การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ
คำสั่ง: ให้นักศึกษาตอบในสมุดคำตอบตามสีที่กำหนดไว้ในข้อสอบแต่ละข้อ ข้อ 1 สีเขียว ข้อ 2 สีดำ
ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้โดยสังเขป
1.1 สิทธิอำนาจ (Authority)
แนวคำตอบ: สิทธิอำนาจ (Authority) หมายถึง อำนาจที่มีรากฐานมาจากความเชื่อในคำสั่งที่ชอบธรรม (Legitimacy) ดังนั้นความชอบธรรมจึงเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนอำนาจและการครอบงำให้เป็นสิทธิอำนาจ
1.2 สถาบันนิยม (Institutionism)
แนวคำตอบ: แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ
1.3 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach) ของเดวิด อีสตัน (David Easton)
แนวคำตอบ: แนวคิดเชิงระบบ (System Approach) David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ
1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)
1.4 ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)
แนวคำตอบ (คำบรรยาย)
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกำหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือ ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์
1.5 การพัฒนาการเมือง (Political Development)
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)
แนวคิดเชิงการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ และสังคมย่อมมีผลต่อด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากลักษณะหนึ่ง ไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว จากระบบการเมืองที่ล้าสมัยไปสู่ระบบการเมืองที่ทันสมัย เป็นต้น
ข้อ 2. ให้นักศึกษาทำข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2
2.1 ขณะนี้ประเทศไทยได้จัดตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปประเทศในหลายด้าน รวมทั้งปฏิรูประบบราชการด้วย ให้ท่านเสนอปัญหาที่สำคัญ ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระบบราชการไทย พร้อมทั้งเสนอการปฏิรูประบบราชการต่อสภาปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหา จงอธิบายโดยละเอียดและเป็นข้อ ๆ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
ปัญหาของระบบราชการไทยที่สำคัญ ได้แก่
1. ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทำให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยติดอยู่กับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแยกไม่ออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยแก้ไขสภาพปัญหานี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด
2. ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการไทยมีโครงสร้างของกลุ่มราชการที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากำลังข้าราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบราชการมีระบบการบริหารงานที่ไม่คล่องตัว ประสบกับปัญหาด้านค่าใช้จ่ายของบุคคลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างไม่สิ้นสุด และมีผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของรัฐในการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ
3. ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารระบบราชการไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงประสิทธิภาพการบริหารงานอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารงานในภาคเอกชน การบริหารงานราชการ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัด ในการดําเนินงาน ทําให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของ..ารดําเนินงานของส่วนราชการ ได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ประชาชนต้องได้รับบริการสาธารณะจากรัฐที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ รวดเร็ว ความคาดหวัง ของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทยในแนวทางดังกล่าว จึงนับเป็น
ปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผล และความจําเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหา ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน
4. ปัญหาการบริหารแบบรวมศูนย์อํานาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอํานาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาคก็ตาม แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาค ก็ยังไม่สามารถใช้อํานาจเด็ดขาดหรือมีความอิสระในการตัดสินใจมากนัก ยังต้องยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก ทรัพยากรการบริหารส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง
5. ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว การบริหารยึดติดกับกรอบตามอํานาจหน้าที่กฎหมายเป็นหลัก ทําให้ การบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ทําให้ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์กรมีขนาดใหญ่ ทําให้การปรับรื้อต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการดําเนินการ
6. ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐ เป็นการบริหารโดยยึดโยงกับกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อ การบริหารงานภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นํามาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัย เมื่อเทียบกับการดําเนินงานของภาคเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระบบราชการเป็นการบริหารที่ต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้ความสําคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทําให้การ
บริหารงานขาดความคล่องตัว
7. ปัญหากําลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กําลังคนภาครัฐที่มีอยู่ในระบบราชการปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจําเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กําลังส่วนใหญ่ยังขาด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยึดติดกับการทํางานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความมั่นคงในระบบราชการ ทําให้กําลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของตําแหน่งที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงค่อนข้างสูง
8. ปัญหาที่ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ําเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการ เป็นองค์การขนาดใหญ่ ทําให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทําได้ค่อนข้างลําบาก เนื่องจากภาครัฐต้อง ใช้งบประมาณในการดําเนินการเป็นจํานวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้
ของราชการอยู่ในระดับต่ําและไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา
9. ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสําคัญกับลําดับชั้น ของการบังคับบัญชา ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควร รวมทั้งการต้องเคารพในระบบอาวุโสของ การทํางานทําให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทํางานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติ และค่านิยมดั้งเดิม ในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่งคนดี คนที่มีความรู้และความสามารถได้ใช้โอกาส ในการแสดงศักยภาพการทํางานได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร ตลอดจนข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคําสั่งและ นํามาปฏิบัติมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเมื่อเห็นว่าคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ
แนวทางการแก้ไขอันนําไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้
1. การมอบอํานาจและการกระจายอํานาจ
2. การให้เอกชนรับงานบางอย่างของภาครัฐไปดําเนินการโดยรัฐเป็นผู้ควบคุม
3. การลดจํานวนข้าราชการด้านกําลังคน
4. การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จําเป็น
5. ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร
6. ทําให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
7. การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
แนวทางการแก้ไขปัญหาการปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้
1. ด้านโครงสร้าง รัฐบาลต้องไม่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ๆ อยู่บ่อย ๆ แม้ว่าการปรับเปลี่ยน โครงสร้างอยู่เรื่อย ๆ อาจจะเป็นผลดีที่ทําให้ได้โครงสร้างของระบบราชการที่เหมาะสมมากขึ้น แต่การปรับเปลี่ยน โครงสร้างทุกครั้งจะก่อให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน เกิดความโกลาหลในการเปลี่ยนย้ายหน่วยงานและ การโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสะดุด และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูประบบราชการมากกว่า หากจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนด้านโครงสร้างจริง ๆ ก็ต้องทําให้อย่างรอบคอบ ระมัดระวังผ่านการพิจารณาผลดี และผลเสียอย่างชัดเจน และต้องทําความเข้าใจแก่ข้าราชการและสาธารณชนอย่างเหมาะสม
2. ด้านบุคลากร บุคลากรต้องมีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการบริหารงานสมัยใหม่ ต้องรู้และเข้าใจแนวทางตลอดจนเป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการที่ชัดเจน รวมทั้งเห็นผลดีของการปฏิรูป ระบบราชการทั้งต่อสังคมส่วนรวมและต่อตนเอง นั่นคือส่วนราชการทั้งต้องดําเนินการประชาสัมพันธ์ และอบรม
ให้ความรอบรู้อย่างจริงจัง
3. รัฐบาลต้องสร้างระบบตอบแทนให้แก่ข้าราชการใหม่ที่เหมาะสมและสอดคล้องส่งเสริมให้การปฏิรูประบบราชการประสบผลสําเร็จ
4. รัฐบาลต้องสร้างจิตสํานึกและค่านิยมใหม่ในการทํางานให้เกิดแก่ข้าราชการโดยเร็ว ทั้งด้วยมาตรการส่งเสริมและการลงโทษ และการมีส่วนร่วมขององค์การเครือข่ายหรือสาธารณชน
5. รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจให้แก่ข้าราชการและสร้างความชัดเจนในวิธีการแบบใหม่ เพื่อให้ข้าราชการรู้และเข้าใจพร้อมทั้งตระหนักว่าวิธีการทํางานแบบใหม่จะเป็นผลดีต่อสังคม และการลดการ
ทํางานของข้าราชการในระยะยาว
6 รัฐบาลต้องสนับสนุนด้านงบประมาณ และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จําเป็นต่อการทํางานภาครัฐแนวใหม่ให้เพียงพอ
7 สาธารณชนและประชาชนต้องให้การสนับสนุนและกําลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการ ต้องรู้ว่าการปฏิรูประบบราชการให้สําเร็จในทุกด้านไม่ใช่เรื่องที่จะทําสําเร็จได้เพียงภายในวันสองวัน หรือเดือนสองเดือน หรือปีสองปี และบางเรื่องอาจต้องใช้ระยะเวลานานหลายปี
8 รัฐบาลต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมือง และเอาจริงเอาจังที่จะปฏิรูประบบราชการ รวมทั้งให้มีเสถียรภาพ เพื่อความต่อเนื่องของนโยบายด้วย รวมทั้งกําหนดแผนและขั้นตอนการปฏิรูประบบราชการไว้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติที่ต้องดําเนินต่อเนื่องกันไปในทุก ๆ รัฐบาล
9 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชน และองค์การสาธารณะอื่น ๆ ได้ตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็นในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนการปฏิรูปให้บรรลุเป้าหมาย
10 ข้าราชการที่เห็นความจําเป็นในการปฏิรูประบบราชการ ต้องมีความกล้าหาญในการรวมพลังกับประชาชน เพื่อเพิ่มพลังขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการให้มีสมรรถนะยิ่งขึ้น
11 เร่งพัฒนาบุคลากรระดับท้องถิ่นให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะในการบริหารจัดการงานของท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่น
12 รัฐบาลกลางต้องมีความจริงใจในการกระจายอํานาจการเงินการคลังสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีแหล่งรายได้ในการพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสม
13 เร่งรัดพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ระบบเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่คุ้มค่าและรวดเร็ว
14 สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการนํานโยบายการปฏิรูปไปสู่การปฏิบัติ
2.2 จงอธิบายถึงการพัฒนาของระบบราชการไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยละเอียดและยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 90, 107 – 109), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 48 – 59), (คําบรรยาย)
การพัฒนาของระบบราชการไทย ซึ่งแบ่งการบริหารราชการออกเป็น 4 ยุค ดังนี้
1 ยุคอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1870 – 1893)
ลักษณะสําคัญของการปกครองยุคนี้คือ การปกครองแบบพ่อปกครองลูกผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นผู้มีอํานาจมากในสังคม
ทหารกับพลเรือนมีความแตกต่างกันน้อย ทุกคนทําหน้าที่ทั้งทางทหารและพลเรือน
2 ยุคระบบราชการอยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310)
การปกครองในยุคนี้ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราชา มีลักษณะของนายจ้างกับลูกจ้างมีการสร้างระบบราชการขึ้น โดยไม่เพียงเป็นแค่เครื่องมือของการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการจัดระเบียบทางสังคมอีกด้วย
3 ยุคปฏิรูปของราชวงศ์จักรี (พ.ศ. 2310 – 2475) ยุคนี้เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางวัตถุเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงกรมต่าง ๆ แบบเก่าให้เป็นกระทรวงแบบยุโรป เปลี่ยนขุนนางมาเป็นข้าราชการพลเรือน มีเงินเดือนประจำ มีการส่งคนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการ
4 ยุครัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา) เป็นยุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย พยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิในการปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ส่งเสริมประชาชนในด้านการศึกษา สาธารณสุข และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสาธารณะ รวมทั้งแรงงานและการประกันสังคม
ปัญหาที่สำคัญของระบบราชการไทย มีดังนี้
1. ขนาดของระบบราชการไทยที่ใหญ่โตกว้างขวางเกินไป
2. มีการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป
3. กฎ ระเบียบมีมาก เทคโนโลยีไม่ทันสมัย
4. โครงสร้างส่วนราชการไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว
5. ระบบราชการไทยยังขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและขาดประสิทธิภาพ
6. มีการยึดถือทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม กล่าวคือ มักใช้ระบบพรรคพวก ขาดความกระตือรือร้น และความคิดริเริ่มในการทำงาน ฯลฯ
แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทย
จากปัญหาระบบราชการไทยดังกล่าว จึงมีแนวคิดที่จะปฏิรูประบบราชการไทยเกิดขึ้น เพราะประชาชนส่วนรวมต้องการให้การปฏิบัติงานราชการมีประสิทธิภาพ เที่ยงธรรม มีมาตรฐานในการทำงาน มีความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และทำงานร่วมมือกัน จุดร่วมของแนวคิดในการปฏิรูป ก็คือ
1. เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
2. อาจปฏิรูปเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบราชการหรือทั้งระบบก็ได้
3. เน้นหนักการปรับปรุงโครงสร้าง วิธีปฏิบัติงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมของบุคคล
4. มีแนวโน้มในปัจจุบันว่าจะมุ่งพัฒนาศักยภาพและกิจกรรมของรัฐในภาพรวมมากกว่าในส่วนใดส่วนหนึ่งเฉพาะ
เหตุผลที่ต้องมีการปรับปรุงและปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้
1. เพื่อให้การบริหารราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. เพื่อให้เกิดความประหยัดโดยป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนและการมีคนล้นงาน
3. เพื่อแบ่งส่วนราชการให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้านการแบ่งงานและการจัดองค์การ
4. มีการปฏิรูปทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
5. เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
6. ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตเกินไป
7. กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทำให้ระบบราชการจะต้องปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ
ตัวอย่างการปฏิรูประบบราชการไทยของรัฐบาลชุดต่าง ๆ มีดังนี้
1. รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เช่น การกำหนดมาตรการจำกัดการขยายตัวของข้าราชการและลูกจ้างในส่วนราชการไม่ให้เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น
2. รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เช่น การแปรสภาพกิจกรรมของรัฐให้เป็นกิจกรรมของเอกชน (Privatization) เป็นต้น
3. รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เช่น เสนอให้มีการเกษียณอายุราชการในวันเกิดครบ 60 ปี เสนอให้ถ่ายโอนภารกิจในการดูแล ขสมก. ให้แก่กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
4. รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เช่น กำหนดแผนถาวรหรือแผนแม่บทในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อวางหลักการสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ และแนวทางการปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ เป็นต้น
5. รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เช่น เสนอโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) โดยกำหนดให้มีการยุบอัตราที่เกษียณร้อยละ 80 และบรรจุข้าราชการแทนการเกษียณอายุเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 20 เป็นต้น
6. รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เช่น การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม เป็น 20 กระทรวง ปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ ระบบงบประมาณ กฎหมาย ทัศนคติของข้าราชการ และวิธีการทำงาน เป็นต้น
7. รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เช่น ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เป็นต้น