การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

Advertisement

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทำทุกข้อ

ข้อ 1. ให้นักศึกษาอธิบายถึงการพัฒนาระบบราชการของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 90, 107 – 109), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 67 – 79), (คำบรรยาย)

การพัฒนาระบบราชการไทย ซึ่งแบ่งการบริหารราชการออกเป็น 4 ยุค ดังนี้

1 ยุคเจ้าขุนมูลนายสุโขทัย (พ.ศ. 1870 – 1893) ลักษณะสำคัญของการปกครองยุคนี้คือ การปกครองแบบพ่อปกครองลูก ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นผู้มีอำนาจมากในสังคม ทหารกับพลเรือนมีความแตกต่างกันน้อย ทุกคนทำหน้าที่ทั้งทางการทหารและพลเรือน

2 ยุคระบบราชการอุปถัมภ์อยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310) การปกครองในยุคนี้ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราชา มีลักษณะของนายจ้างกับลูกจ้าง นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบราชการขึ้น โดยไม่เพียงเป็นแค่เครื่องมือของการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการจัดระเบียบทางสังคมอีกด้วย

3 ยุคปฏิรูปของราชวงศ์จักรี (พ.ศ. 2310 – 2475) ยุคนี้เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางวัตถุเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงกรมต่าง ๆ แบบเก่าให้เป็นกระทรวงแบบยุโรป เปลี่ยนขุนนางมาเป็นข้าราชการพลเรือน มีเงินเดือนประจำ มีการส่งคนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการ

4 ยุครัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา) เป็นยุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิในการปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา สาธารณสุข และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสาธารณะ รวมทั้งแรงงานและประกันสังคม

ปัญหาที่สำคัญของระบบราชการไทย มีดังนี้

1 ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตและอุ้ยอ้ายเกินไป

2 มีการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจเกินไป

3 กฎ ระเบียบมีมาก เทคโนโลยีไม่ทันสมัย

4 โครงสร้างส่วนราชการไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว

5 ระบบราชการไทยขาดเอกภาพ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและขาดประสิทธิภาพ

6 มีการยึดถือคตินิยมและทัศนคติที่ไม่ดีงาม กล่าวคือ มักใช้อคติ ระบบพรรคพวก ขาดความกระตือรือร้น และความคิดริเริ่มในการทำงาน

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทย

จากปัญหาระบบราชการไทยดังกล่าว จึงมีแนวคิดที่จะปฏิรูประบบราชการไทยเกิดขึ้น เพราะประชาชนส่วนรวมต้องการให้มีการปฏิบัติงานบริการที่มีประสิทธิภาพ ภาพพจน์ของระบบราชการที่ดีงาม มาตรฐานในการทำงาน มีความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และทำงานร่วมมือกัน จุดร่วมของแนวคิดในการปฏิรูป ก็คือ

1 เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

2 อาจปฏิรูปเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบราชการหรือทั้งระบบก็ได้

3 เป็นการปรับปรุงปรับปรุงส่วนต่าง ๆ วิธีปฏิบัติงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมของบุคคล

4 มีแนวโน้มไปในปัจจุบันว่าจะมุ่งพัฒนาศักยภาพและกิจกรรมของรัฐในด้านมากกว่าในส่วนใดส่วนหนึ่งเฉพาะ

เหตุผลที่ต้องมีการปรับปรุงและปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1 เพื่อให้การบริหารราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2 เพื่อให้เกิดความประหยัดโดยมีการทำงานที่ซ้ำซ้อน และมีการใช้คนงาน

3 เพื่อบ่งส่วนราชการให้ถูกต้องตามหลักการแบ่งงานและการจัดองค์การ

4 มีการปฏิรูปราชการให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

5 เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

6 ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตเกินไป

7 กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทำให้ระบบราชการจะต้องปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

ตัวอย่างการปฏิรูประบบราชการไทยของรัฐบาลต่าง ๆ มีดังนี้

1 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เช่น การกำหนดมาตรการจำกัดการขยายตัวของข้าราชการและลูกจ้างในส่วนราชการให้เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น

2 รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เช่น การแปรสภาพกิจกรรมของรัฐให้เป็นกิจกรรมของเอกชน (Privatization) เป็นต้น

3 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เช่น การเสนอให้มีการเกษียณราชการในวันสิ้นสุดครบ 60 ปี เสนอให้ค่าตอบแทนกิจการในการดูแลกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

4 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เช่น กำหนดแผนแม่บทและแนวทางในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อวางหลักการสำคัญเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ การบริการ และแนวทางการปฏิรูประบบการทำงานของรัฐ เป็นต้น

5 รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เช่น การเสนอให้มีการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) โดยกำหนดให้มีคุณสมบัติครบที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 20 ปี และบรรจุข้าราชการทดแทนได้ไม่เกินร้อยละ 20 เป็นต้น

6 รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เช่น การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม เป็น 20 กระทรวง ปรับปรุงโครงสร้างข้าราชการ ระบบงบประมาณ กฎหมาย พัฒนาคติของข้าราชการ และวิธีการทำงาน เป็นต้น

7 รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เช่น ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เป็นต้น

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายถึงแนวคิดเชิงระบบการเมืองของไทยมาโดยละเอียด
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 3 – 5)

ทฤษฎีระบบ (Systems Theory)
ทฤษฎีระบบการเมืองตามแนวคิดของ David Easton เริ่มต้นด้วยปัจจัยนำเข้า (Input) อันได้แก่ ความต้องการ และการให้ความสนับสนุน นำเข้าสู่ระบบการเมือง ซึ่งกระทำหน้าที่เป็นกระบวนการแปรรูป (Process) ผลที่ออกมาจากกระบวนการนี้เรียกว่า ปัจจัยนำออก (Output) อันได้แก่ นโยบายหรือการตัดสินใจของรัฐบาล และเมื่อนโยบายถูกนำไปปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ (Feedback) ไปสู่ปัจจัยนำเข้าเพื่อนำไปเป็นปัจจัยแก้ไขหรือพัฒนาต่อไปอีกครั้ง ซึ่งความต้องการดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากการรับรู้สภาวะแวดล้อมของบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ความต้องการเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อทำให้เกิดนโยบายสาธารณะที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่บุคคลและกลุ่มที่เรียกร้องเมื่อมีการนำนโยบายไปปฏิบัติ

นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่เกิดจากการที่ระบบการเมืองแปรเปลี่ยนความต้องการของประชาชนไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม ข้อเรียกร้องของประชาชน ซึ่งตามทฤษฎีนี้ความต้องการและการสนับสนุนจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะโดยผ่านกระบวนการในระบบการเมือง

เราจะเห็นได้ว่า David Easton มองระบบการเมืองเป็นการดำเนินงานทางการเมืองเนื่องในฐานะที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปจากกระบวนการดำเนินงานในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น การวิเคราะห์การเมืองในรูปแบบนี้เป็นเพียงการยอมรับว่าในสถาบันการเมือง เราสามารถแยกแยะกระบวนการเมืองออกจากกระบวนการอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างชัดเจน มีขอบข่ายแน่นอน โดยเราจะต้องคัดค้านการดำเนินงานในกิจกรรมอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างชัดเจน มีขอบข่ายแน่นอน โดยเราจะต้องคัดค้านการดำเนินงานในระบบอื่น ๆ และสิ้นสุดลงที่จุดไหน โดยเราจะต้องเลือกตัวจักรสำคัญที่เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมในสังคมที่ใหญ่โต โดยกำหนดว่ากิจกรรมอยู่ในขอบเขตของระบบการเมือง จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ในระบบ โดยมีนโยบายโดยตรงบังคับให้ปฏิบัติตามการแบ่งสรร

 

ข้อ 3. ให้นักศึกษาอธิบายถึงขั้นตอนของการพัฒนาระบบราชการไทย
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 47 – 49, 59 – 61)

ระบบราชการไทย
ระบบราชการไทยเป็นกลไกอย่างหนึ่งต่อการบริหารกิจการบ้านเมืองภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล รวมถึงการดำเนินการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย อันมีจุดหมายปลายทางเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ระบบราชการไทยที่พึงประสงค์ในยุคปัจจุบันและในอนาคตนั้นจะต้องมีคุณลักษณะและแนวทาง ดังต่อไปนี้

1 ต้องให้ประชาชนเป็น “ศูนย์กลาง” ในการทำงาน โดยต้องรับฟังความคิดเห็น ตอบสนองความต้องการและอำนวยประโยชน์ให้ตกแก่ประชาชน ลดขั้นตอนและภาระในการติดต่อของประชาชน มีระบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามมีปัญหาและความเดือดร้อน

2 ปรับเปลี่ยนบทบาทให้เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ไม่เป็นผู้ดำเนินการเสียเองหรือมีอำนาจมากจนเกินไป รวมทั้งต้องดึงภาคเอกชนและทรัพยากรภายนอกเข้ามาสมทบ ไม่พยายามเข้าแทรกแซงและขยายตัวเกินไปจนเป็นการผูกขาดประเทศ หรือมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นและสิทธิเสรีภาพของประชาชน

3 ประเมินการทำงานงานกับผู้รับบริการรายอื่นเพื่อเพิ่มประโยชน์สุขต่อประชาชน สามารถให้ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอย่างมีเหตุผล ดังนั้นความถูกต้อง เป็นกลาง ปราศจากอคติ และอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาลวิชาชีพ นอกจากนี้ยังควรต้องให้การยอมรับและเข้าไปแทรกแซงบทบาทและอำนาจหน้าที่ซึ่งกันและกัน

ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยในช่วงระยะปี พ.ศ. 2551 – 2555 สามารถแยกออกได้เป็น 4 ประการ ดังนี้

1 ยกระดับการให้บริการและการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สลับซับซ้อน หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

2 ปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ เกิดการประสานความร่วมมือ และสร้างเครือข่ายกับฝ่ายต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

3 มุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง บุคลากรมีความพร้อมและความสามารถในการเรียนรู้ คิดริเริ่ม เปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ

4 สร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม

แนวคิดในการปฏิรูป พ.ศ. 2511 ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ดังต่อไปนี้

1 หลักคุณธรรม โดยยึดมั่นในความดี ความสามารถ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

2 หลักความรับผิดชอบที่จำเป็นและเหมาะสมกับการปฏิบัติราชการ

3 หลักความมีประสิทธิภาพให้ทุกคนได้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

4 หลักการกระจายอำนาจเพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์และแข่งขันกับส่วนราชการในการปฏิบัติงานด้านการบริหาร ทรัพยากรบุคคลภาครัฐ

5 หลักความสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตและการทำงาน

การจัดระเบียบบริหารราชการไทย แบ่งอำนาจบริหารออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1 อำนาจบริหารส่วนกลาง ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงหรือทบวง

2 อำนาจบริหารส่วนภูมิภาค โดยการใช้อำนาจคณะรัฐมนตรี มหาดไทย กระทรวง ทบวง กรม และการปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่าง ๆ เป็นเครื่องมือ

3 อำนาจตุลาการ โดยการใช้อำนาจทางศาลยุติธรรม

หลักการทั่วไปในการจัดระเบียบการปกครอง มี 3 หลักการสำคัญ คือ

1 หลักการรวมอำนาจปกครอง (Centralization) หมายถึง หลักการจัดระเบียบราชการแผ่นดิน โดยรวมอำนาจการปกครองไว้ให้แก่ราชการบริหารส่วนกลาง อันได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองของรัฐ มีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ การรวมอำนาจทางด้านการคลัง และการให้ขึ้นตรงส่วนกลาง ส่วนการบริหารราชการส่วนภูมิภาคมีบัญชาเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปประจำการ

2 หลักการแบ่งอำนาจปกครอง (Deconcentration) หมายถึง หลักการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางที่ได้แบ่งแยกอำนาจไปให้ราชการบริหารส่วนกลางที่เป็นตัวแทนไปประจำยังพื้นที่ส่วนภูมิภาค ซึ่งส่วนภูมิภาคดังกล่าวต้องปฏิบัติตามนโยบายและระเบียบแบบแผนที่ส่วนกลางกำหนดไว้

3 หลักการกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization) หมายถึง หลักการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางได้กระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นเป็นนิติบุคคลที่เป็นอิสระจากส่วนกลาง หน่วยการบริหารราชการส่วนกลางจะไม่ต้องขึ้นบังคับบัญชา เพียงแต่มีหน้าที่กำกับดูแลการบริหารราชการส่วนกลางเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐมอบอำนาจในการปกครองส่วนกลางบางอย่างไปให้ประชาชนในท้องถิ่นจัดตั้งองค์กรขึ้นปกครองท้องถิ่นของตนเอง

การกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่น มีลักษณะที่สำคัญ คือ

1 มีการจัดตั้งองค์การขึ้นเป็นนิติบุคคลเพิ่มขึ้นจากส่วนกลาง มีงบประมาณและทรัพย์สินเป็นของตนเองและไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนกลางจะเพียงดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามกฎหมายเท่านั้น

2 มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองอย่างใกล้ชิด

3 มีอำนาจอิสระในการปกครองตนเองได้ตามสมควร

4 มีงบประมาณและรายได้เป็นของตนเอง

5 มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เป็นของท้องถิ่นของตนเอง

 

ข้อ 4. ระบบการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบันมีผลกระทบอย่างไรต่อระบบราชการของไทย จงอธิบาย
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 26 – 28)

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการ
โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ระบบราชการ หมายถึง หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่บริหารราชการของประเทศ รวมทั้งองค์กรของรัฐในรูปของรัฐวิสาหกิจ

ส่วนข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ทำงานประจำในระบบราชการตามกระทรวง ทบวง กรม สำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐวิสาหกิจ

ส่วนบุคคลที่ทางกฎหมายเรียกว่าข้าราชการการเมืองนั้น ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ไม่เรียกเป็นข้าราชการ แต่เรียกว่านักการเมือง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักการเมืองกับข้าราชการจะมีความแตกต่างกันในหลายด้าน แต่ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในทางประสานและขัดแย้งกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองนี้เองทำให้นักการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อข้าราชการ ขณะเดียวกับข้าราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง

การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทย ดังนี้

1 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีกดขี่ข่มเหงบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของพรรคพวก มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

2 นักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวไม่มีความชำนาญการและระเบียบแบบแผน การตัดสินใจจึงสั่งการไม่รอบคอบ และในบางกรณีไม่มีความสันทัดจัดเจนในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน

3 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวสั่งการโดยขัดกับคณะรัฐมนตรีหรือกฎระเบียบ ข้าราชการประจำจำเป็นต้องปฏิบัติตามความเดือดร้อนคือข้าราชการเพราะเป็นผู้ดำเนินการ

4 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวสร้างความหวาดกลัวให้แก่ข้าราชการและใช้อำนาจในการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระ

5 นักการเมืองทำผิดต่อมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎเกณฑ์ ข้อกฎหมายไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าข้าราชการถูกตรวจสอบและหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะถูกโยกย้ายหรือให้ออกได้

6 นักการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจในปัญหาของชาติที่มีความสลับซับซ้อนและมีแง่มุมทางด้านเทคนิคสูง นักการเมืองมักให้ความรู้สึกส่วนตัวโดยขาดข้อมูลทางวิชาการ

7 นักการเมืองที่เข้าไปในรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ มักมีพฤติกรรมในระบบปฏิบัติงาน 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ทำงานสานต่อปลัดกระทรวงอีกคนหนึ่งไม่มีแนวการบริหารงานที่ต่างไปจากข้าราชการที่ปฏิบัติอยู่ แบบที่ 2 พยายามเข้าไปก้าวก่ายกิจการของข้าราชการประจำมากเกินไป

กล่าวโดยสรุป ระบบราชการกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ผลของการบริหารเป็นผลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทางการเมืองด้วย และเริ่มศึกษาระบบพร้อมกับสิ่งแวดล้อมทางการเมือง โดยเฉพาะการศึกษาเป็นกรณีเฉพาะเรื่องไป (Case Studies)

นักวิชาการได้มีความเชื่อว่าระบบการปกครองและการบริหารนั้น มีลักษณะที่เป็นในเรื่องของการประสานผลประโยชน์ของกลุ่มหลากหลายในสังคมซึ่งเป็นลักษณะของสังคมประชาธิปไตย แนวคิดการบริหารให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าการบริหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง โดยพิจารณาในด้านการให้สิทธิแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน เช่น การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ สนใจนโยบายมาจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม สนใจในเรื่องการต่อรองบนฐานแห่งเหตุผล การเมืองนั้นเป็นเรื่องของนโยบายในบางครั้งระบบราชการช่วยแก้ปัญหาในการวางนโยบาย และปัญหาสั้น ๆ ทางการเมืองได้

Advertisement