 2556 เวลา 10.00 น. ณ ที่ทําการ บริษัท นายเล็งผู้ถือหุ้นคนหนึ่งได้รับหนังสือนัดประชุมดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2556 แต่เมื่อถึง วันประชุม นายเส็งมิได้ไปประชุมและมิได้มอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมด้วย แต่นายเส็งไม่พอใจ มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่เลือกนายเฮงเป็นกรรมการ เพราะนายเส็งไม่ถูกกับนายเฮง นายเส็งจึงมา ปรึกษากับท่านว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ฟ้องเพิกถอนมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ให้ท่าน แนะนํานายเล็งด้วย

ถึงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

 

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุม ปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอน มติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายเสงมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ฟ้องเพิกถอนมติ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนํานายเล็งดังนี้คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1175 นั้นได้กําหนดเอาไว้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เรื่องใด ที่ต้องลงมติพิเศษจึงจะต้องกระทําก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า กรรมการบริษัทฯ ได้บอกกล่าวนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติในเรื่อง ตั้งกรรมการบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นการประชุมใหญ่เพื่อลงมติ ซึ่งมิใช่มติพิเศษ โดยส่งหนังสือนัดประชุมทางไปรษณีย์ ตอบรับเพียงอย่างเดียว หาได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ด้วยไม่ จึงเป็นการบอกกล่าวนัดประชุม ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1175 และส่งผลให้มติของที่ประชุมใหญ่ในเรื่องดังกล่าวเป็นอันผิดระเบียบไปด้วย ดังนั้นนายเร็งจึงฟ้องศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ แต่ต้องฟ้องภายในกําหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่มีการลงมตินั้นตามมาตรา 1195

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายเส็งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอก โท และตรี ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยลงหุ้นกันคนละ 1 ล้านบาท จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) มีเอกเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ค้าขายวัสดุก่อสร้าง ดําเนินกิจการมาได้สองปีเศษก็ขาดเงินสดหมุนเวียน เอกจึงได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาสองล้านบาท เพื่อนํามาเป็นทุนหมุนเวียนในห้างฯ ต่อมาตรีได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้จัตวา และได้จดทะเบียน ออกจากห้างหุ้นส่วนไปโดยจดทะเบียนให้จัตวาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทน ซึ่งเอกและโทก็ไม่ขัดข้อง ตรีได้ออกมาจากห้างฯ เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว หนี้เงินกู้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ ธนาคารจะฟ้องเอก, โท ตรี และจัตวา ให้รับผิด ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1050 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วน ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และนอกจากนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งได้ออกจาก หุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไปด้วยตาม มาตรา 1051 และบุคคลผู้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนํามาเป็นทุนหมุนเวียนในห้างฯ นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่เอกได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้อง ร่วมกันรับผิดในหนี้รายนี้ตามมาตรา 1050

สําหรับตรีนั้น แม้จะได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้จัตวาและได้จดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนไป โดยหลักแล้วก็จะต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตรีจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนตามมาตรา 1051 แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) และตรีได้ออกจากการเป็น หุ้นส่วนไปเป็นเวลาสามปีกว่าคือเกินสองปีแล้ว ดังนั้นตรีจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้อีกต่อไปตามมาตรา 1068

ส่วนจัตวานั้น เมื่อได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนตรี จึงมีผลตามมาตรา 1052 คือ จัตวาจะต้องรับผิด ในหนี้เงินกู้รายนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย ดังนั้นเมื่อหนี้เงินกู้รายนี้ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้เอก โท และจัตวา รับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ได้ แต่จะฟ้อง ให้ตรีรับผิดไม่ได้

สรุป ธนาคารสามารถฟ้องเอก โท และจัตวา ให้รับผิดได้ แต่จะฟ้องให้ตรีรับผิดไม่ได้

 

ข้อ 2. สมบัติ และสําอางตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยจะต้องลงหุ้นกันคนละหนึ่งล้านบาท เพื่อจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ทั้งนี้ สมบัติได้นําเงินมาลงหุ้นครบถ้วนหนึ่งล้านบาทแล้ว และขอเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนสําอางยังมิได้นําเงินมาลงหุ้นเลย แต่ก่อนที่จะจดทะเบียนจัดตั้งเป็น ห้างหุ้นส่วนจํากัด สําอางได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาเป็นการส่วนตัวหนึ่งล้านบาท และได้นําเงินนั้น มาเป็นทุนของตนในการลงหุ้นกับสมบัติ และได้ไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด โดยสําอาง เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนี้ดําเนินกิจการมาได้ ห้าปีเศษแล้ว แต่สําอางก็ยังมิได้ชําระหนี้เงินกู้รายนี้ ธนาคารเห็นว่า สมบัติเป็นหุ้นส่วนร่วมกับสําอาง และสําอางได้กู้ยืมเงินก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ดังนั้น สมบัติควรต้องรับผิดด้วย เพราะถือว่าขณะนั้นห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้องรับผิดเหมือน บุคคลเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1079 ธนาคาร จึงทวงถามให้สมบัติชําระหนี้ที่สําอางได้กู้ยืมมา พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าบาทต่อปี ดังนี้

ถ้าสมบัติมาปรึกษากับท่านว่า จะต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวหรือไม่ ท่านจะแนะนําสมบัติอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1079 นั้น กฎหมายได้กําหนดไว้ว่า ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่ได้ จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ให้ถือว่าเป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้อง ร่วมกันรับผิดในบรรดา “หนี้ของห้างหุ้นส่วน” และโดยไม่จํากัดจํานวนจนกว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะได้จดทะเบียน

ตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การที่สําอางได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารนั้นเป็นหนี้สินของ ห้างหุ้นส่วนหรือไม่ เห็นว่า การที่สําอางได้ไปกู้เงินจากธนาคารมาหนึ่งล้านบาทเพื่อนํามาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น การกู้เงินดังกล่าวเป็นกรณีที่สําอางได้กระทําเป็นการส่วนตัว จึงถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของสําอางโดยแท้ เพราะ สําอางได้นําเงินนั้นมาเป็นทุนของตนในการลงหุ้นกับสมบัติ หนี้สินดังกล่าวจึงมิใช่หนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัด ที่เกิดก่อนการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1079 ที่สมบัติจะต้อง ร่วมรับผิดด้วย ดังนั้นธนาคารจะทวงถามให้สมบัติร่วมรับผิดโดยการชําระหนี้ที่สําอางได้กู้ยืมมาไม่ได้

สรุป ถ้าสมบัติมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนําแก่สมบัติว่า สมบัติไม่ต้องรับผิดในหนี้รายนี้ แต่อย่างใด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ใบเตย จํากัด ได้ประชุมกันเพื่อลงมติเลือกกรรมการใหม่ที่หมดวาระแต่ก่อนที่จะลงมติ นายแสดและนายสีผู้ถือหุ้นจํานวนหุ้นข้างมากในบริษัท ได้ร้องขอต่อประธาน ในที่ประชุมให้ลงมติลับ แต่นายหมึกและผู้ถือหุ้นอีก 18 คน ต้องการให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย ประธานในที่ประชุมจึงได้สั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผยตามเสียงส่วนใหญ่ของผู้ถือหุ้น

ดังนี้ ถ้านายแสด และนายสีไม่พอใจมติที่เลือกกรรมการบริษัทในครั้งนี้ จึงได้มาปรึกษาท่านว่า มติดังกล่าวนี้ชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ และควรจะทําอย่างไรต่อไป ให้ท่านแนะนํานายแสดและนายสีด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1190 “ในการประชุมใหญ่ฯ ข้อมติอันเสนอให้ลงคะแนนท่านให้ตัดสินด้วยวิธีชูมือ เว้นแต่ เมื่อก่อนหรือในเวลาที่แสดงผลแห่งการชูมือนั้น จะได้มีผู้ถือหุ้นสองคนเป็นอย่างน้อยติดใจร้องขอให้ลงคะแนนลับ”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอน มติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ใบเตย จํากัด ที่ได้ลงมติโดยเปิดเผยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถือหุ้นที่ไม่พอใจมติของที่ประชุมนั้น จะต้องดําเนินการอย่างไร

กรณีนี้เห็นว่า การที่บริษัท ใบเตย จํากัด ได้ประชุมกันเพื่อลงมติเลือกกรรมการใหม่ที่หมดวาระ แต่ก่อนที่จะลงมติ เมื่อนายแสดและนายสีผู้ถือหุ้นสองคนได้ร้องขอให้ลงมติลับนั้น ย่อมถือว่าเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้น สองคนที่จะร้องขอให้ลงคะแนนลับได้ตามมาตรา 1190 และเมื่อนายแสดและนายสีได้ร้องขอให้ลงคะแนนลับ ประธานในที่ประชุมต้องสั่งให้ลงคะแนนลับแม้ผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งที่มีจํานวนคนข้างมากต้องการให้ลงคะแนน โดยเปิดเผยก็ตาม ประธานในที่ประชุมก็จะสั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผยไม่ได้ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ประธานในที่ประชุมได้สั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย การลงคะแนนโดยเปิดเผยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายแสด และนายสีจึงสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมตินั้นได้ แต่ต้องร้องขอภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น ตามมาตรา 1195

สรุป

มติโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายแสดและนายสีสามารถ ร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมตินั้นได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สมพร และสมบัติเป็นพี่น้องกัน ได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล(จดทะเบียน) และนําชื่อสมศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของบุคคลทั้งสองเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนนี้ ดําเนินกิจการไปได้สองปีก็ขาดเงินสดหมุนเวียน สมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงได้กู้ยืมเงินจาก ธนาคารมาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญสมศักดิ์พาณิชย์ (นิติบุคคล) และห้างฯ ยังเป็นหนี้ค่าจ้าง พนักงานของห้างฯ อีกด้วย ดังนี้ ถามว่าถ้าห้างหุ้นส่วนสามัญสมศักดิ์พาณิชย์ (นิติบุคคล) ไม่ชําระหนี้ เงินกู้ต่อธนาคาร และไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างให้พนักงานของห้างฯ ธนาคารก็ดี พนักงานของห้างฯ ก็ดี จะเรียกร้องให้สมศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของหุ้นส่วนทั้งสองชําระหนี้ร่วมกับสมพรและสมบัติได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1054 วรรคแรก “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1050 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญ จะต้องร่วมกันรับผิด และโดยไม่จํากัดจํานวนในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น

และตามมาตรา 1054 วรรคแรก ได้บัญญัติให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน แต่ได้แสดงตนว่า เป็นหุ้นส่วน หรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วน และต้องรับผิดก็แต่เฉพาะ ในกรณีที่บุคคลภายนอกถูกหลอกลวง หรือหลงผิดเข้าใจว่าบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วน และหนี้ของห้างหุ้นส่วนได้เกิดขึ้น และเป็นผลโดยตรงจากการที่บุคคลนั้นได้แสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนหรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อของตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมศักดิ์ได้ยินยอมให้สมพรและสมบัติบุตรทั้งสองใช้ชื่อของตนเป็น ชื่อห้างหุ้นส่วน สมศักดิ์จะต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ อย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 กรณีหนี้เงินกู้ การที่สมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ใน กิจการของห้างฯ ถือว่าหนี้เงินกู้ดังกล่าว เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่หุ้นส่วนได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขาย ของห้างหุ้นส่วน ดังนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา 1050 และบุคคลที่ได้ยินยอมให้ใช้ ชื่อของตนเป็นชื่อห้างฯ ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย ดังนั้นสมศักดิ์จึงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ด้วยตามมาตรา 1054 วรรคแรก

2 กรณีหนี้ค่าจ้าง ที่ห้างฯ ค้างชําระแก่พนักงาน หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาจ้าง ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่ทําไว้ต่อกัน ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากการที่บุคคลภายนอกถูกหลอกลวง หรือหลงผิดว่า สมศักดิ์เป็นหุ้นส่วน และไม่ใช่หนี้ที่เกิดขึ้นและเป็นผลโดยตรงจากการที่สมศักดิ์ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างฯ ดังนั้นสมศักดิ์จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าจ้างดังกล่าว อีกทั้งสมศักดิ์ก็มิได้เป็นนายจ้างของพนักงานของห้างฯ แต่อย่างใด บุคคลที่จะต้องรับผิดในหนี้ค่าจ้างดังกล่าว คือ สมพรและสมบัติซึ่งเป็นนายจ้าง

สรุป

ธนาคารสามารถเรียกร้องให้สมศักดิ์ร่วมรับผิดในการชําระหนี้เงินกู้ร่วมกับสมพรและ สมบัติได้ แต่พนักงานของห้างฯ จะเรียกร้องให้สมศักดิ์ชําระหนี้ร่วมกับสมพรและสมศักดิ์ไม่ได้

 

ข้อ 2. สมร และศรี ตกลงเข้าทุนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด โดยใช้ชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีสมร โดยศรีเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ส่วนสมรเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนนี้จดทะเบียนจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ดําเนินกิจการมาได้ห้าปีเศษ ศรีต้องการขยายกิจการ ศรีจึงกู้ยืมเงินจากสมหมายมาดําเนินการจํานวน 5 แสนบาท สมรทราบข่าว เรื่องการกู้ยืมเงิน ก็ไม่พอใจ จึงโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้ชมพู่และจดทะเบียนออกจากหุ้นส่วนไป พร้อมจดทะเบียนให้ชมพู่มาเป็นหุ้นส่วนแทนตน ศรีจึงได้ทําการเปลี่ยนชื่อห้างหุ้นส่วนฯ เสียใหม่ เป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ หลังจากสมรออกจากห้างหุ้นส่วนไปได้หนึ่งปีเศษ หนี้เงินกู้ ก็ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ถามว่า เจ้าหนี้จะฟ้อง ให้สมรรับผิดในหนี้เงินกู้นี้ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมรซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตน ระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีสมร สมรจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนจําพวก ไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และเมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นเป็นหนี้เงินกู้ยืมสมหมายจํานวน 5 แสนบาท และสมรได้โอนหุ้น ของตนทั้งหมดให้ชมพู่และจดทะเบียนออกจากหุ้นส่วนไป พร้อมจดทะเบียนให้ชมพู่มาเป็นหุ้นส่วนแทนตนนั้น กรณีนี้แม้สมรจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว แต่หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่สมรจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป สมรจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก และแม้ว่าต่อมา ห้างฯ จะได้เปลี่ยนชื่อเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสมรได้ออกจาก ห้างหุ้นส่วนจํากัดไปยังไม่เกินสองปี ดังนั้นสมรจึงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจาก การเป็นหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก เจ้าหนี้จึงสามารถฟ้องให้สมรรับผิดในหนี้ เงินกู้รายนี้ได้

สรุป เจ้าหนี้ฟ้องให้สมรรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ได้

 

ข้อ 3. บริษัท นิติธรรม จํากัด ต้องการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่จํานวน 50,000 หุ้น จึงเรียกผู้ถือหุ้นของบริษัท จํานวน 8 คน มาประชุมใหญ่รวมกันในวันที่ 31 มกราคม 2556 โดยส่งหนังสือเรียกประชุม ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทกระทําโดยขั้นตอนที่ถูกต้องครบถ้วน ตามที่กําหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติ พิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอ ให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1220 “บริษัทจํากัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของ ประชุมผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

โดยหลักกฎหมายมาตรา 1220 การเพิ่มทุนของบริษัทโดยการออกหุ้นใหม่นั้น จะต้องกระทํา โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ดังนั้นคําบอกกล่าวเรียกประชุมผู้ถือหุ้นจึงต้องกระทําก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน และจะต้องทําตามขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1175 กล่าวคือต้องลงพิมพ์โฆษณา ในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และสั่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท นิติธรรม จํากัด ต้องการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ และได้ ส่งคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในวันที่ 20 มกราคม 2556 เพื่อทําการประชุมในวันที่ 31 มกราคม 2556 จึงถือว่า ไม่ได้ส่งคําบอกกล่าวไม่น้อยกว่าสิบสี่วันก่อนวันนัดประชุม และในการส่งหนังสือเรียกประชุมทางไปรษณีย์ ก็ไม่ปรากฏว่าใช้วิธีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ แม้จะได้ทําการประกาศทางหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่แล้วก็ตาม ดังนั้นจึงถือได้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทไม่ได้กระทําโดยถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่กําหนด ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

สรุป

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทกระทําโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่ กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. แดงตกลงเข้าหุ้นกับเหลืองโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนมีวัตถุประสงค์เปิดกิจการเดินรถยนต์โดยสาร แดงนํารถยนต์โดยสารปรับอากาศมาลงหุ้น จํานวน 10 คัน ส่วนเหลืองนําเงิน มาลงหุ้น จํานวน 10 ล้านบาท ทั้งสองคนมีข้อตกลงกันว่าจะคิดบัญชีกําไร-ขาดทุนกันทุกสิ้นเดือน ถ้ามีกําไรก็จะแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็จะรับผิดร่วมกันคนละครึ่ง และเมื่อเลิกห้างฯ กันแล้ว จะคืนรถยนต์โดยสารปรับอากาศให้กับนายแดงคืนเงิน 10 ล้านบาท ให้กับนายเหลือง ต่อมาแดง ถูกฟ้องคดีให้ชําระหนี้เงินกู้ จํานวน 10 ล้านบาท ที่กู้มาเพื่อซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศที่นํามาลงหุ้น ดังกล่าว ศาลพิพากษาให้แดงชําระหนี้ดังกล่าว แต่แดงไม่มีเงินชําระ

ดังนี้ถามว่าถ้าห้างหุ้นส่วนสามัญ จดทะเบียนระหว่างแดงกับเหลืองยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงหุ้นได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1072 “ถ้าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนยังมิได้เลิกกันตราบใด เจ้าหนี้ของผู้เป็นหุ้นส่วนเฉพาะตัวย่อมใช้สิทธิได้แต่เพียงในผลกําไรหรือเงินซึ่งห้างหุ้นส่วนค้างชําระแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นเท่านั้น ถ้าห้างหุ้นส่วนนั้นเลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ย่อมใช้สิทธิได้ตลอดจนถึงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นอันมีในสินทรัพย์ของ ห้างหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ห้างหุ้นส่วนซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว กฎหมายถือว่าเป็นนิติบุคคล มีสิทธิและหน้าที่แยก ต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน ทรัพย์สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนนํามาลงทุนจึงเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ดังนั้นตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้เฉพาะตัวของผู้เป็นหุ้นส่วนจะใช้สิทธิได้แต่เพียงผลกําไร หรือเงินซึ่งห้างหุ้นส่วนค้างชําระแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นเท่านั้น ไม่มีสิทธิไปเรียกร้องเอาเงินหรือทรัพย์สินของผู้เป็น หุ้นส่วนที่ได้ไปลงทุนไว้ในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น (มาตรา 1072)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้นํารถยนต์โดยสารปรับอากาศมาลงหุ้นไว้ในห้างหุ้นส่วน สามัญจดทะเบียน จํานวน 10 คันนั้น รถยนต์ทั้ง 10 คันดังกล่าวถือว่าเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนแล้ว ดังนั้นเมื่อแดงถูกฟ้องคดีและถูกศาลพิพากษาให้แดงชําระหนี้แต่แดงไม่มีเงินชําระ และปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขณะนั้น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนระหว่างแดงและเหลืองยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เฉพาะตัว ของแดงจึงไม่สามารถนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นได้

สรุป เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงนั้นไม่ได้

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดมาลาภรณ์พาณิชย์ มีนางมาลัยเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นางจินตนาเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์ ค้าขายเครื่องหมายประดับยศข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ เปิดดําเนินกิจการมาได้หลายปีแล้ว ต่อมาขาดเงินสดหมุนเวียน นางมาลัยจึงได้มอบหมายให้นางจินตนาไปกู้ยืมเงินจากนางสาวสินใจ จํานวน 2 แสนบาท เพื่อนํามาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัด แต่ก่อนที่หนี้เงินกู้จะถึงกําหนด ชําระ นางจินตนาได้โอนหุ้นของตนในห้างหุ้นส่วนจํากัดมาลาภรณ์พาณิชย์ให้แก่นางสมหมาย และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วน และนางสมหมายเข้าเป็นหุ้นส่วนแทนที่ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 ต่อมาห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ให้แก่นางสาวสินใจ

ดังนี้ นางสาวสินใจจะเรียกร้องให้นางจินตนารับผิดร่วมกับนางมาลัยได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1088 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน”

มาตรา 1095 วรรคแรก “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้าง ย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1088 วรรคแรก กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัด ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นก็จะต้องรับผิดใน บรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน และมีผลทําให้เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิที่จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดคนนั้นได้ แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน (ซึ่งถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 1095 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจินตนาซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ไปกู้ยืมเงิน มาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัดจากนางสาวสินใจตามที่ได้รับมอบหมายจากนางมาลัยซึ่งเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการ การกระทําของนางจินตนาถือว่าเป็นการสอดเข้ามาจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ดังนั้นนางจินตนาจึง ต้องรับในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคแรก และนางสาวสินใจ สามารถฟ้องร้องให้นางจินตนารับผิดในหนี้ดังกล่าวได้ แม้ว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นางจินตนาได้โอนหุ้นของตนในห้างหุ้นส่วนจํากัดให้แก่ นางสมหมาย และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่ นางจินตนาจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วน นางจินตนาก็จะต้องรับผิดในหนี้รายนี้ด้วย และต้องรับผิดเป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนตามมาตรา 1051, 1068 ประกอบกับมาตรา 1080 วรรคแรก ดังนั้นเมื่อ หนี้รายนี้ถึงกําหนด แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ให้แก่นางสาวสินใจ นางสาวสินใจย่อมสามารถ เรียกร้องให้นางจินตนารับผิดในหนี้ดังกล่าวร่วมกับนางมาลัยได้ เพราะนางจินตนาได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด ไปยังไม่เกิน 2 ปี

สรุป

นางสาวสินใจเรียกร้องให้นางจินตนารับผิดร่วมกับนางมาลัยได้

 

ข้อ 3. สมศักดิ์เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สินเกษตร จํากัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ค้าขายปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช อรทัยซึ่งเป็นภริยาของสมศักดิ์ได้เปิดร้านขายปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชเช่นเดียวกัน โดยอรทัยได้ซื้อปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชจากบริษัท สินเกษตร จํากัด มาจําหน่าย และบางครั้ง ก็ซื้อจากบริษัทอื่นมาจําหน่ายด้วย ปรีชากรรมการบริษัทอีกคนหนึ่งเห็นว่า อรทัยประกอบกิจการ เช่นเดียวกับกิจการของบริษัท และยังตั้งอยู่ในจังหวัดระยองเช่นเดียวกัน จึงกล่าวหาว่า สมศักดิ์ ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการค้าของบริษัท และต้องการให้บริษัทเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จากสมศักดิ์

ดังนี้ ถ้าสมศักดิ์มาปรึกษาท่านว่ากรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ ข้ออ้างของปรีชาจะถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ และสมศักดิ์จะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทหรือไม่ ให้ท่านแนะนําสมศักดิ์ด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1168 “ในอันที่จะประกอบกิจการของบริษัทนั้น กรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่อง อย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง

อนึ่ง ท่านห้ามมิให้ผู้เป็นกรรมการประกอบการค้าขายใด ๆ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัทนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าหุ้นส่วนไม่จํากัด ความรับผิดในห้างค้าขายอื่น ซึ่งประกอบกิจการมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและแข่งขันกับกิจการของบริษัท โดย มิได้รับความยินยอมของที่ประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้น

บทบัญญัติที่กล่าวมาข้างบนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนของกรรมการด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1168 วรรคสามและวรรคสี่ กฎหมายห้ามมิให้กรรมการและผู้แทนของ กรรมการประกอบการค้าขายใด ๆ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัทนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อรทัยซึ่งเป็นภริยาของสมศักดิ์ได้เปิดร้านปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช เช่นเดียวกับการประกอบกิจการค้าขายตามวัตถุประสงค์ของบริษัท สินเกษตร จํากัด และตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง เช่นเดียวกันนั้น เมื่ออรทัยเป็นเพียงภริยาของสมศักดิ์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ และมิได้เป็นผู้แทนของสมศักดิ์ ดังนั้นจะถือว่าสมศักดิ์ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัท ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของบริษัทไม่ได้ เพราะ ตามมาตรา 1168 วรรคสามนั้น ห้ามเฉพาะกรรมการของบริษัทเท่านั้น มิได้ห้ามภริยาของกรรมการแต่อย่างใด อีกทั้งลักษณะของการกระทําการค้าขายของอรทัยก็เป็นการซื้อสินค้าจากบริษัทฯ มาจําหน่ายจึงเป็นการให้ประโยชน์ แก่บริษัทฯ มิใช่ประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทฯ

ดังนั้นการที่ปรีชากรรมการบริษัทอีกคนหนึ่ง กล่าวหาว่าสมศักดิ์ประกอบกิจการแข่งขันกับ กิจการค้าของบริษัท และต้องการให้บริษัทเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากสมศักดิ์นั้น ข้ออ้างของปรีชาจึงไม่ถูกต้อง ตามหลักกฎหมาย และสมศักดิ์ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท

สรุป ถ้าสมศักดิ์มาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่สมศักดิ์ตามที่ได้อธิบายไว้ ดังกล่าวข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายแดงตั้งโรงสีข้าวอยู่แล้ว นายเขียวและนายขาวชวนนายแดงให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงสีข้าวอีกโรงสีหนึ่งนายแดงก็ตกลงแล้วจดทะเบียนให้นายเขียวเป็นผู้จัดการโรงสีข้าวของห้างหุ้นส่วนแต่ผู้เดียว ปรากฏต่อมาว่า โรงสีข้าวนายแดงขายดีส่วนโรงสีข้าวของห้างหุ้นส่วนขายไม่ดีถึงขาดทุนไป 1 ล้านบาท ดังนี้ ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายแดงได้อย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1066 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่น ซึ่งประกอบกิจการ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น เว้นไว้แต่จะได้รับคํายินยอม ของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นทั้งหมด

แต่ข้อห้ามเช่นว่ามานี้ ท่านว่าจะไม่พึงใช้ได้ ถ้าหากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายได้รู้อยู่แล้วในเวลา เมื่อลงทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ทํากิจการหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนอื่นอันมี วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน และในสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ทําไว้ต่อกันนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ถอนตัวออก”

มาตรา 1067 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดกระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา ก่อนนี้ไซร้ ท่านว่าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนนั้นชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรอันผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งห้างหุ้นส่วนได้รับเพราะเหตุนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายแดงได้ประกอบกิจการอันมีสภาพเป็น อย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1066 หรือไม่ เห็นว่า การที่นายแดงได้ตั้งโรงสีข้าวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนายเขียวและนายขาวได้ชวนนายแดงให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงสีข้าว อีกโรงสีหนึ่งซึ่งนายแดงได้ตกลงและได้จดทะเบียนให้นายเขียวเป็นผู้จัดการนั้น จะเห็นได้ว่าแม้นายแดงจะยังคง ประกอบกิจการโรงสีข้าวของตนต่อไปซึ่งเป็นกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน แต่เมื่อ นายเขียวและนายขาวผู้เป็นหุ้นส่วนก็รู้อยู่แล้วว่านายแดงได้ตั้งโรงสีข้าวอยู่ก่อนแล้ว และในสัญญาจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนนั้นก็ไม่ได้บังคับให้นายแดงเลิกกิจการ ดังนั้น จะถือว่าการกระทําของนายแดงเป็นการประกอบกิจการ แข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนไม่ได้ตามมาตรา 1066 วรรคสอง

และเมื่อไม่ถือว่านายแดงได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1066 วรรคแรก ดังนั้น ห้างหุ้นส่วนจะใช้สิทธิตามมาตรา 1067 วรรคแรก เพื่อเรียกร้องเอาผลกําไรหรือเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนใด ๆ แก่นายแดงไม่ได้เลย

สรุป ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายแดงเพื่อเรียกเอาผลกําไรที่นายแดงหาได้ทั้งหมด หรือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ไม่ได้เลย

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง มีนายเอและนายบีเป็นหุ้นส่วนกัน 2 คน โดยนายบีเป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดไว้ 25,000 บาท แต่ได้ส่งเงินไปแล้ว 15,000 บาท ต่อมา ห้างหุ้นส่วนจํากัด เอบี เอ็นจิเนียริง นั้น เป็นหนี้นายซี 100,000 บาท ดังนี้ นายชีจะฟ้องนายเอและนายบีให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัด ได้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1081 “ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดมาเรียกขานระคน เป็นชื่อห้าง”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดง ออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคล ภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1095 “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิ จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัด ความรับผิดได้เพียงจํานวนดังนี้ คือ…”

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา 1095 วรรคแรก ถ้าห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของ ห้างหุ้นส่วนจํากัด จะฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่ได้ จะฟ้องได้ก็แต่เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นบางกรณีที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แม้ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน เช่น กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเรียกขาน ระคนเป็นชื่อห้าง เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบีซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 1081 โดยยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง ดังนั้น นายบีจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก และอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องได้ แม้ ห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง ยังมิได้เลิกกัน

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง เป็นหนี้นายซี 100,000 บาท นายซีย่อมสามารถฟ้องนายเอหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และนายบีซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ให้ร่วมกันชําระหนี้ทั้งหมดให้แก่ตนได้ โดยจะฟ้องเฉพาะนายเอหรือนายบีคนหนึ่งคนใดหรือฟ้องทั้งสองคนให้ร่วมกัน รับผิดในจํานวนหนี้ทั้งหมดก็ได้

สรุป นายซีสามารถฟ้องนายเอและนายบีให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดจํานวน 100,000 บาท แก่ตนได้

 

ข้อ 3. บริษัท เอบีซี จํากัด จัดตั้งขึ้นเมื่อ 2555 มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท มีมูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีนายหนึ่งและนายสองเป็นกรรมการ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2555 บริษัทฯ มีเงินทุนเหลือเพราะ ล้มเลิกโครงการบางโครงการของบริษัทฯ ลง บรรดาผู้ถือหุ้นประสงค์ลดทุนของบริษัทฯ ให้น้อยลง ผู้ถือหุ้นจึงได้ประชุมกันเพื่อลงมติให้บริษัทฯ ลดมูลค่าของหุ้นลงเหลือหุ้นละ 50 บาท

ให้วินิจฉัยว่า บริษัทฯ จะต้องทําประการใด การกระทําดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1194 “การใดที่กฎหมายกําหนดให้ต้องทําโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติใน เรื่องนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนน”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

มาตรา 1224 “บริษัทจํากัดจะลดทุนของบริษัทลงด้วยลดมูลค่าแต่ละหุ้นให้ต่ำลง หรือลด จํานวนหุ้นให้น้อยลงโดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรดาผู้ถือหุ้นของบริษัท เอบีซี จํากัด ประสงค์จะลดทุนของบริษัทฯ ให้น้อยลง โดยให้ลดมูลค่าของหุ้นลงเหลือหุ้นละ 50 บาทนั้น การกระทําดังกล่าวคือการลดทุนโดยการลดมูลค่า ของหุ้นให้ต่ำลงนั้นเป็นการกระทําที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการลดทุนของบริษัทฯ นั้นตามกฎหมายสามารถ ลดได้ 2 วิธี คือ อาจจะลดมูลค่าของหุ้นให้ต่ำลง หรืออาจจะลดจํานวนหุ้นให้น้อยลงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตาม มาตรา 1224

แต่อย่างไรก็ดี การที่บริษัทฯ จะลดทุนของบริษัทฯ ลงไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม บริษัทฯ จะต้อง ดําเนินการโดยการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น และให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติเพื่อให้มีการลดทุน และมตินั้นจะต้อง เป็นมติพิเศษ กล่าวคือ ต้องให้ที่ประชุมใหญ่นั้นลงมติให้มีการลดทุนด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน (ตามมาตรา 1194 และมาตรา 1224) ถ้าที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติให้บริษัทฯ ลดทุนโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ย่อมถือว่ามติให้มีการลดทุนนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งอาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนมตินั้นได้ (ตามมาตรา 1195)

สรุป การที่บริษัทฯ ได้ลดทุนลงโดยการลดมูลค่าของหุ้นเหลือหุ้นละ 50 บาท นั้นชอบด้วย กฎหมาย แต่การลดทุนนั้น บริษัทฯ จะต้องใช้มติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1194 ประกอบมาตรา 1224 ดังกล่าวข้างต้น

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!