การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ
คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ข้อ 1. การเมือง (Politics) คืออะไร ? จงอธิบาย และยกตัวอย่างประกอบ และการเมืองเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับระบบราชการอย่างไร ? (ตอบและอธิบายเป็นข้อ ๆ)
แนวคำตอบ
การเมือง (Politics) คือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐ เพื่อจัดสรรผลประโยชน์และคุณค่าต่าง ๆ ทางสังคมให้แก่ประชาชนส่วนรวมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งการจัดสรรผลประโยชน์และคุณค่าทางสังคมให้แก่ประชาชนจะออกมาในรูปของกฎหมาย นโยบาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่ง
แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง สรุปได้ดังนี้
1. การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยแนวคิดนี้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของรัฐในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยบุคคลหรือกลุ่มได้มาซึ่งอำนาจอาจมีผลประโยชน์ร่วมกันหรือขัดกัน หรือมีความเห็นที่เหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ตาม มาทำการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจหน้าที่ในการปกครองและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะให้สามารถตัดสินใจในเรื่องของส่วนรวมได้โดยชอบธรรม
2. การเมืองเป็นเรื่องการจัดสรรคุณค่าของสังคม โดยแนวคิดนี้มองว่า การเมืองเป็นเรื่องการจัดสรรทรัพยากรของรัฐซึ่งจะมีคุณค่าในสังคม ในสังคมนั้นมีคนชอบบุคคลหรือกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นที่พ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ในสังคม
3. การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง โดยแนวคิดนี้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้งของกลุ่มบุคคลที่ต้องการเข้ามามีอำนาจทางการเมืองการปกครอง ทั้งที่คนในสังคมหรือคนที่ไม่สมหวัง คนบางส่วนอาจเกิดความไม่พอใจในอำนาจรัฐ และในสังคมเมื่อมีคนอยู่ด้วยกันก็มักจะมีความขัดแย้งจากทรัพยากรของประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มาก และมีความต้องการใช้อย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งหากไม่มีองค์กรจัดสรรก็อาจเกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมมีสภาวะยุ่งยากวุ่นวายและอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารและการพัฒนาประเทศได้
4. การเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ต่าง ๆ โดยแนวคิดนี้มองว่าการเมืองควรจะเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ไม่ใช่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ส่วนตนหรือพรรคพวก
5. การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศ โดยแนวคิดนี้มองว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารราชการเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันได้ เนื่องจากอำนาจทางการเมืองมักถูกนำไปใช้ผ่านการบริหารราชการแผ่นดินให้มีการดำเนินตามนโยบาย จึงรวมถึงการควบคุม แต่งตั้งข้าราชการประจำผู้ซึ่งนำนโยบายไปปฏิบัติ
6. การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ โดยแนวคิดนี้มองว่าการเมืองคือกระบวนการกำหนดนโยบาย โดยฝ่ายการเมืองมีหน้าที่กำหนดนโยบาย ส่วนฝ่ายข้าราชการทำหน้าที่นำนโยบายไปปฏิบัติ
ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับระบบราชการ
1. ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน โดยนำเอาความต้องการของประชาชนมาแปรเป็นนโยบาย และฝ่ายข้าราชการประจำนั้นมีบทบาทในการผลักดันให้นโยบายที่ฝ่ายการเมืองกำหนดขึ้นนำไปปฏิบัติ ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับประเพณีของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การทำงานเป็นไปโดยราบรื่น
2. ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่ทำให้ข้าราชการประจำ เข้าใจนโยบาย และติดตามผลการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งเปรียบเสมือนวัตถุประสงค์ของนโยบายหรือไม่เพียงใด ในขณะที่ข้าราชการประจำมีหน้าที่ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งมีความสำคัญในทุกขั้นตอนของนโยบาย ตั้งแต่เริ่มนโยบาย แผนงาน และโครงการนั้นมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนและมีกรอบเวลาที่แน่นอนอีกด้วย อีกทั้งยังต้องอาศัยปัจจัยต่าง ๆ สนับสนุนจำนวนมาก ดังนั้นนโยบายที่ปฏิบัติจะสำเร็จมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติงานของข้าราชการประจำ
3. ฝ่ายข้าราชการประจำมีหน้าที่ให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะ คำชี้แจง และความคิดเห็นบางประการแก่นักการเมืองในการกำหนดนโยบาย หรือการบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบาย เพราะโดยรายละเอียดระดับปฏิบัติมิใช่ระดับนโยบาย เพราะข้าราชการประจำจะรู้รายละเอียดในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีกว่านักการเมือง
4. ฝ่ายการเมืองอาจมีความรู้ความสามารถแบบกว้าง ๆ และไปในด้านนโยบายหมายทางเมือง และมุ่งเน้นการตอบสนองต่อประชาชนเป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนกันไป แต่ฝ่ายข้าราชการประจำมีการสั่งสมความรับผิดชอบในแนวยาวเกี่ยวกับงานบริหารราชการบ้านเมืองเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝ่ายการเมืองไม่มีเสถียรภาพและยังไม่มีความเป็นสถาบันทางการเมือง ซึ่งต้องอาศัยข้าราชการประจำที่เป็นหลักในการบริหารบ้านเมือง
5. ฝ่ายข้าราชการประจำมีบทบาทในการริเริ่มและนำเสนอนโยบายใหม่ ๆ แก่ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะข้อคิดเห็นในเรื่องวิชาการในทางเลือกทางนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่รัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งนี้เนื่องจากระบบราชการเป็นที่รวมบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในทุกสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานในกระทรวงนั้น ๆ จึงจำเป็นต้องอาศัยความคิดริเริ่มใหม่ ๆ จากข้าราชการประจำ (อธิบดี หรือปลัดกระทรวง) เช่น งานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี งานด้านกฎหมาย เป็นต้น
6. ระบบการเมืองและระบบราชการไม่อาจแยกออกจากกันได้ โดยเหตุผลสำคัญ ได้แก่
– ในมิติโครงสร้าง ระบบราชการนั้นมีฐานะเป็นระบบย่อยของระบบการเมือง กล่าวคือ ในระบบการเมืองจะประกอบด้วยระบบรัฐสภา ระบบเลือกตั้ง ระบบพรรคการเมือง และระบบบริหารราชการนั่นเอง
– ในมิติกระบวนการ การกำหนดนโยบายของรัฐบาลนั้น นักการเมืองยังมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาข้าราชการประจำ เพราะนักการเมืองเพียงลำพังขาดความชำนาญด้านเทคนิค อีกทั้งยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับระบบราชการที่ซับซ้อนอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นภาระที่นักการเมืองจะเข้าใจและรวบรวมได้
– ในมิติพฤติกรรม บรรดาข้าราชการประจำที่เป็นฝ่ายบริหารต้องป้อนข่าวสารข้อมูล ให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะแก่นักการเมืองฝ่ายการเมือง ซึ่งเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ผูกมัดให้แก่บรรดาข้าราชการเมือง โดยฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารอันแท้จริง ทั้งนี้หัวหน้าฝ่ายนิติบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับบริการทางวิชาการฝ่ายบริหาร มิได้หมายถึงฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น
กฎหมายหรือการตีความกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีหน้าทีกำหนดกฎหมายในบางระดับได้ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงดูเหมือนจะทำหน้าที่ของทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการด้วย
ข้อ 2. Nicolas Henry ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการบริหารภาครัฐ ที่เรียกว่า พาราไดม์ (Paradigm) พบว่า มีจำนวน 5 พาราไดม์ (Paradigm) อะไรบ้าง ? อย่างไร ? จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
แนวคำตอบ
นิโคลัส เฮนรี่ (Nicolas Henry) ได้จำแนกพาราไดม์ (Paradigm) หรือการศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาการบริหารภาครัฐ ออกเป็น 5 พาราไดม์ ได้แก่
1. พาราไดม์ยุคการแยกการเมืองออกจากการบริหาร อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1900 – 1926 นอกจากจะเป็นแนวคิดที่มีการแยกการเมืองออกจากการบริหารแล้ว ยังมีแนวคิดเชิงเทคนิคออกจากค่านิยม แยกการบริหารรัฐกิจออกจากจริยธรรม ซึ่งในยุคนี้จะเน้นการทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการบริหารออกเป็นสองส่วน คือการเชื่อมความคิดความเข้าใจเข้าถึงการเมืองนิยมและความจริงเชิงจริยธรรม โดยการบริหารจะเป็นการศึกษาวิทยาศาสตร์และมีความเป็นจริง ส่วนนโยบายสาธารณะและความรู้สึกก็จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของรัฐศาสตร์
2. พาราไดม์ยุคหลักการบริหาร อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1927 – 1937 เป็นช่วงที่ค้นพบหลักการทางการบริหารที่มีการบริหาร โดยแนวคิดแหล่งที่มา (Locus) ของการบริหารรัฐกิจถืออยู่ทุกที่ หลักการก็คือหลักการบริหาร หลักการบริหารที่ถือว่าหลักการบริหารยุคนี้ถูกเรียกว่า “จุดสูงสุดของการบริหารแบบดั้งเดิม” โดยปรัชญาการบริหารรัฐกิจ โดยเริ่มจากงานเขียนของวิลเลียม วิลลัฟบี (William F. Willoughby) ในหนังสือชื่อ “Principles of Public Administration” และงานเขียนของลูเธอร์ กูลิค (Luther H. Gulick) และลินดัลล์ เออร์วิค (Lyndall Urwick) ในหนังสือชื่อ “Paper on the Science of Administration” หรือแนวคิด “การจัดการในเชิงบริหารงานของหัวหน้าฝ่ายบริหาร” ที่เรียกว่า POSDCORB นั่นเอง
3. พาราไดม์ยุครัฐประศาสนศาสตร์เป็นรัฐศาสตร์ อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1970 ช่วงที่มีแนวคิดว่ารัฐศาสตร์เป็นแม่บทของรัฐประศาสนศาสตร์ ดังนั้นรัฐประศาสนศาสตร์จึงต้องโยงกับรัฐศาสตร์ ด้วยซึ่งมีแนวคิดที่มีการพัฒนาแนวคิดที่สำคัญ 3 แนว คือ การศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง การบริหารเปรียบเทียบ และการบริหารการพัฒนา นอกจากนั้นยังมีการแยกย่อยแขนงวิชาออกเป็นช่วงแห่งการตามติดระหว่างการบริหารรัฐกิจกับรัฐศาสตร์ขึ้นใหม่ แต่ก็แตกกันคล้ายคลึงกับศาสตร์สาขาวิชาที่แตกต่างกันออกไป ทั้งแนวคิดและประเด็นที่วิเคราะห์
4. พาราไดม์ยุครัฐประศาสนศาสตร์เป็นบริหารศาสตร์ อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1956 – 1970 เนื่องจากรัฐประศาสนศาสตร์เกี่ยวข้องกับการบริหารในองค์การ (Organization Theory) และวิทยาการจัดการ (Management Science) นั่นคือ ทฤษฎีองค์การหรือพฤติกรรมองค์การจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมองค์การให้ได้ดีขึ้นว่า การดำเนินงานอย่างไร คือศึกษาพฤติกรรมของคนในองค์การว่าทำไมจึงต้องมีเงื่อนไขตัดสินใจและตัดสินใจอย่างไร ส่วนวิทยาการจัดการนั้นจะเน้นการคิดวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. พาราไดม์ยุครัฐประศาสนศาสตร์เชิงรัฐประศาสนศาสตร์** ซึ่งเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา โดยจะให้ความสนใจในเรื่องวิทยาการทางการบริหารต่าง ๆ ในฐานะที่เป็นเครื่องมือทางด้านพฤติกรรมศาสตร์ รวมถึงการศึกษาพฤติกรรมรวมหมู่ ซึ่งนำไปสู่การสะสมองค์ความรู้ในเชิงชุมชนเมืองและสัมพันธภาพทางการบริหารระหว่างองค์การกับเอกชน และการอยู่ร่วมกันระหว่างความเป็นจริงในทางเทคโนโลยีและสังคม อีกทั้งยังเป็นช่วงที่พยายามสร้างเอกลักษณ์แท้จริงของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ทั้งนี้เพราะเหตุที่ผ่านมาพบว่าวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีความผูกพันอยู่กับศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์อื่น ๆ
ข้อ 3. การนำนโยบายไปปฏิบัติซึ่งถือว่าเป็นบริหารซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบราชการ ให้นักศึกษายกตัวแบบ (Model) การนำนโยบายไปปฏิบัติจากการศึกษากระบวนวิชา POL 3311 ของนักวิชาการท่านใดก็ได้ ที่นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจมากที่สุด เพียงตัวแบบ (Model) เดียว อธิบายให้ละเอียด และยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
แนวคำตอบ
ตัวแบบเชิงการพัฒนาองค์การ (The Organization Development Model)
ตัวแบบนี้เน้นการสร้างความผูกพันและการยอมรับ เพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการทางจิตวิทยาและทางสังคมของมนุษย์ การมีส่วนร่วมขององค์การเป็นสำคัญ และเน้นว่าความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในการนำนโยบายไปปฏิบัติจะประสบความสำเร็จสูงขึ้น ถ้ามีการพัฒนาความสัมพันธ์ดังกล่าว ทั้งในเรื่องการจูงใจ การสื่อส่วนร่วม การทำงานเป็นทีม ความผูกพันและการยอมรับ โดยได้รับการบริหารจัดการทางองค์การที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงพยายามทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานตามที่ผู้บังคับบัญชากำหนดไว้ จะต้องพยายามทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความรู้สึกผูกพันกับองค์การและผู้ร่วมงานรู้สึกว่าตนมีโอกาสที่จะใช้ความรู้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่เพียงพอ ตลอดจนมีโอกาสทำงานที่เป็นทีม มีการใช้ความรู้จากคุณค่าของการตัดสินใจและผู้บังคับบัญชาที่มีทั้งระดับล่างนั้นเป็นเรื่องข้อขัดสภาพความเป็นจริง แต่การให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตระหนักในความสำคัญของนโยบาย และเห็นว่าเรื่องของนโยบายเป็นเรื่องของกระบวนการที่ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจนโยบายและมีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดหรือวางนโยบาย
โดยอาจถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวแบบเชิงการพัฒนาองค์การในการนำนโยบายไปปฏิบัติได้ ความสัมพันธ์ระหว่าง การจูงใจ, การมีส่วนร่วม, การทำงานเป็นทีม, ความผูกพันและการยอมรับ ซึ่งทั้งหมดส่งผลไปยัง ผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ตัวอย่างการพัฒนาองค์การของเคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin)
รูปแบบตามขั้นตอนของ Kurt Lewin ประกอบด้วย
1. การละลายพฤติกรรม (Unfreezing) หรือระยะลายสิ่งที่เป็นอยู่ โดยโดยการขับเคลื่อนที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การอธิบายถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง การอธิบายถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลง เพื่อลดอุปสรรคจากการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
2. การเปลี่ยนแปลง (Changing/Moving) เป็นกระบวนการเรียนรู้พฤติกรรมใหม่เพื่อนำไปสู่พฤติกรรมองค์การที่พึงปรารถนา โดยผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การสอนงาน การพัฒนา ฝึกอบรม การสาธิต การวิจัย เป็นต้น
3. การธำรงพฤติกรรมใหม่ (Refreezing) เป็นช่วงที่พฤติกรรมที่ได้เรียนรู้ใหม่อยู่ตัว จึงต้องมีการเสริมแรงโดยการจัดทำเป็นระบบมาตรฐานและกระตุ้นจูงใจให้บุคคลปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
กระบวนการในการพัฒนาองค์การ
1. การรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
2. การวินิจฉัยเบื้องต้น (Initial Diagnosis)
3. การพิสูจน์ข้อมูล (Data Confrontation)
4. การวางแผนการปฏิบัติงาน (Action Planning)
5. การสร้างทีมงาน (Team Building)
6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม (Intergroup Development)
7. การประเมินผลและติดตามผล (Appraisal and Follow-Up)
ข้อ 4. นักศึกษาคิดว่า ความขัดแย้งระหว่างการแทรกแซงกับระหว่างข้าราชการประจำกับข้าราชการการเมืองของไทยมีในเรื่องอะไรบ้าง ? อย่างไร ? ตอบเป็นข้อ ๆ และอธิบาย
แนวคำตอบ
ความขัดแย้งระหว่างข้าราชการประจำกับข้าราชการการเมืองของไทย
1. ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงฝ่ายบริหารราชการในแง่ของการแต่งตั้ง โยกย้าย ข้าราชการประจำ อย่าไร้ฝ่ายบริหารราชการมีการแทรกแซงฝ่ายการเมืองโดยการเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายโดยเฉพาะเรื่องที่ตนมีความเชี่ยวชาญ รวมถึงการชี้ชวนจูงใจให้ฝ่ายการเมืองกำหนดนโยบายให้เป็นไปตามที่ตนต้องการหรือองค์การต้องการ หรือโดยการเสนอทางเลือกที่นักการเมืองต้องตัดสินใจ
2. ข้าราชการประจำมักเข้าไปมีบทบาทและมีบทบาททางการเมือง ทั้งในเรื่องการดำรงตำแหน่งทางการเมือง** และการใช้อิทธิพลควบคุมพฤติกรรมของนักการเมือง กล่าวคือ ข้าราชการประจำไม่ได้ทำหน้าที่ดำเนินงานไปตามนโยบายเท่านั้น แต่เข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย เนื่องจากข้าราชการประจำต้องปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องจึงมีความรู้และประสบการณ์ในงานของตนเอง แต่ นักการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเพียงชั่วคราวเพราะต้องออกไปแล้วด้วยวิธีการทางการเมือง แม้นักการเมืองจะมีอำนาจอย่างเป็นทางการตามรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ข้าราชการ โดยเฉพาะคณะทหาร
3. ระบบราชการมีปัญหาส่วนตัวการบริหารงานบุคคล มีระบบการบรรจุบุคคลแบบระบบอุปถัมภ์ (Merit System) มาใช้ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเท่านั้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วยังคงมีความล้มเหลวอยู่มาก เนื่องจากยังคงมีพฤติกรรมส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นบ่อเกิดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาได้ง่าย ก่อให้เกิดระบบอุปถัมภ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง พฤติกรรมดังกล่าวเป็นบ่อเกิดที่ทำให้การเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างข้าราชการด้วยกันเอง และการเลือกสรรบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งราชการให้ได้ระบบตามสายงาน นอกจากนี้การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนขั้นและหลักการประเมินบุคคลก็ค่อนข้างเป็นนามธรรม ข้าราชการมีการใช้อำนาจตามตำแหน่งในลักษณะที่เกินขอบเขต มักจะใช้อำนาจตามตำแหน่งอย่างเต็มที่จนเกินไปกับประชาชนมาก ส่งผลให้ข้าราชการที่มีความสามารถและมีความตั้งใจจริงปฏิบัติงานขวัญและกำลังใจในการทำงาน และส่วนหนึ่งต้องลาออกไปทำงานนอกระบบราชการ
4. การวางตัวไม่เป็นกลางของข้าราชการประจำ โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งระบบราชการมีอำนาจมาแต่เดิม ข้าราชการจึงเป็นผู้มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางเลือกนักการเมืองมากกว่าการยึดมั่นในความเป็นกลางในพฤติกรรมและจริยธรรม ในแง่พฤติกรรมแล้วอาจกล่าวได้ว่าข้าราชการจำนวนไม่น้อยในทุกระดับ มีพฤติกรรมที่ไม่เป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง ข้าราชการประจำบางคนอาจยอมตนรับผลประโยชน์จากพรรคการเมืองหรือนักการเมืองโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ให้คุณให้โทษแก่พรรคการเมืองคนหนึ่งคนใด