การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ
1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป
1.1 แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)
แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยาบุคคล พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มติมหาชน พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน
1.2 แนวคิดการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)
แนวคิดเชิงการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมย่อมมีผลต่อด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว จากระบบการเมืองที่ล้าสมัยไปสู่ระบบการเมืองที่ทันสมัย เป็นต้น
1.3 แนวคิดสถาบันนิยม (Institutionalism or Institutional Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)
แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ
1.4 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach)
แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คําบรรยาย)
แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)
David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นําแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสําคัญ 4 ส่วน คือ
1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนําเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดํา (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)
1.5 ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)
แนวคําตอบ (คําบรรยาย)
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกําหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือ ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์
ข้อ 2. ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข.
2.1 ท่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการอย่างไร และระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ**
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 29 – 34)
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการไทย
โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกําหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ทั้งในทางประสานงานกันและมีความขัดแย้งกัน ซึ่งจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการนี่เองที่ทําให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อฝ่ายราชการ ขณะเดียวกันฝ่ายราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อฝ่ายการเมือง
ระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้
นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยเป็นระบบ อํามาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) คือ ถูกครอบงําโดยข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนมาโดยตลอด ประเทศไทย จึงตกอยู่ในภาวะขาดแคลนนักการเมืองอาชีพ แต่อุดมไปด้วยข้าราชการที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองทั้งในด้าน นิติบัญญัติ ด้านราชการงานเมือง และด้านการสังกัดพรรคการเมือง โดยข้าราชการประจํามักจะเข้าไปดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ. 2475 – 2518 คณะรัฐมนตรีเกือบทุกชุดของไทยมีข้าราชการเป็น รัฐมนตรีมากกว่านักการเมืองอาชีพ เพราะระบบราชการมีมานานและมั่นคงกว่าระบบการเมือง และระบบการเมือง ยังขาดเสถียรภาพทําให้มีนักการเมืองอาชีพน้อย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ของประชาชนในระบบการเมืองไทย มีผลทําให้ทหารและข้าราชการพลเรือนมีบทบาทสําคัญทางการเมือง ทหาร กลายเป็นสถาบันที่ครอบงําการเมืองของไทยมาโดยตลอด โดยมีพรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎร และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือนส่วนหนึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม คอยต้านทานอิทธิพลของทหาร แต่ฝ่ายพลเรือนไม่ค่อยประสบความสําเร็จ ในการต่อสู้กับฝ่ายทหาร เนื่องจากมีอุปสรรคและปัญหาอยู่ที่กลุ่มการเมืองเองและสภาพแวดล้อมทางการเมือง
หลังจากนั้นในระบบการเมืองที่กําลังพัฒนา ข้าราชการมักเข้าไปมีบทบาทสําคัญทางการเมือง ทั้งในเรื่องการดํารงตําแหน่งทางการเมือง การกําหนดนโยบาย และการใช้อิทธิพลควบคุมพฤติกรรมของนักการเมือง ข้าราชการไม่ได้ทําหน้าที่ดําเนินงานไปตามนโยบายเท่านั้น แต่เข้าไปมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายด้วย เนื่องจาก ข้าราชการต้องปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องจึงมีความรู้และประสบการณ์ในการทํางานของตน แต่นักการเมืองเข้ามาดํารง ตําแหน่งเพียงชั่วคราว เพราะต้องออกไปด้วยวิถีทางการเมือง เมื่อนักการเมืองคนใหม่เข้ามาดํารงตําแหน่งจึงต้อง อาศัยข้อมูลข่าวสารและความเห็นต่าง ๆ จากข้าราชการในการกําหนดนโยบาย
สถาบันทางการเมืองที่มีหน้าที่ควบคุมระบบราชการมักจะอ่อนแอ ในขณะที่ระบบราชการมี พัฒนาการอันยาวนานและมีความเข้มแข็งเพราะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการระดมทรัพยากรเข้าสู่ระบบ อย่างเต็มที่ ระบบราชการจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่สําคัญสําหรับผู้นําทางการเมือง
ในการกําหนดนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานราชการมีส่วน
สําคัญมากกว่าสถาบันการเมืองและภาคเอกชน โดยข้าราชการประจําจะมีบทบาทในการกําหนดนโยบายและ แผนพัฒนาทุกระดับเนื่องจากเป็นเรื่องของเทคนิค
ข้าราชการประจําเป็นผู้มีอํานาจอย่างแท้จริงในการจัดทํางบประมาณ เพราะมีความเชี่ยวชาญ ส่วนนักการเมืองมักจะขาดความรู้ ประสบการณ์ และถูกจํากัดโดยสถานการณ์ ข้อผูกพันเดิม และเวลา จึงไม่สามารถ ทําการเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้มากนัก แม้ว่าจะมีการแก้ไขให้ตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเป็น ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งทําให้อิทธิพลการเมืองจากภายนอกในการจัดทํางบประมาณลดลง และอาศัยหลัก วิชาการและเหตุผล (Rationality) มากขึ้นก็ตาม แต่ก็ไปเพิ่มอํานาจให้กับข้าราชการประจําในการจัดทํางบประมาณ
การที่ข้าราชการมีอํานาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายสําคัญจนเคยชิน และการไม่ยอมรับ อํานาจของนักการเมือง ทําให้นักการเมืองพยายามเข้าไปควบคุมตัวบุคคลที่เป็นข้าราชการ โดยการเปลี่ยนตัว ปลัดกระทรวงเพื่อควบคุมปลัดกระทรวงให้ได้ จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจําเสมอมา ในอดีตระบบการเมืองไทยถูกครอบงําโดยระบบราชการ ดังต่อไปนี้
1. ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงําการเมืองไทยมาตลอด
2. ระบบราชการไทยทําหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีกฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง
3. ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งสําคัญ ๆ ทางการเมือง
4. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย
5. ระบบราชการไทยควบคุมการดําเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด
6. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกําหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภานิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง
7. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
8. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว
2.2 จะต้องปฏิรูประบบราชการไทยเรื่องใด อย่างไรบ้าง จึงจะสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปลายปี 2558 (ตอบเป็นข้อ ๆ)
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 108 – 109), (คําบรรยาย)
แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
1. ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)
2. ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ล้าสมัย (Deregulation)
3. ให้มีการแปรสภาพภาคราชการไปให้ภาคเอกชนดําเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)
4. ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทํางานและสร้างประสิทธิภาพในการทํางาน)
6. การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน
7. การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์
8. ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพของข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)
9. ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน
10. ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสํานึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทํางานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร
11. เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้
1. นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง
2. เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส
3. เป็นระบบราชการที่แน่นอนคงเส้นคงวา
4. การบริหารราชการมองการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์
5. ได้ระบบและข้าราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน
6. การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม
7. ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม