การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ
คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ข้อ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับระบบราชการฝ่ายการเมืองมีหน้าที่กำหนดนโยบาย (Policy-Making) ข้าราชการประจำมีหน้าที่นำนโยบายไปปฏิบัติ (Implementation) อย่างไรบ้าง จงอธิบายมาให้เข้าใจ
แนวคำตอบ
ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ
1. ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย (Policy-Making) โดยจะครอบคลุมถึงระบบรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสององค์การนี้มีความสำคัญในการกำหนดขอบเขตของการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Implementation) จากฝ่ายข้าราชการประจำ การกำหนดขอบเขตอาจทำได้โดยการบัญญัติกฎหมาย หรือกำหนดเป็นมติคณะรัฐมนตรี การออกกฎกระทรวง และระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้ฝ่ายข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติ นอกจากนี้ยังพิจารณาอีกว่าหน่วยราชการใดมีสมรรถนะเพียงพอที่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติได้บ้าง
2. นโยบายของฝ่ายการเมืองจะมีลักษณะเป็นนามธรรม ดังนั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติของฝ่ายข้าราชการประจำ จึงเป็นกระบวนการแปลงนโยบายให้มีลักษณะเป็นรูปธรรม โดยแปลงนโยบายให้เป็นแผนงาน (Program) และโครงงาน (Project) ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ
3. เมื่อนโยบายนั้น ๆ ดำเนินไปชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ฝ่ายการเมืองอาจจะเข้ามามีบทบาทในแง่ของการใช้อำนาจในการควบคุมเพื่อให้แน่ใจว่าได้มีการปฏิบัติ และพิจารณาปรับปรุงนโยบาย โดยพิจารณาว่านโยบายนั้นควรจะยุติ หรือควรได้รับการสนับสนุน หรือควรจะขยายผลต่อไป
4. ฝ่ายข้าราชการประจำที่รับผิดชอบนโยบายจะพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายการเมือง เพื่อให้เห็นว่าตนปฏิบัติตามนโยบายนั้นด้วยความเรียบร้อย มีความสำเร็จระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์และความสนับสนุนในการดำเนินงานต่อไป ซึ่งอาจเป็นไปในรูปของการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดิน หรือการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น
5. ฝ่ายข้าราชการประจำ อันได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานเทียบเท่า จะมีบทบาทหน้าที่คล้ายฟันเฟืองหรือกลไกที่จะเชื่อมประสานระหว่างฝ่ายการเมืองตัดสินใจกับการสนองต่อปัญหาและความต้องการของประชาชน จนมีคำกล่าวว่า “ระบบราชการคือระบบรับใช้ประชาชน” ทำให้ฝ่ายข้าราชการประจำสามารถสร้างบริการที่ไม่สามารถหาได้ในภาคธุรกิจที่มุ่งหากำไรเป็นที่ตั้ง ระบบราชการจึงเป็นระบบที่สำคัญในการนำนโยบายไปปฏิบัติ
6. ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัตินอกจากข้าราชการประจำ จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้กำหนดนโยบายหรือฝ่ายการเมือง เพราะถ้าการนำนโยบายไปปฏิบัติสำเร็จ ผู้กำหนดนโยบายก็จะได้รับการยอมรับและความศรัทธาจากประชาชน ซึ่งอาจส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองหรือการกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองของผู้กำหนดนโยบายนั้นเอง
ข้อ 2. นักวิชาการหลายท่านและศาสตราจารย์ ดร. ทินพันธ์ นาคะตะ ได้ชี้ให้เห็นว่า การเมืองไทยถูกครอบงำโดยระบบราชการในเรื่องอะไรบ้าง อย่างไร (ตอบมาเป็นข้อ ๆ) อธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรม
แนวคำตอบ
ศาสตราจารย์ ดร. ทินพันธ์ นาคะตะ ได้ชี้ให้เห็นว่า ระบบการเมืองของไทยถูกครอบงำโดยระบบราชการ ดังต่อไปนี้
1. ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงำทางการเมืองไทยมาตลอด ซึ่งในทางปฏิบัติ อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ข้าราชการโดยเฉพาะข้าราชการกลุ่มอภิสิทธิ์ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการปฏิบัติงานของนักการเมือง ตลอดจนกระตุ้นให้นักการเมืองและข้าราชการริเริ่ม ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกนโยบาย
2. ระบบราชการไทยทำหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มิ กฎหมายห้ามการจัดพรรคการเมือง และห้ามการชุมนุมทางการเมือง อีกทั้งสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพรรคการเมืองอีกด้วย เพราะพรรคการเมืองถูกยกเลิกบ่อยครั้งโดยการรัฐประหาร ทำให้ขาดโอกาสพัฒนาตนเอง ขาดความต่อเนื่อง และประชาชนไม่มีความคุ้นเคยและมองไม่เห็นความสำคัญของพรรคการเมือง ดังนั้นจึงทำให้ข้าราชการประจำเข้ามามีบทบาทเป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับรัฐ และทำหน้าที่แทนพรรคการเมืองในการชี้ประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไข
3. ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง อีกทั้งยังพบว่า ข้าราชการประจำมักเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เป็นต้น
4. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมทางการเมืองในเรื่อง “การยกย่องและแสดงความจงรักภักดีกับผู้มีอำนาจเหนือกว่า” สอนให้คนในประเทศเชื่อผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เชื่อว่าการปกครองเป็นเรื่องของเจ้าขุนมูลนาย ข้าราชการชั้นสูง และทหาร ส่วนราษฎรจะเป็นผู้เดินตามหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองจึงเสมือนเป็นนายกับบ่าว
5. ระบบราชการไทยควบคุมการดำเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด โดยจะครอบคลุมถึงทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ตลอดจนสื่อออนไลน์ โดยมีระเบียบในปัจจุบันทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพสื่อจะต้องขึ้นทะเบียนขอใบอนุญาต ผู้ใดประกอบวิชาชีพสื่อโดยไม่มีใบอนุญาตจะมีถึงโทษจำคุกและปรับ
6. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกำหนดข้อบัญญัติของสังคมและสภานิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งในเรื่องนี้ข้าราชการประจำคือผู้มีส่วนอย่างน้อยในการเตรียมรับนักการเมืองที่จะเข้าดำรงตำแหน่งบริหารและวางตัวข้าราชการและออกไปช่วยด้วยวิธีการเมือง ดังนั้นเมื่อนักการเมืองคนใหม่เข้าดำรงตำแหน่งจึงต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารและข้อคิดเห็นต่าง ๆ จากข้าราชการในการออกกฎระเบียบ ข้อบัญญัติ หรือข้อบังคับต่าง ๆ นั่นเอง
7. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ในการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งนี้เพราะข้าราชการไทยนั้นมีบทบาทในการกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาระยะสั้น เนื่องจากเป็นเรื่องของเทคนิค ข้าราชการประจำเท่านั้นเป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในการจัดทำงบประมาณ เพราะเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ส่วนนักการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติ มักจะขาดความรู้ ประสบการณ์ และถูกจำกัดโดยสถานการณ์ มีข้อผูกพันเดิมและเวลา จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก
8. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงมหาดไทยนั้นมีโครงสร้างขององค์กรและบุคลากรกระจายอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจในการเมือง ทั้งนี้ผู้ใช้อำนาจในเวลาเดียวกัน
ข้อ 3.วิชา POL 3311 ปัญหาการเมืองเป็นอย่างไรบ้าง จงอธิบายและหากจะพัฒนาการเมืองจะพัฒนาในเรื่องอะไรบ้าง อย่างไร (ตอบโดยใช้แนวของนักวิชาการท่านใดก็ได้)
แนวคำตอบ
ปัญหาการเมืองในทัศนะของลูเซียน พาย (Lucian W. Pye) มีดังนี้
1. รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มักร่างขึ้นเพื่อให้กลุ่มที่มีอำนาจที่แท้จริงขณะนั้นเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศ
2. การพัฒนาสถาบันทางการเมืองมีการครอบงำจากต่าง ๆ ถูกขัดขวางและปิดกั้นจากกลุ่มผู้มีอำนาจทางการเมือง
3. ชนชั้นปกครองส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับหลักความชอบธรรมในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย
4. มีการร่วมมือกันในหมู่ชนชั้นนำส่วนน้อยระหว่างผู้มีอำนาจกับผู้ใกล้ชิด
5. ประชาธิปไตยจะถูกใช้เป็นข้ออ้างสำหรับการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เสมอ เป็นต้น
การเมืองในทัศนะของลูเซียน พาย
ลูเซียน พาย เห็นว่า การพัฒนาการเมืองเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลง…ผลจากการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมและเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบต่อระบบและการกระบวนการทางการเมือง โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปในลักษณะที่ทำให้ระบบการเมืองและกระบวนการทางการเมืองสามารถเปิดกว้างให้กลุ่มคนในสังคมซึ่งด้อยอำนาจทางการเมืองสามารถมีสิทธิมีเสียงและมีอำนาจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองและใช้อำนาจนั้นร่วมกับชนชั้นปกครองเดิมได้อย่างสันติและมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองและใช้อำนาจนั้นร่วมกับชนชั้นปกครองเดิมได้อย่างสันติและมีส่วนร่วมทางการเมืองซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองโดยพลังทางสังคมและเศรษฐกิจ และยังเป็นตัวผลักดันให้มีการพัฒนาการเมือง
ลูเซียน พาย ได้สรุปประเด็นในเรื่องการพัฒนาการเมืองไว้ 10 ประการ คือ
1. การพัฒนาการเมืองเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ การเมืองที่พัฒนาแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ปัจจัยสำคัญที่จะเอื้ออำนวยความเจริญทางเศรษฐกิจ เช่น ช่วยให้รายได้ต่อหัวของชาติดีขึ้น มีการพัฒนาอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นได้ในระบบการเมืองที่แตกต่างกัน และจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นว่าในหลายประเทศยิ่งทำให้เห็นว่า หากระบบการเมืองเศรษฐกิจสูงก็จะส่งผลให้เกิดความสำเร็จในการพัฒนาการเมืองของตนเองและสังคม
2. การพัฒนาการเมืองเป็นการเมืองแบบประชาธิปไตยหรือสังคมอุตสาหกรรม กล่าวคือ การเมืองในประเทศอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นการเมืองแบบประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมในสังคมที่มีเหตุผล รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อมหาชนและความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งการ
ของสังคมอุตสาหกรรมนั้นนับได้ว่าเป็นอย่างยิ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จในการแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี โดยเฉพาะในปัญหาหลักคือ การแข่งขันกันอย่างเสรีในทุกเรื่อง ซึ่งจะเห็นว่าระบบการเมืองที่พัฒนาแล้วจะนำเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรมนั้น ระบบการเมืองจะต้องมีการพัฒนาสูง ดังนั้นลักษณะระบบการเมืองของสังคมอุตสาหกรรมก็คือ รูปธรรมของระบบการเมืองที่จะต้องพัฒนาแล้ว
3. การพัฒนาการเมืองเป็นความทันสมัยทางการเมือง กล่าวคือ การพัฒนาการเมืองจะต้องเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองให้มีความทันสมัย (Political Modernization) นั่นคือ จะต้องมีการแบ่งโครงสร้างทางการเมืองให้มีความแตกต่างกันชัดเจน สร้างสรรค์ให้เกิดเอกภาพในอำนาจทางการปกครอง และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง
4. การพัฒนาการเมืองเป็นเรื่องของรัฐชาติ กล่าวคือ แนวความคิดนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า แนวปฏิบัติทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้นยังถือได้ว่ามีลักษณะที่พัฒนาแล้วนั้นจะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในรัฐชาติยุคใหม่ กล่าวคือ รัฐชาติเหล่านี้จะมีการพัฒนาระดับสูงและสร้างความสำเร็จให้สังคมเรียนรู้รอยต่อสังคมให้มีความมั่นคง และยังสร้างลัทธิชาตินิยมอันเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการพัฒนาการเมือง ซึ่งจะนำไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐหรือชาติจะมีการพัฒนาทางการเมืองที่เรียกว่าการสร้างชาติ (Nation Building) นั่นเอง ดังนั้นแนวคิดนี้จึงหมายถึง การที่รัฐมีอำนาจอธิปไตยครอบคลุมทั้งประเทศ ประชาชนมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยโอนความจงรักภักดีมาเป็นเครื่องมือสำคัญเพื่อให้เกิดความเป็นชาติอย่างแท้จริง
5. การพัฒนาการเมืองเป็นการพัฒนากระบวนการและกฎหมาย กล่าวคือ แนวความคิดนี้มุ่งที่การพัฒนากฎหมายบ้านเมืองของสถาบันเป็นไปพร้อม ๆ กัน นั่นคือ การพัฒนากฎหมายเพื่อให้มีความทันสมัยของระเบียบและประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลถึงการพัฒนาทางการเมือง เพราะการเมืองของประเทศจะมีประสิทธิภาพหากมีกฎหมายแม่บทนั้น ระบบการเมืองที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของการบริหารราชการ และระบบกฎหมายจะช่วยให้การพัฒนาเพื่อดำรงความยุติธรรมของสังคม และตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ภายใต้ระบบการเมืองที่มีการพัฒนา
6. การพัฒนาการเมืองเป็นการสร้างมวลชนและการมีส่วนร่วมทางการเมือง กล่าวคือ การฝึกฝนและการให้ความสำคัญกับสมาชิกของสังคมในฐานะเป็นราษฎร ตลอดจนการส่งเสริมให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อรัฐชาติใหม่ และเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการพัฒนาการเมือง เพราะจะทำให้สำคัญของแนวคิดนี้ก็คือ อำนาจทางการเมืองนั้นเป็นของประชาชน ดังนั้นประชาชนจะต้องแสดงบทบาทในการควบคุม กำกับ และตรวจสอบระบบการเมือง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเมืองที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองดังกล่าวคือระบบการเมืองที่พัฒนา
7. การพัฒนาการเมืองเป็นการสร้างประชาธิปไตย กล่าวคือ แนวความคิดนี้ค่อนข้างจะแคบเนื่องจากเห็นว่าการพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการวางแนวทางเกี่ยวกับการสร้างประชาธิปไตย ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่านิยามที่อ้างถึงนี้ค่อนข้างจะลำเอียง มุ่งเน้นเพียงประชาธิปไตยในแบบตะวันตกในประเทศที่ด้อยพัฒนา ในขณะที่การเมืองของตนนั้นไม่เอื้อประโยชน์โดยเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาการเมืองภายใต้ระบบการเมืองที่มิใช่ประชาธิปไตย โดยมีระบบการเมืองที่มีการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่ค่อนข้างแสดงว่ามีการพัฒนามากขึ้นเท่านั้น
8. การพัฒนาการเมืองเป็นการเมืองที่มีเสถียรภาพและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ กล่าวคือ นักวิชาการบางส่วนมองว่าการเมืองที่มีการพัฒนาแล้วนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและไม่คาดฝันมาก่อน สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมใด ๆ ที่เปลี่ยนไปเลย นั่นแสดงว่าการเมืองได้พัฒนาแล้ว โดยได้ให้เหตุผลว่าระบบการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย
สังคมที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และไม่อาจก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองได้ ดังนั้นการพัฒนาการเมืองจึงเป็นลักษณะของการดำเนินชีวิตทางการเมืองที่ไม่วุ่นวายและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน แนวคิดนี้เห็นว่าลักษณะของระบบการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกฎเกณฑ์มักจะก่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งนี้เพราะประชาชนจะเกิดความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ
9. การพัฒนาการเมืองเป็นเรื่องของการระดมทรัพยากรและอำนาจ กล่าวคือ ถ้าระบบการเมืองใดสามารถที่จะระดมทรัพยากรและอำนาจเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถทำให้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนของระบบ และระบบยังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งสามารถแจกแจงทรัพยากรเหล่านี้อย่างเป็นธรรมโดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชนแล้ว ระบบการเมืองนั้นถือได้ว่าพัฒนาแล้ว
10. การพัฒนาการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม กล่าวคือ การพัฒนาการเมืองนั้นจะผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม การที่ด้านใดด้านหนึ่งของสังคมแปรเปลี่ยนไปย่อมกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ ด้วย การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจึงถือว่าเป็นลักษณะหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทั้งปวงของสังคม ดังนั้นในการศึกษาการพัฒนาการเมืองจึงจำเป็นต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปพร้อมกันด้วย
ข้อ 4. จงอธิบายแนวทางการปฏิรูประบบราชการในต่างประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่นักศึกษาสนใจมากที่สุด เพียงประเทศเดียว และยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม
แนวคำตอบ
การปฏิรูประบบราชการของประเทศญี่ปุ่น
การปฏิรูประบบราชการในประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีขึ้นภายใต้ความสนใจจากรัฐบาลอย่างจริงจังภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพื่อให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันได้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย รวมทั้งผู้นำของญี่ปุ่นมีความคิดว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแบบระบบบริหารราชการในภาครัฐเสียใหม่ เพื่อที่ระบบราชการของประเทศญี่ปุ่นจะสามารถตอบสนองกระแสโลกานุวัตน์ใหม่ ๆ ด้วยนั่นเอง
แนวทางการปฏิรูประบบราชการของประเทศญี่ปุ่น มีดังนี้
1. การปฏิรูประบบการคลัง โดยการตัดทอนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยกเลิกการดำเนินนโยบายการคลังที่ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ และพยายามจัดระบบการเงินให้เงินอุดหนุนมีความสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น
2. การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยการปฏิรูปองค์การในลักษณะเป็นบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นร่วม จัดระบบการจ้างงานที่สมเหตุสมผล และจัดหารายได้ให้ได้มากจากการขายหุ้นของรัฐบาล
3. การลดกฎระเบียบของทางราชการ โดยปฏิรูประบบการออกใบอนุญาตทั้งหลาย และลดจำนวนกฎระเบียบของรัฐในด้านการโทรคมนาคมและการธนาคารอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ส่วนท้องถิ่น ยกเลิกการแทรกแซงที่ไม่จำเป็นของรัฐบาลกลางต่อรัฐบาลท้องถิ่น และปฏิรูประบบราชการส่วนท้องถิ่นในด้านการจ้างงานและการจ่ายเงินเดือน
4. การปรับบทบาทส่วนภูมิภาค โดยการกระจายอำนาจการบริหารไปสู่รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น โดยจัดระบบในการมอบอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ส่วนท้องถิ่น และปฏิรูประบบราชการส่วนท้องถิ่นในด้านการจ้างงานและการจ่ายเงินเดือน
5. การปฏิรูประบบสวัสดิการ โดยการปฏิรูปโครงสร้างระบบบำเหน็จบำนาญที่อยู่หลายระบบกระจายอำนาจอยู่ที่ศูนย์บริหารราชการงานบุคคลเดียว และการจัดระบบการประกันภัยสุขภาพ
6. การปรับโครงสร้างระบบราชการและการควบคุมอัตรากำลัง โดยจัดระบบโครงสร้างหน่วยงานกลางทำหน้าที่ด้านการประสานงานให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และปรับโครงสร้างสำนักงานในส่วนกลางของกระทรวงต่าง ๆ และหน่วยงานพิเศษทั้งหลาย
7. การปรับปรุงหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ โดยยกเลิกหน่วยบริการเชิงธุรกิจ เช่น โรงพยาบาลของรัฐ กรมไปรษณีย์ และกรมป่าไม้
8. ดำเนินการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจ โดยยกเลิกกิจการรัฐวิสาหกิจ 19 แห่ง ทบทวนความเป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจอีก 50 แห่ง และปรับปรุงระบบการทำงานและการจัดการในรัฐวิสาหกิจ
9. การปรับปรุงกระบวนการบริหาร โดยกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะให้หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และออกกฎหมายบังคับให้มีการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
ยุทธศาสตร์ที่ทำให้การปฏิรูประบบราชการของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ
1. มีการกำหนดจำนวนส่วนราชการไว้ในกฎหมาย และหากจะจัดตั้งส่วนราชการขึ้นมาใหม่ก็ให้ยุบส่วนราชการที่มีอยู่เดิมในจำนวนเท่ากัน
2. เน้นการปฏิรูปในเรื่อง
1) การลดขนาดของภาคราชการ
2) การลดกฎระเบียบและการควบคุมของภาคราชการ
3) การแบ่งแยกงานบางส่วนราชการให้เอกชนทำ
4) การให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารและการจัดการของทางราชการมากขึ้น
3. ยุทธศาสตร์ที่นำไปสู่ความสำเร็จ
1) รัฐบาลได้ให้ความสำคัญและความสนใจในการปฏิรูประบบราชการ
2) แต่งตั้งบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
3) มีการให้คำมั่นสัญญาผูกพันการทำงานล่วงหน้าว่าจะนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการไปดำเนินการอย่างจริงจัง
4) จัดตั้งสำนักงานของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการโดยมีข้าราชการระดับปลัดทบวงเป็นหัวหน้าสำนักงาน และมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเต็มเวลา