การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3313 การบริหารการพัฒนา
———————————————————————-
คำสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ

ข้อ 1. จงอธิบายถึงจุดกำเนิดและความเป็นมาของกระแสแนวคิดการบริหารการพัฒนา ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การผลักดันของประเทศมหาอำนาจและองค์กรระหว่างประเทศที่เข้ามามีบทบาทในช่วงเวลานั้น มาโดยละเอียด

Advertisement

แนวคำตอบ

จุดกำเนิดและความเป็นมา

กระแสแนวคิดเรื่องการบริหารการพัฒนาถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 18 จากผลงานของนักคิดชื่อ อดัม สมิธ (Adam Smith) และอดัม เฟอร์กูสัน (Adam Ferguson) และเริ่มมีการเผยแพร่อย่างมากในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากภายหลังสงครามฯ พบว่าประเทศในแถบยุโรปส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม ส่งผลให้สภาพความเป็นอยู่และสภาวะทางเศรษฐกิจเลวร้ายลงอย่างมาก สหรัฐอเมริกาจึงได้เข้าไปมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือประเทศยุโรปให้ฟื้นตัวจากสภาพสงครามและการพัฒนาประเทศ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การยกระดับภาวะทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น โดยกำหนดแผนมาร์แชล (Marshall Plan) ขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุน ด้านทรัพยากรและด้านเทคโนโลยี โดยเป็นการช่วยเหลือที่ยึดหลักการของการช่วยเหลือตนเองและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นกระบวนการในการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมโดยอาศัยความร่วมมือร่วมใจกัน อย่างไรก็ตามแนวทางในการแก้ไขปัญหาการไม่พัฒนาในประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา ได้นำเสนอแนวทางในการพัฒนาตามรูปแบบของอเมริกา เพื่อสร้างภาวะทันสมัยให้กับระบบบริหารและนำไปสู่การพัฒนาในที่สุด

จากการนำเสนอของนักวิชาการนั้นสะท้อนให้เห็นได้ว่า การบริหารการพัฒนาเป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการบริหารนโยบาย แผนงาน และโครงการ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนา ดังจะเห็นได้จากการบริหารโครงการพัฒนาการพัฒนาเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม การพัฒนาทางการเมือง ซึ่งกลไกในการบริหารการพัฒนามักเริ่มต้นจากการพัฒนาระบบบริหารราชการ หรือการพัฒนาการบริหาร (Administration Development) เพื่อสร้างกลไกการบริหารและพัฒนาที่ดี โดยมุ่งเน้นการปฏิรูปทั้งในส่วนของโครงสร้าง กระบวนการ และพฤติกรรม ตัวอย่างเช่น การปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ การปฏิรูประบบการศึกษา การปฏิรูปการเมือง เป็นต้น ซึ่งกลไกการบริหารและพัฒนาที่ดีและมีคุณภาพจะผลักดันให้เกิดการบริหารการพัฒนา (Development Administration) ในโครงการบริหารการพัฒนาทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองได้เป็นอย่างดี จนนำไปสู่การพัฒนาประเทศ (Nations Development) ผลลัพธ์จากการบริหารการพัฒนาจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศในส่วนรวม ซึ่งปรากฏให้เห็นถึงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความกินดีอยู่สุขของประชาชน และการเมืองที่มีเสถียรภาพ

นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนา โดยเป็นการร่วมมือกับประเทศยุโรปอื่น ๆ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย รวมทั้งธนาคารโลกและมูลนิธิฟอร์ด (Ford Foundation) และมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation) ก็มีส่วนให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ โดยเริ่มจากกลุ่มการบริหารเปรียบเทียบ (Comparative Administration Group) หรือ CAG นักวิชาการกลุ่มนี้มีความสนใจศึกษาถึงระบบบริหารการพัฒนาของกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา เพื่อหาข้อสรุปถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาการไม่พัฒนาในประเทศกลุ่มดังกล่าว

จากการศึกษาการบริหารการพัฒนาได้มีนักวิชาการหลายท่านพยายามให้ข้อสังเกตความแตกต่างของลักษณะดังกล่าว อาทิเช่น เอ็ดเวิร์ด ไวด์เนอร์ (Edward W. Weidner) และซอล แคทซ์ (Saul M. Katz) ฯลฯ โดยจากการประมวลแนวความคิดของนักวิชาการในการพิจารณา “การพัฒนา” พบลักษณะเด่นในหลายประการโดยสรุปได้ดังนี้

1. มีลักษณะเป็นพลวัต (Dynamics) การพัฒนามีลักษณะของการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง
2. มีลักษณะของการเจริญเติบโต (Growth) เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งในส่วนของปริมาณและคุณภาพ
3. มีลักษณะของความก้าวหน้า (Progress) เป็นเรื่องของการเกิดสิ่งที่ดีขึ้น สร้างสรรค์
4. มีลักษณะของการเปลี่ยนแปลงด้วยความตั้งใจ (Deliberate) เป็นการเปลี่ยนแปลงด้วยความตั้งใจให้ประสบผลสำเร็จ เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
5. มีลักษณะของการเปลี่ยนแปลงโดยคำนึงถึงศักยภาพของมนุษย์ (Capacity)

แนวคิดการบริหารการพัฒนา

Edward W. Weidner ได้กล่าวถึงการบริหารการพัฒนาว่าเป็นโครงการเปลี่ยนแปลงโดยมีการวางแผนไว้แล้ว (Program of Planned Change) จึงควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงว่ามีอยู่ 3 ชนิด คือ

1. การเจริญเติบโต (Growth) เป็นการเปลี่ยนแปลงความสามารถของคุณสมบัติในตัวของผู้กระทำเอง อาจจำกัดความหมายได้ว่า การเจริญเติบโต คือ การเปลี่ยนแปลงในระดับของการกระทำการ เช่น การหมั่นดูแลรักษาให้พืชเติบโตแข็งแรงมีเมล็ดมากขึ้น ทำให้ผลผลิตส่วนรวมมากขึ้น หรือเด็กได้รับการเลี้ยงดูให้ตัวโตขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น หรือเดิมมนุษย์ใช้รถม้าในการคมนาคมขนส่งไปมาถึงกัน เมื่อมีการปรับปรุงตัวรถให้ดีขึ้น บำรุงม้าให้แข็งแรงก็เป็นผลให้สามารถขนส่งได้เร็วขึ้น

2. การพัฒนา (Development) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ตัวกระทำการเสียเองอาจให้คำนิยามได้ว่า การพัฒนา คือ การเปลี่ยนแปลงระบบที่การกระทำ (Development is Changes in the System which Performs) ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงใช้พันธุ์พืชที่ดีขึ้นกว่าเดิม ย่อมทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยวิธีการพัฒนาพันธุ์ หรือการที่ทารกเปลี่ยนแปลงจากท่านอนเป็นท่าคว่ำได้ จากคว่ำมาเป็นคืบ เป็นคลาน จากนั่งเป็นยืน จากยืนเป็นเดิน เป็นวิ่งได้ เรียกว่าเด็กพัฒนา (Child Development) เพราะเด็กสามารถใช้แขน ขา แทนที่จะนอนได้เพียงอย่างเดียว หรือการที่มนุษย์ต้องการสื่อสารคมนาคมให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้คิดเครื่องจักรไอน้ำซึ่งนำมาใช้เป็นรถไฟ เป็นรถยนต์ เป็นเครื่องบินมีใบพัด เป็นเครื่องบินไอพ่น จนกระทั่งเป็นจรวดยานอวกาศ ล้วนแต่เป็นการพัฒนาทางการขนส่งทั้งสิ้น เป็นต้น

3. การแปลงรูป (Transformation) เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของตัวกระทำการอาจกำหนดความหมายได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ (Transformation is Changes in Environmental Factors) ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีใช้ดินในการปลูกพืชจากไม่เคยใช้ปุ๋ยมาใช้ปุ๋ย มีการยกร่องให้ ฯลฯ ซึ่งทำให้ได้ผลทางการเกษตรเพิ่มขึ้น หรืออาจจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความสามารถของเด็กได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงวิธีเลี้ยงดูหรือให้การศึกษา หรือในกรณีการคมนาคมขนส่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงที่รถยนต์ แต่เปลี่ยนแปลงที่ตัวถนนหนทางให้มีถนนดี ๆ เพิ่มขึ้น พื้นเรียบขึ้น กว้างขึ้น และสามารถไปถึงหัวเมืองต่าง ๆ มากขึ้น

กระบวนการแปลงรูปมีปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมซึ่งอาจพิจารณานำมาเปลี่ยนแปลงได้หลายประการ ได้แก่
1) สภาพภูมิศาสตร์ อาจมีผลต่อการแปลงรูปได้โดยการรู้จักใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์ ปลูกพืชหรือทำเหมืองแร่ หรือผลิตผลอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์ที่มีอยู่ หากไม่เหมาะสมก็แปลงรูปเสียได้ เช่น สร้างเขื่อนเพื่อการชลประทานหรือเพื่อพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น
2) ภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยทางสภาพแวดล้อมที่สำคัญ เพราะมีผลกระทบกระเทือนต่อการเมืองโดยตรง
3) ภาวะประชากรกับการใช้ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญเพราะอาจมีลู่ทางนำประชากรมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้มาก
4) สภาพแวดล้อมทางจิตใจและทางวัฒนธรรม ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ในสังคม หากมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางจิตใจและวัฒนธรรมบางอย่างแล้ว ก็อาจมีผลให้เกิดความเจริญก้าวหน้าได้มาก

กระบวนการเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ชนิด คือ ความเจริญเติบโต การพัฒนา และการแปลงรูปต่างมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกัน เพราะแต่ละอย่างจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางเจริญก้าวหน้าด้วยกันทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การเกษตรอาจทำได้โดยการหมั่นดูแลรักษา การเปลี่ยนแปลงพันธุ์ให้ดีกว่า และการเปลี่ยนแปลงสภาพของดินที่ใช้ปลูกพืชโดยการยกร่อง ใส่ปุ๋ย ฯลฯ หรือความเติบโตทางเศรษฐกิจย่อมมีผลกระทบกระเทือนภาวะแวดล้อมให้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความเติบโตยิ่งขึ้นอีก ในทำนองเดียวกันการพัฒนาอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมซึ่งอาจส่งเสริมหรือถ่วงการพัฒนา เช่น การเปลี่ยนพันธุ์ข้าวโพดอาจมีผลให้ท้องถิ่นที่ซึ่งเคยปลูกข้าวโพดพันธุ์เก่าได้ดีเสียไป เท่ากับลดปริมาณผลิตพันธุ์เก่า แต่ปริมาณผลิตของพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นเพราะแต่เดิมไม่เคยปลูก เป็นต้น

ในระยะเวลา 40 กว่าปีที่ผ่านมา แวดวงการศึกษาสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ดูจะให้ความสนใจในการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการด้อยพัฒนาในประเทศโลกที่สาม ความคึกคักในแวดวงวิชาการดูได้จากการนำเสนอถึงแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศได้มีการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย และการนำเสนอผลงานทางวิชาการอย่างมากมาย โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้

กระแสแนวคิดของกลุ่ม Marxism
แนวคิดของกลุ่มนี้เป็นแนวคิดการพัฒนาของกลุ่มประเทศสังคมนิยม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงตอนปลายทศวรรษที่ 1960 จากผลงานของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ปัญหาการพัฒนาในยุโรปตะวันตก โดยสรุปลักษณะสำคัญของความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาของมาร์กซิสต์ดังต่อไปนี้

1. ทฤษฎีของมาร์กซิสต์ เริ่มด้วยการเปลี่ยนมโนทัศน์ที่ว่า “มิใช่จิตสำนึกที่เป็นตัวกำหนดสภาพความเป็นอยู่ของเขา แต่สภาพความเป็นอยู่ของเขาเป็นตัวกำหนดจิตสำนึก” ดังนั้นพลังการผลิต (แรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และความรู้วิทยาศาสตร์ เทคนิคต่าง ๆ) จะมีความสอดคล้องกับสภาพความสัมพันธ์ในสังคม (แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจนในส่วนของระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ) และก่อให้เกิดความขัดแย้งของชนชั้นทางสังคมระหว่างชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ เนื่องจากการเอารัดเอาเปรียบของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ

2. พลังการพัฒนา เป็นการเปลี่ยนแปลงพลังการผลิต อันได้แก่ การเพิ่มทักษะทางด้านแรงงาน การค้นพบทรัพยากรธรรมชาติใหม่ ฯลฯ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า การพัฒนาพลังการผลิตไม่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ มักพบว่าชนชั้นกรรมาชีพซึ่งถือเป็นพลังการผลิตมักถูกเอารัดเอาเปรียบและขูดรีดแรงงานมากกว่าการให้โอกาสการพัฒนา

3. การเปลี่ยนแปลงเป็นการเคลื่อนไหวจากสถานภาพที่ต่ำต้อยไปสู่สถานภาพที่ดีกว่า เพราะการพัฒนาตามแนวทางนี้เปิดโอกาสให้มีที่พัฒนาพลังการผลิตมากกว่าเดิม

หัวใจสำคัญของแนวคิดดังกล่าว คือ การมุ่งมองถึงปัญหาของประเทศโลกที่สามอย่างจริงจัง แก้ไขปัญหาโดยอาศัยกรอบของประเทศสังคมนิยมดังเช่นการเสนอให้ทำลายล้างการจัดระเบียบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทั้งนี้เนื่องจากการพัฒนาแบบทุนนิยมจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม สืบเนื่องจากการถ่ายโอนระหว่างประเทศศูนย์กลางและประเทศบริวาร ดังนั้นจึงเสนอให้มีการแก้ไขปัญหาของประเทศโลกที่สามเป็นอิสระและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์กับจักรวรรดินิยม โดยการวางแผนแบบสังคมนิยม และสร้างเครือข่ายของประเทศที่เป็นสังคมนิยมด้วยกันทางเศรษฐกิจ

กระแสแนวคิดทุนนิยมภายใต้อิทธิพลของตะวันตก
แนวทางดังกล่าวถูกนำเสนอโดยพวกนักคิดในสายปฏิฐานนิยม (The Positivist) โดยมีลักษณะสำคัญ คือ การมุ่งเน้นการประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ยุคนีโอคลาสสิกกับทฤษฎีสังคมศาสตร์ ซึ่งจะเป็นการเสนอเทคนิคและแนวทางการพัฒนาตามแนวทางของตะวันตก วิเคราะห์ปัญหาของสังคมด้อยพัฒนา ซึ่งมีความรุ่งเรืองและได้รับความนิยมสูงสุดในทศวรรษที่ 1950 – 1960 โดยนักวิชาการในกลุ่มดังกล่าวได้นำเสนอ “ทฤษฎีภาวะทันสมัย” (Modernization Theory) การนำเสนอของแนวทางที่ 1 เกิดขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย และได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในประเทศโลกที่สามอย่างกว้างขวางในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 จนถึงทศวรรษที่ 1960 ก่อนจะเสื่อมลงประมาณต้นปี 1970 อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างกว้างขวาง สืบเนื่องจากความสำเร็จของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศยุโรปตะวันตก และการผลักดันของประธานาธิบดีทรูแมน (Truman) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเสนอนโยบายในการให้ความช่วยเหลือจากประเทศโลกที่สาม โดยการกำหนดเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนการมาร์แชล” (The Marshall Plan) โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการผลักดันอุดมการณ์การพัฒนาแก่ประเทศโลกที่สาม

หัวใจสำคัญของทฤษฎีพยายามนำเสนอแนวทางในการพัฒนาประเทศให้กับประเทศโลกที่สาม โดยเรียกร้องให้ประเทศเหล่านี้ลอกเลียนแบบอย่างการพัฒนาของประเทศตะวันตก เพื่อสร้างความทันสมัยในการบริหารให้กับประเทศโลกที่สาม โดยได้นำเสนอ “ทฤษฎีภาวะทันสมัย” ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาของตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในประเทศโลกที่สาม ซึ่งจะเป็นการผสมผสานแนวคิดของนักคิดตะวันตกหลายคน เช่น ดับเบิลยู รอสทาว (W. Rostow) และฮันติงตัน (Huntington)

อิทธิพลของทฤษฎีการทำให้ทันสมัยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในรูปของการพัฒนายอดนิยมที่เน้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งรูปแบบในการพัฒนาดังกล่าวได้รับการยอมรับขององค์การระหว่างประเทศที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนา เช่น องค์การสหประชาชาติ ธนาคารโลก หรือหน่วยงานของรัฐบาลตะวันตกทั้งหลายที่ให้ความช่วยเหลือประเทศโลกที่สาม โดยการพัฒนาดังกล่าวนี้จะเน้นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจผ่านการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบทดแทนการนำเข้า (Import Substitution Industrialization) ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมเน้นการส่งออก (Export-Oriented Industrialization) โดยมีความเชื่อที่ว่า

เมื่อประเทศโลกที่สามสามารถพัฒนาระบบเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้าแล้วผลพวงของการพัฒนาดังกล่าวจะกระจายไปสู่คนทั้งประเทศอย่างเท่าเทียมกันโดยอัตโนมัติ

กระแสแนวคิดของประเทศกำลังพัฒนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

จากผลงานการศึกษาเรื่อง Development Administration From Underdevelopment to Sustainable Development ซึ่งได้นำเสนอถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของแนวคิดการบริหารการพัฒนาของประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสแนวคิดเริ่มจากเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ เพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร, ผลกระทบของการพัฒนาอุตสาหกรรมส่งผลให้เกิดมลภาวะสิ่งแวดล้อม, การพัฒนาโครงการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ละเลยผลกระทบที่มีต่อสภาพสังคม, รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นได้ และการที่ภาครัฐไม่ได้มีการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของการดำเนินนโยบายการพัฒนานั่นเอง

ในเวลาต่อมาได้ส่งผลให้เกิดแนวคิดของกลุ่มที่ 2 เกิดขึ้นประมาณต้นศตวรรษที่ 1960 เป็นแนวคิดของพวกนักคิดหัวก้าวหน้า (The Radicals) แยกแนวคิดการพัฒนาออกจากสังคมอเมริกัน มองทฤษฎีกระแสหลัก หรือ Modernization ว่าเป็นการมองปัญหาที่คับแคบ ไม่ครอบคลุมถึงแก่นแท้ของปัญหาแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา

อย่างไรก็ตาม ต่อมาเริ่มมีการมองปัญหาการพัฒนาที่ลุ่มลึกและรอบด้านมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลงานของคาร์โดโซ และฟาเลทโอ (Cardoso and Faletto) ซึ่งมองถึงปัญหาการด้อยพัฒนาของประเทศโลกที่สามมิใช่การมองว่าเป็นผลจากการกดขี่ขูดรีดเท่านั้น แต่มองว่าเป็นผลจากการปฏิสัมพันธ์ หรือปะทะสังสรรค์กันระหว่างปัจจัยภายในของประเทศโลกที่สามเองกับปัจจัยภายนอกต่าง ๆ กล่าวคือ ในสังคมของประเทศโลกที่สาม ซึ่งตกอยู่ในสภาพการพึ่งพิงทางเศรษฐกิจกับประเทศที่พัฒนาแล้วสูงมาก โครงสร้างของการครอบงำในสังคมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง หรือกลุ่มพลังใดพลังหนึ่ง หากแต่ว่าเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างปัจจัยภายในของประเทศโลกที่สามกับปัจจัยภายนอก เช่น การร่วมมือกันระหว่างทุนภายในกับทุนภายนอก และบรรษัทข้ามชาติในรูปของกิจการร่วมกันต่าง ๆ โดยทุนภายในทำหน้าที่เป็นหัวหอกให้กับการขยายตัวของทุนภายนอกเข้ามาในประเทศ และมีลักษณะของการพึ่งพาระหว่างกัน หรือที่เรียกว่า “External Link and Internal Roots”

นอกจากนี้นักวิชาการสายยุโรป เช่น Seer และกลุ่มนักวิชาการลาตินอเมริกัน ได้นำเสนอแนวคิด ทฤษฎีการพึ่งพา (Dependency Theory) โดยหัวใจของแนวคิดทฤษฎีพึ่งพานั้นจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเงื่อนไขและการเอาเปรียบของประเทศที่พัฒนาแล้วที่มักถูกเรียกว่าเป็น ประเทศศูนย์กลางที่มีต่อประเทศโลกที่สามหรือประเทศบริวาร จากอดีตจนถึงปัจจุบัน

ข้อ 2. จงอธิบายถึงหลักการสำคัญในการผลักดันให้กระแสแนวคิดการพัฒนาทุนนิยมเสรีได้รับความนิยมในการนำมาใช้เป็นกรอบพื้นฐานในการบริหารและการพัฒนาในหลายประเทศ พร้อมทั้งอธิบายว่า เหตุใดปัจจุบันจึงเกิดกระแสแนวคิดการพัฒนาทางเลือกคู่ขนานไปกับแนวคิดกระแสทุนนิยม ยกตัวอย่างถึงประเด็นดังกล่าว จากปรากฏการณ์การพัฒนาของประเทศไทยในปัจจุบัน

แนวคำตอบ

การบริหารและการพัฒนานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวคิดของนักคิดกระแสหลัก ซึ่งได้นำเสนอการพัฒนาประเทศบนแนวทางของ “ทฤษฎีการสร้างความทันสมัย” (Theory of Modernization) จากนักคิดในกลุ่มกระแสหลัก โดยฮันติงตัน (Huntington) ได้ชี้ให้เห็นว่า การสร้างความทันสมัยคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงในสังคม ซึ่งได้แก่ การสร้างอุตสาหกรรม ความเจริญทางเศรษฐกิจ การเขยิบสถานภาพในทางสังคมให้ดีขึ้น และการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง

ลักษณะของความทันสมัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่

1. ลักษณะทางด้านเศรษฐกิจ
– ส่งผลให้มีการประกอบอาชีพอุตสาหกรรม
– ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้และการบริโภคอยู่ในระดับสูง
– มีการสะสมทุน เพื่อส่งเสริมการผลิตอยู่ในระดับสูง
– มีการวางรากฐานปัจจัยพื้นฐานการผลิต เช่น ถนน เขื่อน และไฟฟ้า
– ใช้ความรู้วิทยาการควบคุมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อยังประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง

2. ลักษณะทางด้านการเมือง
– หน้าที่ของระบบการเมืองมีมากและสลับซับซ้อน
– อำนาจหน้าที่ทางการเมืองถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน
– การมุ่งเน้นให้ประชาชนต่อการกำหนดทิศทางทางการเมือง

3. ลักษณะทางด้านสังคม
– ให้ความสำคัญกับความสามารถของบุคคล และโอกาสที่เท่าเทียมกัน
– การทำงานมีการแบ่งแยกหน้าที่กันอย่างชัดเจน
– มีระเบียบกฎหมาย ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติมากกว่าจารีตประเพณี
– คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

จากการสำรวจงานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารการพัฒนา พบว่า ผลงานวิจัยที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะนำเสนอให้เห็นถึงมุมมองของกระแสการเปลี่ยนแปลงการบริหารการพัฒนาใน 4 ประเด็น คือ

1. การบริหารการพัฒนามุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ

การวิจัยการบริหารการพัฒนาส่วนใหญ่ได้สะท้อนให้เห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ภาครัฐมักจะมีบทบาทต่อการผลักดันการบริหารการพัฒนาด้านเศรษฐกิจในรูปของโครงการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของการบริหารการพัฒนาแบบบนลงล่าง แต่ในปัจจุบันการบริหารการพัฒนามีลักษณะแบบมุ่งเน้นให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทในการบริหารการพัฒนามากขึ้น การบริหารการพัฒนาผลักดันจากส่วนล่างขึ้นบน หรืออาจกล่าวได้ว่า เป็นการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจภาคประชาสังคม (Main Street Capitalism) จากผลงานของ David M. Smick เรื่อง The Great Equalizer : How Main Street Capitalism Can Create an Economy for Everyone ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของทุนนิยมภาคประชาชน และได้เสนอระบบทัศน์ใหม่สำหรับการบริหารการพัฒนาของอเมริกันที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ทุนนิยมทุนขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า “ทุนนิยมแบบวอลล์สตรีท” โดยดำเนินการบริหารแบบระดับบนลงสู่ระดับล่าง ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของชนชั้นนายทุน

และชนชั้นนำทางการเมือง ได้เข้ามามีบทบาทในการครอบงำกิจการด้านเศรษฐกิจของประเทศ มีส่วนต่อการทำลายการพัฒนาของเศรษฐกิจภาคประชาชน หรือกลุ่มธุรกิจรากหญ้า กลุ่มผู้ประกอบการ SME ซึ่งในมุมมองของ David M. Smick ถือว่าเป็นการทำลายในส่วนของนวัตกรรมของผู้ใช้แรงงานและชนชั้นกลาง ส่งผลต่อสถานภาพรายได้ และคุณภาพชีวิตของกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงได้เสนอให้เกิดการผลักดันแนวคิดการพัฒนาภายใต้แนวคิดทุนนิยมภาคประชาชน หรือ Main Street Capitalism เพื่อสร้างความเสมอภาคในการดำเนินธุรกิจ (The Great Equalizer) สร้างกลไกที่จะพัฒนานวัตกรรมที่มาจากคนระดับล่างของสังคม และสร้างความเท่าเทียมกันระหว่างกลุ่มทุนขนาดเล็กและกลุ่มทุนขนาดใหญ่

ตัวอย่างเช่น ผลงานเรื่องความเข้มแข็งและศักยภาพขององค์กรชุมชนในจังหวัดสุพรรณบุรี พบว่า องค์กรชุมชนในลักษณะประกอบการเชิงวิสาหกิจและองค์กรชุมชนที่มีลักษณะเชิงสังคมและวัฒนธรรมจัดว่ามีศักยภาพในการบริหารการพัฒนา อันเนื่องมาจากความสามารถในการแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของชุมชน โดยใช้ต้นทุนทางสังคมและทรัพยากรที่มีอยู่ภายในชุมชน โดยเสนอแนะให้รัฐให้ความสำคัญกับองค์การชุมชนและปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการพัฒนาประเทศโดยให้ความสำคัญกับท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น และใช้ศักยภาพของท้องถิ่นในฐานะกลไกของการพัฒนาประเทศจากระดับล่างไปสู่ระดับบนให้มากยิ่งขึ้น

2. การบริหารการพัฒนามุ่งเน้นการปฏิรูปโครงสร้างสังคม
จากการสำรวจข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นองค์กรในกำกับของรัฐ ซึ่งสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้และผลงานวิจัยที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ปัญญาและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศ

ในขณะเดียวกัน สกว. ได้ใช้นำงานวิจัยเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน โดยสร้างการเรียนรู้ผ่านการวิจัยในระดับชุมชน ท้องถิ่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสนับสนุนการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์อย่างจริงจังทั้งในเชิงนโยบาย เชิงสาธารณะ เชิงพาณิชย์ และเชิงชุมชน ท้องถิ่น พื้นที่

ตัวอย่างเช่น ผลงานการวิจัยของ สกว. ซึ่งมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปอย่างต่อเนื่องบนฐานความรู้ โดยประเด็นวิจัยทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ในระดับประเทศหรือระดับโครงสร้างลงมาถึงการพัฒนาพื้นที่ด้วยนวัตกรรมทางสังคมและเทคโนโลยี และการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อการแก้ปัญหาของชุมชนด้วย กระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ในประเด็นสำคัญดังนี้

1) การสร้างธรรมาภิบาลและลดคอร์รัปชัน จะเห็นได้จากการที่ สกว. ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อศึกษาและสร้างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเรื่องคอร์รัปชันในหลายลักษณะ เช่น การสำรวจเพื่อศึกษาประสบการณ์และการรับรู้เรื่องคอร์รัปชันของประชาชน การศึกษาการคอร์รัปชันรูปแบบต่าง ๆ และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการคอร์รัปชันด้วยกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงกว่า 30 เรื่อง อาทิ ระบบสัมปทาน และการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการภาครัฐ การศึกษาเพื่อให้ข้อเสนอแนะบางกรณีต่อการปรับปรุงประสิทธิภาพของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นต้น

2) แนวทางการปฏิรูปการเมืองการปกครอง ตัวอย่างการวิจัยที่กำลังดำเนินการเช่น การออกแบบระบบการเลือกตั้ง มีการศึกษาเพื่อแสดงให้เห็นว่าสัดส่วนของผู้แทนในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนควรสอดคล้องกับสัดส่วนของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ มากกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่ การศึกษาบทบาทของทหารในระบอบประชาธิปไตย การศึกษาตัวแบบตำรวจประชาธิปไตยภายใต้แนวคิดที่ว่า ตำรวจ คือ ประชาชนเป็นสมาชิกในสังคมที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่รักษาความสงบในสังคม การออกแบบงานตำรวจในการชุมนุมประท้วงเพื่อบรรเทาความขัดแย้งในสังคมไทย เป็นต้น

3) โจทย์การวิจัยเพื่อการปฏิรูปเศรษฐกิจ ในภาพรวมระบบเศรษฐกิจไทยเติบโตด้วยดี ด้วยการใช้ทรัพยากรในประเทศในการผลิตภาคการเกษตร การพัฒนาเทคโนโลยีและระบบการจัดการโดยภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการเกษตร และอาศัยการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศในการพัฒนาเทคโนโลยีบางอุตสาหกรรม การเข้าไปมีส่วนร่วมในเครือข่ายการผลิตระหว่างประเทศ และความสำเร็จของภาคเอกชนในการเปิดตลาดใหม่

4. การบริหารการพัฒนามุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การบริหารการพัฒนาปัจจุบันให้ความสำคัญกับมุมมองในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จากข้อสังเกตขององค์การสหประชาชาติ ในประเด็นความหมายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คืออะไรที่เหนือกว่าการขึ้นลงของรายได้ประชาชาติ “การสร้างสรรค์สภาวะแวดล้อมที่มนุษย์สามารถที่จะพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพเพื่อนำไปสู่การสร้างผลผลิตและการริเริ่มสร้างสรรค์ชีวิตตามความต้องการของตนเองและส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ซึ่งจะสอดคล้องกับข้อเสนอของมหาตมะ คานธี ที่มองว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือ การผลักดันให้เกิดผลผลิตภายใต้การตระหนักศักยภาพของมนุษย์ ดังนั้นจึงมีความเชื่อมั่นว่า การพัฒนาจะเป็นเรื่องของการขยายโอกาสของมนุษย์ตามคุณค่าแห่งชีวิตที่เขาต้องการ และการบริหารการพัฒนาไม่ใช่เพียงแค่การสร้างรายได้แต่ต้องเป็นการสร้างโอกาสให้แก่มนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อสังเกตของอริสโตเติล ที่มองว่า “ความมั่งคั่งมิใช่เป็นสิ่งที่เราเสาะแสวงหา แต่เป็นไปเพื่อใช้ประโยชน์ในการขจัดสิ่งที่เราไม่ต้องการออกไปเท่านั้น”

สำหรับประเทศไทยการบริหารการพัฒนาตั้งแต่แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์มาโดยตลอด โดยจะเห็นว่านักวิชาการกลุ่มการบริหารการพัฒนาจะมองว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นประเด็นที่มักจะถูกหยิบยกมาวิเคราะห์ร่วมกับการศึกษาวิจัย

ตัวอย่างเช่น ผลงานวิจัยเรื่อง สมรรถนะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พบว่า สมรรถนะหลักของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกจัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ สมรรถนะความสามารถในการแก้ไขปัญหา การใช้คอมพิวเตอร์ในการบริการด้านการท่องเที่ยว การทำงานร่วมกับทีมงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริการและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ด้านความรู้และความสามารถใช้เทคนิคการปฏิบัติงานมาใช้ในการบริการนักท่องเที่ยวในส่วนของสมรรถนะต้นแบบของบุคลากรด้านการท่องเที่ยว ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลัก คือ สมรรถนะด้านความรู้ (Knowledge) ความรู้พื้นฐานด้านภาษาต่างประเทศ และในกลุ่มภาษาอาเซียน, สมรรถนะด้านความรู้ ได้แก่ ความรู้พื้นฐานภาษาต่างประเทศ ความรู้ประวัติศาสตร์ของพื้นที่ และสินค้าพื้นถิ่น ความรู้เฉพาะทางโดยเฉพาะเทคโนโลยี ความรู้ด้านการจัดการการท่องเที่ยว และความรู้การคิดวิเคราะห์และพัฒนาด้านทักษะ ได้แก่ ทักษะในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว ทักษะการแนะนำสถานที่ ทักษะการใช้เทคโนโลยี ทักษะการอนุรักษ์วัฒนธรรมหรือความเป็นท้องถิ่น รวมไปถึงทักษะการให้บริการและการอำนวยความสะดวก, สมรรถนะด้านทัศนคติ ได้แก่ การปลูกจิตสำนึกในด้านมนุษยสัมพันธ์และภาวะผู้นำ

โดยในส่วนของปัจจัยและเงื่อนไขที่มีผลต่อการพัฒนาสมรรถนะหลักของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ พบว่า ปัจจัยขององค์การ ได้แก่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคม ค่านิยมชุมชนและประเพณีการขยายตัวทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ สถานการณ์ทางการเมือง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน สภาพของภูมิศาสตร์ในพื้นที่ นโยบายของภาครัฐในการเตรียมติดต่อสื่อสารกับนักท่องเที่ยว และส่งเสริมการพัฒนา ปัจจัยส่วนบุคคล ทัศนคติ จิตสำนึกของบุคลากร ภูมิหลังที่มีความหลากหลาย

พื้นฐานทางการศึกษา โอกาสในการเข้าถึงการอบรม ปัจจัยและเงื่อนไขของหน่วยงาน ภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กร การจัดสรรงบประมาณ กฎระเบียบของราชการ จำนวนบุคลากร การทำงานเป็นทีม ค่านิยมของหน่วยงาน ความต่อเนื่องของโครงการฝึกอบรม นโยบายการให้ค่าตอบแทนพิเศษ

อย่างไรก็ตาม แนวทางการส่งเสริมสมรรถนะหลักของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ได้แก่ แนวทางการส่งเสริมสมรรถนะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว (ระยะต้นน้ำ) ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ทั้งส่วนของแผนระยะเร่งด่วน (ระยะกลางน้ำ) ภาครัฐต้องสร้างกลุ่มพันธมิตร (ระยะปลายน้ำ) ภาครัฐต้องจัดตั้งหน่วยงานในการติดตามและประเมินผลการฝึกอบรมและพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวการติดตามและประเมินผลพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวโดยพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ของการทำงานอย่างต่อเนื่อง

4. การบริหารการพัฒนามุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและดิจิทัล
การบริหารการพัฒนาของปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะหมายถึง การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนวางรากฐานการแข่งขันเชิงธุรกิจรูปแบบใหม่ในระยะยาวภายใต้การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลจึงจำเป็นต้องเร่งสร้างระบบนิเวศสำหรับธุรกิจดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจที่จะส่งผลต่อการขยายฐานเศรษฐกิจและอัตราการจ้างงานของไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต

ตัวอย่างเช่น ผลงานวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลในประเทศไทย โดยการวิจัยแบบผสมผสาน ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้ประกอบการวิสาหกิจ

ผลการวิจัยดังกล่าว พบว่า ความยั่งยืนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมีอิทธิพลโดยรวมสูงสุดต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจเพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลในประเทศไทย ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมมากที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ถ้าให้ความสำคัญในเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ มีการเข้าถึงบริการภาครัฐสม่ำเสมอ เข้าถึงแหล่งเงินทุนต่ำ ก็จะช่วยให้เกิดความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในธุรกิจ จะทำให้ผู้ประกอบการบริหารเงินทุนได้ สามารถเพิ่มมูลค่าทางสินค้า และทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ

ในขณะที่รัฐบาลกำลังมุ่งเน้นเป็นประเทศไทย 4.0 นั้น การขับเคลื่อนของภาครัฐและเอกชนจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องประโยชน์ร่วมกัน ทั้งในเรื่องของกฎหมายหรือระเบียบรวมถึงการสนับสนุนส่งเสริมต่าง ๆ นโยบายของรัฐบาลจะมีผลกระทบต่อปัจจัยการผลิต ภาษี และการผูกขาดการดำเนินธุรกิจและการโฆษณา รัฐบาลจะต้องมีหน้าที่สร้างปัจจัยที่เอื้อต่อความสามารถของผู้ประกอบการ เช่น การขยายเครือข่าย 4G/5G เข้าถึงทุกหมู่บ้านและสร้างช่องทาง (Government Channel) ที่ให้เข้าถึงข้อมูลของรัฐได้โดยง่าย และดำเนินการขยายโครงข่าย Internet ให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสและสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างกลไก และยกระดับความเชื่อมั่นให้กับสินค้าไทย ตลอดจนเตรียมฐานข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงระบบการค้าไทยให้เข้ากับระบบสากล ดังนั้นโอกาสทางธุรกิจจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ปัจจัยตัวที่สองที่ส่งผลทางตรง คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผู้ผลิตควรเลือกใช้ปัจจัยการผลิตแต่ละชนิด

อย่างไรจึงจะทำให้เสียต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด หรือการทำให้ได้ผลผลิตสูงที่สุดภายใต้เงินทุนที่เขามีอยู่อย่างจำกัด ในขณะที่การตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้านอุปโภค บริโภค สินค้าหรือบริการด้วยราคาและคุณภาพที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการรายอื่นและมีผลตอบแทนเป็นกำไรคุ้มค่าเพียงพอกับปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่ลงทุนไป การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ด้วยดิจิทัลเพื่อสร้างธุรกิจให้เกิดมูลค่าเพิ่มมากขึ้นได้นับเป็นเรื่องที่ดีมาก ขณะเดียวกันภาครัฐต้องดูศักยภาพและความพร้อมของกลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวด้วยว่ามีองค์ความรู้และให้ความสำคัญเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด

การนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อทำความเข้าใจและคาดการณ์การกระทำที่เป็นไปได้ที่ลูกค้าจะใช้ในกระบวนการตัดสินใจของตน โดยการใช้เทคโนโลยีมาช่วย เช่น ระบบบริหารจัดการลูกค้า (Customer Responsibility Services : CRM) เพื่อทำการตลาดและสื่อสารกับลูกค้าเป็นไปโดยอัตโนมัติ การนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในธุรกิจจะทำให้ผู้ประกอบการบริหารเงินทุนได้ สามารถเพิ่มมูลค่าทางสินค้า และทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยความสามารถทางการจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในแต่ละองค์กรจะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมในกระบวนการผลิตหรือกระจายสินค้า จะทำให้ผู้ประกอบการมีความได้เปรียบในด้านต้นทุน การตลาดยุคใหม่จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มคู่แข่งขันมากขึ้นด้วย ดังนั้นการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายที่ดีและประทับใจจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น

—————————————————-

ข้อ 3. จงอธิบายถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหาสาระของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 – 13 พร้อมทั้งวิเคราะห์ถึงนโยบายของรัฐบาลไทยในปัจจุบันว่ามีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาของไทยหรือไม่ อย่างไร

แนวคำตอบ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 – 2509)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 ได้กำหนดแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ เน้นด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในรูปของระบบคมนาคมขนส่ง การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้า เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนอุบลรัตน์ โครงการการชลประทานแก่งกระจาน แม่ยม แม่แตง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเน้นระบบสาธารณูปการ ซึ่งมีการสร้างทางหลวงสายหลักเชื่อมต่อภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ถนนสายเอเชียเชื่อมสู่ภาคเหนือ ถนนมิตรภาพเชื่อมสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในทางการศึกษามีการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาโดยการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อขยายระดับการศึกษาไปสู่ส่วนภูมิภาค แผนพัฒนาฯฉบับที่นี้ใช้กลยุทธ์การพัฒนาแบบไม่สมดุล (Unbalanced Growth) ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) อยู่ที่ร้อยละ 5 ต่อปี

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2510 – 2514)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 ยังคงยึดแนวตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 โดยได้ขยายขอบเขตของแผนครอบคลุมไปถึงรัฐวิสาหกิจและองค์การส่วนท้องถิ่น และขยายแผนไปถึงการพัฒนาด้านสังคม ดังจะเห็นได้จากการเพิ่มคำว่า “สังคม” ต่อท้ายชื่อแผน แต่จุดมุ่งหมายของแผนยังคงอยู่ที่การเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามส่งเสริมและพัฒนารัฐวิสาหกิจที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจเอง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังให้ความสนใจในการพัฒนาชนบท โดยการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการพัฒนาชนบทอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 – 80 ของงบประมาณ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515 – 2519)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 3 ถือเป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความเท่าเทียมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาความตึงเครียดทางสังคมและการเมืองระหว่างคนรวยกับคนจน และคนชนบทกับคนในเมือง หลังจากการวางแผนจากส่วนกลางมาเป็นเวลา 10 ปี พบว่าความไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้ประชาชาติกลายเป็นปัญหาใหญ่ ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฐานะทางเศรษฐกิจที่แย่ลงเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ ประกอบกับปัญหาทางการเมืองในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งทำให้มีการขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตชนบทและปฏิบัติการไปทั่วประเทศ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520 – 2524)
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้นภาวะทางการเมืองภายในประเทศไม่มีความแน่นอน จึงทำให้แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 ได้ถูกกำหนดเป้าหมายไว้หลายชุด เพื่อว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจตามการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะพบว่าพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล สามารถปรับแผนฯ ให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาลได้โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกแผนฯ แล้วร่างใหม่ โดยวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่นี้คือ

1. เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
2. ลดช่องว่างแห่งฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมในหมู่ประชาชนให้น้อยลง
3. ลดอัตราการเพิ่มและปรับปรุงคุณภาพของประชากร ตลอดทั้งการเพิ่มการจ้างงาน
4. เร่งบูรณะและปรับปรุงการบริหารทรัพยากรหลัก ตลอดจนสิ่งแวดล้อม
5. สนับสนุนขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529)
การพัฒนาประเทศในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 ยังคงเน้นการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท ในขณะเดียวกันมีการส่งเสริมอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ไว้เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ แนวคิดทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนในทศวรรษนี้ คือ แนวทางเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมใหม่ (Washington Consensus) โดยเน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ เริ่มเปลี่ยนวิธีการวางแผนจากรายโครงการมาเป็นการจัดทำแผนงาน (Programming) โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาชนบทและชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก กล่าวคือ การวางแผนยังคงมีลักษณะ Top-Down แต่เริ่มมีการกระจายการวางแผนลงสู่ระดับภูมิภาค และพื้นที่มีการใช้ยุทธศาสตร์การพัฒนาชนบทแบบผสมผสาน (Integrated Rural Development) ในปี 2527 เพื่อผนึกกำลังหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานหลักคือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งต้องทำงานประสานแผนเพื่อลดความซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองทรัพยากร และใช้หลักการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชนบทมากขึ้น

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530 – 2534)
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 เน้นวัตถุประสงค์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม เริ่มใช้วิธีการวางแผนในลักษณะแผนงานทั้งหมด 10 แผนงาน คือ

1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม
2. แผนพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม
3. แผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4. แผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
5. แผนปรับปรุงระบบบริหารของรัฐ
6. แผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ
7. แผนพัฒนาระบบการผลิต
8. แผนพัฒนาระบบการตลาด
9. แผนพัฒนาระบบการสร้างงาน
10. แผนพัฒนาเมืองและพื้นที่เฉพาะ

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนการวางแผนจากระดับล่างขึ้นมาข้างบน ตลอดจนการปรับปรุงการบริหารและทบทวนบทบาทของภาครัฐในการบริหารประเทศ ให้ความสำคัญกับการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน ซึ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม UNDP ได้ประกาศให้ทศวรรษนี้เป็นทศวรรษที่มีมนุษย์เป็นเป้าหมายของการพัฒนา ซึ่งการสร้างดัชนีชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนา เรียกว่า Human Development Index : HDI

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535 – 2539)
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 ให้ความสำคัญในการปรับปรุงการบริหารการพัฒนาชนบท กระจายอำนาจการบริหารและการตัดสินใจให้จังหวัดมากขึ้น เพิ่มคุณภาพชีวิตคนในชนบท โครงการให้การศึกษา และสนับสนุนให้เอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชนบทมากยิ่งขึ้น

แนวทางการพัฒนานั้นเริ่มมองเห็นความจำเป็นในการกำหนดแนวความคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) โดยมีการกำหนดวัตถุประสงค์หลักไว้ 3 ประการ คือ
1. รักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
2. กระจายรายได้และกระจายการพัฒนาไปสู่ภูมิภาคและชนบทให้กว้างขวาง
3. เร่งรัดการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540 – 2544)
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 นั้นมีลักษณะเข้าสู่การพัฒนาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเกิดความไม่สมดุลระหว่างการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น แม้ว่าการมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในอดีตที่ผ่านมาจะทำให้ประชาชนในประเทศไทยมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่กลับพบว่าทำให้คนไทยและสังคมไทยมีความเป็นวัตถุนิยมสูงขึ้น ขาดความเอื้ออาทรต่อกัน ภาพรวมของการพัฒนาที่ผ่านมาจึงมีลักษณะขาดความสมดุล กล่าวคือ เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน ซึ่งแนวคิดที่สำคัญของแผนฯ นั้นมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยกำหนด “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549)
เพื่อให้การพัฒนาประเทศเป็นไปตามจุดมุ่งหมายของวิสัยทัศน์ร่วมภายใต้ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” และสังคมไทยที่พึงประสงค์ในอนาคต แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 จึงกำหนดวัตถุประสงค์หลักไว้ดังนี้

1. เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพและมีภูมิคุ้มกัน

2. เพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้เข้มแข็ง ยั่งยืน และสามารถพึ่งตนเองได้อย่างรู้เท่าทันโลก

3. เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการที่ดีในสังคมไทยทุกระดับ

4. เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและเพิ่มศักยภาพและโอกาสของคนไทยในการพึ่งพาตนเอง

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 – 2554)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 ได้กำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ ไว้ดังนี้

วิสัยทัศน์ มุ่งพัฒนาสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน (Green and Happiness Society) คนไทยมีคุณธรรมนำความรอบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมสันติสุข เศรษฐกิจมีคุณภาพเสถียรภาพ และเป็นธรรม สิ่งแวดล้อมมีคุณภาพและทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน อยู่ภายใต้ระบบบริหารจัดการประเทศที่มีธรรมาภิบาล ดำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี”

พันธกิจ เพื่อให้การพัฒนาประเทศในระยะแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 มุ่งสู่ “สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน” ภายใต้แนวปฏิบัติของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” จึงเห็นควรกำหนดพันธกิจของการพัฒนาประเทศ ดังนี้

1. พัฒนาคนให้มีคุณภาพ คุณธรรม นำความรอบรู้อย่างเท่ากัน

2. เสริมสร้างเศรษฐกิจให้มีคุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธรรม

3. ดำรงความหลากหลายทางชีวภาพ และสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อม

4. พัฒนาระบบบริหารจัดการประเทศให้เกิดธรรมาภิบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 – 2559)
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ได้กำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ ไว้ดังนี้
วิสัยทัศน์ “สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีต่อภูมิคุ้มกันการเปลี่ยนแปลง”

พันธกิจ

1. สร้างสังคมเป็นธรรมและเป็นสังคมที่มีคุณภาพ ทุกคนมีความมั่นคงในชีวิตได้รับการคุ้มครองทางสังคมที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรและกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค

2. พัฒนาคุณภาพคนไทยให้มีคุณธรรม เรียนรู้ตลอดชีวิต มีทักษะและการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย

3. พัฒนาฐานการผลิตและบริการให้เข้มแข็งและมีคุณภาพบนฐานความรู้ความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญา สร้างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน

4. สร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ได้กำหนดวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ ไว้ดังนี้

วิสัยทัศน์

การกำหนดวิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาฯ ฉบับนี้ยึดวิสัยทัศน์ของกรอบยุทธศาสตร์ชาติที่กำหนดว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

วัตถุประสงค์

1. เพื่อวางรากฐานให้คนไทยเป็นคนที่สมบูรณ์ มีคุณธรรมจริยธรรม มีระเบียบวินัย ค่านิยมที่ดี มีจิตสาธารณะ และมีความสุข

2. เพื่อให้คนไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรและบริการทางสังคมที่มีคุณภาพ ผู้ด้อยโอกาสได้รับการพัฒนาศักยภาพ

3. เพื่อให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง แข่งขันได้ มีเสถียรภาพ และมีความยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิตแบบบริการเดิมและขยายฐานใหม่โดยการใช้นวัตกรรมที่เข้มข้นมากขึ้น

4. เพื่อรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้สามารถสนับสนุนการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

5. เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ทันสมัย และมีการทำงานเชิงบูรณาการของภาคีการพัฒนา

6. เพื่อให้มีการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค โดยการพัฒนาภูมิภาคและเมืองเพื่อรองรับการพัฒนา ยกระดับฐานการผลิตและบริการเดิม และขยายฐานการผลิตและบริการใหม่

7. เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีความเชื่อมโยงกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และนานาชาติได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้ประเทศไทยมีบทบาทนำและสร้างสรรค์ในด้านการค้า การบริการ และการลงทุนภายใต้กรอบความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และโลก

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570)

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) เป็นแผนระดับที่ 2 ที่แปลงยุทธศาสตร์ชาติไปสู่การปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยสู่สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน ซึ่งได้มีการวางกรอบการพัฒนาประเทศในระยะ 5 ปี โดยมีความมุ่งหมายที่จะเร่งเพิ่มศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง และเสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรค์ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ดังนั้นการกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 มีวัตถุประสงค์เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” ซึ่งหมายถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโครงสร้าง นโยบาย และกลไก ทั้งนี้เพื่อมุ่งเสริมสร้างสังคมที่ก้าวทันพลวัตของโลก และเกื้อหนุนให้คนไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงและคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้างต้น

แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 นั้นมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยอาศัยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งได้กำหนดเป้าหมายหลักไว้ดังต่อไปนี้

1. การปรับโครงสร้างการผลิตสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการสำคัญให้สูงขึ้น และสามารถตอบโจทย์พัฒนาการของเทคโนโลยีและสังคมยุคใหม่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเชื่อมโยงเศรษฐกิจท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยกับห่วงโซ่มูลค่าของภาคการผลิตและบริการ รวมถึงพัฒนาระบบนิเวศที่ส่งเสริมการค้าการลงทุนและนวัตกรรม

2. การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ โดยพัฒนาให้คนไทยมีทักษะและคุณลักษณะที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ ทั้งทักษะในด้านความรู้ ทักษะทางพฤติกรรม คุณลักษณะตามบรรทัดฐานที่ดีของสังคม เตรียมพร้อมกำลังคนที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เอื้อต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคการผลิตและบริการเป้าหมายที่มีศักยภาพและผลิตภาพสูงขึ้น รวมทั้งพัฒนาหลักประกันและความคุ้มครองทางสังคมเพื่อส่งเสริมความมั่นคงในชีวิต

3. การมุ่งสู่สังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม โดยลดความเหลื่อมล้ำทั้งในเชิงรายได้ ความมั่งคั่ง และโอกาสในการแข่งขันของภาคธุรกิจ สนับสนุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ด้อยโอกาสให้มีโอกาสในการเลื่อนชั้นทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงจัดให้มีบริการสาธารณะที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

4. การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน โดยปรับปรุงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตและบริโภคให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ แก้ไขปัญหามลพิษด้วยวิธีการที่ยั่งยืน โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ ขยะ มลพิษทางน้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

5. การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยการสร้างความพร้อมในการรับมือและแสวงหาโอกาสจากการเป็นสังคมสูงวัย ภัยจากโรคระบาด ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกลไกทางสถาบันที่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างและระบบการบริหารงานของภาครัฐให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีได้อย่างทันเวลา มีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล

Advertisement