การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ
คำสั่ง ข้อสอบมี 3 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ข้อ 1. ตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Implementation Model) ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร นำเสนอไว้มีตัวแบบอะไรบ้างนำไปอธิบายระบบราชการไทยในขณะนี้ได้ (หยิบยกเพียงตัวแบบเดียว) จงวิเคราะห์ และยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
แนวคำตอบ
ศาสตราจารย์ ดร.วรเดช จันทรศร ได้เสนอตัวแบบการนำนโยบายไปปฏิบัติไว้ 6 ตัวแบบ ดังนี้
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล (Rational Model)
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ (Management Model)
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ (Organization Development Model)
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ (Bureaucratic Process Model)
5. ตัวแบบทางการเมือง (Political Model)
6. ตัวแบบทั่วไป (General Model)
สำหรับตัวแบบที่จะหยิบยกมานำเสนอจำนวน 1 ตัวแบบ ได้แก่ ตัวแบบทางด้านการจัดการ (Management Model)
1. ตัวแบบทางด้านการจัดการ (Management Model) โดยเน้นขีดสมรรถนะภายในของหน่วยงานที่รับผิดชอบบริหารว่ามีจุดอ่อนและจุดแข็งในด้านต่าง ๆ หรือไม่ อย่างไร เช่น โครงสร้างองค์การ บุคลากร งบประมาณ สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม มักพบว่าหน่วยงานที่มีขีดสมรรถนะภายในตอนข้างต่ำ จะส่งผลให้การนำนโยบายไปปฏิบัติไม่ประสบความสำเร็จ
ความสำเร็จ ได้แก่ โครงสร้างองค์การ บุคลากร งบประมาณ สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งจะเข้าลักษณะสอดคล้องกับปัจจัยในการบริหารงาน
ปัจจัยในการบริหารงานมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
1) คนหรืองบุคคล (Man) เป็นปัจจัยที่สำคัญของกรบริหารงาน หน่วยงานหรือองค์การต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องมีคนที่ปฏิบัติงาน ผลงานที่ดีจะออกมาได้ต้องประกอบด้วยบุคคลที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบต่อองค์การหรือหน่วยงานนั้น ๆ
2) เงิน (Money) หน่วยงานจำเป็นที่จะต้องมีงบประมาณเพื่อการบริหารงาน หากขาดเงิน ขาดงบประมาณ การบริหารงานของหน่วยงานก็ยากที่จะบรรลุเป้าหมาย
3) วัสดุอุปกรณ์ (Material) การบริหารงานจำเป็นต้องมีวัสดุอุปกรณ์ หรือทรัพยากรในการบริหาร หากหน่วยงานขาดวัสดุ อุปกรณ์ หรือทรัพยากรในการบริหารแล้วก็ย่อมจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารงาน
4) การจัดการ (Management) การบริหารจำเป็นต้องมีการทำงานที่เป็นระบบ มีการจัดการที่ดี แบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบ การควบคุม ตรวจสอบรายงานเป็นไปอย่างมีระบบ มีขั้นตอนและมีระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติงานที่แน่ชัด
ข้อ 2. วัฒนธรรมสังคมไทยส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาวัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย (Bureaucratic Culture) อย่างไรบ้าง และข้าราชการไทยในปัจจุบันจะนำบทเรียนใดไปสร้างระบบราชการดิจิทัลที่สอดคล้องกับระบบราชการ 4.0 จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างสถานการณ์จริงในปัจจุบันมาประกอบให้เข้าใจ
แนวคำตอบ
วัฒนธรรมของระบบราชการไทย (Bureaucratic Culture) นั้นได้ก่อตัวขึ้นมาพร้อม ๆ กับการปกครองของไทยในอดีต ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และเป็นไปอย่างช้า ๆ นับตั้งแต่การปกครองแบบพ่อปกครองลูกในยุคสุโขทัยเปลี่ยนมาเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยอำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาดสิทธิ์ในการปกครองนี้ไทยได้รับอิทธิพลมาจากขอมและอินเดีย ในระบอบการปกครองดังกล่าวประชาชนจะมีสภาพที่ต่ำต้อยมากมีเพียงสิทธิอยู่กับการใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่การใช้อำนาจนั้นก็จะมีหลักคำสอนของศาสนามากำกับอยู่ เช่น หลักทศพิธราชธรรมหรือธรรมในการปกครอง ซึ่งไทยได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธ เมื่อประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 พบว่าในช่วงต้นนั้นวัฒนธรรมของข้าราชการก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก เพียงแต่เคลื่อนย้ายจากอำนาจพระมหากษัตริย์มาสู่คณะปกครองที่เป็นขุนนางหรือข้าราชการชั้นสูงนั่นเอง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์เรื่องอำนาจเป็นของปวงชนจึงเป็นเพียงข้อความที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญเท่านั้น ส่วนแบบแผนการปฏิบัติค่อย ๆ เกิดขึ้นในภายหลังที่จะเลิกล้มทีละน้อยจนเป็นปึกแผ่นมากขึ้น ภายหลังเมื่อคนไทยได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตกและมีการถ่ายทอดในสถาบันการศึกษาชั้นสูง ก่อนที่จะแพร่กระจายมาในหมู่ประชาชนทั่วไป
วัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทยซึ่งถูกหล่อหลอมโดยวัฒนธรรมของสังคมและการปกครอง เป็นผลให้ค่า นิยมองค์การเปิดรับต่อวัฒนธรรมอื่นและยอมรับอำนาจของผู้มีสถานภาพทางสังคมสูงกว่า จัดได้ว่าเป็นค่านิยมหลักของข้าราชการ ซึ่งแสดงออกในด้านทัศนคติ ความคิด และพฤติกรรมการกระทำต่าง ๆ ในการทำงาน นอกจากค่านิยมหลักดังกล่าวยังมีสังคมไทยยังมีนิสัยอีกหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย เช่น ค่านิยมความเป็นปัจเจกนิยม (Individualism) ค่านิยมรักสนุก ชอบอิสระ ชอบสบาย มีความกตัญญูรู้คุณ การเคารพผู้อาวุโส เป็นต้น
อุปสรรคที่มีต่อการพัฒนวัฒนธรรมองค์การในระบบราชการไทย
1. ปัญหาโครงสร้าง ทั้งนี้เนื่องจากระบบราชการไทยมีขนาดใหญ่ มีโครงสร้างซับซ้อน ทั้งในด้านภารกิจ บทบาท อำนาจหน้าที่ ทำให้ไม่คล่องตัว ไม่สามารถตอบสนองและรองรับกับความสลับซับซ้อนของการบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการซ้ำซ้อนกันของอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงาน นอกจากนี้การบริหารราชการแผ่นดินยังขาดการบูรณาการอำนาจซึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างของระบบราชการไทยแบ่งออกเป็นกระทรวง ทบวง และกรม เป็นศูนย์สั่งการบนสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ระบบนี้กลายเป็นปัญหาและไม่เหมาะสม
2. ปัญหาการบริหารงาน ทั้งนี้เนื่องจากการบริหารราชการของระบบราชการไม่มีความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และตรวจสอบได้ โดยมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองที่เป็นผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งบางครั้งระบบราชการไทยมักจะละเลยการปฏิบัติงาน การตรวจสอบการปฏิบัติงาน และการติดตามประเมินผล รวมไปถึงการวัดความสำเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงาน ส่งผลให้ส่วนราชการต่าง ๆ ไม่ได้จัดเก็บข้อมูลการดำเนินงานในแต่ละด้านไว้เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
3. ปัญหาการบริหารงานบุคคล ซึ่งพบว่า ระบบบริหารงานบุคคลไม่มีความเท่าเทียมกัน ทำให้ข้าราชการมีความก้าวหน้าในการรับราชการแตกต่างกัน ระบบค่าตอบแทนยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและตลาดแรงงาน นอกจากนี้ยังขาดวิธีการที่เหมาะสมในการผลักดันให้ข้าราชการมีขีดความสามารถ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับปัญหบุคลากรนั่นคือ ข้าราชการยังขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน หรือเรียกว่าขาดความเป็นมืออาชีพ ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง ขาดความรับผิดชอบ มีทัศนคติและค่านิยมแบบดั้งเดิม ส่งผลให้ระบบราชการยังยึดติดกับการทำงานโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิม ยึดหลัก ขีดตนเองเป็นศูนย์กลาง และใช้ระบบอุปถัมภ์ในการทำงาน ทำให้เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งเป็นส่วนร่วมในการเสนอนะและสำคัญ
4. ปัญหางบประมาณและปัญหาทุจริตคอรัปชั่น เป็นปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของระบบราชการไทย เนื่องจากลักษณะการทำงานของระบบราชการเป็นแบบเบญจมาศ และข้าราชการมีพฤติกรรมการทำงานเช้าชามเย็นชามเพื่อรอคอย ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดอภิสิทธิ์ชน และเป็นช่องทางให้กระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ จนกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หมดผลต่อระบบราชการและข้าราชการ
ระบบราชการดิจิทัล หรือระบบราชการ 4.0
ระบบราชการดิจิทัล หรือระบบราชการ 4.0 เป็นระบบราชการในบริบทไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว รัฐบาลจึงจำเป็นต้อง…
โมเดลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมเพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน หรือที่เรา รู้จักกันว่า ไทยแลนด์ 4.0 หรือ ประเทศไทย 4.0 ดังนั้นระบบราชการจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับและส่งเสริมไทยแลนด์ 4.0 จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบราชการและราชการจึงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล สามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับทิศทาง การบริหารของประเทศ
ความท้าทายใหม่ในการจัดระบบราชการ 4.0
1. จะทำอย่างไรให้การบริการภาครัฐสามารถตอบโจทย์ได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalization) มากขึ้น ซึ่งต่างจากเดิมที่ต้องการยกระดับการบริการให้มีมาตรฐานเท่านั้น
2. จะทำอย่างไรให้หน่วยงานภาครัฐสามารถทำงานแบบบูรณาการร่วมมือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดการบริการที่ลื่นไหล (Seamless) ซึ่งต่างจากเดิมที่มุ่งเน้นพัฒนาแต่ละหน่วยงานสามารถให้บริการได้ตามมาตรฐาน
3. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐขับเคลื่อนประเทศได้ด้วยการยึดโยงประเด็น (Agenda-Based) โดยไม่เกิดความซ้ำซ้อน ซึ่งต่างจากเดิมที่ส่งเสริมให้บุคลากรมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
4. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐขับเคลื่อน IT เพื่อพลิกโฉมทุกภาคส่วนของภาครัฐอย่างเป็นองค์รวม (Holistic Transformation) ซึ่งต่างจากเดิมที่ IT มีบทบาทเพียงแค่สนับสนุนการพัฒนาเป็นครั้งคราว
5. จะทำอย่างไรให้ภาครัฐปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการภาครัฐให้มีความรู้ สมดุลระหว่างความมีประสิทธิภาพและความโปร่งใส ซึ่งต่างจากเดิมที่ภาครัฐต้องการเพียงแค่การสร้างกลไกการปฏิบัติงานให้มีความรัดกุมเพื่อป้องกันช่องโหว่ของการทุจริต
ภาครัฐหรือระบบราชการนั้นจะต้องทำงานโดยยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก ให้สามารถเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบอยู่ 3 ด้าน คือ
1. เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน กล่าวคือ ต้องมีความเปิดเผยโปร่งใสในการทำงาน โดยบุคคลภายนอกสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางราชการ หรือมีการแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน และสามารถเข้ามาตรวจสอบการทำงานได้ ตลอดจนเปิดกว้างให้ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ได้เข้ามามีส่วนร่วม และโอนถ่ายภารกิจที่ภาครัฐไม่ควรดำเนินการเองออกไปให้แก่ภาคส่วนอื่น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ
2. ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ ต้องทำงานในเชิงรุกและมองไปข้างหน้า โดยตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร จะแก้ไขปัญหาความต้องการและความเดือดร้อนของประชาชนโดยไม่ต้องรอให้ประชาชนเข้ามาติดต่อราชการ หรือร้องขอความช่วยเหลือจากทางราชการ พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกและมีการเชื่อมโยงกันของทางราชการเพื่อให้การบริการต่าง ๆ สามารถเสร็จสิ้นในจุดเดียว
3. มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย กล่าวคือ ต้องทำงานอย่างเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า มีการวิเคราะห์ความเสี่ยง สร้างนวัตกรรมหรือความคิดริเริ่มและประยุกต์องค์ความรู้ในรูปแบบของสหวิทยาเข้ามาใช้ในการตอบโจทย์ให้กับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพื่อสร้างคุณค่า มีความยืดหยุ่นและความสามารถในการตอบสนองกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันเวลา ตลอดจนเป็นองค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง และปรับตัวเข้าสู่สภาพความเป็นสำนักงานสมัยใหม่
ความสำเร็จของการพัฒนาระบบไปสู่ระบบราชการ 4.0 ต้องอาศัยปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
1. การผสานพลังระหว่างภาครัฐและภาคส่วนอื่น ๆ ในสังคม ซึ่งเป็นการยกระดับการทำงานให้สูงขึ้นไปกว่าการประสานงาน (Coordination) หรือการทำงานร่วมกัน (Cooperation) ไปสู่การร่วมมือกัน (Collaboration) อย่างแท้จริง โดยจัดระบบการวางแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการร่วมกัน มีการระดมและนำทรัพยากรมาแบ่งปันและใช้ประโยชน์ร่วมกัน มีการยอมรับความเสี่ยงและรับผิดชอบต่อผลสำเร็จที่เกิดขึ้นร่วมกัน เพื่อพัฒนาประเทศหรือแก้ปัญหาของประเทศที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
2. การสร้างนวัตกรรม ซึ่งเป็นการคิดค้นและแสวงหาวิธีการหรือ Solutions ใหม่ ๆ อันจะเกิด Big Impact เพื่อปรับปรุงและออกแบบการบริการสาธารณะและนโยบายสาธารณะให้สามารถตอบโจทย์ความท้าทายของประเทศหรือตอบสนองปัญหาความต้องการของประชาชนได้อย่างมีคุณภาพ อันแรงขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมของการเปลี่ยนแปลงโดยออกแบบห้องปฏิบัติการ (Gov Lab-Public Sector Innovation Lab) และใช้กระบวนการความคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking)
3. การปรับตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของการจัดเก็บและประมวลข้อมูลผ่าน Cloud Computing อุปกรณ์ประเภท Smart Phone และ Collaboration Tool ทำให้สามารถติดต่อกันได้อย่าง Real Time ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลสลับซับซ้อนต่าง ๆ ได้
ข้อ 3. จงอธิบายปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหาร และในกรณีประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารมีลักษณะอย่างไร
แนวคำตอบ
ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหาร
1. ฝ่ายการเมืองแทรกแซงฝ่ายบริหาร โดยปกติแล้วฝ่ายการเมืองจะเป็นผู้กำหนดนโยบายโดยผ่านกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล และพรรคการเมือง ซึ่งองค์กรทางการเมืองเหล่านี้จะรวบรวมผลประโยชน์ผ่านไปให้รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจและนำนโยบายไปปฏิบัติให้รัฐสภาเพื่อบัญญัติเป็นกฎหมาย แต่ทว่าฝ่ายบริหารซึ่งเป็นข้าราชการประจำและกฎหมายเหล่านั้นนำไปปรับใช้ แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นว่าฝ่ายการเมืองมักจะเข้าแทรกแซง แต่งตั้งหรือโยกย้ายฝ่ายปฏิบัติโดยไม่เป็นไปตามมติของผู้ปฏิบัติเสียเอง หรือไม่ก็ร่วมมือปฏิบัติกับฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เพราะฝ่ายการเมืองอาจจะพยายามปกป้องผลประโยชน์ในทางราชการซึ่งตนมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย หรือเป็นเพราะไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารว่าจะไม่ได้รับความร่วมมือเต็มที่จากฝ่ายบริหาร ฝ่ายการเมืองอาจจะใช้เทคนิคกลั่นแกล้งทางการเมือง หรืออาจทำให้ไม่เห็นด้วยหรือขัดขวางนโยบายของฝ่ายการเมืองอาจจะปฏิบัติงานไม่เต็มความสามารถและล่าช้า อันทำให้ประชาชนเกิดความไม่พอใจในผลงานของนโยบาย
แม้ว่าการกำหนดนโยบายไปปฏิบัติจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารซึ่งมักเกิดความล้มเหลวก็กล่าวหาว่าประชาชนจะมีส่วนมุ่งตำหนิข้าราชการประจำ ทั้งนี้เนื่องจากระบบประชาธิปไตยนั้นประชาชนมักจะตำหนิหรือเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในการเมืองหรือรัฐบาลที่ตนเลือกเข้ามาบริหารประเทศนั่นเอง
ต่อฝ่ายการเมืองอันเป็นไปด้วยความสะดวกสบายของฝ่ายการเมือง ระบบการเมืองโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนานั้น มักจะขาดสถาบันทางการเมืองที่มั่นคงและมีความสามารถ ดังนั้นการถ่วงดุลหรือการควบคุมอำนาจของระบบราชการจึงมีน้อย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ข้าราชการประจำ ทั้งทหารและพลเรือนเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ง่าย ซึ่งเป็นลักษณะการผูกขาดของอำนาจ แต่หากพิจารณากันอย่างแท้จริงแล้วนั้นเป็นหน้าที่ของระบบราชการที่จะต้องเข้ามาเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของชาติ ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองขาดองค์กรทางการเมืองพื้นฐานอื่น ๆ เช่น สภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น
นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารมักจะเห็นว่าฝ่ายการเมืองนั้นไม่มีความถนัดชัดเจนในการสร้างนโยบาย เนื่องจากคอยแก่งแย่งตำแหน่งทางการเมือง แม้ว่าจะเข้ามาดำรงตำแหน่งก็เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวและไม่มีข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารเมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการ การไม่มีความสามารถเฉพาะด้านดังกล่าวทำให้ข้าราชการให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ระดับน้อยไปจนถึงที่สุดคือ การให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไปจนถึงระดับมากที่สุดคือ การเข้าครอบงำฝ่ายการเมืองโดยการเสนอนโยบายหรือนำนโยบายไปเอง และกรณีนี้จะมีครบทุกรูปแบบ ยิ่งขึ้นถ้าหากข้าราชการประจำดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในขณะเดียวกัน นอกจากนั้นความไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมืองเนื่องจากเกรงว่าฝ่ายการเมืองจะเข้าแทรกแซงในงานประจำของตนอันทำให้ผลประโยชน์และสถานภาพของตนถูกกระทบกระเทือน ซึ่งการเข้าใจผิดหรือการไม่ยอมรับปฏิบัติตามหลักความเป็นกลางทางการเมืองก็เป็นเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายบริหารเข้าแทรกแซงฝ่ายการเมืองเช่นกัน
3. ความแตกต่างด้านข้อจำกัดพฤติกรรม กล่าวคือ ฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองนั้นจะต้องทำตัวให้สอดคล้องกับอุดมการณ์และความต้องการของผู้เลือกตั้งเสียเป็นส่วนใหญ่ พฤติกรรมของฝ่ายการเมืองจึงผันแปรไปตามมติมหาชนและชื่อเสียงเรียกร้องของผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของนักการเมือง แต่สำหรับฝ่ายบริหารหรือข้าราชการนั้นจะปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ และไม่มีความจำเป็นโดยตรงที่จะเอาใจหัวคะแนนหรือประชาชนกลุ่มใดโดยเฉพาะ
4. ความแตกต่างทางด้านระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง กล่าวคือ ฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองจะมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญและพ้นจากตำแหน่งไปเมื่อมีการยุบสภาหรือหมดวาระ มีการปฏิวัติรัฐประหาร หรือมีกรณีต้องปรับปรุงหรือพ้นจากตำแหน่งเพราะมีกรณีมลทินทางการเมือง เช่น การปรับคณะรัฐมนตรี แต่สำหรับฝ่ายบริหารหรือข้าราชการนั้นถ้าไม่มีความผิดปกติ ข้าราชการไปตามปกติคืออยู่ในระบบราชการไปจนปลดเกษียณอายุราชการ ซึ่งหมายความว่าข้าราชการปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องมากกว่านักการเมือง
5. ความแตกต่างทางการเมือง กล่าวคือ ฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองต้องเป็นผู้ที่สังกัดพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์หรือมีแนวนโยบายที่แสดงให้เห็นว่า พรรคการเมืองนั้นต้องการสนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มชนกลุ่มใด มีอุดมการณ์ในทางที่จะกำหนดทิศทางของการเมืองอย่างไร ส่วนฝ่ายบริหารหรือข้าราชการนั้นแม้ว่าจะสังกัดพรรคการเมืองใดโดยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะต้องวางตัวเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดโดยความเป็นจริงแล้ว ในทางปฏิบัติมีข้าราชการจำนวนหนึ่งที่ยังนิยมยึดถือค่านิยมทางการเมืองโดยการกระทำทางการเมืองอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยเหตุผลในเรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น การให้ความช่วยเหลือเหลือในการโยกย้ายตำแหน่ง การสนับสนุนเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง ส่วนข้าราชการอย่างให้ความช่วยเหลือเหลือในการให้ข้อมูลข่าวสารหรือในการเลื่อนเงินเดือน เป็นต้น
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหาร
1. ความสัมพันธ์ในระบบรัฐสภา กล่าวคือ ในหลักการปกครองของระบบการเมืองประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) ฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการนำนโยบายและนโยบายที่ได้แถลงต่อประชาชนไปดำเนินการให้เกิดผล ฝ่ายบริหารจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น ดังนั้นลักษณะของความสัมพันธ์จึงมีลักษณะเสมือนฝ่ายการเมืองเป็นผู้บังคับบัญชาการของฝ่ายบริหารโดยตรงของการเลือกตั้งและฝ่ายบริหารมีหน้าที่สนองนโยบายของฝ่ายการเมืองในฐานะที่ตนเองเป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นกลไกเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวนโยบายที่ฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนด
2. ความสัมพันธ์ในการกำหนดนโยบาย กล่าวคือ การกำหนดนโยบายเป็นกระบวนการทางการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐ เพื่อกำหนดเป้าหมายและเพื่อจัดสรรคุณค่าที่อยู่ในสังคม ผู้ใช้อำนาจรัฐดังกล่าวได้แก่ นักการเมือง ส่วนการบริหารเป็นกระบวนการปฏิบัติงานตามนโยบายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ฝ่ายการเมืองกำหนดไว้ โดยมีข้าราชการประจำให้ดำเนินการ ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหารจึงมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้กำหนดเป้าหมาย (Ends) กับวิธีการ (Means) การตัดสินใจกำหนดนโยบายนั้น นักการเมืองต้องคำนึงถึงคุณค่าในสังคมที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการมีอยู่มากมาย อีกทั้งนโยบายหรือเป้าหมายจะต้องเอื้ออำนวยให้กระบวนการเมืองมีเสถียรภาพและนำไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งนโยบายหรือเป้าหมายนี้จะเป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินนโยบายโดยมีข้าราชการประจำไปปฏิบัติ แต่แยกจากการนำนโยบายไปปฏิบัติโดยเด็ดขาดแล้ว ฝ่ายบริหารยังมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจกำหนดนโยบายและนโยบายอีกด้วย เนื่องจากนักการเมืองมิใช่ไม่อาจจะเข้าใจถึงเป้าหมายและสภาพของสังคม แต่ยังต้องมีข้อมูลข่าวสารและสภาพความเป็นจริงเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ แหล่งที่มาของข้อมูลที่สำคัญที่สุดคือจากข้าราชการประจำ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานต่อเนื่อง มีความรู้และประสบการณ์
3. ความสัมพันธ์ในด้านนิติบัญญัติ ตามหลักการปกครองของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาประกอบด้วยนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ละเอียดถี่ถ้วน ข้อเสนอข้อมูลให้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายให้ถูกต้องสมบูรณ์ แต่โดยหลักการแล้วพบว่าฝ่ายบริหารเข้าไปมีส่วนร่วมในการดำเนินการทางด้านกฎหมายภายใต้การนำของฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อการตัดสินใจต่อการตัดสินนโยบายโดยฝ่ายนิติบัญญัติอย่างมาก ทั้งนี้เพราะฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีเวลาในการกำหนดนโยบาย
4. ความสัมพันธ์ในการควบคุมบังคับบัญชา กล่าวคือ อำนาจในการควบคุมบังคับบัญชาถือเป็นปัญหาที่สำคัญยิ่งในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เนื่องจากอำนาจในส่วนนี้เป็นอำนาจที่สำคัญยิ่งเพื่อให้คุณค่าแก่ฝ่ายการเมืองได้แก่ อำนาจในการบรรจุแต่งตั้ง ซึ่งรวมถึงอำนาจในการสั่งย้ายฝ่ายบริหารด้วย การควบคุมซ้อนเร้นและการลงโทษ ซึ่งเป็นกระบวนการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ฝ่ายการเมืองมีอยู่อย่างจำกัด ความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นนโยบายและฉบับ ซึ่งจะมีความสอดคล้องแตกต่างกันออกไปอย่างมีนัยยะสำคัญ
จากการพิจารณาศึกษา
จากการพิจารณาศึกษาโดยคณะกรรมาธิการ (เปลี่ยนชื่อ) อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีมติความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่…
โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) 2554 มาตรา 123/1 ประกอบ ป.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 192 กรณีใช้อำนาจโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการ สมช. ให้ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำโดยมิชอบ
เมื่อ ป.ป.ช. มีความเห็นและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ แต่อัยการสูงสุดขณะนั้นไม่สมบูรณ์ในสำนวน ป.ป.ช. และอัยการจึงตั้งคณะทำงานร่วมกันสองฝ่าย พิจารณาแล้วยังสั่งฟ้องไม่ได้ ซึ่งภายหลังอัยการสูงสุด มีความเห็นฟ้องคดีคณะกรรมการร่วม อัยการ และ ป.ป.ช. ได้มีมติสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ตามข้อกล่าวหาอาญา คดีถึงที่สุดแล้วทางการเมือง
พฤติการณ์ในคดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โทรศัพท์สั่งการให้นายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการ สมช. มาเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงมีบันทึกข้อความลงวันที่ 4 กันยายน 2554 ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ขอความยินยอมรับโอนนายถวิล และได้มีบันทึกข้อความถึง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อให้ความเห็นชอบ และยินยอมการโอนนายถวิล ทั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ และ พล.ต.อ.โกวิท ให้ความเห็นชอบการโอนย้าย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจึงนำเรื่องเสนอนะคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติ
แต่ก่อนหน้าเข้ามา พบว่า วันที่ 4 กันยายน 2554 ที่นางสาวยิ่งลักษณ์โทรสั่งการนั้นเป็นวันอาทิตย์ หยุดราชการ การสั่งให้แก้ไขบันทึกข้อความจากฉบับเดิมเป็นฉบับวันที่ 5 กันยายน ก่อนเสนอ ครม. เห็นชอบ วันที่ 6 กันยายน 2554 ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์มีเจตนาซ่อนเร้น และ ครม. มีมติรับทราบการโอนนายถวิล การดำเนินการดังกล่าวเร่งรีบ รวบรัด กระทำการภายใน 4 วัน เท่านั้น
นางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครอง และเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่าการสั่งให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งและโอนไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาโดยไม่แสดงเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายถวิลไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีประสิทธิภาพ หรือบกพร่องพร้อมทั้งไม่ยอมนโยบายของรัฐบาล จึงถือได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย