LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนนายสองถึงแก่ความตาย เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้วพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายหนึ่งฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย ระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นางสมรภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองยื่นคําร้อง ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลอนุญาต ระหว่างการสืบพยานโจทก์ นางสมรยื่นคําร้องต่อศาลขอถอนคําร้องที่ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับ พนักงานอัยการ ระบุเหตุผลว่ามีความคิดเห็นหลายเรื่องไม่ตรงกันกับพนักงานอัยการ หากดําเนินการร่วมกันต่อไปเกรงว่าจะเป็นผลเสียแก่คดี ศาลอนุญาต ในวันเดียวกันนั้นนายสักบิดา ตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองทราบเรื่อง จึงยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการแทนนางสมรทันที ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะสั่งคําร้องของนายสักว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอเข้าร่วม เป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

มาตรา 36 วรรคแรก “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้ว จะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่…”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในกรณีที่ผู้เสียหายคนเดียวมีผู้จัดการแทนตามมาตรา 5 หลายคน ผู้จัดการแทน ผู้เสียหายบางคนได้ฟ้องแล้วถอนฟ้องไป ผู้จัดการแทนผู้เสียหายคนอื่นจะมาฟ้องจําเลยอีกไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองได้ถูกนายหนึ่งขับรถยนต์โดยประมาทชนถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายสองเป็นผู้เสียหายโดยตรง เพราะเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดอาญาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24) และเมื่อนายสองได้ถึงแก่ความตาย ดังนี้ นางสมรภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองและนายสัก บิดาตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายของนายสองต่างก็เป็นผู้มีอํานาจจัดการแทนนายสองได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2) แต่เมื่อได้ความว่านางสมรได้ใช้สิทธิจัดการแทนนายสองไปแล้วด้วยการยื่นคําร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ กับพนักงานอัยการ และต่อมาได้ยื่นคําร้องขอถอนคําร้องในการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ซึ่งผลของการถอนคําร้องนั้นมีผลเท่ากับเป็นการขอถอนฟ้อง (คําสั่งคําร้องศาลฎีกาที่ 89/2514) และเมื่อศาลอนุญาตย่อม เกิดผลในทางกฎหมาย คือ ทําให้ไม่สามารถนําคดีมาฟ้องใหม่ได้อีกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 และผลในทางกฎหมาย ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมมีผลถึงนายสักบิดาของนายสองด้วย กล่าวคือ เมื่อนายสักไม่สามารถฟ้องคดีได้ ย่อมทําให้ไม่สามารถ ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานไปด้วยเช่นเดียวกัน (คําพิพากษาฎีกาที่ 1790/2492) ดังนั้นเมื่อนายสักยื่นคําร้อง ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ศาลต้องสั่งยกคําร้องของนายสัก

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะสั่งยกคําร้องของนายสัก

 

ข้อ 2. นายเสือใช้อาวุธปืนยิงนายหมี เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส เมื่อพนักงานสอบสวนสอบสวนเสร็จแล้ว พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานพยายามฆ่านายหมี ให้นักศึกษาตอบคําถามแต่ละกรณีดังต่อไปนี้

(ก) ในระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของพนักงานอัยการ ปรากฏว่านายหมีถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว กรณีนี้นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมี จะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่านายเสือมีความผิดตามฟ้องลงโทษจําคุก 5 ปี นายเสือยื่นอุทธรณ์ ในระหว่างศาลอุทธรณ์พิจารณาคดี ปรากฏว่านายหมีถึงแก่ความตายเพราะ บาดแผลที่ถูกอาวุธปืนยิงดังกล่าว กรณีนี้นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีจะยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้นขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(4) เมื่อมีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง”

และ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 173 วรรคสอง “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคําฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างการพิจารณา และ ผลแห่งการนี้

(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคําฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นและ…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายเสือใช้อาวุธปืนยิงนายหมีเป็นเหตุให้นายหมีได้รับอันตรายสาหัสนั้น แม้พนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้องนายเสือฐานพยายามฆ่าไปแล้ว แต่เมื่อระหว่างศาลชั้นต้นพิจารณาคดีของพนักงานอัยการ นายหมีได้ถึงแก่ ความตายเนื่องจากเหตุดังกล่าว ดังนี้ นางแหม่มภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีย่อมมีอํานาจจัดการแทนได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) และมาตรา 5(2) และมีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมี ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28

และในคดีที่นางแหม่มยื่นฟ้องต่อศาลดังกล่าวนี้ จะไม่เป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 เพราะโจทก์เป็นคนละคนกัน อีกทั้งยังไม่เป็นการฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4) เพราะคดีของพนักงานอัยการยังไม่มีคําพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง

ดังนั้น กรณีนี้นางแหม่มจึงมีอํานาจฟ้องขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้

(ข) การที่นายหมีได้ถึงแก่ความตายจากบาดแผลที่ถูกนายเสือใช้อาวุธปืนยิง แม้นางแหม่มภริยา โดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีจะมีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244) และมาตรา 5(2) แต่เมื่อคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องนายเสือฐานพยายามฆ่าไปแล้ว และการที่นางแหม่ม ยื่นฟ้องนายเสือ แม้จะเป็นการฟ้องคนละฐานความผิดแต่ก็ยังถือว่าเป็นการกระทําเดียวกัน และผู้ถูกฟ้องเป็น คนคนเดียวกัน ดังนั้นฟ้องของนางแหม่มจึงเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(4)

ดังนั้น กรณีนี้นางแหม่ม จึงฟ้องขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีไม่ได้

สรุป

(ก) นางแหม่มสามารถยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีได้

(ข) นางแหม่มจะยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายเสือฐานฆ่านายหมีไม่ได้

 

ข้อ 3. นายเสียงศิลป์ถูกจับและได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน โดยมีนายกิตติใช้ตําแหน่งข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายเสียงศิลป์ หลังจากนายเสียงศิลป์ได้รับการปล่อยชั่วคราวได้สามวัน นายกิตติพบว่านายเสียงศิลป์กําลังจะหลบหนีไปต่างจังหวัด และนายกิตติเห็น พ.ต.อ.ษมาอยู่ใน บริเวณนั้นจึงขอให้ พ.ต.อ.ษมาทําการจับนายเสียงศิลป์ พ.ต.อ.ษมาจึงทําการจับนายเสียงศิลป์ทันที โดยไม่มีหมายจับ

ดังนี้ การจับของ พ.ต.อ.ษมาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(4) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจําเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตาม มาตรา 117”

มาตรา 117 “เมื่อผู้ต้องหาหรือจําเลยหนีหรือจะหลบหนีให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ที่พบการกระทําดังกล่าวมีอํานาจจับผู้ต้องหาหรือจําเลยนั้นได้ แต่ในกรณีที่บุคคลซึ่งทําสัญญาประกันหรือเป็น หลักประกันเป็นผู้พบเห็นการกระทําดังกล่าว อาจขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจที่ใกล้ที่สุดจับผู้ต้องหาหรือ จําเลยได้”

โดยหลักตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 แล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใด โดยไม่มี หมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย เช่น กรณีเป็นการจับผู้ต้องหาหรือจําเลย ที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยตัวชั่วคราวตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 117 เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกิตติใช้ตําแหน่งข้าราชการเป็นหลักประกันให้แก่นายเสียงศิลป์ ผู้ต้องหาซึ่งได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างสอบสวน ต่อมานายกิตติพบว่านายเสียงศิลป์กําลังจะหลบหนีไป ต่างจังหวัด และนายกิตติเห็น พ.ต.อ.ษมาอยู่ในบริเวณนั้นจึงขอให้ พ.ต.อ.ษมาทําการจับนายเสียงศิลป์และ พ.ต.อ.ษมาจึงได้ทําการจับนายเสียงศิลป์ทันทีโดยไม่มีหมายจับนั้น ดังนี้ ถือว่า พ.ต.อ.ษมามีอํานาจในการจับ นายเสียงศิลป์ได้แม้ว่าจะไม่มีหมายจับก็ตาม เนื่องจากเป็นกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นหลักประกันเป็นผู้พบเห็นผู้ต้องหา หรือจําเลยหนีหรือจะหลบหนี บุคคลผู้เป็นหลักประกันสามารถขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจที่ใกล้ที่สุด จับผู้ต้องหาหรือจําเลยได้ การจับของ พ.ต.อ.ษมาจึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78(4) ประกอบมาตรา 117

สรุป การจับของ พ.ต.อ.ษมาชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. พ.ต.ต.ยศวินพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนนายมะพร้าวผู้ต้องหาอายุ 26 ปี ในข้อหากระทําชําเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยมีอาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี โดย ก่อนเริ่มถามคําให้การ พ.ต.ต.ยศวินถามนายมะพร้าวว่ามีทนายความหรือไม่ นายมะพร้าวตอบว่าไม่มี แต่ไม่ต้องการทนายความเพราะสํานึกผิดในการกระทํา พ.ต.ต.ยศวินจึงแจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิ ของผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ให้ทราบก่อน ถามคําให้การ หลังจากที่นายมะพร้าวได้ฟังการแจ้งสิทธิดังกล่าว นายมะพร้าวก็ยังยืนยันต่อ พ.ต.ต.ยศวินว่าไม่ต้องการทนายความ พ.ต.ต.ยศวินจึงถามคําให้การนายมะพร้าวโดยที่ไม่มี ทนายความ และนายมะพร้าวยอมให้การโดยเต็มใจ พ.ต.ต.ยศวินจึงจําคําให้การไว้ ดังนี้ถ้อยคําที่นายมะพร้าวให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินจะสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของนายมะพร้าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสี่ “ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งหรือ วรรคสามได้กระทําโดยร่วมกระทําความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิงหรือกระทํากับ เด็กชายในลักษณะเดียวกันและเด็กนั้นไม่ยินยอม หรือได้กระทําโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุระเบิดหรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต”

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 134/1 วรรคแรกและวรรคสอง “ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหา มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหา ว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามี ทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้”

มาตรา 134/2 “ให้นําบทบัญญัติในมาตรา 133 ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสอบสวน ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี”

มาตรา 134/3 “ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้”

มาตรา 134/4 “ในการถามคําให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้ เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคําให้การไว้ ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคําใด ๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อน จะดําเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ ความผิดของผู้นั้นไม่ได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา (ไม่คํานึงว่าในขณะกระทําความผิดจะมีอายุเท่าใดก็ตาม) ก่อนเริ่มถามคําให้การ ให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้ กรณีนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาด หากผู้ต้องหาไม่มีทนายความและแม้จะไม่ต้องการก็ต้องจัดหาทนายความให้เสมอ (ป.วิ.อาญา มาตรา 134/1 วรรคแรก)

ในส่วนคดีที่มีอัตราโทษจําคุก (ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปี) ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการ ทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้ แต่ถ้าหากผู้ต้องหาไม่ต้องการ ก็ไม่จําต้องจัดหาให้แต่ประการใด (ป.วิ.อาญา

มาตรา 134/1 วรรคสอง) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ พ.ต.ต.ยศวินพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนนายมะพร้าวผู้ต้องหาอายุ 26 ปี ในข้อหากระทําชําเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี โดยมีอาวุธปืนซึ่งเป็นคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ตลอดชีวิตนั้น พ.ต.ต.ยศวินจึงต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/1 วรรคสอง กล่าวคือ ก่อนเริ่มถามคําให้การ พ.ต.ต.ยศวินต้องถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความให้จัดหาทนายความให้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจาก พ.ต.ต.ยศวินได้ถามนายมะพร้าวว่ามีทนายความหรือไม่ นายมะพร้าวตอบว่าไม่มี แต่ไม่ต้องการทนายความ ดังนี้ พ.ต.ต.ยศวินจึงไม่ต้องจัดหาทนายความให้นายมะพร้าว และเมื่อ พ.ต.ต.ยศวิน ได้แจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/4 วรรคหนึ่ง ให้นายมะพร้าวทราบก่อนถาม คําให้การแล้ว นายมะพร้าวก็ยอมให้การโดยเต็มใจ พ.ต.ต.ยศวินจึงได้จดคําให้การไว้ ดังนั้นถ้อยคําที่นายมะพร้าว ให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินจึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายมะพร้าวได้

สรุป

ถ้อยคําที่นายมะพร้าวให้ไว้ต่อ พ.ต.ต.ยศวินสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการ พิสูจน์ความผิดของนายมะพร้าวได้

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก บัญญัติให้ผู้กระทําชําเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนมีความผิดโดยไม่คํานึงถึงว่าเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ปรากฏว่า เด็กหญิงน้อย อายุ 13 ปีเศษได้ยินยอมให้นายเขียวกระทําชําเรา ต่อมาอีก 15 วัน เด็กหญิงน้อย ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนและเมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว เห็นว่าคดีมีหลักฐานจึงส่งสํานวน ให้พนักงานอัยการ และพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายเขียวต่อศาลตามข้อหาดังกล่าว นายขาว บิดาผู้ดูแลเด็กหญิงน้อยจึงจัดการแทนเด็กหญิงน้อยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเนื่องจาก เด็กหญิงน้อยอายุยังไม่เกิน 20 ปี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) เด็กหญิงน้อยมีอํานาจร้องทุกข์หรือไม่ และ

(2) นายขาวบิดาของเด็กหญิงน้อยมีอํานาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 3 “บุคคลดังระบุในมาตรา 4, 5 และ 6 มีอํานาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตาม เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

(2) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล”

มาตรา 30 “คดีอาญาใดซึ่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องขอ เข้าร่วมเป็นโจทก์ในระยะใดระหว่างพิจารณาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนั้นก็ได้”

วินิจฉัย

(1) ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 247) และมาตรา 123 มิได้บัญญัติว่า การร้องทุกข์ของผู้เยาว์ต้องได้รับ ความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลดังกล่าวต้องลงลายมือชื่อในการร้องทุกข์ของ ผู้เยาว์ด้วย ดังนั้นผู้เยาว์จึงมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3915/2551)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เด็กหญิงน้อย ได้ยินยอมให้นายเขียวกระทําชําเรานั้นก็ยังถือว่าเป็น ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244) ประกอบด้วย ป.อาญา มาตรา 277 เพราะมาตรา 277 ได้บัญญัติเอาผิด ในกรณีที่เด็กหญิงน้อยยินยอมไว้ด้วย การยินยอมจึงถือเป็นองค์ประกอบของความผิด ดังนั้นการที่เด็กหญิงน้อยได้ ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีกับนายเขียวในข้อหาข่มขืนกระทําชําเรานั้นเด็กหญิงน้อยย่อมมีอํานาจที่จะ กระทําได้ เพราะการที่ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายย่อมมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 27)

(2) ตามกฎหมาย ผู้ที่จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาได้นั้น จะต้องเป็น ผู้เสียหายตามความใน ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) ซึ่งอาจเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรืออาจเป็นผู้มีอํานาจจัดการแทน ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 4, 5 และ 6 ก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายขาวเป็นบิดาผู้ดูแลเด็กหญิงน้อยซึ่งเป็นผู้เสียหายถือว่าเป็นผู้แทน โดยชอบธรรม จึงสามารถจัดการแทนเด็กหญิงน้อยผู้เยาว์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) และสามารถขอเข้าร่วม เป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 342) และมาตรา 30 (คําพิพากษาฎีกาที่ 4147/2550)

สรุป

(1) เด็กหญิงน้อยมีอํานาจร้องทุกข์ด้วยตนเองได้

(2) นายขาวบิดาของเด็กหญิงน้อยขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้

 

ข้อ 2. นายวิทย์ลักรถจักรยานยนต์ของนายเกียรติที่จังหวัดราชบุรีและนํามาขายให้แก่นายสมศักดิ์ที่จังหวัดนครปฐม นายเกียรติได้ร้องทุกข์ต่อร้อยตํารวจเอกสัญญา พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธร เมืองราชบุรี หลังจากร้อยตํารวจเอกสัญญาได้รับคําร้องทุกข์แล้ว ต่อมานายวิทย์ถูกดาบตํารวจจิตติ จับได้ที่จังหวัดราชบุรีและถูกดําเนินคดี โดยพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องนายวิทย์เป็นจําเลยในความผิด ฐานลักทรัพย์เวลากลางคืน อันเป็นคดีลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ต่อศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อศาล จังหวัดราชบุรีได้พิพากษาลงโทษนายวิทย์จําเลยแล้ว ปรากฏว่าสิบตํารวจเอกถวัลย์ซึ่งเป็นตํารวจ ประจําสถานีตํารวจภูธรเมืองนครปฐมจับนายสมศักดิ์ได้ที่จังหวัดนครปฐมพร้อมด้วยรถจักรยานยนต์ ของนายเกียรติที่ถูกนายวิทย์ลักไปและได้นําตัวนายสมศักดิ์ไปส่งให้แก่ร้อยตํารวจเอกจํารูญ พนักงาน สอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองนครปฐม ให้วินิจฉัยว่า

(ก) พนักงานสอบสวนท้องที่ใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ในความผิดฐานรับของโจร

(ข) พนักงานอัยการจะฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจรต่อศาลจังหวัดราชบุรีได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 19 “ในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อความผิดนั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทําต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่า ท้องที่หนึ่งขึ้นไปพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน

(ข) ถ้าจับตัวผู้ต้องหายังไม่ได้ คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทําผิด ก่อนอยู่ในเขตอํานาจ”

มาตรา 24 “เมื่อความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันโดยเหตุหนึ่งเหตุใดเป็นต้นว่า

(1) ปรากฏว่าความผิดหลายฐานได้กระทําลงโดยผู้กระทําผิดคนเดียวกัน หรือผู้กระทําผิด หลายคนเกี่ยวพันกันในการกระทําความผิดฐานหนึ่งหรือหลายฐาน จะเป็นตัวการ ผู้สมรู้หรือรับของโจรก็ตาม

ดังนี้จะฟ้องคดีทุกเรื่อง หรือฟ้องผู้กระทําความผิดทั้งหมดต่อศาลซึ่งมีอํานาจชําระในฐาน ความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าไว้ก็ได้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวิทย์ลักรถจักรยานยนต์ของนายเกียรติที่จังหวัดราชบุรีและ นํามาขายให้แก่นายสมศักดิ์ที่จังหวัดนครปฐม ความผิดฐานลักทรัพย์และความผิดฐานรับของโจรในทรัพย์ ชิ้นเดียวกันนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องตามความหมายของ ป.วิ.อาญา มาตรา 19(3) ดังนั้นพนักงานสอบสวนใน ท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคหนึ่งตอนท้าย (เทียบคํา พิพากษาฎีกาที่ 3903/2531)

เมื่อนายเกียรติได้ร้องทุกข์ต่อร้อยตํารวจเอกสัญญาพนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองราชบุรี และร้อยตํารวจเอกสัญญาได้รับคําร้องทุกข์ไว้แล้ว ร้อยตํารวจเอกสัญญาพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่พบการกระทํา ความผิดก่อนย่อมมีอํานาจทําการสอบสวนได้และเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ ในความผิดฐานรับของโจรตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 วรรคสอง (ข) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1126/2544)

(ข) แม้ความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเกิดที่จังหวัดราชบุรีกับความผิดฐานรับของโจรซึ่งเกิดขึ้นที่ จังหวัดนครปฐมเกิตตางท้องที่กัน แต่ทรัพย์ที่ถูกลักกับรับของโจรนั้นเป็นทรัพย์สิ่งเดียวกัน คือรถจักรยานยนต์ ของนายเกียรติผู้เสียหาย โดยถูกลักไปจากท้องที่หนึ่งแล้วนําไปจําหน่ายให้แก่นายสมศักดิ์ผู้รับของโจรในอีก ท้องที่หนึ่ง จึงเป็นความผิดหลายฐานเกี่ยวพันกัน โดยมีผู้กระทําความผิดหลายคน มีทั้งที่เป็นตัวการ ลักทรัพย์ ผู้สมรู้ และรับของโจรตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24(1) (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2455/2550)

และตามกฎหมายความผิดฐานลักทรัพย์เวลากลางคืนมีอัตราโทษสูงกว่าความผิดฐานรับของโจร ดังนั้นพนักงานอัยการจึงฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจรต่อศาลจังหวัดราชบุรีที่มี อํานาจพิจารณาพิพากษาคดีความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24 วรรคสอง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 2455/2550)

สรุป

(ก) พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรเมืองราชบุรีเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ สอบสวนคดีของนายสมศักดิ์ในความผิดฐานรับของโจร

(ข) พนักงานอัยการสามารถฟ้องนายสมศักดิ์เป็นจําเลยในความผิดฐานรับของโจร ต่อศาลจังหวัดราชบุรีได้

 

ข้อ 3. พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายสาหัสเป็นจําเลยในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ สร้อยคอทองคํา 1 เส้น หนัก 1 บาท ราคา 18,000 บาทของนายแสนดีผู้เสียหาย และขอให้ศาลสั่งให้นายสาหัส จําเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคํา จํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายด้วย แต่ก่อน เริ่มสืบพยานโจทก์ นายแสนดียื่นคําร้องเข้ามาในคดีว่าขณะเกิดเหตุวิ่งราวทรัพย์ได้มีการยื้อแย่ง สร้อยคอทองคํากัน นายสาหัสจําเลยจึงใช้เท้าถีบนายแสนดีล้มลง เป็นเหตุให้นายแสนดีได้รับบาดเจ็บ ข้อเท้าข้างซ้ายพลิก ต้องเสียค่ารักษาเป็นเงินจํานวน 36,000 บาท อีกทั้งราคาทองคําได้สูงขึ้น ปัจจุบันสร้อยคอทองคําของนายแสนดีมีราคา 24,000 บาท จึงขอศาลให้บังคับนายสาหัสจําเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายแสนดีรวมเป็นเงินจํานวน 60,000 บาท ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะมีคําสั่งรับคําร้องของนายแสนดีในส่วนของเงินค่ารักษาพยาบาลและราคา สร้อยคอทองคําไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 43 “คดีลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอก หรือรับของโจร ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียไปเนื่องจากการกระทําผิดคืน เมื่อพนักงานยืนฟ้องคดีอาญาก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย”

มาตรา 4/1 วรรคท้าย “คําร้องตามวรรคหนึ่งจะมีคําขอประการอื่นที่มิใช่คําขอบังคับให้จําเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทําความผิดของจําเลยในคดีอาญามิได้ และต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ คําฟ้องในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ดําเนินการตามความในมาตรา 43 แล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องตามวรรคหนึ่งเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 44/1 วรรคท้าย ได้บัญญัติหลักไว้ว่า คําร้องของผู้เสียหาย ที่ขอให้ศาลบังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับ คําฟ้องของพนักงานอัยการ และในกรณีที่พนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคําร้องเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์อีกไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ในคดีอาญาซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายสาหัสเป็นจําเลยใน ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ สร้อยคอทองคํา 1 เส้น หนัก 1 บาท ราคา 18,000 บาทของนายแสนดีผู้เสียหายและขอให้ ศาลสั่งให้นายสาหัสจําเลยคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคําจํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนเริ่มสืบพยานโจทก์ นายแสนดียื่นคําร้องเข้ามาในคดีว่า นายสาหัสจําเลยได้ใช้เท้าถีบนายแสนดี จนล้มลงได้รับบาดเจ็บข้อเท้าพลิกด้วยนั้น เป็นการกล่าวหาว่านายสาหัสจําเลยกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์อัน แตกต่างจากคําฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ที่ฟ้องในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คําร้องของนายแสนดีจึงขัด หรือแย้งกับคําฟ้องของพนักงานอัยการ

และนอกจากนี้เมื่อพนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้นายสาหัสจําเลยคืน หรือใช้ราคาสร้อยคอทองคําจํานวน 18,000 บาทแก่นายแสนดีผู้เสียหายแล้ว แม้ราคาในปัจจุบันและขณะเกิดเหตุ จะแตกต่างกัน นายแสนดีก็ไม่อาจยื่นคําร้องเพื่อเรียกทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 44/1 วรรคท้าย ดังนั้นศาลจึงต้องมีคําสั่งไม่รับคําร้องของนายแสนดีไว้พิจารณา

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะมีคําสั่งไม่รับคําร้องของนายแสนดีในสวนของเงินค่ารักษาพยาบาล และราคาสร้อยคอทองคําไว้พิจารณา

 

ข้อ 4. นางชุมมีตึกแถวสองชั้น ชั้นหนึ่งของตึกแถวใช้เป็นร้านขายข้าวแกง ส่วนชั้นสองของตึกแถวนางชุมและนายก้องเกียรติบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย อายุ 21 ปีใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยชั้นสองของตึกแถว ไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาต วันหนึ่งขณะที่นางชุมกําลังขายข้าวแกงอยู่ภายในร้าน ซึ่งอยู่ชั้นหนึ่งของตึกแถวซึ่งขณะนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์และลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งรับประทานข้าวแกงอยู่ นายก้องเกียรติเห็นนายวนัสคู่อริเดินเข้ามาในร้าน นายก้องเกียรติได้ตรงเข้าไปทําร้ายนายวนัส จนเป็นเหตุให้นายวนัสได้รับอันตรายแก่กาย ร.ต.อ.ปัณณ์จะเข้าทําการจับนายก้องเกียรติ นายก้องเกียรติจึงได้วิ่งหนีขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกแถว ร.ต.อ.ปัณณ์จึงวิ่งตามขึ้นไปจับกุมนายก้องเกียรติ ที่ขั้นสองของตึกแถว ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของ ศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทํา หรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้นและในกรณีดังต่อไปนี้

(3) เมื่อบุคคลที่ได้กระทําความผิดซึ่งหน้า ขณะที่ถูกไล่จับหนีเข้าไปหรือมีเหตุอันแน่นแฟ้น ควรสงสัยว่าได้เข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชุมมีตึกแถวสองชั้น โดยชั้นหนึ่งของตึกแถวใช้เป็นร้านขายข้าวแกง โดยขณะนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์และลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งรับประทานข้าวแกงอยู่จึงเป็นที่สาธารณสถาน ส่วนชั้นสองของ ตึกแถวใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยไม่ให้บุคคลทั่วไปขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นที่รโหฐาน

การที่ ร.ต.อ.ปัณณ์เห็นนายก้องเกียรติกําลังทําร้ายนายวนัสเป็นเหตุให้นายวนัสได้รับอันตราย แก่กายนั้นถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าประเภทความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริงตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1) ประกอบ มาตรา 80 วรรคแรก ดังนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์จึงมีอํานาจในการจับนายก้องเกียรติแม้ไม่มีหมายจับ

และการที่ ร.ต.อ.ปัณณ์วิ่งตามขึ้นไปจับกุมนายก้องเกียรติที่ชั้นสองของตึกแถวจึงเป็นการจับ ในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้นอกจากต้องมีอํานาจในการจับแล้วยังต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือต้องมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นใน ที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมาย ซึ่ง ร.ต.อ.ปัณณ์ ได้ทําตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92(3) แล้วเนื่องจากเป็นกรณีที่ นายก้องเกียรติซึ่งได้กระทําความผิดซึ่งหน้าขณะที่ถูก ร.ต.อ.ปัณณ์ไล่จับหนีเข้าไปซุกซ่อนตัวอยู่ในที่รโหฐานนั้น ร.ต.อ.ปัณณ์จึงมีอํานาจตามเข้าไปจับนายก้องเกียรติที่ชั้นสองของตึกแถวได้ ดังนั้นการจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ จึงชอบด้วย ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1), มาตรา 80 วรรคแรก, มาตรา 81 และมาตรา 92(3)

สรุป การจับของ ร.ต.อ.ปัณณ์ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3006 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายพริษฐ์อายุ 43 ปี มีบุตรนอกสมรสชื่อนายนราธิปอายุ 15 ปี และได้จดทะเบียนรับนายก้องเกียรติอายุ 20 ปี เป็นบุตรบุญธรรมอีกหนึ่งคน นายนราธิปและนายก้องเกียรติถูกนายนาคินทร์ขับรถยนต์ โดยประมาทชนได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหนึ่งเดือนเต็ม นายพริษฐ์ยื่นฟ้อง ต่อศาลขอให้ลงโทษนายนาคินทร์ฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายนราธิปและนายก้องเกียรติ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 5 “บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทําต่อผู้เยาว์ หรือ ผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทําร้าย ถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนราธิปและนายก้องเกียรติถูกนายนาคินทร์ขับรถยนต์โดยประมาท ชนได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานหนึ่งเดือนเต็มนั้น ถือว่านายนราธิปและนายก้องเกียรติเป็นผู้ได้รับ ความเสียหายเนื่องจากการกระทําความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับอันตรายสาหัส อันถือว่า นายนราธิปและนายก้องเกียรติเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง และเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(4) การที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ลงโทษนายนาคินทร์ฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้นายนราธิปและ นายก้องเกียรติได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยคดีนี้ ดังนี้

กรณีนายพริษฐ์ฟ้องแทนนายนราธิป เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายนราธิปมีอายุ 15 ปี ถือว่า เป็นผู้เยาว์ และนายพริษฐ์เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายนราธิป นายพริษฐ์จึงไม่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรม ของนายนราธิป จึงไม่สามารถจัดการแทนผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายพริษฐ์ เป็นบิดาตามความเป็นจริงของนายนราธิป ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุพการี ดังนั้นเมื่อนายนราธิปถูกนายนาคินทร์ กระทําจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ นายพริษฐ์จึงมีอํานาจจัดการแทนนายนราธิป ผู้เสียหายได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2)

ดังนั้นกรณีที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องคดีแทนนายนราธิป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะประทับ ฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป

กรณีนายพริษฐ์ฟ้องแทนนายก้องเกียรติ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายก้องเกียรติเป็นบุตร บุญธรรมของนายพริษฐ์ นายพริษฐ์จึงไม่เป็นผู้บุพการีของนายก้องเกียรติ เพราะผู้บุพการีนั้นต้องถือตามความ เป็นจริง ดังนั้นนายพริษฐ์จึงไม่มีอํานาจจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(2)

และแม้ว่านายพริษฐ์จะเป็นบิดาบุญธรรมโดยชอบด้วยกฎหมายของนายก้องเกียรติ ซึ่งถือว่า เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายก้องเกียรติ แต่นายพริษฐ์ก็ไม่สามารถจัดการแทนตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 5(1) เพราะนายก้องเกียรติผู้เสียหายมีอายุ 20 ปี พ้นภาวะผู้เยาว์แล้ว

ดังนั้นกรณีที่นายพริษฐ์ได้ยื่นฟ้องคดีแทนนายก้องเกียรติ ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะ พิพากษายกฟ้องคดีนี้ .

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะประทับฟ้องคดีของนายพริษฐ์ที่ยืนฟ้องแทนนายนราธิปไว้พิจารณา พิพากษาต่อไป และจะพิพากษายกฟ้องคดีของนายพริษฐ์ที่ยืนฟ้องแทนนายก้องเกียรติ

 

ข้อ 2. นายมากได้ออกเช็คจํานวนเงิน 100,000 บาท มอบให้นายน้อยเพื่อชําระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายน้อยได้นําเช็คเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ปรากฏว่า ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันนั้นโดยอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย วันรุ่งขึ้นนายน้อยจึงไปแจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่เกิดเหตุในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาก การใช้เช็คฯ ด้วยเป็นความผิดที่ยอมความได้ แต่ได้กล่าวแจ้งในตอนท้ายว่า “ขอแจ้งไว้เป็นหลักฐาน เพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ โดยจะไปขอติดต่อกับนายมากเพื่อขอเงินคืนก่อน” และนายน้อยจึง กลับไป ต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2555 นายน้อยไม่สามารถติดต่อกับนายมากได้ จึงมาแจ้งต่อ พนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า “ขอให้พนักงานสอบสวนดําเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุด” ทางพนักงาน สอบสวนจึงได้สอบสวนต่อไปจนเสร็จสํานวนและส่งให้พนักงานอัยการ เช่นนี้การสอบสวนของ พนักงานสอบสวนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 .

(7) “คําร้องทุกข์” หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทําความผิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทําความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทําให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้เสียหาย และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ”

มาตรา 121 วรรคสอง “แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว ห้ามมิให้ทําการสอบสวนเว้นแต่ จะมีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ

มาตรา 125 “เมื่อพนักงานสอบสวน หรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ได้กระทําการ สืบสวนหรือสอบสวนไปทั้งหมดหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดตามคําขอร้องให้ช่วยเหลือ ให้ตกเป็นหน้าที่ของพนักงานนั้น จัดการให้มีคําร้องทุกข์ตามระเบียบ ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา 123 และ 124”

วินิจฉัย

โดยหลัก ผู้เสียหายในความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ คือผู้ทรงเช็คในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้นตามอุทาหรณ์นายน้อยจึงเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 244)

ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือ ความผิดอันยอมความได้ ดังนั้นจะต้องมีการร้องทุกข์โดยชอบก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะมีอํานาจสอบสวนได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายน้อยนําเช็คไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแต่เพียงว่า “ขอแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ โดยจะไปขอติดต่อกับนายมากเพื่อขอเงินคืนก่อน” นั้น ถือว่า นายน้อยยังไม่มีเจตนาให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ จึงยังไม่เป็นคําร้องทุกข์ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2(7)

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อต่อมานายน้อยได้มาแจ้งต่อพนักงานสอบสวนเพิ่มเติมว่า “ขอให้พนักงาน สอบสวนดําเนินคดีต่อไปจนถึงที่สุด” ถือว่านายน้อยได้มีเจตนาจะให้ผู้กระทําความผิดได้รับโทษ จึงกลายเป็น คําร้องทุกข์โดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 125 ประกอบมาตรา 2(7) และนายน้อยได้กระทํา ภายในระยะเวลาที่ยังไม่ครบกําหนดสามเดือนนับแต่วันรู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทําความผิด ดังนั้นพนักงานสอบสวนจึงมี อํานาจสอบสวนได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 121 วรรคสอง การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การสอบสวนของพนักงานสอบสวนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายดําตบกกหูข้างซ้ายของนายขาวไปหนึ่งที่ พนักงานสอบสวนจึงเปรียบเทียบปรับนายดําฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 และในวันรุ่งขึ้น นายดําได้นําเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายขาวเป็นจํานวน 5,000 บาท โดยพนักงานสอบสวนได้บันทึกในรายงานประจําวันว่า คู่กรณีตกลงกันได้ และนายขาวไม่ติดใจ ดําเนินคดีกับนายดําอีกต่อไปทั้งทางแพ่งและอาญา แต่ต่อมาอีกสองวัน นายขาวเจ็บภายใน แพทย์ตรวจพบว่า แก้วหูแตกและมีอาการติดเชื้อทําให้หูข้างที่ถูกตบหนวก นายขาวจึงฟ้องนายดํา เป็นจําเลยในคดีอาญาในความผิดฐานทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 นายดําต่อสู้ว่า คดีเลิกกันไปแล้วและนายขาวยังได้ตกลง ยอมความกันไม่ติดใจดําเนินคดีกับนายดําอีกต่อไป ดังนี้ หากท่านเป็นศาลจะประทับฟ้องคดีนี้ หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใด ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6”

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล

(2) ผู้เสียหาย” มาตรา 37 “คดีอาญาเลิกกันได้ ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดที่เป็นลหุโทษหรือความผิดที่มีอัตราโทษไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษ หรือ คดีอื่นที่มีโทษปรับสถานเดียวอย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือความผิดต่อกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรซึ่งมีโทษปรับ อย่างสูงไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท เมื่อผู้ต้องหาชําระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบแล้ว”

มาตรา 38 “ความผิดตามอนุมาตรา (2) (3) และ (4) แห่งมาตราก่อน ถ้าเจ้าพนักงานดังกล่าว ในมาตรานั้นเห็นว่าผู้ต้องหาไม่ควรได้รับโทษถึงจําคุกให้มีอํานาจเปรียบเทียบดังนี้

(1) ให้กําหนดค่าปรับซึ่งผู้ต้องหาจะทิ้งชําระ ถ้าผู้ต้องหาและผู้เสียหายยินยอมตามนั้น เมื่อผู้ต้องหาได้ชําระเงินค่าปรับตามจํานวนที่เจ้าหน้าที่กําหนดให้ภายในเวลาอันสมควร แต่ไม่เกินสิบห้าวันแล้ว คดีนั้นเป็นอันเสร็จเด็ดขาด

ถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมตามที่เปรียบเทียน หรือเมื่อยินยอมแล้ว ไม่ชําระเงินค่าปรับ ภายในเวลากําหนดในวรรคก่อนให้ดําเนินคดีต่อไป

(2) ในคดีมีค่าทดแทน ถ้าผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอมให้เปรียบเทียบ ให้เจ้าหน้าที่ กะจํานวนตามที่เห็นควรหรือตามที่คู่ความตกลงกัน”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคําร้องทุกข์ ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้อง ตามกฎหมาย

(3) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา 37”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําตบกกหูข้างซ้ายของนายขาวไปหนึ่งที และพนักงานสอบสวน ได้เปรียบเทียบปรับนายดําฐานใช้กําลังทําร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา 391 ซึ่งถือเป็นความผิดลหุโทษนั้น เมื่อนายดําได้นําเงินมาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายขาวแล้ว โดย หลักแล้วคดีอาญาย่อมเลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37(2) ประกอบมาตรา 38 และมีผลทําให้คดีอาญาดังกล่าว ระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(3)

แต่เมื่อต่อมาปรากฏว่า นายขาวเจ็บภายในหู เพราะแก้วหูแตกและมีอาการติดเชื้อทําให้หู ข้างที่ถูกตบหนวก ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นผลโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทําของนายดํา นายดําจึงมีความผิดฐาน ทําร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 ซึ่งมิใช่ความผิดลหุโทษ พนักงานสอบสวน

จึงไม่มีอํานาจเปรียบเทียบปรับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 38 ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับนายดํา ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีอาญาดังกล่าวจึงยังไม่เลิกกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 37(2) สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(3)

ส่วนการที่รายงานประจําวันบันทึกว่า นายขาวไม่ติดใจดําเนินคดีกับนายดําต่อไปนั้นก็ไม่มียร ทําให้สิทธิการนําคดีอาญามาฟ้องระงับตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39(2) เพราะคดีนี้ไม่ใช่คดีความผิดต่อส่วนตัว ดังนั้นเมื่อนายขาวเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 24) ซึ่งมีอํานาจฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28(2) ได้ฟ้อง นายดําเป็นจําเลยในคดีอาญาข้อหาดังกล่าว ศาลจึงประทับฟ้องคดีนี้ได้

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะประทับฟ้องคดีนี้

 

ข้อ 4. ร.ต.อ.วีกิจวางแผนให้นายณัฐเดชสายลับไปล่อซื้อนางสาวมะละกอซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี โดยมีการถ่ายสําเนาธนบัตรที่จะใช้ในการล่อซื้อไว้ เมื่อนายณัฐเดชพบนางสาวมะละกอยืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเปิดไว้เพื่อการค้าประเวณี นายณัฐเดชได้เดินเข้าไปหานางสาวมะละกอ นางสาวมะละกอเห็น นายณัฐเดชจึงได้เสนอราคาต่อนายณัฐเดช หากนายณัฐเดชต้องการร่วมประเวณีกับตน นายณัฐเดช ได้ตกลงตามราคาที่นางสาวมะละกอเสนอมาและได้เปิดห้องพักเพื่อใช้ร่วมประเวณี โดยห้องพักนั้น เป็นห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป เมื่อนายณัฐเดชได้ ร่วมประเวณีกับนางสาวมะละกอแล้ว นายณัฐเดชได้ใช้ธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ใน การล่อซื้อจ่ายเงินตามจํานวนที่ตกลงกับนางสาวมะละกอ หลังจากนั้นนายณัฐเดชได้ส่งสัญญาณ ให้ ร.ต.อ.วีกิจเปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.วีกิจเข้ามาในห้องพักก็พบนายณัฐเดชกับนางสาวมะละกอ นอนอยู่บนเตียงสองต่อสองและเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะละกอมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้ เพื่อใช้ในการล่อซื้อวางอยู่ ร.ต.อ.วีกิจจึงทําการจับนางสาวมะละกอทันทีโดยไม่มีหมายจับและหมายค้น ดังนี้ การจับของ ร.ต.อ.วีกิจชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคแรก “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทําหรือ พบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตาม บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้….”

วินิจฉัย

โดยหลัก การจับกุมผู้กระทําผิดของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจ ถ้าเป็นการจับในที่รโหฐาน การที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับ คือ ต้องมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้โดยไม่ต้อง มีหมายจับ และต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน คือ ต้องมีอํานาจในการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้น

กรณีตามอุทาหรณ์ ห้องพักที่ใช้สําหรับให้ผู้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไป ถือได้ว่าเป็นที่สาธารณสถานไม่ใช่ที่รโหฐาน การจับจึงไม่จําเป็นต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน หาก ร.ต.อ.วีกิจมีอํานาจในการจับก็สามารถเข้าไปจับใน ห้องพักที่ใช้สําหรับให้หญิงค้าประเวณีทําการค้าประเวณีกับบุคคลทั่วไปได้โดยไม่จําเป็นต้องมีหมายค้นหรือ ไม่จําเป็นต้องมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92 หรือไม่จําเป็นต้อง ขอความยินยอมโดยความสมัครใจจากเจ้าของที่รโหฐานให้เข้าไปในที่รโหฐานนั้น

ดังนั้น เมื่อนายณัฐเดชสายลับที่ให้ไปร่วมประเวณีกับนางสาวมะละกอซึ่งเป็นหญิงค้าประเวณี ได้ส่งสัญญาณให้ ร.ต.อ.วีกิจเปิดประตูเข้ามา เมื่อ ร.ต.อ.วีกิจเข้ามาในห้องพักก็พบนายณัฐเดชกับนางสาวมะละกอ นอนอยู่บนเตียงสองต่อสอง และเห็นว่าข้างตัวนางสาวมะละกอมีธนบัตรเดียวกับที่ได้ถ่ายสําเนาไว้เพื่อใช้ในการ ล่อซื้อวางอยู่ เป็นการพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่านางสาวมะละกอได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78(1) ประกอบมาตรา 80 วรรคแรก ร.ต.อ.วีกิจจึงมีอํานาจในการ จับนางสาวมะละกอได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 69/2535) ดังนั้น การจับของ ร.ต.อ.วีกิจ จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับของ ร.ต.อ.วีกิจจึงชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ การใช้สายลับล่อซื้อหญิงค้าประเวณีเป็นเพียงการกระทําเท่าที่จําเป็นและสมควร ในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทําความผิดของนางสาวมะละกอตามอํานาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตํารวจจะกระทําการได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจําเลยพร้อมด้วย พยานหลักฐาน อันเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจําเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 81/2551)

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมจิตได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวสุดา แต่ได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาวพิมพาจึงได้ทําสัญญาหมั้นด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาท และจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลง แก่บิดามารดาของนางสาวพิมพา ต่อมาก่อนจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาของนางสาวพิมพา ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพา เพื่อตอบแทนการสมรสแทน เมื่อนายสมจิตทําการจดทะเบียนสมรสแล้วไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ เช่นนี้ นางสาวพิมพาต้องการเรียกร้องให้โอนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมี พฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมจิตได้ทําสัญญาหมั้นกับนางสาวพิมพาด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาทนั้น การหมั้นระหว่างนายสมจิตและนางสาวพิมพาย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และการที่นายสมจิตตกลงจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลงแก่บิดามารดาของนางสาวพิมพานั้น ถือเป็นสินสอด ตามมาตรา 1437 วรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่นายสมจิตและนางสาวพิมพาจะจดทะเบียนสมรสกันนั้น บิดามารดาของ นางสาวพิมพาได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพาเพื่อ ตอบแทนการสมรสแทนนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่จดทะเบียนสมรสนางสาวพิมพาไม่มีบิดามารดาหรือ ผู้ปกครอง และตามกฎหมายสินสอดเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้ไว้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทน การที่หญิงยอมสมรส

ดังนั้น ที่ดินที่นายสมจิตตกลงจะยกให้แก่นางสาวพิมพาจึงไม่ใช่สินสอดตามมาตรา 1437 วรรคสาม และไม่มีความผูกพันตามสัญญาสินสอดที่จะต้องโอนที่ดินให้แก่ฝ่ายหญิง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถือว่าเป็นสินสอดแต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาที่สามารถบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิ์

ดังนั้น เมื่อนายสมจิตได้ทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพาแล้วแต่ไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ นางสาวพิมพา จึงสามารถเรียกร้องให้โอนที่ดินได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3442/2526)

สรุป นางสาวพิมพาสามารถเรียกร้องให้นายสมจิตโอนที่ดินให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2 นายแดง อายุ 40 ปี จดทะเบียนหย่ากับนางดํา อายุ 21 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2560 เพราะนางดําไม่มีบุตรให้ แต่นายแดงอยากมีบุตรมาก นายแดงจึงว่าจ้างให้ น.ส.สวยตั้งครรภ์บุตรให้ด้วยวิธีการ ผสมเทียม และนายแดงไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยในวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยที่นายแดง และ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ส่วนนางดําไปจดทะเบียนสมรสใหม่ กับนายมั่งมี อายุ 16 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2561 อีกสามเดือนต่อมานางดําตั้งครรภ์ นางฟ้า มารดาของนายมั่งมีทราบเรื่องไม่พอใจอย่างมากที่ลูกชายไปจดทะเบียนสมรสกับนางดํา ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเช่นไร เพราะเหตุใด

(ข) นางฟ้าจะมาเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มี เหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1458 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงการ ยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1503 “เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509″

มาตรา 1504 “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิกถอน การสมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยนั้น แม้ว่านายแดงได้จดทะเบียนสมรสในขณะที่ ตนไม่มีคู่สมรสเพราะได้หย่ากับนางดําแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายแดงสมรสกับ น.ส.สวยนั้น นายแดงและ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ดังนั้น ถือได้ว่าการสมรสของนายแดง และ น.ส.สวย เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของการสมรสในเรื่องความยินยอมตามมาตรา 1458 การสมรส จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

(ข) การที่นางดําอายุ 21 ปี ได้จดทะเบียนหย่ากับนายแดง และได้ไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับ นายมั่งมีอายุ 16 ปีนั้น ถือเป็นการสมรสที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1448 เพราะนายมั่งมีมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ดังนั้น การสมรสระหว่างนางดําและนายมั่งมีจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1503

และเมื่อสมรสไปได้ 3 เดือน การที่นางดําได้ตั้งครรภ์ และนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีทราบเรื่อง จึงจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายมั่งมีกับนางดํานั้น เมื่อนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีถือว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวได้ตามมาตรา 1504 วรรคหนึ่ง และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1504 วรรคสอง กล่าวคือ นายมั่งมียังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และบทบัญญัติในมาตรา 1504 วรรคสองนั้น เป็นบทบัญญัติคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์เท่านั้น แต่กรณีนี้ นางดํามีครรภ์ตอนอายุเกิน 17 ปีแล้ว

สรุป

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเป็นโมฆะ

(ข) นางฟ้ามารดาของนายมั่งมีสามารถเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้

 

ข้อ 3 นายใหญ่และนางเล็กเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนายใหญ่ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น นางเล็กบอกนายใหญ่ ว่าจะนําเงินดังกล่าวมาเป็นทุนในการเปิดร้านขายอาหาร แต่นางเล็กกลับนําเงินทั้งหมดไปซื้อเสื้อผ้า และเครื่องประดับของตน ต่อมานางเล็กได้ไปทําสัญญากู้เงินจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนในระดับปริญญาโทของนางเล็ก หลังจากนั้นบิดาของนายใหญ่ให้เงินนายใหญ่ จํานวน 100,000 บาท นางเล็กขอให้นายใหญ่นําเงินนั้นมาชําระหนี้ที่ตนเองไปกู้ยืมมาทั้งหมดแต่นายใหญ่ปฏิเสธโดยอ้างว่านายใหญ่ไม่ได้ใช้เงินที่นางเล็กกู้ยืมมาเลย นายใหญ่นําเงินที่ได้รับมา จํานวน 20,000 บาทให้แก่นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่าของนายใหญ่ ต่อมานายใหญ่เอารถยนต์ซึ่งเป็น สินสมรสไปให้นางสาวสายยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือน โดยที่นางเล็กไม่ได้ให้การยินยอมในการยืมนั้น

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโตและนายเอกด้วยหรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา” มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งใน กรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหา ริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความ ยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสีย ค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนางเล็กได้นําเงินทั้งหมด ไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตนนั้น ถือเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นายใหญ่ ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น ย่อมถือว่านายใหญ่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว ดังนั้น หนี้ดังกล่าว จึงเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) นายใหญ่จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้จํานวน 50,000 บาทที่นางเล็กกู้ยืมมาจาก นายโตร่วมกับนางเล็ก

ส่วนหนี้ที่นางเล็กได้ไปทําสัญญากู้ยืมจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนใน ระดับปริญญาโทของนางเล็กนั้นไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) แต่อย่างใด เพราะไม่ใช่หนี้ที่เกี่ยวกับ การศึกษาของบุตร และไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) เนื่องจากเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตน ฝ่ายเดียว โดยนายใหญ่ไม่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแต่อย่างใด ดังนั้น นายใหญ่จึงไม่ต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ในหนี้ที่ นางเล็กไปกู้ยืมเงินจากนายเอก

(ข) การที่บิดาของนายใหญ่ได้ให้เงินแก่นายใหญ่จํานวน 100,000 บาท ถือเป็นสินส่วนตัวตาม มาตรา 1471 (3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่นายใหญ่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นายใหญ่จึงมีอํานาจ ในการจัดการเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1473 เมื่อนายใหญ่นําเงิน 20,000 บาทไปให้นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่า ของนายใหญ่ นางเล็กจึงไม่มีสิทธิฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย

ส่วนการที่นายใหญ่ได้เอารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวยยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือนนั้น ไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้อง ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด นายใหญ่จึงมีสิทธินํารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวย ยืมใช้ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนางเล็ก ดังนั้น นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ ให้นางสาวสวยยืมรถยนต์ไม่ได้ (มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง)

สรุป

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโต แต่ไม่ต้องร่วม รับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายเอก

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงินแก่นางสาวสวย 20,000 บาท และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามี ภริยากับนางไข่ได้เหมือนเดิม ต่อมานางห่านมีบุตรสาวคือเด็กหญิงหงส์จึงมีความรู้สึกหึงหวงนายไก่ ไม่อยากให้นายไก่ไปยุ่งกับนางไข่และเด็กชายเป็ด จึงมาปรึกษาท่านว่า

(1) ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนางห่านจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(2) เด็กชายเป็ดและเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้น จะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมา นายไก่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางไข่ได้เหมือนเดิมนั้น การกระทําของนายไก่ที่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ถือเป็นการเลี้ยงดูหรือ ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางห่านได้รู้เห็นเป็นใจ หรือยินยอมด้วยกับการกระทําของนายไก่ ดังนั้น นางห่านแม้จะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ก็จะ ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาฟ้องหย่านายไก่ไม่เด้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เมื่อนายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามมาตรา 1457 นายไก่และนางไข่จึงมิใช่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เด็กชายเป็ดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่ แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546

ส่วนเด็กหญิงหงส์ซึ่งเกิดจากนายไก่และนางห่านสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนางห่านตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่ง เพราะเด็กหญิงหงส์ได้เกิดในขณะที่นางห่านเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ และเป็นบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) นางห่านจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียว และเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท โดยจะทําสัญญาหมั้นในวันที่ 1 เมษายน เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้ จึงไปทําสัญญาเช่าทอง 10 บาทจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณจึงทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมานางสาวมณีวรรณ ได้ทวงทอง 10 บาท แต่นายสุชาติไม่มีให้ นางสาวมณีวรรณจึงได้รับทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง ซึ่งได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น แต่ทําสัญญากู้ 100,000 บาทไว้ให้แทนเพราะหาเงินของหมั้น ไม่ทัน เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วนางสาวมณีวรรณก็ทวงถามเงิน 100,000 บาท แต่นายทะนงไม่ให้ เช่นนี้ นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณที่ผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ และนางสาวมณีวรรณจะฟ้อง เรียกเงิน 100,000 บาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณว่าผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่ นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติ ไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้จึงไปทําสัญญาเช่าทองจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์ การหมั้น แล้วนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณได้ทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากันนั้น การหมั้นระหว่าง นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณย่อมมีผลไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเนื่องจากไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณมีผลไม่สมบูรณ์ การผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่นางสาวมณีวรรณไปทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง นายสุชาติ จะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ไม่ได้

2 นางสาวมณีวรรณจะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นางสาวมณีวรรณได้ทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง โดยนายทะนงได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น ส่วนเงิน 100,000 บาท นายทะนงได้ทําสัญญากู้ไว้ให้แทนเพราะหาเงินไม่ทันนั้น การหมั้นระหว่างนางสาวมณีวรรณกับ นายทะนงย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เนื่องจากได้มีการส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นคือทอง 5 บาทให้แก่หญิงแล้ว ส่วนเงิน 100,000 บาทที่ได้ทําเป็นสัญญากู้ไว้นั้น มีเจตนาจะให้กันใน วันข้างหน้าไม่ได้มีการส่งมอบให้แก่กันในวันทําสัญญาหมั้น เงิน 100,000 บาทจึงมิใช่ของหมั้นอันจะตกได้แก่หญิง เมื่อมีการสมรสแล้ว ดังนั้น การที่นายทะนงไม่ให้เงิน 100,000 บาทแก่นางสาวมณีวรรณ นางสาวมณีวรรณ จึงฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทในฐานะเป็นของหมั้นจากนายทะนงไม่ได้

สรุป นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ และนางสาวมณีวรรณ จะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายพนมได้แอบชอบนางสาวแตงไทย แต่นางสาวแตงไทยไม่ได้ชอบนายพนม นายพนมจึงได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดว่าจะทําร้ายบิดามารดาและนางสาวแตงไทยทําให้นางสาวแตงไทยกลัวจึงทําการ จดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ต่อมาในเดือนเมษายน 2560 นางสาวแตงไทย ตั้งครรภ์ นายพนมดีใจมากจึงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่งให้นางสาวแตงไทยโดยถูกต้องตาม กฎหมายและปล่อยให้นางสาวแตงไทยไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2560 มารดาของนางสาวแตงไทยได้ไปฟ้องศาลให้ตัดสินเพิกถอนการสมรสของลูกสาว หลังจากนั้น 1 เดือนนางสาวแตงไทยจึงได้จดทะเบียนสมรสกับนายเนติซึ่งรักและยินยอมเลี้ยงดูด้วยความเต็มใจ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทานเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้น จะไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคหนึ่ง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1511 “การสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษา ถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า ตามบทบัญญัติ มาตรา 1507 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในการสมรสนั้นถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสเพราะถูกข่มขู่ โดยการข่มขู่นั้น ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการข่มขู่เช่นนั้น คู่สมรสก็จะไม่ทําการสมรสด้วย การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายพนมได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวแตงไทยทําการจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1507

ประเด็นที่ 2 มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะถูกข่มขู่ ไว้โดยเฉพาะแล้ว คือ ตัวคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น มารดาของนางสาวแตงไทยซึ่งมิใช่ ตัวคู่สมรสเอง จะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ตามมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 การสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า เมื่อการ สมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสมรสที่เป็นโมฆียะนั้นจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502) และการสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอน ก็จะถือว่า สิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด (มาตรา 1511) ดังนั้น การที่นางสาวแตงไทยได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเนติ ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนและมีผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

สรุป การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆียะ

มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และการสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัย ต่อมานายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิดได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัย มาก่อนที่จะสมรสกับตน นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไป มีความสัมพันธ์และอยู่กินฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณาไม่พอใจจึงให้ทนายความฟ้องหย่า ต่อศาล นางสาวอรทัยจึงไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ของนายสมคิดด้วย โดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิด นางสาววีณาจึงต้องการฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย เช่นนี้ นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดแต่นายสมคิดต่อสู้ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้ และนางสาววีณาต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย

ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาว ก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานอง ชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน แล้วต่อมา นายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยที่นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิด ได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัยมาก่อนที่จะสมรสกับตนนั้น มิได้หมายความว่าภายหลังจากการสมรสกันแล้วนางสาววีณา ได้ยินยอมให้นายสมคิดอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยได้อีกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้ง กับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไปมีความสัมพันธ์และอยู่กินกันฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณา ย่อมสามารถฟ้องหย่านายสมคิดได้ตามมาตรา 1516 (1) เพราะถือว่าเป็นกรณีที่นายสมคิดสามีได้ยกย่องผู้อื่น ฉันภริยาและเป็นชู้และร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ นายสมคิดจะอ้างมาตรา 1517 วรรคหนึ่งที่ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าตนเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน จึงฟ้องหย่าไม่ได้มาต่อสู้นางสาววีณาไม่ได้

2 การที่นางสาวอรทัยไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อน ร่วมงานของนายสมคิดด้วยโดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิดนั้น นางสาววีณาภริยาของนายสมคิดย่อม มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง แม้ว่านายสมคิดกับนางสาววีณา จะมีคดีฟ้องหย่ากันอยู่ก็ตาม

สรุป

นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดได้ แต่นายสมคิดจะต่อสู้ว่านางสาววีณาได้ทราบอยู่ ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้นั้นหาได้ไม่

นางสาววีณาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้

 

ข้อ 4. นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากัน ก่อนจดทะเบียนสมรสกันทั้งสองได้ร่วมกันดําเนินกิจการร้านขายของโดยนางราตรีได้ลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาท ต่อมา ได้ทําการจดทะเบียนสมรสกัน ในระหว่างที่อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่ นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมานางราตรีทราบว่านายสมบัติได้แอบอุปการะเลี้ยงดู นางสาวต้อยติ่งเป็นภริยา นางราตรีเห็นว่านายสมบัติไม่ซื่อสัตย์กับตนจึงขอบอกล้างเอาที่ดินคืน

เช่นนี้

(ก) นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้ ถูกต้องหรือไม่ และ

(ข) กิจการร้านขายของในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันเป็นทรัพย์สินอะไร และเมื่อจดทะเบียนหย่ากัน

กิจการร้านขายของมีราคาทั้งหมด 1 ล้าน 2 แสนบาท จะต้องแบ่งอย่างไร เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1533 “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และในระหว่างที่ อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย การยกที่ดินให้แก่นายสมบัติ ดังกล่าวถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 และมีผลทําให้ที่ดินนั้นเป็นสินส่วนตัวของนายสมบัติตาม มาตรา 1471 (3) และเมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส นางราตรีภริยาย่อมมีสิทธิบอกล้างเพื่อเอาที่ดินนั้นคืนได้ ในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ดังนั้น การที่ นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น จึงไม่ถูกต้อง

(ข) ก่อนจดทะเบียนสมรสกันนั้น การที่นายสมบัติกับนางราตรีได้ร่วมกันดําเนินกิจการ ร้านขายของโดยนางราตรีลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาทนั้น เงินจํานวนดังกล่าว ถือเป็นสินส่วนตัวตามสัดส่วนของการลงทุนตามมาตรา 1471 (1) และเมื่อมีการจดทะเบียนหย่ากันสินส่วนตัว ดังกล่าวไม่ต้องแบ่งกัน แต่ส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เมื่อมีการ จดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งคนละครึ่งตามมาตรา 1533 ดังนั้น เมื่อในขณะจดทะเบียนหย่ากัน กิจการร้านขายของ มีราคา 1 ล้าน 2 แสนบาท เมื่อหักสินส่วนตัวออกฝ่ายละ 400,000 บาท จึงเหลือเป็นสินสมรสจํานวน 400,000 บาท จึงต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 200,000 บาท

สรุป

(ก) นางราตรีสามารถบอกล้างเอาที่ดินคืนจากนายสมบัติได้ ข้ออ้างของนายสมบัติ ที่ว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น ไม่ถูกต้อง

(ข) ในส่วนของเงินทุนคนละ 400,000 บาทในกิจการร้านขายของเป็นสินส่วนตัว แต่ในส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันจํานวน 400,000 บาท เป็นสินสมรส เมื่อจดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งสินสมรสคนละ 200,000 บาท

 

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสิทธิได้ทําสัญญาหมั้นนางสาววิไลด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท แต่ยังไม่มีเงินจึงทําสัญญากู้ให้ไว้ และบิดาของนายสิทธิได้ตกลงให้สินสอดแก่มารดานางสาววิไลเป็นจํานวนเงิน 300,000 บาท แต่ไม่มีเงินเพียงพอจึงทําสัญญากู้ให้ไว้ และตกลงจะทําการจดทะเบียนสมรส ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ต่อมานายสิทธิและนางสาววิไลได้ทําการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย นางสาววิไลและมารดานางสาววิไลได้ทวงถามเงินของหมั้น 200,000 บาท และสินสอดจํานวน 300,000 บาท จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะทําได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสิทธิได้ทําสัญญาหมั้นนางสาววิไลด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาทนั้น เมื่อได้มีการส่งมอบแหวนเพชรอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว แม้จะไม่มีการส่งมอบเงิน ให้แก่หญิง การหมั้นระหว่างนายสิทธิและนางสาววิไลย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ส่วนการที่นายสิทธิได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาทให้นางสาววิไลไว้เป็นของหมั้นนั้น เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สิน คือเงิน 200,000 บาทให้แก่หญิงคู่หมั้น เป็นเพียงการทําสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นในวันข้างหน้า ทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท จึงไม่ถือว่าเป็นของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นางสาววิไล จะเรียกเงิน 200,000 บาทตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1482/2506)

ส่วนการที่บิดาของนายสิทธิได้ตกลงให้สินสอดแก่มารดานางสาววิไลเป็นจํานวนเงิน 300,000 บาท แต่ในขณะหมั้นไม่มีเงินเพียงพอจึงทําสัญญากู้ให้ไว้โดยยังไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่กันนั้น ข้อตกลงในเรื่องสินสอด ย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคสาม เพราะสินสอดนั้นจะส่งมอบให้แก่กันเมื่อใดก็ได้ และแม้ว่านายสิทธิ์ ได้ทําการสมรสกับนางสาววิไลแล้ว สัญญาว่าจะให้สินสอดยังคงมีผลบังคับกันได้ ดังนั้น บิดาของนายสิทธิจึงต้อง ผูกพันตามสัญญากู้ซึ่งมีมูลหนี้อันชอบด้วยกฎหมายและได้แปลงหนี้ใหม่ มารดาของนางสาววิไลจึงมีสิทธิเรียกเงิน จํานวน 300,000 บาทตามสัญญากู้จากบิดาของนายสิทธิได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 878/2518)

สรุป นางสาววิไลจะเรียกเงิน 200,000 บาทจากนายสิทธิไม่ได้ แต่มารดานางสาววิไลสามารถ เรียกเงิน 300,000 บาทจากบิดาของนายสิทธิได้

 

ข้อ 2 นางสาวพอใจ อายุ 25 ปี จดทะเบียนสมรสกับนายสุกิจ อายุ 30 ปี ต่อมา นางสาวพอใจประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2560 นายสุกิจได้จดทะเบียน สมรสกับนางสาวทองคํา อายุ 19 ปี โดยบิดามารดาของนางสาวทองคําไม่ทราบเรื่อง หลังจากนั้น อีก 3 ปี บิดามารดาของนางสาวทองคําทราบเรื่องจึงโกรธมากและต้องการฟ้องยกเลิกการสมรส ดังกล่าว เช่นนี้ ท่านเห็นว่าบิดามารดาของนางสาวทองคําจะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอน การสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวพอใจได้จดทะเบียนสมรสกับนายสุกิจ และต่อมานางสาวพอใจ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตนั้น ย่อมทําให้การสมรสระหว่างนางสาวพอใจกับนายสุกิจสิ้นสุดลงตามมาตรา 1501 ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายสุกิจได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวทองคําจึงไม่เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะทําการสมรสนั้น นางสาวทองคํามีอายุเพียง 19 ปี และได้สมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสุกิจกับนางสาวทองคํา จึงตกเป็นโมฆี่ยะตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 และมาตรา 1509 บิดามารดาของนางสาวทองคํา จึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อบิดามารดาของนางสาวทองคํา มาทราบเรื่องภายหลังจากนางสาวทองคํามีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว สิทธิในการฟ้องขอเพิกถอนการสมรส จึงเป็นอันระงับไปตามมาตรา 1510 วรรคสอง ดังนั้น บิดามารดาของนางสาวทองคําจึงไม่สามารถฟ้องศาล ให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายสุกิจกับนางสาวทองคําได้

สรุป บิดามารดาของนางสาวทองคําจะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

 

ข้อ 3. นายพงษ์และนางแพรวตกลงกันในขณะที่จดทะเบียนสมรสกันที่เขตบางรักว่าไม่ประสงค์จะให้บันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินของทั้ง 2 ฝ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากที่จดทะเบียนสมรสกันแล้วนายพงษ์และ นางแพรวกลับไปบ้านและพูดคุยกัน นายพงษ์ตกลงยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงของนายพงษ์ให้แก่ นางแพรว ในวันเดียวกันนั้นทั้งสองกลับมาที่เขตบางรักอีกครั้งและมาขอบันทึกเพิ่มเติมว่านายพงษ์ จะยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงให้กับนางแพรว วันรุ่งขึ้นนายพงษ์ได้ทําหนังสือและจดทะเบียน โอนบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่นางแพรวตามที่ได้ตกลงกัน ยี่สิบปีต่อมานายพงษ์ได้รับเงินบําเหน็จ จากการเกษียณอายุราชการจํานวน 2 ล้านบาท นายพงษ์นําไปซื้อตึกแถวโดยลําพัง หลังจากนั้น นายพงษ์ขายตึกแถวให้แก่นายนพซึ่งเป็นญาติสนิทของนายพงษ์ โดยนายพงษ์และนายนพตกลงกัน ว่าจะไม่บอกเรื่องนายพงษ์ขายตึกแถวแก่นายนพให้นางแพรวทราบ นางแพรวจึงไม่ได้รู้เห็นและ ให้ความยินยอมในการขายตึกแถวแต่อย่างใด ต่อมานางแพรวทราบเรื่องทั้งหมด นายพงษ์และ นางแพรวทะเลาะกันอย่างรุนแรง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายพงษ์จะบอกล้างการให้ที่ดินที่นายพงษ์โอนให้แก่นางแพรวเมื่อยี่สิบปีที่แล้วได้หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางแพรวจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวของนายพงษ์ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายพงษ์และนางแพรวมาขอบันทึกเพิ่มเติมที่เขตบางรักหลังจากที่ได้จดทะเบียน สมรสกันแล้ว ว่านายพงษ์จะยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงของนายพงษ์ให้กับนางแพรวนั้น บันทึกดังกล่าวเป็นสัญญา ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างสมรส จึงเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ซึ่ง นางพงษ์จะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็น สามีภริยากันก็ได้ ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ แม้นายพงษ์และนางแพรวจะได้ทําสัญญากันเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว นายพงษ์ก็มีสิทธิที่จะบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสนี้ได้

(ข) การที่นายพงษ์ได้นําเงินบําเหน็จจากการเกษียณอายุราชการจํานวน 2 ล้านบาท ซึ่ง ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) ไปซื้อตึกแถวโดยลําพังนั้น ตึกแถวดังกล่าวย่อมเป็นสินสมรสซึ่งการที่ สามีหรือภริยาจะขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสินสมรสให้ผู้อื่นนั้น ถือเป็นนิติกรรมตามมาตรา 1476 (1) ที่สามี และภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น การที่นายพงษ์ได้ขายตึกแถว ให้แก่นายนพซึ่งได้รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตเพราะนายนพได้ตกลงกับนายพงษ์ที่จะไม่บอกเรื่องการซื้อขายตึกแถว ให้นางแพรวทราบ ดังนั้น นางแพรวซึ่งไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมด้วยในการขายตึกแถว จึงมีสิทธิที่จะฟ้อง ให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป

(ก) นายพงษ์สามารถบอกล้างการให้ที่ดินที่นายพงษ์โอนให้แก่นางแพรวเมื่อยี่สิบปีที่แล้วได้

(ข) นางแพรวสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวของนายพงษ์ได้

 

ข้อ 4. นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายเป็ด จึงไปจดทะเบียนสมรสกัน โดยนางไข่ทราบดีอยู่ว่านายไก่อยู่กินร่วมกันกับหญิงอีกคนหนึ่งคือ นางนก โดยนายไก่และนางไข่ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสกับนางไข่ หากนางไข่ยินยอมให้ตนอยู่กินร่วมกัน ฉันสามีภริยากับนางนกได้ ต่อไป นางไข่ยินยอมตามขอ ต่อมานายไก่มีลูกกับนางนกคือ เด็กหญิงห่าน นายไก่ก็หลงรักเด็กหญิงห่านมากทําให้นางไข่โมโห จึงมาปรึกษานักศึกษาว่า จากข้อเท็จจริงตามโจทย์ นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเด็กชายเป็ดและเด็กหญิงห่าน เป็นบุตรชอบ ด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะ ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1547 “เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อ บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายเป็ด แต่ต่อมาเมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ย่อมถือว่านายไก่และนางไข่เป็นสามีและ ภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1457 ดังนั้น การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนก จนมีลูก คือ เด็กหญิงห่านนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นายไก่ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา ตาม มาตรา 1516 (1) นางไข่จึงสามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางนกนั้น นางไข่ได้ยินยอมหรืออนุญาตนายไก่แล้ว ดังนั้น นางไข่จึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อที่จะฟ้องหย่านายไก่ ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรที่เกิดก่อนที่นายไก่และนางไข่จะได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งโดยหลักแล้ว ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546 แต่เมื่อต่อมานายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกันย่อมถือว่าเด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายไก่ด้วยตามมาตรา 1547

(3) เด็กหญิงห่านเป็นบุตรที่เกิดจากนางนกซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับนายไก่ ดังนั้น เด็กหญิงห่านจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตาม มาตรา 1546

สรุป

นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ และเด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายไข่ตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก และเป็นบุตรโดยชอบของนายไก่ เมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียน สมรสกัน ส่วนเด็กหญิงห่านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 5 มกราคม นายเจริญทรัพย์ อายุ 25 ปี ได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อรุณี อายุ 16 ปี 9 เดือน โดยบิดามารดายินยอมด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท และตกลงจะทําการสมรสในวันที่ 5 กันยายน ต่อมาในเดือนสิงหาคม น.ส.อรุณีได้ทําสัญญารับหมั้นจากนายอุทัย อายุ 23 ปี ด้วยทอง 10 บาท โดยบิดามารดาของ น.ส.อรุณียินยอมด้วย นายเจริญทรัพย์จึงต้องการฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดา (คู่สัญญาหมั้น) ฐานผิดสัญญาหมั้นและ เรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (1) ด้วย และกล่าวอ้างว่าการหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัย ไม่สมบูรณ์ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น”

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายในเรื่องการหมั้นนั้น ชายและหญิงจะหมั้นกันได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว หากชายและหญิงทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีผลทําให้ การหมั้นนั้นเป็นโมฆะ (ตามมาตรา 1435) กล่าวคือ จะมีผลเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญทรัพย์อายุ 25 ปี ได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อรุณี อายุ 16 ปี 9 เดือนนั้น แม้การหมั้นจะมีของหมั้นคือแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท และบิดามารดาของ น.ส.อรุณีจะได้ ยินยอมด้วยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่า น.ส.อรุณีมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ การหมั้นดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืน บทบัญญัติมาตรา 1435 วรรคหนึ่ง และจะมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง จึงถือเสมือนว่ามิได้มีการหมั้น เกิดขึ้นเลย ดังนั้น การที่นายเจริญทรัพย์ต้องการฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดา (คู่สัญญาหมั้น) ฐานผิดสัญญาหมั้น

และเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (1) ด้วยนั้น จึงไม่สามารถทําได้ เพราะกรณีที่จะถือว่ามีการผิดสัญญาหมั้น ทําให้คู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1439 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ได้มีการหมั้น กันแล้วเท่านั้น

และต่อมาในเดือนสิงหาคม (7 เดือนต่อมา) น.ส.อรุณีมีอายุเกิน 17 ปีแล้ว ได้ทําสัญญาหมั้น กับนายอุทัยอายุ 23 ปี ด้วยทอง 10 บาท โดยบิดามารดาของ น.ส.อรุณียินยอมด้วยนั้น ย่อมเป็นการหมั้นที่ สมบูรณ์ตามมาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่นายเจริญทรัพย์กล่าวอ้างว่า การหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัยไม่สมบูรณ์นั้นจึงไม่ถูกต้อง

สรุป

นายเจริญทรัพย์จะฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดาของ น.ส.อรุณีฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ และจะกล่าวอ้างว่าการหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัยไม่สมบูรณ์ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายโชคชัยได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นภาพร ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตน หลังจากนั้นอีก 2 เดือน นายโชคชัยก็ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.อ้อยใจ โดยอ้างว่าการสมรสครั้งก่อนไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะตนได้จดทะเบียนสมรสกับบุตรบุญธรรมของตนเอง โดยในระหว่างสมรสนั้นเอง น.ส.อ้อยใจ ได้ซื้อสลากออมสินและถูกรางวัล 10 ล้านบาท ดังนี้ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า การสมรสระหว่างนายโชคชัย และ น.ส.อ้อยใจมีผลเช่นไร และเงินรางวัล 10 ล้านบาทเป็นของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1451 “ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่งเว้นแต่ศาลจะเห็น สมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

มาตรา 1598/32 “การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกเมื่อมีการสมรสฝ่าฝืนมาตรา 1451”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโชคชัยได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นภาพร ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ของตนนั้น แม้จะเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1451 ก็ตาม แต่เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การสมรส ดังกล่าวตกเป็นโมฆะ เพียงแต่บัญญัติให้การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกไปเท่านั้น (มาตรา 1495 และ มาตรา 1598/32) ดังนั้น การสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.นภาพรจึงมีผลสมบูรณ์

เมื่อการสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.นภาพรมีผลสมบูรณ์ การที่นายโชคชัยได้ไปจดทะเบียน สมรสกับ น.ส.อ้อยใจอีกในภายหลัง จึงเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 1452 ดังนั้น การสมรสครั้งหลังระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.อ้อยใจจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 และ ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ น.ส.อ้อยใจ ได้ซื้อสลากออมสินและถูกรางวัล 10 ล้านบาท เงินรางวัล 10 ล้านบาทดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่ น.ส.อ้อยใจ ได้มาภายหลังการสมรสที่ตกเป็นโมฆะ จึงตกเป็นของ น.ส.อ้อยใจแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1498 วรรคสอง

สรุป

การสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.อ้อยใจมีผลเป็นโมฆะ

และเงินรางวัล 10 ล้านบาท ตกเป็นของ น.ส.อ้อยใจแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 3 นายวิทยาและนางบงกชเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ทั้งสองทําสัญญาระหว่างสมรสให้นายวิทยาเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการเงินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว นายวิทยานําเงินบําเหน็จที่ได้มา ระหว่างสมรสจํานวนหนึ่งล้านบาทไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายวิทยาในโฉนดที่ดินแต่เพียง ผู้เดียว นายวิทยาได้นําที่ดินดังกล่าวไปให้นายมานพซึ่งเป็นญาติสนิทของนายวิทยาเช่าเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยนายวิทยาและนายมานพตกลงกันว่าจะไม่บอกเรื่องการเช่าที่ดินให้นางบงกชทราบเพราะกลัว นางบงกชจะไม่เห็นด้วยกับราคาค่าเช่าที่ดินที่ต่ำกว่าราคาค่าเช่าที่ดินโดยทั่วไปมาก ต่อมานายวิทยา ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายพงษ์จํานวนหนึ่งแสนบาทตามลําพังโดยที่นางบงกชไม่ได้ให้ความยินยอม ในการกู้เงินนั้น หลังจากนั้นนางบงกชถึงทราบเรื่องทั้งหมด นางบงกชโกรธมากที่นายวิทยาให้เช่าที่ดิน ในราคาต่ำกว่าราคาค่าเช่าที่ดินโดยทั่วไปมาก และนายวิทยากู้ยืมเงินจากนายพงษ์ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละสิบห้าซึ่งนางบงกชเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านางบงกช จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินแก่นายมานพและการกู้ยืมเงินกับนายพงษ์ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายวิทยาและนางบงกชได้ทําต่อกันโดยให้นายวิทยา เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้นใช้บังคับไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการ สินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อนายวิทยาและนางบงกชไม่ได้ทําสัญญา ก่อนสมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายวิทยาและนางบงกชในเรื่องทรัพย์สิน จึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1473 และ มาตรา 1476

การที่นายวิทยานําเงินบําเหน็จที่ได้มาในระหว่างสมรสจํานวนหนึ่งล้านบาทซึ่งเป็นสินสมรส ตามมาตรา 1474 (1) ไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายวิทยาในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียวนั้น ที่ดินดังกล่าวถือเป็น สินสมรส และเมื่อนายวิทยาได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวไปให้นายมานพเช่าเป็นระยะเวลา 7 ปี ถือเป็นการทํานิติกรรม ตามมาตรา 1476 (3) เพราะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ซึ่งสามีและภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือ ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนายวิทยาได้นําที่ดินไปให้นายมานพเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอม จากนางบงกช แม้นายมานพจะเช่าที่ดินโดยเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อนายมานพกระทําการโดยไม่สุจริตเพราะนายมานพ ได้ตกลงกับนายวิทยาว่าจะไม่บอกเรื่องการเช่าที่ดินให้นางบงกชทราบ อีกทั้งราคาค่าเช่าก็ต่ำกว่าราคาเช่าโดยทั่วไปมาก ดังนั้น นางบงกชจึงสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายวิทยาได้ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายพงษ์จํานวนหนึ่งแสนบาทโดยที่นางบงกช ไม่ได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการกู้เงินนั้น เมื่อนิติกรรมการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ใช่นิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ สินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ดังนั้น นางบงกชจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้

สรุป นางบงกชจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินได้ แต่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการกู้ยืมเงินไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางเป็ดเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาทั้งคู่มีความรู้สึกว่าไม่ใช่เนื้อคู่กันที่แท้จริง จึงตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย มีพยาน 2 คน ทําขึ้น 2 ฉบับ เก็บไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ หลังจากนั้น นายไก่ก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนกโดย คําแนะนําและสนับสนุนจากนางเป็ด นางเป็ดก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายห่านเพื่อนรัก นายไก่ นายไก่สนับสนุนเช่นกัน ต่อมานางเป็ดคลอดบุตรมา 1 คน คือเด็กหญิงหงส์

1) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางเป็ดมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2) นายไก่จะฟ้องหย่านางเป็ด นางเป็ดจะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ตามข้อเท็จจริงตามโจทย์

3) เด็กหญิงหงส์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษา ของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางเป็ดได้ตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และ มีพยานลงลายมือชื่อสองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางเป็ดยังไม่ได้จดทะเบียน การหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางเป็ดจึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(2) การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนกโดยคําแนะนําและสนับสนุนจากนางเป็ด และนางเป็ดก็ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายห่านโดยนายไก่สนับสนุนนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่สามี และภริยาได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีตามมาตรา 1516 (1) แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ การกระทําของนายไก่และนางเป็ดดังกล่าวนั้น นางเป็ดและนายไก่ได้รู้เห็นเป็นใจและยินยอมด้วย ดังนั้นทั้ง นายไก่และนางเป็ดจะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นมาฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(3) เมื่อนายไก่และนางเป็ดยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพราะการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจาก การหย่ายังไม่สมบูรณ์ การที่นางเป็ดมีบุตร 1 คน คือเด็กหญิงหงส์ เด็กหญิงหงส์ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางเป็ดตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เพราะเด็กหญิงหงส์ได้เกิดในขณะที่ นางเป็ดเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536

สรุป

(1) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางเป็ดมีผลไม่สมบูรณ์

(2) นายไก่จะฟ้องหย่านางเป็ด และนางเป็ดจะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(3) เด็กหญิงหงส์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางเป็ดนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายพิชัยได้ทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาเพื่อที่จะให้เป็นของหมั้นแก่นางสาวอุสา ในวันทําสัญญาหมั้น นายพิชัยได้ส่งมอบทะเบียนรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาและตกลงจะทําการสมรสกันในเดือนถัดไป ต่อมานายพิชัยได้กลับไปคืนดีอุปการะเลี้ยงดูนางสาวนัยนาแฟนเก่าเนื่องจากตั้งครรภ์ นางสาวอุสา ไม่พอใจนายพิชัยที่ผิดสัญญาหมั้นกับตนจึงต้องการฟ้องฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทน เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิชัยได้ทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาเพื่อที่จะให้เป็นของหมั้นแก่ นางสาวอุสานั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันทําสัญญาหมั้นนายพิชัยได้ส่งมอบแต่ทะเบียนรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาโดยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาด้วยแต่อย่างใด ดังนี้ แม้ว่าจะได้มีการตกลงว่าจะทําการ สมรสกันในเดือนถัดไปก็ตาม การทําสัญญาหมั้นดังกล่าวถือว่าขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการหมั้นที่ฝ่ายชายมิได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายพิชัยกับ นางสาวอุสาจึงมีผลไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง

และเมื่อการหมั้นดังกล่าวไม่สมบูรณ์ การที่นายพิชัยได้กลับไปคืนดีอุปการะเลี้ยงดูนางสาวนัยนา แฟนเก่าเนื่องจากตั้งครรภ์ นางสาวอุสาจะถือว่าเป็นกรณีที่นายพิชัยผิดสัญญาหมั้นกับตน และจะฟ้องนายพิชัย ฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1439 ไม่ได้

สรุป

นางสาวอุสาจะฟ้องนายพิชัยฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทนไม่ได้

 

ข้อ 2 นางสาวนุชนาถอายุ 19 ปี ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายพรชัยอายุ 25 ปี ซึ่งมีฐานะดีแต่มาทราบภายหลังว่านายพรชัยมีภริยาแล้ว ด้วยความเสียใจนางสาวนุชนาถได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับ นายนิวัติอายุ 22 ปี โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้แต่บิดามารดา และไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์อยู่กับ นายพรชัย นายพรชัยรักนางสาวนุชนาถมากจึงได้จดทะเบียนหย่ากับภริยาของตนถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อนางสาวนุชนาถทราบจึงจดทะเบียนสมรสกับนายพรชัย เช่นนี้ การสมรสจะมีผลอย่างไร บุตรที่ เกิดมาจะเป็นบุตรของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1509 “การสมรสที่ได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวนุชนาถอายุ 19 ปี ได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับนายนิวัติ อายุ 22 ปี โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้แต่บิดามารดานั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบ มาตรา 1436 (1) ดังนั้น การสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถและนายนิวัติจึงตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 1509 บิดามารดาของนางสาวนุชนาถสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นอันระงับเมื่อ คู่สมรสนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ (มาตรา 1510 วรรคสอง) ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านางสาวนุชนาถ ตั้งครรภ์อยู่ บิดามารดาของนางสาวนุชนาถจึงขอเพิกถอนการสมรสอีกไม่ได้ และมีผลทําให้การสมรสระหว่าง นางสาวนุชนาถและนายนิวัติมีผลสมบูรณ์

เมื่อการสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายนิวัติมีผลสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อนางสาวนุชนาถ ได้มาจดทะเบียนสมรสกับนายพรชัยอีก จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 คือเป็นการสมรสในขณะที่ตน มีคู่สมรสอยู่ ดังนั้นการสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายพรชัยจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

ส่วนบุตรที่เกิดมานั้น ย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนุชนาถและนายนิวัติตาม มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้บัญญัติหลักไว้ว่า เด็กที่เกิดแต่หญิงในขณะที่เป็นภริยาชาย (นายนิวัติ) ให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี

สรุป การสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายนิวัติมีผลสมบูรณ์ แต่การสมรสระหว่าง นางสาวนุชนาถกับนายพรชัยเป็นโมฆะ ส่วนบุตรที่เกิดมาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนุชนาถและนายนิวัติ

 

ข้อ 3 นายถวิลกับนางวีณาสามีภริยามีความไม่เข้าใจกันขัดแย้งกันตลอดเวลา นายถวิลได้รู้จักกับนางสาวน้ำหวานอย่างสนิทสนมจนมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน เมื่อนายถวิลไปประชุมสัมมนาที่ ต่างจังหวัดนางสาวน้ำหวานก็ไปและร่วมรับประทานอาหารและพักห้องเดียวกันเป็นที่รู้จักของ เพื่อน ๆ นายถวิลโดยทั่วไป นางวีณามีบุตรกับนายถวิลสองคน นางวีณาเคยโต้เถียงกับนางสาวน้ำหวาน และนางสาวน้ำหวานอ้างว่าไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายถวิล แต่นายถวิลได้ไปมาหาสู่กับ นางสาวน้ำหวานตลอดมา เช่นนี้ นางวีณาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานได้หรือไม่ นางวีณาจะต้องฟ้องหย่านายถวิลด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1523 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตาม

มาตรา 1516 (1) ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น

สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทน จากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายถวิลไปประชุมสัมมนาที่ต่างจังหวัดนั้น นางสาวน้ำหวานก็ไปและร่วมรับประทานอาหารและพักห้องเดียวกันกับนายถวิลจนเป็นที่รู้จักของเพื่อน ๆ นายถวิล โดยทั่วไป การกระทําดังกล่าวถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ในลักษณะใกล้ชิดกันเป็นพิเศษเกินกว่า ความสัมพันธ์ในระดับคนรู้จักในการทํางานทั่วไป และการที่นางสาวน้ำหวานไปพักที่ห้องพักเดียวกันนั้น แม้ผู้เห็น เหตุการณ์จะเป็นเพื่อนนายถวิลและพนักงานโรงแรม ก็เป็นการแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันแล้ว

ดังนั้น นางวีณาภริยาย่อมสามารถอ้างเหตุดังกล่าวเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) และเมื่อศาลพิพากษา ให้หย่ากัน นางวีณาย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากนายถวิลและนางสาวน้ำหวานตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตามมาตรา 1523 วรรคสอง ไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้านางวีณาจะฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานโดยเฉพาะนั้น นางวีณาจะต้องได้รับความเสียหาย หรือนางสาวน้ําหวานจะต้อง ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับสามีตน หรือจะต้องได้มีการฟ้องหย่ากันแล้วแต่อย่างใด ดังนั้นนางวีณาจึงสามารถ ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ําหวานที่ได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีของตนได้ โดยไม่ต้อง ฟ้องหย่านายถวิลตามมาตรา 1523 วรรคสอง

สรุป นางวีณาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานได้โดยไม่ต้องฟ้องหย่านายถวิล

 

ข้อ 4 นายพินิจกับนางอุสาจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาในระหว่างสมรสได้ทําสัญญากันให้นายพินิจสามารถจัดการสินสมรสได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยที่นางอุสาไม่ต้องให้ความยินยอมแต่อย่างใด ต่อมานายพินิจ ได้ทําสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนายนครเพื่อนร่วมงาน และทําสัญญาตามกฎหมาย ให้นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเช่าที่ดินสินสมรสมีกําหนดระยะเวลา 5 ปี เพื่อนําเงินค่าเช่า มาใช้จ่ายในครอบครัว นางอุสาไม่พอใจที่ไม่บอกให้ทราบก่อนจึงต้องการฟ้องเพิกถอนการทําสัญญา ดังกล่าว เช่นนี้ จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายพินิจกับนางอุสาได้ทําต่อกันโดยให้นายพินิจ สามารถจัดการสินสมรสได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยที่นางอุสาไม่ต้องให้ความยินยอมแต่อย่างใดนั้นย่อมใช้บังคับ ไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมารตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1) ดังนั้นเมื่อ นายพินิจและนางอุสาไม่ได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายพินิจและนางอุสาในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสินสมรสจึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1476

การที่นายพินิจได้ทําสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนายนครเพื่อนร่วมงานนั้น ไม่ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1476 (8) เพราะมิได้นําทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสไปเป็นประกันหรือ หลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล เป็นการทําสัญญาที่มีผลผูกพันนายพินิจสามีแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ก่อให้เกิด ภารติดพันแก่สินสมรส ดังนั้น การทําสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมิใช่การจัดการสินสมรสที่นางอุสาภริยาจะต้อง ให้ความยินยอมหรือต้องจัดการร่วมกันแต่อย่างใด นางอุสาจึงฟ้องเพิกถอนการทําสัญญาค้ำประกันดังกล่าวตาม มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ไม่ได้

ส่วนการทําสัญญาตามกฎหมายให้นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเช่าที่ดินซึ่งเป็น สินสมรสมีกําหนดระยะเวลา 5 ปี เพื่อนําเงินค่าเช่ามาใช้จ่ายในครอบครัวนั้น เป็นการจัดการสินสมรสที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติมาตรา 1476 (3) เพราะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ซึ่งสามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือ ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เมื่อการทําสัญญาให้เช่าดังกล่าวไม่ได้รับความยินยอมจากนางอุสา นางอุสาย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการทํานิติกรรมดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ย่อมถือว่า นายอุทัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนั้น นางอุสาจึงไม่สามารถฟ้องให้ศาล เพิกถอนการทํานิติกรรมดังกล่าวได้

สรุป นางอุสาจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการค้ําประกัน และการทําสัญญาให้เช่า ดังกล่าวไม่ได้

 

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสนั่นชอบพอรักใคร่กับนางสาวเอมอร นายสนั่นได้ตกลงจัดงานแต่งงานกับนางสาวเอมอรโดยวิธีการผูกข้อมือ ในวันทําพิธีนายสนั่นมีความประทับใจกับนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรและนางสาวเอมอรเป็นอย่างมากจึงได้ถอดแหวนทอง 1 บาทให้แก่นางสาวเอมอรและถอดสร้อยคอทอง 1 บาทให้แก่นางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอร ต่อมานายสนั่นกับนางสาวเอมอรมีความขัดแย้งกัน นางสาวเอมอรจึงไม่ยอมอยู่กินร่วมกัน นายสนั่นเห็นว่านางสาวเอมอรมีเจตนาไม่ทําตามสัญญาจึง ต้องการฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอร และเรียกสร้อยทองคืนจากนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอร เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

การที่นายสนั่นได้ตกลงจัดงานแต่งงานกับนางสาวเอมอรโดยวิธีการผูกข้อมือ และในวันทําพิธี นายสนั่นซึ่งมีความประทับใจนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรและนางสาวเอมอรเป็นอย่างมาก ได้ถอดแหวนทอง 1 บาทให้แก่นางสาวเอมอร และถอดสร้อยคอทอง 1 บาทให้แก่นางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรนั้น ไม่ถือว่าแหวนทองและสร้อยคอทองเป็นของหมั่นและสินสอด ทั้งนี้เพราะแหวนทองที่นายสนั่นได้ส่งมอบ ให้แก่นางสาวเอมอรนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่นายสนั่นได้ส่งมอบให้นางสาวเอมอรเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับ นางสาวเอมอรตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และสร้อยคอทองที่นายสนั่นได้ส่งมอบให้แก่นางเปรื่องมิใช่ทรัพย์สิน ที่นายสนั่นให้แก่นางเปรื่องเพื่อตอบแทนที่นางสาวเอมอรยอมสมรสตามมาตรา 1437 วรรคสาม

เมื่อแหวนทองและสร้อยคอทองมิใช่ของหมั้นและสินสอด ดังนั้นการที่นายสนั่นกับนางสาวเอมอร มีความขัดแย้งกัน นางสาวเอมอรจึงไม่ยอมอยู่กินร่วมกันกับนายสนั่น นายสนั่นจะอ้างว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ หญิงคู่หมั้น และฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอรตามมาตรา 1442 และเรียกสร้อยคอทองคืนจากนางเปรื่อง มารดานางสาวเอมอรตามมาตรา 1437 วรรคสามไม่ได้

สรุป

นายสนั่นจะฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอร และฟ้องเรียกสร้อยคอทองคืน จากนางเปรื่องมารดานางสาวเอมอรไม่ได้

 

ข้อ 2 นายทรงกลดและนางสาวชมพูอายุ 19 ปีบริบูรณ์ ทั้งสองได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน โดยที่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายมิทราบ ต่อมาอีกสองปี บิดามารดาของนางสาวชมพูทราบว่าทั้งสองแอบไปจดทะเบียนสมรสกันก็โกรธมาก จึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสนี้ เช่นนี้จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอน การสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทรงกลดและนางสาวชมพูซึ่งมีอายุ 19 ปีทั้งคู่ ได้ไปจดทะเบียน สมรสกันโดยที่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายมิทราบนั้น เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 (1) ดังนั้น การสมรสดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 1509 และเฉพาะบิดามารดาของนายทรงกลด และนางสาวชมพูเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องให้ศาลเพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่บิดามารดาของนางสาวชมพูจะฟ้องศาล เพื่อเพิกถอนการสมรสนั้น นายทรงกลดและนางสาวชมพูมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นสิทธิในการฟ้อง ขอให้เพิกถอนการสมรสกรณีนี้จึงเป็นอันระงับ บิดามารดาของนางสาวชมพูจึงไม่สามารถฟ้องศาลให้เพิกถอน การสมรสกรณีนี้ได้ตามมาตรา 1510 วรรคสอง

สรุป

บิดามารดาของนางสาวชมพูจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสกรณีนี้ไม่ได้

 

ข้อ 3 นายเทพกับนางสาวพรทําสัญญาตอนที่คบหาดูใจกันว่า เมื่อสมรสกันแล้วให้นายเทพมีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยนายเทพ นางสาวพร และพยาน 2 คน ลงลายมือชื่อ ในสัญญานั้น ต่อมานายเทพและนางสาวพรได้ไปจดทะเบียนสมรสกันโดยไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงใน สัญญาที่ทําไว้ก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสและไม่ได้นําสัญญาดังกล่าวแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส ต่อมานายเทพนําเงินบําเหน็จที่ได้จากการเกษียณอายุราชการไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายเทพ ในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นนายเทพนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายฝากกับนายชาติในราคา 500,000 บาท นายเทพบอกกับนายชาติว่านายเทพโสดไม่เคยสมรสมาก่อน ต่อมานายเทพกู้เงิน จากนายเก่งจํานวน 100,000 บาทตามลําพัง นางพรไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการขายฝาก ที่ดินและการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินและการกู้ยืมเงินของนายเทพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ๆ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1466 “สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรส นั้นไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยาน อย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มี สัญญานั้นแนบไว้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(4) ให้กู้ยืมเงิน”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้นายเทพกับนางพรจะได้ทําสัญญาก่อนสมรส ให้นายเทพมีอํานาจจัดการ สินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสองได้ไปจดทะเบียนสมรสกันโดย ไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงในสัญญาที่ทําไว้ก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสและไม่ได้นําสัญญาดังกล่าวแนบไว้ท้าย ทะเบียนสมรส ดังนั้นสัญญาก่อนสมรสดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1466 ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ในเรื่องทรัพย์สินจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง)

การที่นายเทพได้นําเงินบําเหน็จที่ได้รับจากการเกษียณอายุราชการไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งและแม้จะได้ใส่ชื่อนายเทพในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ที่ดินแปลงดังกล่าวก็ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส การที่นายเทพได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายฝากไว้กับนายชาติ ซึ่ง การขายฝากที่ดินนั้นถือเป็นการจัดการสินสมรสที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจาก อีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (1) เมื่อนายเทพได้นําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปขายฝากไว้กับนายชาติ โดยที่นางพรไม่ได้ รู้เห็นและให้ความยินยอมในการขายฝากที่ดินนั้น โดยหลักแล้ว นางพรย่อมสามารถฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรม การขายฝากที่ดินนั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายชาติผู้รับซื้อฝากซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ได้กระทําการโดยสุจริตเพราะนายชาติไม่ทราบว่านายเทพสมรสแล้ว นายชาติจึงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นเป็น สินสมรส อีกทั้งนายชาติเสียค่าตอบแทนในการนั้นด้วย จึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งตอนท้าย ดังนั้น นางพรจึงฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินดังกล่าวไม่ได้

ส่วนการที่นายเทพได้ไปกู้ยืมเงินจากนายเก่ง 100,000 บาทนั้น การกู้ยืมเงินมิใช่การจัดการ สินสมรสที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (4) เพราะ มิใช่การให้กู้ยืมเงิน ดังนั้น นายเทพจึงสามารถกู้ยืมเงินตามลําพังได้ นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการ กู้ยืมเงินของนายเทพไม่ได้ ”

สรุป

นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินและการกู้ยืมเงินของนายเทพ ไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่จนมีลูกด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายเป็ด นายไก่ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนางปลาโดยนางปลาอนุญาตให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ได้เช่นเคยเป็นมา แต่นางปลาก็แอบไปมีเพศสัมพันธ์กับนายปแฟนเก่า และนางปลาคลอดลูกมา 1 คน คือเด็กหญิงกุ้ง

(1) นางปลาจะฟ้องหย่านายไก่ว่าไปยกย่องเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาได้หรือไม่

(2) เด็กชายเป็ดและเด็กหญิงกุ้งเป็นลูกชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะ ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับ แต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็น สามีแล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่นั้น ถือว่านายไก่และนางไข่ไม่ได้เป็น สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามมาตรา 1457 แต่การที่นายไก่ได้ไป จดทะเบียนสมรสกับนางปลา ย่อมถือว่านายไก่และนางปลาเป็นสามีและภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 1457 ดังนั้น การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ย่อมถือว่านายไก่ได้อุปการะเลี้ยงดู และยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) นางปลาจึงสามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางไข่นั้น นางปลาได้ยินยอมหรืออนุญาตนายไก่แล้ว ดังนั้น นางปลาจึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อที่จะฟ้องหย่า นายไก่ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เด็กชายเป็ดซึ่งเกิดจากนายไก่บิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางไข่มารดา จึงถือว่า เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546 ส่วนเด็กหญิงกุ้งซึ่งเกิดในขณะที่นางปลาเป็นภริยาของนายไก่ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ผู้เป็นสามี ดังนั้นย่อมถือว่าเด็กหญิงกุ้งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ และนางปลาตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่งและมาตรา 1546 ประสานงาน

สรุป

(1) นางปลาจะฟ้องหย่านายไก่โดยอ้างว่าไปยกย่องเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาไม่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนเด็กหญิงกุ้งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางปลา

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมยศอายุ 25 ปี ตกลกทําสัญญาหมั้นนางสาวประไพอายุ 24 ปี ด้วยเงิน 200,000 บาท เมื่อถึงวันที่ตกลงทําสัญญาหมั้นนายสมยศทําเงินหายแต่เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสมยศจึงตกลง ทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวประไพยึดถือไว้ ต่อมานายสมยศได้รู้จักและชอบพอกับ นางสาวอรสาอายุ 19 ปี จึงตกลงทําสัญญาหมั้นนางสาวอรสาด้วยทอง 1 บาท โดยบิดามารดาของ นางสาวอรสาไม่ทราบ เมื่อนางสาวประไพทราบก็อ้างว่าการหมั้นของนางสาวอรสาทําไม่ถูกต้องไม่มีผล และต้องการฟ้องให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญาและต้องการฟ้องเรียกเงินของหมั้นด้วยเช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมยศอายุ 25 ปี ตกลงทําสัญญาหมั้นนางสาวประไพอายุ 24 ปี ด้วยเงิน 200,000 บาท แต่เมื่อถึงวันที่ตกลงทําสัญญาหมั้นนายสมยศได้ทําเงินหาย แต่เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสมยศจึงตกลงทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวประไพยึดถือไว้นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายสมยศยังมิได้ ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง ดังนั้นการหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวประไพจึง ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และการทําสัญญากู้ดังกล่าวนั้นก็เป็นเพียงสัญญาจะให้ทรัพย์สินอัน เป็นของหมั้นในวันข้างหน้า เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กัน จึงยังถือไม่ได้ว่ามีการให้ของหมั้นกันตาม กฎหมาย (มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น นางสาวประไพจึงไม่อาจฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ในฐานะของหมั้นได้ (ฎีกาที่ 1852/2506) และนางสาวประไพจะฟ้องให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญาก็ไม่ได้เช่นกันตาม มาตรา 1438 ที่กําหนดไว้ว่า “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้”

ส่วนการที่นายสมยศได้รู้จักและชอบพอกับนางสาวอรสาอายุ 19 ปี จึงตกลงหมั้นกับนางสาวอรสา ด้วยทอง 1 บาท โดยบิดามารดาของนางสาวอรสาไม่ทราบนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นางสาวอรสาซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ ทําการหมั้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดา ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวอรสา จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 1436

สรุป การหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวประไพมีผลไม่สมบูรณ์ นางสาวประไพจะฟ้อง ให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญา และจะฟ้องเรียกเงินของหมั้นไม่ได้ ส่วนการหมั้นระหว่างนายสมยศ กับนางสาวอรสามีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2 นายมงคลอายุ 16 ปีบริบูรณ์ ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.จันทร์แจ่ม อายุ 20 ปี ต่อมาอีก 3 เดือนน.ส.จันทร์แจ่มได้ตั้งครรภ์ บิดามารดาของนายมงคลทราบก็โกรธมากจึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสนี้ เช่นนี้จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณี ที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1504 “การสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิก ถอนการสมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิง มีครรภ์ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมงคลอายุ 16 ปีบริบูรณ์ ได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.จันทร์แจ่ม อายุ 20 ปีนั้น ถือเป็นกรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1448 เพราะนายมงคลมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นการสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มจึงตกเป็นโมฆียะ

และเมื่อสมรสไปได้ 3 เดือน น.ส.จันทร์แจ่มได้ตั้งครรภ์ และบิดามารดาของนายมงคลทราบ จึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มนั้น เมื่อบิดามารดาของนายมงคลถือว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวได้ตามมาตรา 1504 วรรคหนึ่ง และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1504 วรรคสอง กล่าวคือ นายมงคลยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และบทบัญญัติในมาตรา 1504 วรรคสองนั้น เป็นบทบัญญัติคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์เท่านั้น

สรุป การสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มเป็นโมฆียะ บิดามารดาของนายมงคล สามารถฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสได้

 

ข้อ 3 นายนพและนางศรีเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายกันต์ จํานวน 50,000 บาท โดยนางศรีลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น นางศรีขอให้นายนพนําเงินที่กู้มา ใช้จ่ายในครอบครัว แต่นายนพไม่ยินยอม นายนพกลับนําเงินทั้งหมดไปเล่นการพนัน เมื่อหนี้ถึงกําหนด ชําระ นายกันต์ได้มาทวงถามให้นายนพและนางศรีชําระหนี้ นางศรีปฏิเสธว่าตนเองไม่ต้องรับผิด เพราะตนเองไม่ได้เป็นผู้กู้อีกทั้งนายนพนําเงินทั้งหมดไปเล่นการพนัน ไม่ได้นํามาใช้จ่ายในครอบครัว แต่อย่างใด ต่อมานางศรีอยากเช่าที่ดินเพื่อเปิดร้านขายอาหาร นางศรีไปทําสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่ง จากนางแก้วเป็นระยะเวลา 5 ปี นางศรีขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสและนําเงินที่ได้จากการ ขายรถจักรยานยนต์ไปจ่ายค่าเช่าที่ดินดังกล่าว โดยนายนพไม่รู้เห็นและให้ความยินยอมในการเช่าที่ดิน และขายรถจักรยานยนต์แต่อย่างใด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ทุนายนพทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์ 50,000 บาท หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นายนพจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมที่นางศรีเช่าที่ดินและขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายกันต์จํานวน 50,000 บาท โดยนายนพได้นําเงินทั้งหมด ไปเล่นการพนันนั้น หนี้ดังกล่าวถือเป็นหนี้ที่นายนพได้ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นางศรีได้ลง ลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น ถือได้ว่านางศรีได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมที่ นายนพและนางศรีจะต้องรับผิดร่วมกันตามมาตรา 1490 (4) ดังนั้น นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นายนพ ทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์ 50,000 บาท

(ข) การที่นางศรีทําสัญญาเช่าที่ดินจากนางแก้วเป็นระยะเวลา 5 ปีนั้น การเช่าที่ดินมิใช่เป็นการ จัดการสินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (3) เพราะมิใช่เป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี (เป็นการเช่า ไม่ใช่ให้เช่า) ดังนั้น นายนพจึงฟ้องศาลเพื่อให้ เพิกถอนการที่นางศรีทําสัญญาเช่าที่ดินตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งไม่ได้

ส่วนการที่นางศรีได้ขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสนั้น มิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้ตามมาตรา 1476 (1) จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายนพจึงฟ้องศาลเพื่อให้เพิกถอนการที่นางศรีขาย รถจักรยานยนต์ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ไม่ได้เช่นกัน

สรุป

(ก) นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์จํานวน 50,000 บาท

(ข) นายนพจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมที่นางศรีเช่าที่ดินและขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่นายไก่เป็นคนเจ้าชู้มาก นางไข่กลัวว่าสามีจะไปมีภริยาน้อยจึงอนุญาตให้นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการได้ตามความต้องการ ของนายไก่ แต่นายไก่ก็ยังแอบไปเลี้ยงดูนางเป็ดฉันภริยาอีกคนหนึ่ง และมีลูกด้วยกันคือเด็กชายหมู ด้วยความหึงหวงนางไข่ตัดอวัยวะเพศนายไก่ทิ้งแม่น้ำไป จากเหตุการณ์กล่าวมาข้างต้น คือ นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณ นายไก่ มีภริยาน้อยคือนางเป็ด และนายไก่ไม่มีอวัยวะเพศ นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ได้หรือไม่ และเด็กชายหมูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทําให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ถ้าเกิดเพราะการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณนั้น แม้จะถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่า ได้ตามมาตรา 1516 (1) แต่นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ไม่ได้ เพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ การที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณนั้นนางไข่ยินยอมและรู้เห็นเป็นใจด้วย

2 การที่นายไก่ได้แอบไปเลี้ยงดูนางเป็ดฉันภริยาอีกคนหนึ่งนั้น นางไข่สามารถฟ้องหย่า นายไก่ได้ เพราะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1)

3 การที่นายไก่ไม่มีอวัยวะเพศนั้น ถือว่านายไก่มีสภาพแห่งกายที่ทําให้ไม่อาจร่วมประเวณี ได้ตลอดกาลตามมาตรา 1516 (10) แต่นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ไม่ได้ เพราะเมื่อนางไข่เป็นผู้ตัด อวัยวะเพศของนายไก่ทิ้ง จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคสอง ที่ห้ามมิให้นางไข่ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่า

4 เด็กชายหมูเป็นบุตรของนางเป็ดซึ่งมิได้ทําการสมรสกับนายไก่ ดังนั้นเด็กชายหมูย่อม เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเป็ดแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางเป็ดตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

นางไข่สามารถอ้างเหตุที่นายไก่มีภริยาน้อยคือนางเป็ดเพื่อฟ้องหย่านายไก่ได้ แต่จะอ้าง เหตุที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณ หรือเหตุที่นายไก่ไม่มีอวัยวะเพศเพื่อฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ ส่วนเด็กชายหมูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางเป็ดแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

WordPress Ads
error: Content is protected !!