การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ
ข้อ 1. ให้อธิบายความแตกต่างแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป
1.1 แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) กับการคอร์รัปชั่นทางนโยบาย
แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยาบุคคล พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มติมหาชน พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกำหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
1.2 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach) กับแนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism or Institutional Approach)
แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)
David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ
1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)
แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach)** เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่างๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจ และรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ
1.3 สิทธิอํานาจตามกฎหมาย (Legal Authority) กับสิทธิอํานาจตามบารมี (Charismatic Authority)
แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 15)
สิทธิอํานาจตามกฎหมาย (Legal Authority) หมายถึง สิทธิอํานาจที่ได้มาจากระเบียบ กฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งสิทธิอํานาจแบบนี้ถือว่าเป็นรากฐานของระบบราชการ
สิทธิอํานาจตามบารมี (Charismatic Authority) หมายถึง สิทธิอํานาจที่ได้มาจาก ลักษณะความเป็นผู้นําที่โดดเด่นของบุคคล ทําให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ตามผู้มีบารมี
ข้อ 2. ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2
2.1 ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber กับระบบราชการไทยตามที่เป็น จริงมีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 87 – 90)
ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber กับระบบราชการไทย ประเทศไทยได้ใช้แนวคิดหลักการบริหารงานราชการหรือหลักการบริหารที่เป็นทางการ (Bureaucratic System) ของ Max Weber เป็นหลักรากฐานในการบริหารจัดการระบบราชการไทยมาเป็น ระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันซึ่งระบบนี้มีสาระที่สําคัญ คือ
-หลักการแบ่งงานโดยระบุหน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลอย่างชัดเจนมีการ แบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Technical Specialization)
-หลักการจัดตําแหน่งตามสายการบังคับบัญชา (Hierarchy)
-หลักการอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เป็นทางการเหมือนๆ กัน เป็นการทํางานภายในกรอบของ กฎหมาย (Framework of Law)
-หลักการปฏิบัติหน้าที่และการตัดสินใจที่ใช้การบันทึกลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐาน
-หลักการมั่นคงในการทํางาน
-หลักการจําแนกความเป็นองค์การออกจากความเป็นปัจเจกบุคคล
การใช้หลักการบริหารที่เป็นทางการของ Max Weber แม้จะมีความเหมาะสมกับระบบ ราชการไทยในยุคสมัยหนึ่ง แต่ก็ยังปรากฏว่ามีปัญหาของระบบราชการที่ต้องเร่งรัดและแก้ไขอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การปกครอง ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ก่อให้เกิดความ ล่าช้าในการบริหารงาน เป็นบ่อเกิดของความไร้ประสิทธิภาพ
ปัญหาของระบบราชการไทยที่สําคัญ ได้แก่
1. ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่ สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทําให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยติดอยู่กับปัญหา
การทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแยกไม่ออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสําคัญที่จะช่วยแก้ไขสภาพปัญหา นี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด
2. ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการไทยมีโครงสร้างของกลุ่มราชการที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากําลังข้าราชการเป็นจํานวนมาก ทําให้ระบบราชการมีระบบการบริหารงานที่ไม่คล่องตัว ประสบกับ ปัญหาด้านค่าใช้จ่ายของบุคคลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างไม่สิ้นสุด และมี ผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจําเป็นของรัฐในการปฏิรูป ระบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดําเนินการ
3. ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารระบบราชการไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึง ประสิทธิภาพการบริหารงานอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารงานในภาคเอกชน การบริหารงานราชการ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัด ในการดําเนินงาน ทําให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินงานของส่วนราชการ ได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ประชาชนต้องได้รับบริการสาธารณะจากรัฐที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ รวดเร็ว ความคาดหวัง ของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทยในแนวทางดังกล่าว จึงนับเป็น ปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผล และความจําเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหา ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน
4. ปัญหาการบริหารแบบรวมศูนย์อํานาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอํานาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาคก็ตาม แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาค ก็ยังไม่สามารถใช้อํานาจเด็ดขาดหรือมีความอิสระในการตัดสินใจมากนัก ยังต้องยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก ทรัพยากรการบริหารส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง
5. ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว การบริหารยึดติดกับกรอบตามอํานาจหน้าที่กฎหมายเป็นหลัก ทําให้ การบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ทําให้ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์กรมีขนาดใหญ่ ทําให้การปรับรื้อต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการ ดําเนินการ
6. ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐ เป็นการบริหารโดยยึดโยงกับกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อ การบริหารงานภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นํามาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัย เมื่อเทียบกับการดําเนินงานของภาคเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระบบราชการเป็นการบริหารที่ต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้ความสําคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทําให้การ บริหารงานขาดความคล่องตัว
7. ปัญหากําลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กําลังคนภาครัฐที่มีอยู่ในระบบราชการปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจําเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กําลังส่วนใหญ่ยังขาด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยึดติดกับการทํางานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความมั่นคงในระบบราชการ ทําให้กําลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของตําแหน่งที่มีเสถียรภาพ และความมั่นคงค่อนข้างสูง
8. ปัญหาที่ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ําเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการ เป็นองค์การขนาดใหญ่ ทําให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทําได้ค่อนข้างลําบาก เนื่องจากภาครัฐต้อง ใช้งบประมาณในการดําเนินการเป็นจํานวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้ ของราชการอยู่ในระดับต่ําและไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา
9. ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสําคัญกับลําดับชั้น ของการบังคับบัญชา ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควร รวมทั้งการต้องเคารพในระบบอาวุโสของ การทํางานทําให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทํางานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติ และค่านิยมดั้งเดิม ในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่มีความรู้และความสามารถได้ใช้โอกาส ตลอดจนข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคําสั่งและ นํามาปฏิบัติมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเมื่อเห็นว่าคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ ในการแสดงศักยภาพการทํางานได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร
แนวทางการแก้ไขอันนําไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้
1. การมอบอํานาจและการกระจายอํานาจ
2. การให้เอกชนรับงานบางอย่างของภาครัฐไปดําเนินการโดยรัฐเป็นผู้ควบคุม
3. การลดจํานวนข้าราชการด้านกําลังคน
4. การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จําเป็น
5. ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร
6. ทําให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
7. การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
2.2 การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทยอย่างไรและระบบราชการมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย อย่างไร จงอธิบาย
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 27 – 34)
การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทย มีดังนี้
1. นักการเมืองที่เป็นนักธุรกิจบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของ พรรคพวก มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
2. นักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีบางคนสั่งการไม่คํานึงถึงข้อจํากัดด้านกฎหมายและ ระเบียบแบบแผน การตัดสินในวินิจฉัยสั่งการไม่รอบคอบ และในบางกรณีไม่มีความสันทัดชัดเจนในเรื่องที่อยู่ใน ความรับผิดชอบของตน
3. นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางคนสั่งการโดยขัดกับมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎระเบียบ หากข้าราชการประจํานําไปปฏิบัติผู้ที่มีความผิดก็คือข้าราชการเพราะเป็นผู้ดําเนินการ
4. นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางคนสร้างความหวาดกลัวให้แก่ข้าราชการและใช้อํานาจ ในการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระได้
5. นักการเมืองทําผิดหรือบริหารงานบกพร่องก็ไม่ต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าข้าราชการบกพร่องก็มีบทลงโทษ ต้องถูกสอบสวนและหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะถูกโยกย้ายหรือปลดออกได้
6. นักการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจในปัญหาของชาติที่มีความสลับซับซ้อนและมีแง่มุมทางด้านเทคนิคสูง นักการเมืองมักใช้แต่ความรู้สึกส่วนตัวโดยขาดข้อพิจารณาทางวิชาการ
7. นักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ มักมีพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ทํางานเสมือนปลัดกระทรวงอีกคนหนึ่งไม่มีแนวการบริหารแตกต่างไปจากข้าราชการที่ปฏิบัติอยู่ แบบที่ 2 พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของข้าราชการประจํามากขึ้น
ระบบราชการมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้
1. ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงําการเมืองไทยมาตลอด
2. ระบบราชการไทยทําหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีกฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง
3. ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งสําคัญ ๆ ทางการเมือง
4. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย
5. ระบบราชการไทยควบคุมการดําเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด
6. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกําหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภานิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง
7. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
8. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว