การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3301 นโยบายสาธารณะ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

ตั้งแต่ข้อ 1. – 5. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Thomas R. Dye
(2) Ira Sharkansky
(3) David Easton
(4) James Anderson
(5) Theodore Lowi

Advertisement

1.ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะ คือ สิ่งที่รัฐเลือกที่จะทําหรือไม่ทํา
ตอบ 1 หน้า 3 โทมัส อาร์ ดาย (Thomas R. Dye) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใด
ก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา

2. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมาย
ตอบ 3 หน้า 3 เดวิด อีสตัน (David Easton) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและ แจกแจงคุณค่า (Values) ต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ สังคมส่วนรวม

3. ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการจัดการบริการสาธารณะ
ตอบ 2 หน้า 3 ไอรา ซาร์แคนสกี้ (Ira Sharkansky) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ที่รัฐบาลกระทํา เช่น การบริการสาธารณะ การควบคุมกิจกรรมของบุคคลหรือธุรกิจ ของเอกชน เป็นต้น

4.ใครกล่าวว่า นโยบายสาธารณะเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม
ตอบ 4 หน้า 3 เจมส์ แอนเดอร์สัน (Jarnes Anderson) กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง กิจกรรมที่รัฐบาลกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเจตนาเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ความยากจน การผูกขาด เป็นต้น

5. ใครเกี่ยวข้องกับการจําแนกประเภทของนโยบายสาธารณะ
ตอบ 5 หน้า 5 – 6, (คําบรรยาย) ธีโอดอร์ โลวาย (Theodore Lowi) ได้เสนอให้จําแนกประเภท ของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2. นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3. นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่(Re-Distributive Policy)

6. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell กล่าวว่า นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R. Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 3, 58 – 59 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มที่เน้นการสร้างภาพรวมและได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” ได้ให้ความหมาย นโยบายสาธารณะร่วมกับอับราแฮม แคปแพลน (Abraham Kaplan) ว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง แผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการ ปฏิบัติงานต่าง ๆ” (ดูคําอธิบายข้อ 1. และ 2. ประกอบ)

7. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Dunn ศึกษาการวิเคราะห์นโยบาย
(2) Nagel ศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) Anderson ศึกษากระบวนการนโยบาย
(4) Dinnock อธิบายความคิดสร้างสรรค์
(5) Quade เสนอจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 2 หน้า 61 – 68, 72, 154 – 171 นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
ได้แก่
1. เควด (E..S. Quade)
2. วิลเลียม เอ็น. ดันน์ (William N. Dunn)
3. สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Naget)
4. โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ฯลฯ
– ส่วนนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) ได้แก่
1. กรอส (Gross)
2. ไจแอคควินทา (Giacquinta)
3. เบิร์นสไตล์ (Bernstein)
4. กรีนวูด (Greenwood)
5. แมน (Mann)
6. แมคลัฟลิน (McLaughlin)
7. เบอร์แมน (Berman)
8. เดล อี. ริชาร์ด (Dale E. Richards)
9. เพรสแมน (Pressman)
10. วิลดัฟสกี (Wildavsky)
11 มองจอย (Montjoy)
12. โอทูเล (O’Toole)
13. โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith)
14. พอล เอ. ซาบาเตียร์ (Paul A. Sabatier)
15. ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน (Daniel A. Mazmanian)
16. อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizencine) ฯลฯ

8.ข้อใดไม่ใช่กระบวนการที่ Stuart S. Nagel เสนอ
(1) การกําหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุผล
(2) การกําหนดแผนงาน
(3) การกําหนดคน สถานที่ อุปกรณ์
(4) การวิเคราะห์ผลตอบแทนสูงสุด
(5) การกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 239 – 240 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) ได้เสนอแนวคิดในการวิเคราะห์ ข้อมูลแบบง่ายสําหรับการวิเคราะห์หรือการประเมินนโยบาย ซึ่งมีหลักการหรือกระบวนการ ที่สําคัญ 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. กําหนดเป้าหมายเพื่อการบรรลุผล หรือการให้ผลประโยชน์ ตอบแทนสูงสุด
2. กําหนดเป้าหมายสัมพันธ์
3. กําหนดคน สถานที่ หรือวัสดุอุปกรณ์ ให้สอดคล้องกับนโยบายนั้น ๆ
4. กําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย
5. ปรับความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายกับนโยบาย

9.ใครสนใจในการวิเคราะห์นโยบาย
(1) E.S. Quade
(2) Stuart S. Nagel
(3) William Dunn
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

10. การรับรู้ถึงปัญหาสาธารณะเกี่ยวข้องกับนโยบายในด้านใด
(1) Policy Analysis
(2) Policy Implementation
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Impacts
(5) เกี่ยวข้องกับนโยบายทุกด้าน
ตอบ 1 หน้า 73 เควด (E.S. Quade) กล่าวว่า จุดมุ่งหมายที่สําคัญของการวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis) มีดังนี้
1. เพื่อให้ผู้กําหนดนโยบายได้รับรู้ถึงปัญหาสาธารณะโดยแจ้งชัด
2. เพื่อปรับปรุงคุณภาพการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบายที่สามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการของประชาชนได้
3. เพื่อสร้างกระบวนการแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมและเป็นระบบ

11. การเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตนโยบายมาสู่การศึกษากระบวนการนโยบายอยู่ในยุคใด
(1) ยุคเริ่มต้น
(2) ยุคพัฒนาให้เป็นศาสตร์
(3) ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล
(4) ยุคกึ่งกลางระหว่างเริ่มต้นและพัฒนา
(5) ในทุกยุค
ตอบ 3 หน้า 60 – 61 ยุคการนําไปปฏิบัติให้บรรลุผล เป็นยุคที่แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีการเปลี่ยนจุดเน้นจากผลผลิตของนโยบาย (Policy Outputs) มาสู่การศึกษากระบวนการ นโยบาย (Policy Process) และมีการเปลี่ยนวิธีการวิเคราะห์จากวิธีการเชิงปริมาณไปสู่วิธีการ ที่ผสมผสานระหว่างเชิงปริมาณกับเชิงคุณภาพมากขึ้น

12. ใครให้เหตุผลในการกําหนดนโยบายไว้ 3 ประการ คือ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางวิชาชีพ
และเหตุผลทางการเมือง
(1) Harold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 2 หน้า 57, (คําบรรยาย) โทมัส อาร์. ดาย (Thomas R. Dye) ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผล (ความสําคัญ)
ของการศึกษาและการกําหนดนโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการ คือ
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทําความเข้าใจเหตุและผลของ การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้ได้นโยบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนําความรู้เชิงนโยบายไปใช้แก้ปัญหา ทางด้านการปฏิบัติ โดยวิชาชีพที่แตกต่างกันจะทําให้การกําหนดนโยบายและการนํานโยบาย
ไปปฏิบัติของแต่ละวิชาชีพมีความแตกต่างกัน
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยการใช้เหตุผลทางการเมือง มักจะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปอย่างไม่มีเหตุผลแต่เป็นที่ยอมรับของประชาชน เช่น นโยบายประชานิยมต่าง ๆ) เป็นต้น

13. ใครให้ความหมายของการวิเคราะห์นโยบายไว้ว่า เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้
(1) Farold Lasswell
(2) Thomas R. Dye
(3) Stuart S. Nagel
(4) William Dunn
(5) Date E. Richards
ตอบ 3 หน้า 72 สจ๊วตท์ เอส. นาเกล (Stuart S. Nagel) กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นการกําหนดและตัดสินทางเลือกของนโยบาย โดยการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด ในชุดของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเปรียบเทียบทางเลือกเหล่านั้นกับการบรรลุเป้าหมาย

14. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จัดเป็นแผนในเรื่องใด
(1) การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
(2) การวางแผนที่เน้นลักษณะผู้นํา
(3) การวางแผนที่เน้นบุคลิกภาพ
(4) การวางแผนที่เน้นเนื้อหา
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 109 ทฤษฎีการวางแผนที่เน้นเนื้อหา (Object-Centred Planning Theory) เป็น
โดยมุ่งทฤษฎีที่ให้ความสําคัญกับเนื้อหาสาระเฉพาะเรื่องที่จะนํามาวางแผนเป็นอย่างมาก อธิบายรายละเอียดของปัญหาและการแก้ปัญหาที่เจาะลึกในแต่ละเรื่อง แต่ไม่สนใจเรื่องวิธีการ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น

15. ข้อใดไม่ใช่สิ่งสําคัญที่อยู่ในตัวแบบ SWOT
(1) จุดอ่อน
(2) จุดแข็ง
(3) สิ่งแวดล้อม
(4) โอกาส
(5) ภัยคุกคาม
ตอบ 3 หน้า 117, (คําบรรยาย) ตัวแบบ SWOT เป็นตัวแบบใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เพื่อให้ทราบ จุดแข็ง (Strengths) จุดอ่อน (Weaknesses) โอกาส (Opportunities) และภัยคุกคาม (Threats)

ตั้งแต่ข้อ 16. – 20. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ทฤษฎีกลุ่ม
(2) ทฤษฎีผู้นํา
(3) ทฤษฎีระบบ
(4) ทฤษฎีสถาบันนิยม
(5) ทฤษฎีการตัดสินใจ

16. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ คนกลุ่มน้อยเป็นผู้กําหนดนโยบาย
ตามความต้องการหรือค่านิยมของตน เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 2 หน้า 106 – 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีผู้นํา (Elite Theory) อธิบายว่า
1. สังคมถูกแบ่งเป็นคนกลุ่มน้อยที่มีอํานาจกับคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่มีอํานาจ โดยผู้นําซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม แต่มีอํานาจเป็นผู้ตัดสินหรือจัดสรรคุณค่าของสังคมและกําหนดนโยบายสาธารณะให้เป็นไปตามความต้องการหรือค่านิยมของตน ขณะที่ประชาชนหรือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนตัดสินใจในนโยบายสาธารณะด้วย
2. ผู้นําจะแสดงความสมานฉันท์กับค่านิยมพื้นฐานของระบบสังคมและพยายามสงวนรักษาระบบไว้
3. นโยบายสาธารณะไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการของมวลชน แต่เป็นการสะท้อนให้เห็น
ค่านิยมของผู้นํามากกว่า
4. ผู้นํามีอิทธิพลต่อมวลชนมากกว่ามวลชนมีอิทธิพลต่อผู้นํา ฯลฯ

17. นโยบายสาธารณะได้มาจากการเจรจาต่อรอง เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 1 หน้า 107, (คําบรรยาย) ทฤษฎีกลุ่ม (Group Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะเป็น ผลผลิตของการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มผลประโยชน์กับนโยบายสาธารณะ โดยชี้ให้เห็นว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่ได้มาจาก การเจรจาต่อรอง การประนีประนอม และการถ่วงดุลผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ

18. ตัวแบบเหตุผลนิยม เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 5 หน้า 108 ตัวแบบเหตุผลนิยม (Rational Comprehensive Model) เป็นตัวแบบที่อยู่ใน ทฤษฎีการตัดสินใจ (Decision Making Theory) อธิบายว่า นโยบายเกิดจากการตัดสินใจ ภายใต้หลักการของเหตุและผล โดยอาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง ประกอบกับการคํานึงถึงคุณค่า ต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งนโยบายที่ดีที่สุดและนําไปสู่การ บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเป็นนโยบายที่รัฐบาลจัดทําขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับ ประโยชน์สูงสุด ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องเกิดความพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลตอบแทน ที่ได้รับมากกว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไป

19.กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมืองเกิดขึ้นจากบทบาทของรัฐ เกี่ยวข้องกับทฤษฎีอะไร
ตอบ 4 หน้า 108 ทฤษฎีสถาบันนิยม (Institutional Theory) อธิบายว่า กิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมือง เกิดขึ้นจากบทบาทของสถาบันของรัฐ ดังนั้นการกําหนดนโยบายสาธารณะซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่ง ทางการเมืองย่อมมาจากสถาบันของรัฐด้วย ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลมีความชอบธรรม มีความเป็นสากล และมีการผูกขาดอํานาจบังคับ

20. สิ่งแวดล้อม เป็นตัวแปรที่สําคัญในทฤษฎีใด
ตอบ 3 หน้า 108, (คําบรรยาย) ทฤษฎีระบบ (System Theory) อธิบายว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของระบบ โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สําคัญ 5 ตัวแปร คือ
1. ปัจจัยนําเข้า (Inputs)
2. กระบวนการ (Process)
3. ปัจจัยนําออกหรือผลผลิต(Outputs)
4. ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
5. สิ่งแวดล้อม (Environment)

21.Stuart S. Nagel สนใจการศึกษานโยบายเรื่องใด
(1) Policy Analysis
(2) F’olicy Process
(3) Policy Irnpacts
(4) Policy Implementation
(5) Policy Evaluation
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 22 – 24. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ
(3) ความเหมาะสม
(4) ความพอเพียง
(5) ความสามารถในการตอบสนอง

22. ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 99, (คําบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการบรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายโดยใช้ต้นทุนต่ําสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการโดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ําสุด

23. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 101 ความสามารถในการตอบสนอง (Responsiveness) หมายถึง ความสามารถ ของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบ และค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่สามารถทําให้กลุ่มที่มี ความจําเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกนั้นด้วย

24. ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของ
ทรัพยากรที่มีอยู่ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 100 ความพอเพียง (Adequacy) หมายถึง ความสามารถในการดําเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายภายใต้เงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยทั่วไปเงื่อนไข ของทรัพยากรมักจะวัดในรูปของงบประมาณที่มีอยู่

ตั้งแต่ข้อ 25 – 29. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย

25. การที่หน่วยงานนํานโยบายมาแปลงเป็นแผนงานและโครงการเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนที่แสดงให้เห็นถึงการนําทรัพยากรต่าง ๆ ไปจัดสรรเพื่อก่อให้เกิดผลตามนโยบายซึ่งประกอบด้วย
1. การส่งต่อนโยบาย (Policy Delivery)
2. การตีความหรือแปลงนโยบายออกมาเป็นแผนงานและโครงการ
3. การชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย
4. การดําเนินงานของหน่วยงานระดับปฏิบัติ(Street-Level Bureaucracy)
5. การจัดระบบสนับสนุน ได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร การมอบหมายอํานาจหน้าที่ และการติดต่อสื่อสาร
6. การติดตามและควบคุมผลการปฏิบัติงาน

26. การพิจารณาปัญหานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 1 หน้า 23 – 25 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1. การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3. ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4. การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา

27. การกําหนดทางเลือก และการกําหนดวัตถุประสงค์เป็นขั้นตอนใด
ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คําบรรยาย) การเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) เป็นขั้นตอนที่ต้องมีการศึกษาค้นคว้าเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเรื่องนั้น ๆ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของผู้กําหนดนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย
1. การกําหนดวัตถุประสงค์
2. การกําหนดทางเลือก
3. การจัดทําร่างนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย หลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ แนวทางและมาตรการ การจัดลําดับทางเลือก และการหาข้อมูลประกอบการพิจารณา

28. การจัดวาระในการพิจารณานโยบายเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 49 – 50 ขั้นตอนการอนุมัติและประกาศนโยบาย (Policy Adoption) ประกอบด้วย
1. การจัดวาระในการพิจารณานโยบาย
2. การพิจารณาร่างนโยบาย
3. การอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
4. การประกาศนโยบาย

29. การสรุปผลของนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกําหนดนโยบายอื่นเป็นขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 52 – 53 ขั้นตอนการปรับปรุง แก้ไข และยกเลิกนโยบาย (Policy Termination) ประกอบด้วย
1. การนําผลหรือข้อมูลที่ได้จากการประเมินผลนโยบายมาพิจารณาเพื่อตัดสินใจในการปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกนโยบาย
2. การนําผลสรุปของการประเมินผลนโยบายทั้งหมดไปใช้ในการกําหนดนโยบายอื่น ๆ ต่อไป

30. การนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขามาใช้ในการวิเคราะห์นโยบาย เป็นแนวโน้มในเรื่องใด
(1) แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า
(2) แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ
(3) แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย
(4) แนวโน้มเกี่ยวกับรูปแบบ
(5) แนวโน้มเกี่ยวกับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน
ตอบ 3 หน้า 74 แนวโน้มการวิเคราะห์นโยบายในอนาคต มี 3 แนวโน้มใหญ่ คือ
1. แนวโน้มเกี่ยวกับเป้าหมายและคุณค่า จะมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายโดยหาทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ทําให้ประชาชนพอใจ และสนองต่อคุณค่าต่าง ๆ ของสังคม โดยการเน้นให้ประชาชน กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นโยบายที่เกิดขึ้นสนองตอบต่อสังคมโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง
2. แนวโน้มเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินนโยบาย จะมุ่งเน้นการหาวิธีการที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ โดยการพิจารณามิติทางการเมืองและการบริหาร และมีการนําศาสตร์ในหลาย ๆ สาขาวิชา มาใช้ในการวิเคราะห์นโยบายในลักษณะสหวิทยาการ
3. แนวโน้มเกี่ยวกับวิธีการ จะมุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (Cost-Benefit) รวมทั้งการคํานึงถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่จะเกิดขึ้นด้วย

ตั้งแต่ข้อ 31 – 35. ให้พิจารณาคําตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Economic Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Administrative Policy

31. นโยบายปฏิรูประบบราชการ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 5 หน้า 7, (คําบรรยาย) นโยบายทางการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายรอง ที่กําหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ เช่น นโยบายธรรมาภิบาล นโยบายการปฏิรูประบบราชการ นโยบายเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชน มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง นโยบายการบริหารงานบุคคล นโยบายการบริหารงานคลัง โครงการประเทศไทยใสสะอาด เป็นต้น

32. นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy) เป็น นโยบายที่รัฐบาลต้องจัดบริการพื้นฐานให้ประชาชนทุกคนได้ใช้หรือเพื่อให้ประชาชนทั่วไป โดยส่วนรวมมีโอกาสได้รับบริการสาธารณะที่เป็นของรัฐบาลอย่างทั่วถึงและพอเพียง เช่น นโยบายการมีถนนแยกเล่นไปสู่ทุกจังหวัด นโยบายการลดราคาน้ำมันเบนซิน โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน การขยายช่องทางจราจรหรือการสร้างถนน นโยบายให้มีสถานพยาบาล ให้ครบทุกอําเภอ การจัดให้มีบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค การจัดให้มีไฟฟ้าและน้ําประปา ใช้ทุกหมู่บ้าน เป็นต้น

33. นโยบายกองทุนหมู่บ้าน เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Econornic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างรายได้และการกินดีอยู่ดีของประชาชน โดยให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน อะไรที่ได้มาซึ่งรายได้หรือรายจ่าย และเมื่อจ่ายไปแล้วก็จะมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทําให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายจ่ายเงินให้ชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธงฟ้าราคาประหยัด โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การพักชําระหนี้ให้เกษตรกร การดูแล ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่
ผู้บริโภคและผู้ผลิต เป็นต้น

34. นโยบายจัดระเบียบสังคม เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 5, (คําบรรยาย) นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy) เป็นนโยบายที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลกําหนดขึ้นเพื่อให้ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามถือว่าผิดกฎหมายต้องถูกลงโทษ หรือเป็นกติกาในการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในสังคมอย่างเสมอภาค และเป็นธรรม เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายจราจร (เช่น โครงการเมาไม่ขับ การขับรถยนต์ต้องมีใบขับขี่) นโยบายจัดระเบียบสังคม เป็นต้น

35. นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการลงทุน (Capitalization Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาล กําหนดขึ้นเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ หรือเพื่อแสวงหาทรัพยากรใหม่ ๆ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา แล้วก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ หรือการสร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างเพื่อเป็น พื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป เช่น นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกและภาคใต้ การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรม การสร้างท่าเรือน้ําลึก การวางท่อก๊าซ เป็นต้น

36. ยูยีน บาร์แดช ให้ความหมายของกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) กระบวนการการบริหารงานบุคคล
(2) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(3) ความสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กร
(4) ขั้นตอนในการดําเนินการให้บรรลุเป้าหมายของนโยบาย
(5) การจัดหาตระเตรียมวิธีการทั้งหลายที่จะให้ดําเนินงานสําเร็จลุล่วง
ตอบ 2 หน้า 142 ยูยีน บาร์แดช (Eugene Bardach) กล่าวว่า กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของ กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายก็ได้

37. แรนดาล ริปเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน ข้อใดถูก
(1) ภาครัฐดําเนินงานร่วมกับเอาชน
(2) นโยบายและโครงการมักเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ แยกส่วนความรับผิดชอบ
(3) หน่วยงานมีหลายระดับ จากกระทรวง ทบวง กรม
(4) กระทรวงเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินงาน
(5) ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน
ตอบ 3 หน้า 144 แรนดาล ริบเลย์ และเกรซ แฟรงกลิน (Randall Ripley and Grace Franklin) ได้พิจารณาลักษณะของการนํานโยบายไปปฏิบัติว่ามีลักษณะสําคัญ 5 ประการ คือ
1. มีผู้เกี่ยวข้องสําคัญ ๆ มากมาย
2. ผู้เกี่ยวข้องล้วนมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลายและมักแตกต่างกัน
3. นโยบายและโครงการของรัฐบาลมักขยายใหญ่โตขึ้นทุกวัน
4. หน่วยงานในหลายระดับ จากหลายกระทรวง ทบวง กรม มีส่วนร่วมในการดําเนินกิจการ
5. มีปัจจัยหลายประการที่สําคัญมากและอยู่นอกเหนือการควบคุม

38.พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมซมาเนียน ข้อใดถูก
(1) การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายตุลาการ
(2) กฤษฎีกาที่ออกมาจากพรรคการเมืองเสนอ
(3) กระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย
(4) รัฐจะกระทําสิ่งต่าง ๆ เพื่อประชาชน
(5) แนวการทํางานของรัฐที่เน้นการบริการสาธารณะ
ตอบ 3 หน้า 142 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แม่ชม เนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) กล่าวว่า การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการตัดสินใจ เชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากกฎหมาย การตัดสินพิพากษาอรรถคดีคําสั่งของฝ่ายบริหาร หรือ กฤษฎีกาที่ออกมาจากสถาบันต่าง ๆ

39. สากล จริยวิทยานนท์ ข้อใดถูก
(1) บทบาทของสถาบันอุดมศึกษา
(2) แรงจูงใจของผู้ปฏิบัตินโยบาย
(3) การจัดสรรทรัพยากร
(4) เป้าหมายของนโยบาย
(5) การบังคับใช้กฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 149 – 150 สากล จริยวิทยานนท์ ได้ศึกษาเรื่อง “บทบาทของสถาบันอุดมศึกษา ส่วนภูมิภาคในการพัฒนาชนบท : ศึกษากรณีวิทยาลัยครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของวิทยาลัยครู ในส่วนภูมิภาคที่มีบทบาทในการช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาชนบท

40.เพรสแมนและวิลด์ฟสกี ตีพิมพ์งานวิจัยครั้งแรก ค.ศ. 1973 พบปัญหาเรื่องใด
(1) ระยะเวลาในการดําเนินงานนานเกิน
(2) งบประมาณไม่เพียงพอ
(3) มีจํานวนหน่วยงานน้อยเกินไป
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ
ตอบ 4 หน้า 145 เพรสแมนและวิลดัฟสกี (Pressman & Wildavsky) ได้เสนอผลงานการวิจัย การนํานโยบายไปปฏิบัติโดยตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1973 ภายใต้ชื่อ “Implementation” โดยเป็นการศึกษานโยบายการจ้างงานชนกลุ่มน้อยในนครโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งพบว่า ในเบื้องต้นนโยบายดังกล่าวได้รับการขานรับที่ดี แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับปัญหาและความ ล้มเหลวในด้านการนํานโยบายไปปฏิบัติ กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของนโยบายเพื่อการจ้างงาน คนผิวดําหรือชนกลุ่มน้อยในนครโอคแลนด์จํานวน 3,000 งาน แต่เมื่อโครงการดําเนินไปได้ 3 ปี สามารถจ้างงานได้เพียง 50 งานเท่านั้น

41. “การนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์” แนวคิด นักวิชาการท่านใด
(1) มิลบรีย์ แมคลัฟลิน
(2) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(3) ยูยีน บาร์แดช
(4) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(5) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
ตอบ 5 หน้า 142 – 143 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ คือ การนําไปปฏิบัติ ทําให้สําเร็จ เติมเต็ม ผลลัพธ์ ทําให้สมบูรณ์ และการนํานโยบายไป ปฏิบัติให้เกิดผลสําเร็จนั้นต้องกําหนดรูปแบบของนโยบายไปพร้อมกับวิธีการนํานโยบายไปปฏิบัติ

42.Webster’s Dictionary ให้ความหมายการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดถูก
(1) กระบวนการทํางานทางปฏิสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์
(2) การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
(3) กระบวนการเชิงนโยบายที่เกิดขึ้นจากฝ่ายบริหาร
(4) นโยบายเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
(5) ภารกิจหลักของภาครัฐในการดําเนินงานต่าง ๆ
ตอบ 2 หน้า 142 Webster’s Dictionary ให้ความหมาย “การนําไปปฏิบัติ” (to implement) ว่าหมายถึง การจัดหาวิธีในการดําเนินการ หรือทําให้เกิดผลในทางปฏิบัติ

43. บทความเรื่อง “Policy Implementation” เป็นการศึกษาความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติของนักวิชาการท่านใด
(1) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(2) ยูยีน บาร์แดช
(3) แมคลัฟลิน
(4) โทมัส บี. สมิท
(5) พอล เอ. ซาบาเตียร์
ตอบ 1, 5 หน้า 61 พอล เอ. ซาบาเดียร์ และดาเนียล เอ. แมชมาเนียน (Paul A. Sabatier and Daniel A. Mazmanian) ได้เขียนบทความเรื่อง “Policy Implementation” เมื่อปี 1982 ซึ่งเป็นการศึกษาถึงความเป็นมาของการนํานโยบายไปปฏิบัติ โดยแสดงทัศนะว่าการศึกษา สาขาการนํานโยบายไปปฏิบัติปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจนในต้นศตวรรษ 1970 โดยเฉพาะ นับจากผลงานเรื่อง “Implementation (1973)” ของเพรสแมนและวิลดัฟสกีเป็นต้นมา

44. การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
(1) กระบวนการในทางปฏิบัติที่จะทําให้นโยบวยใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด
(2) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(3) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(4) การดําเนินงานให้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
(5) ขั้นตอนการดําเนินงานของภาครัฐ
ตอบ 1 หน้า 143 กล่าวโดยสรุป การนํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง กระบวนการในทางปฏิบัติ ที่จะทําให้นโยบายใด ๆ บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กําหนดไว้

45.แนวคิด “กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบาย” เป็นของนักคิดใด
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(3) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(4) มอลคอม กอกจิน
(5) อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์
ตอบ 2 หน้า 169 เออร์วิน ฮาร์โกรฟ (Erwin Hargrove) ได้พัฒนาวิธีการจากแนวคิดฮิล (Hill) เพื่อสร้างเป็นทฤษฎีระดับกลาง (Middle Range Theory) สําหรับการวิเคราะห์โปรแกรม ประเภทต่าง ๆ โดยมีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ คือ
1. ปัญหาทางนโยบายที่ต่างประเภทกันจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของผู้เข้าไปมีส่วนร่วมที่ต่างกันและระดับของการปฏิบัติการที่ต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของนโยบายที่นําเสนอ
2. กระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติจะแปรผันไปตามลักษณะของนโยบายและนโยบายนั้น ๆ ยังสามารถจําแนกเป็นประเภทต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทํานายกระบวนการนํานโยบายไปปฏิบัติ
3. ภาษาที่ใช้ในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งจะใช้เป็นพื้นฐานในการจําแนกประเภทของโปรแกรม

46. ยอร์ค เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การ โดยกล่าวถึง
(1) การปฏิบัติ (Practice) กับความสําเร็จ (Achievement)
(2) ความรับผิดชอบ (Responsibility) กับความสําเร็จ (Achievement)
(3) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความสําเร็จ (Achievement)
(4) ประสิทธิผล (Effectiveness) กับความรับผิดชอบ (Responsibility)
(5) นโยบาย (Policy) กับความสําเร็จ (Achievement)
ตอบ 3 หน้า 177 ยอร์ค (Yorke) ได้เสนอบทความที่กําหนดตัวชี้วัดความสําเร็จขององค์การภายใต้”Indicators of Institutional Achievement: Some Theoretical and Empirical Considerations” เมื่อปี ค.ศ. 1986 โดยเขากล่าวว่า ประสิทธิผลขององค์การเป็นกรอบ การวิเคราะห์ถึงความสําเร็จที่สําคัญของการอุดมศึกษา และเขาใช้คําว่า “ประสิทธิผล” (Effectiveness) กับ “ความสําเร็จ” (Achievement) ในความหมายเดียวกัน

47.มอลคอม กอกจิน กล่าวถึงตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่
(1) นโยบาย ขั้นตอน และการประเมิน
(2) นโยบาย บุคคล และผู้ปฏิบัติงาน
(3) องค์การ นโยบาย และการประเมิน
(4) นโยบาย องค์การ และผู้ปฏิบัติงาน
(5) นโยบาย ผู้ปฏิบัติ และการควบคุม
ตอบ 4 หน้า 156 มอลคอม กอกจิน (Malcom Goggin) ได้เสนอผลจากการศึกษาเพิ่มเติม โดยพบว่า ตัวแปรหลักที่ส่งผลต่อศักยภาพของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ได้แก่ นโยบาย องค์การ และ ผู้ปฏิบัติงาน โดยมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพแวดล้อม มาเกี่ยวข้องด้วย

48.“The Policy Implementation Process” เป็นผลงานของนักวิชาการท่านใด
(1) เออร์วิน ฮาร์โกรฟ
(2) โทมัส บี. สมิท
(3) เพรสแมนและวิลดัฟสกี
(4) เบอร์แมน
(5) แมซมาเนียน
ตอบ 2 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) ได้เขียนบทความเรื่อง “The Policy Implementation Process” เมื่อปี ค.ศ. 1973 เพื่อเสนอตัวแบบของกระบวนการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม และได้ประยุกต์แนวความคิดเชิงระบบสําหรับใช้ในการศึกษา การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศโลกที่สาม โดยเรียกตัวแบบนี้ว่า “A Model of the Policy Implementation Process”

49.วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่องใด
(1) ความสําเร็จของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า
(3) ตัวแบบของนโยบายสาธารณะ
(4) อุปสรรคของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) สาระสําคัญการนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 182 – 183 วรเดช จันทรศร ได้เสนอบทความเรื่อง “การนํานโยบายไปปฏิบัติ : ตัวแบบและคุณค่า” เมื่อปี ค.ศ. 1984 ซึ่งในบทความนี้ได้นําเสนอตัวแบบการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติ 6 ตัวแบบ คือ
1. ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
2. ตัวแบบทางด้านการจัดการ
3. ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
4. ตัวแบบกระบวนการของระบบราชการ
5. ตัวแบบกระบวนการทางการเมือง
6. ตัวแบบทั่วไป

50.วรเดช จันทรศร เสนอตัวแบบในการนํานโยบายไปปฏิบัติ ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ตัวแบบด้านการจัดการ
(2) ตัวแบบทางด้านการพัฒนาองค์การ
(3) ตัวแบบทางการ
(4) ตัวแบบระบบราชการ
(5) ตัวแบบที่ยึดหลักเหตุผล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51.มอลคอม กอกจิน มีรูปแบบของนโยบายใด
(1) รูปแบบราชการ รูปแบบการบริหาร รูปแบบทางการ
(2) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบราชการ
(3) รูปแบบการเมือง รูปแบบการบริหาร รูปแบบบริหารการเมือง
(4) รูปแบบการเมือง รูปแบบประสานงาน รูปแบบราชการ
(5) รูปแบบการเมือง รูปแบบการปกครอง รูปแบบความร่วมมือ
ตอบ 3 หน้า 156, 159 มอลคอม กอกจีน (Malcom Goggin) ได้เสนอรูปแบบของนโยบาย ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการเมือง (Political)
2. รูปแบบการบริหาร (Administration)
3. รูปแบบผสมหรือการบริหารการเมือง (Political Administrative)

52. “นโยบาย ตัวเชื่อม และสมรรถนะจะมีผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติ” ของนักวิชาการท่านใด
(1) แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น
(2) ยูยีน บาร์แดช
(3) ดาเนียล เอ. แมซมาเนียน
(4) แมคลัฟลิน
(5) มอลคอม กอกจิน
ตอบ 1 หน้า 152 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter & Van Horn) ได้กําหนดถึงผลต่อพฤติกรรมในการนํานโยบายไปปฏิบัติว่าต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งจะเชื่อมโยงระหว่าง นโยบายและผลปฏิบัติการ ได้แก่
1. นโยบาย (Policy)
2. ตัวเชื่อม (Linkage)
3. สมรรถนะในการนํานโยบายไปปฏิบัติ (Performance)

53. วิลเลียมส์ กล่าวถึง นําไปปฏิบัติ ข้อใดถูกต้อง
(1) กระบวนการขององค์การที่ต่อเนื่องเป็นพลวัต
(2) มีการวางแผนและนําไปปฏิบัติ
(3) การดําเนินงานให้สําเร็จลุล่วงตามเป้าหมายของกลุ่มผู้ปฏิบัติ
(4) การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการ และการดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง
(5) กระบวนการในทางปฏิบัติภาครัฐ
ตอบ 4 หน้า 143 วิลเลียมส์ ชี้ว่า กิริยาที่เรียกว่า นําไปปฏิบัติ (Implement) มีความหมายหลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. การจัดหาหรือตระเตรียมวิธีการทั้งหลายทั้งปวงที่จะทําให้ดําเนินการสําเร็จลุล่วงให้พรักพร้อม
2. การดําเนินการให้สําเร็จลุล่วง

54.“California Educational Policy Implementation : The Case of Stull Act” ศึกษามุ่งเน้นเรื่องใด
(1) กฎหมาย
(2) สภาพแวดล้อมภายนอกโรงเรียน
(3) คุณภาพการศึกษา
(4) การบริหารงานโรงเรียน
(5) คุณภาพชีวิตของครูในโรงเรียน
ตอบ 1 หน้า 145 – 146 อีมิลี ไซมี โลว์ ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้เสนอ วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่อง “California Educational Policy Implementation : The Case of Stul, Act” เมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเป็นการศึกษาการนํานโยบายไปปฏิบัติของ รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเน้นเรื่องกฎหมาย “Stull Act” ซึ่งเป็นกฎหมายที่กําหนดมาต าตรการ ในการปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นที่การประเมินครูเพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อความสําเร็จทางการศึกษาของโรงเรียน

55. ผลงานของอีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ ข้อใดถูกต้อง
(1) การสํารวจโรงเรียนในเมืองแอลเอ
(2) เน้นศึกษานักเรียน
(3) การสัมภาษณ์อย่างเดียวในการเก็บข้อมูล
(4) ศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ
(5) ศึกษาเมื่อปี ค.ศ. 1980
ตอบ 4 หน้า 146 อีมิลี ไซมี โลวี ไบรเซนไดน์ (Emily Chi-Mei Lowe Brizendine) ได้แบ่งการศึกษาออกเป็น 3 ระยะ คือ
1. การสํารวจโรงเรียนในเขตพื้นที่
2. การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง
3. การสัมภาษณ์และใช้แบบสอบถาม (ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ)

56. นักวิชาการใดกล่าวถึงกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ 2 ระดับ (มหภาคและจุลภาค)
(1) โทมัส บี. สมิท
(2) เบอร์แมน
(3) พอล เอ. ซาบาเตียร์
(4) ยูยีน บาร์แดช
(5) กอกจินและคณะ
ตอบ 2 หน้า 175 พอล เบอร์แมน (Paul Berman) ได้เสนอกรอบการวิเคราะห์การนํานโยบาย ไปปฏิบัติ 2 ระดับ คือ
1. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับมหภาค (Macro-Implementation)
2. การนํานโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค (Micro-Implementation)

57. มองจอยและโอทูเล จําแนกประเภทนโยบายที่ประเภท
(1) 2 ประเภท
(2) 3 ประเภท
(3) 4 ประเภท
(4) 5 ประเภท
(5) 6 ประเภท
ตอบ 3 หน้า 165 – 166 มองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole) ได้เสนอปัจจัยที่นํามาสร้าง เป็นกรอบทฤษฎีในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
1. ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
2. ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย

58. โทมัส บี. สมิท เสนอขั้นตอนการนํานโยบายไปปฏิบัติ มี 4 ตัวแปร ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม
(2) นโยบายที่เป็นอุดมคติ
(3) องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) การจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 171 โทมัส บี. สมิท (Thomas B. Smith) เสนอขั้นตอนของการนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยตัวแปรที่สําคัญ 4 ตัวแปร คือ
1. นโยบายที่เป็นอุดมคติ
2. องค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
3. กลุ่มเป้าหมาย
4. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อม

59. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องสําหรับแวน มิเตอร์ และ แวน ฮอร์น
(1) บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Framework
(2) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง
(3) สํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) ให้ความสําคัญกับการบริหารงานบุคคล
(5) เสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 171 – 172 แวน มิเตอร์ และแวน ฮอร์น (Van Meter and Van Horn) ร่วมกันเขียน บทความเรื่อง “The Policy Implementation Process : A Conceptual Frarnework” เมื่อปี ค.ศ. 1975 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสํารวจกระบวนการของการนํานโยบายไปปฏิบัติพร้อมกับนําเสนอตัวแบบในการวิเคราะห์การนํานโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับผู้ปฏิบัติในองค์การที่รับผิดชอบต่อนโยบายโดยตรง และองค์การอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

60. ข้อใดไม่ใช่ทฤษฎีของมองจอย (Montjoy) และโอทูเล (O’Toole)
(1) มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบายหลากหลาย
(2) การจัดสรรทรัพยากร
(3) ลักษณะของกิจกรรม/นโยบาย
(4) ความเฉพาะเจาะจง และความไม่ชัดเจนของคําสั่งหรือนโยบาย
(5) ความต้องการทรัพยากรใหม่ และไม่ต้องการสําหรับการปฏิบัติตามคําสั่งหรือนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61. เพรสแมนและวิลด์ฟสกีกล่าวถึง X คือ ณ เวลาที่ 11 ส่วน Y คือ 2 ความหมายของ t2 คือ
(1) ห่างจากกันไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
(2) การนําไปปฏิบัติต่อเนื่อง
(3) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลาถัดไป
(4) ผลผลิตที่เกิดขึ้น
(5) การดําเนินงานตามวัตถุประสงค์
ตอบ 3 หน้า 164 เพรสแมนและวิลด์ฟสกี (Pressman & Wildavsky) กล่าวว่า นโยบายโดยทั่วไป จะต้องประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เงื่อนไขแรกเริ่มและผลที่มุ่งหวัง ดังนั้นถ้ามีเงื่อนไข X เกิดขึ้น ณ เวลาที่ t1 จะเกิดผลลัพธ์ Y ขึ้น ณ เวลาถัดไปคือ t2

62.วรเดช จันทรศร กล่าวถึง 3 ปัจจัย ข้อใดถูก
(1) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านขั้นตอนการดําเนินงาน และปัจจัยต่อผู้ปฏิบัติงาน
(2) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านการลงทุน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
(3) ปัจจัยการสื่อสาร ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ
(4) ปัจจัยด้านการลงทุน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม และปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติงาน
(5) ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทรัพยากร และปัจจัยด้านวัตถุประสงค์
ตอบ 3 หน้า 183 – 184 วรเดช จันทรศร ได้กล่าวถึงสาระสําคัญของตัวแบบทั่วไปว่าประกอบด้วย ปัจจัยหลัก 3 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยด้านการสื่อสาร
2. ปัจจัยด้านปัญหาทางสมรรถนะ
3. ปัจจัยด้านตัวผู้ปฏิบัติ

63. นาคามูระ และสมอลวูด เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จหรือล้มเหลวของนโยบาย ข้อใดถูกต้อง
(1) เกณฑ์ในการบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นรูปธรรม
(2) ประสิทธิภาพของหน่วยงาน
(3) ความพึงพอใจของบุคคลภายใน
(4) ขั้นตอนมีมากมาย
(5) การสนองตอบต่อบุคลากร
ตอบ 1หน้า 180 โรเบิร์ต นาคามูระ และแฟรงค์ สมอลวูด ได้เสนอเกณฑ์การประเมินความสําเร็จ หรือล้มเหลวของนโยบายไว้ 5 เกณฑ์ ดังนี้
1. การบรรลุเป้าหมายของนโยบาย เห็นผลเป็นรูปธรรม
2. ประสิทธิภาพ คุณภาพงานที่สัมพันธ์กับต้นทุน
3. ความพึงพอใจของบุคคลภายนอก
4. การสนองตอบต่อความต้องการของลูกค้า
5. การดํารงอยู่ของระบบ

64. ข้อใดไม่ใช่มาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร
(1) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปี
(2) มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปรัง
(3) โครงการแทรกแซงข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
(4) โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ
(5) โครงการแทรกแซงราคาอ้อย
ตอบ 5 หน้า 195, 198 นโยบายและมาตรการของรัฐในการยกระดับราคาสินค้าเกษตร มีดังนี้
1. มาตรการรับจํานําข้าวเปลือกนาปีและนาปรัง
2. มาตรการแก้ไขปัญหาลําไย
3. โครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
4. โครงการแทรกแซงตลาดมันสําปะหลัง
5. โครงการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ

65. รัฐบาลเศรษฐา 1 มีนโยบายฟรี ซ่าระหว่าง 25 ก.ย. 56 – 29 ก.พ. 67 ให้กับ 2 ประเทศใด
(1) จีนกับไต้หวัน
(2) จีนกับอินเดีย
(3) จีนกับคาซัคสถาน
(4) จีนกับสหภาพยุโรป
(5) จีนกับมาเลเซีย
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐบาลเศรษฐา 1 มีนโยบายฟรีวีซ่าระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ให้กับนักท่องเที่ยว 2 ประเทศ คือ จีนและคาซัคสถาน ซึ่งเป็นนโยบาย กระตุ้นการท่องเที่ยวระยะเร่งด่วนของรัฐบาล

ตั้งแต่ข้อ 66 – 75. จงเลือกคําตอบที่ถูกต้องตามเนื้อหาของหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

66. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 71
(5) มาตรา 73
(4) มาตรา 75
(5) มาตรา 77
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 68 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร
2. รัฐจึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงําใด ๆ
3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จําเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้

67. รัฐจึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 66
(2) มาตรา 67
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 67 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น
2. รัฐจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา
3. รัฐต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่ารูปแบบใด และพึ่งส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

68. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 65
(3) มาตรา 68
(4) มาตรา 70
(5) มาตรา 71
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 71 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สําคัญของสังคม
2. รัฐจึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น

3. รัฐจึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาส ให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
4. ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐจึงคํานึงถึงความจําเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของ เพศ วัย และสภาพของบุคคล

69. รัฐจึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิด ความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 72
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 78
ตอบ 4 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 76 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่นให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
2. รัฐพึงพัฒนาเจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชน ให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
3. รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม
4. รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนด ประมวลจริยธรรมสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ

70. รัฐจึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกําหนดประมวลจริยธรรม สําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 68
(2) มาตรา 70
(3) มาตรา 72
(4) มาตรา 74
(5) มาตรา 76
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 72 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐจึงวางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน
2. จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ
3. จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทํากินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ฯลฯ

72. รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มี ปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 73
(3) มาตรา 74
(4) มาตรา 76
(5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 73 บัญญัติให้ รัฐจึงจัดให้มีมาตรการหรือ กลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและ คุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ําและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือ เกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทํากินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด

73. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจ ขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 73
(2) มาตรา 74
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 75 บัญญัติไว้ดังนี้
1. รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ในการพัฒนาประเทศ รัฐจึงคํานึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนา ด้านจิตใจ และความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน
3. รัฐจึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆ และวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน ฯลฯ

74. รัฐจึงดําเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามระบบ
คุณธรรม ตรงตามมาตราใด
(1) มาตรา 74
(2) มาตรา 75
(3) มาตรา 76
(4) มาตรา 77
(5) มาตรา 78
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

75. รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซง กิจการภายในของกันและกัน ตรงตามมาตราด
(1) มาตรา 64
(2) มาตรา 66
(3) มาตรา 75
(4) มาตรา 76 (5) มาตรา 77
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 66 บัญญัติให้ รัฐจึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับ นานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายใน ของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ
และของคนไทยในต่างประเทศ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 80. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามข้อมูลยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี Thailand 4.0 และเอกสารอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) Thailand 4.0
(3) คําแถลงนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
(4) ทิศทางกระแสต่างประเทศ
(5) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13

76. ประเทศไทยมี New Engines of Growth ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลาย
เชิงวัฒนธรรม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) Thailand 4.0 มีสาระสําคัญดังนี้
1. เป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “Value-Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม”
2. เป็น “Reform in Action” ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัย และการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

3. เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้ทุนวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ ทุนมนุษย์
4. เป็นการพัฒนา “เครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจชุดใหม่” (New Engines of Growth) ซึ่งประเทศไทยมีอยู่ 2 ด้าน ได้แก่ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความหลากหลายเชิงวัฒนธรรมให้เป็นความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยการเติมเต็มด้วย วิทยาการทั้ง 5 ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัย และพัฒนา ฯลฯ

77. มุ่งเน้นพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน”
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 เป็นแผนที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยไปสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดยมุ่งเน้น การพัฒนาดังนี้
1. มุ่งเน้นจากเศรษฐกิจฐานทรัพยากรสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและองค์ความรู้
2. มุ่งเน้นจากการผลิตและบริโภคที่ทําลายสิ่งแวดล้อมสู่วิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย
3. มุ่งเน้นจากโอกาสที่กระจุกตัวสู่โอกาสสําหรับทุกกลุ่มคนและทุกพื้นที่
4. มุ่งเน้นจากกําลังคนทักษะต่ําและภาครัฐล้าสมัยสู่กําลังคนและภาครัฐสมรรถนะสูง

78. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ Value-Based Economy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

79. Reform in Action ที่มีการผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนา และการปฏิรูปการศึกษา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

80. มุ่งเน้นวิทยาการทั้ง 5 เพื่อความได้เปรียบ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และการวิจัยและพัฒนา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 81 – 85. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของการประเมินผลนโยบาย
(1) Emil J. Posavac & Raymond G. Carey
(2) James E. Anderson
(3) Charles O. Jones
(4) William N. Dunn
(5) ศุภชัย ยาวะประภาษ

81. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติกับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ในทุกขั้นตอนนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 229 เจมส์ อี. แอนเดอร์สัน (James E. Anderson) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการ การเปรียบเทียบผลของการนํานโยบายไปปฏิบัติ กับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่กระทําอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในทุกขั้นตอน ของนโยบาย

82. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะตกลงใจว่านโยบาย ที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่ มุ่งหวังไว้หรือไม่
ตอบ 1 หน้า 228 อีมิล เจ. โพชาวัค และเรย์มอนด์ จี. แครี (Emil J. Posavac & Raymond G. Carey) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการใช้วิธีการหลายวิธีและทักษะหลาย ๆ ด้านเพื่อที่จะ ตกลงใจว่านโยบายที่กําหนดไว้นั้นจําเป็นหรือไม่ ควรจะใช้หรือไม่ ดําเนินการไปตามที่วางไว้ หรือไม่ ช่วยแก้ไขปัญหาตามที่มุ่งหวังไว้หรือไม่

83. ใครกล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่าของผลการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ตอบ 5 หน้า 230 ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า การประเมินผลเกี่ยวข้องกับกระบวนการวัดคุณค่า ของผลการดําเนินการตามนโยบายเพื่อที่จะนํามาเปรียบเทียบกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้ ซึ่งการประเมินผลนี้ไม่ได้แยกเป็นเอกเทศจากขั้นตอนนโยบายอื่น แต่เกี่ยวข้องกันตลอดเวลา

84. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอน ที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการ
ของสังคม สนองคุณค่าของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่
ตอบ 4 หน้า 229 วิลเลียม เอ็น, ดันน์ (William N. Dunn) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นขั้นตอนหนึ่งของการวิเคราะห์นโยบาย โดยเป็นขั้นตอนที่มุ่งผลิตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลของการดําเนินงานตามนโยบายว่าสามารถสนองความต้องการของสังคม สนองคุณค่า ของสังคม และแก้ไขปัญหาที่เป็นเป้าหมายของนโยบายได้หรือไม่

85. ใครกล่าวว่า การประเมินผลนโยบายเป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบาย โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของ
สังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข
ตอบ 3 หน้า 229 ชาร์ลส์ โอ. โจนส์ (Charles O. Jones) กล่าวว่า การประเมินผลนโยบาย เป็นการกระทําที่มีระบบและต่อเนื่อง เพื่อให้ทราบถึงผลของนโยบายโดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่กําหนดไว้กับผลกระทบของการดําเนินการตามนโยบายที่มีต่อปัญหาของสังคมที่เป็นเป้าหมายที่นโยบายนั้นมุ่งแก้ไข

ตั้งแต่ข้อ 86. – 90. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามตามเนื้อหาของวิธีการประเมินผลนโยบาย
(1) Experimental Design
(2) Quasi-Experimental Design
(3) Pre-Experimental Design
(4) Post-Experimental Design
(5) ผิดทุกข้อ

86. มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากโครงการ มีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็นความล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 2 หน้า 235 – 236 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบกึ่งทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี กึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Design) มีลักษณะสําคัญดังนี้

1. ในกรณีที่เงื่อนไขไม่เอื้ออํานวยที่จะใช้การประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง วิธีการนี้จะทําให้
ได้เปรียบในการนําไปปฏิบัติ โดยผู้ใช้จะต้องยอมรับเบื้องต้นก่อนว่าวิธีการที่จะนําไปใช้มีความสนใจที่ปัจจัยใดบ้างและปล่อยให้ปัจจัยใดบ้างปราศจากการควบคุม
2. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) ได้แก่ การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลองที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
3. วิธีการนี้มีความมุ่งหมายที่จะทําให้การตีความต่าง ๆ ถูกต้อง เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากโครงการ ซึ่งมีบ่อยครั้งที่คําอธิบายในผลลัพธ์ ที่ถูกต้องจะแสดงให้เห็นถึงการไม่มีการเปลี่ยนแปลง นอกเหนือไปจากการแสดงให้เห็น ความล้มเหลวของโครงการ ฯลฯ

87. แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการ สุ่มตัวอย่าง ข้อดี ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้ เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
ตอบ 3 หน้า 236 – 237 การวิจัยเชิงประเมินแบบเตรียมทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธี เตรียมทดลอง (Pre–Experimental Design) แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบศึกษาก่อนและหลังจากที่ได้นําโครงการหนึ่ง ๆ เข้ามาใช้ แบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการ เข้ามาใช้แล้วเพียงอย่างเดียว และแบบศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการหลังจากที่ได้นําโครงการเข้ามาใช้ โดยมีกลุ่มควบคุมที่ได้มาโดยมิได้มีการสุ่มตัวอย่าง ซึ่งข้อดีของการประเมินผลด้วยวิธีการนี้ คือ
1. ทําให้ผู้ประเมินได้รับรายละเอียดและมโนภาพมากมาย
2. ทําให้เกิดการตื่นตัวและรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
3. ทําให้ผู้ประเมินได้รับข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวังและเป็นระบบ

88. ไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้เฉพาะในเรื่องของ Input และ
Product เท่านั้น
ตอบ 1 หน้า 234 – 235 การวิจัยเชิงประเมินในรูปแบบทดลอง หรือการประเมินผลด้วยวิธีการทดลอง (Experimental Design) มีข้อจํากัดดังนี้
1. วิธีการที่ใช้ในการแบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมักมีปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัด ในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
2. วิธีการทดลองไม่สามารถจะไปประเมินกระบวนการทั้งหมดของนโยบายได้ จะนําไปใช้ได้ เฉพาะในเรื่องของ Input และ Product เท่านั้น
3. วิธีการทดลองไม่สามารถควบคุมความเที่ยงตรงภายนอกได้ จึงทําให้ผลที่ได้มาจาก การทดลองอาจจะไม่เหมือนกับผลที่ได้มาจากการดําเนินการจริง ฯลฯ

89. การมีผลประโยชน์ในการเลือกกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือการมีลักษณะความเคร่งครัดในการเลือกกลุ่มในทางปฏิบัติจะมีน้อย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

90. มีวิธีการที่สําคัญวิธีหนึ่งคือ การจับคู่ (Matching) การแสวงหาคู่ในระดับบุคคล พื้นที่ หรือหน่วยการทดลอง ที่เกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกันตั้งแต่หนึ่งคุณลักษณะที่ศึกษา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 91. – 100. จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับข้อคําถามในเนื้อหาของเทคนิค
ในการประเมินผลนโยบาย
(1) Formal Evaluation
(2) Decision Theoretical Evaluation
(3) Policy Delphi
(4) Interrupted Time Series Analysis
(5) Regression-Discontinuity Analysis

91. เป็นเทคนิคที่เน้นประเมินผลนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ โดยเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ตอบ 1 หน้า 251 – 252 การประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Evaluation) เป็นเทคนิคที่ใช้วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบาย โดยประเมินผลของนโยบายจากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้ อย่างเป็นทางการ เพราะเชื่อว่าวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กําหนดไว้อย่างเป็นทางการโดยผู้กําหนดนโยบายเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว

92. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบายไปปฏิบัติในรูปของ ตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ
ตอบ 4 หน้า 264 – 265 การวิเคราะห์อนุกรมเวลาแบบขาดตอน (Interrupted Time Series Analysis) เป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการนํานโยบาย ไปปฏิบัติในรูปของตารางและ/หรือค่าทางสถิติ และกราฟแบบต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการ ดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว จุดเด่นของวิธีการนี้ คือ ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแยกแยะผลของนโยบาย
ที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น

93. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ผู้ประเมินผลนโยบายสามารถพิจารณาผลของนโยบายได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถ แยกแยะผลของนโยบายที่เกิดขึ้นจริงได้จากผลที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุอื่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. เป็นเทคนิคที่มีหลักการ 5 ประการ คือ Selective Anonymity, Informed Multiple Advocacy, Polarized Statistical Response, Structured Conflict, Computer Conferencing
ตอบ 3 หน้า 260 – 261 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) มีหลักการสําคัญ 5 ประการ คือ
1. ความเป็นนิรนามเฉพาะระยะแรก (Selective Anonymity)
2. ผู้เชี่ยวชาญต่างสํานัก (Informed Multiple Advocacy)
3. การวิเคราะห์ทางสถิติแบบแยกกลุ่ม (Polarized Statistical Response)
4. การจัดโครงสร้างความขัดแย้ง (Structured Conflict)
5. การประชุมโดยคอมพิวเตอร์ (Computer Conferencing)

95. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลนโยบายที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักเพียงกลุ่มเดียวหรือมีขอบเขตการดําเนินงานที่แน่นอนเพียงแห่งเดียว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

96. เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถคํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา
ตอบ 5 หน้า 265 การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบไม่ต่อเนื่อง (Regression-Discontinuity Analysis) เป็นเทคนิคที่ช่วยในการประเมินผลแบบเทียม โดยช่วยให้ผู้ประเมินผลสามารถ คํานวณและเปรียบเทียบผลโดยประมาณของนโยบายที่เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่กําหนดไว้และกลุ่มเปรียบเทียบที่นํามาพิจารณา เทคนิคนี้เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลองที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้ เรียบร้อยแล้ว

97. เป็นเทคนิคที่นําเอาข้อคิดและความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราว ของนโยบายที่กําลังประเมินมาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 259 วิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) เป็นวิธีการที่นําเอาข้อคิดและความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในเนื้อหาและเรื่องราวของนโยบายที่กําลังประเมิน มาประมวลและเปรียบเทียบกันเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับผลของนโยบาย

98. เป็นเทคนิคที่ประกอบไปด้วย การประเมินความสามารถที่จะประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์ แบบพหุลักษณ์
ตอบ 2 หน้า 254 – 255 การประเมินผลแบบพิจารณาความเหมาะสม (Decision Theoretical Evaluation) เป็นเทคนิคการประเมินผลที่มุ่งสร้างข่าวสารที่ถูกต้องและเชื่อถือได้เกี่ยวกับผลของนโยบายโดยใช้คุณค่าหรือผลประโยชน์ที่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับเป็นเกณฑ์ประเมิน ซึ่งรูปแบบของการประเมินผลแบบนี้มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ การประเมินความสามารถที่จะ ประเมินได้ และการวิเคราะห์อรรถประโยชน์แบบพหุลักษณ์

99. เป็นเทคนิคที่เหมาะสําหรับการประเมินผลตามแนวการทดลองทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดลอง ที่มีการกําหนดกลุ่มเป้าหมายและกลุ่มควบคุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

100. เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ข้อมูล เหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในนโยบาย เป็นประโยชน์ต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ
ตอบ 3 หน้า 264 ประโยชน์ของวิธีเดลฟีเชิงนโยบาย (Policy Delphi) คือ สามารถให้ข้อมูลเหตุผล และข้อสรุปที่ละเอียดครอบคลุมความเห็นของทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในนโยบาย การประเมินจึงครอบคลุมกว้างขวางรวมทุกประเด็นไว้หมด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ อย่างมากต่อผู้กําหนดนโยบายในการตัดสินใจว่าอะไรแน่ที่เป็นผลของนโยบายนั้น ๆ

 

Advertisement