การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL4321 การบริหารร่วมสมัย
คําสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาตอบทุกข้อ
ข้อ 1 คําว่า “ยุทธศาสตร์” กับ “กลยุทธ์” แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในเรื่องนี้เป็นใคร เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์องค์การเพื่อนําไปกําหนดกลยุทธ์เรียกว่าเทคนิคอะไร จงอธิบาย หลักการของเทคนิคนั้นมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
แนวคําตอบ
คําว่า “ยุทธศาสตร์” หรือ “กลยุทธ์” ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Strategy” โดยมีรากศัพท์ มาจากคําว่า “Strategos” ในภาษากรีก ซึ่งเกิดจากศัพท์ 2 คํา คือ “Stratos” หมายถึง Army หรือ กองทัพ และ Agein หมายถึง Lead หรือ นําหน้า โดยเมื่อนําศัพท์ 2 คํานี้มารวมกันจะหมายถึง การนํากองทัพ หรือ ยุทธวิธีหลักในการรบเพื่อเอาชนะศัตรู ดังนั้นคําว่ายุทธศาสตร์กับกลยุทธ์จึงเป็นคํา ๆ เดียวกันและมีความหมาย เหมือนกัน
นักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้านยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์
นักวิชาการที่มีชื่อเสียงด้านยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์มีหลายท่าน เช่น Michael E. Porter, Bracker, Chandler และ Arsoff
ตัวอย่างเช่น Michael E. Porter ได้เสนอแนวคิดในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) โดยกล่าวว่า การวิเคราะห์สถานการณ์การแข่งขันกับคู่แข่ง ผู้บริหารจะต้องคํานึงถึง ปัจจัย 5 ประการ คือ
1 อัตราของการแข่งขันกันระหว่างบริษัทต่าง ๆ ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น
2 การคุกคามที่เกิดขึ้นจากการมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาในตลาด
3 การคุกคามที่เกิดขึ้นจากสินค้าหรือบริการทดแทน
4 อํานาจต่อรองของผู้จัดส่ง
5 อํานาจต่อรองลูกค้า ทั้งนี้ Michael E, Porter เห็นว่า การได้เปรียบในการแข่งขันจะเกิดขึ้นได้ใน 2 ลักษณะ คือ
1 การทําให้ต้นทุนต่ำ (Low Cost)
2 การทําให้สินค้า/บริการมีความแตกต่าง (Differentiation) หรือทําให้ดีกว่าคู่แข่ง เทคนิคการวิเคราะห์องค์การ
ก่อนที่องค์การจะกําหนดกลยุทธ์จําเป็นต้องมีการวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ ซึ่งคําว่า SWOT ประกอบด้วย
1 S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ เป็นการพิจารณาทรัพยากรภายในองค์การ หรือระบบย่อยขององค์การ เช่น อํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี เป็นต้น ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นจุดแข็ง/จุดเด่นขององค์การ องค์การสามารถทําได้ดี มีความชํานาญ มีคุณภาพ มีชื่อเสียง เป็นต้น
2 w = Weakness คือ จุดอ่อนขององค์การ เป็นการพิจารณาอํานาจหน้าที่ เป้าประสงค์ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง บุคลากร ความรู้และข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีภายในองค์การว่ามีจุดอ่อน้อย่างไร เพื่อที่จะได้ปรับปรุงแก้ไข
3 O = Opportunities คือ โอกาสที่จะทําให้เกิดความได้เปรียบแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาดูว่ามีปัจจัยภายนอกองค์การใดที่จะนํามาเป็นประโยชน์ในการดําเนินงานขององค์การได้บ้าง ซึ่งแบ่งออกเป็น
1) สิ่งแวดล้อมของงาน ได้แก่ ลูกค้า คู่แข่ง ผู้ผลิต แรงงาน กฎระเบียบหรือหน่วยงานที่ควบคุม
2) สิ่งแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ การเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และต่างประเทศ
4 T = Threats คือ อุปสรรคหรือภยันตรายที่จะทําให้เกิดหายนะแก่องค์การ เป็นการ พิจารณาสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ ได้แก่ สิ่งแวดล้อมของงานและสิ่งแวดล้อมทั่วไปที่ทําให้เกิดภยันตรายหรือ หายนะต่อการดําเนินงานขององค์การ
ตัวอย่างของการใช้เทคนิค SWOT ในการวิเคราะห์องค์การ เช่น
การใช้เทคนิค SWOT ในการวิเคราะห์กรุงเทพมหานครเพื่อนําไปใช้กําหนดกลยุทธ์การพัฒนา การท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร
จุดแข็งของกรุงเทพมหานคร
1 มีบุคลากรที่มีคุณภาพและมีความรู้ความสามารถ
2 มีงบประมาณจํานวนมาก
3 มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย
4 มีสํานักงานเขต 50 เขต แต่ละเขตมีบุคลากรและเครื่องมือพร้อมในการทํางาน
5 คณะผู้บริหารมีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ และได้รับการยอมรับจากประชาชนสูง
จุดอ่อนของกรุงเทพมหานคร
1 การบริหารราชการยังขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานในสังกัดกรุงเทพมหานคร และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่ดําเนินภารกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2 การบริหารราชการขาดความโปร่งใส เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น
3 ระบบการตรวจสอบและควบคุมการบริหารราชการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
4 ผู้บริหารมาจากการเลือกตั้ง ทําให้บางครั้งการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ขาดความต่อเนื่อง
5 ขาดอํานาจต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาล ทําให้ไม่สามารถริเริ่มภารกิจใหม่ ๆ หรือขยายเขตอํานาจตามกฎหมายให้กว้างขวางมากขึ้นได้
โอกาสของกรุงเทพมหานคร
1 เป็นศูนย์กลางทางการเมือง การปกครอง และเศรษฐกิจของประเทศ
2 เป็นเมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงและต่อเนื่อง
3 เป็นสถานที่ตั้งของสถานที่สําคัญ ๆ เช่น กระทรวง กรมต่าง ๆ สถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงที่ทําการหนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ รวมทั้งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ จํานวนมาก เช่น พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว วัดอรุณราชวราราม วัดเบญจมบพิตรเป็นต้น
4 มีระบบโครงข่ายการสื่อสารสมัยใหม่ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ประชากรส่วนใหญ่เข้าถึงเครือข่ายได้ถ้วนหน้า
5 ประชากรมีระดับการศึกษาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ในประเทศ
อุปสรรคของกรุงเทพมหานคร
1 การอพยพของคนเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมากส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ความแออัด การขาดแคลนที่อยู่อาศัย การเกิดปัญหาอาชญากรรม เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดหรือโรคติดต่อต่าง ๆ
2 ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำส่งผลต่อระดับรายได้ของประชากร การจ้างงาน และการลงทุนต่าง ๆ
3 การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่งผลให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ พม่า ลาวและกัมพูชา หลั่งไหลเข้ามาทํางานในกรุงเทพมหานครเป็นจํานวนมาก
4 การเมืองที่ขาดเสถียรภาพส่งผลให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงต่อการชุมนุมประท้วง หรือการก่อเหตุความรุนแรงต่าง ๆ อันเนื่องมาจากปัญหาการเมือง
5 การมีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายหรือการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ
ข้อ 2 เหตุผลสําคัญที่ทําให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษานําแนวคิดการประกันคุณภาพการศึกษามาปรับใช้ มหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ระบบการประกันคุณภาพกระบบ อะไรบ้าง จงอธิบาย พร้อมทั้งยกตัวอย่างตัวชี้วัด 1 องค์ประกอบ
แนวคําตอบ
เหตุผลสําคัญที่ทําให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษานําแนวคิดการประกันคุณภาพ การศึกษามาปรับใช้
1 ความแตกต่างด้านคุณภาพของสถาบันอุดมศึกษา
2 ความท้าทายของปัจจัยโลกาภิวัตน์ที่มีต่อการศึกษา ทําให้การศึกษาไร้พรมแดน
3 สถาบันอุดมศึกษามีความจําเป็นที่จะต้องสร้างความมั่นใจแก่สังคมว่าสามารถพัฒนา องค์ความรู้และผลิตบัณฑิตตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง ขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล การพัฒนาภาคการผลิตจริงทั้งอุตสาหกรรมและบริการ การพัฒนา อาชีพ คุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ระดับท้องถิ่นและชุมชน
4 สถาบันอุดมศึกษาจะต้องให้ข้อมูลสาธารณะ (Public Information) ที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนักศึกษา ผู้จ้างงาน ผู้ปกครอง รัฐบาล และประชาชนทั่วไป
5 สังคมต้องการระบบการศึกษาที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วม (Participation) มีความโปร่งใส (Transparency) และมีความรับผิดชอบสามารถตรวจสอบได้ (Accountability) ตามหลักธรรมาภิบาล
6 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กําหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายใน รวมถึงให้มีสํานักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษาทําหน้าที่ประเมินคุณภาพภายนอก โดยการประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
7 คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศใช้มาตรฐานการอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นกลไกกํากับระดับมาตรฐานระดับกระทรวง ระดับคณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับ หน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานระดับอุดมศึกษาจะได้ใช้เป็นกรอบดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา
8 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นกลไกส่งเสริมและกํากับให้สถาบันอุดมศึกษาจัดการศึกษาให้มีมาตรฐาน ตามประเภทหรือกลุ่มสถาบันอุดมศึกษา 4 กลุ่ม
9 กระทรวงศึกษาธิการได้มีประกาศกระทรวงเรื่องกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา แห่งชาติเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 และคณะกรรมการการอุดมศึกษาได้ประกาศแนวทางการปฏิบัติตาม กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เพื่อให้การจัดการศึกษา ระดับอุดมศึกษาเป็นไปตามมาตรฐานการอุดมศึกษาและเพื่อการประกันคุณภาพของบัณฑิตในแต่ละระดับ คุณวุฒิและสาขาวิชา
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ระบบการประกันคุณภาพการศึกษา 3 ระบบ คือ
1 ระบบ ISO 9001 : 2015 ใช้ในคณะ/สํานักที่เน้นงานด้านการบริการให้แก่นักศึกษา เช่น สํานักหอสมุดกลาง สํานักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล (สวป.) สํานักงานอธิการบดี สํานักเทคโนโลยี การศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2 ระบบ OA (Quality Assurance) ใช้ในคณะ/สํานัก/สาขาวิทยบริการฯ โดยอิง องค์ประกอบทั้ง 9 ข้อของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)
3 ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ใช้ในโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคําแหง (มัธยมศึกษาและประถมศึกษา) โดยอิงมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา (สมศ.) กําหนด
ตัวอย่างองค์ประกอบของระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
ระบบ QA (Quality Assurance) เป็นระบบที่ใช้ในคณะ/สํานัก/สาขาวิทยบริการฯ โดยอิง องค์ประกอบ 9 ข้อของสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตัวอย่างขององค์ประกอบ เช่น
องค์ประกอบที่ 2 : การเรียนการสอน สถาบันอุดมศึกษาพึงจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ มีความพร้อมเกี่ยวกับหลักสูตร อาจารย์ กระบวนการเรียนการสอน นักศึกษาและปัจจัยสนับสนุน การเรียนการสอน
ข้อ 3 เครื่องมือการบริหารสมัยใหม่มีหลายแนวคิด อาทิ 5 ส. (5 S.), การควบคุมคุณภาพ (Q.C.),การบริหารคุณภาพทั้งองค์การ (T.Q.M.), การรือปรับระบบ (Reengineering), ระบบมาตรฐาน คุณภาพสากล (ISO 9000), ระบบมาตรฐานสากลของประเทศไทย (P.S.O.) และแนวคิดซิกซ์ ซิกม่า (Six Sigma) เป็นต้น ให้เลือกอธิบาย 1 แนวคิด หรือหลักการบริหารสําคัญ 1 หลักการมาให้เข้าใจ อย่างชัดเจน (การตอบให้อธิบายความเป็นมา นักคิด หลักการสําคัญของแนวคิดนั้น)
แนวคําตอบ
แนวคิด 5 ส. (5 S.)
5 ส. เป็นแนวคิดในการจัดระเบียบเรียบร้อยในสถานที่ทํางานเพื่อให้เกิดสภาพการทํางานที่ดี สะดวก ปลอดภัย และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือเป็นเทคนิคในการจัดระบบระเบียบสถานที่ทํางานให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด
แนวคิด 5 ส. เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่น มีปัญหาเรื่องการผลิตสินค้าคุณภาพต่ำและใช้ต้นทุนสูง จึงได้มีการวิเคราะห์หาสาเหตุปัญหาต่าง ๆ พบว่า ปัญหา เกิดจากการไม่มีระเบียบในกระบวนการผลิต ไม่มีการแยกของดีของเสีย ขาดการจัดระบบ เป็นต้น จึงทําให้เกิด แนวคิดตามหลักการพื้นฐานของ 5 ส. ขึ้น
สําหรับประเทศไทยได้นําแนวคิด 5 ส. มาใช้ประมาณปี พ.ศ. 2534 โดยมีหน่วยงานที่นํามาใช้ เช่น โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลเลิศสิน สํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สํานักงาน ก.พ.) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย เป็นต้น
ปรัชญาของ 5 ส.
Mr. Nakagawa Masakatsu ได้กําหนดปรัชญาของการทํา 5 ส. ไว้ คือ มุ่งเน้นการลดความ สิ้นเปลืองและความสูญเปล่าที่เกิดขึ้นในกระบวนการทํางาน เพื่อนําไปสู่การผลิตที่สมบูรณ์แบบ (Skill Management Method)
องค์ประกอบของ 5 ส. กิจกรรม 5 ส. มาจากคําว่า 5 5. ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย
- Seiri (เซริ) สะสาง ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Screen หมายถึง การคัดแยกและกําจัด เอกสารหรือสิ่งของที่ไม่จําเป็นออกจากสถานที่ทํางาน เพื่อลดจํานวนเอกสารและพื้นที่จัดเก็บ เช่น บนโต๊ะทํางาน ไม่ควรวางของที่ไม่จําเป็น เป็นต้น
- Seiton (เซตง) สะดวก ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Select หมายถึง การจัดระบบเอกสาร และสิ่งของจําเป็นในการใช้งานไม่ว่าบนโต๊ะทํางาน ภายในตู้เอกสาร หรือบนชั้นวางของให้เป็นระเบียบ สามารถ หยิบใช้ได้สะดวก และประหยัดเวลาในการค้นหา ดังสุภาษิตไทยที่ว่า “หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูก็งามตา”
- Selso (เซโซ) สะอาด ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Smooth หมายถึง การทําความสะอาด สถานที่ทํางาน ดูแลบํารุงรักษาเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ และพร้อมที่จะใช้งานได้ ตลอดเวลา
- Selketsu (เซแคทซี) สุขลักษณะ ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Sanitary หมายถึง การดูแล รักษาให้มีการทํา 3 ส. แรกอย่างต่อเนื่องโดยการทําซ้ำ ทําบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดสุขลักษณะที่ดีในสํานักงาน
- Shitsuke (ซิซึเกะ) สร้างวินัยหรือสุขนิสัย ภาษาอังกฤษใช้คําว่า Self Discipline หมายถึง การอบรมพนักงานทุกคนให้มีพฤติกรรมที่ดี เคารพกฎเกณฑ์ของหน่วยงาน เมื่อปฏิบัติไปนาน ๆ ก็จะ เคยชินกลายเป็นผู้มีวินัยด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ
ประโยชน์ของการทํากิจกรรม 5 ส. มีดังนี้
1 ทําให้สถานที่ทํางานสะอาดและมีระเบียบมากขึ้น
2 ทําให้การปฏิบัติงานมีความสะดวกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
3 ทุกคนทั้งภายในและภายนอกหน่วยงานสามารถเห็นการปรับปรุงได้ชัดเจน
4 ปลูกฝังให้พนักงานมีระเบียบวินัย
5 ทุกคนมีความภาคภูมิใจในความเป็นระเบียบเรียบร้อย
6 ทําให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในการปรับปรุงเรื่องอื่น ๆ ด้วย
7 เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน
8 ช่วยในการบํารุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ
9 ทําให้ภาพพจน์ของหน่วยงานดีขึ้น