LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสุรพลได้ชอบพอกับ น.ส.หฤทัย ในวันปีใหม่นายสุรพลได้ให้สร้อยทอง 1 บาท แก่ น.ส.หฤทัย และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายสุรพลได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.หฤทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 500,000 บาท ต่อมานายสุรพลทราบว่า น.ส.หฤทัย ได้แอบอยู่กินกับนายชาติชาย นายสุรพลเห็นว่า น.ส.หฤทัยผิดสัญญาการหมั้นหมายกับตน จึงต้องการฟ้องเรียกสร้อยทอง 1 บาท แหวนเพชร และ เงิน 500,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุรพลได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.หฤทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และ เงิน 500,000 บาท นั้น ถือว่าการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะได้มีการส่งมอบของหมั้น ให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว แต่การที่นายสุรพลได้ให้สร้อยทองแก่ น.ส.หฤทัย ในวันปีใหม่นั้น สร้อยทองดังกล่าวไม่ถือว่า เป็นของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หา (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 521) ดังนั้น เมื่อเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ (มาตรา 1439)

และหากกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ชายคู่หมั้นย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชายได้ตามมาตรา 1442 แต่เหตุสําคัญที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีความสําคัญต่อชายคู่หมั้น ถึงขนาดไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น เช่น หญิงคู่หมั้นไปแอบอยู่กินกับชายอื่น เป็นต้น

ตามข้อเท็จจริง การที่ น.ส.หฤทัย ได้แอบอยู่กินกับนายชาติชายนั้นไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 แต่ถือเป็นกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นทําให้นายสุรพลไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ตามมาตรา 1442 ดังนั้น นายสุรพลจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและให้ น.ส.หฤทัยคืนของหมั้นคือ แหวนเพชร และเงิน 500,000 บาท ให้แก่นายสุรพลได้ แต่จะเรียกคืนสร้อยทองไม่ได้

สรุป นายสุรพลมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น และฟ้องเรียกคืนแหวนเพชร และเงิน 500,000 บาท ได้ แต่จะฟ้องเรียกคืนสร้อยทองไม่ได้

 

ข้อ 2 นายกมลพ่อหม้ายอายุ 52 ปี ได้จัดพิธีหมั้นกับ น.ส.ทับทิม อายุ 18 ปี ด้วยเงิน 1 ล้านบาท โดยบิดามารดาให้ความยินยอม และจะไปฮันนีมูนสองสัปดาห์แล้วกลับมาจดทะเบียนสมรส แต่เมื่อกลับมา น.ส.ทับทิมได้หลบหนีไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิดซึ่งชอบพอกัน แต่มีอายุมากกว่าเพียง 1 ปี โดยบิดามารดาไม่ทราบ นายกมลไม่พอใจต้องการฟ้องยกเลิกการสมรส และให้มาจดทะเบียนสมรสกับตน และหาก น.ส.ทับทิมตั้งครรภ์แล้วก่อนมาจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิด บุตรที่เกิดมาจะเป็นบุตรของใคร เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว บาท การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าว ในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1560 “บุตรเกิดระหว่างสมรสซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนภายหลังนั้นให้ถือว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกมลได้จัดพิธีหมั้นกับ น.ส.ทับทิมอายุ 18 ปี โดยบิดามารดาให้ ความยินยอมถูกต้องตามมาตรา 1435 วรรคแรก และมาตรา 1436 (1) และเมื่อมีการส่งมอบเงิน 1 ล้านบาท เป็นของหมั้น จึงถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ดังนั้น เมื่อมีการหมั้นแล้ว การที่ น.ส.ทับทิมไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิด จึงเป็นการผิดสัญญาหมั้น (ตามมาตรา 1439) ซึ่งนายกมลมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนและเรียกของหมั้นคืนจาก น.ส.ทับทิมได้ แต่นายกมลจะฟ้องให้ น.ส.ทับทิมทําการสมรสด้วยไม่ได้ตามมาตรา 1438 ที่กําหนดว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้

สําหรับการจดทะเบียนสมรสระหว่าง น.ส.ทับทิมกับนายสมคิด โดยบิดามารดาของ น.ส.ทับทิม ไม่ทราบนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1509 การสมรสจึงมีผลเป็นโมฆียะ ซึ่ง ตามมาตรา 1510 กําหนดให้ เฉพาะบิดามารดาเท่านั้นที่จะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้ ดังนั้นนายกมลจึงไม่มีสิทธิ ฟ้องให้ยกเลิกการสมรสระหว่าง น.ส.ทับทิมกับนายสมคิด

อย่างไรก็ตาม หากมีการฟ้องให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าว บุตรของ น.ส.ทับทิม ที่เกิดมาจะถือว่าเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรสซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนในภายหลัง โดยกฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของน.ส.ทับทิมกับนายสมคิดตามมาตรา 1560

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่านายกมลจะฟ้องยกเลิกการสมรส และฟ้องให้ น.ส.ทับทิมมาจดทะเบียน สมรสกับตนไม่ได้ และบุตรที่เกิดมาภายหลังศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสย่อมถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของนายสมคิดกับ น.ส.ทับทิม

 

ข้อ 3 นายสุกิจและนางรื่นฤดีเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายสุกิจได้ชักชวนนางรื่นฤดีให้ไปมีเพศสัมพันธ์เป็นกลุ่มกับกลุ่มคนที่รู้จักกัน แต่นางรื่นฤดีไม่ยินยอม ต่อมานายสุกิจได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.น้ำทองซึ่งเป็นครอบครัวที่รู้จักกันโดยคู่สมรสของ น.ส.น้ำทอง ก็รู้จักกับคู่สมรสของนายสุกิจ นางรื่นฤดีเห็นว่า ไม่ถูกต้องจึงต้องการฟ้องหย่า และเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ำทอง แต่นายสุกิจอ้างว่านางรื่นฤดีทราบเรื่องนี้ได้ยินยอมจึงฟ้องหย่าไม่ได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3) สามีหรือภริยาทําร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทําการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทํานั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน เกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคแรก “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุกิจได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.น้ำทอง ซึ่งเป็นครอบครัวที่รู้จักกันนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายสุกิจเป็นชู้หรือมีชู้กับภริยาผู้อื่นตามนัยมาตรา 1516 (1) แล้ว ดังนั้นนางรื่นฤดีย่อม สามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้ นายสุกิจจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นนางรื่นฤดีได้ยินยอมแล้วตามมาตรา 1517 วรรคแรกไม่ได้ เพราะจากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางรื่นฤดีได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจกับนายสุกิจแต่อย่างใด และนอกจากนี้นางรื่นฤดียังสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจสามีและ น.ส.น้ําทองผู้เป็นเหตุแห่งการ หย่านั้นได้เมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่ากันแล้วตามมาตรา 1523 วรรคแรก

และนอกจากนั้น การกระทําของนายสุกิจถือว่าเป็นการประพฤติชั่วทําให้นางรื่นฤดีได้รับ ความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516 (2) (ก) อีกด้วย ดังนั้นนางรื่นฤดีสามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้อีก เพราะเหตุดังกล่าวนี้ แต่นางรื่นฤดีจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ําทองไม่ได้ เพราะการฟ้องหย่า และสามารถเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) เท่านั้น

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่านางรื่นฤดี สามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้ เพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) และ (2) แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ำทองได้ก็แต่เฉพาะการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) เท่านั้น

 

ข้อ 4 นายสมิงกับนางลัดดาเป็นสามีภริยากัน วันหนึ่งนายสมิงได้เขียนสัญญาให้นางลัดดาสามารถจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (1) ได้เพียงลําพัง เพื่อให้นางลัดดามีความสะดวกในการทํานิติกรรม บิดานางลัดดาได้ให้เงิน 5 ล้านบาทแก่นางลัดดา และได้นําไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยมา 500,000 บาท นางลัดดามีสลากออมสินก่อนสมรส 1 ล้านบาท และโชคดีถูกรางวัล 2 ล้านบาท ในระหว่างสมรส วันหนึ่งนางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนาโดยเสน่หา และเอาเงินรางวัล 2 ล้านบาท ให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้ นายสมิงไม่เห็นด้วยจึงต้องการฟ้องเพิกถอน แต่นางลัดดาอ้างว่าทําได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคแรก “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน (3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ” มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคแรก “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การจัดการสินสมรสตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) นั้น สามีภริยาจะต้อง จัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ ตามมาตรา 1480 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม สามีภริยาอาจตกลงจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ก็ได้โดยทําเป็นสัญญาก่อนสมรสตามมาตรา 1476/1 วรรคแรก ประกอบมาตรา 1465 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมิงได้เขียนสัญญาให้นางลัดดาสามารถจัดการสินสมรสตาม มาตรา 1476 (1) ได้เพียงลําพังนั้น เมื่อไม่ได้ทําสัญญากันไว้ก่อนสมรสตามมาตรา 1465 วรรคแรก แต่ได้ทํา สัญญากันในระหว่างสมรส สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาก่อนสมรส แต่ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรส ดังนั้น สัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวจึงใช้บังคับไม่ได้ เพราะตามกฎหมายถ้าสามีภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่าง ไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคแรก)

ดังนั้น การที่นางลัดดาได้ทํานิติกรรมต่าง ๆ ตามอุทาหรณ์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสมิง นั้น นายสมิงจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

การที่นางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนาโดยเสน่หา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสมิงนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า บิดาของนางลัดดาได้ให้เงินโดยเสน่หาแก่นางลัดดา 5 ล้านบาท เงินดังกล่าวย่อมถือเป็นเงินส่วนตัวของนางลัดดาตามมาตรา 1471 (3) นางลัดดาย่อมมีอํานาจจัดการตามมาตรา 1473 แต่อย่างไรก็ตาม การที่นางลัดดานําเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 500,000 บาท เงินจํานวนนี้ย่อมถือเป็น สินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เพราะถือเป็นดอกผลของสินส่วนตัว ดังนั้น การที่นางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนา จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1474 (5) นายสมิงจึงสามารถฟ้องศาลให้เพิกถอนนิติกรรมได้ตาม มาตรา 1480 วรรคแรก

การที่นางลัดดาได้เอาเงินรางวัล 2 ล้านบาท ให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้นั้น เมื่อปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า นางลัดดามีสลากออมสินก่อนสมรส 1 ล้านบาท สลากออมสินจํานวนนี้ย่อมถือเป็นสินส่วนตัวตาม มาตรา 1471 (1) นางลัดดาย่อมมีอํานาจจัดการตามมาตรา 1473 และเมื่อปรากฏว่า นางลัดดาได้ถูกรางวัล 2 ล้านบาท ในระหว่างสมรส รางวัล 2 ล้านบาทนี้ ย่อมถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรส ได้มาระหว่างสมรส ดังนั้น การที่นางลัดดาได้เอาเงินรางวัล 2 ล้านบาทให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้จึงเป็นการ ฝ่าฝืนมาตรา 1476 (4) นายสมิงสามารถฟ้องศาลให้เพิกถอนนิติกรรมได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่า นายสมิงสามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมทั้ง 2 นิติกรรมดังกล่าวได้ ข้ออ้าง ของนางลัดดาที่อ้างว่าสามารถทําได้นั้น ฟังไม่ขึ้น

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายมานพทราบว่านางสมัยทะเลาะกับนายอํานวย (สามี) และได้ทําหนังสือหย่ากันเป็นที่เรียบร้อยนายมานพซึ่งหลงรักนางสมัยได้ทําสัญญาหมั้นนางสมัยโดยส่งมอบเงินให้ 200,000 บาท และจะให้อีก 200,000 บาท ในวันสมรส แต่ต่อมานายมานพได้รู้จักกับ น.ส.อรสา และเห็นว่าเหมาะสมกว่าจึงทําสัญญาหมั้น น.ส.อรสาด้วยการส่งมอบเงินให้ 200,000 บาท และจะให้อีก 200,000 บาท ในวันที่ ทําการสมรส นายมานพได้อ้างว่านางสมัยยังอยู่กินกับนายอํานวย จึงไม่ต้องการสมรสด้วย และขอเงิน 200,000 บาทคืน เพื่อนําไปมอบให้แก่ น.ส.อรสา แต่นางสมัยไม่คืนให้ นายมานพต้องการสมรสกับ น.ส.อรสา แต่นายมานพอ้างว่าไม่มีเงินให้ตามที่สัญญาไว้เนื่องจากนางสมัยไม่ยอมคืนให้ น.ส.อรสา จึงขอเลิกสัญญาโดยไม่คืนเงินให้ เช่นนี้ ทั้งสองกรณีท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรกและวรรคสอง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอน ทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางสมัยได้ทําหนังสือหย่ากับนายอํานวย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการหย่า ถือว่าการหย่ายังไม่สมบูรณ์ (มาตรา 1514 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1515) การที่นายมานพได้ทําสัญญาหมั้น กับนางสมัยในขณะที่หญิงยังมีคู่สมรส การสมรสจึงตกเป็นโมฆะ ชายจะเรียกทรัพย์สินคืนไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกา ที่ 1913/2505)

ดังนั้น นายมานพจะอ้างมาตรา 1442 ว่ามีเหตุสําคัญเกิดแก่หญิงคู่หมั้นเพื่อเรียกของหมั้นคืนไม่ได้

การที่นายมานพทําสัญญาหมั้นนางสาวอรสาด้วยเงิน 200,000 บาทนั้น ถือเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์แล้วตามมาตรา 1437 วรรคแรก ส่วนเงินที่ยังไม่ได้ส่งมอบอีก 200,000 บาท ไม่ใช่ของหมั้น (คําพิพากษา ฎีกาที่ 1087/2492) และการที่นายมานพไม่ให้ของหมั้นอีกส่วนหนึ่งตามที่ได้ตกลงทําสัญญากันไว้นั้น นางสาวอรสาถือว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นได้ตามมาตรา 1443 ดังนั้นนางสาวอรสา มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1443

สรุป

นายมานพจะอ้างมาตรา 1442 เพื่อเรียกของหมั้นคืนไม่ได้ ส่วนนางสาวอรสามีสิทธิอ้าง มาตรา 1443 เพื่อบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้น

 

ข้อ 2 นางสาวจันทร์อายุย่างเข้า 17 ปี ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา ให้หมั้นกับนายอาทิตย์มหาเศรษฐีแห่งประเทศไทย อายุ 80 ปี ด้วยแหวนเพชรมูลค่า 10 ล้านบาท เมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงมีการ จัดงานแต่งงานอย่างมโหฬาร หลังจากพิธีแต่งงานนางสาวจันทร์ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนายอังคาร โดยบิดามารดา ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างไร นายอาทิตย์โกรธมากจะเรียกแหวนเพชรคืนจาก นางสาวจันทร์ ดังนี้ (1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร และนายอาทิตย์เรียกแหวนคืนได้หรือไม่ด้วยเหตุผลใด

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอาทิตย์ และระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคาร มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว

การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์เป็นโมฆะตามมาตรา 1435 เพราะ นางสาวจันทร์ยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ แม้ว่าการหมั้นนั้นจะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของนางสาวจันทร์ ก็ตาม และเมื่อการหมั้นเป็นโมฆะ นายอาทิตย์ย่อมสามารถเรียกแหวนเพชรคืนได้ในฐานลาภมิควรได้

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์ถือว่าไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้มีการ จดทะเบียนสมรส (ตามมาตรา 1457) ส่วนการสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคารมีผลเป็นโมฆยะ เพราะนางสาวจันทร์ได้สมรสในขณะที่เป็นผู้เยาว์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาตามมาตรา 1454 ประกอบ มาตรา 1436

สรุป

(1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์เป็นโมฆะ นายอาทิตย์เรียกแหวนเพชรคืนได้ในฐานลาภมิควรได้

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์ไม่เกิดขึ้น ส่วนการสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคารมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3 นายเสือและนางปลาเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นางปลาได้ไปจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินในสวนมะม่วงที่อยู่ต่างจังหวัดของพี่ชายตามลําพังและไม่ได้ปรึกษานายเสือแต่อย่างใด โดยพี่ชายนางปลามีเงื่อนไขว่านางปลาจะต้องไปดูแลสวนมะม่วงด้วยตนเอง ต่อมานางปลาได้นําเงินเดือน ของตนจํานวน 50,000 บาท ไปให้นางหนูกู้ยืม โดยทําสัญญากู้ยืมเงินเป็นเวลา 1 ปี ระบุอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี นางปลาบอกกับนางหนูว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินส่วนตัวของนางปลาเอง โดยที่นายเสือ ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมนั้น เมื่อนายเสือทราบเรื่องภายหลัง นายเสือโกรธมาก เพราะไม่ต้องการให้นางปลาไปดูแลสวนมะม่วงที่ต่างจังหวัด อีกทั้งนายเสือยังทราบมาจากเพื่อน ๆ ว่านางหนูไม่ยอมชําระหนี้เจ้าหนี้หลายราย ดังนี้นายเสือจะฟ้องศาลเพิกถอนการจดทะเบียนรับสิทธิ เก็บกินของนางปลาเเละสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การจัดการสินสมรสตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) นั้น สามีภริยาจะต้อง จัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางปลาได้จดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินในสวนมะม่วงของพี่ชายนั้น ไม่ใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับ ความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง นางปลาจึงสามารถจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินดังกล่าวได้โดยลําพังโดยไม่ต้อง ได้รับความยินยอมจากนายเสือแต่อย่างใดตามมาตรา 1476 วรรคท้าย ดังนั้นนายเสือจะฟ้องศาลเพื่อขอเพิกถอน การจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินของนางปลาไม่ได้

ส่วนเงินเดือนของนางปลาที่ได้มาระหว่างสมรสนั้น ถือเป็นสินสมรส ตามมาตรา 1474 (1) เมื่อนางปลาได้นําเงินเดือนของตนจํานวน 50,000 บาท ไปให้นางหนูกู้ยืมโดยทําสัญญากู้ยืมกันเป็นเวลา 1 ปี ระบุ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนั้น การให้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นสินสมรสนั้นเป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (4) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนายเสือไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม ในการให้กู้ยืมเงินดังกล่าว โดยหลักแล้วนายเสือย่อมมีสิทธิฟ้องศาลเพื่อให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินได้ตามมาตรา 1489 วรรคแรก

แต่เมื่อตามข้อเท็จจริงนั้นปรากฏว่า นางหนูซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําการโดยสุจริต เพราะนางหนู ไม่ทราบว่าเป็นสินสมรสเนื่องจากนางปลาบอกว่าเป็นเงินส่วนตัวของตน และนางหนูได้เสียค่าตอบแทนคือดอกเบี้ย ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน ดังนั้น นายเสือจึงฟ้องศาลเพื่อเพิกถอนสัญญาการกู้ยืมเงินตามมาตรา 1480 ไม่ได้

สรุป

นายเสือจะฟ้องศาลเพื่อเพิกถอนการจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินของนางปลาและสัญญา กู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่นายไก่เป็นคนเจ้าชู้ ทําให้นางไข่เกรงจะเสียชื่อเสียง จึงอนุญาตให้นางมะเมียะสาวใช้ทําหน้าที่ภริยาอีกหนึ่งหน้าที่ ต่อมานายไก่และนางมะเลี้ยะมีบุตรชายด้วยกัน คือ หนึ่ง นางไข่จึงหนีนายไก่ไปบวชชีเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วนายไก่ จึงรู้ว่าเมียหนีไปบวช

(1) นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ และนางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่

(2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นางไข่หนีนายไก่ไปบวชชีเป็นเวลาเกือบสองปีนั้น นายเก่ย่อมสามารถฟ้องหย่า นางไข่ได้ เพราะถือว่าเป็นกรณีที่นางไข่จงใจละทิ้งร้างนายไก่สามีไปเกินกว่า 1 ปี ตามมาตรา 1516 (4)

ส่วนการที่นายไก่มีภริยาน้อยอีกหนึ่งคนคือนางมะเมียะนั้น นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ เพราะการที่นายไก่ได้นางมะเมียะเป็นภริยาซึ่งถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) นั้น เข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1517 วรรคแรก กล่าวคือ นางไข่ได้ยินยอมและรู้เห็นเป็นใจด้วยกับการที่นายไก่ได้นางมะเมียะเป็นภริยา นางไข่จึงฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ไม่ได้

(2) เมื่อนายไก่และนางมะเมียะเป็นสามีและภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส จึงถือว่า เด็กชายหนึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ดังนั้นเด็กชายหนึ่งจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นางมะเมียะแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) นายไก่ฟ้องหย่านางไข่ได้ แต่นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(2) นายหนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางมะเมียะแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นางปูและนางปลาเป็นพี่น้องฝาแฝดเหมือน นางปูเป็นคู่รักกับนายกุ้ง โดยนายกุ้งไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่านางปูมีคู่แฝด ในวันจดทะเบียนสมรสนางปูติดสอบเข้ารับราชการ นางปลาก็เลยไปจดทะเบียนสมรสแทนเพราะนางปลาก็แอบรักนายกุ้งเช่นกัน เวลาผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์นายกุ้ง เพิ่งทราบว่าหญิงซึ่งตนอยู่กินร่วมกันนั้นมิใช่นางปูจึงโกรธมาก หนีนางปลาไปอยู่กินร่วมกัน ฉันสามีภริยากับนางหอย และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายกบ

(1) การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้ง มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) นางปลาจะฟ้องหย่านายกุ้งได้หรือไม่

(3) เด็กชายกบเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆยะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1503 “เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509″

มาตรา 1505 วรรคแรก “การสมรสที่ได้กระทําไปโดยคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสําคัญผิดตัวคู่สมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นางปลาสวมรอยทําการจดทะเบียนสมรสกับนายกุ้ง โดยที่นายกุ้งไม่ทราบว่า เป็นนางปลา แต่สําคัญผิดคิดว่าเป็นนางปู เพราะนางปูและนางปลาเป็นพี่น้องฝาแฝดกันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ นายกุ้งได้ทําการสมรสโดยสําคัญผิดตัวคู่สมรส ดังนั้น การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้งจึงเป็นโมฆยะตาม มาตรา 1505 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังไม่มี การฟ้องศาลให้พิพากษาเพิกถอนการสมรส จึงถือว่าการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง และถือว่านางปลาและนายกุ้ง ยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่ (มาตรา 1502)

2 การที่นายกุ้งไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางหอยนั้น ถือว่านายกุ้งยกย่องเลี้ยงดู หญิงอื่นฉันภริยา อันเป็นเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516(1) ดังนั้น นางปลาจึงฟ้องหย่านายกุ้งได้

3 ส่วนเด็กชายกบนั้น เมื่อเกิดจากนางหอยซึ่งมิได้ทําการสมรสกับนายกุ้ง ย่อมเป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนางหอยแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางหอย นับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้งมีผลเป็นโมฆียะ

(2) นางปลาจะฟ้องหย่านายกุ้งได้

(3) เด็กชายกบเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางหอยนับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

 

ข้อ 2 นายพิภพอายุ 23 ปี และบิดามารดาได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อุสา อายุ 16 ปี 10 เดือน ด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท ได้ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสอีก 1 ปีข้างหน้า เมื่อผ่านไปหนึ่งปี น.ส.อุสาได้รู้จักกับนายสําราญซึ่งเป็นเพื่อนกับนายพิภพซึ่งชอบพอกันจึงอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา และไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายพิภพตามที่ทําสัญญาหมั้นไว้ นายพิภพไม่พอใจจึงต้องการฟ้อง เรียกของหมั้นคืนและเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อุสา เช่นนี้ สามารถทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 412 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจํานวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืน เต็มจํานวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน”

มาตรา 413 “เมื่อทรัพย์สินอันจะต้องคืนนั้นเป็นอย่างอื่นนอกจากจํานวนเงิน และบุคคลได้รับไว้ โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นจําต้องคืนทรัพย์สินเพียงตามสภาพที่เป็นอยู่ และมิต้องรับผิดชอบในการที่ทรัพย์นั้น สูญหายหรือบุบสลาย แต่ถ้าได้อะไรมาเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อการสูญหายหรือบุบสลายเช่นนั้นก็ต้องให้ไปด้วย”

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายในเรื่องการหมั้นนั้น ชายและหญิงจะหมั้นกันได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว หากชายและหญิงทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีผลทําให้ การหมั้นนั้นเป็นโมฆะ (ตามมาตรา 1435) กล่าวคือ จะมีผลเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย และทั้งสองฝ่าย จะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยหากฝ่ายใดได้ทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งมาจะต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ มาใช้บังคับ คือมาตรา 412 และ 413

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิภพได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อุสานั้น แม้การหมั้นจะมีของหมั้น คือแหวนเพชร 1 วง และเงินอีก 200,000 บาท ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า น.ส.อุสายังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงถือว่าการหมั้นนั้นฝ่าฝืนมาตรา 1435 วรรคแรก และมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง น.ส.อุสาจึงต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมนั้น ซึ่งได้แก่ แหวนเพชรและเงินจํานวนดังกล่าวให้แก่นายพิภพ โดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ตามมาตรา 412 และ 413 ดังนั้น นายพิภพจึงฟ้องเรียกของหมั้น คืนจาก น.ส.อุสาได้ (ฎีกาที่ 3072/2547)

และเมื่อผ่านไป 1 ปี แม้ น.ส.อุสาจะมีอายุ 17 ปี 10 เดือนแล้วก็ตาม แต่เมื่อการหมั้นระหว่าง นายพิภพกับ น.ส.อุสามีผลเป็นโมฆะ และถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย ดังนั้น การที่ น.ส.อุสา ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายพิภพจึงไม่อาจเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ได้ นายพิภพจึงไม่อาจเรียก ค่าทดแทนจาก น.ส.อุสาตามมาตรา 1440 ได้

สรุป นายพิภพสามารถฟ้องเรียกของหมั้นคืนจาก น.ส.อุสาได้ แต่จะเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อุสาไม่ได้

 

ข้อ 3 นายชอบและนางพรเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายชอบได้ยกสร้อยเพชรที่นายชอบซื้อมาก่อนสมรสให้กับนางพร ต่อมานายซอบแอบไปคบกับนางสาวขวัญซึ่งเป็นเลขาของนายชอบ นายชอบเล่าเรื่องที่เคยให้สร้อยเพชรแก่นางพรให้นางสาวขวัญทราบ นางสาวขวัญบอกให้นายชอบไปขอ สร้อยเพชรจากนางพรคืนมาให้ตน ต่อมานางสาวขวัญได้บอกแก่เพื่อนร่วมงานของนายชอบว่าตน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายชอบแล้ว และนายชอบบอกว่าจะหย่ากับนางพรมาสมรสกับตน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายชอบจะบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางพรเพื่อที่จะเอาไปให้นางสาวขวัญได้หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางพรจะเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญ โดยที่นางพรไม่ประสงค์จะหย่ากับนายชอบได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจาก การเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาว ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายชอบยกสร้อยเพชรที่นายชอบมีมาก่อนสมรสอันเป็นสินส่วนตัวของนายชอบ ตามมาตรา 1471(1) ให้กับนางพร ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 นายชอบจึงมีสิทธิบอกล้าง การให้สร้อยเพชรกับนางพรในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปี นับแต่วันที่ขาดจากการเป็น สามีภริยากันก็ได้ เมื่อนายชอบบอกล้างการให้สร้อยเพชรกับนางพรแล้ว สร้อยเพชรก็จะเป็นสินส่วนตัวของ นายชอบ นายชอบก็มีอํานาจในการจัดการสร้อยเพชรนั้นได้ตามมาตรา 1473 นายชอบจึงมีสิทธิที่จะให้สร้อยเพชร ดังกล่าวแก่นางสาวขวัญได้

(ข) ส่วนการที่นางสาวขวัญบอกแก่เพื่อนร่วมงานของนายชอบว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง กับนายชอบแล้ว และนายชอบบอกว่าจะหย่ากับนางพรมาสมรสกับตนนั้น ถือได้ว่านางสาวขวัญแสดงตนโดยเปิดเผย ว่ามีความสัมพันธ์ในทํานองชู้สาวกับนายชอบแล้ว นางพรจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญตามมาตรา 1523 วรรคสองได้ โดยที่นางพรไม่ต้องหย่ากับนายชอบแต่อย่างใด

สรุป

(ก) นายซอบสามารถบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางพรเพื่อที่จะเอาไปให้นางสาวขวัญได้

(ข) นางพรสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญ โดยที่นางพรไม่ประสงค์จะหย่ากับนายชอบได้ ทั้งนี้ตามเหตุผลที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีบุตรด้วยกันจึงตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย มีพยานสองคน หลังจากนั้นนางไข่ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเป็ด การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ด มีผลในทางกฎหมาย อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล ”

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ การที่นายไก่ตกลงหย่ากับนางไข่ โดยการทําเป็น หนังสือหย่าลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีพยานสองคนลงลายมือชื่อเป็นพยานเรียบร้อยแล้วนั้น ถือเป็นการหย่า ที่ได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนหย่า การหย่าย่อมไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1515 และให้ถือว่านายไก่และนางไข่ยังคงเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย

2 การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายไก่และนางไข่ยังคง เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย การที่นางไข่ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเป็ด ในขณะที่ตนมีคู่สมรสคือนายไก่อยู่ จึงถือเป็นการสมรสซ้อนตามมาตรา 1452 และมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป

การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ไม่สมบูรณ์

การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ดมีผลเป็นโมฆะ

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสุธรรมทําสัญญาหมั้นนางสาวรัตนาด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท แต่ไม่มีเงินจึงทําสัญญากู้จํานวน 200,000 บาท ไว้ให้ยึดถือแทน นางสาวรัตนาได้ลาออกจากงานไปอยู่กิน ฉันสามีภริยากับนายสุธรรมและต่อมาได้เตรียมจัดงานสมรสเสียค่าใช้จ่าย 100,000 บาท ในวัน งานสมรส นายสุธรรมได้ไปเข้าพิธีสมรสและจดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตา แต่นายสุธรรมก็ ไม่ทราบว่านางสาวเมตตาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เช่นนี้ นางสาวรัตนาจะฟ้อง เรียกเงิน 200,000 บาท และค่าทดแทนอื่นได้อีกหรือไม่ และการสมรสจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด

จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1449 “การสมรสจะกระทํามิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคล ซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุธรรมทําสัญญาหมั้นนางสาวรัตนาด้วยแหวนเพชร 1 วงนั้น ถือว่าการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะได้มีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว แต่ การทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวรัตนายึดถือไว้แทนเงินของหมั้นนั้น ไม่ถือว่าเป็นของหมั้น เพราะ ยังไม่มีการส่งมอบ ดังนั้นนางสาวรัตนาจึงไม่สามารถฟ้องเรียกร้องเงิน 200,000 บาทในภายหลังได้

การที่นายสุธรรมได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตานั้น แม้นายสุธรรมจะไม่ทราบว่า นางสาวเมตตาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ดังนี้ก็ไม่ทําให้การสมรสระหว่างนายสุธรรมกับ นางสาวเมตตาเป็นโมฆะ เพราะการสมรสจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1449 ประกอบมาตรา 1495 นั้น ต้องเป็นการสมรสที่ชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถเท่านั้น ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสุธรรมกับนางสาวเมตตาจึงมีผลสมบูรณ์

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสุธรรมได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตานั้น ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นกับนางสาวรัตนาตามมาตรา 1439 ดังนั้นนางสาวรัตนาจึงสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทน จากนายสุธรรมได้ โดยฟ้องเรียกค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและชื่อเสียงแห่งหญิงนั้นตามมาตรา 1440(1) และค่าทดแทนความเสียหายที่ตนได้ลาออกจากงานไปอยู่กินกับนายสุธรรมเนื่องจากคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส ตามมาตรา 1440(3) ส่วนการเตรียมการจัดงานสมรสจํานวน 100,000 บาทนั้นจะฟ้องเรียกไม่ได้

สรุป

นางสาวรัตนาจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาทไม่ได้ แต่ฟ้องเรียกค่าทดแทนความเสียหาย ต่อกายและชื่อเสียง และค่าทดแทนความเสียหายที่ตนได้ลาออกจากงานไปอยู่กินกับนายสุธรรมได้ ส่วนการสมรส ระหว่างนายสุธรรมกับนางสาวเมตตามีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 2 นายไพศาลได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวมณีวรรณจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ต่อมานางสาวมณีวรรณได้ตั้งครรภ์ นายไพศาลได้ยกที่ดิน 1 แปลง และรถยนต์ 1 คัน ให้โดยเสน่หา ถูกต้องตามกฎหมาย ในวันที่ 1 สิงหาคม นายไพศาลได้ปล่อยให้นางสาวมณีวรรณพ้นจากการข่มขู่ ไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ มารดานางสาวมณีวรรณไม่พอใจจึงฟ้องให้เพิกถอนการสมรสของ นางสาวมณีวรรณที่เป็นโมฆียะนั้น นางสาวมณีวรรณได้ประกาศขายที่ดินและรถยนต์ให้แก่นายสมัย โดยไม่ได้รู้จักกันแต่อย่างใด นายไพศาลเห็นว่า นางสาวมณีวรรณไม่รักตนจึงต้องการฟ้องเอาที่ดิน และรถยนต์คืน เช่นนี้จะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ และจะฟ้องเอาที่ดินและรถยนต์คืน ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามี ภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา” มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะ ไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไพศาลได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวมณีวรรณจดทะเบียนสมรส ด้วยนั้น การสมรสระหว่างนายไพศาลกับนางสาวมณีวรรณย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1507 วรรคแรก และเฉพาะคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1508 ดังนั้น มารดาของ นางสาวมณีวรรณจึงไม่สามารถฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้ แต่นางสาวมณีวรรณสามารถฟ้องให้เพิกถอน การสมรสได้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่พ้นจากการข่มขู่ตามมาตรา 1507 วรรคสอง

การที่นายไพศาลได้ยกที่ดินและรถยนต์ให้แก่นางสาวมณีวรรณโดยเสน่หานั้น ย่อมมีผลทําให้ ที่ดินและรถยนต์นั้นตกเป็นสินส่วนตัวของนางสาวมณีวรรณตามมาตรา 1471(3) ซึ่งนางสาวมณีวรรณมีสิทธิ จัดการได้เองโดยลําพังตามมาตรา 1473 ดังนั้นนางสาวมณีวรรณจึงสามารถนําเอาที่ดินและรถยนต์นั้นไปขาย ให้แก่นายสมัยได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายไพศาล

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่นายไพศาลได้ยกที่ดินและรถยนต์ให้แก่นางสาวมณีวรรณนั้น ถือว่า เป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 เพราะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่าง เป็นสามีภริยากัน ดังนั้นนายไพศาลมีสิทธิบอกล้างเรียกเอาที่ดินและรถยนต์คืนได้ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่ แต่จะต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต และเมื่อปรากฏว่านายสมัยได้ซื้อที่ดิน และรถยนต์ไปโดยสุจริต ดังนั้นนายไพศาลจึงฟ้องเรียกที่ดินและรถยนต์คืนไม่ได้

สรุป มารดานางสาวมณีวรรณจะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และนายไพศาลจะฟ้องเอา ที่ดินและรถยนต์คืนไม่ได้

 

ข้อ 3 นายนทีกับนางสาวสุดาเป็นสามีภริยากันต่อมานางสาวสุดาป่วยมากจึงต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลานานจึงยินยอมให้นายนทีร่วมประเวณีกับหญิงอื่นได้ นายนทีได้รู้จักกับนายสมส่วนซึ่งผ่าตัดแปลงเพศ มีหน้าตารูปร่างดี และเอาใจเก่ง ทําให้นายนทีเกิดความชอบพอไปร่วมหลับนอนกันเป็นประจํา และไปเที่ยวเตร่แสดงตัวโดยเปิดเผย นางสาวสุดาทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องหย่า และเรียกค่าทดแทน จากนายนที่และนายสมส่วน แต่นายนที่ต่อสู้ว่า นางสาวสุดายินยอม เช่นนี้ท่านเห็นอย่างไรเพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3) สามีหรือภริยาทําร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทําการ เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทํานั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน เกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคแรก “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนทีได้ร่วมหลับนอนกับนายสมส่วนเป็นประจํา และไปเที่ยวเตร่ แสดงตัวโดยเปิดเผยนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายนทีซึ่งเป็นสามีของนางสาวสุดาได้ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาและได้ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ ตามนัยของมาตรา 1516(1) แล้ว ดังนั้นนางสาวสุดาย่อมสามารถฟ้องหย่านายนทีได้ นายนทีจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นนางสาวสุดาได้ยินยอมแล้วตามมาตรา 1517 วรรคแรกไม่ได้ เพราะนางสาวสุดาได้ยินยอมให้ร่วมประเวณีกับหญิงอื่นเท่านั้น และนางสาวสุดาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก นายนทีสามีและจากนายสมส่วนผู้เป็นเหตุแห่งการหย่านั้นได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรก

และนอกจากนั้น การกระทําของนายนที่ถือว่าเป็นการประพฤติชั่วทําให้นางสาวสุดาได้รับ ความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516(2)(ก) เป็นการทรมานจิตใจนางสาวสุดาอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 1516(3) และถือว่านายนทีได้ทําการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงด้วยตามมาตรา 1516(6) ดังนั้นนางสาวสุดาสามารถฟ้องหย่านายนทีได้อีกเพราะเหตุตามมาตรา 1516(2), (3) และ (6) เพียงแต่ การฟ้องหย่าเพราะเหตุดังกล่าวนี้ นางสาวสุดาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายนทีและนายสมส่วนไม่ได้ เพราะการฟ้องหย่าและสามารถเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นการฟ้องหย่า เพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) เท่านั้น

สรุป

นางสาวสุดาสามารถฟ้องหย่านายนทีได้ เพราะเหตุตามมาตรา 1516(1), (2), (3) และ (6) แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายนทีและนายสมส่วนได้ก็แต่เฉพาะการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) เท่านั้น

 

ข้อ 4 นายอํานวยกับนางหรรษาเป็นสามีภริยากัน วันหนึ่งมารดานางหรรษาได้ให้สลากกินแบ่งรัฐบาล 10 ฉบับ แก่นางหรรษา เมื่อออกรางวัล นางหรรษาถูกรางวัล 6 ล้านบาท นางหรรษาจึงนําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อ ที่ดิน 1 แปลง และยกให้นางสาวรัชนีน้องสาว และนำเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อรถบรรทุกให้นายกนกเช่า เป็นเวลา 30 เดือน นายอํานวยไม่เห็นด้วยจึงต้องการฟ้องเพิกถอนการทํานิติกรรมนั้น แต่นางหรรษา เห็นว่าเป็นของตนจึงมีสิทธิทําได้ เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอม ของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มารดานางหรรษาได้ให้สลากกินแบ่งรัฐบาล 10 ฉบับแก่นางหรรษานั้น สลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวถือว่าเป็นสินส่วนตัวของนางหรรษา เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มา ระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 1471(3) แต่เมื่อมีการออกรางวัลและนางหรรษาถูกรางวัล 6 ล้านบาท เงิน 6 ล้านบาทถือว่าเป็นสินสมรส เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสตามมาตรา 1474(1)

เมื่อนางหรรษานําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน 1 แปลง ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อนางหรรษาจะยกที่ดินแปลงนั้นให้แก่นางสาวรัชนีน้องสาวโดยเสน่หา จึงต้องทําตามมาตรา 1476(5) กล่าวคือจะต้องได้รับความยินยอมจากนายอํานวย เมื่อนางหรรษาได้ยกที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่นางสาวรัชนี น้องสาวโดยเสน่หาโดยปราศจากความยินยอมของนายอํานวย นายอํานวยย่อมสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการให้นั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

ส่วนการที่นางหรรษาได้นําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อรถบรรทุกให้นายกนกเช่าเป็นเวลา 30 เดือนนั้น ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1476(3) เพราะแม้รถบรรทุกนั้นจะเป็นสินสมรสแต่ก็เป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น นางหรรษาจึงสามารถนําไปให้เช่าได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายอํานวย นายอํานวยจึงไม่สามารถ ฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าได้

สรุป

นายอํานวยสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้โดยเสน่หาได้ แต่จะฟ้องให้ศาล เพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าไม่ได้

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสุธรรมได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ น.ส.สมหญิง แต่ต่อมาได้ทะเลาะเบาะแว้งกันจึงตกลงทําหนังสือหย่าร้างกันโดยมีข้อตกลงว่าจะไม่เรียกร้องทรัพย์สินระหว่างกัน นายสุธรรมได้ทํา สัญญาหมั้นกับ น.ส.น้ำผึ้งด้วยแหวนเพชร 1 วง และได้อยู่กินร่วมกัน แต่ต่อมา น.ส.น้ำผึ้งได้ทราบว่า นายสุธรรมได้อยู่กินกับ น.ส.สมหญิงมาก่อนจึงไม่พอใจ น.ส.น้ำผึ้งจึงได้ทําสัญญาหมั้นกับนายดนัย ที่มาชอบพอด้วยแหวนเพชร 1 วง แต่เมื่อนายดนัยได้ทราบว่า น.ส.น้ำผึ้งได้หมั้นหมายและเคยอยู่กิน กับนายสุธรรมมาก่อนก็ไม่พอใจ จึงต้องการฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืน และฟ้องเรียกค่าทดแทนจากน.ส.น้ำผึ้ง และจากนายสุธรรมด้วย เช่นนี้ จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้นเป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น ของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

1 การที่นายสุธรรมได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ น.ส.สมหญิงโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันนั้น ถือว่าทั้งสองไม่ได้เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย (มาตรา 1457)

2 การที่นายสุธรรมได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.น้ำผึ้ง ด้วยแหวนเพชร 1 วง ถือว่าการหมั้น ระหว่างนายสุธรรมกับ น.ส.น้ำผึ้งมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก

3 การที่ น.ส.น้ำผึ้งได้ทราบว่านายสุธรรมได้เคยอยู่กินกับ น.ส.สมหญิงมาก่อนจึงไม่พอใจ และได้ทําสัญญาหมั้นกับนายดนัยด้วยแหวนเพชร 1 วงนั้น ถือว่าการหมั้นระหว่าง น.ส.น้ำผึ้งกับนายดนัยมีผลสมบูรณ์ ตามมาตรา 1437 วรรคแรก แม้ว่าในขณะที่หมั้นกับนายดนัยนั้น น.ส.น้ำผึ้งจะมีคู่หมั้นคือนายสุธรรมอยู่แล้วก็ตาม

ทั้งนี้เพราะตามมาตรา 1438 ได้บัญญัติไว้ว่า การหมั้นนั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ กล่าวคือ นายสุธรรมจะร้องขอให้ศาลบังคับให้ น.ส.น้ำผึ้งสมรสกับตนไม่ได้นั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนายดนัยได้ทราบว่า น.ส.น้ำผึ้งได้หมั้นหมายและเคยอยู่กินกับนายสุธรรม มาก่อน ดังนี้นายดนัยย่อมถือว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้นได้ ตามมาตรา 1442 และมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและให้ น.ส.น้ำผึ้งคืนของหมั้นแก่นายดนัยได้

แต่นายดนัยจะเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.น้ำผึ้งตามมาตรา 1444 ไม่ได้ และจะเรียกค่าทดแทน จากนายสุธรรมตามมาตรา 1445 ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะการที่นายสุธรรมได้อยู่กินร่วมกันกับ น.ส.น้ำผึ้งนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่นายดนัยจะได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.น้ำผึ้ง

สรุป

นายดนัยสามารถฟ้องเรียกแหวนหมั้นคืนได้เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นกับ น.ส.น้ำผึ้ง แต่จะเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.น้ําผึ้งและจากนายสุธรรมไม่ได้

 

ข้อ 2 บิดา มารดา นางสาวสุดสวย อนุญาตให้นางสาวสุดสวยซึ่งมีอายุย่างเข้า 17 ปีแล้วหมั้นกับนายสมยศรูปหล่อพ่อรวย ด้วยแหวนเพชรมูลค่า 10 ล้านบาท แม้นายสมยศจะอายุมากกว่าถึง 20 ปี หลังจาก นางสาวสุดสวยอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ จึงแอบไปจดทะเบียนสมรสกับนายหนุ่มซึ่งเป็นคู่รักกัน มาก่อนแล้ว และอายุอยู่ในวัยใกล้เคียงกันเรียนจบและมีงานทําแล้วอายุก็เพียง 25 ปีเท่านั้น การหมั้นระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายสมยศ การสมรสระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายหนุ่มมีผล ในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอัน เป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การ สมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การหมั้นระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายสมยศ

การที่นางสาวสุดสวยหมั้นกับนายสมยศนั้น แม้การหมั้นจะมีของหมั้นคือแหวนเพชร มูลค่า 10 ล้านบาท และได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของนางสาวสุดสวยตามมาตรา 1436 และมาตรา 1437 วรรคแรกก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขณะหมั้นนั้นนางสาวสุดสวยยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงถือว่า การหมั้นนั้นฝ่าฝืนมาตรา 1435 ดังนั้นการหมั้นระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายสมยศจึงมีผลเป็นโมฆะ

2 การสมรสระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายหนุ่ม

การที่นางสาวสุดสวยได้จดทะเบียนสมรสกับนายหนุ่มในขณะที่นางสาวสุดสวยมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์นั้น ถือว่าในขณะสมรสนางสาวสุดสวยยังเป็นผู้เยาว์อยู่ เมื่อการสมรสนั้นไม่ได้รับความยินยอม จากบิดามารดาของนางสาวสุดสวย จึงถือว่าการสมรสนั้นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 การสมรสระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายหนุ่มจึงมีผลเป็นโมฆี่ยะตามมาตรา 1509

สรุป การหมั้นระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายสมยศเป็นโมฆะ

การสมรสระหว่างนางสาวสุดสวยกับนายหนุ่มเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3 นายเพชรและนางพลอยเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายเพชรทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายธงจํานวน 50,000 บาท โดยนางพลอยลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น นายเพชรได้นําเงิน ดังกล่าวไปใช้จ่ายในการพานางสาวแหวนผู้หญิงที่นายเพชรแอบคบอยู่ไปเที่ยวต่างประเทศ ต่อมา นายเพชรทําสัญญาค้ำประกันการเข้าทํางานของนางสาวแหวนกับบริษัทแห่งหนึ่ง หลังจากนั้น นางพลอยทราบเรื่องทั้งหมด นางพลอยโกรธมาก ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) หนี้ที่นายเพชรได้ไปทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายธง จํานวน 50,000 บาทเป็นหนี้ประเภทใดของครอบครัว และใครจะต้องรับผิดในหนี้นั้น

(ข) นางพลอยจะฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกันการเข้าทํางานของนางสาวแหวนได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเพชรได้ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายธง จํานวน 50,000 บาท โดยนายเพชรได้นําเงิน ดังกล่าวไปใช้จ่ายในการพานางสาวแหวนผู้หญิงที่นายเพชรแอบคบอยู่ไปเที่ยวต่างประเทศนั้น ถือว่าเป็นหนี้ ที่นายเพชรก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นางพลอยได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น ถือได้ว่านางพลอยได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมที่นายเพชรและนางพลอยจะต้องรับผิด ร่วมกันตามมาตรา 1490(4)

(ข) การที่นายเพชรได้ทําสัญญาค้ำประกันการเข้าทํางานของนางสาวแหวนนั้น ไม่ใช่นิติกรรมที่ เกี่ยวข้องกับสินสมรสแต่อย่างใดอย่างหนึ่งจึงไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 ที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นนางพลอยจึงฟ้องศาลเพื่อขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกัน การเข้าทํางานของนางสาวแหวนไม่ได้ (มาตรา 1480 วรรคแรก)

สรุป

(ก) การที่นายเพชรทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายธง 50,000 บาท เป็นหนี้ร่วมที่นายเพชร และนางพลอยต้องรับผิดร่วมกัน

(ข) นางพลอยจะฟ้องศาลขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกันการเข้าทํางานของนางสาวแหวน ไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานางไข่จับได้ว่านายไก่และนางมะเมียะสาวใช้ร่วมประเวณีกันเป็นอาจิณ นายไก่และนางมะเมียะก็ขออภัยนางไข่ก็ให้อภัย และคิดว่า ดีเหมือนกันสามีไม่ไปเหลวไหลนอกบ้าน จึงยินยอมให้มีความสัมพันธ์เช่นเดิมต่อไปได้ ต่อมา นางมะเมียะตั้งครรภ์นายไก่ยิ่งหลงรักนางมะเมียะมากยิ่งขึ้น และยกย่องให้นางมะเมียะเป็นภริยา อีกคนหนึ่ง เมื่อนางมะเมียะคลอดบุตรแล้วทําให้นางไข่โกรธมาก ตามพฤติกรรมข้างต้น นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ และเด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยก เป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1518 “สิทธิฟ้องหย่าย่อมหมดไปในเมื่อฝ่ายที่มีสิทธิฟ้องหย่าได้กระทําการอันแสดง ให้เห็นว่าได้ให้อภัยในการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดสิทธิฟ้องหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ได้ร่วมประเวณีกับนางมะเมียะเป็นอาจิณนั้นถือว่า เป็นเหตุฟ้องหย่าที่นางไข่สามารถฟ้องหย่านายไกได้ตามมาตรา 1516(1) แต่เมื่อนางไข่ได้ให้อภัยในการกระทําของ นายไก่ที่ทํามาแล้ว สิทธิฟ้องหย่ายอมหมดไปตามมาตรา 1518

และในกรณีที่นางไข่ได้ยินยอมให้นายไก่มีความสัมพันธ์กับนางมะเมียะต่อไปนั้นถือว่านางไข่ รู้เห็นเป็นใจ หรือยินยอมให้นายไก่สามีร่วมประเวณีกับนางมะเมียะได้ถึงเป็นอาจิณ นางไข่ก็จะฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตามการที่นายไก่ได้ยกย่องให้นางมะเมียะเป็นภริยาอีกคนนั้น นางไข่ถือว่า เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516(1) เพราะการที่นางไข่ได้ยินยอมให้นายไก่สามีร่วมประเวณีกับนางมะเมียะนั้น มิได้หมายความว่านางไข่ได้ยินยอมให้นายไก่ยกย่องให้นางมะเมียะเป็นภริยาอีกคนแต่อย่างใด

ส่วนเด็กนั้นเมื่อเกิดจากนางมะเมียะซึ่งมิได้สมรสกับนายไก่ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางมะเมียะแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางมะเมียะนับตั้งแต่คลอด และอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

นางไข่สามารถฟ้องหย่านายไก่ได้ด้วยเหตุที่นายไก่ยกย่องนางมะเมียะเป็นภริยาและ เด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางมะเมียะนับแต่เมื่อคลอดและอยู่รอดเป็นทารก

 

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1 นายสมคิดได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อรสา ด้วยแหวนเพชร 1 วง และให้สินสอดแก่บิดาของ น.ส.อรสาเป็นจํานวนเงินสองแสนบาท โดย น.ส.อรสาได้รู้จักและทราบดีว่านายสมคิดได้อยู่กินกับ น.ส.อรทัย มาก่อน แต่ก็เลิกรากันไป น.ส.อรสาได้ลาออกจากงานเพราะได้วางแผนว่าจะย้ายไปอยู่กินกับนายสมคิด ที่จังหวัดแพร่ แต่ต่อมา น.ส.อรสาทราบว่านายสมคิดได้กลับไปเที่ยวเตร่หลับนอนกับ น.ส.อรทัยอีก น.ส.อรสาไม่ต้องการสมรสด้วย ได้บอกเลิกสัญญาหมั้น แต่นายสมคิดอ้างว่า น.ส.อรสาทราบอยู่แล้ว ก่อนการทําสัญญาหมั้นถ้าไม่ทําการสมรสจะฟ้องฐานผิดสัญญาหมั้น แต่ น.ส.อรสาก็ต้องการฟ้อง เรียกค่าทดแทนจากนายสมคิด และ น.ส.อรทัยด้วยเช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุผลใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่าง ร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น ของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมคิดได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อรสาด้วยแหวนเพชร 1 วงนั้น เมื่อมีการส่งมอบแหวนหมั้นให้แก่หญิงแล้ว การหมั้นย่อมสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยมีดังนี้ คือ

1 น.ส.อรสาไม่ต้องการสมรสกับนายสมคิด จะทําได้หรือไม่

การที่นายสมคิดได้กลับไปเที่ยวเตร่หลับนอนกับ น.ส.อรทัยอีก ถือได้ว่ามีเหตุสําคัญ อันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นตามมาตรา 1443 ดังนั้น น.ส.อรสาจึงมีสิทธิบอกเลิก สัญญาหมั้น เพื่อจะได้ไม่ต้องสมรสกับนายสมคิดได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้นให้แก่นายสมคิด

2 น.ส.อรสาต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมคิด จะทําได้หรือไม่

การที่นายสมคิดได้กลับไปเที่ยวเตร่หลับนอนกับ น.ส.อรทัยอีกนั้น แม้จะเป็นการกระทํา ซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทําชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1444 ที่จะต้องทําให้ นายสมคิดต้องรับผิดใช้ค่าทดแทนแก่ น.ส.อรสา ดังนั้น น.ส.อรสาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมคิดไม่ได้

3 น.ส.อรสาต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อรทัย จะทําได้หรือไม่

การที่ น.ส.อรทัยได้รู้จักกับ น.ส.อรสาจึงน่าจะได้รู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นระหว่าง นายสมคิดกับ น.ส.อรสาแล้ว เมื่อ น.ส.อรทัยได้หลับนอน (ร่วมประเวณี) กับนายสมคิด น.ส.อรสาจึงมีสิทธิฟ้อง เรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อรทัยผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้นของตนได้เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตาม มาตรา 1443 แล้ว (มาตรา 1445)

สรุป

น.ส.อรสาสามารถบอกเลิกสัญญาหมั้นเพื่อไม่ต้องสมรสกับนายสมคิดได้ โดยจะฟ้อง เรียกค่าทดแทนจากนายสมคิดไม่ได้ แต่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อรทัยได้

 

ข้อ 2 นายจันทร์และนายอังคารเป็นฝาแฝดเหมือน นายจันทร์เป็นคู่รักกับนางเสาร์ ต่อมาตกลงแต่งงานกันในวันสมรสนายจันทร์ติดภารกิจด่วน นายอังคารก็สวมรอยมาจดทะเบียนสมรสกับนางเสาร์ อาทิตย์ถัดมานางเสาร์ทราบโมโห จึงไปจดทะเบียนสมรสกับนายอาทิตย์คู่รักอีกคนหนึ่งทันที

(1) การสมรสระหว่างนายอังคารและนางเสาร์

(2) การสมรสระหว่างนางเสาร์และนายอาทิตย์

มีผลในทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆยะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1505 วรรคแรก “การสมรสที่ได้กระทําไปโดยคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสําคัญผิดตัวคู่สมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายอังคารได้สวมรอยทําการจดทะเบียนสมรสกับนางเสาร์ โดยที่นางเสาร์ไม่ทราบว่า เป็นนายอังคาร แต่สําคัญผิดว่าเป็นนายจันทร์เพราะนายจันทร์และนายอังคารเป็นฝาแฝดกันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณี ที่นางเสาร์ได้ทําการสมรสโดยสําคัญผิดตัวคู่สมรส ดังนั้นการสมรสระหว่างนายอังคารและนางเสาร์จึงเป็นโมฆยะ ตามมาตรา 1505 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังไม่มี การฟ้องให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสนั้น ถือว่าการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง และถือว่านายอังคารและนางเสาร์ ยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่ (มาตรา 1502)

(2) การที่นางเสาร์ไปจดทะเบียนสมรสกับนายอาทิตย์ในขณะที่ตนยังเป็นภริยาของนายอังคาร จึงถือว่านางเสาร์ได้ทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ (เป็นการสมรสซ้อน) ดังนั้นการสมรสระหว่างนางเสาร์ และนายอาทิตย์จึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ประกอบกับมาตรา 1495

สรุป

(1) การสมรสระหว่างนายอังคารและนางเสาร์มีผลเป็นโมฆียะ

(2) การสมรสระหว่างนางเสาร์และนายอาทิตย์มีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายกล้าและนางช้อยเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย หลังจากสมรสนายกล้าได้ให้สร้อยเพชรที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลของนายกล้าให้แก่นางช้อย ห้าปีต่อมานายกล้าไปหลงรักนางสาวพลอย นายกล้าได้มาขอสร้อยเพชรคืนจากนางข้อยเพื่อที่นายกล้าจะนําไปให้นางสาวพลอย แต่นางช้อย ไม่ยอมคืนให้นายกล้า ต่อมานายกล้าได้ไปกู้ยืมเงินจากนายรงค์ซึ่งเป็นคุณลุงของนางช้อยจํานวน 500,000 บาท โดยนางช้อยไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด นายกล้านำเงิน ทั้งหมดไปซื้อรถยนต์ให้กับนางสาวพลอย หลังจากนั้นนายกล้าไม่ยอมคืนเงินแก่นายรงค์ นายรงค์ จึงได้มาทวงเงินที่นายกล้ายืมจากนางช้อย นางช้อยรับปากนายรงค์ด้วยวาจาว่าจะร่วมกันกับนายกล้า ผ่อนชําระเงินคืนให้กับนายรงค์เพราะเกรงใจนายรงค์ ต่อมานางช้อยโกรธมาก เมื่อทราบว่านายกล้า นําเงินที่กู้ยืมมาไปซื้อรถยนต์ให้นางสาวพลอย นางช้อยจึงปฏิเสธไม่ยอมร่วมกับนายกล้าชําระเงินคืน แก่นายรงค์ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายกล้าจะบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางช้อยเพื่อที่จะนําไปให้นางสาวพลอยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) นางช้อยจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 500,000 บาท ที่นายกล้ายืมมาจากนายรงค์หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามี ภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย

(ก) การที่นายกล้าให้สร้อยเพชรที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลของนายกล้าอันเป็นสินส่วนตัว ตามมาตรา 1471(1) ให้กับนางช้อยนั้น ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ดังนั้นนายกล้าจึงมีสิทธิ บอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันได้ และเมื่อนายกล้าได้บอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว สร้อยเพชรก็จะกลับมาเป็นสินส่วนตัวของนายกล้า นายกล้า จึงมีสิทธิจัดการสร้อยเพชรโดยจะเอาไปให้นางสาวพลอยได้ตามมาตรา 1473

(ข) การที่นายกล้าได้ไปกู้ยืมเงินจากนายรงค์ซึ่งเป็นคุณลุงของนางช้อยจํานวน 500,000 บาท โดยนายกล้านําเงินทั้งหมดไปซื้อรถยนต์ให้กับนางสาวพลอยนั้น หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่นายกล้าก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ ของตนฝ่ายเดียว แต่การที่นางช้อยได้รับปากนายรงค์ด้วยวาจาว่าจะร่วมกันกับนายกล้าผ่อนชําระเงินคืนให้กับ นายรงค์นั้น ถือได้ว่านางช้อยได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว และกฎหมายก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องให้สัตยาบัน โดย การทําเป็นหนังสือแต่อย่างใด ดังนั้นหนี้ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นหนี้ร่วมที่นางช้อยจะต้องรับผิดร่วมกันกับนายกล้า ตามมาตรา 1490(4)

สรุป

(ก) นายกล้าสามารถบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางช้อยเพื่อที่จะนําไปให้นางสาวพลอยได้

(ข) นางช้อยจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 500,000 บาท ที่นายกล้ายืมมาจากนายรงค์

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่นางไข่ชอบไปคบหาสมาคมกับนายเป็ดเพื่อนบ้าน ต่อมานางไข่คลอดบุตร นายไก่ก็กล่าวหาประจําว่าเป็นลูกชู้ ทําให้นางไข่น้อยใจอยู่เสมอ ต่อมาไม่นานนางไข่หายไปจากบ้านไม่มีใครพบเห็นตัวหรือได้ข่าว นายไก่ร้องขอต่อศาลให้มีคําสั่งว่า นางไข่สาบสูญ และศาลสั่งตามคําขอ หลังจากนั้นนายไก่ก็นํานางแมวมาอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา

(1) บุตรที่นางไข่คลอดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

(2) ถ้านางไข่กลับมาจะฟ้องหย่านายไก่ตามมาตรา 1516(1) ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(5) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ…”

มาตรา 1536 วรรคแรก “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

วินิจฉัย

(1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางไข่คลอดบุตรในขณะที่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนายไก่ ดังนั้นบุตรที่นางไข่คลอดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับตั้งแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารกตามมาตรา 1536 วรรคแรก

(2) การที่นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และต่อมานางไข่ได้ ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้น มิได้ทําให้การสมรสระหว่างนายไก่และนางไข่สิ้นสุดลงแต่อย่างใด เป็นแต่เพียง ทําให้นายไก่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่านางไข่ได้เท่านั้น (มาตรา 1516(5) และมาตรา 1501)

ดังนั้นการที่นายไก่ได้นํานางแมวมาอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา ถือว่านายไก่อุปการะเลี้ยงดู ยกย่องหญิงอื่นเป็นภริยาตามมาตรา 1516(1) นางไข่จึงสามารถฟ้องหย่านายไก่ได้

สรุป

(1) บุตรที่นางไข่คลอดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

(2) นางไข่สามารถฟ้องหย่านายไก่ตามมาตรา 1516(1) ได้

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสําเภาทําสัญญาหมั้น น.ส.นภาพรด้วยแหวนเพชร 1 วง ต่อมาได้ทราบว่า น.ส.นภาพรมีปัญหาทางร่างกายไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ นายสําเภาจึงอ้างเป็นเหตุสําคัญขอบอกเลิกสัญญาหมั้น และนายสําเภาได้ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ดวงตาแต่มาทราบภายหลังว่ามารดาของ น.ส.ดวงตา เป็นน้องสาวของบิดานายสําเภา บิดามารดาของนายสําเภาเห็นว่าไม่ถูกต้องจึงต้องการฟ้องศาล เช่นนี้ น.ส.นภาพรจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสําเภาได้หรือไม่ และการสมรสระหว่างนายสําเภากับ น.ส.ดวงตา มีผลเป็นอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอัน เป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1450 “ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วม บิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทําการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายโลหิต โดยไม่คํานึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า น.ส.นภาพรจะฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนายสําเภาได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสําเภาได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.นภาพรด้วยแหวนเพชร 1 วง นั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว ย่อมเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก ดังนั้น หาก ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ (มาตรา 1439)

อย่างไรก็ตาม หากกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ชายคู่หมั้นย่อมมีสิทธิบอกเลิก สัญญาหมั้นได้ตามมาตรา 1442 แต่เหตุสําคัญที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีความสําคัญต่อชายคู่หมั้นถึงขนาดไม่สมควร สมรสกับหญิงนั้น เช่น หญิงคู่หมั้นเกิดอุบัติเหตุขาขาดทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถร่วมหลับนอนกับตนได้ เป็นต้น

ตามข้อเท็จจริง การที่นายสําเภาทราบว่า น.ส.นภาพรมีปัญหาทางร่างกายไม่สามารถ ตั้งครรภ์ได้เพียงเท่านี้นายสําเภาจะอ้างเป็นเหตุสําคัญขอบอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 ไม่ได้ เพราะเหตุ ดังกล่าวยังไม่สําคัญถึงขนาดที่นายสําเภาไม่สมควรสมรสกับ น.ส.นภาพร ดังนั้น เมื่อนายสําเภาได้จดทะเบียน สมรสกับ น.ส.ดวงตาจึงเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 น.ส.นภาพรจึงสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทน ความเสียหายต่อชื่อเสียงของตนจากนายสําเภาได้ตามมาตรา 1440(1)

และประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า การสมรสระหว่างนายสําเภากับ น.ส.ดวงตาจะ มีผลเป็นอย่างไร เห็นว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1450 และจะตกเป็นโมฆะนั้น จะต้องเป็นการสมรสกันระหว่าง ญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา หรือเป็นการสมรสกันระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดา หรือมารดา ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามารดาของ น.ส.ดวงตามีฐานะเป็นอาของนายสําเภา น.ส.ดวงตากับ นายสําเภาจึงมิได้เป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมา หรือเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมแต่บิดา หรือมารดาเดียวกันแต่อย่างใด ดังนั้นการสมรสระหว่างนายสําเภากับ น.ส.ดวงตาจึงไม่เป็นการฝ่าฝืน มาตรา 1450 และการสมรสมีผลสมบูรณ์

สรุป น.ส.นภาพรจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสําเภาได้ และการสมรสระหว่างนายสําเภา กับ น.ส.ดวงตามีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 2 น.ส.นิสาจดทะเบียนสมรสกับนายร่าเริง โดยไม่ทราบว่านายร่าเริงมีภริยาโดยชอบอยู่ก่อนแล้วนายร่าเริงทํางานได้รับค่าจ้างเดือนละ 50,000 บาท และให้ น.ส.นิสาลาออกจากงานโดยนายร่าเริง ให้เงิน น.ส.นิสาใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ภายหลังการสมรส 5 เดือน น.ส.นิสาทราบความจริง ว่านายร่าเริงมีภริยาแล้วก็เสียใจมาก น.ส.นิสาได้กลับไปคืนดีกับนายสุภาพเพื่อนเก่าที่ชอบพอกัน จนตกลงจดทะเบียนสมรสกัน และได้ยื่นฟ้องศาลให้การสมรสกับนายร่าเริงมีผลเป็นโมฆะด้วย ถ้า ในระหว่างการสมรสของ น.ส.นิสากับนายร่าเริง นายร่าเริงซื้อสลากกินแบ่งได้รับรางวัล 2 ล้านบาท ส่วน น.ส.นิสามีสลากออมสินก่อนสมรส 2 แสนบาท แต่มาได้รางวัลระหว่างสมรส 4 ล้านบาท เช่นนี้ ก่อนที่ศาลมีคําพิพากษาและภายหลังที่ศาลมีคําพิพากษา จะมีผลต่อทรัพย์สินต่าง ๆทั้งหมดอย่างไร และการสมรสมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1497 “การสมรสที่เป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนมาตรา 1452 บุคคลผู้มีส่วนได้เสียคนใด คนหนึ่งจะกล่าวอ้างขึ้นหรือจะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะ เห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

มาตรา 1499 วรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1452 ไม่ทําให้ชายหรือ หญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสก่อนที่ชายหรือหญิงนั้นรู้ถึงเหตุที่ทําให้การสมรสเป็นโมฆะ แต่การสมรสที่เป็นโมฆะดังกล่าว ไม่ทําให้คู่สมรสเกิดสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ น.ส.นิสาจดทะเบียนสมรสกับนายร่าเริง โดยที่นายร่าเริงมีภริยา โดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้วนั้น ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1452 การสมรสระหว่าง น.ส.นิสากับนายร่าเริงจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 และเมื่อ น.ส.นิสาได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายสุภาพ การสมรสจึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1497 ไม่ถือว่าเป็นการสมรสซ้อน เพราะการสมรสครั้งแรกตกเป็นโมฆะแล้ว

และการที่ น.ส.นิสาได้ยื่นฟ้องศาลให้การสมรสกับนายร่าเริงมีผลเป็นโมฆะนั้น ก่อนที่ศาลจะ มีคําพิพากษาและภายหลังที่ศาลมีคําพิพากษาจะมีผลต่อทรัพย์สินต่าง ๆ ทั้งหมดของ น.ส.นิสาและนายร่าเริงดังนี้คือ

1 เงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเดือนละ 20,000 บาท ที่ น.ส.นิสาได้รับจากนายร่าเริงระหว่าง การสมรสนั้นตกเป็นของ น.ส.นิสา และเมื่อศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ น.ส.นิสาไม่ต้องคืนให้กับ นายร่าเริงตามมาตรา 1498 เพราะ น.ส.นิสาทําการสมรสกับนายร่าเริงโดยสุจริต คือ ไม่ทราบว่านายร่าเริงมีคู่ สมรสอยู่ก่อนแล้ว จึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1499 วรรคสอง แต่ น.ส.นิสาจะได้รับการคุ้มครองเพียง ก่อนที่จะรู้ถึงเหตุดังกล่าวเท่านั้น

2 เงินเดือนและรางวัลจากสลากกินแบ่ง 2 ล้านบาทของนายร่าเริง ที่นายร่าเริงได้รับมา ในระหว่างสมรสนั้น ถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474(1) แต่เมื่อการสมรสมีผลเป็นโมฆะ จึงไม่ก่อให้เกิด ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะแล้ว เงินเดือนของนายร่าเริงและรางวัล 2 ล้านบาทดังกล่าวจึงกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของนายร่าเริงตามมาตรา 1498 วรรคสอง

3 สลากออมสินที่ น.ส.นิสามีอยู่ก่อนสมรส 2 แสนบาท ถือเป็นสินส่วนตัวของ น.ส.นิสา ตามมาตรา 1471(1) ส่วนรางวัลจากสลากออมสิน 4 ล้านบาทนั้น น.ส.นิสาได้รับมาในระหว่างการสมรสจึงถือเป็น สินสมรสตามมาตรา 1474(1) และเมื่อการสมรสมีผลเป็นโมฆะ ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่าง สามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคแรก ดังนั้น เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะแล้ว สลากออมสิน 2 แสนบาท และรางวัลจากสลากออมสิน 4 ล้านบาท จึงกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของ น.ส.นิสาตามมาตรา 1498 วรรคสอง

สรุป การสมรสระหว่าง น.ส.นิสากับนายร่าเริงมีผลเป็นโมฆะ และก่อนที่ศาลจะมีคําพิพากษา และภายหลังที่ศาลมีคําพิพากษา จะมีผลต่อทรัพย์สินต่าง ๆ ทั้งหมดของ น.ส.นิสาและนายร่าเริงอย่างไรนั้น เป็นไปตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3 นายมานพได้อยู่กินฉันสามีภริยากับ น.ส.อรสา แต่ต่อมาได้ตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นิภา ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันดีกับ น.ส.อรสา หลายเดือนต่อมา นายมานพได้กลับไปอยู่กินกับ น.ส.อรสา อีกโดยอ้างว่า น.ส.อรสาได้ตั้งครรภ์กับตน และอ้างว่า น.ส.นิภาก็ทราบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว เพราะเป็นเพื่อนที่รู้จักกัน น.ส.นิภาไม่พอใจต้องการฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากนายมานพและ น.ส.อรสาด้วย แต่นายมานพอ้างว่า น.ส.นิภาได้รู้เห็นยินยอมก่อนสมรสอยู่แล้ว เช่นนี้ ท่านเห็นว่า อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3) สามีหรือภริยาทําร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทําการ เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทํานั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน เกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยก เป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคแรก “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสา เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมานพได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นิภา และต่อมานายมานพ ได้กลับไปอยู่กินกับ น.ส.อรสานั้น ถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1)(2)(3)(6) ดังนั้น น.ส.นิภาจึง ฟ้องหย่านายมานพได้ ถึงแม้ว่า น.ส.นิภาจะทราบก่อนสมรสว่านายมานพได้อยู่กินกับ น.ส.อรสาก็ตาม แต่จะ ถือว่า น.ส.นิภายินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้นายมานพมีภริยาอีกคนหนึ่งหาได้ไม่ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะทําให้ น.ส.นิภายกเหตุดังกล่าวขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคแรก แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม น.ส.นิภาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายมานพและ น.ส.อรสา ทันทีเลย ไม่ได้ น.ส.นิภาจะต้องรอให้ศาลพิพากษาให้หย่ากันตามมาตรา 1516(1) เสียก่อน จึงจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก นายมานพและ น.ส.อรสาได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรก

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่า น.ส.นิภาสามารถฟ้องหย่านายมานพได้ และสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทน จากนายมานพและ น.ส.อรสาได้ เมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่ากันตามมาตรา 1516(1) แล้ว

 

ข้อ 4 นายสุรพลกับนางรัชนีเป็นสามีภริยากัน ต่อมานางรัชนีเจ็บป่วยบ่อย ๆ จึงลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านดูแลครอบครัว แต่เพื่อให้นายสุรพลสามีทํางานได้อย่างคล่องตัว นางรัชนีจึงทําหนังสือ มอบอํานาจให้นายสุรพลมีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่ผู้เดียว ต่อมานายสุรพลได้ไปกู้เงิน จากนายรุ่งเรือง 4 ล้านบาท ได้ทําสัญญาให้เพื่อนร่วมงานเช่าบ้านสินสมรสมีกําหนดเวลา 3 ปี และได้ขายที่ดินที่บิดายกให้ในระหว่างสมรสให้แก่ น.ส.ปราณี ซึ่งเคยชอบพอกันมาก่อน เมื่อ นางรัชนีทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมทั้งหมดโดยอ้างว่าไม่ได้ให้ความยินยอม แต่นายสุรพลอ้างว่ามีอํานาจทําได้ เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคแรก “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดย ปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่ คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดย สุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การจัดการสินสมรสตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 1476(1) – (8) นั้น สามีภริยา จะต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียง ฝ่ายเดียวโดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรม นั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม สามีภริยาอาจตกลงจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจาก ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ก็ได้โดยทําเป็นสัญญาก่อนสมรสตามมาตรา 1476/1 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางรัชนีทําหนังสือมอบอํานาจให้นายสุรพลมีอํานาจในการจัดการ สินสมรสทั้งหมดแต่ผู้เดียวนั้น สัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ เพราะตามกฎหมายถ้าสามีภริยาจะ จัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคแรก)

ดังนั้นการที่นายสุรพลได้ทํานิติกรรมต่าง ๆ ตามอุทาหรณ์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนาง รัชนีนั้น นางรัชนีจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

การที่นายสุรพลได้ไปกู้เงินจากนายรุ่งเรือง 4 ล้านบาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางรัชนีนั้น เมื่อเป็นเพียงการกู้ยืมเงินมิใช่การให้กู้ยืมเงินอันจะเป็นการจัดการสินสมรส จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1476 ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายสุรพลจึงมีอํานาจ ในการไปกู้ยืมเงินดังกล่าวได้โดยลําพัง นางรัชนีจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการกู้ยืมเงินไม่ได้

การที่นายสุรพลได้ทําสัญญาให้เพื่อนร่วมงานเช่าบ้านสินสมรสมีกําหนดเวลา 3 ปีนั้น เมื่อมิได้ เป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี จึงไม่ใช่นิติกรรมตามมาตรา 1476(3) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือ ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายสุรพลจึงมีอํานาจในการจัดการให้เพื่อนร่วมงานเช่า บ้านที่เป็นสินสมรสได้โดยลําพัง นางรัชนีจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าบ้านไม่ได้

ส่วนที่ดินที่บิดายกให้นายสุรพลระหว่างสมรสนั้น ถือว่าเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471(3) นายสุรพลจึงมีอํานาจในการจัดการสินส่วนตัวนั้นตามมาตรา 1473 ดังนั้น เมื่อนายสุรพลได้ขายที่ดินแปลง ดังกล่าวให้แก่ น.ส.ปรานี้ แม้จะไม่ได้รับความยินยอมจากนางรัชนี นางรัชนีก็จะฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการขายที่ดินของนายสุรพลไม่ได้

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่า นายสุรพลมีอํานาจทํานิติกรรมทั้ง 3 อย่างดังกล่าวได้ และนางรัชนี จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายสุรพลทําไปทั้งหมดไม่ได้

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงประกอบอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นการส่วนตัว โดยมีนายเหลืองเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ตรวจดูรถที่มีผู้นํารถยนต์ใช้แล้วมาขายให้นายแดง เนื่องจากนายเหลืองมีความชํานาญ ในการดูรถยนต์ที่มีร่องรอยตําหนิมาก่อนอย่างไรหรือไม่ มีการชนหนักมาแล้วหรือไม่ และนายแดงจะบอกกับผู้นํารถยนต์มาขายให้ตนว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับตนทุกครั้งที่มีผู้นํารถยนต์มาขาย ทั้งนี้นายเหลืองก็รับรู้แต่ก็มิได้พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่คนเข้าใจว่าตนลงหุ้นกับ นายแดง ต่อมาปรากฏว่า เช็คที่นายแดงจ่ายเป็นค่าซื้อรถยนต์มาขายในกิจการ ธนาคารปฏิเสธ การจ่ายเงิน เนื่องจากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ดังนี้ บุคคลผู้ที่ทรงเช็ค (เจ้าหนี้ค่ารถยนต์) จะฟ้องให้ นายเหลืองร่วมรับผิดได้หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่านายเหลืองมีที่ดินหลายแปลงที่บิดายกกรรมสิทธิ์ให้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษรก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็น หุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน แต่ได้แสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วน หรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงประกอบอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นการส่วนตัว โดยมีนายเหลืองเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ตรวจดูรถที่มีผู้นํารถยนต์ใช้แล้วมาขายให้นายแดง และนายแดงจะบอกกับผู้นํา รถยนต์มาขายให้ตนว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับตนทุกครั้งที่มีผู้นํารถยนต์มาขาย ซึ่งนายเหลืองก็รับรู้แต่ก็ มิได้พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่คนเข้าใจว่าตนลงหุ้นกับนายแดงนั้น กรณีนี้ถือว่านายเหลืองรู้แล้ว แต่ไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนตามนัยของมาตรา 1054 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น นายเหลือง จึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้สินต่าง ๆ เสมือนว่านายเหลืองและนายแดงเป็นหุ้นส่วนกัน และ ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์กันจริง ๆ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เช็คที่นายแดงจ่ายเป็นค่าซื้อรถยนต์มาขายในกิจการ ธนาคารปฏิเสธ การจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ดังนี้ บุคคลที่เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่ารถยนต์ย่อมสามารถฟ้องให้ นายเหลืองร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวได้เสมือนหนึ่งว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับนายแดงตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

สรุป

บุคคลผู้ทรงเช็ค (เจ้าหนี้ค่ารถยนต์) สามารถฟ้องให้นายเหลืองร่วมรับผิดได้เสมือนหนึ่งว่า นายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับนายแดงตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2.ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตร มีนายสมศักดิ์ นายสมพงษ์ และนายสมพรเป็นหุ้นส่วนกัน โดยจดทะเบียน ให้นายสมศักดิ์หุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายสมพงษ์และนายสมพร เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ทั้งสามคนลงหุ้นด้วยเงินสดเท่า ๆ กัน คนละ 1,000,000 บาท โดยได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้วทุกคน ห้างฯ มีวัตถุประสงค์ซื้อขายแลกเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือชั้นนํา ทุกยี่ห้อ ต่อมาห้างหุ้นส่วนจํากัดขาดเงินสดหมุนเวียน นายสมศักดิ์จึงมอบหมายให้นายสมพรไปกู้ยืมเงิน จากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ โดยมีหนังสือมอบอํานาจให้นายสมพรกู้เงินแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ ในวงเงินไม่เกินสองแสนบาท นายสมพรจึงกู้เงินจากธนาคารจํานวนสองแสนบาทในนามห้างฯ โดยนายสมพรลงชื่อในช่องผู้กู้แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงไป และได้นําเงินกู้ เข้าบัญชีห้างฯ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาเมื่อหนี้เงินกู้นี้ถึงกําหนดชําระ ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตรไม่มีเงิน ชําระหนี้และดอกเบี้ยได้ ธนาคารเจ้าหนี้จึงฟ้องให้นายสมศักดิ์และนายสมพรรับผิดร่วมกัน โดยอ้างว่า นายสมพรสอดเข้าเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ เนื่องจากกู้ยืมเงินแทนห้างฯ แต่นายสมพรอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากนายสมศักดิ์ผู้เป็นหุ้นส่วนจัดการให้เป็นผู้กู้ยืมเงินแทนห้างฯ ได้ นายสมพร จึงมีฐานะเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้นจึงไม่ควรต้องรับผิด

ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนายสมพรรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

ในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีอํานาจจัดการ (มาตรา 1087) ถ้าหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของ ห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน (มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมศักดิ์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตร ได้มอบหมายให้นายสมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไปกู้ยืมเงิน จากธนาคารเพื่อมาใช้จ่ายในห้างฯ โดยมีหนังสือมอบอํานาจให้นายสมพรกู้เงินแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ และ นายสมพรได้กู้เงินจากธนาคารจํานวนสองแสนบาทในนามของห้างฯ โดยนายสมพรลงชื่อในของผู้กู้แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงไปและได้นําเงินที่กู้เข้าบัญชีห้างฯ เรียบร้อยแล้วนั้น การกระทําของนายสมพร ดังกล่าวแม้จะได้รับมอบอํานาจจากหุ้นส่วนผู้จัดการก็ตามก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่งแล้ว กรณีนี้จะนําบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทนมาใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้นการที่นายสมพรกล่าวอ้างว่าได้รับมอบหมายจากห้างฯ แล้ว ตนจึงมีฐานะเป็นเพียงแค่ตัวแทนเท่านั้น จึงเป็น ข้อกล่าวอ้างที่รับฟังไม่ได้เพราะถ้ามีการยอมรับว่าเมื่อได้มีการมอบอํานาจแล้ว หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนนั้นก็สามารถจัดการได้และไม่ถือว่าเป็นการสอดก็จะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ไม่ต้องการให้ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดเป็นผู้จัดการหรือเข้าจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามมาตรา 1087 และถ้า หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นก็จะต้องรับผิด ร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น กรณีนี้ธนาคารเจ้าหนี้ จึงสามารถฟ้องให้นายสมศักดิ์และนายสมพรร่วมกันรับผิดในการชําระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยได้

สรุป ข้ออ้างของนายสมพรรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. การบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติเลือกกรรมการบริษัทที่วาระของการดํารงตําแหน่งสิ้นสุดลง จะต้องดําเนินการบอกกล่าวด้วยวิธีใดจึงจะชอบด้วยกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุม ปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอให้ลงมติด้วย”

ในการบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติเลือกกรรมการบริษัทที่วาระของการดํารงตําแหน่ง สิ้นสุดลงนั้น ถือว่าเป็นการบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติธรรมดามิใช่เป็นการบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ เพื่อลงมติพิเศษ ซึ่งการบอกกล่าวนั้นจะต้องดําเนินการบอกกล่าวตามที่มาตรา 1175 ได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ

1 จะต้องลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่า 7 วัน และ

2 จะต้องส่งคําบอกกล่าวเป็นจดหมายส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน

3 ในคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น จะต้องระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการ ที่จะได้ประชุมปรึกษากันด้วย

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา

ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อต้นปี พ.ศ. 2561 กิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมันโดยนายโตเป็นผู้ประกอบการ กิจการฯก่อหนี้ค่าโฆษณาค้างชําระนายฟาดีจํานวน 100 ล้านบาท ต่อมากิจการฯ ได้ว่าจ้างนางใจงาม เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 100 คน นางใจงามใช้ความรู้ความสามารถ ของตนเพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าให้แก่กิจการฯ ปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท นายโตจึงทําข้อตกลง “แบ่งกําไร” ให้แก่นางใจงาม 40 เปอร์เซ็นต์ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปี เพื่อตอบแทนความเพียร ของนางใจงาม ต่อมากลางปี พ.ศ. 2561 กิจการฯ ก่อหนี้ค่าขนส่งค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท และต่อมาปลายปี พ.ศ. 2561 นางใจงามได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปเพื่อดําเนินกิจการ ค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการฯ ใหม่แข่งขันกับกิจการฯ เดิม เพื่อหากําไรแบ่งปันกัน ระหว่างนางใจงามกับนายโปโป เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2561 กิจการฯ ใหม่ มีกําไร 1,000 ล้านบาท และ กิจการใหม่ก่อหนี้ค่าเช่าสถานที่ค้างชําระนายฟาดีจํานวน 300 ล้านบาท ให้ท่านวินิจฉัยประเด็นปัญหาข้อกฎหมายดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลและหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบการวินิจฉัย

(ก) นายฟาดี และนายโทนี่ มีสิทธิบังคับชําระหนี้ทั้งสามรายการต่อบุคคลใด เพราะเหตุใด

(ข) นางใจงาม จะต้องรับผิดต่อกิจการฯ เพิ่ม หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหาย เพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายโตเป็นผู้ประกอบการกิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมัน ได้ว่าจ้างนางใจงาม เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดโดยมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 100 คนนั้น ถือเป็นเพียงสัญญาจ้างแรงงานเท่านั้น โดยนายโตอยู่ในฐานะนายจ้าง ส่วนนางใจงามอยู่ในฐานะลูกจ้าง แม้นางใจงามได้ใช้ความรู้ความสามารถของตน เพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท และนายโตได้ทําข้อตกลงแบ่งกําไรให้แก่นางใจงาม 40 เปอร์เซ็นต์ ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปีก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายโตกับนางใจงามเป็นหุ้นส่วนกันตามนัยของมาตรา 1012 เหตุผลเพราะแม้ว่านางใจงามจะได้รับส่วนแบ่งกําไรจากกิจการฯ แต่นางใจงามก็ไม่มีสิทธิไม่มีส่วนร่วมในการจัด กิจการงานนั้นแต่อย่างใด

เมื่อนางใจงามมิใช่หุ้นส่วนกับนายโต ดังนั้นการที่กิจการฯ ของนายโตเป็นหนี้ค้างชําระ นายฟาดีจํานวน 100 ล้านบาท และเป็นหนี้ค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท นายฟาดีและนายโทนี่ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ จึงต้องฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนายโตเท่านั้น จะฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนางใจงามไม่ได้

ส่วนการที่นางใจงามได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปโดยดําเนินกิจการค้าขาย เครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่ เพื่อหากําไรแบ่งปันกันระหว่างนางใจงามกับนายโปโปนั้น ถือว่าข้อตกลง ระหว่างนางใจงามกับนายโปโปเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันแล้วตามนัยของมาตรา 1012 ดังนั้นเมื่อกิจการ ดังกล่าวเป็นหนี้ค้างชําระนายฟาดีจํานวน 300 ล้านบาท หนี้รายนี้นายฟาดีจึงสามารถฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจาก นางใจงามและนายโปโปได้ตามมาตรา 1912 ประกอบมาตรา 1025 ที่ว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดร่วมกัน เพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน

(ข) การที่นางใจงามได้ตกลงเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับนายโปโปดําเนินกิจการค้าขายเครื่องมือ ขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่นั้น แม้เป็นกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของนายโตก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่านางใจงามมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนายโต การกระทําดังกล่าวของนางใจงามจึงมิใช่เป็นการกระทําที่ฝ่าฝืน ต่อบทบัญญัติมาตรา 1038 แต่อย่างใด ดังนั้นนางใจงามจึงไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

สรุป

(ก) นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 100 ล้านบาท จากนายโตได้ส่วนหนี้รายหลังจํานวน 300 ล้านบาท นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้ เอาจากนางใจงามและนายโปโปได้ นายโทนี่มีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 200 ล้านบาท จากนายโตได้แต่จะฟ้องบังคับเอาจากนางใจงามไม่ได้

(ข) นางใจงามไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

 

ข้อ 2. ให้ท่านอธิบายความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด”อย่างน้อย 12 ประเด็น พร้อมทั้งอธิบายหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบ

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติถึงความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วน ไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด” ไว้ดังนี้ คือ

1 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดมีได้ทั้งในห้างหุ้นส่วนสามัญและห้างหุ้นส่วนจํากัด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดมีได้เฉพาะในห้างหุ้นส่วนจํากัดเท่านั้น (มาตรา 1025 และมาตรา 1077)

2 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยจํากัดเฉพาะในจํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้น เท่านั้น (มาตรา 1077)

3 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ไม่ว่าหนี้นั้นจะเกิดขึ้นก่อนหรือภายหลังที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดจะได้จดทะเบียน แต่หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะต้องรับผิด โดยไม่จํากัดจํานวนก็แต่เฉพาะในหนี้ของห้างหุ้นส่วนที่เกิดขึ้นก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจะได้จดทะเบียนเท่านั้น (มาตรา 1079)

4 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถนําชื่อของตนไปเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เอาชื่อของตน ไปเรียกขานระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน (มาตรา 1081)

5 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นด้วยเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้ (มาตรา 1026 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นได้เฉพาะเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น จะลงหุ้นด้วยแรงงานไม่ได้ (มาตรา 1083)

6 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดนอกจากจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้แล้ว ยังมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยอีกด้วย ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายได้ บัญญัติห้ามมิให้แบ่งเงินปันผลหรือดอกเบี้ยแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด นอกจากผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 1084)

7 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดอาจจะแสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่า ตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ได้เพราะกฎหมายไม่ห้าม แต่หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะแสดงตน หรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่าตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ไม่ได้ ถ้ามีการฝ่าฝืน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนนั้นก็จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามจํานวนที่ตนได้แสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดไว้ด้วย (มาตรา 1085)

8 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด มีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ (มาตรา 1087) ส่วน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรวมทั้งห้ามสอดเข้าไปเกี่ยวข้องการจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนด้วย (มารตรา 1087 และมาตรา 1088)

9 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด จะประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนไม่ได้ หรือจะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน (มาตรา 1066 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถประกอบ กิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนได้ (มาตรา 1090)

10 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ถ้าจะโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่น จะต้องได้รับความ ยืนยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ด้วย (มาตรา 1040 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ (มาตรา 1091)

11 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคน ไร้ความสามารถ โดยหลักห้างหุ้นส่วนนั้นย่อมเป็นอันเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้า ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถไม่เป็นเหตุให้ ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1092)

12 เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จํากัดความ รับผิดคนใดคนหนึ่งชําระหนี้ได้ (มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้ เลิกกัน แม้ห้างหุ้นส่วนจะผิดนัดชําระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถฟ้องให้หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดชําระหนี้ได้ (มาตรา 1095)

 

ข้อ 3. ให้ท่านอธิบายหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องดังต่อไปนี้โดยละเอียดพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

(ก) การโอน “หุ้นระบุชื่อ” และ “หุ้นผู้ถือ” มีหลักเกณฑ์อย่างไร

(ข) การประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นมีหลักเกณฑ์อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ และการโอนหุ้นชนิดผู้ถือไว้ดังนี้ คือ

1 การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ การโอนจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 1129 วรรคสอง คือ การโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคน ลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น นาย ก. มีหุ้นชนิดระบุชื่อในบริษัทแห่งหนึ่งจํานวน 10,000 หุ้น และ มีหุ้นชนิดผู้ถืออีกจํานวน 10,000 หุ้น ดังนี้ ถ้านาย ก. จะโอนหุ้นชนิดระบุชื่อให้แก่นาย ข. นาย ก. และนาย ข. จะต้องทําเป็นหนังสือสัญญาการโอนหุ้น ลงลายมือชื่อของนาย ก. ผู้โอนและนาย ข. ผู้รับโอน และมีพยานอย่างน้อย หนึ่งคนลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นที่โอนให้แก่กันด้วย (เว้นแต่จะเป็นการโอนหุ้นทั้งหมด) การโอนหุ้นระหว่างนาย ก. และนาย ข. จึงจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ

2 การโอนหุ้นชนิดผู้ถือ การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่กันเท่านั้น (ตาม มาตรา 1135) โดยไม่ต้องทําเป็นหนังสือสัญญาการโอนหุ้นใด ๆ

ตัวอย่างเช่น กรณีตามตัวอย่างข้างต้น ถ้านาย ก. มีความประสงค์จะโอนหุ้นชนิดผู้ถือ จํานวน 10,000 หุ้นให้แก่นาย ค. นาย ก. ย่อมสามารถโอนได้โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นาย ค. การโอนก็จะ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

(ข) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ไว้ดังนี้คือ

1 การประชุมใหญ่สามัญ คือ การประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทจะต้องจัดให้มีขึ้น เป็นครั้งแรกภายในกําหนดระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนบริษัท และในครั้งต่อ ๆ ไปซึ่งจะต้องจัดให้มีขึ้น อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (มาตรา 1171)

2 การประชุมใหญ่วิสามัญ คือ การประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ซึ่งได้เรียกประชุมกัน เป็นพิเศษต่างหากจากการประชุมใหญ่สามัญ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น การประชุมใหญ่ วิสามัญอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ

(1) เมื่อกรรมการเห็นสมควร ตามมาตรา 1172 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “กรรมการ จะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร”

(2) เมื่อบริษัทขาดทุนลงถึงถึงจํานวนต้นทุน ตามมาตรา 1172 วรรคสอง ซึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าบริษัทขาดทุนลงถึงกึ่งจํานวนต้นทุน กรรมการต้องเรียกประชุมวิสามัญทันที่เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้น ทราบการที่ขาดทุนนั้น”

(3) เมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ร้องขอให้เรียกประชุม ตามมาตรา 1173 ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมวิสามัญจะต้องนัดเรียกให้มีขึ้น ในเมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกัน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าแห่งจํานวนหุ้นของบริษัท ได้เข้าชื่อกันทําหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมเช่นนั้น ในหนังสือ ร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด”

(4) เมื่อตําแหน่งผู้สอบบัญชีว่างลง ตามมาตรา 1211 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้ามีตําแหน่ง ว่างลงในจํานวนผู้สอบบัญชี ให้กรรมการนักเรียกประชุมวิสามัญเพื่อให้เลือกตั้งขึ้นใหม่ให้ครบจํานวน

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอกและโทออกเงินคนละหนึ่งล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินที่เจ้าของที่ดินประกาศขายในราคาสองล้านบาทพร้อมค่าโอนและค่าธรรมเนียมเจ้าของที่ดินเป็นผู้ออก โดยเอกกับโทตั้งใจว่าจะซื้อเก็บไว้ขาย เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นในอนาคต และเมื่อขายได้แล้วจะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง โดยมิได้คิดจะทําอะไร บนที่ดินที่ซื้อนี้ ในวันทําสัญญาซื้อขายที่ดิน เอกได้ไปคนเดียวโดยนําเงินสดของโทหนึ่งล้านบาท มอบให้แก่เจ้าของที่ดิน พร้อมเช็คลงลายมือชื่อเอกสั่งจ่ายเงินจํานวนหนึ่งล้านบาทให้เจ้าของที่ดิน เมื่อมีการทําหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายที่ดินจึงนําเช็ค ไปที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เนื่องจากในบัญชีของเอกมีเงิน ไม่พอจ่าย ผู้ขายที่ดินจึงทวงถามให้เอกชําระค่าที่ดินอีกหนึ่งล้านบาท แต่เอกไม่มีเงินจ่าย เจ้าของที่ดินจึงมาปรึกษากับนักศึกษาว่า ในกรณีดังกล่าวข้างต้นเจ้าของที่ดินจะฟ้องโทให้รับผิดในเงิน ค่าที่ดินที่ค้างชําระได้หรือไม่ โดยอ้างว่าทั้งสองเข้าหุ้นส่วนกันเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า กรณีดังกล่าวโทจะต้องรับผิดกับเอกหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 นั้น จะต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์ที่สําคัญ ดังนี้คือ

1 จะต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป

2 จะต้องมีการตกลงเข้าทุนกัน

3 จะต้องมีการกระทํากิจการร่วมกัน

4 จะต้องมีความประสงค์ที่จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าของที่ดินจะฟ้องโทให้รับผิดในเงินค่าที่ดินที่ค้างชําระโดยอ้างว่า เอกและโทได้เข้าเป็นหุ้นส่วนกันเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น เจ้าของที่ดินย่อมไม่มีสิทธิฟ้องโท เพราะการที่เอกและโทได้ออกเงินคนละหนึ่งล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินเก็บไว้ขาย และเมื่อขายได้แล้วจะแบ่งเงินกันคนละครึ่งนั้น แม้จะเป็นกรณีที่มีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปและได้มีการตกลงเข้าทุนกันแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทั้งสองไม่ได้คิดที่จะทําอะไรบนที่ดินแปลงดังกล่าวเลย จึงไม่ถือว่าทั้งสองได้ลงทุนเพื่อทํากิจการร่วมกัน จึงไม่เข้า องค์ประกอบของการเป็นห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 ดังนั้น เอกและโทจึงมิได้เป็นหุ้นส่วนกัน

และเมื่อไม่เป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 จึงไม่เข้าลักษณะของการเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จะทําให้เอกและโทจะต้องร่วมกันรับผิดเพื่อหนี้ของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดตามมาตรา 1025 โทจึงไม่ต้องรับผิดในค่าที่ดินที่ยังมิได้ชําระ ดังนั้น เจ้าของที่ดินจึงฟ้องโทโดยอ้างว่าโทเป็นหุ้นส่วนกับเอกไม่ได้

สรุป กรณีดังกล่าว โทไม่ต้องร่วมรับผิดกับเอก

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดธีระการประมง มีนายธีระเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายทองและนายเงินเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ทั้งสามคนลงหุ้นด้วยเงิน คนละห้าล้านบาท ห้างฯ ได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ห้างฯ มีวัตถุประสงค์ ขายอาหารทะเลแช่แข็งไปยังต่างประเทศแถบยุโรปและอเมริกา แต่ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาห้างฯ ประสบ ภาวะขาดทุนมาตลอด เนื่องจากส่งปลาแช่แข็งไปขายไม่ได้ต่างประเทศหยุดรับซื้อโดยไม่ทราบเหตุผล ทําให้ห้างฯ เป็นหนี้ค่าปลาทะเลที่รับซื้อไว้จํานวนสิบล้านบาท และห้างฯ ยังขาดเงินสดหมุนเวียน ที่จําเป็นต้องใช้ในการจัดการงานของห้างฯ นายธีระจึงได้ทําหนังสือมอบอํานาจให้นายทองไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวนห้าล้านบาท ซึ่งธนาคารก็ให้กู้โดยมีนายทองลงนามผู้กู้ แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงในสัญญากู้ และได้นําเงินกู้นั้นมาใช้จ่ายในห้างฯ ต่อมาหนี้ค่าปลาทะเลและหนี้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ถึงกําหนดชําระแต่ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้ค่าปลาและธนาคารจึงฟ้องนายธีระและนายทองให้ร่วมกันรับผิดในหนี้ดังกล่าว ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้รายใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน

วินิจฉัย

ในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีอํานาจจัดการ (มาตรา 1087) ถ้าหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นก็จะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของ ห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน (มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ รายใดบ้างหรือไม่ แยกพิจารณา

1 หนี้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ การที่นายทองซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดและ ไม่ใช่หุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวนห้าล้านบาท โดยนายทองได้ลงนามเป็น ผู้กู้แทนห้างฯ และได้ประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงในสัญญากู้ตามใบมอบอํานาจที่หุ้นส่วนผู้จัดการได้มอบไว้นั้น การกระทําของนายทองแม้จะได้รับมอบอํานาจจากห้างฯ ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1087 ดังนั้น นายทองจึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ รายนี้ด้วยตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

2 หนี้ค่าปลาทะเล เป็นหนี้ที่ห้างฯ ได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยที่นายทองไม่ได้เข้าไปจัดการหรือ สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการด้วยแต่อย่างใด ดังนั้น นายทองจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้รายนี้

สรุป นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ แต่ไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ ค่าปลาทะเล

 

ข้อ 3. นายแสง นายสิน และนายสอน เป็นผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท สินสยาม จํากัด หลังจากจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว นายแสงได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายศักดิ์เพื่อใช้เป็นที่ทําการ ของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น และได้ว่าจ้างนายแมนสถาปนิกตกแต่งภายในอาคารมาตกแต่งอาคาร ที่เช่าเพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัท เมื่อมีการขายหุ้นมูลค่าหุ้นละ 5 บาท จํานวน 10 ล้านหุ้น ครบถ้วนแล้ว ได้มีการประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น เพื่อตั้งข้อบังคับ ตั้งคณะกรรมการ และผู้สอบบัญชี ของบริษัท และให้ความเห็นชอบในสัญญาเช่าอาคารที่ทําไว้กับนายศักดิ์ แต่นายแสงลืมเสนอสัญญา ที่จ้างนายแมนมาตกแต่งภายในต่อที่ประชุม จนกระทั่งบริษัทได้จดทะเบียนตั้งไปแล้ว นายแสง จึงนึกได้เนื่องจากนายแมนมาทวงค่าจ้างจากนายแสงจํานวนห้าแสนบาท นายแสงจึงขอให้บริษัท รับผิดจ่ายค่าจ้างให้นายแมน แต่กรรมการบริษัทไม่อนุมัติ ดังนี้ ถามว่านายแมนจะฟ้องผู้ใดให้รับผิด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 “ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จํากัดในบรรดาหนี้และการจ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียน บริษัท

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดในบรรดา หนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้อง รับผิดอยู่จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสิน และนายสอน เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท สินสยาม จํากัด หลังจากจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว นายแสงได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายศักดิ์เพื่อใช้เป็น ที่ทําการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น และได้ว่าจ้างนายแมนสถาปนิกตกแต่งภายในอาคารมาตกแต่งอาคารที่เช่า เพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่มีการประชุมตั้งบริษัท ได้มีการให้ความเห็นชอบ ในสัญญาเช่าอาคารที่ทําไว้กับนายศักดิ์ แต่นายแสงลืมเสนอสัญญาที่จ้างนายแมนมาตกแต่งภายในต่อที่ประชุม ทําให้หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ ดังนั้น แม้ต่อมาบริษัทจะได้จดทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว นายแมนจะฟ้องให้บริษัท สินสยาม จํากัด รับผิดชอบในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวมิได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้นายแสงจะเป็นผู้ทําสัญญาว่าจ้างนายแมนแต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อหนี้ค่าจ้าง ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ ดังนั้น นายสิน และนายสอน ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทก็ต้อง ร่วมกันรับผิดต่อนายแมนด้วยตามมาตรา 1113

สรุป

นายแมนจะฟ้องให้บริษัท สินสยาม จํากัด รับผิดชอบในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวไม่ได้ แต่สามารถฟ้องให้นายแสง นายสิน และนายสอน ร่วมกันรับผิดในการชําระหนี้นั้นได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!