LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมยศชอบพอกับ น.ส.ปัทมาจนรักกันในที่สุด แต่นายสมยศไม่ทราบว่า น.ส.ปัทมามีสามีแล้ว ต่อมา น.ส.ปัทมาจึงจดทะเบียนหย่ากับนายกมล (สามี) และ 30 วันต่อมานายสมยศได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.ปัทมาด้วยแหวนเพชรและทอง 10 บาท โดยไม่ทราบว่า น.ส.ปัทมาหย่าได้เพียง 30 วันเท่านั้น แต่นายสมยศไม่ทราบว่าก่อนการหย่านั้น น.ส.ปัทมาได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจาก บิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก ทําให้มารดาของนายกมลเสียใจจนเสียชีวิต เมื่อนายสมยศ ทราบก็เห็นว่า น.ส.ปัทมาไม่เหมาะสมที่จะเป็นภริยาและการหมั้นทําไม่ถูกต้องเพราะหญิงสิ้นสุด การสมรสเพียง 30 วันเท่านั้น แต่ น.ส.ปัทมาอ้างว่าได้แจ้งแก่ญาติพี่น้องแล้วถึงงานสมรส จึงต้อง ทําการสมรสตามสัญญาหมั้น เช่นนี้ นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”

มาตรา 1453 วรรคหนึ่ง “หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทําการ สมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นแรก นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ น.ส.ปัทมา ได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากบิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก ทําให้มารดาของนายกมล เสียใจจนเสียชีวิตนั้น ถือเป็นกรณีที่มีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ตามมาตรา 1442 ดังนั้นนายสมยศจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ และให้ น.ส.ปัทมาคืนของหมั้นแก่นายสมยศ

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสมยศอ้างว่าการหมั้นทําไม่ถูกต้อง เพราะหญิงสิ้นสุดการสมรสได้ เพียง 30 วันเท่านั้น ไม่สามารถอ้างได้เพราะตามมาตรา 1453 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นกรณีที่กฎหมายห้ามหญิงที่ การสมรสสิ้นสุดลงสมรสใหม่ภายในสามร้อยสิบวัน แต่ น.ส.ปัทมาเพียงแต่ทําการหมั้นกับนายสมยศจึงไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด

ประเด็นที่สอง นายสมยศจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ว่า การที่ น.ส.ปัทมาได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากบิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก จนทําให้มารดาของนายกมลเสียใจจนเสียชีวิตนั้น จะเป็นการกระทําชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทําก่อนการหมั้น จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะทําให้มีการเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1444 ดังนั้น นายสมยศจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาไม่ได้

สรุป

นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้ แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาไม่ได้

 

ข้อ 2 นายสุชาติชอบ น.ส.วันเพ็ญ แต่ น.ส.วันเพ็ญไม่ชอบนายสุชาติ นายสุชาติจึงทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้ น.ส.วันเพ็ญทําการจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 2 มีนาคม 2558 และทําการควบคุม น.ส.วันเพ็ญไว้ตลอดเวลา ต่อมา น.ส.วันเพ็ญตั้งครรภ์ นายสุชาติได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้โดยเสน่หา ในวันที่ 12 มีนาคม 2559 นายสุชาติได้ปล่อยให้ น.ส.วันเพ็ญไปไหนมาไหนโดยอิสระ น.ส.วันเพ็ญ ได้ปรึกษาทนายความและฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสนี้ในวันที่ 12 เมษายน 2559 ต่อมาในวันที่ 30 เมษายน 2559 น.ส.วันเพ็ญได้จดทะเบียนสมรสกับนายพิจิตรซึ่งยังรักตนอยู่ และได้ขายที่ดิน ให้แก่นายสุทินซึ่งไม่รู้จักกัน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญ จะมีผลอย่างไร บิดา น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ และการสมรส ระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะ ไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคหนึ่ง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1511 “การสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษา ถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์

ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1507 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในการสมรสนั้นถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสเพราะถูกข่มขู่ โดยการข่มขู่นั้นถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการข่มขู่เช่นนั้น คู่สมรสก็จะไม่ทําการสมรสด้วย การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็น โมฆียะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุชาติได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้ น.ส.วันเพ็ญทําการจดทะเบียนสมรส ด้วยในวันที่ 2 มีนาคม 2558 การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญจึงตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 1507

ประเด็นที่สองที่ต้องวินิจฉัยคือ บิดาของ น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรส ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็น โมมียะเพราะถูกข่มขู่ไว้โดยเฉพาะแล้ว คือ ตัวคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น บิดาของ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งมิใช่ตัวคู่สมรสเอง จะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ตามมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง

ประเด็นสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัย คือ การสมรสระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เห็นว่า เมื่อการสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสมรสที่เป็นโมฆยะนั้นจะสิ้นสุดลง ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502) และการสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอน ก็จะถือว่า สิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด (มาตรา 1511) ดังนั้น การที่ น.ส.วันเพ็ญได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายพิจิตร ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนและมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

สรุป

การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญมีผลเป็นโมฆียะ

บิดา น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และ การสมรสระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากัน แต่ไม่สามารถใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันได้ จึงยินยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระที่จะใช้ชีวิตกับบุคคลอื่นได้ นายชาติชายได้รู้จักกับนายสมหวังอย่างสนิทสนม จนมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและถูกใจกัน นายชาติชายได้จัดงานสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยา กับนายสมหวัง ทําให้นายสมหวังภูมิใจได้ไปบอกกล่าวเพื่อน ๆ ในชุมชนว่าเป็นภริยาของนายชาติชาย และนายชาติชายได้ยกบ้านให้โดยเสน่หาด้วย นางสําเนาไม่พอใจต้องการฟ้องหย่าและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวัง เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากัน แต่นายชาติชายได้จัดงาน สมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมหวังนั้น ถือว่าเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) ที่ว่า สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ดังนั้นโดยหลักแล้วนางสําเนาย่อม สามารถฟ้องหย่านายชาติชายได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากันแต่ไม่สามารถใช้ชีวิต ครอบครัวร่วมกันได้ จึงยินยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระที่จะใช้ชีวิตกับบุคคลอื่นได้นั้น เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง ที่ว่า เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณีได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจใน การกระทําที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ดังนั้น นางสําเนาจึง ฟ้องหย่านายชาติชายด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้

และการที่นางสําเนาไม่พอใจนายสมหวังที่ไปบอกกล่าวเพื่อน ๆ ในชุมชนว่าเป็นภริยาของ นายชาติชายและนายชาติชายได้ยกบ้านให้โดยเสน่หา จึงต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวังนั้น นางสําเนา ก็ไม่สามารถทําได้ เพราะมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตน โดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้ แต่เมื่อปรากฏว่านายสมหวังเป็นชายจึง ไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมายที่นางสําเนาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนได้

สรุป

นางสําเนาจะฟ้องหย่านายชาติชายไม่ได้ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวัง ไม่ได้เช่นกัน

 

ข้อ 4 นายจักรกับนางนภาเป็นสามีภริยากัน ในระหว่างสมรสนางนภาได้รับสลากออมสิน 1 ล้านบาทโดยเสน่หาจากนางเมตตามารดา ต่อมานางนภาถูกรางวัลจากสลากออมสินเป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท นางนภาเห็นว่าเป็นเงินที่ได้มาจากมารดา จึงยกให้ญาติโดยเสน่หาโดยไม่บอกให้นายจักรทราบ ต่อมานายจักรได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้นางนภาโดยเสน่หา นางนภาให้นายเกียรติเช่า 5 ปี ได้รับค่าเช่าเดือนละ 100,00 บาท โดยไม่บอกให้นายจักรทราบ นายจักรไม่พอใจที่ทําอะไรไม่บอกกล่าวให้สามีทราบ จึงต้องการฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้น และฟ้องเรียกที่ดินคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีเละภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางเมตตามารดาของนางนภาได้ให้สลากออมสิน 1 ล้านบาท แก่นางนภานั้น สลากออมสินดังกล่าวถือเป็นสินส่วนตัวของนางนภา เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 1471 (3) ต่อมาเมื่อนางนภาถูกรางวัลจากสลากออมสินเป็น เงินจํานวน 2 ล้านบาท เงินจํานวนนี้ย่อมถือเป็นสินสมรส เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ตามมาตรา 1474 (1)

ดังนั้น เมื่อนางนภาจะยกเงิน 2 ล้านบาทนี้ให้แก่ญาติของตนโดยเสน่หา จึงต้องทําตามมาตรา 1476 (5) กล่าวคือ จะต้องได้รับความยินยอมจากนายจักรคู่สมรสก่อน เมื่อปรากฏว่านางนภาได้ยกเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่ญาติโดยเสน่หาโดยปราศจากความยินยอมจากนายจักร นายจักรย่อมสามารถฟ้องให้ศาล เพิกถอนนิติกรรมการให้นั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายจักรยกที่ดิน 1 แปลง ให้แก่นางนภาโดยเสน่หานั้น ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรส ตามมาตรา 1469 ที่ดินนี้จึงเป็นสินส่วนตัวของนางนภาตามมาตรา 1471 (3) ดังนั้นการที่นางนภาให้นายเกียรติ เช่า 5 ปี ได้รับค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาท โดยไม่บอกให้นายจักรทราบนั้น ย่อมสามารถทําได้โดยลําพังตาม มาตรา 1473 ที่กําหนดว่า สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ นายจักรจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการให้เช่าที่ดินนั้นไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการให้ที่ดินระหว่างนายจักรกับนางนภาถือเป็นสัญญาระหว่างสมรส นายจักรจึงมีสิทธิที่จะบอกล้างนิติกรรมการให้ที่ดิน และเรียกที่ดินคืนจากนางนภาเสียในเวลาใดที่เป็นสามี ภริยากันอยู่ หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ตามมาตรา 1469

สรุป นายจักรสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เงิน 2 ล้านบาทได้ แต่จะฟ้องให้ ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินไม่ได้ และนายจักรสามารถบอกล้างการให้ที่ดินและเรียกที่ดินคืนได้

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมานได้ตกลงกับ น.ส.วิไลว่าจะทําสัญญาหมั้นกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายสมานทําแหวนหมั้นหาย จึงได้ขอยืมแหวนของ น.ส.อรสาซึ่งเป็นเพื่อนของ น.ส.วิไลมาสวม ให้ น.ส.วิไลก่อนตามกําหนดเวลาหมั้นที่ได้กําหนดไว้ และยังได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาท ให้ น.ส.วิไลไว้เป็นของหมั้นอีกด้วย น.ส.วิไลได้ลาออกจากงานเพื่อที่จะไปใช้ชีวิตครอบครัวกับ นายสมานที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นายสมานได้สนิทสนมกับ น.ส.อรสาจนมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน และได้ตัดสินใจอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา จึงปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.วิไล เช่นนี้ น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน เรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและที่ได้ลาออกจากงาน และต้องการฟ้อง น.ส.อรสาเรียกค่าทดแทนที่มาร่วมประเวณีกับนายสมานด้วย ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น ของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมานได้ตกลงกับ น.ส.วิไลว่าจะทําสัญญาหมั้นกัน แต่เมื่อถึง กําหนดเวลาวันหมั้น นายสมานทําแหวนหมั้นหายจึงได้ขอยืมแหวนของ น.ส.อรสามาสวมให้ น.ส.วิไลก่อนตาม กําหนดเวลาหมั้นที่ได้กําหนดไว้นั้น แหวนดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นของหมั้น เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายได้ส่งมอบ โดยมีเจตนาจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแต่อย่างใด (ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)

และการที่นายสมานได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาท ให้ น.ส.วิไลไว้เป็นของหมั้นนั้น เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท ให้แก่หญิงคู่หมั้น เป็นเพียงการทําสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สิน ที่เป็นของหมั้นกันในวันข้างหน้า ทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท จึงไม่ถือว่าเป็นของหมั่นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนั้น น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1852/2506)

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสมานกับ น.ส.วิไล เป็นการหมั้นโดยไม่มีทรัพย์สินอันเป็นของหมั้น การหมั้นจึงไม่สมบูรณ์ถือเสมือนว่าไม่มีการหมั้นกัน ดังนั้น การที่ต่อมานายสมานได้ปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.วิไล จึงไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 น.ส.วิไลจึงฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนต่อชื่อเสียง และที่ได้ลาออกจากงานเพื่อที่จะไปใช้ชีวิตครอบครัวกับนายสมานที่จังหวัดเชียงใหม่ตามมาตรา 1440 (1) และ (3) ไม่ได้ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อรสาที่ได้มาร่วมประเวณีกับนายสมานตามมาตรา 1445 ก็ไม่ได้เช่นกัน

สรุป

น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน และจะฟ้องเรียกค่าทดแทน ต่อชื่อเสียงและที่ได้ลาออกจากงานไม่ได้ และจะฟ้อง น.ส.อรสาเพื่อเรียกค่าทดแทนที่ได้มาร่วมประเวณีกับนายสมาน เก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายดินกับนางเพชรเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรส ระหว่างสมรสนายดินซื้อที่ดิน 1 แปลงราคา 1,000,000 บาท โดยหักเงินเดือนของตนเองทุกเดือนผ่อนชําระจนครบ ต่อมานางเพชรป่วย บุคคลทั้งสองจึงยินยอมหย่าขาดจากกัน โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและมีพยานลงลายมือชื่อไว้ สองคน หลังจากนั้นอีก 1 เดือนนายดินจดทะเบียนสมรสกับนางน้ําฝน ก่อนสมรสนางน้ําฝนมีเงินฝาก 200,000 บาท และได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝากภายหลังการสมรสอีกจํานวน 50,000 บาท จาก ข้อเท็จจริงดังกล่าว ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) การสมรสของนายดินกับนางน้ำฝน มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) ทรัพย์สินต่าง ๆ นั้นจะเป็นของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็น สมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายดินกับนางเพชรซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยการจดทะเบียนสมรส ได้ตกลงยินยอม หย่าขาดจากกัน โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและมีพยานลงลายมือชื่อไว้สองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตาม มาตรา 1514 แล้วก็ตาม แต่เมื่อยังไม่ได้มีการจดทะเบียนการหย่า การหย่าของทั้งสองจึงยังไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 1515 และให้ถือว่านายดินกับนางเพชรยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่

ดังนั้น การที่นายดินได้จดทะเบียนสมรสกับนางน้ําฝน จึงเป็นกรณีที่นายดินได้ทําการ สมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้ว จึงเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 การสมรสของนายดินกับนางน้ําฝน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

(2) สําหรับทรัพย์สินต่าง ๆ จะเป็นของใครนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

ที่ดิน 1 แปลง ราคา 1,000,000 บาท ที่นายดินซื้อมาโดยหักเงินเดือนของตนเอง ทุกเดือนผ่อนชําระจนครบนั้น เมื่อเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสของนายดินกับนางเพชร ตามมาตรา 1474 (1)

สําหรับเงินฝาก 200,000 บาทของนางน้ําฝนและดอกเบี้ยจากเงินฝากภายหลัง สมรสอีก 50,000 บาทนั้น ย่อมตกเป็นของนางน้ำฝนแต่เพียงผู้เดียว เพราะการสมรสระหว่างนายดินกับนางน้ำฝน ที่ตกเป็นโมฆะนั้น ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่งและ วรรคสอง

สรุป

(1) การสมรสของนายดินกับนางน้ำฝน มีผลเป็นโมฆะ

(2) ทรัพย์สินที่เป็นที่ดินที่นายดินซื้อมาเป็นสินสมรสของนายดินกับนางเพชร ส่วนเงินฝากของนางน้ำฝนและดอกเบี้ยอีก 50,000 บาท เป็นของนางน้ำฝนแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 3 นายหมากและนางมนเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ทั้งสองทําสัญญาระหว่างสมรสให้นายหมาก เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายหมากได้จํานองที่ดินแปลงหนึ่ง ที่เป็นสินสมรสกับนายภาพในราคาหนึ่งล้านบาท โดยที่นายภพไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส ต่อมาบิดาของนายหมากได้ยกบ้านให้นายหมาก นายหมากนําบ้านหลังดังกล่าวไปให้คนอื่นเช่า นายหมากนําเงินค่าเช่าจํานวนห้าหมื่นบาทไปให้นายเก่งผู้เป็นเพื่อนยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย นางมนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมทั้งในเรื่องการจํานองที่ดินและการให้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด นางมนน้อยใจนายหมากมากที่จัดการเรื่องต่าง ๆ โดยไม่เคยบอกกล่าวแก่ตนเลย ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางมนจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากจํานองที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนายภพและการที่ นายหมากให้กู้ยืมเงินแก่นายเก่งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิ์จํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายหมากและนางมนได้ทําต่อกันโดยให้นายหมาก เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้นใช้บังคับไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการ สินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อนายหมากและนางมนไม่ได้ทําสัญญาก่อน สมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายหมากและนางมนในเรื่องทรัพย์สิน จึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1473 และมาตรา 1476

การที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปจํานองกับนายภพนั้น เป็นนิติกรรมตามมาตรา 1476 (1) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เมื่อนายหมากจํานองที่ดิน โดยที่นางมนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม โดยหลักแล้ว นางมนย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องศาลขอเพิกถอนตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายภพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส และนายภพ ได้จ่ายเงินค่าจํานองให้นายหมาก จึงถือว่านายภพได้กระทําการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งเข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งตอนท้าย ดังนั้น นางมนจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรส ไปจํานองกับนายภพไม่ได้

ส่วนบ้านที่นายหมากได้มาในระหว่างสมรสโดยบิดาของนายหมากยกให้โดยเสน่หานั้น มิใช่ สินสมรสตามมาตรา 1474 (1) แต่เป็นสินส่วนตัวของนายหมากตามมาตรา 1471 (3) นายหมากจึงสามารถจัดการ ได้โดยลําพังตามมาตรา 1473 แต่เมื่อนายหมากได้เอาบ้านหลังดังกล่าวไปให้คนอื่นเช่าและได้ค่าเช่ามาจํานวน 50,000 บาท ค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของสินส่วนตัวจึงถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เมื่อนายหมาก ได้นําเงินค่าเช่าจํานวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นายเก่งกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยนั้น เป็นนิติกรรมตาม มาตรา 1476 (4) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนางมน ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมเงินนั้น อีกทั้งนายเก่งก็ไม่ได้เสียค่าตอบแทนเพราะนายเก่งกู้ยืมเงินโดย ไม่ได้เสียดอกเบี้ย ดังนั้นนางมนจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป

นางมนจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปจํานอง กับนายภพไม่ได้ แต่นางมนสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่แอบไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่าน เมื่อนางไข่ทราบโกรธนายไก่มากมีโอกาสจึงตัดอวัยวะเพศของนายไก่ ทิ้งลงแม่น้ำ

(1) นางห่านจะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทําให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันนั้น นายไก่และนางไข่จึงมิใช่สามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่าน นายไก่กับนางห่านจึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย (ตามมาตรา 1457)

การที่นางไข่ตัดอวัยวะเพศของนายไก่ทิ้งลงแม่น้ำ ทําให้นายไก่มีสภาพแห่งกายที่ไม่ สามารถร่วมประเวณีได้ตลอดกาล ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ที่เป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ดังนั้น นางห่านภริยา จึงสามารถฟ้องหย่าได้

(2) เมื่อเด็กชายเป็ดเกิดจากนายไก่และนางไข่ที่มิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเด็กชายเป็ดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตาม มาตรา 1546

สรุป

(1) นางห่านฟ้องหย่านายไก่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายรุ่งเรืองทําสัญญาหมั้น น.ส.อรทัย โดยตกลงจะให้แหวนเพชร 1 วง และทอง 5 บาท ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ได้ทําสัญญาหมั้น นายรุ่งเรืองได้ส่งมอบแหวนเพชร 1 วง แต่ทอง 5 บาท ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน จึงทําสัญญากู้เงินจํานวน 100,000 บาท ให้ไว้แทน และได้ตกลงว่าจะจดทะเบียนสมรส กันในเดือนธันวาคม ต่อมาในเดือนมิถุนายน น.ส.อรทัยได้ลาออกจากงานไปอยู่กินฉันสามีภริยา และช่วยทํางานให้แก่นายรุ่งเรืองที่บ้าน ปรากฏว่าในเดือนตุลาคม นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท โดยไม่ทราบว่า น.ส.สุดาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ แล้ว เช่นนี้

(ก) น.ส.อรทัย เห็นว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นและต้องการฟ้องเรียกของหมั้นที่เป็นเงิน 100,000 บาท

(ข) นายรุ่งเรืองอ้างว่าสัญญาหมั้น น.ส.สุดาใช้ไม่ได้ เพราะเป็นการทําสัญญาซ้อน และน.ส.สุดาเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ

ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น” ”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อรทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และได้ตกลงว่าจะจดทะเบียนสมรสกันในเดือนธันวาคมนั้น การหมั้นระหว่างนายรุ่งเรืองกับ น.ส.อรทัยย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก ต่อมาการที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท ในเดือนตุลาคมนั้น ไม่ถือว่า เป็นกรณีที่นายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้น เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 นั้น จะต้อง เป็นกรณีที่นายรุ่งเรืองได้ปฏิเสธไม่ยอมสมรสกับ น.ส.อรทัยแล้ว หรือไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.อรทัย เมื่อถึง เดือนธันวาคมแล้ว แต่ตามข้อเท็จจริงยังไม่ถึงเดือนธันวาคมและไม่ปรากฏว่านายรุ่งเรืองได้ปฏิเสธไม่ยอมสมรสกับ น.ส.อรทัยแต่อย่างใด อีกทั้งแม้ว่านายรุ่งเรืองจะได้หมั้นกับ น.ส.สุดาก็ตาม นายรุ่งเรืองก็สามารถที่จะจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.อรทัยได้ เพราะ น.ส.สุดาไม่อาจฟ้องบังคับให้นายรุ่งเรืองสมรสกับตนได้นั่นเอง (มาตรา 1438) ดังนั้น น.ส.อรทัยจะถือว่านายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้นไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดา ในขณะที่ได้มีการหมั้นกับ น.ส.อรทัยอยู่ก่อนแล้วนั้น น.ส.อรทัยสามารถถือเป็นเหตุสําคัญอันเกิดกับชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควร สมรสกับชายนั้น เพื่อบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยไม่ต้องคืนของหมั้นได้ตามมาตรา 1443

ส่วนกรณีที่นายรุ่งเรืองตกลงว่าจะให้ทอง 5 บาท แก่ น.ส.อรทัย แต่ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน จึงทําสัญญากู้เงินจํานวน 100,000 บาท ให้ไว้แทนนั้น ไม่ถือว่าเป็นการให้ของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ให้ไว้ในเวลาทําสัญญาหมั้นและซึ่งหญิงได้รับไว้แล้ว ดังนั้น น.ส.อรทัยจะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาท ตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (ฎีกาที่ 1852/2506)

(ข) การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท และในขณะที่หมั้นนั้น นายรุ่งเรืองมีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วคือ น.ส.อรทัยนั้น สัญญาหมั้นระหว่างนายรุ่งเรืองกับ น.ส.สุดาก็มีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะนายรุ่งเรืองสามารถที่จะสมรสกับ น.ส.สุดาในภายหลังได้ และ ตามกฎหมาย น.ส.อรทัยก็ไม่สามารถบังคับให้นายรุ่งเรืองสมรสกับตนได้ (มาตรา 1438) อีกทั้งตามกฎหมายก็มิได้ บัญญัติว่าการหมั้นในขณะที่ตนมีคู่หมั้นอยู่แล้วเป็นการทําสัญญาหมั้นซ้อน หรือมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ น.ส.สุดาเป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้วนั้น ก็มิได้ มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ทําการหมั้นแต่อย่างใด ดังนั้น น.ส.สุดาจึงสามารถทําสัญญาหมั้นกับนายรุ่งเรืองได้

สรุป

(ก) น.ส.อรทัยจะถือว่านายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้น และจะฟ้องเรียกของหมั้นที่เป็นเงิน

100,000 บาท ไม่ได้

(ข) นายรุ่งเรืองจะอ้างว่าสัญญาหมั้น น.ส.สุดาใช้ไม่ได้ เพราะเป็นการทําสัญญาซ้อนและ น.ส.สุดาเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้

 

ข้อ 2 นายดําจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฟ้าใส ซึ่งเป็นน้องสาวของตน โดย น.ส.ฟ้าใสไม่ทราบเพราะมารดา ได้ยก น.ส.ฟ้าใสให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายขาวตั้งแต่ยังแบเบาะ ซึ่งนายดําทราบดีแต่นิ่งเฉย ไม่บอกกล่าว ในระหว่างสมรสนั้นเอง นายดําได้มอบเงินให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท ต่อมา น.ส.ฟ้าใสทราบความจริงว่าเป็นน้องสาว จึงเห็นว่าไม่ควรใช้ชีวิตสมรสร่วมกัน อีกต่อไป ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) น.ส.ฟ้าใสจะฟ้องให้การสมรสสิ้นสุดลงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(2) นายดําจะเรียกเงินที่ให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท คืนได้หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1450 “ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วม บิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทําการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายโลหิต โดยไม่คํานึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”

มาตรา 1461 “สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1496 “คําพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ

คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็น โมฆะได้ ถ้าไม่มีบุคคลดังกล่าว ผู้มีส่วนได้เสียจะร้องขอให้อัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลก็ได้”

มาตรา 1499 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 หรือ มาตรา 1458 ไม่ทําให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิ์ที่ได้มาเพราะการสมรสก่อนมีคําพิพากษาถึงที่สุด ให้เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายดําจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฟ้าใส ซึ่งเป็นน้องสาวของตนนั้น ถือว่าเป็น การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1450 เพราะเป็นการสมรสระหว่างพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน และมีผลเป็นโมฆะตาม มาตรา 1495 ดังนั้น น.ส.ฟ้าใสในฐานะคู่สมรสจึงสามารถฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะเพื่อให้ การสมรสสิ้นสุดลงได้ตามมาตรา 1496 วรรคสอง

(2) เงินที่นายดําได้มอบให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาทนั้น เมื่อได้ให้ ในขณะที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ และศาลยังไม่มีคําพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ ย่อมถือว่าเป็นเงินที่สามีให้ เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามมาตรา 1461 และเมื่อเป็นเงินที่ น.ส.ฟ้าใสได้มาเพราะการสมรสและโดยสุจริต เพราะ น.ส.ฟ้าใสไม่ทราบว่าเป็นน้องสาว น.ส.ฟ้าใสจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1499 วรรคแรก ดังนั้นนายดํา จะเรียกเงินดังกล่าวคืนไม่ได้

สรุป

(1) น.ส.ฟ้าใสจะฟ้องให้การสมรสสิ้นสุดลงได้

(2) นายดําจะเรียกเงินที่ให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท คืนไม่ได้

 

ข้อ 3 นายเกษมและนางแก้วเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายก้อง นายเกษมกู้เงินมาซื้อรถยนต์โดยผ่อนชําระเงินกู้ด้วยเงินเดือนของนายเกษมจนครบถ้วน และใส่ชื่อนายเกษม ในทะเบียนรถยนต์แต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายเกษมและนางแก้วทะเลาะกัน ทั้งสองคนตัดสินใจ แยกกันอยู่ นางแก้วไปกู้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนของนายก้องจํานวน 10,000 บาท โดยนายเกษมไม่ได้ รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้เงินนั้นแต่อย่างใด ต่อมานายเกษมเอาเงินเก็บของตนเองซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล นายเกษมถูกรางวัลได้รับเงินมา 1,000,000 บาท นางแก้วขอแบ่งเงินรางวัลที่ นายเกษมได้รับ แต่นายเกษมไม่ยินยอม นายเกษมอ้างว่าเงินรางวัลนี้เป็นของนายเกษมแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นทั้งคู่ประสงค์จะหย่าขาดกัน ดังนี้ ทรัพย์สินที่นายเกษมและนางแก้วมีจะต้องแบ่งกันอย่างไร และนายเกษมจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาท ด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

 

มาตรา 1488 “ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชําระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่าง สมรส ให้ชําระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชําระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1533 “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเกษมและนางแก้วเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย และต่อมา ทั้งสองทะเลาะกันและตัดสินใจแยกกันอยู่นั้น เมื่อทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน จึงถือว่าทั้งสองยังเป็นสามี ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 1501)

สําหรับทรัพย์สินที่เป็นรถยนต์นั้น แม้นายเกษมจะกู้เงินมาซื้อและผ่อนชําระเงินกู้ด้วยเงินเดือน ของนายเกษมจนครบถ้วน และการที่นายเกษมถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับเงินมา 1,000,000 บาท โดยที่ นายเกษมได้เอาเงินเก็บของตนเองซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ทั้งรถยนต์และเงินรางวัล 1,000,000 บาท ย่อมถือว่า เป็นสินสมรส เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาในระหว่างสมรสตามมาตรา 1474 (1) ดังนั้น เมื่อทั้งสองประสงค์ ที่จะหย่ากัน นายเกษมและนางแก้วจึงต้องแบ่งรถยนต์และเงินรางวัล 1,000,000 บาท คนละครึ่งตามมาตรา 1533

ส่วนหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาท ที่นางแก้วกู้มาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนของนายก้องนั้น มิใช่ หนี้ส่วนตัวที่นางแก้วจะต้องรับผิดชอบเพียงคนเดียวตามมาตรา 1488 แต่เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) เพราะ เป็นหนี้ที่เกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ดังนั้น แม้นายเกษมจะไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้เงินรายนี้ก็ตาม นายเกษมก็ต้องร่วมกันรับผิดกับนางแก้ว

สรุป

ทรัพย์สินที่นายเกษมและนางแก้วจะต้องแบ่งกันเมื่อทั้งสองหย่ากันคือ รถยนต์และ รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรส และนายเกษมจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาทด้วย

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน คือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่และนางไข่ทะเลาะกันเพราะนายไก่กล่าวหาว่านางไข่ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยจึงตกลงหย่ากัน โดยทําเป็น หนังสือลงลายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่าย และมีพยาน 2 คน หลังจากนั้นนายไก่ก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางนก และมีลูกด้วยกันคือ เด็กหญิงหนู นางไข่บอกให้นายไก่เลิกกับนางนก นายไก่ก็ไม่ยอม อ้างว่านางไข่กับตนสิ้นสุดการสมรสแล้ว

(1) การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่มีภริยาน้อยได้หรือไม่

(3) เด็กชายเป็ด เด็กหญิงหนู เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่เเละนางไข่ได้ตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีพยานลงลายมือชื่อสองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้จดทะเบียน การหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางไข่จึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(2) การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนก และมีลูกด้วยกันคือเด็กหญิงหนู ในขณะที่นายไก่ยังมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายคือนางไข่ (เพราะการหย่ายังไม่สมบูรณ์) ถือว่าเป็นกรณีที่สามี ได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันาริยาตามมาตรา 1516 (1) ดังนั้น นางไข่จึงสามารถฟ้องหย่านายไก่เพราะ มีภริยาน้อยได้

(3) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารก เพราะเกิดขณะนายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเด็กหญิงหนูเป็นบุตรชอบด้วย กฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียว นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก เพราะเกิดในขณะที่นายไก่และนางนก มิได้จดทะเบียนสมรสกัน (ตามมาตรา 1457 ประกอบมาตรา 1546)

สรุป

(1) การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลไม่สมบูรณ์

(2) นางไข่ฟ้องหย่านายไก่เพราะมีภริยาน้อยได้

(3) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่ ส่วนเด็กหญิงหนูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียว

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุเทพได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวเพลินที่กรุงเทพมหานคร นายอุทัยบิดาของนายสุเทพได้ทําสัญญาหมั้นนางสาวเพลินกับนางอรสาผู้เป็นมารดาด้วยแหวนเพชร 1 วง ที่ต่างจังหวัด โดย นายสุเทพและนางสาวเพลินไม่ทราบ ต่อมานางสาวเพลินไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรส แต่นายสุเทพ ต้องการจดทะเบียนสมรสจึงต้องการฟ้องให้นางสาวเพลินจดทะเบียนสมรสด้วยตามสัญญาหมั้น ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง ถ้านางสาวเพลินไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรส นายอุทัยจะฟ้อง เรียกค่าทดแทนจากนางสาวเพลินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั่น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทัยบิดาของนายสุเทพได้ทําสัญญาหมั้นนางสาวเพลินกับนางอรสา ผู้เป็นมารดาด้วยแหวนเพชร 1 วงนั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว การหมั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก ดังนั้น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ ตามมาตรา 1439 ประกอบมาตรา 1440

ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัย มีว่า นายสุเทพจะฟ้องให้นางสาวเพลินจดทะเบียนสมรสด้วยตาม สัญญาหมั้นได้หรือไม่ เห็นว่าตามมาตรา 1438 กฎหมายได้กําหนดไว้ว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาล บังคับให้สมรสได้ ดังนั้น นายสุเทพจึงไม่สามารถฟ้องให้นางสาวเพลินจดทะเบียนสมรสด้วยได้

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัย มีว่า ถ้านางสาวเพลินไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรส นายอุทัยจะฟ้อง เรียกค่าทดแทนจากนางสาวเพลินได้หรือไม่ เห็นว่า ผู้ที่จะต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน กรณีผิดสัญญาหมั่นตามมาตรา 1439 ประกอบกับมาตรา 1440 นั้น จะต้องเป็นคู่สัญญาหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคแรก เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า

นางสาวเพลินไม่ใช่คู่สัญญาหมั้น นายอุทัยจึงไม่สามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวเพลินตามมาตรา 1439 และมาตรา 1440 ได้ นายอุทัยต้องไปฟ้องเอากับนางอรสามารดาของนางสาวเพลินซึ่งเป็นคู่สัญญาหมั้น

สรุป นายสุเทพจะฟ้องให้นางสาวเพลินจดทะเบียนสมรสด้วยตามสัญญาหมั้นไม่ได้ และถ้า นางสาวเพลินไม่ยินยอมจดทะเบียนสมรส นายอุทัยจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวเพลินไม่ได้เช่นกัน

 

ข้อ 2 นายชาติชายจดทะเบียนสมรสกับนางสมศรีแม่หม้าย แต่ความจริงยังไม่ได้หย่ากับสามี ต่อมาเมื่อทราบความจริง ปู่ของนายชาติชายต้องการให้ทําการสมรสใหม่ แต่นางสมศรีได้หนีไปก่อน จึงไม่ได้ ทําการหย่ากัน นายชาติชายต้องการทําให้ปู่พอใจจึงทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวสมส่วน โดย มีข้อตกลงกันว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กันฉันสามีภริยาและจะหย่ากันหลังจากนั้นปีเศษ ปู่นายชาติชาย ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 2 ไร่ ให้นายชาติชาย และนายชาติชายได้รางวัลสลากกินแบ่งอีกห้าล้านบาท เช่นนี้ การสมรสระหว่างนายชาติชายกับนางสมส่วนจะมีผลอย่างไร และทรัพย์สินต่าง ๆ จะเป็น ของใครบ้าง เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1458 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดง การยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้านายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็น สมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายจดทะเบียนสมรสกับนางสมศรี โดยที่นางสมศรียังไม่ได้ หย่ากับสามี ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1452 การสมรสระหว่างนายชาติชายกับนางสมศรี จึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 และเมื่อนายชาติชายได้ทําการสมรสกับนางสาวสมส่วนอีก โดยหลักย่อม สามารถทําได้ ไม่ถือเป็นการสมรสซ้อน เพราะการสมรสครั้งแรกตกเป็นโมฆะแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายชาติชายจดทะเบียนสมรสกับนางสาวสมส่วน โดยมีข้อตกลงกันว่า จะไม่มีความสัมพันธ์กันฉันสามีภริยาและจะหย่ากันหลังจากนั้นปีเศษ ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1458 ที่กําหนดให้ การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากัน ดังนั้น การสมรสระหว่างนายชาติชายกับ นางสาวสมส่วนจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

เมื่อการสมรสระหว่างนายชาติชายกับนางสาวสมส่วนตกเป็นโมฆะแล้ว ย่อมไม่เกิดความสัมพันธ์ ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคแรก ดังนั้น ที่ดิน 2 ไร่ ที่นายชาติชายได้รับมาจากปู่ อันเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471 (3) และรางวัลจากสลากกินแบ่ง 5 ล้านบาท ที่นายชาติชายได้รับระหว่างสมรส อันถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) ย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชาติชายแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1498 วรรคสอง ที่กําหนดว่า เมื่อการสมรสตกเป็นโมฆะแล้ว ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดได้มาหลังการสมรสคงเป็นของฝ่ายนั้น

สรุป การสมรสระหว่างนายชาติชายกับนางสาวสมส่วนมีผลเป็นโมฆะ และทรัพย์สินต่าง ๆ คือ ที่ดิน 2 ไร่ และรางวัลสลากกินแบ่งจํานวน 5 ล้านบาท จะเป็นของนายชาติชาย

 

ข้อ 3 นายสําราญกับนางรัตนาเป็นสามีภริยากัน ในระหว่างการสมรสบิดานางรัตนาได้ให้พระเครื่อง 1 องค์กับนางรัตนา และนางรัตนาได้ให้แก่นายสําราญ ต่อมานายสําราญได้ให้แก่นายเพชรซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ที่นับถือ นายสําราญโชคดีถูกรางวัลจากสลากกาชาด 1 ล้านบาท จึงนําไปเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ 1 ห้อง ไว้ทําการค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อตอนเกษียณอายุ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางรัตนาแต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนางรัตนาจะบอกล้างการให้พระเครื่องกับนายเพชร และขอให้ศาลเพิกถอนการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ” มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ นางรัตนาจะบอกล้างการให้พระเครื่องกับ นายเพชรได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นางรัตนาได้รับพระเครื่อง 1 องค์จากบิดา ย่อมเป็นสินส่วนตัวของนางรัตนาตาม มาตรา 1471 (3) เมื่อนางรัตนาได้ให้พระเครื่องที่เป็นสินส่วนตัวแก่นายสําราญ ย่อมถือเป็นสัญญาระหว่างสมรส ตามมาตรา 1459 พระเครื่องจึงตกเป็นสินส่วนตัวของนายสําราญตามมาตรา 1471 (3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มา ระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นายสําราญจึงมีอํานาจจัดการพระเครื่องโดยให้พระเครื่องแก่นายเพชรได้ ตามมาตรา 1473

เมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส แม้ว่านายสําราญได้ให้พระเครื่องดังกล่าวแก่นายเพชรแล้ว นางรัตนาก็ยังคงมีสิทธิบอกล้างการให้พระเครื่องแก่นายเพชรได้ โดยนางรัตนาสามารถบอกล้างในเวลาใดก็ได้ ที่เป็นสามีภริยากันอยู่ หรือภายในกําหนด 1 ปี นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้อง ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตตามมาตรา 1469 และจากข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่า นายเพชรซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําการหรือมีพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตแต่อย่างใด ดังนั้น นางรัตนาจะบอกล้าง การให้พระเครื่องกับนายเพชรไม่ได้

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยคือ นางรัตนาจะขอให้ศาลเพิกถอนการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ได้ หรือไม่ เห็นว่า การที่นายสําราญถูกรางวัลจากสลากกาชาด 1 ล้านบาท ถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะ ถือเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส แต่การที่นายสําราญนําเงินรางวัลไปเช่าซื้ออาคารพาณิชย์โดยไม่ได้รับ ความยินยอมจากนางรัตนานั้นไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด นายสําราญจึงสามารถเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ตามลําพังได้ ดังนั้น นางรัตนาจะขอให้ศาลเพิกถอนการเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ตามมาตรา 1480 ไม่ได้

สรุป นางรัตนาจะบอกล้างการให้พระเครื่องกับนายเพชรไม่ได้ และจะขอให้ศาลเพิกถอน การเช่าซื้ออาคารพาณิชย์ก็ไม่ได้เช่นกัน

 

ข้อ 4 นายพิจิตรกับนางแก้วฟ้าเป็นสามีภริยากันแต่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง นางแก้วฟ้าจึงได้กลับไปอยู่กับบิดามารดาเป็นเวลา 3 ปี โดยนายพิจิตรได้ขอให้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่นางแก้วฟ้า ก็ยังต้องการอยู่กับบิดามารดาต่อไป ต่อมานางแก้วฟ้าทราบจากเพื่อนว่า นายพิจิตรได้ไปเที่ยว มีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการเป็นบางครั้ง เช่นนี้ นายพิจิตรจะฟ้องหย่านางแก้วฟ้า และนางแก้วฟ้าจะฟ้องหย่านายพิจิตรได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(4/2) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคําสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ นายพิจิตรจะฟ้องหย่านางแก้วฟ้าได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายพิจิตรกับนางแก้วฟ้าซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง นางแก้วฟ้าจึงได้ กลับไปอยู่กับบิดามารดาเป็นเวลา 3 ปีแล้วนั้น ไม่ถือเป็นกรณีที่สามีหรือภริยาจงใจจะทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน หนึ่งปีอันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (4) อีกทั้งไม่ถือเป็นกรณีที่สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะ เหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี อันถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) แต่อย่างใด เพราะเป็นกรณีที่นางแก้วฟ้ากลับไปอยู่กับบิดามารดาโดยนายพิจิตรได้ขอให้นางแก้วฟ้ากลับมา อยู่ด้วยกัน แต่นางแก้วฟ้าไม่ตกลง จึงไม่ใช่การสมัครใจแยกกันอยู่เกินสามปีที่จะฟ้องหย่าได้ ดังนั้น นายพิจิตรจะ ฟ้องหย่านางแก้วฟ้าไม่ได้

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยคือ นางแก้วฟ้าจะฟ้องหย่านายพิจิตรได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ นายพิจิตรได้ไปเที่ยวมีเพศสัมพันธ์กับหญิงบริการเป็นบางครั้งนั้น ไม่ถือเป็นการร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อันจะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) แต่อย่างใด ดังนั้น นางแก้วฟ้าจะฟ้องหย่านายพิจิตรไม่ได้เช่นกัน

สรุป นายพิจิตรจะฟ้องหย่านางแก้วฟ้าไม่ได้ และนางแก้วฟ้าก็จะฟ้องหย่านายพิจิตรไม่ได้ เช่นกัน

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุนัยได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.ปริศนา ด้วยแหวนเพชร 1 วง และทอง 10 บาท น.ส.ปริศนาก็ได้ให้ทอง 5 บาท แก่นายสุนัยด้วย ต่อมานายสุนัยทราบว่า น.ส.ปริศนายังเที่ยวเตร่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับนายอํานาจแฟนเก่าอยู่ และ น.ส.ปริศนาก็ยอมรับผิด นายสุนัยได้ไปบวชและเมื่อสึก จากสมณเพศจึงได้ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ดวงเดือนและได้มอบทอง 5 บาท (ที่ได้รับจาก น.ส.ปริศนา) ให้แก่ น.ส.ดวงเดือน เมื่อ น.ส.ปริศนาทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องเรียกทอง 5 บาทคืนและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุนัย เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 521 “อันว่าให้นั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ โอนทรัพย์สินของตนให้ โดยเสน่หาแก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับ และผู้รับยอมรับเอาทรัพย์สินนั้น”

มาตรา 531 “อันผู้ให้จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณนั้น ท่านว่าอาจจะ เรียกได้แต่เพียงในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าผู้รับได้ประทุษร้ายต่อผู้ให้เป็นความผิดฐานอาญาอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมาย ลักษณะอาญา หรือ

(2) ถ้าผู้รับได้ทําให้ผู้ให้เสียชื่อเสียง หรือหมิ่นประมาทผู้ให้อย่างร้ายแรง หรือ

(3) ถ้าผู้รับได้บอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจําเป็นเลี้ยงชีวิตแก่ผู้ให้ ในเวลาที่ผู้ให้ยากไร้และผู้รับ ยังสามารถจะให้ได้”

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอัน เป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั่นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุนัยได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.ปริศนาด้วยแหวนเพชร 1 วง และ ทอง 10 บาทนั้น เมื่อมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว การหมั้นย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก

ดังนั้น ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1439

การที่ น.ส.ปริศนายังเที่ยวเตร่และมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนายอํานาจแฟนเก่าอยู่นั้น ถือว่า มีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้นายสุนัยไม่สมควรสมรสกับ น.ส.ปริศนา ซึ่งโดยหลักแล้วนายสุนัยย่อมมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาหมั้น และเรียกให้ น.ส.ปริศนาคืนของหมั้นได้ตามมาตรา 1442 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่า นายสุนัยทราบเรื่องดังกล่าวแล้วและตัวของ น.ส.ปริศนาก็ยอมรับผิด แต่นายสุนัยไม่ได้บอกเลิกสัญญาหมั้น แต่อย่างใด เช่นนี้ถือว่าสัญญาหมั้นยังคงมีอยู่ และ น.ส.ปริศนาก็ไม่ต้องคืนของหมั่นให้แก่นายสุนัย

การที่นายสุนัยได้ไปบวชและเมื่อสึกจากสมณเพศก็ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ดวงเดือนนั้น การกระทําของนายสุนัยถือได้ว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น ดังนั้น น.ส.ปริศนาจึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุนัย ได้ตามมาตรา 1439 ประกอบมาตรา 1440 (1)

ส่วนทอง 5 บาท ที่ น.ส.ปริศนาได้ให้แก่นายสุนัยในวันหมั้นนั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้นตาม มาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมิใช่ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายได้ส่งมอบให้แก่หญิงคู่หมั้น แต่ถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หา ตามมาตรา 521 ดังนั้นทอง 5 บาท จึงตกเป็นสิทธิของนายสุนัย และเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายสุนัยได้กระทําการ อย่างใดอย่างหนึ่งอันถือว่าเป็นการประพฤติเนรคุณตามมาตรา 531 ดังนั้น น.ส.ปริศนาจึงไม่สามารถฟ้องเรียก ทอง 5 บาท คืนจากนายสุนัยได้

สรุป

น.ส.ปริศนามีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากการที่นายสุนัยผิดสัญญาหมั้นได้ แต่จะฟ้อง เรียกทอง 5 บาท คืนไม่ได้

 

ข้อ 2 นางสาวหนึ่ง สาว กทม. ถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาดจากบิดามารดาของหนุ่มใต้รูปหล่อตามที่เห็นในภาพถ่ายคือนายสอง ทําให้นางสาวหนึ่งหลงเชื่อจึงจดทะเบียนสมรสกับนายสอง ภายหลังนางหนึ่งจึง ทราบว่านายสองจบประถมสี่ฐานะยากจน ไม่ทํางาน ตรงข้ามกับที่พ่อแม่ของนายสองพูดไว้ นางหนึ่ง จึงไปจดทะเบียนสมรสกับนายสามชายชราซึ่งมาหลงรักนางหนึ่งเพราะฐานะร่ำรวยและรักจริง หวังแต่ง การจดทะเบียนสมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสอง นางหนึ่งกับนายสามมีผลในทางกฎหมาย อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1506 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉล นั้นจะไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

ความในวรรคหนึ่ง ไม่ใช้บังคับในกรณีที่กลฉ้อฉลนั้นเกิดขึ้นโดยบุคคลที่สามโดยคู่สมรสอีก ฝ่ายหนึ่งมิได้รู้เห็นด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวหนึ่งได้ถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาดจากบิดามารดาของนายสอง ทําให้นางสาวหนึ่งหลงเชื่อและได้จดทะเบียนสมรสกับนายสองนั้น ถือว่าการสมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสองมี ผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1457 กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการสมรสเพราะถูกกลฉ้อฉลที่จะทําให้การสมรสตกเป็น โมฆียะตามมาตรา 1506 วรรคแรก ทั้งนี้เพราะการที่นางหนึ่งได้ทําการสมรสเพราะถูกกลฉ้อฉลนั้น กลฉ้อฉลมิได้ เกิดจากนายสองซึ่งเป็นคู่สมรส แต่เกิดจากบิดามารดาของนายสองซึ่งเป็นบุคคลที่สาม และตามข้อเท็จจริงก็ ไม่ปรากฏว่านายสองได้รู้เห็นถึงกลฉ้อฉลนั้นด้วยแต่อย่างใด (มาตรา 1506 วรรคสอง)

เมื่อการสมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสองมีผลสมบูรณ์ นางหนึ่งกับนายสองย่อมเป็นภริยา และสามีกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่นางหนึ่งไปจดทะเบียนสมรสกับนายสามจึงเป็นการสมรสซ้อน คือ เป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้ว ดังนั้นการสมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสามจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 และมาตรา 1495

สรุป การจดทะเบียนสมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสองมีผลสมบูรณ์ ส่วนการจดทะเบียน สมรสระหว่างนางหนึ่งกับนายสามเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายนนท์และนางศรีเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ระหว่างสมรสนายนนท์ให้แหวนเพชรที่นายนนท์ซื้อมาก่อนสมรสแก่นางศรี นางศรีไม่ชอบแบบของแหวนเพชร นางศรีจึงให้แหวนเพชรดังกล่าวแก่ นางใจซึ่งเป็นป้าของนางศรีโดยที่นางใจไม่ทราบว่าเป็นแหวนเพชรที่นายนนท์ให้แก่นางศรี ต่อมา นางศรีทําสัญญาให้เช่าที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนายโชติซึ่งเป็นน้าชายของนางศรีมีกําหนดเวลา 3 ปี ตามลําพัง โดยที่นายนนท์ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้เช่านั้น หลังจากนายนนท์ทราบ เรื่องทั้งหมด นายนนท์โกรธมากที่นางศรีให้แหวนเพชรแก่นางใจ และนายนนท์ก็เห็นว่าถ้าให้บุคคลอื่น เช่าที่ดินที่เป็นสินสมรสจะได้ค่าเช่าสูงกว่าที่ให้นายโชติเช่ามาก ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายนนท์จะบอกล้างการให้แหวนเพชรแก่นางศรีได้หรือไม่ และใครจะมีกรรมสิทธิ์ในแหวนเพชรดังกล่าว

(ข) นายนนท์จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ สาขา

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอม ของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายนนท์ให้แหวนเพชรที่นายนนท์มีอยู่ก่อนสมรสซึ่งเป็นสินส่วนตัวตามมาตรา 1471 (1) แก่นางศรีนั้น เป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 เพราะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยา ได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน และแหวนเพชรดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่นางศรีได้มาในระหว่างสมรส โดยการให้โดยเสน่หา จึงถือว่าเป็นสินส่วนตัวของนางศรีตามมาตรา 1471 (3) ซึ่งนางศรีย่อมมีอํานาจในการจัดการ เกี่ยวกับแหวนเพชรนี้ได้โดยลําพังตามมาตรา 1473 ดังนั้นนางศรีจึงมีสิทธิที่จะให้แหวนเพชรแก่นางใจได้

แต่เนื่องจากการให้แหวนเพชรระหว่างนายนนท์กับนางศรีเป็นสัญญาระหว่างสมรส นายนนท์จึงมีสิทธิที่จะบอกล้างการให้แหวนเพชรกับนางศรีได้ตามมาตรา 1469 แต่การบอกล้างดังกล่าวจะต้อง ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางใจเป็น บุคคลภายนอกที่ได้รับแหวนเพชรจากนางศรีโดยสุจริตเพราะนางใจไม่ทราบว่าเป็นแหวนเพชรที่นายนนท์ได้ให้แก่ นางศรี นางใจจึงได้กรรมสิทธิ์ในแหวนเพชรดังกล่าว

(ข) การที่นางศรีได้ทําสัญญาให้เช่าที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนายโชติซึ่งเป็นน้าชายของนางศรี มีกําหนดเวลา 3 ปีนั้น ไม่ถือว่าเป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 วรรคหนึ่ง ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นางศรีจึงมีอํานาจจัดการได้โดยลําพังตามมาตรา 1476 วรรคสอง นายนนท์จะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมให้เช่าที่ดินดังกล่าวตามมาตรา 1480 ไม่ได้

สรุป

(ก) นายนนท์สามารถบอกล้างการให้แหวนเพชรแก่นางศรีได้ และนางใจมีกรรมสิทธิ์ในแหวนเพชรดังกล่าว

(ข) นายนนท์จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานายไก่หนีนางไข่ไปบวช เวลาผ่านไปเกือบสองปีนางไข่เพิ่งจะทราบว่านายไก่บวชจึงตามไปและขอร้องให้สึก ถ้าไม่สึกนางไข่ก็จะไปอยู่กิน ร่วมกันฉันสามีภริยากับนายเป็ดซึ่งเป็นนายจ้าง นายไก่ก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด หลังจากนั้นนางไข่ มีลูกกับนายเป็ดคือเด็กชายห่าน จากเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ และนางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่

และเด็กชายห่านเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใครนับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคแรก “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่สามีของนางไข่ได้หนีนางไข่ไปบวชเป็นเวลาเกือบ 2 ปีนั้น ถือได้ว่า เป็นกรณีที่สามีจงใจละทิ้งร้างนางไข่ภริยาไปเกิน 1 ปี ดังนั้นนางไข่สามารถฟ้องหย่านายไก่ได้ตามมาตรา 1516 (4) แต่การที่นางไข่ได้ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับนายเป็ด นายไก่จะอ้างเหตุตามมาตรา 1516 (1) เพื่อฟ้องหย่านางไข่ไม่ได้ เพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคแรก กล่าวคือ นายไก่ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําของ นางไข่นั้นเอง

เมื่อนายไก่และนางไข่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพราะการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง การที่นางไข่มีบุตร กับนายเป็ดคือเด็กชายห่าน เด็กชายห่านย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่ตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เพราะเด็กชายห่านได้เกิดในขณะที่นางไข่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ของนายไก่ตามมาตรา 1536

สรุป

นางไข่ฟ้องหย่านายไก่ได้ แต่นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ไม่ได้

เด็กชายห่านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายประจินกับบิดาได้มาทําสัญญาหมั้นนางสาวนัยนาด้วยให้เครื่องเพชรของครอบครัว 1 ชุดต่อมาอีกสามเดือนนางสาวนัยนาได้พบกับนายสุเทพสามีเก่าซึ่งหย่ากันไปแล้วกว่าหนึ่งปี นายสุเทพ ได้มาขอคืนดีกับนางสาวนัยนาและขอโอกาสจดทะเบียนสมรสอยู่กินกันอีกครั้ง ทั้งสองได้ตกลงกัน ที่จะไปพบกันที่บางแสนเพื่อตกลงพูดคุยกัน ในระหว่างที่กําลังเดินทางไปนั้นนายประจินทราบข่าว ก็ขับรถยนต์ติดตามไปแต่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสุเทพกับนางสาวนัยนาได้ตกลงจดทะเบียน สมรสกัน บิดาของนายประจินเสียใจและผิดหวังจึงต้องการฟ้องเอาเครื่องเพชรของครอบครัวคืน เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรกและวรรคสอง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1441 “ถ้าคู่หมั้นฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องค่าทดแทนมิได้ ส่วนของหมั้นหรือสินสอดนั้น ไม่ว่าชายหรือหญิงตาย หญิงหรือฝ่ายหญิงไม่ต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายประจินกับบิดาได้มาทําสัญญาหมั้นกับนางสาวนัยนา ด้วย เครื่องเพชรของครอบครัว 1 ชุด นั้น ถือว่าการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะได้มีการส่งมอบ ของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว และของหมั้นดังกล่าวย่อมตกเป็นสิทธิของฝ่ายหญิงตามมาตรา 1437 วรรคสอง

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่านายประจินได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต จึงเป็นกรณีที่คู่หมั้น ฝ่ายหนึ่งตายก่อนสมรส ซึ่งตามมาตรา 1441 กําหนดไว้ว่า ของหมั้นนั้นไม่ว่าชายหรือหญิงตาย หญิงหรือฝ่ายหญิง ไม่ต้องคืนของหมั้นให้แก่ฝ่ายชาย ดังนั้น บิดาของนายประจินซึ่งเป็นคู่สัญญาหมั้นด้วย จึงฟ้องเรียกเอาเครื่องเพชร ของครอบครัวคืนไม่ได้ และการที่นายสุเทพกับนางสาวนัยนาได้ตกลงจดทะเบียนสมรสกันนั้นได้เกิดขึ้นภายหลัง จากที่นายประจินได้เสียชีวิตแล้ว จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นางสาวนัยนาผิดสัญญาหมั้น ดังนั้นบิดาของ นายประจินจะฟ้องเรียกเอาเครื่องเพชรของครอบครัวคืนตามมาตรา 1439 ไม่ได้เช่นเดียวกัน

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่าบิดาของนายประจินจะฟ้องเรียกเอาเครื่องเพชรของครอบครัวคืนไม่ได้

 

ข้อ 2 จันทร์และอังคาร อายุ 17 ปีบริบูรณ์เท่ากันไปจดทะเบียนสมรสโดยบิดามารดาทั้งสองฝ่ายมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด หลังจากนั้นเมื่อบิดามารดานางอังคารทราบจึงอนุญาตให้นางอังคารไป จดทะเบียนสมรสกับนายถุงทองคนรักอีกคนหนึ่งซึ่งฐานะดีและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านายจันทร์ มีอายุ 30 ปีแล้ว และมีอาชีพการงานมั่นคง นางอังคารก็เห็นด้วยเพราะตั้งแต่แต่งงานกับนายจันทร์ ทุกอย่างดูไม่ราบรื่น การสมรสระหว่างนายจันทร์และนางอังคาร นางอังคารและนายถุงทองมีผลในทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั่นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณี ที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรส นั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

การสมรสระหว่างนายจันทร์และนางอังคาร

การที่นายจันทร์และนางอังคารซึ่งเป็นผู้เยาว์และมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ได้ไปจดทะเบียน สมรสกันโดยบิดามารดาทั้งสองฝ่ายมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใดนั้น การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 และมาตรา 1509

แต่อย่างไรก็ตาม การสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังไม่มีการฟ้อง ให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรส จึงถือว่าการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง และถือว่านายจันทร์และนางอังคารยังคง เป็นสามีภริยากันอยู่ (มาตรา 1502)

การสมรสระหว่างนางอังคารและนายถุงทอง

การที่นางอังคารไปจดทะเบียนสมรสกับนายถุงทองขณะที่ตนยังเป็นภริยาของนายจันทร์ ย่อมถือว่านางอังคารได้ทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ (เป็นการสมรสซ้อน) ดังนั้น การสมรสระหว่าง นางอังคารและนายถุงทองจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 แม้ว่านางอังคารจะได้รับ ความยินยอมจากบิดามารดาก็ตาม

สรุป การสมรสระหว่างนายจันทร์และนางอังคารมีผลเป็นโมฆียะ ส่วนการสมรสระหว่างนางอังคารกับนายถุงทองมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายเข้มและนางหนูเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายเข้มให้สร้อยทับทิมที่เป็นมรดกตกทอดจากคุณย่าแก่นางหนู ต่อมานางหนูเห็นว่าแบบของสร้อยทับทิมไม่เหมาะกับตน นางหนูจึงให้สร้อยทับทิม ดังกล่าวแก่นางน้อยซึ่งเป็นน้าที่เลี้ยงดูนางหนูมาตั้งแต่เล็ก โดยที่นางน้อยไม่ทราบว่าเป็นสร้อยทับทิม ที่นายเข้มให้นางหนู หลังจากนั้นนางหนูและนายเข้มขายที่ดินที่เป็นสินสมรสได้เงินมา 1 ล้านบาท นางหนูนําเงินทั้งหมดไปซื้อที่ดินแปลงใหม่ โดยนายเข้มไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการซื้อที่ดิน ต่อมานายเข้มทราบเรื่องทั้งหมด นายเข้มโกรธมากเพราะสร้อยทับทิมเป็นสมบัติของตระกูลนายเข้ม นายเข้มไม่ต้องการให้ตกแก่ผู้อื่น อีกทั้งนายเข้มต้องการเก็บเงิน 1 ล้านบาทจากการขายที่ดินไว้ เป็นค่ารักษาพยาบาลเวลาเจ็บป่วย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายเข้มจะบอกล้างการให้สร้อยทับทิมแก่นางหนูได้หรือไม่ และสร้อยทับทิมจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร เพราะเหตุใด

(ข) นายเข้มจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่ดินของนางหนูได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเข้มให้สร้อยทับทิมที่เป็นสินส่วนตัวของนายเข้มแก่นางหนูถือว่าเป็นสัญญา ระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 สร้อยทับทิมจึงตกเป็นสินส่วนตัวของนางหนูตามมาตรา 1471 (3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นางหนูจึงมีอํานาจจัดการสร้อยทับทิมโดยให้สร้อยทับทิม แก่นางน้อยได้ตามมาตรา 1473

แต่เมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส แม้ว่านางหนูได้ให้สร้อยทับทิมดังกล่าวแก่นางน้อยแล้ว นายเข้มก็ยังคงมีสิทธิบอกล้างการให้สร้อยทับทิมแก่นางหนูได้ โดยนายเข้มสามารถบอกล้างในเวลาใดที่เป็นสามี ภริยากันอยู่ หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่กระทบกระเทือน ถึงสิทธิของบุคคลภายนอกที่ทําการโดยสุจริตตามมาตรา 1469 เมื่อนางน้อยไม่ทราบว่าสร้อยทับทิมที่ตนเองได้รับมา จากนางหนูเป็นสร้อยทับทิมที่นายเข้มให้นางหนูจึงถือว่านางน้อยสุจริต สร้อยทับทิมจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ นางน้อย ดังนั้นนายเข้มจะบอกล้างการให้สร้อยทับทิมแก่นางหนูไม่ได้

(ข) ส่วนการที่นางหนูนําเงินที่เป็นสินสมรสไปซื้อที่ดินโดยที่นายเข้มไม่ได้รู้เห็นและให้ ความยินยอมแต่อย่างใดนั้น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (1) – (8) ที่ สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง นางหนูจึงสามารถซื้อที่ดินตามลําพังได้ ดังนั้นนายเข้มจึงไม่สามารถฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่ดินของนางหนูได้

สรุป

(ก) นายเข้มจะบอกล้างการให้สร้อยทับทิมแก่นางหนูไม่ได้ และสร้อยทับทิมจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางน้อย

(ข) นายเข้มจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการซื้อที่ดินของนางหนูไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมานางไข่ป่วยหนัก น.ส.เป็ดเพื่อนรักนางไข่ซึ่งเป็นสาวโสดก็อาสามาดูแลเพื่อน นางไข่เลยให้ น.ส.เป็ดทําหน้าที่ภริยาอีกหน้าที่หนึ่ง ต่อมานายไก่ และ น.ส.เป็ดมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ด.ช.ห่าน เมื่อนางไข่หายป่วย นายไก่ก็แสดงความรักใคร่นางไข่ อย่างมาก ทําให้ น.ส.เป็ดโกรธตัดอวัยวะเพศชายนายไก่โยนทิ้งแม่น้ำไป นายไก่โกรธนางไข่หาว่า นางไข่ให้ น.ส.เป็ดมาอยู่ด้วยทําให้ตนพิการ นางไข่จึงโกรธสามีมาก นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่จากเหตุที่เกิดทั้งหมดได้หรือไม่ และ ด.ช.ห่านเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทําให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ถ้าเกิดเพราะการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่จากเหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายไก่มี ภรรยาน้อยอีกคนคือ น.ส.เป็ด นั้น นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ เพราะการที่นายไก่ได้ น.ส.เป็ด เป็นภริยาอีกคน ซึ่งถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) นั้นเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคแรก กล่าวคือ นางไข่ ได้ยินยอมและรู้เห็นเป็นใจด้วยกับการที่นายไก่ได้ น.ส.เป็ด เป็นกริยา นางไข่จึงฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายไก่ถูก น.ส.เป็ดตัดอวัยวะเพศจนพิการ นางไข่ย่อมสามารถฟ้องหย่านายไก่ได้ตามมาตรา 1516, (10) เพราะถือว่านายไก่มีสภาพแห่งกายที่ทําให้ ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคสอง เพราะ น.ส.เป็ดเป็น ผู้กระทําต่อนายไก่ มิใช่นางไข่เป็นผู้กระทํา

(2) ดช.ห่านเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด เห็นว่า ด.ช.ห่านเป็นบุตร ของ น.ส.เป็ดซึ่งมิได้ทําการสมรสกับนายไก่ ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.เป็ดแต่เพียง ผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.เปิดตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ตามมาตรา 1516 (1) ไม่ได้ แต่ฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ได้ และ ด.ช.ห่านเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.เป็ดแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและ อยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสุรพลได้ชอบพอกับ น.ส.หฤทัย ในวันปีใหม่นายสุรพลได้ให้สร้อยทอง 1 บาท แก่ น.ส.หฤทัย และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายสุรพลได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.หฤทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 500,000 บาท ต่อมานายสุรพลทราบว่า น.ส.หฤทัย ได้แอบอยู่กินกับนายชาติชาย นายสุรพลเห็นว่า น.ส.หฤทัยผิดสัญญาการหมั้นหมายกับตน จึงต้องการฟ้องเรียกสร้อยทอง 1 บาท แหวนเพชร และ เงิน 500,000 บาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุรพลได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.หฤทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และ เงิน 500,000 บาท นั้น ถือว่าการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะได้มีการส่งมอบของหมั้น ให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว แต่การที่นายสุรพลได้ให้สร้อยทองแก่ น.ส.หฤทัย ในวันปีใหม่นั้น สร้อยทองดังกล่าวไม่ถือว่า เป็นของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะถือว่าเป็นการให้โดยเสน่หา (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 521) ดังนั้น เมื่อเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาหมั้น อีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนได้ (มาตรา 1439)

และหากกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ชายคู่หมั้นย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชายได้ตามมาตรา 1442 แต่เหตุสําคัญที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีความสําคัญต่อชายคู่หมั้น ถึงขนาดไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น เช่น หญิงคู่หมั้นไปแอบอยู่กินกับชายอื่น เป็นต้น

ตามข้อเท็จจริง การที่ น.ส.หฤทัย ได้แอบอยู่กินกับนายชาติชายนั้นไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 แต่ถือเป็นกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นทําให้นายสุรพลไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ตามมาตรา 1442 ดังนั้น นายสุรพลจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นและให้ น.ส.หฤทัยคืนของหมั้นคือ แหวนเพชร และเงิน 500,000 บาท ให้แก่นายสุรพลได้ แต่จะเรียกคืนสร้อยทองไม่ได้

สรุป นายสุรพลมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้น และฟ้องเรียกคืนแหวนเพชร และเงิน 500,000 บาท ได้ แต่จะฟ้องเรียกคืนสร้อยทองไม่ได้

 

ข้อ 2 นายกมลพ่อหม้ายอายุ 52 ปี ได้จัดพิธีหมั้นกับ น.ส.ทับทิม อายุ 18 ปี ด้วยเงิน 1 ล้านบาท โดยบิดามารดาให้ความยินยอม และจะไปฮันนีมูนสองสัปดาห์แล้วกลับมาจดทะเบียนสมรส แต่เมื่อกลับมา น.ส.ทับทิมได้หลบหนีไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิดซึ่งชอบพอกัน แต่มีอายุมากกว่าเพียง 1 ปี โดยบิดามารดาไม่ทราบ นายกมลไม่พอใจต้องการฟ้องยกเลิกการสมรส และให้มาจดทะเบียนสมรสกับตน และหาก น.ส.ทับทิมตั้งครรภ์แล้วก่อนมาจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิด บุตรที่เกิดมาจะเป็นบุตรของใคร เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว บาท การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าว ในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1560 “บุตรเกิดระหว่างสมรสซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนภายหลังนั้นให้ถือว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกมลได้จัดพิธีหมั้นกับ น.ส.ทับทิมอายุ 18 ปี โดยบิดามารดาให้ ความยินยอมถูกต้องตามมาตรา 1435 วรรคแรก และมาตรา 1436 (1) และเมื่อมีการส่งมอบเงิน 1 ล้านบาท เป็นของหมั้น จึงถือเป็นสัญญาหมั้นที่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น ดังนั้น เมื่อมีการหมั้นแล้ว การที่ น.ส.ทับทิมไปจดทะเบียนสมรสกับนายสมคิด จึงเป็นการผิดสัญญาหมั้น (ตามมาตรา 1439) ซึ่งนายกมลมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนและเรียกของหมั้นคืนจาก น.ส.ทับทิมได้ แต่นายกมลจะฟ้องให้ น.ส.ทับทิมทําการสมรสด้วยไม่ได้ตามมาตรา 1438 ที่กําหนดว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้

สําหรับการจดทะเบียนสมรสระหว่าง น.ส.ทับทิมกับนายสมคิด โดยบิดามารดาของ น.ส.ทับทิม ไม่ทราบนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1509 การสมรสจึงมีผลเป็นโมฆียะ ซึ่ง ตามมาตรา 1510 กําหนดให้ เฉพาะบิดามารดาเท่านั้นที่จะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้ ดังนั้นนายกมลจึงไม่มีสิทธิ ฟ้องให้ยกเลิกการสมรสระหว่าง น.ส.ทับทิมกับนายสมคิด

อย่างไรก็ตาม หากมีการฟ้องให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าว บุตรของ น.ส.ทับทิม ที่เกิดมาจะถือว่าเป็นบุตรที่เกิดระหว่างสมรสซึ่งศาลพิพากษาให้เพิกถอนในภายหลัง โดยกฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของน.ส.ทับทิมกับนายสมคิดตามมาตรา 1560

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่านายกมลจะฟ้องยกเลิกการสมรส และฟ้องให้ น.ส.ทับทิมมาจดทะเบียน สมรสกับตนไม่ได้ และบุตรที่เกิดมาภายหลังศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสย่อมถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของนายสมคิดกับ น.ส.ทับทิม

 

ข้อ 3 นายสุกิจและนางรื่นฤดีเป็นสามีภริยากัน ต่อมานายสุกิจได้ชักชวนนางรื่นฤดีให้ไปมีเพศสัมพันธ์เป็นกลุ่มกับกลุ่มคนที่รู้จักกัน แต่นางรื่นฤดีไม่ยินยอม ต่อมานายสุกิจได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.น้ำทองซึ่งเป็นครอบครัวที่รู้จักกันโดยคู่สมรสของ น.ส.น้ำทอง ก็รู้จักกับคู่สมรสของนายสุกิจ นางรื่นฤดีเห็นว่า ไม่ถูกต้องจึงต้องการฟ้องหย่า และเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ำทอง แต่นายสุกิจอ้างว่านางรื่นฤดีทราบเรื่องนี้ได้ยินยอมจึงฟ้องหย่าไม่ได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3) สามีหรือภริยาทําร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทําการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทํานั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน เกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคแรก “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุกิจได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับ น.ส.น้ำทอง ซึ่งเป็นครอบครัวที่รู้จักกันนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายสุกิจเป็นชู้หรือมีชู้กับภริยาผู้อื่นตามนัยมาตรา 1516 (1) แล้ว ดังนั้นนางรื่นฤดีย่อม สามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้ นายสุกิจจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นนางรื่นฤดีได้ยินยอมแล้วตามมาตรา 1517 วรรคแรกไม่ได้ เพราะจากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางรื่นฤดีได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจกับนายสุกิจแต่อย่างใด และนอกจากนี้นางรื่นฤดียังสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจสามีและ น.ส.น้ําทองผู้เป็นเหตุแห่งการ หย่านั้นได้เมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่ากันแล้วตามมาตรา 1523 วรรคแรก

และนอกจากนั้น การกระทําของนายสุกิจถือว่าเป็นการประพฤติชั่วทําให้นางรื่นฤดีได้รับ ความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516 (2) (ก) อีกด้วย ดังนั้นนางรื่นฤดีสามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้อีก เพราะเหตุดังกล่าวนี้ แต่นางรื่นฤดีจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ําทองไม่ได้ เพราะการฟ้องหย่า และสามารถเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) เท่านั้น

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่านางรื่นฤดี สามารถฟ้องหย่านายสุกิจได้ เพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) และ (2) แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสุกิจและ น.ส.น้ำทองได้ก็แต่เฉพาะการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) เท่านั้น

 

ข้อ 4 นายสมิงกับนางลัดดาเป็นสามีภริยากัน วันหนึ่งนายสมิงได้เขียนสัญญาให้นางลัดดาสามารถจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (1) ได้เพียงลําพัง เพื่อให้นางลัดดามีความสะดวกในการทํานิติกรรม บิดานางลัดดาได้ให้เงิน 5 ล้านบาทแก่นางลัดดา และได้นําไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยมา 500,000 บาท นางลัดดามีสลากออมสินก่อนสมรส 1 ล้านบาท และโชคดีถูกรางวัล 2 ล้านบาท ในระหว่างสมรส วันหนึ่งนางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนาโดยเสน่หา และเอาเงินรางวัล 2 ล้านบาท ให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้ นายสมิงไม่เห็นด้วยจึงต้องการฟ้องเพิกถอน แต่นางลัดดาอ้างว่าทําได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคแรก “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน (3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ” มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคแรก “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การจัดการสินสมรสตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) นั้น สามีภริยาจะต้อง จัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ ตามมาตรา 1480 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม สามีภริยาอาจตกลงจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ก็ได้โดยทําเป็นสัญญาก่อนสมรสตามมาตรา 1476/1 วรรคแรก ประกอบมาตรา 1465 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมิงได้เขียนสัญญาให้นางลัดดาสามารถจัดการสินสมรสตาม มาตรา 1476 (1) ได้เพียงลําพังนั้น เมื่อไม่ได้ทําสัญญากันไว้ก่อนสมรสตามมาตรา 1465 วรรคแรก แต่ได้ทํา สัญญากันในระหว่างสมรส สัญญาดังกล่าวจึงไม่ใช่สัญญาก่อนสมรส แต่ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรส ดังนั้น สัญญาระหว่างสมรสดังกล่าวจึงใช้บังคับไม่ได้ เพราะตามกฎหมายถ้าสามีภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่าง ไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคแรก)

ดังนั้น การที่นางลัดดาได้ทํานิติกรรมต่าง ๆ ตามอุทาหรณ์ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสมิง นั้น นายสมิงจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

การที่นางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนาโดยเสน่หา โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายสมิงนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า บิดาของนางลัดดาได้ให้เงินโดยเสน่หาแก่นางลัดดา 5 ล้านบาท เงินดังกล่าวย่อมถือเป็นเงินส่วนตัวของนางลัดดาตามมาตรา 1471 (3) นางลัดดาย่อมมีอํานาจจัดการตามมาตรา 1473 แต่อย่างไรก็ตาม การที่นางลัดดานําเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย 500,000 บาท เงินจํานวนนี้ย่อมถือเป็น สินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เพราะถือเป็นดอกผลของสินส่วนตัว ดังนั้น การที่นางลัดดาได้เอาเงิน 500,000 บาท ให้ น.ส.กาญจนา จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1474 (5) นายสมิงจึงสามารถฟ้องศาลให้เพิกถอนนิติกรรมได้ตาม มาตรา 1480 วรรคแรก

การที่นางลัดดาได้เอาเงินรางวัล 2 ล้านบาท ให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้นั้น เมื่อปรากฏ ข้อเท็จจริงว่า นางลัดดามีสลากออมสินก่อนสมรส 1 ล้านบาท สลากออมสินจํานวนนี้ย่อมถือเป็นสินส่วนตัวตาม มาตรา 1471 (1) นางลัดดาย่อมมีอํานาจจัดการตามมาตรา 1473 และเมื่อปรากฏว่า นางลัดดาได้ถูกรางวัล 2 ล้านบาท ในระหว่างสมรส รางวัล 2 ล้านบาทนี้ ย่อมถือเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรส ได้มาระหว่างสมรส ดังนั้น การที่นางลัดดาได้เอาเงินรางวัล 2 ล้านบาทให้นายอํานาจเพื่อนร่วมงานกู้จึงเป็นการ ฝ่าฝืนมาตรา 1476 (4) นายสมิงสามารถฟ้องศาลให้เพิกถอนนิติกรรมได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

สรุป ข้าพเจ้าเห็นว่า นายสมิงสามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมทั้ง 2 นิติกรรมดังกล่าวได้ ข้ออ้าง ของนางลัดดาที่อ้างว่าสามารถทําได้นั้น ฟังไม่ขึ้น

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายมานพทราบว่านางสมัยทะเลาะกับนายอํานวย (สามี) และได้ทําหนังสือหย่ากันเป็นที่เรียบร้อยนายมานพซึ่งหลงรักนางสมัยได้ทําสัญญาหมั้นนางสมัยโดยส่งมอบเงินให้ 200,000 บาท และจะให้อีก 200,000 บาท ในวันสมรส แต่ต่อมานายมานพได้รู้จักกับ น.ส.อรสา และเห็นว่าเหมาะสมกว่าจึงทําสัญญาหมั้น น.ส.อรสาด้วยการส่งมอบเงินให้ 200,000 บาท และจะให้อีก 200,000 บาท ในวันที่ ทําการสมรส นายมานพได้อ้างว่านางสมัยยังอยู่กินกับนายอํานวย จึงไม่ต้องการสมรสด้วย และขอเงิน 200,000 บาทคืน เพื่อนําไปมอบให้แก่ น.ส.อรสา แต่นางสมัยไม่คืนให้ นายมานพต้องการสมรสกับ น.ส.อรสา แต่นายมานพอ้างว่าไม่มีเงินให้ตามที่สัญญาไว้เนื่องจากนางสมัยไม่ยอมคืนให้ น.ส.อรสา จึงขอเลิกสัญญาโดยไม่คืนเงินให้ เช่นนี้ ทั้งสองกรณีท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรกและวรรคสอง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอน ทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

เมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางสมัยได้ทําหนังสือหย่ากับนายอํานวย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการหย่า ถือว่าการหย่ายังไม่สมบูรณ์ (มาตรา 1514 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1515) การที่นายมานพได้ทําสัญญาหมั้น กับนางสมัยในขณะที่หญิงยังมีคู่สมรส การสมรสจึงตกเป็นโมฆะ ชายจะเรียกทรัพย์สินคืนไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกา ที่ 1913/2505)

ดังนั้น นายมานพจะอ้างมาตรา 1442 ว่ามีเหตุสําคัญเกิดแก่หญิงคู่หมั้นเพื่อเรียกของหมั้นคืนไม่ได้

การที่นายมานพทําสัญญาหมั้นนางสาวอรสาด้วยเงิน 200,000 บาทนั้น ถือเป็นการหมั้นที่สมบูรณ์แล้วตามมาตรา 1437 วรรคแรก ส่วนเงินที่ยังไม่ได้ส่งมอบอีก 200,000 บาท ไม่ใช่ของหมั้น (คําพิพากษา ฎีกาที่ 1087/2492) และการที่นายมานพไม่ให้ของหมั้นอีกส่วนหนึ่งตามที่ได้ตกลงทําสัญญากันไว้นั้น นางสาวอรสาถือว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้นได้ตามมาตรา 1443 ดังนั้นนางสาวอรสา มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1443

สรุป

นายมานพจะอ้างมาตรา 1442 เพื่อเรียกของหมั้นคืนไม่ได้ ส่วนนางสาวอรสามีสิทธิอ้าง มาตรา 1443 เพื่อบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยไม่ต้องคืนของหมั้น

 

ข้อ 2 นางสาวจันทร์อายุย่างเข้า 17 ปี ได้รับอนุญาตจากบิดามารดา ให้หมั้นกับนายอาทิตย์มหาเศรษฐีแห่งประเทศไทย อายุ 80 ปี ด้วยแหวนเพชรมูลค่า 10 ล้านบาท เมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จึงมีการ จัดงานแต่งงานอย่างมโหฬาร หลังจากพิธีแต่งงานนางสาวจันทร์ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนายอังคาร โดยบิดามารดา ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างไร นายอาทิตย์โกรธมากจะเรียกแหวนเพชรคืนจาก นางสาวจันทร์ ดังนี้ (1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร และนายอาทิตย์เรียกแหวนคืนได้หรือไม่ด้วยเหตุผลใด

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอาทิตย์ และระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคาร มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว

การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์เป็นโมฆะตามมาตรา 1435 เพราะ นางสาวจันทร์ยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ แม้ว่าการหมั้นนั้นจะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของนางสาวจันทร์ ก็ตาม และเมื่อการหมั้นเป็นโมฆะ นายอาทิตย์ย่อมสามารถเรียกแหวนเพชรคืนได้ในฐานลาภมิควรได้

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์ถือว่าไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ได้มีการ จดทะเบียนสมรส (ตามมาตรา 1457) ส่วนการสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคารมีผลเป็นโมฆยะ เพราะนางสาวจันทร์ได้สมรสในขณะที่เป็นผู้เยาว์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาตามมาตรา 1454 ประกอบ มาตรา 1436

สรุป

(1) การหมั้นระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์เป็นโมฆะ นายอาทิตย์เรียกแหวนเพชรคืนได้ในฐานลาภมิควรได้

(2) การสมรสระหว่างนางสาวจันทร์และนายอาทิตย์ไม่เกิดขึ้น ส่วนการสมรสระหว่างนางสาวจันทร์กับนายอังคารมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3 นายเสือและนางปลาเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นางปลาได้ไปจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินในสวนมะม่วงที่อยู่ต่างจังหวัดของพี่ชายตามลําพังและไม่ได้ปรึกษานายเสือแต่อย่างใด โดยพี่ชายนางปลามีเงื่อนไขว่านางปลาจะต้องไปดูแลสวนมะม่วงด้วยตนเอง ต่อมานางปลาได้นําเงินเดือน ของตนจํานวน 50,000 บาท ไปให้นางหนูกู้ยืม โดยทําสัญญากู้ยืมเงินเป็นเวลา 1 ปี ระบุอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี นางปลาบอกกับนางหนูว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินส่วนตัวของนางปลาเอง โดยที่นายเสือ ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมนั้น เมื่อนายเสือทราบเรื่องภายหลัง นายเสือโกรธมาก เพราะไม่ต้องการให้นางปลาไปดูแลสวนมะม่วงที่ต่างจังหวัด อีกทั้งนายเสือยังทราบมาจากเพื่อน ๆ ว่านางหนูไม่ยอมชําระหนี้เจ้าหนี้หลายราย ดังนี้นายเสือจะฟ้องศาลเพิกถอนการจดทะเบียนรับสิทธิ เก็บกินของนางปลาเเละสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การจัดการสินสมรสตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) นั้น สามีภริยาจะต้อง จัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งนั้นอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางปลาได้จดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินในสวนมะม่วงของพี่ชายนั้น ไม่ใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับ ความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง นางปลาจึงสามารถจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินดังกล่าวได้โดยลําพังโดยไม่ต้อง ได้รับความยินยอมจากนายเสือแต่อย่างใดตามมาตรา 1476 วรรคท้าย ดังนั้นนายเสือจะฟ้องศาลเพื่อขอเพิกถอน การจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินของนางปลาไม่ได้

ส่วนเงินเดือนของนางปลาที่ได้มาระหว่างสมรสนั้น ถือเป็นสินสมรส ตามมาตรา 1474 (1) เมื่อนางปลาได้นําเงินเดือนของตนจํานวน 50,000 บาท ไปให้นางหนูกู้ยืมโดยทําสัญญากู้ยืมกันเป็นเวลา 1 ปี ระบุ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนั้น การให้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นสินสมรสนั้นเป็นการจัดการสินสมรสตามมาตรา 1476 (4) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนายเสือไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม ในการให้กู้ยืมเงินดังกล่าว โดยหลักแล้วนายเสือย่อมมีสิทธิฟ้องศาลเพื่อให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินได้ตามมาตรา 1489 วรรคแรก

แต่เมื่อตามข้อเท็จจริงนั้นปรากฏว่า นางหนูซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําการโดยสุจริต เพราะนางหนู ไม่ทราบว่าเป็นสินสมรสเนื่องจากนางปลาบอกว่าเป็นเงินส่วนตัวของตน และนางหนูได้เสียค่าตอบแทนคือดอกเบี้ย ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน ดังนั้น นายเสือจึงฟ้องศาลเพื่อเพิกถอนสัญญาการกู้ยืมเงินตามมาตรา 1480 ไม่ได้

สรุป

นายเสือจะฟ้องศาลเพื่อเพิกถอนการจดทะเบียนรับสิทธิเก็บกินของนางปลาและสัญญา กู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่นายไก่เป็นคนเจ้าชู้ ทําให้นางไข่เกรงจะเสียชื่อเสียง จึงอนุญาตให้นางมะเมียะสาวใช้ทําหน้าที่ภริยาอีกหนึ่งหน้าที่ ต่อมานายไก่และนางมะเลี้ยะมีบุตรชายด้วยกัน คือ หนึ่ง นางไข่จึงหนีนายไก่ไปบวชชีเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วนายไก่ จึงรู้ว่าเมียหนีไปบวช

(1) นายไก่จะฟ้องหย่านางไข่ และนางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่

(2) หนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(4) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นางไข่หนีนายไก่ไปบวชชีเป็นเวลาเกือบสองปีนั้น นายเก่ย่อมสามารถฟ้องหย่า นางไข่ได้ เพราะถือว่าเป็นกรณีที่นางไข่จงใจละทิ้งร้างนายไก่สามีไปเกินกว่า 1 ปี ตามมาตรา 1516 (4)

ส่วนการที่นายไก่มีภริยาน้อยอีกหนึ่งคนคือนางมะเมียะนั้น นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ เพราะการที่นายไก่ได้นางมะเมียะเป็นภริยาซึ่งถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) นั้น เข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1517 วรรคแรก กล่าวคือ นางไข่ได้ยินยอมและรู้เห็นเป็นใจด้วยกับการที่นายไก่ได้นางมะเมียะเป็นภริยา นางไข่จึงฟ้องหย่าเพราะเหตุนี้ไม่ได้

(2) เมื่อนายไก่และนางมะเมียะเป็นสามีและภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส จึงถือว่า เด็กชายหนึ่งเป็นบุตรที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ดังนั้นเด็กชายหนึ่งจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นางมะเมียะแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายนับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) นายไก่ฟ้องหย่านางไข่ได้ แต่นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(2) นายหนึ่งเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางมะเมียะแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นางปูและนางปลาเป็นพี่น้องฝาแฝดเหมือน นางปูเป็นคู่รักกับนายกุ้ง โดยนายกุ้งไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่านางปูมีคู่แฝด ในวันจดทะเบียนสมรสนางปูติดสอบเข้ารับราชการ นางปลาก็เลยไปจดทะเบียนสมรสแทนเพราะนางปลาก็แอบรักนายกุ้งเช่นกัน เวลาผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์นายกุ้ง เพิ่งทราบว่าหญิงซึ่งตนอยู่กินร่วมกันนั้นมิใช่นางปูจึงโกรธมาก หนีนางปลาไปอยู่กินร่วมกัน ฉันสามีภริยากับนางหอย และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายกบ

(1) การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้ง มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) นางปลาจะฟ้องหย่านายกุ้งได้หรือไม่

(3) เด็กชายกบเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆยะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1503 “เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509″

มาตรา 1505 วรรคแรก “การสมรสที่ได้กระทําไปโดยคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสําคัญผิดตัวคู่สมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นางปลาสวมรอยทําการจดทะเบียนสมรสกับนายกุ้ง โดยที่นายกุ้งไม่ทราบว่า เป็นนางปลา แต่สําคัญผิดคิดว่าเป็นนางปู เพราะนางปูและนางปลาเป็นพี่น้องฝาแฝดกันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ นายกุ้งได้ทําการสมรสโดยสําคัญผิดตัวคู่สมรส ดังนั้น การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้งจึงเป็นโมฆยะตาม มาตรา 1505 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังไม่มี การฟ้องศาลให้พิพากษาเพิกถอนการสมรส จึงถือว่าการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง และถือว่านางปลาและนายกุ้ง ยังคงเป็นสามีภริยากันอยู่ (มาตรา 1502)

2 การที่นายกุ้งไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางหอยนั้น ถือว่านายกุ้งยกย่องเลี้ยงดู หญิงอื่นฉันภริยา อันเป็นเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516(1) ดังนั้น นางปลาจึงฟ้องหย่านายกุ้งได้

3 ส่วนเด็กชายกบนั้น เมื่อเกิดจากนางหอยซึ่งมิได้ทําการสมรสกับนายกุ้ง ย่อมเป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนางหอยแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางหอย นับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) การสมรสระหว่างนางปลาและนายกุ้งมีผลเป็นโมฆียะ

(2) นางปลาจะฟ้องหย่านายกุ้งได้

(3) เด็กชายกบเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางหอยนับตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

 

ข้อ 2 นายพิภพอายุ 23 ปี และบิดามารดาได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อุสา อายุ 16 ปี 10 เดือน ด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท ได้ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสอีก 1 ปีข้างหน้า เมื่อผ่านไปหนึ่งปี น.ส.อุสาได้รู้จักกับนายสําราญซึ่งเป็นเพื่อนกับนายพิภพซึ่งชอบพอกันจึงอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา และไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายพิภพตามที่ทําสัญญาหมั้นไว้ นายพิภพไม่พอใจจึงต้องการฟ้อง เรียกของหมั้นคืนและเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อุสา เช่นนี้ สามารถทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 412 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจํานวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืน เต็มจํานวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน”

มาตรา 413 “เมื่อทรัพย์สินอันจะต้องคืนนั้นเป็นอย่างอื่นนอกจากจํานวนเงิน และบุคคลได้รับไว้ โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นจําต้องคืนทรัพย์สินเพียงตามสภาพที่เป็นอยู่ และมิต้องรับผิดชอบในการที่ทรัพย์นั้น สูญหายหรือบุบสลาย แต่ถ้าได้อะไรมาเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อการสูญหายหรือบุบสลายเช่นนั้นก็ต้องให้ไปด้วย”

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายในเรื่องการหมั้นนั้น ชายและหญิงจะหมั้นกันได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว หากชายและหญิงทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีผลทําให้ การหมั้นนั้นเป็นโมฆะ (ตามมาตรา 1435) กล่าวคือ จะมีผลเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย และทั้งสองฝ่าย จะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยหากฝ่ายใดได้ทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งมาจะต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ มาใช้บังคับ คือมาตรา 412 และ 413

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิภพได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อุสานั้น แม้การหมั้นจะมีของหมั้น คือแหวนเพชร 1 วง และเงินอีก 200,000 บาท ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า น.ส.อุสายังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงถือว่าการหมั้นนั้นฝ่าฝืนมาตรา 1435 วรรคแรก และมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง น.ส.อุสาจึงต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมนั้น ซึ่งได้แก่ แหวนเพชรและเงินจํานวนดังกล่าวให้แก่นายพิภพ โดยอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ตามมาตรา 412 และ 413 ดังนั้น นายพิภพจึงฟ้องเรียกของหมั้น คืนจาก น.ส.อุสาได้ (ฎีกาที่ 3072/2547)

และเมื่อผ่านไป 1 ปี แม้ น.ส.อุสาจะมีอายุ 17 ปี 10 เดือนแล้วก็ตาม แต่เมื่อการหมั้นระหว่าง นายพิภพกับ น.ส.อุสามีผลเป็นโมฆะ และถือเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย ดังนั้น การที่ น.ส.อุสา ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับนายพิภพจึงไม่อาจเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ได้ นายพิภพจึงไม่อาจเรียก ค่าทดแทนจาก น.ส.อุสาตามมาตรา 1440 ได้

สรุป นายพิภพสามารถฟ้องเรียกของหมั้นคืนจาก น.ส.อุสาได้ แต่จะเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อุสาไม่ได้

 

ข้อ 3 นายชอบและนางพรเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายชอบได้ยกสร้อยเพชรที่นายชอบซื้อมาก่อนสมรสให้กับนางพร ต่อมานายซอบแอบไปคบกับนางสาวขวัญซึ่งเป็นเลขาของนายชอบ นายชอบเล่าเรื่องที่เคยให้สร้อยเพชรแก่นางพรให้นางสาวขวัญทราบ นางสาวขวัญบอกให้นายชอบไปขอ สร้อยเพชรจากนางพรคืนมาให้ตน ต่อมานางสาวขวัญได้บอกแก่เพื่อนร่วมงานของนายชอบว่าตน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายชอบแล้ว และนายชอบบอกว่าจะหย่ากับนางพรมาสมรสกับตน

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายชอบจะบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางพรเพื่อที่จะเอาไปให้นางสาวขวัญได้หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางพรจะเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญ โดยที่นางพรไม่ประสงค์จะหย่ากับนายชอบได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจาก การเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาว ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายชอบยกสร้อยเพชรที่นายชอบมีมาก่อนสมรสอันเป็นสินส่วนตัวของนายชอบ ตามมาตรา 1471(1) ให้กับนางพร ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 นายชอบจึงมีสิทธิบอกล้าง การให้สร้อยเพชรกับนางพรในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปี นับแต่วันที่ขาดจากการเป็น สามีภริยากันก็ได้ เมื่อนายชอบบอกล้างการให้สร้อยเพชรกับนางพรแล้ว สร้อยเพชรก็จะเป็นสินส่วนตัวของ นายชอบ นายชอบก็มีอํานาจในการจัดการสร้อยเพชรนั้นได้ตามมาตรา 1473 นายชอบจึงมีสิทธิที่จะให้สร้อยเพชร ดังกล่าวแก่นางสาวขวัญได้

(ข) ส่วนการที่นางสาวขวัญบอกแก่เพื่อนร่วมงานของนายชอบว่าตนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง กับนายชอบแล้ว และนายชอบบอกว่าจะหย่ากับนางพรมาสมรสกับตนนั้น ถือได้ว่านางสาวขวัญแสดงตนโดยเปิดเผย ว่ามีความสัมพันธ์ในทํานองชู้สาวกับนายชอบแล้ว นางพรจึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญตามมาตรา 1523 วรรคสองได้ โดยที่นางพรไม่ต้องหย่ากับนายชอบแต่อย่างใด

สรุป

(ก) นายซอบสามารถบอกล้างนิติกรรมการให้สร้อยเพชรกับนางพรเพื่อที่จะเอาไปให้นางสาวขวัญได้

(ข) นางพรสามารถเรียกค่าทดแทนจากนางสาวขวัญ โดยที่นางพรไม่ประสงค์จะหย่ากับนายชอบได้ ทั้งนี้ตามเหตุผลที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีบุตรด้วยกันจึงตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย มีพยานสองคน หลังจากนั้นนางไข่ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเป็ด การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ด มีผลในทางกฎหมาย อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล ”

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ การที่นายไก่ตกลงหย่ากับนางไข่ โดยการทําเป็น หนังสือหย่าลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีพยานสองคนลงลายมือชื่อเป็นพยานเรียบร้อยแล้วนั้น ถือเป็นการหย่า ที่ได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนหย่า การหย่าย่อมไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1515 และให้ถือว่านายไก่และนางไข่ยังคงเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย

2 การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายไก่และนางไข่ยังคง เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย การที่นางไข่ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเป็ด ในขณะที่ตนมีคู่สมรสคือนายไก่อยู่ จึงถือเป็นการสมรสซ้อนตามมาตรา 1452 และมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

สรุป

การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่ไม่สมบูรณ์

การสมรสระหว่างนางไข่กับนายเป็ดมีผลเป็นโมฆะ

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสุธรรมทําสัญญาหมั้นนางสาวรัตนาด้วยแหวนเพชร 1 วง และเงิน 200,000 บาท แต่ไม่มีเงินจึงทําสัญญากู้จํานวน 200,000 บาท ไว้ให้ยึดถือแทน นางสาวรัตนาได้ลาออกจากงานไปอยู่กิน ฉันสามีภริยากับนายสุธรรมและต่อมาได้เตรียมจัดงานสมรสเสียค่าใช้จ่าย 100,000 บาท ในวัน งานสมรส นายสุธรรมได้ไปเข้าพิธีสมรสและจดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตา แต่นายสุธรรมก็ ไม่ทราบว่านางสาวเมตตาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เช่นนี้ นางสาวรัตนาจะฟ้อง เรียกเงิน 200,000 บาท และค่าทดแทนอื่นได้อีกหรือไม่ และการสมรสจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด

จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1449 “การสมรสจะกระทํามิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคล ซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุธรรมทําสัญญาหมั้นนางสาวรัตนาด้วยแหวนเพชร 1 วงนั้น ถือว่าการหมั้นมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะได้มีการส่งมอบของหมั้นให้แก่หญิงคู่หมั้นแล้ว แต่ การทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวรัตนายึดถือไว้แทนเงินของหมั้นนั้น ไม่ถือว่าเป็นของหมั้น เพราะ ยังไม่มีการส่งมอบ ดังนั้นนางสาวรัตนาจึงไม่สามารถฟ้องเรียกร้องเงิน 200,000 บาทในภายหลังได้

การที่นายสุธรรมได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตานั้น แม้นายสุธรรมจะไม่ทราบว่า นางสาวเมตตาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ดังนี้ก็ไม่ทําให้การสมรสระหว่างนายสุธรรมกับ นางสาวเมตตาเป็นโมฆะ เพราะการสมรสจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1449 ประกอบมาตรา 1495 นั้น ต้องเป็นการสมรสที่ชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริตหรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถเท่านั้น ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสุธรรมกับนางสาวเมตตาจึงมีผลสมบูรณ์

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสุธรรมได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาวเมตตานั้น ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นกับนางสาวรัตนาตามมาตรา 1439 ดังนั้นนางสาวรัตนาจึงสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทน จากนายสุธรรมได้ โดยฟ้องเรียกค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและชื่อเสียงแห่งหญิงนั้นตามมาตรา 1440(1) และค่าทดแทนความเสียหายที่ตนได้ลาออกจากงานไปอยู่กินกับนายสุธรรมเนื่องจากคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส ตามมาตรา 1440(3) ส่วนการเตรียมการจัดงานสมรสจํานวน 100,000 บาทนั้นจะฟ้องเรียกไม่ได้

สรุป

นางสาวรัตนาจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาทไม่ได้ แต่ฟ้องเรียกค่าทดแทนความเสียหาย ต่อกายและชื่อเสียง และค่าทดแทนความเสียหายที่ตนได้ลาออกจากงานไปอยู่กินกับนายสุธรรมได้ ส่วนการสมรส ระหว่างนายสุธรรมกับนางสาวเมตตามีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 2 นายไพศาลได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวมณีวรรณจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ต่อมานางสาวมณีวรรณได้ตั้งครรภ์ นายไพศาลได้ยกที่ดิน 1 แปลง และรถยนต์ 1 คัน ให้โดยเสน่หา ถูกต้องตามกฎหมาย ในวันที่ 1 สิงหาคม นายไพศาลได้ปล่อยให้นางสาวมณีวรรณพ้นจากการข่มขู่ ไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ มารดานางสาวมณีวรรณไม่พอใจจึงฟ้องให้เพิกถอนการสมรสของ นางสาวมณีวรรณที่เป็นโมฆียะนั้น นางสาวมณีวรรณได้ประกาศขายที่ดินและรถยนต์ให้แก่นายสมัย โดยไม่ได้รู้จักกันแต่อย่างใด นายไพศาลเห็นว่า นางสาวมณีวรรณไม่รักตนจึงต้องการฟ้องเอาที่ดิน และรถยนต์คืน เช่นนี้จะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ และจะฟ้องเอาที่ดินและรถยนต์คืน ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามี ภริยากันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา” มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะ ไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไพศาลได้ข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวมณีวรรณจดทะเบียนสมรส ด้วยนั้น การสมรสระหว่างนายไพศาลกับนางสาวมณีวรรณย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1507 วรรคแรก และเฉพาะคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1508 ดังนั้น มารดาของ นางสาวมณีวรรณจึงไม่สามารถฟ้องให้เพิกถอนการสมรสได้ แต่นางสาวมณีวรรณสามารถฟ้องให้เพิกถอน การสมรสได้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่พ้นจากการข่มขู่ตามมาตรา 1507 วรรคสอง

การที่นายไพศาลได้ยกที่ดินและรถยนต์ให้แก่นางสาวมณีวรรณโดยเสน่หานั้น ย่อมมีผลทําให้ ที่ดินและรถยนต์นั้นตกเป็นสินส่วนตัวของนางสาวมณีวรรณตามมาตรา 1471(3) ซึ่งนางสาวมณีวรรณมีสิทธิ จัดการได้เองโดยลําพังตามมาตรา 1473 ดังนั้นนางสาวมณีวรรณจึงสามารถนําเอาที่ดินและรถยนต์นั้นไปขาย ให้แก่นายสมัยได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายไพศาล

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่นายไพศาลได้ยกที่ดินและรถยนต์ให้แก่นางสาวมณีวรรณนั้น ถือว่า เป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 เพราะเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่าง เป็นสามีภริยากัน ดังนั้นนายไพศาลมีสิทธิบอกล้างเรียกเอาที่ดินและรถยนต์คืนได้ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่ แต่จะต้องไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต และเมื่อปรากฏว่านายสมัยได้ซื้อที่ดิน และรถยนต์ไปโดยสุจริต ดังนั้นนายไพศาลจึงฟ้องเรียกที่ดินและรถยนต์คืนไม่ได้

สรุป มารดานางสาวมณีวรรณจะฟ้องให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และนายไพศาลจะฟ้องเอา ที่ดินและรถยนต์คืนไม่ได้

 

ข้อ 3 นายนทีกับนางสาวสุดาเป็นสามีภริยากันต่อมานางสาวสุดาป่วยมากจึงต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลานานจึงยินยอมให้นายนทีร่วมประเวณีกับหญิงอื่นได้ นายนทีได้รู้จักกับนายสมส่วนซึ่งผ่าตัดแปลงเพศ มีหน้าตารูปร่างดี และเอาใจเก่ง ทําให้นายนทีเกิดความชอบพอไปร่วมหลับนอนกันเป็นประจํา และไปเที่ยวเตร่แสดงตัวโดยเปิดเผย นางสาวสุดาทราบก็ไม่พอใจต้องการฟ้องหย่า และเรียกค่าทดแทน จากนายนที่และนายสมส่วน แต่นายนที่ต่อสู้ว่า นางสาวสุดายินยอม เช่นนี้ท่านเห็นอย่างไรเพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(2) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง

(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง

(3) สามีหรือภริยาทําร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยาม อีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้

(6) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทําการ เป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทํานั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อน เกินควรในเมื่อเอาสภาพฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคํานึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคแรก “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคแรก “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนทีได้ร่วมหลับนอนกับนายสมส่วนเป็นประจํา และไปเที่ยวเตร่ แสดงตัวโดยเปิดเผยนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายนทีซึ่งเป็นสามีของนางสาวสุดาได้ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาและได้ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ ตามนัยของมาตรา 1516(1) แล้ว ดังนั้นนางสาวสุดาย่อมสามารถฟ้องหย่านายนทีได้ นายนทีจะอ้างว่าการกระทําของตนนั้นนางสาวสุดาได้ยินยอมแล้วตามมาตรา 1517 วรรคแรกไม่ได้ เพราะนางสาวสุดาได้ยินยอมให้ร่วมประเวณีกับหญิงอื่นเท่านั้น และนางสาวสุดาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก นายนทีสามีและจากนายสมส่วนผู้เป็นเหตุแห่งการหย่านั้นได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรก

และนอกจากนั้น การกระทําของนายนที่ถือว่าเป็นการประพฤติชั่วทําให้นางสาวสุดาได้รับ ความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงตามมาตรา 1516(2)(ก) เป็นการทรมานจิตใจนางสาวสุดาอย่างร้ายแรงตาม มาตรา 1516(3) และถือว่านายนทีได้ทําการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงด้วยตามมาตรา 1516(6) ดังนั้นนางสาวสุดาสามารถฟ้องหย่านายนทีได้อีกเพราะเหตุตามมาตรา 1516(2), (3) และ (6) เพียงแต่ การฟ้องหย่าเพราะเหตุดังกล่าวนี้ นางสาวสุดาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายนทีและนายสมส่วนไม่ได้ เพราะการฟ้องหย่าและสามารถเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1523 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นการฟ้องหย่า เพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) เท่านั้น

สรุป

นางสาวสุดาสามารถฟ้องหย่านายนทีได้ เพราะเหตุตามมาตรา 1516(1), (2), (3) และ (6) แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายนทีและนายสมส่วนได้ก็แต่เฉพาะการฟ้องหย่าเพราะเหตุตามมาตรา 1516(1) เท่านั้น

 

ข้อ 4 นายอํานวยกับนางหรรษาเป็นสามีภริยากัน วันหนึ่งมารดานางหรรษาได้ให้สลากกินแบ่งรัฐบาล 10 ฉบับ แก่นางหรรษา เมื่อออกรางวัล นางหรรษาถูกรางวัล 6 ล้านบาท นางหรรษาจึงนําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อ ที่ดิน 1 แปลง และยกให้นางสาวรัชนีน้องสาว และนำเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อรถบรรทุกให้นายกนกเช่า เป็นเวลา 30 เดือน นายอํานวยไม่เห็นด้วยจึงต้องการฟ้องเพิกถอนการทํานิติกรรมนั้น แต่นางหรรษา เห็นว่าเป็นของตนจึงมีสิทธิทําได้ เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา”

มาตรา 1480 วรรคแรก “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอม ของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้ สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มารดานางหรรษาได้ให้สลากกินแบ่งรัฐบาล 10 ฉบับแก่นางหรรษานั้น สลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวถือว่าเป็นสินส่วนตัวของนางหรรษา เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มา ระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 1471(3) แต่เมื่อมีการออกรางวัลและนางหรรษาถูกรางวัล 6 ล้านบาท เงิน 6 ล้านบาทถือว่าเป็นสินสมรส เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรสตามมาตรา 1474(1)

เมื่อนางหรรษานําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน 1 แปลง ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อนางหรรษาจะยกที่ดินแปลงนั้นให้แก่นางสาวรัชนีน้องสาวโดยเสน่หา จึงต้องทําตามมาตรา 1476(5) กล่าวคือจะต้องได้รับความยินยอมจากนายอํานวย เมื่อนางหรรษาได้ยกที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่นางสาวรัชนี น้องสาวโดยเสน่หาโดยปราศจากความยินยอมของนายอํานวย นายอํานวยย่อมสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการให้นั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคแรก

ส่วนการที่นางหรรษาได้นําเงิน 3 ล้านบาทไปซื้อรถบรรทุกให้นายกนกเช่าเป็นเวลา 30 เดือนนั้น ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1476(3) เพราะแม้รถบรรทุกนั้นจะเป็นสินสมรสแต่ก็เป็นเพียงสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น นางหรรษาจึงสามารถนําไปให้เช่าได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนายอํานวย นายอํานวยจึงไม่สามารถ ฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าได้

สรุป

นายอํานวยสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้โดยเสน่หาได้ แต่จะฟ้องให้ศาล เพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!