การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 4100 หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)
1 ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การวิจัยในปัจจุบันได้รับอิทธิพลมาจากการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
(2) ความดี ความชั่ว ความสวย ความหล่อเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ
(3) การวิจัยคุณภาพคือการวิจัยที่เน้นรายละเอียดที่ถูกต้องมีคุณภาพ
(4) ความสูง 173 cm เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ
(5) Researcher คือผู้ที่ต้องการค้นหาคําตอบในเรื่องที่สงสัยด้วยการศึกษาอย่างเป็นระบบระเบียบ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ข้อที่ถูกต้องคือ
1 การวิจัยในปัจจุบันได้รับอิทธิพลมาจากการหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
2 ความดี ความชั่ว ความสวย ความหล่อ เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ
3 ความสูง 173 cm เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ
4 Researcher คือผู้ที่ต้องการค้นหาคําตอบในเรื่องที่สงสัยด้วยการศึกษาอย่างเป็นระบบระเบียบ
2 ตัวเลือกใดไม่ใช่ Scientific Method
(1) การสังเกต
(2) รวบรวมข้อมูล
(3) การใช้เหตุผล
(4) ทดลอง
(5) ทุกข้อคือ Scientific Method
ตอบ 4 เอกสารหมายเลข P-1100-1 หน้า 1 – 2, 18) วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1 การสังเกตและระบุปัญหา (Observation and Problem Identification/Problem Statement)
2 การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) เป็นการใช้เหตุผลหยั่งรู้คาดเดาคําตอบก่อนที่ผู้วิจัยจะสร้างเครื่องมือและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อพิสูจน์สมมุติฐาน
3 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) เช่น เก็บข้อมูลด้วยการสังเกต หรือจากสถิติ
4 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
5 การสรุปผล (Conclusion)
3 ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการวิจัย
(1) เพื่อบรรยาย
(2) เพื่ออธิบาย
(3) เพื่อทํานาย
(4) เพื่อควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ
(5) ทุกข้อเป็นเป้าหมายการวิจัย
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 4) เป้าหมายของการวิจัย มีดังนี้
1 เพื่อบรรยาย
2 เพื่ออธิบาย
3 เพื่อทํานาย
4 เพื่อควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ
4 การศึกษาปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบประชาธิปไตย ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เราเรียกว่าจุดมุ่งหมายของการศึกษาแบบนี้ว่าอะไร
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การอธิบาย
(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 21) จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่ออธิบาย เป็นการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน โดยอธิบายว่าตัวแปรใด เป็นสาเหตุให้เกิดผลตามที่มุ่งหวังไว้ เช่น การศึกษาปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบประชาธิปไตยว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เป็นต้น
5 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ
(1) เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม
(2) เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก
(3) ใช้หลักการทางสถิติ
(4) ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
(5) คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 5, 12) การวิจัยเชิงคุณภาพ มีลักษณะสําคัญดังนี้
1 เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม
2 เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก ซึ่งเป็นการเจาะจงเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษาเป็นกรณีศึกษา โดยที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนทั้งหมดได้
3 ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
4 คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย ฯลฯ
6 ข้อใดเป็นลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ
(1) เน้นที่การมองปรากฎการณ์ในภาพรวม
(2) เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก
(3) ใช้หลักการทางสถิติ
(4) ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
(5) คํานึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 12) การวิจัยเชิงปริมาณ มีลักษณะสําคัญดังนี้
1 เป็นการวิจัยที่เน้นข้อมูลตัวเลขเป็นหลัก ใช้หลักการทางสถิติ
2 ต้องการทดสอบทฤษฎี
3 มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
4 สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์ ฯลฯ
7 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ
(1) ต้องการทดสอบทฤษฎี
(2) เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข
(3) มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
(4) เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา
(5) สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ
8 ข้อใดเป็นลักษณะสําคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ
(1) ต้องการทดสอบทฤษฎี
(2) เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข
(3) มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
(4) เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา
(5) สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ตอบ 4 ตูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ
9 การเริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะซึ่งได้จากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ และนําไปสู่ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ เรียกว่าการแสวงหาความรู้แบบใด
(1) Inductive Reasoning
(2) Deductive Reasoning
(3) Positivism
(4) Anti – Positivism
(5) Rational Approach
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข F-4100-2 หน้า 13) เหตุผลเชิงอุปมาน (Inductive Reasoning) เป็นวิธีที่เริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะซึ่งได้จากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ศึกษา แลนําไปสู่ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ เป็นการหาจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนใหญ่ เช่น การวิจัยเชิงคุณภาพ
10 วิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์ทั่วไปและนําไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริง เรียกว่าอะไร
(1) Inductive Reasoning
(2) Deductive Reasoning
(3) Positivism
(4) Anti – Positivism
(5) Rational Approach
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 2-4100-2 หน้า 13) เหตุผลเชิงอนุมาน (Deductive Reasoning) เป็นวิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์หรือข้อเท็จจริงทั่วไป และนําไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงเป็นการหาจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย เช่น การวิจัยเชิงปริมาณ
11 ความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติและมนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) Inductive Reasoning
(2) Deductive Reasoning
(3) Positivism
(4) Anti – Positivism
(5) Rational Approach
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 13) ปฏิฐานนิยม (Positivism) ได้แก่แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยเชิงปริมาณเป็นเครื่องมือ โดยมีความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ และมนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
12 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเอง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล อยู่ภายใต้แนวคิดใด
(1) Inductive Reasoning
(2) Deductive Reasoning
(3) Positivism
(4) Anti – Positivism
(5) Rational Approach
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 14) กลุ่มคัดค้านปฏิฐานนิยม (Anti – Positivism)แบ่งเป็นกลุ่มปรัชญาได้หลายแบบ เช่น อัตภาวะนิยม (Existentialism) คือ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเอง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล เป็นต้น
13 การเข้าใจกฏต่าง ๆ ของธรรมชาติโดยนําหลักพื้นฐานที่มีอยู่มาประมวลให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุของปัญหา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) Inductive Reasoning
(2) Deductive Reasoning
(3) Positivism
(4) Anti – Positivism
(5) Rational Approach
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 14 – 15) แนวทางเชิงเหตุผล (Rational Approach) คือ การเข้าใจกฏต่าง ๆ ของธรรมชาติโดยนําหลักพื้นฐานที่มีอยู่มาประมวลให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุของปัญหา
14 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเอง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล เกี่ยวข้องกับเรื่องใด มากที่สุด
(1) Existentialism
(2) Phenomenology
(3) Ethnomethodology
(4) Symbolic Interactionism
(5) Empirical Approach
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12 ประกอบ
15 การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อการทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย
(2) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม
(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ
(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย
(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ เป็นการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อการทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่การพิสูจน์โดยรวบรวมข้อมูลมายืนยันตามสมมุติฐานที่กําหนด โดยเฉพาะการวิจัยเชิงปริมาณจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีสมมุติฐาน
16 การกําหนดวิธีการที่สัมพันธ์กับปัญหา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย
(2) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม
(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ
(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย
(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การเลือกรูปแบบการวิจัย เป็นการกําหนดวิธีการศึกษาที่สัมพันธ์กับปัญหา กรอบความคิด และเลือกวิธีการเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกับสมมุติฐาน โดยการเลือกรูปแบบการวิจัยต้องเลือกวิธีการศึกษาโดยกําหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทํา ตั้งแต่การเลือกตัวแปร การเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่จะตอบปัญหาการวิจัย
17 การกําหนดพื้นที่เป้าหมาย และกําหนดหน่วยในการศึกษา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย
(2) การสํารวจและการทบทวนวรรณกรรม
(3) การกําหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบ
(4) การเลือกรูปแบบการวิจัย
(5) การกําหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การกําหนดประชากร เป้าหมาย และการสุ่มตัวอย่างเป็นการกําหนดหน่วยที่ต้องการศึกษาหรือหน่วยที่ต้องการใช้ข้อมูล อาจเป็นคุณสมบัติของบุคคล กลุ่ม องค์การ สังคม หรือพื้นที่แล้วแต่เป้าหมายการวิจัย ซึ่งจะมีผลต่อการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งจะแตกต่างไปตามเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
18 การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูล เกี่ยวข้องกับ เรื่องใดมากที่สุด
(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
(4) การเขียนรายงานการวิจัย
(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัดคือ การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้
19 การสังเกต การสัมภาษณ์ และการออกแบบสอบถาม เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
(4) การเขียนรายงานการวิจัย
(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-q100-2 หน้า 17) การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นกระบวนการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบปัญหาการวิจัย ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ และการออกแบบสอบถาม
20 การเปรียบเทียบข้อมูลหรือการใช้สถิติ เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
(4) การเขียนรายงานการวิจัย
(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนําข้อมูลที่รวบรวมมาได้มาวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบพรรณนาหรือใช้สถิติเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่จะตอบปัญหาการวิจัย
21 การจัดทําแผนในการวิจัย เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
(4) การเขียนรายงานการวิจัย
(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 17) การเขียนรายงานการวิจัย เป็นการนําความรู้ที่ได้จากการศึกษามารวบรวมหรือเป็นการจัดทําแผนในการวิจัย และเขียนเป็นรายงานเพื่อเผยแพร่ความรู้ นวัตกรรมหรือข้อค้นพบใหม่ในวงวิชาการต่อไป
22 การเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการวิจัย เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การวิเคราะห์ข้อมูล
(4) การเขียนรายงานการวิจัย
(5) การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ
23 ความสนใจของผู้วิจัย เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) เพื่อบรรยาย
(3) เพื่ออธิบาย
(4) เพื่อทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) เพื่อตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 21) จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ เป็นการตั้งปัญหาในลักษณะที่ยังไม่มีผู้ศึกษามาก่อน และผู้วิจัยสนใจในการศึกษาโดยทําการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและจัดเป็นระบบ
24 เมื่อทราบความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ จากกรอบทฤษฎีผ่านการตรวจสอบความเป็นจริงจนแน่ใจว่าถูกต้องสามารถนําไปสรุปในเรื่องใดได้
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การอธิบาย
(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 21) จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการนําผลการศึกษาเพื่อทํานายอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยผลการศึกษาจะต้อง มาจากวิธีการอธิบาย เมื่อทราบความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ จากกรอบทฤษฎีและผ่านการตรวจสอบความเป็นจริงจนแน่ใจว่าถูกต้อง
25 การกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน เรียกว่าอะไร
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การอธิบาย
(4) การตั้งคําถามการวิจัย
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4 ประกอบ
26 การกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา เพื่อให้ผู้สนใจได้เห็นภาพตามลักษณะที่ผู้วิจัยกล่าวถึง เรียกว่าอะไร
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การอธิบาย
(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 21) จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อบรรยาย เป็นการกล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งที่ผู้วิจัยศึกษา เพื่อให้ผู้สนใจได้เห็นภาพตามลักษณะที่ผู้วิจัยกล่าวถึง เช่น การบรรยายลักษณะการปกครองของจังหวัดนนทบุรี โดยกล่าวถึงสภาพพื้นที่ ประชากร รูปแบบการปกครอง ปัญหาในการปกครอง เป็นต้น
27 การตั้งปัญหาในลักษณะที่ยังไม่มีผู้ศึกษามาก่อน และผู้วิจัยสนใจศึกษา โดยทําการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นและจัดเป็นระบบ เรียกว่าอะไร
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การอธิบาย
(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 23 ประกอบ
28 การกล่าวถึงลักษณะการปกครองของจังหวัดนนทบุรี โดยกล่าวถึงสภาพพื้นที่ ประชากร รูปแบบการปกครองและปัญหาในการปกครอง เรียกว่าอะไร
(1) การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
(2) การบรรยาย
(3) การวิพากษ์วิจารณ์
(4) การทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
(5) การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26 ประกอบ
29 การเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิตกับสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Variable
(2) Concept
(3) Hypothesis
(4) Attribute
(5) Measurement
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-C100-2 หน้า 25) มาตรวัด(Measurement) คือ กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้ หรือเป็นการเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิดกับสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้
30 แนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่า เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Variable
(2) Concept
(3) Hypothesis
(4) Attribute
(5) Measurement
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 57) ตัวแปร (Variable) หมายถึง แนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่า เช่น เพศ (แบ่งเป็นเพศชาย เพศหญิง), อาชีพ (แบ่งเป็นรับราชการ ธุรกิจส่วนตัว รับจ้าง) เป็นต้น
31 ชุดของตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันตามกรอบของทฤษฎี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Variable
(2) Concept
(3) Hypothesis
(4) Attribute
(5) Measurement
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 57) แนวคิด (Concept) หมายถึง ชุดของตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กันตามกรอบของทฤษฎี ภายใต้แนวคิดหนึ่ง ๆ จะประกอบไปด้วยตัวแปรต่าง ๆตามแต่ละสาขาวิชา
32 ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัย
(1) เพื่อบรรยาย
(2) เพื่ออธิบาย
(3) เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
(4) เพื่อการทํานาย
(5) เป็นจุดมุ่งหมายทุกข้อ
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-1100-2 หน้า 21) จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัย มีดังนี้
1 เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้
2 เพื่อบรรยาย
3 เพื่ออธิบาย
4 เพื่อทํานายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
33 ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย
(1) ความเป็นไปได้
(2) ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์
(3) ความสนใจของผู้วิจัย
(4) ความยากง่ายในการศึกษา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 22) หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย มีดังนี้
1 ความสําคัญของปัญหา
2 ความเป็นไปได้
3 ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์
4 ความสนใจของผู้ที่จะวิจัย
5 ความสามารถที่จะทําให้บรรลุผล
34 ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ มากําหนดความสัมพันธ์ เรียกว่า ปัญหาประเภทใด
(1) ปัญหาเชิงวิเคราะห์
(2) ปัญหาเชิงประจักษ์
(3) ปัญหาเชิงปทัสถาน
(4) ปัญหาเชิงสังเคราะห์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 22 – 23) ปัญหาเชิงประจักษ์ คือ ลักษณะของปัญหาที่จะต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่าง ๆ มากําหนดความสัมพันธ์
35 ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิด ความรู้ในเชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรืออ้างอิงจากแนวคิดทฤษฎี หรือนักวิชาการ เรียกว่าปัญหาประเภทใด
(1) ปัญหาเชิงวิเคราะห์
(2) ปัญหาเชิงประจักษ์
(3) ปัญหาเชิงปทัสถาน
(4) ปัญหาเชิงสังเคราะห์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 23) ปัญหาเชิงปทัสถาน คือ ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิด ความรู้เชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรือใช้การอ้างอิงจากตําราวิชาการ แนวคิดทฤษฎี ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ มายืนยันและตรวจสอบความถูกต้อง เช่น การศึกษารูปแบบทางการเมืองการปกครองที่ดีที่สุดในอุดมคติตามแนวจริยธรรมของนักวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น
36 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของคําว่า Research
(1) การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้พบข้อเท็จจริง หรือหลักการไปใช้ในการตั้งกฏ ทฤษฎีหรือแนวทางในการปฏิบัติ
(2) การค้นหาคําตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ
(3) กระบวนการในการแสวงหาความรู้โดยอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์
(4) การค้นหาสัจธรรมความจริงแท้ของโลก
(5) ทุกข้อไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของวิจัย
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 1, 18) การวิจัย (Research) คือ การศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ ข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้พบข้อเท็จจริง หรือหลักการไปใช้ในการตั้งกฏ ทฤษฎี หรือ แนวทางในการปฏิบัติ หรือการค้นหาคําตอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นกระบวนการในการแสวงหาความรู้โดยอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์
37 Positivism ได้รับอิทธิพลจากองค์ความรู้ใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) ภาษาศาสตร์
(2) เศรษฐศาสตร์
(3) ประวัติศาสตร์
(4) วิทยาศาสตร์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11 ประกอบ
38 คนใดไม่เกี่ยวข้องกับ Behavioralism
(1) David Easton
(2) Lucian Pye
(3) Charles Merriam
(4) Alexis de Tocqueville
(5) Harold Lasswell
ตอบ 3 หน้า 37 – 42, 61, (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 10 – 11)
การศึกษาแนวพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) มีลักษณะที่สําคัญดังนี้
1 ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และหลักวัตถุวิสัย (Objectivity) ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์
2 ใช้วิธีเชิงปริมาณและเทคนิคที่เคร่งครัดตายตัวในการวิเคราะห์ เช่น สถิติ
3 มุ่งสร้างทฤษฎีที่เป็นระบบและเป็นเชิงประจักษ์
4 แยกความจริงออกจากค่านิยม
5 มุ่งศึกษาพฤติกรรมของตัวบุคคลหรือกลุ่มมากกว่าสถาบันการเมือง
6 เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง และการตัดสินใจทางการเมือง
7 การศึกษาแบบ Unity of Science
8 นักวิชาการแนวนี้ ได้แก่ David Easton, Gabriel Almond ฯลฯ
39 ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ Positivism
(1) August Comte
(2) Vienna Circle
(3) Value – Free
(4) Empiricism
(5) ทุกข้อเกี่ยวข้องกับ Positivism
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 27 – 30) แนวคิดสํานักปฏิฐานนิยม (Positivism) มีลักษณะที่สําคัญดังนี้
1 เป็นแนวคิดประจักษ์นิยม (Empiricism)
2 ปราศจากคุณค่าเข้ามาเกี่ยวข้อง (Value – Free)
3 นักวิชาการแนวนี้ ได้แก่ August Comte, นักวิชาการกลุ่ม Vienna Circle ฯลฯ
40 Behavioralism เกี่ยวข้องกับตัวเลือกใดต่อไปนี้
(1) Sophist
(3) Aristotle
(4) Rousseau
(5) Unity
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ
41 Approach ใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับ Science น้อยที่สุด
(1) Behaviorism
(2) System Approach
(3) Developmental Approach
(4) Historical Approach
(5) Power Approach
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 46 – 58) แนวการวิเคราะห์หรือกรอบการวิเคราะห์(Approach) เป็นสิ่งที่สําคัญอย่างมากต่อการศึกษารัฐศาสตร์สมัยใหม่ หรือในการทําวิจัย ทางรัฐศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการหาความรู้แบบทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากกรอบ การวิเคราะห์เป็นตัวกําหนดมุมมองในการทําวิจัย การเก็บข้อมูล ออกแบบวิจัยแบบใด ซึ่งเปรียบได้ว่าแนวการวิเคราะห์ก็คือ เข็มทิศ หรือแผนที่ของการวิจัย เช่น
1 System Approach.
2 Developmental Approach
3 Historical Approach
4 Power Approach ฯลฯ
42 ตัวเลือกใดไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
(1) เป็นการศึกษาที่ต้องการค้นหาข้อเท็จจริง
(2) เป็นการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทํานายปรากฏการณ์
(3) เป็นการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปรากฏการณ์
(4) เป็นการศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อพรรณนาปรากฏการณ์
(5) ทุกข้อมีความเกี่ยวข้องกับการวิจัย
ตอบ 5 (เอกสาร์หมายเลข P-4100-1 หน้า 19 – 20, 60) จุดมุ่งหมายของการวิจัย มีดังนี้
1 เพื่อหาคําตอบเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ
2 เพื่อทํานายปรากฏการณ์
3 เพื่อศึกษาปรากฏการณ์
4 เพื่อพรรณนาปรากฏการณ์ (ดูคําอธิบายข้อ 36 ประกอบ)
43 การสังเกต คืออะไร
(1) การดูอย่างรอบด้าน
(2) การใช้จมูกดมกลิ่น
(3) การใช้หูรับฟัง
(4) การลิ้มรับรสสัมผัส
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-1100-1 หน้า 69 – 70) การสังเกต (Observation) คือ การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งเป็นวิธีเก็บข้อมูลแบบหนึ่งที่ผู้วิจัยออกไปรับรู้ โดยตรงจากปฏิกิริยา ท่าทาง หรือเหตุการณ์/ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง
44 ข้อใดไม่ผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย
(1) คัดบางส่วนของงานวิจัยอื่น ๆ ประมาณ 80% มาเขียนในงานวิจัยของตัวเองแต่มีการทําอ้างอิง
(2) เลือกที่จะนําเสนอข้อมูลเพื่อให้ผลออกมาตรงกับสมมุติฐาน
(3) ปรับผลงานวิจัยเพื่อจุดประสงค์ของนักวิจัยเอง
(4) นําข้อมูลส่วนตัวของผู้ให้ข้อมูลไปเปิดเผย
(5) ทุกข้อผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย
ตอบ 5 หน้า 81 ลักษณะของการกระทําที่ผิดจรรยาบรรณของนักวิจัย มีดังนี้
1 คัดบางส่วนของงานวิจัยอื่น ๆ ประมาณ 80% มาเขียนในงานวิจัยของตัวเองแต่มีการทําอ้างอิง
2 เลือกที่จะนําเสนอข้อมูลเพื่อให้ผลออกมาตรงกับสมมุติฐาน
3 ปรับผลงานวิจัยเพื่อจุดประสงค์ของนักวิจัยเอง
4 นําข้อมูลส่วนตัวของผู้ให้ข้อมูลไปเปิดเผย
45 ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของการศึกษาวิจัยทางรัฐศาสตร์แบบพฤติกรรมศาสตร์
(1) ศึกษาโครงสร้างและสถาบันการเมือง
(2) ทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) อธิบายถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติหรืออุดมคติทางการเมือง
(4) ให้คําแนะนําถึงสิ่งที่ควรกระทําแก่ผู้ปกครองหรือผู้บริหาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ
46 ตัวเลือกใดถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถนํามาใช้ได้จริงน้อยที่สุดในการวิจัยในทางรัฐศาสตร์
(1) ทดลอง
(2) ตั้งสมมุติฐาน
(3) กําหนดชื่อเรื่อง
(4) ทํารายงานการวิจัย
(5) สรุปผล
ตอบ 1 หน้า 78 79 ข้อจํากัดของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์ มีดังนี้
1 เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม
2 มีความซับซ้อนเกินกว่าจะทํานายได้
3 ไม่สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการได้
4 การสัมภาษณ์จากมนุษย์เชื่อถือไม่ได้ ฯลฯ
47 คําว่า “รัฐศาสตร์” ในภาษาไทย ใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมา
(1) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(2) กรมพระยาดํารงราชานุภาพ
(3) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(4) พระองค์เจ้าอาทิตย์ที่พลาภา
(5) พระองค์วรรณฯ ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 6) พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรกรมหมื่นนราทิปพงศ์ประพันธ์ หรือพระองค์วรรณฯ เป็นคนแรกที่บัญญัติคําว่า “รัฐศาสตร์”ขึ้นมาในภาษาไทย
48 Research Proposal คืออะไร
(1) รายงานการวิจัยก่อนที่จะเป็นฉบับสมบูรณ์
(2) ผลงานวิจัยอย่างไม่เป็นทางการ
(3) โครงร่างรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการวิจัย
(4) สัญญาระหว่างผู้วิจัยกับหน่วยงานที่ให้ทุนในการทําวิจัย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ไม่มีข้อใดถูก (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 73) โครงร่างการวิจัย (Research Proposal)คือ โครงร่างคร่าว ๆ ของนักวิจัยก่อนที่จะทําการวิจัย ซึ่งจะต้องนําเสนอเกี่ยวกับแผนการของเรื่องที่จะทําวิจัยไว้ล่วงหน้าในการทําวิจัยทุกครั้ง
49 อะไรต่อไปนี้ที่ไม่ควรมีในโครงร่างการวิจัย
(1) Reference
(2) Research Title
(3) Finding
(4) Problem Statement
(5) Review Literature
ตอบ 1, 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 73 – 74) โครงร่างการวิจัย ประกอบด้วย
1 ชื่อเรื่องในการวิจัย (Research Title)
2 ที่มาของปัญหาหรือสภาพปัญหา (Problem Statement)
3 คําถามในการวิจัย (Research Question)
4 วัตถุประสงค์ในการวิจัย (Objective)
5 สมมุติฐาน (Hypothesis)
6 การทบทวนวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย (Review Literature)
7 ขอบเขตของการวิจัย (Scope) ฯลฯ
ตั้งแต่ข้อ 50 – 55 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Research Question
(2) Review Literature
(3) Hypothesis
(4) Approach
(5) Objective
50 “สํารวจงานวิจัยต่าง ๆ ในอดีตว่าใครเคยใช้ทฤษฎีอธิบายเรื่องที่เราทําวิจัยไว้บ้าง” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกใด
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 22) การทบทวนวรรณกรรม (Review Literature)เป็นขั้นตอนที่นักวิจัยจะต้องทําเพื่อให้ทราบว่างานวิจัยในอดีตที่เกี่ยวข้องมีใครทําไว้แล้วบ้างและเป็นขั้นตอนที่จําเป็นต้องทําเพื่อสํารวจว่างานวิจัยของเราจะไม่ซ้ํากับใครด้วย
51 “เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกโด ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 47) แนวการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบหรือเค้าโครงทางความคิดอย่างกว้าง ๆ อันเป็นพื้นฐานในการพรรณนาความหรือการอธิบาย หรือการวิเคราะห์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ
52 “ปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการจะหาคําตอบ” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกใด
ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 57 – 59, 73, 83), (คําบรรยาย) คําถามหรือประเด็นปัญหาในการวิจัย (Research Question) หมายถึง คําถามที่ต้องการหาคําตอบจากปรากฏการณ์ที่ นํามาศึกษาวิจัย โดยจะต้องเป็นคําถามที่ยังไม่มีคําตอบ หรือเป็นคําถามที่ไม่สามารถหาคําตอบ ได้โดยง่าย หรือมีคําตอบแต่ยังไม่ชัดเจน ใช้คําถามปลายเปิดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ควรใช้ปลายปิด และจะต้องเป็นคําถามที่น่าสนใจที่จะหาคําตอบด้วย ซึ่งคําถามหรือประเด็นปัญหาในการวิจัยนี้ ถือเป็นสิ่งที่นักวิจัยจะต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนที่จะลงมือทําการวิจัยในขั้นตอนต่อ ๆ ไป ตัวอย่างเช่น การจัดสถาบันระหว่างรัฐและสังคมเปรียบเทียบก่อนและหลังนโยบายจํานําข้าว ปี พ.ศ. 2544 – 2545 มีลักษณะอย่างไร, การทํางานและปฏิบัติการของนโยบายจํานําข้าวใน ประกาศราคาที่สูงกว่าราคาตลาดภายใต้บริบทการเมืองและกระบวนการสร้างประชาธิปไตย หลังปี พ.ศ. 2544 มีลักษณะอย่างไร, รัฐบาลมีการจัดการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างไร ในช่วงวิกฤติการณ์เศรษฐกิจต้มยํากุ้ง เป็นต้น
53 “วัตถุประสงค์ของการวิจัย” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกใด
ตอบ 5 หน้า 97, 124 – 125, (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 60, 73, 82) จุดมุ่งหมายของการวิจัยหรือวัตถุประสงค์ (Objective) ของงานวิจัย หมายถึง เจตจํานงของนักวิจัยว่าต้องการ จะศึกษาเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งมักจะเขียนขึ้นต้นประโยคด้วยคําว่า “เพื่อ” แล้วตามด้วยข้อความที่ แสดงการกระทําในการวิจัยนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น เพื่อศึกษาการจัดสถาบันระหว่างรัฐและสังคม เปรียบเทียบก่อนและหลังนโยบายจํานําข้าวปี พ.ศ. 2544 – 2545, เพื่อสํารวจความพึงพอใจของประชาชนในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่นที่มีต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นต้น
54 “เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยกําหนดความคิดและมุมมองของนักวิจัยในการวิจัย” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกใด
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 57) สมมุติฐาน(Hypothesis) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบของทฤษฎีที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดขึ้น และรอการพิสูจน์ต่อไปซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยกําหนดความคิดและมุมมองของนักวิจัยในการวิจัย
55 “เป็นการป้องกันการทํางานวิจัยซ้ํา” ข้อความดังกล่าวนี้สัมพันธ์กับตัวเลือกใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50 ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 56 – 60 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Classical Period
(2) Institutional Period
(3) Transitional Period
(4) Behavioral Period
(5) Post – Behavioral Period
56 เป็นยุคที่ไม่มีการผูกขาดแนวการศึกษาไว้แบบใดแบบหนึ่งอีกต่อไป
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 11 – 12) ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (Post – Behavioral Period) เป็นยุคที่ไม่มีการผูกขาดแนวการศึกษาไว้แบบใดแบบหนึ่งอีกต่อไป
57 ในยุคหนึ่งที่นําแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยาตลอดจนสาขาความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบอื่น ๆ มาใช้ศึกษาการเมืองอย่างจริงจัง
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 2-4100-1 หน้า 10 – 11) ยุคพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Period) เป็นยุคที่นําแนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยาตลอดจนสาขาความรู้ทางวิทยาศาสตร์แบบอื่น ๆ มาใช้ ศึกษาการเมืองอย่างจริงจัง เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง และการตัดสินใจทางการเมือง ในยุคนี้รัฐศาสตร์ถูกเรียกว่า วิทยาศาสตร์การเมือง (Political Science)
58 ถ้าอยากจะเข้าใจการเมืองก็จําเป็นที่จะต้องพิจารณาที่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมนั้น ๆ
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 8 – 9) ยุคสถาบันนิยม (Institutional Period) เป็นยุคที่เน้นหนักเรื่องรัฐธรรมนูญ (Constitution) กฎหมายมหาชน (Public Law) รัฐสภา (Parliament) อย่างไรก็ดีแนวทางการศึกษาการเมืองในยุคนี้ก็ยังไม่ได้รับอิทธิพลมาจากวิทยาศาสตร์ ถ้าอยากจะเข้าใจการเมืองก็จําเป็นที่จะต้องพิจารณาที่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมนั้น ๆ
59 เป็นยุคที่เริ่มกรุยทางไปสู่ศักราชใหม่ของรัฐศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์การเมือง (Political Science)
ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 9) ยุคเปลี่ยนผ่านสู่รัฐศาสตร์สมัยใหม่ (Transitional Period) เป็นยุคที่เริ่มกรุยทางไปสู่ศักราชใหม่ของรัฐศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์การเมือง (Political Science)
60 เป็นยุคที่เน้นหนักเรื่องรัฐธรรมนูญ (Constitution) กฎหมายมหาชน (Public Law) รัฐสภา (Parliament)
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 58 ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 61 – 65 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Secondary Source
(2) Observatory Research
(3) Primary Source
(4) Pure Research
(5) Applied Research
61 บันทึกข้อความของนายกรัฐมนตรี คือหลักฐานประเภทอะไร
ตอบ 3 หน้า 191 หลักฐานชั้นต้น (Primary Source) ได้แก่ หลักฐานที่บันทึกโดยผู้เกี่ยวข้องโดยตรงหรือเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง เช่น บันทึกข้อความของนายกรัฐมนตรี บันทึกประจําวันจดหมายโต้ตอบ หนังสือราชการ เป็นต้น
62 การวิจัยที่ต้องการทราบเพียงแค่ว่านโยบายนั้นมีกระบวนการก่อตัวอย่างไร งานวิจัยประเภทนี้คือวิจัยประเภทอะไร
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข E-4100-1 หน้า 19) การวิจัยบริสุทธิ์ (Pure Research) เป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในทางวิชาการ เช่น การวิจัยที่ต้องการทราบเพียงแค่ว่านโยบายนั้นมีกระบวนการก่อตัวอย่างไร การวิจัยเรื่องความชอบธรรมของผู้ปกครอง เป็นต้น
63 การวิจัยที่ลงไปสังเกตการณ์เกี่ยวกับจํานวนผู้ประท้วง คือวิจัยประเภทอะไร
ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 20) การวิจัยเชิงการสังเกต (Observatory Research)เป็นการวิจัยที่เน้นผู้วิจัยเข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษา เช่นการวิจัยที่ลงไปสังเกตการณ์เกี่ยวกับจํานวนผู้ประท้วงของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เป็นต้น
64 วิจัยเพื่อแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยประเภทอะไร ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 19) การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อนําไปใช้ ได้แก่ วิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ หรือการวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน เช่น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งต้องการให้มีนักวิจัยศึกษาถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินทํากิน เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับคนในพื้นที่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น และ การวิจัยเชิงนโยบาย เช่น ต้องการทราบว่าระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวเพื่อนําเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
65 หนังสือที่มีความหรือวิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองไทย หนังสือดังกล่าวถือว่าเป็นหลักฐานประเภทอะไร
ตอบ 1 หน้า 191 หลักฐานชั้นรอง (Secondary Source) คือ หลักฐานที่มีผู้บันทึกจากปากคําของผู้ที่ผ่านเหตุการณ์จริงหรือมีผู้บอกเล่าอีกต่อหนึ่ง เช่น หนังสือที่มีความหรือวิเคราะห์เกี่ยวกับ เหตุการณ์ทางการเมืองไทย บันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในสายตาของนักเขียนที่ได้รวบรวมจากหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
66 ผู้ที่นําไปสู่ผู้ที่ให้ข้อมูลหลัก เราเรียกบุคคลดังกล่าวว่าอะไร
(1) Key People
(3) Key Informants
(4) Gate Keeper
(5) Key Men
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกหรือเชิงลึก (In-depth Interview) จัดเป็นการสัมภาษณ์ แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) ชนิดหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้กันมากในการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยนักวิจัยจะต้องเข้าไปทําความรู้จักคุ้นเคยกับ “ผู้ให้ข้อมูลหลัก” (Key Informants) ซึ่งจะเน้นการพูดคุยซักถามในประเด็นที่ลึกซึ้งของปรากฏการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลละเอียดลึกซึ้งหรือข้อมูลเชิงลึกจากผู้ให้สัมภาษณ์ในสนามวิจัย ทั้งนี้จะไม่มีการใช้ แบบสัมภาษณ์ แต่จะใช้วิธีการถามคําถามที่ได้จากคําตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์เจาะลึกลงไปเรื่อย ๆหรือที่เรียกว่า “Snowball Technique”
ตั้งแต่ข้อ 67 – 70 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Unit of Analysis
(2) Independent Variable
(3) Dependent Variable
(4) Intervening Variable
(5) Control Variable
67 “หน่วยในการศึกษาหรือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการจะศึกษา” สิ่งที่กล่าวถึงนี้ในทางการวิจัยเรียกว่าอะไร
ตอบ 1 หน้า 173, (คําบรรยาย) หน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) หรือหน่วยที่จะศึกษา(Unit of the Study) หมายถึง หน่วยของสิ่งที่นักวิจัยนําลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่ง ๆ นั้น มาวิเคราะห์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ระดับ คือ
1 ระดับบุคคล เช่น เพศ ระดับการศึกษา เป็นต้น
2 ระดับกลุ่ม
3 ระดับองค์การ เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัย เป็นต้น
4 ระดับพื้นที่ เช่น จังหวัด อําเภอ ตําบล หมู่บ้าน เป็นต้น
5 ระดับภูมิภาค เช่น ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
6 ระดับประเทศ เช่น ประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น
68 เป็นสิ่งแวดล้อมที่ผู้วิจัยต้องควบคุมให้เหมือนกันในกรณีที่ทําการศึกษาแบบเปรียบเทียบ สิ่งที่ควบคุมดังกล่าวในการวิจัยเรียกว่าอะไร
ตอบ 5 หน้า 130 ตัวแปรควบคุม (Control Variable) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ผู้วิจัยต้องควบคุมให้เหมือนกันในกรณีที่ทําการศึกษาแบบเปรียบเทียบ
69 เด็กชาย A ต้องการศึกษาว่า จํานวนของชั่วโมงในการเล่น Facebook มีผลต่อการสอบได้หรือสอบตกของนักศึกษาหรือไม่ จํานวนของชั่วโมงในการเล่น Facebook คือตัวแปรอะไร
ตอบ 2 หน้า 130, 154 – 155, (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 59)ตัวแปรที่ศึกษาวิจัยหรือตัวแปรที่ต้องการศึกษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรือตัวแปรต้นหรือตัวแปรเหตุ เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลหรือเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดตัวแปรตาม มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็น X เช่น ระดับการศึกษาที่สงผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน, ระดับความร้อนของเตารีดทําให้ผ้าสีดําซีด, สาเหตุที่ทําให้เกิดการคอร์รัปชั่นทางนโยบาย, จํานวนของชั่วโมงในการเล่น Facebookมีผลต่อการสอบได้หรือสอบตกของนักศึกษา เป็นต้น
2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) หรือตัวแปรผล เป็นตัวแปรที่มีการเปลี่ยนแปลงอันได้รับอิทธิพลหรือผลกระทบมาจากตัวแปรอิสระ มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็น Y เช่น ผลกระทบของโครงการรับจํานําข้าว, ผลกระทบของความขัดแย้งทางการเมือง, ผลกระทบ ของการคอร์รัปชั่นทางนโยบาย, การซื้อสิทธิ์ขายเสียงมีผลทําให้เกิดการคอร์รัปชั่นของ นักการเมือง, ความซีดของผ้าสีดําที่เกิดจากระดับความร้อนของเตารีด เป็นต้น
70 สิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของผู้วิจัย และส่งผลต่อการวิจัยที่ทําให้ผลลัพธ์มีความแตกต่างกันออกไป
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตัวแปรที่ไม่ได้ศึกษาวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 ตัวแปรแทรกหรือตัวแปรคั่นกลาง (Intervening Variable) เป็นตัวแปรที่นักวิจัยไม่ได้ตั้งใจศึกษา แต่มีผลต่อตัวแปรตามโดยนักวิจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อุณหภูมินอกห้องทํางาน, การใช้นโยบายแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท หรือการใช้นโยบายเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต้น เป็น 15,000 บาท มีผลให้เกิดสินค้าราคาแพง เป็นต้น
2 ตัวแปรภายนอก (Extraneous Variable) เป็นตัวแปรที่นักวิจัยไม่ได้ตั้งใจศึกษา แต่มีผลต่อตัวแปรตามโดยนักวิจัยสามารถควบคุมได้ เช่น อุณหภูมิในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
71 ตัวเลือกใดไม่ใช่ Scientific Method
(1) การใช้ประสาทสัมผัสที่ 6
(2) การตั้งสมมุติฐาน
(3) การใช้เครื่องมือทางสถิติ
(4) การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต
(5) ทุกข้อคือ Scientific Method
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2 ประกอบ
72 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีของเครื่องมือการวิจัย
(1) Validity
(2) Reliability
(3) Discriminative
(4) Equality
(5) ทุกข้อคือคุณสมบัติที่ดีของเครื่องมือการวิจัย
ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข P-4100-2 หน้า 77 – 80), (คําบรรยาย) คุณสมบัติที่ดีของเครื่องมือการวิจัยมีดังนี้
1 Validity (ความเที่ยงตรงหรือความแม่นตรง)
2 Reliability (ความเชื่อถือได้)
3 Discriminative (การแยกแยะจําแนก)
4 Equality (ความเท่าเทียมสม่ำเสมอคงเส้นคงวา)
73 ข้อใดคือประโยชน์ของการทราบขอบข่ายและแนวทางของการศึกษารัฐศาสตร์ก่อนที่จะศึกษาถึงการวิจัย ทางรัฐศาสตร์
(1) เพื่อให้ทราบว่ารัฐศาสตร์คืออะไร
(2) เพื่อช่วยในการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
(3) เพื่อช่วยให้เลือกวิธีการที่เหมาะสมได้
(4) เพื่อช่วยให้ประเมินจุดดีจุดด้อยของงานวิจัย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 3 – 4 ประโยชน์ของการทราบขอบข่ายและแนวทางของการศึกษารัฐศาสตร์ก่อนที่จะศึกษาถึงการวิจัยทางรัฐศาสตร์ มีดังนี้
1 เพื่อให้ทราบว่ารัฐศาสตร์คืออะไร
2 เพื่อช่วยในการกําหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
3 เพื่อช่วยให้เลือกวิธีการที่เหมาะสมได้
4 เพื่อช่วยให้ประเมินจุดดีจุดด้อยของงานวิจัย
74 ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) Empirical Political Theory ได้มาจากการใช้เหตุผล
(2) Law คือทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์
(3) Hypothesis ไม่จําเป็นต้องถูกเสมอ
(4) Normative Theory อิงอยู่กับวิธีการแบบวิทยาศาสตร์
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูกทั้งสองข้อ
ตอบ 5 หน้า 139 – 140, (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 2,7 – 12, 23) ข้อที่ถูกต้อง คือ
1 Empirical Political Theory ได้มาจากการใช้เหตุผลในการศึกษาเกี่ยวกับการเมือง
2 Law คือ ทฤษฎีที่ได้รับการพิสูจน์ยืนยันหรือทดสอบจนเชื่อถือได้แล้ว
3 Hypothesis คือ ทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากการทดสอบนั้น ซึ่งเป็นการคาดเดาล่วงหน้าไม่จําเป็นต้องถูกเสมอ
4 Normative Theory ไม่ได้อิงอยู่กับวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ แต่อิงอยู่กับคุณค่าหลักปฏิบัติการเสนอแนะ เช่น การเมืองที่ดีควรจะเป็นอย่างไร
75 ข้อใดไม่ใช่การแบ่งประเภทการวิจัยตามวิธีการเก็บข้อมูล
(1) Documentary Research
(2) Survey Research
(3) Experimental Research
(4) Case Study
(5) ทุกข้อคือการแบ่งประเภทการวิจัยตามวิธีการ
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 20) การแบ่งประเภทการวิจัยตามวิธีเก็บข้อมูลมี 4 ประเภท ดังนี้
1 การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research)
2 การวิจัยเชิงสังเกต (Observatory Research)
3 การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research)
4 การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research)
76 ข้อใดต่อไปนี้เป็นวัตถุประสงค์ของการเขียนรายงานการวิจัย
(1) การแสดงความสามารถอันโดดเด่นของนักวิจัย
(2) การแสดงอาณาเขตของงานวิจัยเพื่อมิให้ผู้อื่นทําหัวข้อคล้ายกัน
(3) การจับจองพื้นที่ของประเด็นที่ทําการศึกษา
(4) การป้องกันผู้อื่นนําไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ
(5) การเผยแพร่นวัตกรรมหรือข้อค้นพบใหม่ในวงวิชาการ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21 ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 77- 82 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
(2) รายงานการวิจัยฉบับสั้น
(3) บทความการวิจัยลงพิมพ์ในวารสาร
(4) บทความพิเศษตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์
(5) รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย
77 รายงานการวิจัยฉบับใดเป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการเขียนรายงานทั้งหมด
ตอบ 1 หน้า 319 – 320, (คําบรรยาย) รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เป็นรายงานโดยละเอียดมีรูปแบบเคร่งครัด ส่วนใหญ่ใช้ศัพท์ทางวิชาการ เป็นการนําเสนอที่ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ จนพิมพ์ออกมา เป็นรูปเล่มสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีบรรณานุกรมหรือรายการอ้างอิงที่ต้องปรากฏเสมอในรายงานวิจัย รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์นี้ประกอบไปด้วย ส่วนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้าย มักมีความ ยาวประมาณ 50 หน้ากระดาษ A4 ซึ่งเป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการเขียนรายงานทั้งหมด
78 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักมีความยาวอยู่ระหว่าง 15 – 25 หน้ากระดาษ A4
ตอบ 3 หน้า 80, 325, (คําบรรยาย) บทความการวิจัยลงพิมพ์ในวารสาร เป็นรายงานการวิจัยที่มักมีความยาวอยู่ระหว่าง 15 – 25 หน้ากระดาษ A4
79 รายงานการวิจัยประเภทใดที่ผู้วิจัยมักมีเป้าหมายเพื่อรายงานผลการวิจัยแก่ผู้ให้ทุน หรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะ ๆ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย เป็นรายงานการวิจัยที่ผู้วิจัยมักมีเป้าหมายเพื่อรายงานผลการวิจัยแก่ผู้ที่ให้ทุน หรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะ ๆ มักจะเขียนขึ้นใน ขณะที่งานวิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งอาจมีเฉพาะส่วนที่ว่าด้วยหลักการ เหตุผลและวิธีการ และอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยก็ได้ หรือมีผลการวิจัยแล้วแต่เป็นผลการวิจัยเบื้องต้น
80 รายงานการวิจัยประเภทใดประกอบไปด้วย ส่วนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนท้าย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ
81 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักมีความยาวประมาณ 50 หน้ากระดาษ A4
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77 ประกอบ
82 รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักจะเขียนขึ้นในขณะที่งานวิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 79 ประกอบ
83 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัย
(1) ปกหลักจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโครงการวิจัย
(2) รายละเอียดที่ปรากฏบนปกในต้องมีความแตกต่างจากปกหลักเพื่อมิให้ซ้ำซ้อน
(3) ในกรณีของงานวิทยานิพนธ์ หน้าอนุมัติอาจจะมีหรือไม่มีก็ได้
(4) บทคัดย่อควรทําเป็นสองภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
(5) สารบัญเนื้อหาและสารบัญรูปภาพไม่จําเป็นต้องแยกออกมาจากกัน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) บทคัดย่อ (Abstract) มีลักษณะดังนี้
1 บทคัดย่อช่วยให้ผู้อ่านทราบสาระสังเขปของงานวิจัยทั้งหมดโดยไม่ต้องอ่านทั้งหมด
2 บทคัดย่อที่ดีควรแสดงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้มีความครบถ้วนชัดเจน 3 บทคัดย่อควรทําเป็นสองภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
4 ควรมีความยาวไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4
ตั้งแต่ข้อ 84 – 90 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) บทที่ 1
(2) บทที่ 2
(3) บทที่ 3
(4) บทที่ 4
(5) บทที่ 5
84 ผลการวิจัยที่ผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาและรวบรวมมา ควรปรากฏอยู่ในบทใด
ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข P-4100-1 หน้า 110 – 111)การเขียนรายงานการวิจัยในส่วนเนื้อเรื่อง โดยทั่วไปประกอบด้วยเนื้อหา 5 บท ดังนี้
1 บทที่ 1 บทนํา ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา วัตถุประสงค์สมมุติฐานในการวิจัย ขอบเขต ข้อจํากัด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับและนิยามศัพท์ที่ใช้ ในการวิจัย
2 บทที่ 2 กรอบแนวคิด ทฤษฎี วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3 บทที่ 3 วิธีการ/ระเบียบวิธี (Methodology) ที่ใช้ในการวิจัยหรือระเบียบวิธีวิจัยประกอบด้วย ประเภทการวิจัย ประชากร (Population) กลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและวิธีการรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล
4 บทที่ 4 ผลการวิจัยหรือผลการวิเคราะห์ข้อมูล
5 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ
85 การทบทวนเอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ควรปรากฏอยู่ในบทใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
86 วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน ขอบเขต และข้อจํากัดของงานวิจัย ควรปรากฏอยู่ในบทใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
87 หากนักศึกษาต้องการอธิบายถึงขั้นตอนในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษาควรรายงานไว้ในบทใด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
88 การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะจากการวิจัย ควรปรากฏอยู่ในบทใด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
89 หากอาจารย์ถามนักศึกษาว่า “งานวิจัยฉบับนี้มีความสําคัญอย่างไร เพราะเหตุใดนักศึกษาต้องศึกษาและใช้เวลาในการทํางานวิจัยฉบับนี้ขึ้นมา…” นักศึกษาจะให้อาจารย์ท่านนั้นไปอ่านงานวิจัยบทใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
90 หากนายภพธรอยากทราบว่า เพราะเหตุใดผลงานวิจัยที่คุณไปรยาได้ทํานั้น จึงได้ผลการศึกษาที่แตกต่างจากงานวิจัยของผู้ที่ทําไว้ก่อนหน้านี้แล้ว นายภพธรควรศึกษาที่งานวิจัยบทใดของคุณไปรยา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ
91 การเรียงงานวิจัยตามรายชื่อบุคคลหรือปีที่มีการเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆ เรียกว่าอะไร
(1) ขนมเปียกปูน
(3) ขนมสาลี
(4) ขนมปัง
(5) ขนมปั้นสิบ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การเรียงงานวิจัยตามรายชื่อบุคคลหรือปีที่มีการเผยแพร่ต่อ ๆ กันไปเรื่อย ๆเรียกว่า ขนมชั้น หรือคอนโดงานวิจัย
92 หากนายเอกมัยต้องการทราบว่า นายหมอชิดไปทําการคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาหรือไม่ นายเอกมัยต้องใช้โปรแกรมใดในการตรวจสอบผลงานของนายหมอชิด
(1) Turn it down
(2) Turn it up
(3) อักขราวิสุทธิ์
(4) อักขราบริสุทธิ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ใช้ในการตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการตรวจสอบงานเขียนเพื่อค้นหาข้อความที่อาจจะเป็นการลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่น
93 ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย”
(1) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Thai – Journal Citation Index หรือ TCI (2) ทําหน้าที่คํานวณและรายงานคํา Journal Impact Factors ของวารสารวิชาการไทย
(3) ดําเนินการจัดวารสารวิชาการออกเป็น 4 กลุ่ม
(4) วารสารในกลุ่มที่ 1 จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index ต่อไป
(5) ทําการวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อนําไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยไทยในเวทีนานาชาติ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ข้อที่ถูกต้อง คือ
1 ชื่อภาษาอังกฤษคือ Thai – Journal Citation Index หรือ TCI 2 ทําหน้าที่คํานวณและรายงานคํา journal Impact Factors ของวารสารวิชาการไทย
3 ดําเนินการจัดวารสารวิชาการออกเป็น 3 กลุ่ม
4 วารสารในกลุ่มที่ 1 จะถูกคัดเลือกเข้าสู่ฐานข้อมูล ASEAN Citation Index ต่อไป
5 ทําการวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อนําไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยไทยในเวทีนานาชาติ
94 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเขียนบทคัดย่อ (Abstract)
(1) บทคัดย่อที่ดีควรทําเป็นภาษาเดียวเท่านั้น
(2) เป้าหมายหลักของการเขียนบทคัดย่อคือการนําไปใช้ในการบริหารงาน (3) บทคัดย่อที่ดีควรมีความยาวมากกว่า 5 หน้าขึ้นไป
(4) บทคัดย่อที่ดีควรแสดงวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้มีความครบถ้วนชัดเจน (5) บทคัดย่อที่ดีไม่ควรแสดงผลการศึกษาเนื่องจากผู้อ่านจะไม่อยากติดตามอ่านต่อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 83 ประกอบ
95 ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเขียนบทสรุปสําหรับผู้บริหาร (Executive Summary)
(1) เป้าหมายหลักของการเขียนบทคัดย่อคือการนําไปใช้ในการบริหารงาน (2) ไม่ควรระบุสิ่งที่ไม่ปรากฏในเนื้อเรื่องและนําเอาชื่อเรื่องมากล่าวซ้ำ
(3) ควรรักษาบทสรุปสําหรับผู้บริหารให้มีความยาวไม่เกิน 3 – 5 หน้ากระดาษ A4
(4) ต้องไม่ปรากฏรูปภาพและตารางใด ๆ ในบทสรุปสําหรับผู้บริหาร
(5) ต้องไม่ปรากฏบัญชีรายชื่อและเอกสารอ้างอิงในบทสรุปสําหรับผู้บริหาร
ตอบ 4 (คําบรรยาย) บทสรุปสําหรับผู้บริหาร (Executive Summary) มีลักษณะดังนี้
1 เป็นข้อความโดยสรุปจากรายงานการวิจัยที่กะทัดรัด ชัดเจน และครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด
2 ช่วยประหยัดเวลาของผู้บริหารในการทราบถึงสาระสังเขปของงานวิจัยทั้งหมด
3 ต้องไม่ปรากฏบัญชีรายชื่อและเอกสารอ้างอิง
4 ควรรักษาความยาวให้อยู่ระหว่าง 3 – 5 หน้ากระดาษ A4
5 เป้าหมายหลักของการเขียนบทคัดย่อคือการนําไปใช้ในการบริหารงาน
96 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่เทคนิคการเขียนรายงานการวิจัย
(1) ความถูกต้อง
(2) ความกํากวมระมัดระวัง
(3) การอ้างอิง
(4) ถ้อยคําสุภาพ
(5) ความตรงประเด็น
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เทคนิคในการเขียนรายงานการวิจัย มีดังนี้
1 ความเป็นเอกภาพและกลมกลืน
2 ความตรงประเด็น กะทัดรัด
3 ความสํารวมระมัดระวังถ้อยคําสุภาพ และภาษาที่ใช้
4 ความชัดเจน และความต่อเนื่อง
5 ความถูกต้อง
6 การอ้างอิง ฯลฯ
97 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ควรปรากฏอยู่ในการนําเสนอผลงานวิจัยด้วยโปสเตอร์
(1) ชื่อเรื่อง
(2) ภาคผนวก
(3) บทนําและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
(4) วิธีดําเนินการวิจัย
(5) ผลการวิจัย
ตอบ 2 (คําบรรยาย) องค์ประกอบที่จําเป็นของการนําเสนองานวิจัยในรูปแบบโปสเตอร์ มีดังนี้
1 ชื่อเรื่อง
2 บทคัดย่อ
3 บทนําและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
4 ผลการวิจัย
98 คําใดต่อไปนี้หมายถึง “การนําเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา”
(1) Oral Presentation
(2) Mouth Presentation
(3) Speaking Presentation
(4) Talking Presentation
(5) Poster Presentation
ตอบ 1 หน้า 320, (คําบรรยาย) การนําเสนองานวิจัยด้วยวาจา (Oral Presentation) เป็นการรายงานข้อค้นพบจากการวิจัยและข้อเสนอแนะด้วยวาจาต่อที่ประชุม และนําเสนอ ไม่มีรูปแบบที่เคร่งครัด ความยาวไม่มากเกินไป ซึ่งผู้วิจัยควรเตรียมตัวนําเสนอเฉพาะช่วงที่นําเสนอเท่านั้นเพื่อความสมจริง อาจนําเสนอด้วยแบบสไลด์หรือ Power Point ก็ได้ ตั้งแต่ข้อ
99 – 100 จงเลือกคําตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ
(2) งานวิจัยเชิงนโยบาย
(3) งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
(4) งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน
(5) งานวิจัยเชิงวัฒนธรรม
99 อาจารย์แจ๊สต้องการทราบว่า ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวเพื่อนําเสนอต่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ งานวิจัยของอาจารย์แจ๊สจัดเป็นงานวิจัยประเภทใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 64 ประกอบ
100 ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษต้องการให้มีนักวิจัยศึกษาถึงกระบวนการแก้ไขปัญหาสิทธิในที่ดินทํากินเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับคนในพื้นที่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น งานวิจัยดังกล่าว จัดเป็นงานวิจัยประเภทใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 64 ประกอบ