LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสมศรีกับนายสมยศสมคบกันยักยอกเงินนางสาวศรีนวล จํานวน 50,000 บาท นางสาวศรีนวลได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในสามเดือนนับจากวันเกิดเหตุ หลังจากสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสรุปสํานวนและทําความเห็นควรสั่งฟ้องนางสมศรีกับนายสมยศส่ง สํานวนพร้อมกับผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ แต่พนักงานอัยการเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะนางสมศรี เท่านั้น พนักงานอัยการจึงยื่นฟ้องนางสมศรีเพียงคนเดียวเป็นจําเลยต่อศาลขอให้ลงโทษในความผิด ฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นหลังจาก จําเลยยื่นคําให้การปฏิเสธแล้ว พนักงานอัยการยื่นคําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา ศาลชั้นต้นได้ถาม จําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ จําเลยแถลงว่าไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคําสั่งอนุญาตให้พนักงานอัยการ ถอนฟ้องคดีอาญาได้โดยนางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ ดังกล่าว

ให้วินิจฉัยว่า คําสั่งศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ พนักงานอัยการและนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวได้อีกหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 35 “คําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา จะยื่นเวลาใดก่อนมีคําพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคําสั่งอนุญาตหรือมอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด ถ้าคําร้องนั้นได้ยืนในภายหลัง เมื่อจําเลยให้การแก้คดีแล้ว ให้ถามจําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ แล้วให้ศาลจดคําแถลงของจําเลยไว้ ในกรณีที่จําเลย คัดค้านการถอนฟ้อง ให้ศาลยกคําร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย

คดีความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะถอนฟ้องหรือยอมความในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แต่ถ้า จําเลยคัดค้าน ให้ศาลยกคําร้องขอถอนฟ้องนั้นเสีย”

มาตรา 36 วรรคแรก “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่ จะเข้าอยู่ในข้อยกเว้นต่อไปนี้

(1) ถ้าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวไว้แล้วได้ถอนฟ้อง คดีนั้นไป การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่

(2) ถ้าพนักงานอัยการถอนคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไป โดยมิได้รับความยินยอมเป็น หนังสือจากผู้เสียหาย การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่น เป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐาน ยักยอก…”

มาตรา 356 “ความผิดในหมวดนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ คําสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พนักงานอัยการ ถอนฟ้องคดีอาญาได้ โดยนางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานยักยอก ตาม ป.อาญา มาตรา 352 นั้น ป.อาญา มาตรา 356 บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ จึงถือเป็นความผิดต่อ ส่วนตัวซึ่งจะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แม้พนักงานอัยการจะยื่นคําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญา ภายหลังจําเลยยื่นคําให้การปฏิเสธแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้ถามจําเลยว่าจะคัดค้านหรือไม่ และจําเลยแถลงว่า ไม่คัดค้านแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องจึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 35

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยคือ พนักงานอัยการและนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรี เป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวได้อีกหรือไม่ เห็นว่า การที่พนักงานอัยการถอนฟ้องคดีอาญา ซึ่งฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยในความผิดฐานยักยอกไปจากศาลแล้ว พนักงานอัยการจะฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลย ในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 ที่กําหนดว่า คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้อง ไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย

ส่วนกรณีของนางสาวศรีนวลนั้น การที่นางสาวศรีนวลไม่ทราบเรื่องการถอนฟ้องคดีอาญาของ พนักงานอัยการ จึงเป็นกรณีที่พนักงานอัยการถอนฟ้องคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวไป โดยมิได้รับความยินยอม เป็นหนังสือจากผู้เสียหาย การถอนนั้นจึงไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (2) ดังนั้น นางสาวศรีนวลย่อมมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลยในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกได้ภายในกําหนด อายุความ

สรุป คําสั่งศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานอัยการไม่มีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรี เป็นจําเลยต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีก ส่วนนางสาวศรีนวลมีสิทธิที่จะยื่นฟ้องนางสมศรีเป็นจําเลย ต่อศาลในความผิดฐานยักยอกดังกล่าวอีกได้

 

ข้อ 2. นางสาวไข่ไก่โกรธนางสาวกุ๊กไก่ที่แย่งคนรักของตนไป จึงเข้าไปตบหน้านางสาวกุ๊กไก่ พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนางสาวไข่ไก่ เป็นจํานวนเงิน 500 บาท ในความผิดฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 ตามที่ ทั้งสองคนได้ยินยอมในจํานวนเงินค่าปรับ พร้อมกันนั้นพนักงานสอบสวนได้ลงประจําวันไว้ด้วยว่า นางสาวไข่ไก่ตกลงชําระค่าเสียหายเป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ตามที่ นางสาวกุ๊กไก่เรียกร้องนางสาวไข่ไก่ชําระค่าปรับจํานวน 500 บาท เป็นที่เรียบร้อยและขอชําระ ค่าเสียหายให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ภายใน 7 วัน แต่ต่อมาปรากฏว่านางสาวไข่ไก่ไม่ยอมชําระค่าเสียหาย ให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ ดังนี้ นางสาวกุ๊กไก่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่ ต่อไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 37 “คดีอาญาเลิกกันได้ ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือ คดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับ อย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เมื่อผู้ต้องหาชําระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว”

มาตรา 38 “ความผิดตามอนุมาตรา (2) (3) และ (4) แห่งมาตราก่อน ถ้าเจ้าพนักงานดังกล่าว ในมาตรานั้นเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจําคุกให้มีอํานาจเปรียบเทียบดังนี้

(1) ให้กําหนดค่าปรับซึ่งผู้ต้องหาจะพึงชําระ ถ้าผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมตามนั้น เมื่อผู้ต้องหาได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เจ้าหน้าที่กําหนดให้ภายในเวลาอันสมควร แต่ไม่เกินสิบห้าวันแล้ว คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(3) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา 37”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวไข่ไก่ตบหน้านางสาวกุ๊กไก่ และพนักงานสอบสวนได้ เปรียบเทียบปรับนางสาวไข่ไก่ในความผิดฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจตาม ป.อาญา มาตรา 291 ซึ่งถือเป็นความผิดลหุโทษนั้น เมื่อนางสาวไข่ไก่ได้ชําระค่าปรับแล้วย่อมมีผลทํา ให้คดีอาญาเลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37 (2) ประกอบมาตรา 38 (1) และมีผลทําให้สิทธิการนําคดีอาญา มาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (3)

ดังนั้น แม้ว่านางสาวไข่ไก่จะไม่ยอมชําระค่าเสียหายให้แก่นางสาวกุ๊กไก่ นางสาวกุ๊กไก่ซึ่งเป็น ผู้เสียหายก็จะให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่อีกต่อไปไม่ได้ นางสาวกุ๊กไก่มีสิทธิแต่เพียงฟ้อง เรียกเงินค่าเสียหายทางแพ่งเท่านั้น ไม่กระทบถึงการเปรียบเทียบคดีอาญาที่พนักงานสอบสวนได้ดําเนินการไป โดยชอบแล้ว

สรุป นางสาวกุ๊กไก่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีกับนางสาวไข่ไก่ต่อไปอีกไม่ได้ ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายเอกใช้อาวุธปืนยิงนายโทตาย พ่อนายโทตามความเป็นจริงยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดําเนินคดีนายเอกฐานฆ่านายโท ศาลชั้นต้นสังให้ไต่สวนมูลฟ้อง พ่อนายโทนําพยานมาสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพียงปากเดียว ศาลชั้นต้นสั่งว่าคดีไม่มีมูลยกฟ้อง ต่อมาพ่อนายโทมารวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมแล้วยื่นฟ้องต่อศาล ขอให้ลงโทษนายเอกฐาน ฆ่านายโทอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกัน คดีนี้พนักงานสอบสวนเพิ่งทําการสอบสวนเสร็จ ส่งสํานวนไปให้ พนักงานอัยการ พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลฐานฆ่านายโท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้อง ศาลควรวินิจฉัยคดีอย่างไร เพราะเหตุใด

(ข) คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้อง ศาลควรวินิจฉัยคดีอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ดําเนินคดีนายเอกฐานฆ่านายโทนั้น เมื่อศาลชั้นต้น ไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง เช่นนี้ ย่อมถือว่าศาลได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ ได้ฟ้องแล้ว แม้นายเอกจะยังได้มีฐานะเป็นจําเลยก็ตาม เมื่อเหตุของการยื่นฟ้องนายเอกครั้งหลังเป็นการกระทํา เดียวกันกับเหตุที่นายเอกถูกฟ้องในครั้งแรก และผู้ถูกฟ้องเป็นคนคนเดียวกัน

ดังนั้น ฟ้องของพ่อนายโทจึงเป็น ฟ้องซ้ําตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

(ข) เมื่อสิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องนายเอกได้ระงับไปแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) การที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลฐานฆ่านายโทอีก จึงถือเป็นฟ้องซ้ํา ซึ่งศาลต้องพิพากษายกฟ้องเช่นกัน (ดูคําพิพากษาฎีกาที่ 925/2500)

สรุป

(ก) คดีที่พ่อนายโทยื่นฟ้องนายเอกเป็นฟ้องซ้ํา ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง

(ข) คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายเอกเป็นฟ้องซ้ำ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องเช่นกัน

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ปราณนต์พบนายมะระผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนากําลังนั่งอยู่ในบ้านซึ่งนายมะระเป็นเจ้าบ้าน พ.ต.ต.ปราณนต์จึงนําหมายจับเข้าไปจับนายมะระในบ้านหลังดังกล่าวทันทีโดยไม่มีหมายค้น

ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 57 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 79 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้จะจับขัง จําคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคําสั่ง หรือหมายของศาลสําหรับการนั้น

บุคคลซึ่งต้องขังหรือจําคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(5) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม มาตรา 78”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.ปราณนต์ได้เข้าไปจับกุมนายมะระในบ้านนั้นถือเป็นการจับ ในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้ โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทําตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอํานาจในการค้น โดยมีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 57

ตามข้อเท็จจริง เมื่อนายมะระเป็นผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับแล้ว แม้ พ.ต.ต.ปราณนต์ จะไม่มีหมายค้น แต่เมื่อนายมะระเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว พ.ต.ต.ปราณนต์จึงสามารถเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้ โดยไม่ต้องมีหมายค้น เนื่องจากที่รโหฐานนั้น ผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับ พ.ต.ต.ปราณนต์ จึงสามารถทําการจับนาย มะระในบ้านได้แม้จะไม่มีหมายค้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 21 ประกอบมาตรา 92 (5) ดังนั้น การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ พ.ต.ต.ปราณนต์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดําหลอกนางสาวมะละกออายุ 16 ปีซึ่งเป็นคนรักว่าจะพาไปทานอาหารที่ร้านอาหาร แต่กลับพานางสาวมะละกอไปข่มขืนกระทําชําเราที่บ้านของนายดํา ต่อมานายเสือซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายของนางสาวมะละกอแต่อุปการะเลี้ยงดูนางสาวมะละกอมาโดยตลอดทราบเรื่องดังกล่าว จึงพานางสาวมะละกอไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีแก่นายดําข้อหา พรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรานางสาวมะละกอ พนักงานสอบสวนได้ทําการสอบสวนคดีนี้ ต่อมาพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายดําต่อศาลข้อหาพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทําชําเรานางสาว มะละกอ ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณา นายเสือยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ดังนี้ นายเสือมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเสือจะมีอํานาจยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายเสือขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรา

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองบุคคล ซึ่งถูกข่มขืนกระทําชําเรา เมื่อปรากฏว่านางสาวมะละกอถูกนายดําหลอกไปข่มขืนกระทําชําเรา นางสาวมะละกอ จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ส่วนนายเสือถึงแม้จะเป็นบิดาที่แท้จริงและให้การอุปการะเลี้ยงดูมาโดยตลอด แต่ก็เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวมะละกอ จึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมที่จะมีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหาย คือนางสาวมะละกอในความผิดฐานนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1)

ดังนั้น นายเสือจึงไม่มีอํานาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรานางสาวมะละกอ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

กรณีนายเสือขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์

คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานพรากผู้เยาว์ มุ่งประสงค์ที่จะคุ้มครองอํานาจปกครอง ของบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลผู้เยาว์ เมื่อปรากฏว่านายเสือเป็นบิดาและให้การอุปการะเลี้ยงดูนางสาวมะละกอ ผู้เสียหายมาโดยตลอด จึงถือเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และสามารถจัดการแทนนางสาวมะละกอผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในความผิดฐานนี้ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1)

ดังนั้น นายเสือจึงสามารถขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) มาตรา 3 (2) และมาตรา 30

สรุป นายเสือมีอํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหาพรากผู้เยาว์ แต่ไม่มี อํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรา

 

ข้อ 2. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายลางสาดและนายเทาเป็นจําเลยในความผิดฐานร่วมกันทําร้ายร่างกายนายหมูป่าผู้เสียหาย ก่อนสืบพยานโจทก์นัดแรก นายหมูป่ายื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหมูป่าเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ระหว่างดําเนินคดี นายหมูป่าไม่พอใจแนวทางการดําเนินคดีของพนักงานอัยการโจทก์ จึงได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้น ขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมโดยระบุว่ามีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับความเห็นของ พนักงานอัยการโจทก์ หากโจทก์ร่วมดําเนินคดีนี้ต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่คดี ศาลชั้นต้นจึง อนุญาตให้นายหมูป่าถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม ต่อมาภายหลังจากสืบพยานจําเลยเสร็จสิ้น ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี นายหมูป่าได้ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ อีกครั้งหนึ่ง โดยระบุว่าเพื่อจะใช้สิทธิขั้นอุทธรณ์ฎีกาต่อไป

ดังนี้ นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายหมูป่าเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ ในครั้งแรกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 แสดงว่าศาลชั้นต้นฟังว่านายหมูป่าเป็นผู้เสียหาย สามารถดําเนินคดีแก่จําเลย โดยอาศัยสิทธิตามฟ้องของพนักงานอัยการได้ เสมือนนายหมูป่าเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ดังนั้น การที่นายหมูป่าขอ ถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมโดยไม่ปรากฏว่านายหมูปาจะไปดําเนินการอะไรอีก ย่อมถือได้ว่านายหมูป่าไม่ประสงค์ จะดําเนินคดีแก่จําเลยอีกต่อไป มีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมโดยเด็ดขาดแล้ว

และเมื่อนายหมูป่าถอนฟ้องแล้ว ย่อมเกิดผลทางกฎหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 คือ นายหมูป่าผู้เสียหายจะนําคดีมาฟ้องใหม่ไม่ได้ เมื่อได้ความว่าฟ้องไม่ได้ การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ก็ทําไม่ได้เช่นเดียวกัน แม้จะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาก็ตาม ดังนั้น นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังอีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (คําพิพากษาฎีกา ที่ 7241/2544)

สรุป นายหมูป่าจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในครั้งหลังไม่ได้

 

ข้อ 3. นางสมหญิงขับรถประมาทชนนายสมชายได้รับบาดเจ็บ ในเขตท้องที่อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงได้รีบนําตัวนายสมชายส่งโรงพยาบาลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ ใกล้ที่สุด แต่เมื่อถึงโรงพยาบาล นายสมชายได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา และระหว่างที่แพทย์ ประจําโรงพยาบาลคลองหลวงรอพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรคลองหลวง เพื่อจะได้ร่วมกัน ชันสูตรพลิกศพนายสมชาย พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอิน พร้อมญาตินายสมชาย ได้ติดตามมาที่โรงพยาบาลคลองหลวง และได้นําศพนายสมชายไปยังโรงพยาบาลบางปะอิน แล้วพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินได้ร่วมกับแพทย์ประจําโรงพยาบาลบางปะอิน ทําการชันสูตรพลิกศพนายสมชาย และมีความเห็นว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง มีโลหิตคั่งในสมองเป็นสาเหตุแห่งการตาย จากนั้นญาตินายสมชายได้รับศพนายสมชายไป ฌาปนกิจตามประเพณี และพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินได้สอบสวนดําเนินคดี กับนางสมหญิงโดยแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทําผิด และแจ้งข้อหาขับรถประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายให้ทราบ นางสมหญิงให้การปฏิเสธโดยมีทนายความอยู่ด้วย ขณะพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินสอบถามคําให้การ ต่อมาพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรบางปะอินสรุปสํานวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง แล้วส่งสํานวนพร้อมกับตัว นางสมหญิงผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการพิจารณา ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า การชันสูตรพลิกศพนายสมชายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และพนักงานอัยการ จะยื่นฟ้องนางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 18 วรรคแรก “ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ ปลัดอําเภอ และข้าราชการตํารวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตํารวจตรีหรือ เทียบเท่านายร้อยตํารวจตรีขึ้นไป มีอํานาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายใน เขตอํานาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่ หรือถูกจับภายในเขตอํานาจของตนได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 129 “ให้ทําการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพ ในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่ง การกระทําผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยัง ไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล”

มาตรา 150 วรรคแรก “ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ ที่ศพนั้นอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตรหรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทําการชันสูตรพลิกศพ โดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้แพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุข จังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจําสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ ประจําโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัครตาม ระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวให้แพทย์ประจําโรงพยาบาลของ เอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้นเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ให้พนักงาน สอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทําบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที และให้แพทย์ดังกล่าวทํารายงาน แนบท้ายบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพด้วยภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเรื่อง ถ้ามีความจําเป็นให้ ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยาย ระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ รายงานดังกล่าวให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสํานวนชันสูตรพลิกศพ และ ในกรณีที่ความตายมิได้เป็นผลแห่งการกระทําผิดอาญา ให้พนักงานสอบสวนส่งสํานวนชันสูตรพลิกศพไปยัง พนักงานอัยการเมื่อเสร็จสิ้นการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว และให้พนักงานอัยการดําเนินการต่อไปตามมาตรา 156”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การชันสูตรพลิกศพนายสมชายชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคแรก บัญญัติให้พนักงานสอบสวนท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับแพทย์ประจําโรงพยาบาลร่วมกันชันสูตรพลิกศพ เมื่อนายสมชายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาลคลองหลวง พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรคลองหลวง และแพทย์ประจําโรงพยาบาลคลองหลวงซึ่งเป็นท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ จึงต้องร่วมกันชันสูตรพลิกศพ การที่พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอินนําศพนายสมชายไปยัง โรงพยาบาลบางปะอิน และร่วมกับแพทย์โรงพยาบาลบางปะอินทําการชันสูตรพลิกศพ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า พนักงานอัยการจะยื่นฟ้องนางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้ หรือไม่ เห็นว่า แม้การชันสูตรพลิกศพนายสมชายจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ไม่ถือว่าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ อันจะห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาลตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 129 แต่อย่างใด อีกทั้งการชันสูตรพลิกศพก็มิใช่เงื่อนไข แห่งการฟ้องคดี ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบางปะอิน เป็นพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งมีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 18 วรรคแรก ได้ทําการสอบสวนแจ้งข้อหาแก่นางสมหญิงผู้ต้องหาแล้ว ย่อมถือได้ว่ามีการสอบสวนแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 พนักงานอัยการจึงมีอํานาจฟ้องนางสมหญิง ผู้ต้องหาต่อศาลได้

สรุป การชันสูตรพลิกศพนายสมชายไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่พนักงานอัยการสามารถฟ้อง นางสมหญิงผู้ต้องหาต่อศาลได้ เพราะได้มีการสอบสวนความผิดนั้นแล้ว

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ทองทาสืบทราบว่านายมะกรูดซึ่งขณะนี้ยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะมีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่เมื่อ พ.ต.ต.ทองทาเดินเข้าไปหานายมะกรูดได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและขอตรวจค้นตัว นายมะกรูด เมื่อ พ.ต.ต.ทองทาค้นตัวนายมะกรูดแล้วได้พบเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ตัวของนายมะกรูด พ.ต.ต.ทองทาจึงทําการจับนายมะกรูดทันทีโดยไม่มีหมายจับ ดังนี้ การตรวจค้นและการจับของพ.ต.ต.ทองทาขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 93 “ห้ามมิให้ทําการค้นบุคคลใดในที่สาธารณสถาน เว้นแต่พนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตํารวจเป็นผู้ค้น ในเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคลนั้นมีสิ่งของในความครอบครองเพื่อจะใช้ในการกระทําความผิด หรือซึ่งได้มาโดยการกระทําความผิดหรือซึ่งมีไว้เป็นความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การตรวจค้นและการจับของ พ.ต.ต.ทองทา ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ พ.ต.ต.ทองทา แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและขอตรวจค้นนายมะกรูดซึ่งยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะโดยไม่มี หมายค้นนั้น โดยหลักย่อมไม่สามารถทําได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ความว่า พ.ต.ต.ทองทา ได้สืบทราบมาก่อนแล้วว่า นายมะกรูดมีเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ จึงถือว่า พ.ต.ต.ทองทา มีเหตุอันควรสงสัยว่านายมะกรูดมีสิ่งของที่มีไว้ เป็นความผิดซุกซ่อนอยู่ กรณีเช่นนี้ พ.ต.ต.ทองทา ย่อมมีอํานาจค้นตัวนายมะกรูดซึ่งยืนอยู่ที่ถนนสาธารณะอัน เป็นที่สาธารณสถานได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 93 และเมื่อค้นแล้วพบเมทแอมเฟตามีนที่ตัวของนายมะกรูด จึงถือว่า เป็นความผิดซึ่งหน้า ดังนั้น พ.ต.ต.ทองทา จึงมีอํานาจจับนายมะกรูดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก การตรวจค้นและการจับกุมจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การตรวจค้นและการจับกุมของ พ.ต.ต.ทองทา ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายนําโชคออกเช็คชําระหนี้ให้นายลูกกอล์ฟ 100,000 บาท นายลูกกอล์ฟนําเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร เมื่อเช็คถึงกําหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเงินในบัญชีนายนําโชคไม่พอจ่าย นายลูกกอล์ฟ นําเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า “ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความ จึงขอแจ้งความไว้เป็น หลักฐาน” เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายนําโชค ทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นายลูกกอล์ฟยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีของพนักงานอัยการและคําร้องของนายลูกกอล์ฟอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(1) พนักงานอัยการ

(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่จะมี คําร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนําโชคออกเช็คชําระหนี้ให้นายลูกกอล์ฟ และเมื่อเช็คถึงกําหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินนั้น เมื่อนายลูกกอล์ฟเป็นผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายลูกกอล์ฟจึง เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4)

แต่การที่นายลูกกอล์ฟนําเช็คไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนว่า “ผู้แจ้งเกรงว่าคดีจะขาดอายุความจึงขอแจ้งความ ไว้เป็นหลักฐาน” ถือว่านายลูกกอล์ฟยังไม่มีเจตนาให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ ถ้อยคําที่แจ้งจึงไม่เป็นคําร้องทุกข์ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 62/2521)

ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อไม่มีคําร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง ทําให้การสอบสวน ของพนักงานสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 ประกอบมาตรา 28 ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการแล้วจึงไม่มีคําฟ้องอยู่ในศาล นายลูกกอล์ฟ แม้จะเป็นผู้เสียหายก็ไม่สามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 30 ได้ ดังนั้น ศาลจึงต้อง สั่งยกคําร้องของนายลูกกอล์ฟเช่นเดียวกัน

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และจะมีคําสั่งยกคําร้อง ของนายลูกกอล์ฟ

 

ข้อ 2. นายกระทิงใช้อาวุธปืนยิงนายภาคย์เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายกระทิงฐานพยายามฆ่านายภาคย์ ในคดี ที่พนักงานอัยการฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายกระทิงมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจําคุก 5 ปี นายกระทิงยื่นอุทธรณ์ในระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี ปรากฏว่านายภาคย์ถึงแก่ความตายเพราะ บาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว ดังนี้ นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์ จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) กรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษา เสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายภาคย์ถึงแก่ความตายจากบาดแผลที่ถูกนายกระทิงใช้อาวุธปืน ยิ่งนั้น แม้นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะมีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และมาตรา 5 (2) แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายกระทิง ฐานพยายามฆ่าไปแล้ว การที่นางนันทนัชยื่นฟ้องนายกระทิงแม้จะฟ้องคนละฐานความผิดก็ยังถือว่าเป็นการกระทํา เดียวกัน ฟ้องของนางนันทนัชจึงเป็นฟ้องซ้ําเนื่องจากสิทธินําคดีอาญามาฟ้องระงับไปแล้วตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) ดังนั้น นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ ลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ไม่ได้

สรุป

นางนันทนัชภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภาคย์จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้น ขอให้ศาลลงโทษนายกระทิงฐานฆ่านายภาคย์ไม่ได้

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.กฤตพนธ์วางแผนให้นายเสือสายลับไปล่อซื้อนางสาวมะกรูดซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี โดยมีการถ่ายสําเนาธนบัตรที่จะใช้ในการล่อซื้อไว้ เมื่อนายเสือพบนางสาวมะกรูดยืนอยู่หน้าบ้านซึ่ง เปิดไว้เพื่อการค้าประเวณี นายเสือได้เดินเข้าไปหานางสาวมะกรูด นางสาวมะกรูดเห็นนายเสือจึง ได้เสนอราคาต่อนายเสือ หากนายเสือต้องการร่วมประเวณีกับตน นายเสือได้ตกลงตามราคาที่ นางสาวมะกรูดเสนอมา และได้เปิดห้องพักเพื่อใช้ร่วมประเวณี โดยห้องพักนั้นเป็นห้องพักที่ใช้ สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป เมื่อนายเสือได้ร่วมประเวณีกับนางสาวมะกรูดแล้ว นายเสือได้ใช้ธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อจ่ายเงินตาม จํานวนที่ตกลงกับนางสาวมะกรูด หลังจากนั้นนายเสือได้ส่งสัญญาณให้ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เปิดประตู เข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เข้ามาในห้องพักก็พบนายเสือกับนางสาวมะกรูดนอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะกรูดมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงทําการจับนางสาวมะกรูดทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น

ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้ ”

วินิจฉัย

โดยหลัก การจับกุมผู้กระทําผิดของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ถ้าเป็นการจับในที่รโหฐาน การที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ คือ ต้องมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายจับ และต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ ต้องมีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

กรณีตามอุทาหรณ์ ห้องพักที่ใช้สําหรับให้ผู้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป ถือได้ว่าเป็นที่สาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน การจับจึงไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน หาก ร.ต.อ.กฤตพนธ์มีอํานาจในการจับก็สามารถเข้าไปจับ ในห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไปได้โดยไม่จําเป็นต้องมีหมายค้นหรือ ไม่จําเป็นต้องมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92 หรือไม่จําเป็นต้อง ขอความยินยอมโดยความสมัครใจจากเจ้าของที่รโหฐานให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น

ดังนั้น เมื่อนายเสือสายลับที่ให้ไปร่วมประเวณีกับนางสาวมะกรูดซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณีได้ส่ง สัญญาณให้ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.กฤตพนธ์เข้ามาในห้องพักก็พบนายเสือกับนางสาวมะกรูด นอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะกรูดมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ เป็นการพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่านางสาวมะกรูดได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ อัน เป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงมีอํานาจใน การจับนางสาวมะกรูดได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 69/2535) ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ ร.ต.อ.กฤตพนธ์ชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ การใช้สายลับล่อซื้อหญิงค้าประเวณีเป็นเพียงการกระทําเท่าที่จําเป็นและสมควร ในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทําความผิดของนางสาวมะกรูดตามอํานาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 2 (10) ชอบที่เจ้าพนักงานตํารวจจะกระทําการได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจําเลยพร้อมด้วย พยานหลักฐาน อันเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจําเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 81/2551)

 

ข้อ 4. นายลิตรร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีแก่นายกริชโดยกล่าวหาว่า วันเกิดเหตุขณะที่นายลิตรยืนอยู่บริเวณหน้าบ้านของนายลิตร นายกริชเดินเข้ามาทําร้ายนายลิตรและเอาสร้อยคอ ทองคําหนัก 1 บาทของนายลิตรไป ต่อมาเจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายกริชได้ตามจับและแจ้ง ข้อหาชิงทรัพย์กับแจ้งสิทธิตามกฎหมายชั้นจับกุมให้นายกริชทราบ นายกริชรับสารภาพและแจ้งว่า ได้เก็บสร้อยคอทองคําของนายลิตรไว้ในตู้เสื้อผ้าภายในบ้านของนายกริช เจ้าพนักงานตํารวจบันทึก คําให้การของนายกริชไว้ในบันทึกการจับกุมและยึดสร้อยคอทองคําเป็นของกลาง ชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาชิงทรัพย์และแจ้งสิทธิตามกฎหมายที่ผู้ต้องหาพึงมีในชั้นสอบสวนให้นายกริชทราบ

จากการสอบสวนได้ความว่านอกจากนายกริชแล้วยังมีนายพุฒิและนายสุกรีร่วมกระทํา ความผิดด้วย แต่นายพุฒิและนายสุกรีหลบหนีไปได้ เมื่อพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเสร็จแล้ว มีความเห็นว่า ควรสั่งฟ้องนายกริชฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายกริชในความผิดฐานดังกล่าว นายกริชให้การปฏิเสธโดยต่อสู้ว่าในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานมิได้แจ้งข้อหาร่วมกัน ปล้นทรัพย์ให้นายกริชทราบมาก่อน เป็นเหตุให้การสอบสวนไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง นายกริชในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 ขอให้ยกฟ้อง

ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายกริชฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 134 “เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียกหรือส่งตัวมาหรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือ ปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวนเป็นผู้ต้องหา ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทําที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทําผิด  แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ…”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นการสอบสวนถือเป็นเพียงการรวบรวมหลักฐานและ ดําเนินการทั้งหลายตามที่กฎหมายกําหนด ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทําไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบ ข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิด และเพื่อเอาตัวผู้กระทําผิดมาฟ้องลงโทษ และการแจ้งข้อกล่าวหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134 ก็ถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการสอบสวนเพื่อให้ผู้ต้องหารู้ตัวก่อนว่าจะถูกสอบสวนในคดีอาญาเรื่องใด แม้เดิมเจ้าพนักงานตํารวจจับกุมและพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาหนึ่ง แต่เมื่อการสอบสวนปรากฏว่าการกระทํา ของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานอื่นก็ถือได้ว่ามีการสอบสวนในความผิดนั้นมาแล้วแต่แรก

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ แม้ขั้นจับกุมและชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาแก่นายกริช ฐานชิงทรัพย์ แต่เมื่อพนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าการกระทําความผิดของนายกริชเข้าองค์ประกอบความผิดร่วมกัน ปล้นทรัพย์ตามความเห็นของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โจทก์ย่อมมีอํานาจฟ้องนายกริชในความผิดฐานร่วมกัน ปล้นทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 เพราะถือว่ามีการสอบสวนโดยชอบด้วยกฎหมายมาแล้วแต่แรกนั่นเอง ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายกริชจึงฟังไม่ขึ้น (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 256/2553)

สรุป ข้อต่อสู้ของนายกริชฟังไม่ขึ้น

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเบิ้มหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูดขว้างลงพื้นจนแตก ต่อมานายมะกรูดถึงแก่ความตายด้วยโรคประจําตัวยังไม่ทันได้ดําเนินคดีข้อหาทําให้เสียทรัพย์แก่นายเบิ้ม นางกะรัตมารดาของ นายมะกรูดจึงยื่นฟ้องนายเบิ้มเป็นจําเลยข้อหาทําให้เสียทรัพย์โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูด

ดังนี้ นางกะรัตยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 5 (2) สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาต โดยชัดแจ้งจากภริยา

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย ผู้เสียหายที่มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2) นั้น จะต้อง เป็นผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการ แทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเบิ้มหยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายมะกรูดขว้างลงพื้นจนแตกนั้น ถือว่านายมะกรูดเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง เพราะเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ดังนั้นนายมะกรูดย่อมมีอํานาจฟ้องนายเบิ้มต่อศาลในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายมะกรูดได้ถึงแก่ความตายโดยยังไม่ได้ยื่นฟ้องนายเบิ้ม ดังนี้ นางกะรัตมารดาของนายมะกรูดจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) ได้บัญญัติให้อํานาจแก่ผู้บุพการี มีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายหรือฟ้องคดีแทนผู้เสียหายได้ก็แต่เฉพาะ ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้เท่านั้น ดังนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์นางกะรัตจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ไม่ได้ เพราะนางกะรัตไม่ใช่ผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และไม่มีอํานาจจัดการแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2)

สรุป

นางกะรัตจะยื่นฟ้องนายเบิ้มในข้อหาทําให้เสียทรัพย์ไม่ได้

 

ข้อ 2. น.ส.หนึ่งอายุ 16 ปี ถูกนายเจ็กข่มขืนกระทําชําเรา น.ส.หนึ่งอับอายจึงไม่กล้าไปร้องทุกข์ แต่ได้บอกนายโรจน์ซึ่งเป็นบิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา น.ส.หนึ่ง และไม่ได้อยู่ด้วยกันกับ น.ส.หนึ่ง แต่นายโรจน์เป็นคนกว้างขวางเป็นที่รู้จักคนทั่วไปมาก นายโรจน์จึงมาร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุโดยอ้างว่ามาร้องทุกข์แทน เนื่องจากเป็นบิดาตามความเป็นจริงของ น.ส.หนึ่ง พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวนจึงสอบสวน สรุปสํานวนเสนอพนักงานอัยการและมีคําสั่งฟ้องนายเจ๊กฐานข่มขืนกระทําชําเราตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่ จะมีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวอย่างไรนั้น เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงนายโรจน์เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของ น.ส.หนึ่ง จึงไม่มีฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และไม่สามารถจัดการแทน น.ส.หนึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (1) แม้ น.ส.หนึ่งจะเป็นผู้เยาว์ก็ตาม อีกทั้งนายโรจน์ ก็ไม่สามารถจัดการแทน น.ส.หนึ่งตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5 (2) เพราะแม้ว่านายโรจน์จะเป็นผู้บุพการี่ของ น.ส.หนึ่ง แต่ น.ส.หนึ่งเมื่อถูกนายเจ๊กข่มขืนกระทําชําเรา ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า น.ส.หนึ่งถูกทําร้ายได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้แต่อย่างใด

ดังนั้น นายโรจน์จึงไม่ใช่บุคคลอื่นผู้มีอํานาจจัดการแทนได้ อันจะถือเป็น ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4)

และเมื่อความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราที่นายโรจน์มาร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สุขดี พนักงาน สอบสวนนั้นเป็นความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งจะต้องมีคําร้องทุกข์ตามกฎหมายเสียก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะ มีอํานาจสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง

ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายโรจน์ไม่ใช่ผู้เสียหาย การร้องทุกข์ ของนายโรจน์จึงไม่เป็นคําร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (7) การสอบสวนของ พ.ต.ท.สุขดี พนักงานสอบสวน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นผลให้พนักงานอัยการไม่มีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 ศาลจึงต้องพิพากษา ยกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีของพนักงานอัยการ

 

ข้อ 3. นายบริสุทธิ์สงสัยว่านายธรรมซึ่งเป็นคนอาศัยอยู่ในบ้านจะเป็นคนร้ายขโมยแหวนประจําตระกูลเพราะหลังเกิดเหตุ นายธรรมหนีออกจากบ้านไป นายบริสุทธิ์จึงไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ให้ดําเนินคดีกับนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์ นอกจากนี้ นายบริสุทธิ์ยังเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธรรม ต่อศาลด้วย แต่พนักงานอัยการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องนายธรรมที่ยังหลบหนีและยังไม่ได้ตัวมาทํา การสอบสวน โดยผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติเห็นชอบกับคําสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว และศาลได้ไต่สวน มูลฟ้องคดีที่นายบริสุทธิ์เป็นโจทก์แล้ว มีคําพิพากษายกฟ้อง เพราะคดีไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า นายธรรมเป็นคนร้ายลักทรัพย์ ต่อมานายธรรมสํานึกผิดและนึกถึงบุญคุณที่นายบริสุทธิ์ได้เลี้ยงดู และให้พักอาศัยในบ้าน จึงสารภาพผิดและนําแหวนประจําตระกูลมาคืนให้กับนายบริสุทธิ์

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้น เป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีหรือไม่ และพนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาล รวมทั้งนายบริสุทธิ์จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

มาตรา 147 “เมื่อมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้น ในเรื่องเดียวกันนั้นอีก เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้”

วินิจฉัย

ในกรณีที่สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับ เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4) นั้น ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1 จําเลยในคดีแรกและคดีที่นํามาฟ้องใหม่เป็นคนเดียวกัน

2 การกระทําของจําเลยเป็นการกระทําเดียวกัน

3 ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่ นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้นเป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีหรือไม่ เห็นว่า คํารับสารภาพของ นายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์ถือเป็นพยานหลักฐานที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ในสํานวนการสอบสวน และเป็นพยานหลักฐานที่พิสูจน์ความผิดซึ่งน่าจะทําให้ศาลพิพากษาลงโทษนายธรรมได้ จึงเป็นพยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดีตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 147

ประเด็นที่สองที่ต้องวินิจฉัยมีว่า พนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาล เป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายเมื่อพนักงานอัยการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาแล้ว พนักงานสอบสวน จะรื้อคดีนั้นมาสอบสวนอีกไม่ได้ แต่หากได้พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็สามารถที่จะสอบสวนความผิดนั้นต่อไปเพื่อส่งให้พนักงานอัยการมีคําสั่งฟ้องต่อศาลได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 147) ตามข้อเท็จจริงเมื่อคํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์ ถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ อันสําคัญแก่คดีซึ่งน่าจะทําให้ศาลลงโทษนายธรรมได้ โดยหลักพนักงานอัยการย่อมมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาลได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านายบริสุทธิ์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์จนศาล มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว พนักงานอัยการจึงยื่นฟ้องนายธรรมเป็นจําเลยในการกระทําเดียวกันกับคดีก่อน อีกไม่ได้ เพราะสิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4)

ประเด็นที่สามที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายบริสุทธิ์จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ได้หรือไม่ เห็นว่า กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับกรณีของพนักงานอัยการ กล่าวคือ การที่นายบริสุทธิ์ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายธรรมในข้อหาลักทรัพย์ จนศาลได้มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องไปแล้วนั้น ย่อมต้องห้ามมิให้นายบริสุทธิ์ยื่นฟ้องนายธรรม เป็นจําเลยในการกระทําเดียวกันกับคดีก่อนอีก เพราะสิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (4)

สรุป คํารับสารภาพของนายธรรมและแหวนที่นายธรรมนํามาคืนให้กับนายบริสุทธิ์นั้นเป็น พยานหลักฐานใหม่อันสําคัญแก่คดี และพนักงานอัยการจะมีคําสั่งฟ้องและยื่นฟ้องนายธรรมต่อศาลเป็นคดีใหมไม่ได้ รวมทั้งนายบริสุทธิ์ก็จะยื่นฟ้องนายธรรมเป็นคดีใหม่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.พิศุทธิ์เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ โดยรถยนต์คันนี้มีร่องรอยว่าพึ่งจะถูกงัดแงะและเครื่องเสียงของรถยนต์หายไปในบริเวณใกล้เคียง พ.ต.ต.พิศุทธิ์พบนายมาโนชยืนถือเครื่องเสียงของรถยนต์ที่ ถูกงัดแงะอยู่ในมือ พ.ต.ต.พิศุทธิ์จะเข้าทําการจับนายมาโนช แต่นายมาโนชวิ่งหนีเข้าไปในบ้าน มารดาของนายมาโนช ซึ่งนายมาโนชก็พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย พ.ต.ต.พิศุทธิ์ได้ตามเข้าไปจับ นายมาโนชในบ้านมารดาของนายมาโนชทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือพบใน อาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ

อย่างไรก็ดี ความผิดอาญาดังระบุไว้ในบัญชีท้ายประมวลกฎหมายนี้ ให้ถือว่าความผิดนั้น เป็นความผิดซึ่งหน้าในกรณีดังนี้

(2) เมื่อพบบุคคลหนึ่งแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทําผิดในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่ เกิดเหตุนั้น และมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทําผิด หรือมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสันนิษฐานได้ว่า ได้ใช้ในการกระทําผิดหรือมีร่องรอยพิรุธเห็นประจักษ์ที่เสื้อผ้าหรือเนื้อตัวของผู้นั้น”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อบุคคลที่ได้กระทําความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้น ควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ถือเป็นการจับในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้ ต้องมีอํานาจในการจับโดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้องมีหมาย และได้ทําตาม บทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นในที่ รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมาย

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า พ.ต.ต.พิศุทธิ์พบนายมาโนชแทบจะทันทีทันใดหลังจากการกระทําผิด ในถิ่นแถวใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุนั้น และนายมาโนชมีสิ่งของที่ได้มาจากการกระทําผิด อีกทั้งความผิดที่นายมาโนช กระทําคือ ความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้าย ป.วิ.อาญา พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงมีอํานาจใน การจับนายมาโนชโดยไม่ต้องมีหมายจับเพราะเป็นความผิดซึ่งหน้าประเภทที่กฎหมายให้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 80 วรรคสอง (2) และตามข้อเท็จจริง พ.ต.ต.พิศุทธิ์ได้ทําตาม บทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐานตามมาตรา 92 (3) แล้วเนื่องจากเป็นกรณีที่นายมาโนช ซึ่งได้กระทําความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูก พ.ต.ต.พิศุทธิ์ไล่จับได้หนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในบ้านมารดาของนายมาโนช ซึ่งเป็นที่รโหฐาน พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงมีอํานาจเข้าไปจับนายมาโนชในบ้านมารดาของนายมาโนชได้ทันที ดังนั้นการจับ ของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์จึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1), 60 วรรคสอง (2), 81 และ 92 (3)

สรุป การจับของ พ.ต.ต.พิศุทธิ์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงมิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของเด็กหญิงขาวอายุ 14 ปีเศษ ได้เป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษนายดําที่มีอายุ 22 ปีเศษแล้ว ฐานข่มขืนกระทําชําเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตามคําฟ้องนั้นระบุด้วยว่าเด็กหญิงขาวผู้เยาว์โดยนายแดงบิดาผู้ปกครองผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นโจทก์ แต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องปรากฏข้อเท็จจริงว่าเด็กหญิงขาวเป็นบุตรของโจทก์อันเกิดจากนางเขียว ภริยาของโจทก์ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายและนางเขียวได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่ เด็กหญิงขาวยังเล็กอยู่ โดยนายแดงเป็นผู้ให้อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา และให้เด็กหญิงขาวใช้ นามสกุลมาตลอด ศาลเห็นว่า คดีของโจทก์มีมูลจึงให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาจนเสร็จคดี และก่อนที่ศาลชั้นต้น จะพิพากษาได้สั่งแต่งตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีด้วย เช่นนี้ นายแดงจะมีอํานาจเป็นโจทก์ ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวดังกล่าวหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล”

มาตรา 6 “ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือเป็นผู้วิกลจริต หรือคนไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทําการตามหน้าที่ โดยเหตุหนึ่งเหตุใด รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถนั้น ๆ ญาติของผู้นั้นหรือผู้มีประโยชน์ เกี่ยวข้องอาจร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งเขาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้

เมื่อได้ไต่สวนแล้วให้ศาลตั้งผู้ร้องหรือบุคคลอื่นซึ่งยินยอมตามที่เห็นสมควร เป็นผู้แทนเฉพาะคดี เมื่อไม่มีบุคคลใดเป็นผู้แทนให้ศาลตั้งพนักงานฝ่ายปกครองเป็นผู้แทน

ห้ามมิให้เรียกค่าธรรมเนียมในเรื่องขอตั้งเป็นผู้แทนเฉพาะคดี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เด็กหญิงขาวอายุ 14 ปีเศษ ถือว่าเป็นผู้เยาว์ เมื่อถูกข่มขืนกระทําชําเรา จึงไม่อาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้เอง ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้จัดการฟ้องคดีแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านางเขียวซึ่งเป็นมารดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงขาวได้หนีออกจาก บ้านไปตั้งแต่เด็กหญิงขาวยังเล็กอยู่ จึงถือได้ว่าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทําการตามหน้าที่ได้โดยเหตุใด เหตุหนึ่ง จึงจําเป็นต้องตั้งผู้แทนเฉพาะคดีขึ้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 6 เพื่อดําเนินคดีแทนต่อไป

ซึ่งการตั้งผู้แทนเฉพาะคดีนั้น โดยหลักตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 6 จะต้องมีผู้ร้องขอต่อศาล แต่ในทางปฏิบัติศาลจะตั้งให้เองก็ได้ (ฎีกาที่ 617/2492) และในคดีนี้เมื่อปรากฏว่า ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็น ข้อเท็จจริงเช่นนั้นยังประทับรับฟ้องไว้พิจารณา จึงถือโดยปริยายว่าศาลได้ตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้ว

และข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกว่าก่อนศาลพิพากษายังตั้งให้นายแดงเป็นผู้แทนเฉพาะคดีด้วย เช่นนี้ นายแดงจึงมีอํานาจ เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวได้ (ฎีกาที่ 2958/2541)

สรุป

นายแดงมีอํานาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนเด็กหญิงขาวได้

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2556 นายเอกพร้อมนางเบญจภริยาเข้าไปล่าสัตว์ในป่าบริเวณรอยต่อระหว่างอําเภอบัวใหญ่และอําเภอแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา ขณะที่ล่าสัตว์อยู่โดยไม่แน่ชัดว่าอยู่ บริเวณใด นายโทและนายตรีได้ร่วมกันใช้ปืนยิงนายเอกถึงแก่ความตาย พันตํารวจโทจัตวาซึ่งเป็น สารวัตรสืบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จึงตามจับตัวนายโทและนายตรี แต่จับได้เฉพาะนายโทในท้องที่อําเภอแก้งสนามนาง แล้วพันตํารวจโทจัตวานําตัวนายโทส่งให้แก่ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ดําเนินคดีในวันเดียวกันนางเบญจภริยานายเอกจึงเข้า ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ให้ดําเนินคดีกับนายโทและนายตรี หลังจากนั้น อีกหนึ่งเดือนนายตรีได้เข้ารับมอบตัวต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง พนักงาน สอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางจึงได้รับตัวไว้ทําการสอบสวน ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจทําการสอบสวน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 19 “ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) เป็นการไม่แน่ว่าการกระทําผิดอาญาได้กระทําในท้องที่ใดในระหว่างหลายท้องที่

พนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน

(ก) ถ้าจับผู้ต้องหาได้แล้ว คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอํานาจ

(ข) ถ้าจับตัวผู้ต้องหายังไม่ได้ คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทําผิดก่อนอยู่ในเขตอํานาจ”

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิด นั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโทและนายตรีร่วมกันใช้ปืนยิงนายเอกถึงแก่ความตาย โดยที่ ข้อเท็จจริงไม่ชัดแจ้งว่าเหตุเกิดขึ้นในท้องที่ใดแน่ ระหว่างอําเภอบัวใหญ่กับอําเภอแก้งสนามนางนั้น ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ก) ได้กําหนดให้พนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับผู้ต้องหาได้อยู่ในเขตอํานาจ เป็นพนักงานสอบสวน ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน ดังนั้น เมื่อนายโทถูกจับกุมที่อําเภอแก้งสนามนาง พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ในคดีนี้จึงได้แก่พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรอําเภอแก้งสนามนาง ซึ่งมีอํานาจที่จะสรุปสํานวนและทํา ความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง

แม้นางเบญจภริยาของนายเอกจะเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ ให้ดําเนินคดีกับนายโทและนายตรี แต่ก็เป็นการร้องทุกข์ในภายหลังที่เจ้าพนักงานตํารวจจับนายโทได้แล้ว กรณีจึงมิใช่ การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่ก่อนที่จะจับนายโทได้ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธร บัวใหญ่จึงไม่ใช่พนัางานสอบสวนท้องที่ที่พบการกระทําผิดก่อนอยู่ในเขตอําเภอ อันจะทําให้เป็นพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบการสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ข) แต่อย่างใด

เมื่อพนักงานสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่มิใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ จึงถือได้ว่ามีการ สอบสวนในความผิดนั้นโดยชอบตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 120 (ฎีกาที่ 3466/2547) พนักงานสถานีตํารวจภูธรบัวใหญ่จึง ต้องโอนสํานวนและตัวผู้ต้องหาคือนายโทไปให้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง ดําเนินการสอบสวน ต่อไป

ส่วนการที่นายตรีได้เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนาง และ พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางได้รับตัวนายตรีไว้ทําการสอบสวนนั้น ถือว่าชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ก) เพราะเป็นพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับตัวผู้ต้องหาได้และอยู่ในเขตอํานาจ

สรุป

คดีนี้พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรแก้งสนามนางเป็นพนักงานสอบสวน ผู้รับผิดชอบที่มีอํานาจทําการสอบสวนทั้งกรณีของนายโทและนายตรี

 

ข้อ 3. นายดําถูกจับและถูกขังในห้องขังของสถานีตํารวจภูธรช้างคลาน ในข้อหามียาเสพติดไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่ารุ่งเช้านายดํานอนเสียชีวิตในห้องขัง แพทย์ประจํา โรงพยาบาลช้างคลานและพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานร่วมกันชันสูตรพลิกศพ พบว่า นายดําถูกวางยาพิษจนถึงแก่ความตายและได้มอบศพให้ญาติไปฌาปนกิจตามพิธีทางศาสนา ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานได้ทําการสอบสวนหาตัวผู้กระทําผิด พบว่านายขาว เป็นคนแอบเอายาพิษใส่ในข้าวให้นายดํา เพื่อมิให้นายดําซัดทอดว่าได้ยาเสพติดมาจากนายขาว พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรช้างคลานจึงแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมทําสํานวนสอบสวน ดําเนินคดีกับนายขาวในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การชันสูตรพลิกศพนายดําผู้ตายขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และควรต้องดําเนินการเช่นใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสี่และวรรคห้า “ในกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทํา ของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตามหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่า ปฏิบัติราชการตามหน้าที่ให้พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองตําแหน่งตั้งแต่ระดับปลัดอําเภอหรือเทียบเท่า ขึ้นไปแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่เป็นผู้ชันสูตรพลิกศพร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ตามวรรคหนึ่ง และให้นํา บทบัญญัติในวรรคสองมาใช้บังคับ

เมื่อได้มีการชันสูตรพลิกศพตามวรรคสามแล้ว ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการ เข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพให้เสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งถ้ามีความจําเป็น ให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้องบันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการ ขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ

เมื่อได้รับสํานวนชันสูตรพลิกศพแล้ว ให้พนักงานอัยการทําคําร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่ง ท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทําการไต่สวนและทําคําสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและ พฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทําร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทําร้ายเท่าที่จะทราบได้ภายในสามสิบวันนับแต่ วันที่ได้รับสํานวน ถ้ามีความจําเป็นให้ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสามสิบวัน แต่ต้อง บันทึกเหตุผลและความจําเป็นในการขยายระยะเวลาทุกครั้งไว้ในสํานวนชันสูตรพลิกศพ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําถึงแก่ความตายในห้องขังของสถานีตํารวจภูธรช้างคลานนั้น ถือเป็นกรณีที่มีความตายเกิดขึ้นในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน การชันสูตรพลิกศพจึงต้องมี พนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองร่วมกับพนักงานสอบสวนและแพทย์ทําการชันสูตรพลิกศพ และ พนักงานอัยการต้องเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพ จากนั้นพนักงานอัยการต้องทําคําร้องขอ ต่อศาลเพื่อให้ศาลทําการไต่สวนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 150 วรรคสาม วรรคสีและวรรคห้า

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีเพียงแพทย์ประจําโรงพยาบาลช้างคลานและพนักงานสอบสวน สถานีตํารวจภูธรช้างคลานเท่านั้นที่ร่วมกันชันสูตรพลิกศพ หาได้มีพนักงานอัยการร่วมด้วยแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น การชันสูตรพลิกศพคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ดีการที่ศพถูกฌาปนกิจไปแล้ว ย่อมไม่อาจทําการ ชันสูตรพลิกศพใหม่ได้ แต่พนักงานสอบสวนก็สามารถแจ้งให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวน ชันสูตรพลิกศพแล้วส่งให้พนักงานอัยการยื่นคําร้องต่อศาลให้ทําการไต่สวนได้

สรุป การชันสูตรพลิกศพนายดําผู้ตายไม่ชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานสอบสวนควรแจ้ง ให้พนักงานอัยการเข้าร่วมกับพนักงานสอบสวนทําสํานวนชันสูตรพลิกศพแล้วส่งให้พนักงานอัยการยื่นคําร้องต่อศาล เพื่อทําการไต่สวนต่อไป

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.แก้วสืบทราบว่านายเบิ้มซึ่งศาลได้ออกหมายจับในคดีชิงทรัพย์หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเลขที่ 30 ซึ่งเป็นบ้านของนายธกฤตน้องชายนายเบิ้ม พ.ต.ต.แก้วจึงยื่นคําร้องต่อศาลขอออกหมายค้นบ้านหลัง ดังกล่าว ศาลออกหมายค้นให้ตามคําร้องขอ เมื่อ พ.ต.ต.แก้วไปถึงบ้านนายธกฤตพบว่านายเบิ้ม หลบหนีไปอยู่บ้านเลขที่ 31 ซึ่งตามทะเบียนบ้านมีนายเบิ้มเป็นเจ้าบ้าน พ.ต.ต.แก้วจึงไปที่บ้านเลขที่ 31 และได้พบนายเบิ้มอยู่ภายในบ้านหลังดังกล่าว พ.ต.ต.แก้วได้แสดงตัวเป็นตํารวจแจ้งนายเบิ้ม ว่าต้องถูกจับทั้งแจ้งข้อหา แสดงหมายจับต่อนายเบิ้ม พร้อมทั้งแจ้งสิทธิตามกฎหมาย จากนั้นเข้าไป จับกุมนายเบิ้มในบ้านเลขที่ 31 ทันทีโดยไม่มีหมายค้น ดังนี้ การจับของ พ.ต.ต.แก้วชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 57 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 78 มาตรา 79 มาตรา 80 มาตรา 92 และมาตรา 94 แห่งประมวลกฎหมายนี้จะจับ ขัง จําคุก หรือค้นในที่รโหฐานหาตัวคนหรือสิ่งของต้องมีคําสั่ง หรือหมายของศาลสําหรับการนั้น

บุคคลซึ่งต้องขังหรือจําคุกตามหมายศาล จะปล่อยไปได้ก็เมื่อมีหมายปล่อยของศาล”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(5) เมื่อที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้าน และการจับนั้นมีหมายจับหรือจับตาม มาตรา 78”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.แก้วได้เข้าไปจับกุมนายเบิ้มในบ้านนั้นถือเป็นการจับในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ โดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายและต้องทําตามบทบัญญัติใน ป.วิ.อาญา อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ มีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้น หรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 57 )

ตามข้อเท็จจริง เมื่อนายเบิ้มเป็นผู้ต้องหาซึ่งศาลได้ออกหมายจับแล้ว แม้ พ.ต.ต.แก้วจะไม่มี หมายค้นบ้านเลขที่ 31 แต่เมื่อนายเบิ้มเป็นเจ้าบ้านเลขที่ 31 พ.ต.ต.แก้วจึงสามารถเข้าไปในบ้านหลังนี้ได้โดยไม่ต้อง มีหมายค้นเนื่องจากที่รโหฐานนั้นผู้จะต้องถูกจับเป็นเจ้าบ้านและการจับนั้นมีหมายจับ พ.ต.ต.แก้วจึงสามารถ ทําการจับนายเบิ้มในบ้านเลขที่ 31 ได้แม้จะไม่มีหมายค้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 81 ประกอบมาตรา 9245) ดังนั้น การจับของ พ.ต.ต.แก้วจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ พ.ต.ต.แก้วชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนนายสองถึงแก่ความตาย เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นางสมรภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองยื่นคําร้อง ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลอนุญาต ระหว่างการสืบพยานโจทก์ นางสมรยื่นคําร้องต่อศาลขอถอนคําร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการ ระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายเรื่องไม่ตรงกันกับพนักงานอัยการ หากดําเนินการร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะเป็นผลเสียแก่คดี ศาลอนุญาต ในวันเดียวกันนั้นนายสักบิดา ตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองทราบเรื่อง จึงยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการแทนนางสมรทันที ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคําร้องของนายสักว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 วรรคแรก “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่…”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในกรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวมีผู้จัดการแทนตามมาตรา 5 หลายคน ผู้จัดการแทน ผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจําเลยอีกไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองได้ถูกนายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายสองเป็นผู้เสียหายโดยตรง เพราะเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24) และเมื่อนายสองได้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ นางสมรภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองและนายสัก บิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองต่างก็เป็นผู้มีอํานาจจัดการแทนนายสองได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2) แต่เมื่อได้ความว่านางสมรได้ใช้สิทธิจัดการแทนนายสองไปแล้วด้วยการยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการ และต่อมาได้ยื่นคําร้องขอถอนคําร้องในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ซึ่งผลของการถอนคําร้องนั้นมีผลเท่ากับเป็นการขอถอนฟ้อง (คําสั่งคําร้องศาลฎีกาที่ 89/2514) และเมื่อศาลอนุญาตย่อม เกิดผลในทางกฎหมาย คือ ทําให้ไม่สามารถนําคดีมาฟ้องใหม่ได้อีกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 และผลในทางกฎหมาย ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมมีผลถึงนายสักบิดาของนายสองด้วย กล่าวคือ เมื่อนายสักไม่สามารถฟ้องคดีได้ ย่อมทําให้ไม่สามารถ ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานไปด้วยเช่นเดียวกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 1790/2492) ดังนั้นเมื่อนายสักยื่นคําร้อง ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลต้องสั่งยกคําร้องของนายสัก

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะสั่งยกคําร้องของนายสัก

 

ข้อ 2. นายเสือใช้อาวุธปืนยิงนายหมี เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานพยายามฆ่านายหมี ให้นักศึกษาตอบคําถามแต่ละกรณีดังต่อไปนี้

(ก) ในระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของพนักงานอัยการ ปรากฏว่านายหมีถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว กรณีนี้นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมี จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายเสือมีความผิดตามฟ้องลงโทษจําคุก 5 ปี นายเสือยื่นอุทธรณ์ ในระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี ปรากฏว่านายหมีถึงแก่ความตายเพราะ บาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว กรณีนี้นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีจะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

และ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 173 วรรคสอง “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคําฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และ ผลแห่งการนี้

(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคําฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นและ…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเสือใช้อาวุธปืนยิงนายหมีเป็นเหตุให้นายหมีได้รับอันตรายสาหัสนั้น แม้พนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้องนายเสือฐานพยายามฆ่าไปแล้ว แต่เมื่อระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของพนักงานอัยการ นายหมีได้ถึงแก่ ความตายเนื่องจากเหตุดังกล่าว ดังนี้ นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีย่อมมีอํานาจจัดการแทนได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) และมาตรา 5(2) และมีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมี ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28

และในคดีที่นางแหม่มยื่นฟ้องต่อศาลดังกล่าวนี้ จะไม่เป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 เพราะโจทก์เป็นคนละคนกัน อีกทั้งยังไม่เป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4) เพราะคดีของพนักงานอัยการยังไม่มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

ดังนั้น กรณีนี้นางแหม่มจึงมีอํานาจฟ้องขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้

(ข) การที่นายหมีได้ถึงแก่ความตายจากบาดแผลที่ถูกนายเสือใช้อาวุธปืนยิง แม้นางแหม่มภริยา โดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีจะมีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244) และมาตรา 5(2) แต่เมื่อคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายเสือฐานพยายามฆ่าไปแล้ว และการที่นางแหม่ม ยื่นฟ้องนายเสือ แม้จะเป็นการฟ้องคนละฐานความผิดแต่ก็ยังถือว่าเป็นการกระทําเดียวกัน และผู้ถูกฟ้องเป็น คนคนเดียวกัน ดังนั้นฟ้องของนางแหม่มจึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4)

ดังนั้น กรณีนี้นางแหม่ม จึงฟ้องขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีไม่ได้

สรุป

(ก) นางแหม่มสามารถยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้

(ข) นางแหม่มจะยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีไม่ได้

 

ข้อ 3. นายเสียงศิลป์ถูกจับและได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน โดยมีนายกิตติใช้ตําแหน่งข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายเสียงศิลป์ หลังจากนายเสียงศิลป์ได้รับการปล่อยชั่วคราวได้สามวัน นายกิตติพบว่านายเสียงศิลป์กําลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด และนายกิตติเห็น พ.ต.อ.ษมาอยู่ใน บริเวณนั้นจึงขอให้ พ.ต.อ.ษมาทําการจับนายเสียงศิลป์ พ.ต.อ.ษมาจึงทําการจับนายเสียงศิลป์ทันที โดยไม่มีหมายจับ

ดังนี้ การจับของ พ.ต.อ.ษมาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจําเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตาม มาตรา 117”

มาตรา 117 “เมื่อผู้ต้องหาหรือจําเลยหนีหรือจะหลบหนีให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ที่พบการกระทําดังกล่าวมีอํานาจจับผู้ต้องหาหรือจําเลยนั้นได้ แต่ในกรณีที่บุคคลซึ่งทําสัญญาประกันหรือเป็น หลักประกันเป็นผู้พบเห็นการกระทําดังกล่าว อาจขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือ จําเลยได้”

โดยหลักตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 แล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มี หมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย เช่น กรณีเป็นการจับผู้ต้องหาหรือจําเลย ที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยตัวชั่วคราวตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 117 เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกิตติใช้ตําแหน่งข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายเสียงศิลป์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวน ต่อมานายกิตติพบว่านายเสียงศิลป์กําลังจะหลบหนีไป ต่างจังหวัด และนายกิตติเห็น พ.ต.อ.ษมาอยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้ พ.ต.อ.ษมาทําการจับนายเสียงศิลป์และ พ.ต.อ.ษมาจึงได้ทําการจับนายเสียงศิลป์ทันทีโดยไม่มีหมายจับนั้น ดังนี้ ถือว่า พ.ต.อ.ษมามีอํานาจในการจับ นายเสียงศิลป์ได้แม้ว่าจะไม่มีหมายจับก็ตาม เนื่องจากเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นผู้ต้องหา หรือจําเลยหนีหรือจะหลบหนี บุคคลผู้เป็นหลักประกันสามารถขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจที่ใกล้ที่สุด จับผู้ต้องหาหรือจําเลยได้ การจับของ พ.ต.อ.ษมาจึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78(4) ประกอบมาตรา 117

สรุป การจับของ พ.ต.อ.ษมาชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ยศวินพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนนายมะพร้าวผู้ต้องหาอายุ 26 ปี ในข้อหากระทําชําเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยมีอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี โดย ก่อนเริ่มถามคําให้การ พ.ต.ต.ยศวินถามนายมะพร้าวว่ามีทนายความหรือไม่ นายมะพร้าวตอบว่าไม่มี แต่ไม่ต้องการทนายความเพราะสํานึกผิดในการกระทํา พ.ต.ต.ยศวินจึงแจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิ ของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ให้ทราบก่อน ถามคําให้การ หลังจากที่นายมะพร้าวได้ฟังการแจ้งสิทธิดังกล่าว นายมะพร้าวก็ยังยืนยันต่อ พ.ต.ต.ยศวินว่าไม่ต้องการทนายความ พ.ต.ต.ยศวินจึงถามคําให้การนายมะพร้าวโดยที่ไม่มี ทนายความ และนายมะพร้าวยอมให้การโดยเต็มใจ พ.ต.ต.ยศวินจึงจําคําให้การไว้ ดังนี้ถ้อยคําที่นายมะพร้าวให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินจะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของนายมะพร้าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ “ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งหรือ วรรคสามได้กระทําโดยร่วมกระทําความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทํากับ เด็กชายในลักษณะเดียวกันและเด็กนั้นไม่ยินยอม หรือได้กระทําโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต”

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 134/1 วรรคแรกและวรรคสอง “ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหา มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหา ว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามี ทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้”

มาตรา 134/2 “ให้นําบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวน ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี”

มาตรา 134/3 “ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้”

มาตรา 134/4 “ในการถามคําให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้ เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคําให้การไว้ ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคําใด ๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อน จะดําเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของผู้นั้นไม่ได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา (ไม่คํานึงว่าในขณะกระทําความผิดจะมีอายุเท่าใดก็ตาม) ก่อนเริ่มถามคําให้การ ให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้ กรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาด หากผู้ต้องหาไม่มีทนายความและแม้จะไม่ต้องการก็ต้องจัดหาทนายความให้เสมอ (ป.วิ.อาญา มาตรา 134/1 วรรคแรก)

ในส่วนคดีที่มีอัตราโทษจําคุก (ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปี) ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการ ทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้ แต่ถ้าหากผู้ต้องหาไม่ต้องการ ก็ไม่จําต้องจัดหาให้แต่ประการใด (ป.วิ.อาญา

มาตรา 134/1 วรรคสอง) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.ยศวินพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนนายมะพร้าวผู้ต้องหาอายุ 26 ปี ในข้อหากระทําชําเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี โดยมีอาวุธปืนซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ตลอดชีวิตนั้น พ.ต.ต.ยศวินจึงต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/1 วรรคสอง กล่าวคือ ก่อนเริ่มถามคําให้การ พ.ต.ต.ยศวินต้องถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความให้จัดหาทนายความให้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจาก พ.ต.ต.ยศวินได้ถามนายมะพร้าวว่ามีทนายความหรือไม่ นายมะพร้าวตอบว่าไม่มี แต่ไม่ต้องการทนายความ ดังนี้ พ.ต.ต.ยศวินจึงไม่ต้องจัดหาทนายความให้นายมะพร้าว และเมื่อ พ.ต.ต.ยศวิน ได้แจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ให้นายมะพร้าวทราบก่อนถาม คําให้การแล้ว นายมะพร้าวก็ยอมให้การโดยเต็มใจ พ.ต.ต.ยศวินจึงได้จดคําให้การไว้ ดังนั้นถ้อยคําที่นายมะพร้าว ให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินจึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายมะพร้าวได้

สรุป

ถ้อยคําที่นายมะพร้าวให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการ พิสูจน์ความผิดของนายมะพร้าวได้

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก บัญญัติให้ผู้กระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนมีความผิดโดยไม่คํานึงถึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ปรากฏว่า เด็กหญิงน้อย อายุ 13 ปีเศษได้ยินยอมให้นายเขียวกระทําชําเรา ต่อมาอีก 15 วัน เด็กหญิงน้อย ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและเมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว เห็นว่าคดีมีหลักฐานจึงส่งสํานวน ให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายเขียวต่อศาลตามข้อหาดังกล่าว นายขาว บิดาผู้ดูแลเด็กหญิงน้อยจึงจัดการแทนเด็กหญิงน้อยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเนื่องจาก เด็กหญิงน้อยอายุยังไม่เกิน 20 ปี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) เด็กหญิงน้อยมีอํานาจร้องทุกข์หรือไม่ และ

(2) นายขาวบิดาของเด็กหญิงน้อยมีอํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

(1) ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 247) และมาตรา 123 มิได้บัญญัติว่า การร้องทุกข์ของผู้เยาว์ต้องได้รับ ความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลดังกล่าวต้องลงลายมือชื่อในการร้องทุกข์ของ ผู้เยาว์ด้วย ดังนั้นผู้เยาว์จึงมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3915/2551)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เด็กหญิงน้อย ได้ยินยอมให้นายเขียวกระทําชําเรานั้นก็ยังถือว่าเป็น ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244) ประกอบด้วย ป.อาญา มาตรา 277 เพราะมาตรา 277 ได้บัญญัติเอาผิด ในกรณีที่เด็กหญิงน้อยยินยอมไว้ด้วย การยินยอมจึงถือเป็นองค์ประกอบของความผิด ดังนั้นการที่เด็กหญิงน้อยได้ ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีกับนายเขียวในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรานั้นเด็กหญิงน้อยย่อมมีอํานาจที่จะ กระทําได้ เพราะการที่ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายย่อมมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 27)

(2) ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายขาวเป็นบิดาผู้ดูแลเด็กหญิงน้อยซึ่งเป็นผู้เสียหายถือว่าเป็นผู้แทน โดยชอบธรรม จึงสามารถจัดการแทนเด็กหญิงน้อยผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) และสามารถขอเข้าร่วม เป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 342) และมาตรา 30 (คําพิพากษาฎีกาที่ 4147/2550)

สรุป

(1) เด็กหญิงน้อยมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้

(2) นายขาวบิดาของเด็กหญิงน้อยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้

 

ข้อ 2. นายวิทย์ลักรถจักรยานยนต์ของนายเกียรติที่จังหวัดราชบุรีและนํามาขายให้แก่นายสมศักดิ์ที่จังหวัดนครปฐม นายเกียรติได้ร้องทุกข์ต่อร้อยตํารวจเอกสัญญา พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธร เมืองราชบุรี หลังจากร้อยตํารวจเอกสัญญาได้รับคําร้องทุกข์แล้ว ต่อมานายวิทย์ถูกดาบตํารวจจิตติ จับได้ที่จังหวัดราชบุรีและถูกดําเนินคดี โดยพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องนายวิทย์เป็นจําเลยในความผิด ฐานลักทรัพย์เวลากลางคืน อันเป็นคดีลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ต่อศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อศาล จังหวัดราชบุรีได้พิพากษาลงโทษนายวิทย์จําเลยแล้ว ปรากฏว่าสิบตํารวจเอกถวัลย์ซึ่งเป็นตํารวจ ประจําสถานีตํารวจภูธรเมืองนครปฐมจับนายสมศักดิ์ได้ที่จังหวัดนครปฐมพร้อมด้วยรถจักรยานยนต์ ของนายเกียรติที่ถูกนายวิทย์ลักไปและได้นําตัวนายสมศักดิ์ไปส่งให้แก่ร้อยตํารวจเอกจํารูญ พนักงาน สอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองนครปฐม ให้วินิจฉัยว่า

(ก) พนักงานสอบสวนท้องที่ใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ในความผิดฐานรับของโจร

(ข) พนักงานอัยการจะฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจรต่อศาลจังหวัดราชบุรีได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 19 “ในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อความผิดนั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทําต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่า ท้องที่หนึ่งขึ้นไปพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน

(ข) ถ้าจับตัวผู้ต้องหายังไม่ได้ คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทําผิด ก่อนอยู่ในเขตอํานาจ”

มาตรา 24 “เมื่อความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันโดยเหตุหนึ่งเหตุใดเป็นต้นว่า

(1) ปรากฏว่าความผิดหลายฐานได้กระทําลงโดยผู้กระทําผิดคนเดียวกัน หรือผู้กระทําผิด หลายคนเกี่ยวพันกันในการกระทําความผิดฐานหนึ่งหรือหลายฐาน จะเป็นตัวการ ผู้สมรู้หรือรับของโจรก็ตาม

ดังนี้จะฟ้องคดีทุกเรื่อง หรือฟ้องผู้กระทําความผิดทั้งหมดต่อศาลซึ่งมีอํานาจชําระในฐาน ความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าไว้ก็ได้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวิทย์ลักรถจักรยานยนต์ของนายเกียรติที่จังหวัดราชบุรีและ นํามาขายให้แก่นายสมศักดิ์ที่จังหวัดนครปฐม ความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดฐานรับของโจรในทรัพย์ ชิ้นเดียวกันนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องตามความหมายของ ป.วิ.อาญา มาตรา 19(3) ดังนั้นพนักงานสอบสวนใน ท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่งตอนท้าย (เทียบคํา พิพากษาฎีกาที่ 3903/2531)

เมื่อนายเกียรติได้ร้องทุกข์ต่อร้อยตํารวจเอกสัญญาพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองราชบุรี และร้อยตํารวจเอกสัญญาได้รับคําร้องทุกข์ไว้แล้ว ร้อยตํารวจเอกสัญญาพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทํา ความผิดก่อนย่อมมีอํานาจทําการสอบสวนได้และเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ ในความผิดฐานรับของโจรตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ข) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1126/2544)

(ข) แม้ความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเกิดที่จังหวัดราชบุรีกับความผิดฐานรับของโจรซึ่งเกิดขึ้นที่ จังหวัดนครปฐมเกิตตางท้องที่กัน แต่ทรัพย์ที่ถูกลักกับรับของโจรนั้นเป็นทรัพย์สิ่งเดียวกัน คือรถจักรยานยนต์ ของนายเกียรติผู้เสียหาย โดยถูกลักไปจากท้องที่หนึ่งแล้วนําไปจําหน่ายให้แก่นายสมศักดิ์ผู้รับของโจรในอีก ท้องที่หนึ่ง จึงเป็นความผิดหลายฐานเกี่ยวพันกัน โดยมีผู้กระทําความผิดหลายคน มีทั้งที่เป็นตัวการ ลักทรัพย์ ผู้สมรู้ และรับของโจรตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24(1) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2455/2550)

และตามกฎหมายความผิดฐานลักทรัพย์เวลากลางคืนมีอัตราโทษสูงกว่าความผิดฐานรับของโจร ดังนั้นพนักงานอัยการจึงฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจรต่อศาลจังหวัดราชบุรีที่มี อํานาจพิจารณาพิพากษาคดีความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24 วรรคสอง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2455/2550)

สรุป

(ก) พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองราชบุรีเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ สอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ในความผิดฐานรับของโจร

(ข) พนักงานอัยการสามารถฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจร ต่อศาลจังหวัดราชบุรีได้

 

ข้อ 3. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายสาหัสเป็นจําเลยในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ สร้อยคอทองคํา 1 เส้น หนัก 1 บาท ราคา 18,000 บาทของนายแสนดีผู้เสียหาย และขอให้ศาลสั่งให้นายสาหัส จําเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคํา จํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายด้วย แต่ก่อน เริ่มสืบพยานโจทก์ นายแสนดียื่นคําร้องเข้ามาในคดีว่าขณะเกิดเหตุวิ่งราวทรัพย์ได้มีการยื้อแย่ง สร้อยคอทองคํากัน นายสาหัสจําเลยจึงใช้เท้าถีบนายแสนดีล้มลง เป็นเหตุให้นายแสนดีได้รับบาดเจ็บ ข้อเท้าข้างซ้ายพลิก ต้องเสียค่ารักษาเป็นเงินจํานวน 36,000 บาท อีกทั้งราคาทองคําได้สูงขึ้น ปัจจุบันสร้อยคอทองคําของนายแสนดีมีราคา 24,000 บาท จึงขอศาลให้บังคับนายสาหัสจําเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายแสนดีรวมเป็นเงินจํานวน 60,000 บาท ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะมีคําสั่งรับคําร้องของนายแสนดีในส่วนของเงินค่ารักษาพยาบาลและราคา สร้อยคอทองคําไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 43 “คดีลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก หรือรับของโจร ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทําผิดคืน เมื่อพนักงานยืนฟ้องคดีอาญาก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย”

มาตรา 4/1 วรรคท้าย “คําร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคําขอประการอื่นที่มิใช่คําขอบังคับให้จําเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทําความผิดของจําเลยในคดีอาญามิได้ และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ คําฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดําเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 44/1 วรรคท้าย ได้บัญญัติหลักไว้ว่า คําร้องของผู้เสียหาย ที่ขอให้ศาลบังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ คําฟ้องของพนักงานอัยการ และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์อีกไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ในคดีอาญาซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายสาหัสเป็นจําเลยใน ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ สร้อยคอทองคํา 1 เส้น หนัก 1 บาท ราคา 18,000 บาทของนายแสนดีผู้เสียหายและขอให้ ศาลสั่งให้นายสาหัสจําเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคําจํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์ นายแสนดียื่นคําร้องเข้ามาในคดีว่า นายสาหัสจําเลยได้ใช้เท้าถีบนายแสนดี จนล้มลงได้รับบาดเจ็บข้อเท้าพลิกด้วยนั้น เป็นการกล่าวหาว่านายสาหัสจําเลยกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์อัน แตกต่างจากคําฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ที่ฟ้องในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คําร้องของนายแสนดีจึงขัด หรือแย้งกับคําฟ้องของพนักงานอัยการ

และนอกจากนี้เมื่อพนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้นายสาหัสจําเลยคืน หรือใช้ราคาสร้อยคอทองคําจํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายแล้ว แม้ราคาในปัจจุบันและขณะเกิดเหตุ จะแตกต่างกัน นายแสนดีก็ไม่อาจยื่นคําร้องเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 44/1 วรรคท้าย ดังนั้นศาลจึงต้องมีคําสั่งไม่รับคําร้องของนายแสนดีไว้พิจารณา

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะมีคําสั่งไม่รับคําร้องของนายแสนดีในสวนของเงินค่ารักษาพยาบาล และราคาสร้อยคอทองคําไว้พิจารณา

 

ข้อ 4. นางชุมมีตึกแถวสองชั้น ชั้นหนึ่งของตึกแถวใช้เป็นร้านขายข้าวแกง ส่วนชั้นสองของตึกแถวนางชุมและนายก้องเกียรติบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย อายุ 21 ปีใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยชั้นสองของตึกแถว ไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต วันหนึ่งขณะที่นางชุมกําลังขายข้าวแกงอยู่ภายในร้าน ซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งของตึกแถวซึ่งขณะนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์และลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งรับประทานข้าวแกงอยู่ นายก้องเกียรติเห็นนายวนัสคู่อริเดินเข้ามาในร้าน นายก้องเกียรติได้ตรงเข้าไปทําร้ายนายวนัส จนเป็นเหตุให้นายวนัสได้รับอันตรายแก่กาย ร.ต.อ.ปัณณ์จะเข้าทําการจับนายก้องเกียรติ นายก้องเกียรติจึงได้วิ่งหนีขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกแถว ร.ต.อ.ปัณณ์จึงวิ่งตามขึ้นไปจับกุมนายก้องเกียรติ ที่ขั้นสองของตึกแถว ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของ ศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทํา หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อบุคคลที่ได้กระทําความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้น ควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชุมมีตึกแถวสองชั้น โดยชั้นหนึ่งของตึกแถวใช้เป็นร้านขายข้าวแกง โดยขณะนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์และลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งรับประทานข้าวแกงอยู่จึงเป็นที่สาธารณสถาน ส่วนชั้นสองของ ตึกแถวใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นที่รโหฐาน

การที่ ร.ต.อ.ปัณณ์เห็นนายก้องเกียรติกําลังทําร้ายนายวนัสเป็นเหตุให้นายวนัสได้รับอันตราย แก่กายนั้นถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1) ประกอบ มาตรา 80 วรรคแรก ดังนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์จึงมีอํานาจในการจับนายก้องเกียรติแม้ไม่มีหมายจับ

และการที่ ร.ต.อ.ปัณณ์วิ่งตามขึ้นไปจับกุมนายก้องเกียรติที่ชั้นสองของตึกแถวจึงเป็นการจับ ในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้นอกจากต้องมีอํานาจในการจับแล้วยังต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือต้องมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นใน ที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมาย ซึ่ง ร.ต.อ.ปัณณ์ ได้ทําตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92(3) แล้วเนื่องจากเป็นกรณีที่ นายก้องเกียรติซึ่งได้กระทําความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูก ร.ต.อ.ปัณณ์ไล่จับหนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์จึงมีอํานาจตามเข้าไปจับนายก้องเกียรติที่ชั้นสองของตึกแถวได้ ดังนั้นการจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ จึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1), มาตรา 80 วรรคแรก, มาตรา 81 และมาตรา 92(3)

สรุป การจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายพริษฐ์อายุ 43 ปี มีบุตรนอกสมรสชื่อนายนราธิปอายุ 15 ปี และได้จดทะเบียนรับนายก้องเกียรติอายุ 20 ปี เป็นบุตรบุญธรรมอีกหนึ่งคน นายนราธิปและนายก้องเกียรติถูกนายนาคินทร์ขับรถยนต์ โดยประมาทชนได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหนึ่งเดือนเต็ม นายพริษฐ์ยื่นฟ้อง ต่อศาลขอให้ลงโทษนายนาคินทร์ฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายนราธิปและนายก้องเกียรติ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์ หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนราธิปและนายก้องเกียรติถูกนายนาคินทร์ขับรถยนต์โดยประมาท ชนได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหนึ่งเดือนเต็มนั้น ถือว่านายนราธิปและนายก้องเกียรติเป็นผู้ได้รับ ความเสียหายเนื่องจากการกระทําความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส อันถือว่า นายนราธิปและนายก้องเกียรติเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง และเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) การที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายนาคินทร์ฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายนราธิปและ นายก้องเกียรติได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยคดีนี้ ดังนี้

กรณีนายพริษฐ์ฟ้องแทนนายนราธิป เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายนราธิปมีอายุ 15 ปี ถือว่า เป็นผู้เยาว์ และนายพริษฐ์เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายนราธิป นายพริษฐ์จึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ของนายนราธิป จึงไม่สามารถจัดการแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายพริษฐ์ เป็นบิดาตามความเป็นจริงของนายนราธิป ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุพการี ดังนั้นเมื่อนายนราธิปถูกนายนาคินทร์ กระทําจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ นายพริษฐ์จึงมีอํานาจจัดการแทนนายนราธิป ผู้เสียหายได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2)

ดังนั้นกรณีที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องคดีแทนนายนราธิป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะประทับ ฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

กรณีนายพริษฐ์ฟ้องแทนนายก้องเกียรติ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายก้องเกียรติเป็นบุตร บุญธรรมของนายพริษฐ์ นายพริษฐ์จึงไม่เป็นผู้บุพการีของนายก้องเกียรติ เพราะผู้บุพการีนั้นต้องถือตามความ เป็นจริง ดังนั้นนายพริษฐ์จึงไม่มีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2)

และแม้ว่านายพริษฐ์จะเป็นบิดาบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของนายก้องเกียรติ ซึ่งถือว่า เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายก้องเกียรติ แต่นายพริษฐ์ก็ไม่สามารถจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) เพราะนายก้องเกียรติผู้เสียหายมีอายุ 20 ปี พ้นภาวะผู้เยาว์แล้ว

ดังนั้นกรณีที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องคดีแทนนายก้องเกียรติ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะ พิพากษายกฟ้องคดีนี้ .

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะประทับฟ้องคดีของนายพริษฐ์ที่ยืนฟ้องแทนนายนราธิปไว้พิจารณา พิพากษาต่อไป และจะพิพากษายกฟ้องคดีของนายพริษฐ์ที่ยืนฟ้องแทนนายก้องเกียรติ

 

ข้อ 2. นายมากได้ออกเช็คจํานวนเงิน 100,000 บาท มอบให้นายน้อยเพื่อชําระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายน้อยได้นําเช็คเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ปรากฏว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันนั้นโดยอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย วันรุ่งขึ้นนายน้อยจึงไปแจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่เกิดเหตุในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็คฯ ด้วยเป็นความผิดที่ยอมความได้ แต่ได้กล่าวแจ้งในตอนท้ายว่า “ขอแจ้งไว้เป็นหลักฐาน เพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ โดยจะไปขอติดต่อกับนายมากเพื่อขอเงินคืนก่อน” และนายน้อยจึง กลับไป ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2555 นายน้อยไม่สามารถติดต่อกับนายมากได้ จึงมาแจ้งต่อ พนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า “ขอให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุด” ทางพนักงาน สอบสวนจึงได้สอบสวนต่อไปจนเสร็จสํานวนและส่งให้พนักงานอัยการ เช่นนี้การสอบสวนของ พนักงานสอบสวนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 .

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่ จะมีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ

มาตรา 125 “เมื่อพนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ได้กระทําการ สืบสวนหรือสอบสวนไปทั้งหมดหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดตามคําขอร้องให้ช่วยเหลือ ให้ตกเป็นหน้าที่ของพนักงานนั้น จัดการให้มีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 123 และ 124”

วินิจฉัย

โดยหลัก ผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ คือผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้นตามอุทาหรณ์นายน้อยจึงเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244)

ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือ ความผิดอันยอมความได้ ดังนั้นจะต้องมีการร้องทุกข์โดยชอบก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะมีอํานาจสอบสวนได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายน้อยนําเช็คไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแต่เพียงว่า “ขอแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ โดยจะไปขอติดต่อกับนายมากเพื่อขอเงินคืนก่อน” นั้น ถือว่า นายน้อยยังไม่มีเจตนาให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ จึงยังไม่เป็นคําร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(7)

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อต่อมานายน้อยได้มาแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า “ขอให้พนักงาน สอบสวนดําเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุด” ถือว่านายน้อยได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ จึงกลายเป็น คําร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 125 ประกอบมาตรา 2(7) และนายน้อยได้กระทํา ภายในระยะเวลาที่ยังไม่ครบกําหนดสามเดือนนับแต่วันรู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทําความผิด ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงมี อํานาจสอบสวนได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การสอบสวนของพนักงานสอบสวนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายดําตบกกหูข้างซ้ายของนายขาวไปหนึ่งที่ พนักงานสอบสวนจึงเปรียบเทียบปรับนายดําฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 และในวันรุ่งขึ้น นายดําได้นําเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายขาวเป็นจํานวน 5,000 บาท โดยพนักงานสอบสวนได้บันทึกในรายงานประจําวันว่า คู่กรณีตกลงกันได้ และนายขาวไม่ติดใจ ดําเนินคดีกับนายดําอีกต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ต่อมาอีกสองวัน นายขาวเจ็บภายใน แพทย์ตรวจพบว่า แก้วหูแตกและมีอาการติดเชื้อทําให้หูข้างที่ถูกตบหนวก นายขาวจึงฟ้องนายดํา เป็นจําเลยในคดีอาญาในความผิดฐานทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 นายดําต่อสู้ว่า คดีเลิกกันไปแล้วและนายขาวยังได้ตกลง ยอมความกันไม่ติดใจดําเนินคดีกับนายดําอีกต่อไป ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะประทับฟ้องคดีนี้ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย” มาตรา 37 “คดีอาญาเลิกกันได้ ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือ คดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับ อย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เมื่อผู้ต้องหาชําระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว”

มาตรา 38 “ความผิดตามอนุมาตรา (2) (3) และ (4) แห่งมาตราก่อน ถ้าเจ้าพนักงานดังกล่าว ในมาตรานั้นเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจําคุกให้มีอํานาจเปรียบเทียบดังนี้

(1) ให้กําหนดค่าปรับซึ่งผู้ต้องหาจะทิ้งชําระ ถ้าผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมตามนั้น เมื่อผู้ต้องหาได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เจ้าหน้าที่กําหนดให้ภายในเวลาอันสมควร แต่ไม่เกินสิบห้าวันแล้ว คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด

ถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมตามที่เปรียบเทียน หรือเมื่อยินยอมแล้ว ไม่ชําระเงินค่าปรับ ภายในเวลากําหนดในวรรคก่อนให้ดําเนินคดีต่อไป

(2) ในคดีมีค่าทดแทน ถ้าผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอมให้เปรียบเทียบ ให้เจ้าหน้าที่ กะจํานวนตามที่เห็นควรหรือตามที่คู่ความตกลงกัน”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคําร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้อง ตามกฎหมาย

(3) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา 37”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําตบกกหูข้างซ้ายของนายขาวไปหนึ่งที และพนักงานสอบสวน ได้เปรียบเทียบปรับนายดําฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งถือเป็นความผิดลหุโทษนั้น เมื่อนายดําได้นําเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายขาวแล้ว โดย หลักแล้วคดีอาญาย่อมเลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37(2) ประกอบมาตรา 38 และมีผลทําให้คดีอาญาดังกล่าว ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(3)

แต่เมื่อต่อมาปรากฏว่า นายขาวเจ็บภายในหู เพราะแก้วหูแตกและมีอาการติดเชื้อทําให้หู ข้างที่ถูกตบหนวก ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทําของนายดํา นายดําจึงมีความผิดฐาน ทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 ซึ่งมิใช่ความผิดลหุโทษ พนักงานสอบสวน

จึงไม่มีอํานาจเปรียบเทียบปรับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 38 ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนายดํา ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีอาญาดังกล่าวจึงยังไม่เลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37(2) สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(3)

ส่วนการที่รายงานประจําวันบันทึกว่า นายขาวไม่ติดใจดําเนินคดีกับนายดําต่อไปนั้นก็ไม่มียร ทําให้สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(2) เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้นเมื่อนายขาวเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24) ซึ่งมีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28(2) ได้ฟ้อง นายดําเป็นจําเลยในคดีอาญาข้อหาดังกล่าว ศาลจึงประทับฟ้องคดีนี้ได้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะประทับฟ้องคดีนี้

 

ข้อ 4. ร.ต.อ.วีกิจวางแผนให้นายณัฐเดชสายลับไปล่อซื้อนางสาวมะละกอซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี โดยมีการถ่ายสําเนาธนบัตรที่จะใช้ในการล่อซื้อไว้ เมื่อนายณัฐเดชพบนางสาวมะละกอยืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเปิดไว้เพื่อการค้าประเวณี นายณัฐเดชได้เดินเข้าไปหานางสาวมะละกอ นางสาวมะละกอเห็น นายณัฐเดชจึงได้เสนอราคาต่อนายณัฐเดช หากนายณัฐเดชต้องการร่วมประเวณีกับตน นายณัฐเดช ได้ตกลงตามราคาที่นางสาวมะละกอเสนอมาและได้เปิดห้องพักเพื่อใช้ร่วมประเวณี โดยห้องพักนั้น เป็นห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป เมื่อนายณัฐเดชได้ ร่วมประเวณีกับนางสาวมะละกอแล้ว นายณัฐเดชได้ใช้ธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ใน การล่อซื้อจ่ายเงินตามจํานวนที่ตกลงกับนางสาวมะละกอ หลังจากนั้นนายณัฐเดชได้ส่งสัญญาณ ให้ ร.ต.อ.วีกิจเปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.วีกิจเข้ามาในห้องพักก็พบนายณัฐเดชกับนางสาวมะละกอ นอนอยู่บนเตียงสองต่อสองและเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะละกอมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้ เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ ร.ต.อ.วีกิจจึงทําการจับนางสาวมะละกอทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.วีกิจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้….”

วินิจฉัย

โดยหลัก การจับกุมผู้กระทําผิดของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ถ้าเป็นการจับในที่รโหฐาน การที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ คือ ต้องมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายจับ และต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ ต้องมีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

กรณีตามอุทาหรณ์ ห้องพักที่ใช้สําหรับให้ผู้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป ถือได้ว่าเป็นที่สาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน การจับจึงไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน หาก ร.ต.อ.วีกิจมีอํานาจในการจับก็สามารถเข้าไปจับใน ห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไปได้โดยไม่จําเป็นต้องมีหมายค้นหรือ ไม่จําเป็นต้องมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92 หรือไม่จําเป็นต้อง ขอความยินยอมโดยความสมัครใจจากเจ้าของที่รโหฐานให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น

ดังนั้น เมื่อนายณัฐเดชสายลับที่ให้ไปร่วมประเวณีกับนางสาวมะละกอซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี ได้ส่งสัญญาณให้ ร.ต.อ.วีกิจเปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.วีกิจเข้ามาในห้องพักก็พบนายณัฐเดชกับนางสาวมะละกอ นอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะละกอมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการ ล่อซื้อวางอยู่ เป็นการพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่านางสาวมะละกอได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก ร.ต.อ.วีกิจจึงมีอํานาจในการ จับนางสาวมะละกอได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 69/2535) ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ.วีกิจ จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ ร.ต.อ.วีกิจจึงชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ การใช้สายลับล่อซื้อหญิงค้าประเวณีเป็นเพียงการกระทําเท่าที่จําเป็นและสมควร ในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทําความผิดของนางสาวมะละกอตามอํานาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตํารวจจะกระทําการได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจําเลยพร้อมด้วย พยานหลักฐาน อันเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจําเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 81/2551)

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมจิตได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวสุดา แต่ได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาวพิมพาจึงได้ทําสัญญาหมั้นด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาท และจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลง แก่บิดามารดาของนางสาวพิมพา ต่อมาก่อนจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาของนางสาวพิมพา ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพา เพื่อตอบแทนการสมรสแทน เมื่อนายสมจิตทําการจดทะเบียนสมรสแล้วไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ เช่นนี้ นางสาวพิมพาต้องการเรียกร้องให้โอนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมี พฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมจิตได้ทําสัญญาหมั้นกับนางสาวพิมพาด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาทนั้น การหมั้นระหว่างนายสมจิตและนางสาวพิมพาย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และการที่นายสมจิตตกลงจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลงแก่บิดามารดาของนางสาวพิมพานั้น ถือเป็นสินสอด ตามมาตรา 1437 วรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่นายสมจิตและนางสาวพิมพาจะจดทะเบียนสมรสกันนั้น บิดามารดาของ นางสาวพิมพาได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพาเพื่อ ตอบแทนการสมรสแทนนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่จดทะเบียนสมรสนางสาวพิมพาไม่มีบิดามารดาหรือ ผู้ปกครอง และตามกฎหมายสินสอดเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้ไว้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทน การที่หญิงยอมสมรส

ดังนั้น ที่ดินที่นายสมจิตตกลงจะยกให้แก่นางสาวพิมพาจึงไม่ใช่สินสอดตามมาตรา 1437 วรรคสาม และไม่มีความผูกพันตามสัญญาสินสอดที่จะต้องโอนที่ดินให้แก่ฝ่ายหญิง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถือว่าเป็นสินสอดแต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาที่สามารถบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิ์

ดังนั้น เมื่อนายสมจิตได้ทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพาแล้วแต่ไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ นางสาวพิมพา จึงสามารถเรียกร้องให้โอนที่ดินได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3442/2526)

สรุป นางสาวพิมพาสามารถเรียกร้องให้นายสมจิตโอนที่ดินให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2 นายแดง อายุ 40 ปี จดทะเบียนหย่ากับนางดํา อายุ 21 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2560 เพราะนางดําไม่มีบุตรให้ แต่นายแดงอยากมีบุตรมาก นายแดงจึงว่าจ้างให้ น.ส.สวยตั้งครรภ์บุตรให้ด้วยวิธีการ ผสมเทียม และนายแดงไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยในวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยที่นายแดง และ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ส่วนนางดําไปจดทะเบียนสมรสใหม่ กับนายมั่งมี อายุ 16 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2561 อีกสามเดือนต่อมานางดําตั้งครรภ์ นางฟ้า มารดาของนายมั่งมีทราบเรื่องไม่พอใจอย่างมากที่ลูกชายไปจดทะเบียนสมรสกับนางดํา ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเช่นไร เพราะเหตุใด

(ข) นางฟ้าจะมาเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มี เหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1458 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงการ ยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1503 “เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509″

มาตรา 1504 “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิกถอน การสมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยนั้น แม้ว่านายแดงได้จดทะเบียนสมรสในขณะที่ ตนไม่มีคู่สมรสเพราะได้หย่ากับนางดําแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายแดงสมรสกับ น.ส.สวยนั้น นายแดงและ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ดังนั้น ถือได้ว่าการสมรสของนายแดง และ น.ส.สวย เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของการสมรสในเรื่องความยินยอมตามมาตรา 1458 การสมรส จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

(ข) การที่นางดําอายุ 21 ปี ได้จดทะเบียนหย่ากับนายแดง และได้ไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับ นายมั่งมีอายุ 16 ปีนั้น ถือเป็นการสมรสที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1448 เพราะนายมั่งมีมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ดังนั้น การสมรสระหว่างนางดําและนายมั่งมีจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1503

และเมื่อสมรสไปได้ 3 เดือน การที่นางดําได้ตั้งครรภ์ และนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีทราบเรื่อง จึงจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายมั่งมีกับนางดํานั้น เมื่อนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีถือว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวได้ตามมาตรา 1504 วรรคหนึ่ง และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1504 วรรคสอง กล่าวคือ นายมั่งมียังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และบทบัญญัติในมาตรา 1504 วรรคสองนั้น เป็นบทบัญญัติคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์เท่านั้น แต่กรณีนี้ นางดํามีครรภ์ตอนอายุเกิน 17 ปีแล้ว

สรุป

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเป็นโมฆะ

(ข) นางฟ้ามารดาของนายมั่งมีสามารถเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้

 

ข้อ 3 นายใหญ่และนางเล็กเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนายใหญ่ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น นางเล็กบอกนายใหญ่ ว่าจะนําเงินดังกล่าวมาเป็นทุนในการเปิดร้านขายอาหาร แต่นางเล็กกลับนําเงินทั้งหมดไปซื้อเสื้อผ้า และเครื่องประดับของตน ต่อมานางเล็กได้ไปทําสัญญากู้เงินจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนในระดับปริญญาโทของนางเล็ก หลังจากนั้นบิดาของนายใหญ่ให้เงินนายใหญ่ จํานวน 100,000 บาท นางเล็กขอให้นายใหญ่นําเงินนั้นมาชําระหนี้ที่ตนเองไปกู้ยืมมาทั้งหมดแต่นายใหญ่ปฏิเสธโดยอ้างว่านายใหญ่ไม่ได้ใช้เงินที่นางเล็กกู้ยืมมาเลย นายใหญ่นําเงินที่ได้รับมา จํานวน 20,000 บาทให้แก่นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่าของนายใหญ่ ต่อมานายใหญ่เอารถยนต์ซึ่งเป็น สินสมรสไปให้นางสาวสายยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือน โดยที่นางเล็กไม่ได้ให้การยินยอมในการยืมนั้น

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโตและนายเอกด้วยหรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา” มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งใน กรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหา ริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความ ยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสีย ค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนางเล็กได้นําเงินทั้งหมด ไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตนนั้น ถือเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นายใหญ่ ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น ย่อมถือว่านายใหญ่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว ดังนั้น หนี้ดังกล่าว จึงเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) นายใหญ่จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้จํานวน 50,000 บาทที่นางเล็กกู้ยืมมาจาก นายโตร่วมกับนางเล็ก

ส่วนหนี้ที่นางเล็กได้ไปทําสัญญากู้ยืมจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนใน ระดับปริญญาโทของนางเล็กนั้นไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) แต่อย่างใด เพราะไม่ใช่หนี้ที่เกี่ยวกับ การศึกษาของบุตร และไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) เนื่องจากเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตน ฝ่ายเดียว โดยนายใหญ่ไม่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแต่อย่างใด ดังนั้น นายใหญ่จึงไม่ต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ในหนี้ที่ นางเล็กไปกู้ยืมเงินจากนายเอก

(ข) การที่บิดาของนายใหญ่ได้ให้เงินแก่นายใหญ่จํานวน 100,000 บาท ถือเป็นสินส่วนตัวตาม มาตรา 1471 (3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่นายใหญ่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นายใหญ่จึงมีอํานาจ ในการจัดการเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1473 เมื่อนายใหญ่นําเงิน 20,000 บาทไปให้นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่า ของนายใหญ่ นางเล็กจึงไม่มีสิทธิฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย

ส่วนการที่นายใหญ่ได้เอารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวยยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือนนั้น ไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้อง ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด นายใหญ่จึงมีสิทธินํารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวย ยืมใช้ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนางเล็ก ดังนั้น นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ ให้นางสาวสวยยืมรถยนต์ไม่ได้ (มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง)

สรุป

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโต แต่ไม่ต้องร่วม รับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายเอก

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงินแก่นางสาวสวย 20,000 บาท และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามี ภริยากับนางไข่ได้เหมือนเดิม ต่อมานางห่านมีบุตรสาวคือเด็กหญิงหงส์จึงมีความรู้สึกหึงหวงนายไก่ ไม่อยากให้นายไก่ไปยุ่งกับนางไข่และเด็กชายเป็ด จึงมาปรึกษาท่านว่า

(1) ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนางห่านจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(2) เด็กชายเป็ดและเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้น จะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมา นายไก่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางไข่ได้เหมือนเดิมนั้น การกระทําของนายไก่ที่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ถือเป็นการเลี้ยงดูหรือ ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางห่านได้รู้เห็นเป็นใจ หรือยินยอมด้วยกับการกระทําของนายไก่ ดังนั้น นางห่านแม้จะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ก็จะ ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาฟ้องหย่านายไก่ไม่เด้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เมื่อนายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามมาตรา 1457 นายไก่และนางไข่จึงมิใช่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เด็กชายเป็ดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่ แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546

ส่วนเด็กหญิงหงส์ซึ่งเกิดจากนายไก่และนางห่านสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนางห่านตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่ง เพราะเด็กหญิงหงส์ได้เกิดในขณะที่นางห่านเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ และเป็นบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) นางห่านจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียว และเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท โดยจะทําสัญญาหมั้นในวันที่ 1 เมษายน เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้ จึงไปทําสัญญาเช่าทอง 10 บาทจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณจึงทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมานางสาวมณีวรรณ ได้ทวงทอง 10 บาท แต่นายสุชาติไม่มีให้ นางสาวมณีวรรณจึงได้รับทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง ซึ่งได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น แต่ทําสัญญากู้ 100,000 บาทไว้ให้แทนเพราะหาเงินของหมั้น ไม่ทัน เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วนางสาวมณีวรรณก็ทวงถามเงิน 100,000 บาท แต่นายทะนงไม่ให้ เช่นนี้ นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณที่ผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ และนางสาวมณีวรรณจะฟ้อง เรียกเงิน 100,000 บาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณว่าผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่ นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติ ไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้จึงไปทําสัญญาเช่าทองจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์ การหมั้น แล้วนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณได้ทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากันนั้น การหมั้นระหว่าง นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณย่อมมีผลไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเนื่องจากไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณมีผลไม่สมบูรณ์ การผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่นางสาวมณีวรรณไปทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง นายสุชาติ จะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ไม่ได้

2 นางสาวมณีวรรณจะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นางสาวมณีวรรณได้ทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง โดยนายทะนงได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น ส่วนเงิน 100,000 บาท นายทะนงได้ทําสัญญากู้ไว้ให้แทนเพราะหาเงินไม่ทันนั้น การหมั้นระหว่างนางสาวมณีวรรณกับ นายทะนงย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เนื่องจากได้มีการส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นคือทอง 5 บาทให้แก่หญิงแล้ว ส่วนเงิน 100,000 บาทที่ได้ทําเป็นสัญญากู้ไว้นั้น มีเจตนาจะให้กันใน วันข้างหน้าไม่ได้มีการส่งมอบให้แก่กันในวันทําสัญญาหมั้น เงิน 100,000 บาทจึงมิใช่ของหมั้นอันจะตกได้แก่หญิง เมื่อมีการสมรสแล้ว ดังนั้น การที่นายทะนงไม่ให้เงิน 100,000 บาทแก่นางสาวมณีวรรณ นางสาวมณีวรรณ จึงฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทในฐานะเป็นของหมั้นจากนายทะนงไม่ได้

สรุป นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ และนางสาวมณีวรรณ จะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายพนมได้แอบชอบนางสาวแตงไทย แต่นางสาวแตงไทยไม่ได้ชอบนายพนม นายพนมจึงได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดว่าจะทําร้ายบิดามารดาและนางสาวแตงไทยทําให้นางสาวแตงไทยกลัวจึงทําการ จดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ต่อมาในเดือนเมษายน 2560 นางสาวแตงไทย ตั้งครรภ์ นายพนมดีใจมากจึงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่งให้นางสาวแตงไทยโดยถูกต้องตาม กฎหมายและปล่อยให้นางสาวแตงไทยไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2560 มารดาของนางสาวแตงไทยได้ไปฟ้องศาลให้ตัดสินเพิกถอนการสมรสของลูกสาว หลังจากนั้น 1 เดือนนางสาวแตงไทยจึงได้จดทะเบียนสมรสกับนายเนติซึ่งรักและยินยอมเลี้ยงดูด้วยความเต็มใจ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทานเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้น จะไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคหนึ่ง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1511 “การสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษา ถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า ตามบทบัญญัติ มาตรา 1507 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในการสมรสนั้นถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสเพราะถูกข่มขู่ โดยการข่มขู่นั้น ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการข่มขู่เช่นนั้น คู่สมรสก็จะไม่ทําการสมรสด้วย การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายพนมได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวแตงไทยทําการจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1507

ประเด็นที่ 2 มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะถูกข่มขู่ ไว้โดยเฉพาะแล้ว คือ ตัวคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น มารดาของนางสาวแตงไทยซึ่งมิใช่ ตัวคู่สมรสเอง จะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ตามมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 การสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า เมื่อการ สมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสมรสที่เป็นโมฆียะนั้นจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502) และการสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอน ก็จะถือว่า สิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด (มาตรา 1511) ดังนั้น การที่นางสาวแตงไทยได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเนติ ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนและมีผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

สรุป การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆียะ

มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และการสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัย ต่อมานายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิดได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัย มาก่อนที่จะสมรสกับตน นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไป มีความสัมพันธ์และอยู่กินฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณาไม่พอใจจึงให้ทนายความฟ้องหย่า ต่อศาล นางสาวอรทัยจึงไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ของนายสมคิดด้วย โดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิด นางสาววีณาจึงต้องการฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย เช่นนี้ นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดแต่นายสมคิดต่อสู้ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้ และนางสาววีณาต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย

ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาว ก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานอง ชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน แล้วต่อมา นายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยที่นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิด ได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัยมาก่อนที่จะสมรสกับตนนั้น มิได้หมายความว่าภายหลังจากการสมรสกันแล้วนางสาววีณา ได้ยินยอมให้นายสมคิดอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยได้อีกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้ง กับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไปมีความสัมพันธ์และอยู่กินกันฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณา ย่อมสามารถฟ้องหย่านายสมคิดได้ตามมาตรา 1516 (1) เพราะถือว่าเป็นกรณีที่นายสมคิดสามีได้ยกย่องผู้อื่น ฉันภริยาและเป็นชู้และร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ นายสมคิดจะอ้างมาตรา 1517 วรรคหนึ่งที่ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าตนเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน จึงฟ้องหย่าไม่ได้มาต่อสู้นางสาววีณาไม่ได้

2 การที่นางสาวอรทัยไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อน ร่วมงานของนายสมคิดด้วยโดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิดนั้น นางสาววีณาภริยาของนายสมคิดย่อม มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง แม้ว่านายสมคิดกับนางสาววีณา จะมีคดีฟ้องหย่ากันอยู่ก็ตาม

สรุป

นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดได้ แต่นายสมคิดจะต่อสู้ว่านางสาววีณาได้ทราบอยู่ ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้นั้นหาได้ไม่

นางสาววีณาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้

 

ข้อ 4. นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากัน ก่อนจดทะเบียนสมรสกันทั้งสองได้ร่วมกันดําเนินกิจการร้านขายของโดยนางราตรีได้ลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาท ต่อมา ได้ทําการจดทะเบียนสมรสกัน ในระหว่างที่อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่ นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมานางราตรีทราบว่านายสมบัติได้แอบอุปการะเลี้ยงดู นางสาวต้อยติ่งเป็นภริยา นางราตรีเห็นว่านายสมบัติไม่ซื่อสัตย์กับตนจึงขอบอกล้างเอาที่ดินคืน

เช่นนี้

(ก) นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้ ถูกต้องหรือไม่ และ

(ข) กิจการร้านขายของในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันเป็นทรัพย์สินอะไร และเมื่อจดทะเบียนหย่ากัน

กิจการร้านขายของมีราคาทั้งหมด 1 ล้าน 2 แสนบาท จะต้องแบ่งอย่างไร เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1533 “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และในระหว่างที่ อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย การยกที่ดินให้แก่นายสมบัติ ดังกล่าวถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 และมีผลทําให้ที่ดินนั้นเป็นสินส่วนตัวของนายสมบัติตาม มาตรา 1471 (3) และเมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส นางราตรีภริยาย่อมมีสิทธิบอกล้างเพื่อเอาที่ดินนั้นคืนได้ ในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ดังนั้น การที่ นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น จึงไม่ถูกต้อง

(ข) ก่อนจดทะเบียนสมรสกันนั้น การที่นายสมบัติกับนางราตรีได้ร่วมกันดําเนินกิจการ ร้านขายของโดยนางราตรีลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาทนั้น เงินจํานวนดังกล่าว ถือเป็นสินส่วนตัวตามสัดส่วนของการลงทุนตามมาตรา 1471 (1) และเมื่อมีการจดทะเบียนหย่ากันสินส่วนตัว ดังกล่าวไม่ต้องแบ่งกัน แต่ส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เมื่อมีการ จดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งคนละครึ่งตามมาตรา 1533 ดังนั้น เมื่อในขณะจดทะเบียนหย่ากัน กิจการร้านขายของ มีราคา 1 ล้าน 2 แสนบาท เมื่อหักสินส่วนตัวออกฝ่ายละ 400,000 บาท จึงเหลือเป็นสินสมรสจํานวน 400,000 บาท จึงต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 200,000 บาท

สรุป

(ก) นางราตรีสามารถบอกล้างเอาที่ดินคืนจากนายสมบัติได้ ข้ออ้างของนายสมบัติ ที่ว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น ไม่ถูกต้อง

(ข) ในส่วนของเงินทุนคนละ 400,000 บาทในกิจการร้านขายของเป็นสินส่วนตัว แต่ในส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันจํานวน 400,000 บาท เป็นสินสมรส เมื่อจดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งสินสมรสคนละ 200,000 บาท

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!