ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2302 (PA 220) ระเบียบปฏิบัติราชการ
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567

1. ปัจจุบันการย้าย การโอน การเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญเป็นไปตามกฎหมายฉบับใด
(1) พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
(2) พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
(3) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
(4) พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550
(5) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัจจุบันการย้าย การโอน หรือการเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และกฎ ก.พ. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญในหรือต่างกระทรวงหรือกรม พ.ศ. 2564

Advertisement

2. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการย้ายตำแหน่ง
(1) การย้ายไม่จำเป็นต้องอยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้
(2) การย้ายสามารถย้ายภายในกรมเดียวกัน ประเภทเดียวกัน และสายงานเดียวกัน แต่ไม่สามารถย้ายต่างประเภทกัน และต่างสายงานกันได้
(3) การย้ายเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ ก.พ. กำหนดก่อน แล้วผู้มีอำนาจสั่งบรรจุจึงจะดำเนินการย้ายได้
(4) การย้ายใน “ระดับที่ต่ำกว่าเดิม” จำเป็นต้องอยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้ แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่จะย้าย
(5) การย้ายอาจเปลี่ยนไปอยู่ในส่วนราชการในกรมส่วนกลาง หรือไปอยู่ในส่วนภูมิภาคก็ได้ แต่ต้องเป็นตำแหน่งประเภทเดียวกัน
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การย้าย หมายถึง การย้ายไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในกรมเดียวกันหรือกรมเดิม แต่อาจเปลี่ยนไปอยู่ในส่วนราชการในกรมส่วนกลาง หรือไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอในส่วนภูมิภาคก็ได้ ซึ่งจะเป็นตำแหน่งประเภทเดียวกันหรือต่างประเภทกันก็ได้ โดยหลักเกณฑ์ในการย้ายตำแหน่ง แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. กรณีที่อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้
2. กรณีที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ ก.พ. กำหนดก่อน แล้วผู้มีอำนาจสั่งบรรจุจึงจะดำเนินการย้ายได้

3. การเลื่อนระดับของประเภทตำแหน่งอำนวยการ ตำแหน่งที่ต่อจาก “ระดับต้น” คือตำแหน่งใด
(1) ระดับกลาง
(2) ระดับปลาย
(3) ระดับสูง
(4) ระดับพิเศษ
(5) ระดับชำนาญ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การเลื่อนระดับ คือ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทเดียวกันในระดับที่สูงกว่าเดิม โดยเลื่อนได้ไม่เกิน 1 ระดับ ดังนั้นในแต่ละประเภทตำแหน่งจึงสามารถเลื่อนระดับได้ดังนี้
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น -> ระดับสูง
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น -> ระดับสูง
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ -> ระดับชำนาญการ -> ระดับชำนาญการพิเศษ -> ระดับเชี่ยวชาญ -> ระดับทรงคุณวุฒิ
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน -> ระดับชำนาญงาน -> ระดับอาวุโส -> ระดับทักษะพิเศษ

4. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) การเลื่อนระดับให้เลื่อนได้ไม่เกิน 2 ระดับ
(2) การโอนให้ไปดำรงตำแหน่งใหม่ อาจอยู่ในกระทรวงเดิมหรือกระทรวงใหม่ก็ได้
(3) ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ข้าราชการสับเปลี่ยนหน้าที่หรือย้ายโอนไปปฏิบัติหน้าที่อื่นได้
(4) การเลื่อนระดับ คือ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทเดียวกันในระดับที่สูงกว่าเดิม
(5) ข้าราชการสามารถข้ามประเภทตำแหน่งจากระดับปฏิบัติงานไประดับปฏิบัติการได้
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5. การเลื่อนระดับของประเภทตำแหน่งทั่วไป ตำแหน่งที่ต่อจาก “ระดับปฏิบัติงาน” คือตำแหน่งใด
(1) ระดับเชี่ยวชาญ
(2) ระดับต้น
(3) ระดับชำนาญการ
(4) ระดับปฏิบัติการ
(5) ระดับชำนาญงาน
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

6. ข้อใดคือหลักเกณฑ์ในการประเมินการเลื่อนเงินเดือน
(1) ยึดหลักความถูกต้องและเป็นธรรม
(2) ต้องเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่ ก.พ. กำหนด
(3) ใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานเป็นหลัก
(4) ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานจะเป็นผู้ประเมินผล
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 (คำบรรยาย) การประเมินการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการ เป็นการประเมินโดยผู้บังคับบัญชา ในแต่ละระดับที่ตนสังกัดอยู่ โดยปกติการประเมินการเลื่อนเงินเดือนจะกระทำตามเกณฑ์ โดยยึดหลักความถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่ ก.พ. กำหนด

7. การเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญในครั้งที่ 1 หรือการเลื่อนในครึ่งปีแรก คือช่วงเวลาใด
(1) 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน
(2) 1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม
(3) 1 พฤศจิกายน ถึง 30 เมษายน
(4) 1 เมษายน ถึง 30 กันยายน
(5) 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม
ตอบ 2 หน้า 19, (คำบรรยาย) การเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยปกติจะเลื่อนปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เป็นการเลื่อนเงินเดือนสำหรับการปฏิบัติราชการในครึ่งปีแรก (1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม) โดยให้เลื่อนในวันที่ 1 เมษายนของปีที่ได้เลื่อน
ครั้งที่ 2 เป็นการเลื่อนเงินเดือนสำหรับการปฏิบัติราชการในครึ่งปีหลัง (1 เมษายน ถึง 30 กันยายน) โดยให้เลื่อนในวันที่ 1 ตุลาคมของปีถัดไป

8. ข้อใดไม่ใช่หลักการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจ
(1) หน่วยงานดำเนินการให้ข้าราชการมีคุณธรรม จริยธรรมในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์
(2) ผู้บังคับบัญชาปฏิบัติตนต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างมีคุณธรรมและเที่ยงธรรม
(3) ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ให้บำเหน็จ คำชมเชย เครื่องเชิดชูเกียรติ หรือรางวัล
(4) การให้ข้าราชการไปฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศ
(5) การให้ข้าราชการยืมใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานนอกเวลาราชการเมื่อมีเหตุจำเป็น
ตอบ 5 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 72 – 77), (คำบรรยาย) หลักการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติราชการ มีดังนี้
1. หน่วยงานราชการต้องดำเนินการให้ข้าราชการมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิต มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
2. ผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตนต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างมีคุณธรรมและเที่ยงธรรม และเสริมสร้างแรงจูงใจให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาดำรงตนเป็นข้าราชการที่ดี
3. หากข้าราชการประพฤติตนอยู่ในจรรยาและระเบียบวินัย และปฏิบัติราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ให้บำเหน็จ คำชมเชย เครื่องเชิดชูเกียรติ หรือรางวัล
4. ให้ข้าราชการไปศึกษาเพิ่มเติม ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศ ฯลฯ

9. ข้อใดกล่าวถึงหลักการ “Put the right man on the right job” ได้อย่างถูกต้องที่สุด
(1) การสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถได้ถูกที่ถูกเวลา
(2) การสรรหาบุคคลที่มีทักษะความสามารถเข้ามาทำงานด้วยระบบคุณธรรม
(3) การปรับภารกิจของหน่วยงานให้เหมาะสมกับความสามารถของบุคคล
(4) การได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและสมรรถนะเหมาะสมกับความต้องการของตำแหน่ง
(5) การได้มาซึ่งบุคลากรที่มีทักษะความรู้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บังคับบัญชา
ตอบ 4 (คำบรรยาย) เป้าหมายของการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับราชการ มีดังนี้
1. ส่วนราชการได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะเหมาะสมกับความต้องการของตำแหน่ง (Put the right man on the right job at the right time)
2. ส่วนราชการสามารถสรรหาและเลือกสรรบุคคลได้อย่างมีมาตรฐานและคล่องตัว

10. ข้อใดคือคุณสมบัติในการแต่งตั้งข้าราชการใน “สายงานปิด”
(1) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจง
(2) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาโดยระบุชื่อสาขาวิชาไว้หลายสาขาวิชา
(3) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาทุกสาขาวิชาเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (คำบรรยาย) สายงานปิด คือ สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจง เป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง เช่น
– ตำแหน่งนิติกรระดับปฏิบัติการ ได้รับปริญญาตรี/โท/เอก/คุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันในสาขาวิชานิติศาสตร์
– ตำแหน่งนายสัตวแพทย์ระดับปฏิบัติการ ได้รับปริญญาตรีสาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์ และได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์จากสัตวแพทยสภา

11. คุณสมบัติของตำแหน่งนิติกรระดับปฏิบัติการ มักอยู่ในสายงานประเภทใด
(1) สายงานเปิด
(2) สายงานกึ่งปิด
(3) สายงานปิด
(4) สายงานปิดและสายงานเปิด
(5) สายงานกึ่งปิดกึ่งเปิด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

12. ข้อใดไม่ใช่ความเคลื่อนไหว (Movement) ด้านจริยธรรมสำหรับการบริหารงานภาครัฐในปลายศตวรรษที่ 19
(1) มุ่งแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในแวดวงราชการ
(2) การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานจาก “สายการบังคับบัญชา” (Hierarchy) สู่ “ข้อตกลง” (Agreement) หรือ “สัญญา” (Contract)
(3) การปฏิรูประบบข้าราชการพลเรือนไปสู่การสร้างระบบการคัดเลือก
(4) การเปลี่ยนจาก “Spoils System” สู่ “Merit System”
(5) การกำหนดมาตรฐานในการประเมินผลงาน และคัดสรรคนมีความสามารถเข้ามาทำงาน
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ความเคลื่อนไหว (Movement) ด้านจริยธรรมสำหรับการบริหารงานภาครัฐในปลายศตวรรษที่ 19 มีดังนี้
1. การมุ่งแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในแวดวงราชการ
2. การบริหารภาครัฐที่ขาดประสิทธิภาพนำไปสู่ข้อเสนอคุณค่าการบริหาร 3E’s
3. จุดเริ่มต้นของจริยธรรมทางการบริหารและการควบคุม
4. การปฏิรูประบบข้าราชการพลเรือนไปสู่การสร้างระบบการคัดเลือก โดยเปลี่ยนจากระบบอุปถัมภ์ (Spoils System) ไปสู่ระบบคุณธรรม (Merit System)
5. การกำหนดมาตรฐานในการประเมินผลงาน และคัดสรรคนมีความสามารถเข้ามาทำงาน

13. องค์กรใดเป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า “ธรรมาภิบาล” (Good Governance)
(1) World Bank
(2) IMF
(3) OECD
(4) UN
(5) ASEAN
ตอบ 1 (คำบรรยาย) ธนาคารโลก (World Bank) เป็นองค์กรแรกที่ริเริ่มใช้คำว่า “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) ในปี ค.ศ. 1989 เพื่ออธิบายถึงการบริหารจัดการที่จะเป็นมาตรฐานในการกำหนดเงื่อนไขการรับการช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศจากหน่วยงานระหว่างประเทศต่าง ๆ

14. หลักการธรรมาภิบาลในด้าน “Rule of Law” หมายความว่าอย่างไร
(1) ระบบการบริหารภาครัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(2) ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม
(3) ระบบกฎหมายที่ยุติธรรม ชัดเจน และน่าเชื่อถือ
(4) การดำเนินงานด้วยความโปร่งใส
(5) การมีความพร้อมรับผิดชอบ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) หลักการธรรมาภิบาลของธนาคารโลก ประกอบด้วย
1. ระบบการบริหารภาครัฐมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficient and Effective Public Sector)
2. ระบบกฎหมายที่ยุติธรรม ชัดเจน และน่าเชื่อถือ (Rule of Law)
3. ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม (Active Civil Society and Public Participation)
4. การดำเนินงานด้วยความโปร่งใส (Transparency)
5. การมีความพร้อมรับผิดชอบ (Accountability)

15. หลักธรรมาภิบาลในด้าน “ความโปร่งใส” หมายความว่าอย่างไร
(1) การตรากฎหมายที่ถูกต้อง เป็นธรรม ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของสังคม
(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักประกอบวิชาชีพสุจริตจนเป็นนิสัยประจำชาติ
(3) ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้
(4) การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความคิดเห็นในการตัดสินใจ
(5) การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
ตอบ 3 (คำบรรยาย) หลักความโปร่งใส หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในสังคม องค์กรทุกวงการให้ความโปร่งใส ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวกและมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้ ตัวอย่างที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามคำสั่งให้กรุงเทพมหานครเปิดเผยข้อมูลเพื่อการเข้าถึงโดยระบบดิจิทัล เป็นต้น

16. ข้อใดคือความผิดทางวินัย
(1) ข้าราชการไม่เข้าอบรมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพราะเข้าใจกฎระเบียบดีแล้ว
(2) ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ธุรการมาปฏิบัติงานเร่งด่วนในวันเสาร์ อาทิตย์ แล้วไม่ปฏิบัติตาม
(3) ข้าราชการให้บริการประชาชนล่าช้า เพราะบุคลากรในหน้าที่เดียวกันลาป่วย จึงมีคนไม่เพียงพอ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ตัวอย่างความประพฤติของข้าราชการที่ถือว่าเป็นความผิดทางวินัย มีดังนี้
1. ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง เช่น ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ธุรการมาปฏิบัติงานเร่งด่วนในวันเสาร์ อาทิตย์ แล้วไม่ปฏิบัติตาม ไม่ลงชื่อมาทำงานและไม่ไปพบผู้อำนวยการสำนักตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุผล ชักสีหน้าและพูดจาไม่สุภาพกับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ กล่าวถ้อยคำหยาบคายต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานในบ้านพักข้าราชการ เป็นต้น
2. ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น ปลอมใบเสร็จ/ใบสำคัญรับเงิน เพื่อเบิกเงินกับหน่วยงานต้นสังกัด ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกิน 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ เป็นต้น

17. ข้อใดคือการลงโทษกรณีวินัยไม่ร้ายแรง
(1) ภาคทัณฑ์
(2) ตัดเงินเดือน
(3) ลดเงินเดือน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 2 กับ 3
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 96 และมาตรา 97), (คำบรรยาย) ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาความผิด กำหนดโทษ และสั่งลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทำผิดทางวินัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. กรณีระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด
2. กรณีระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้สั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก

18. การให้พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนผู้นั้นลาออกจากราชการ คือการลงโทษทางวินัยประเภทใด
(1) ปลดออก
(2) ไล่ออก
(3) พักงาน
(4) ลดตำแหน่ง
(5) ภาคทัณฑ์
ตอบ 1 หน้า 267, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 97 วรรคสี่), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ ส่วนข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นไล่ออกจากราชการ จะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

19. หลักการในข้อใดแสดงถึงการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษอย่างถูกต้อง
(1) การตัดสินด้วยเหตุผลที่รับฟังได้ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
(2) ภายในหน่วยงานเดียวกันต้องมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
(3) การใช้ดุลพินิจต้องอยู่ภายในกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คำบรรยาย) การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษ มีหลักการดังนี้
1. การใช้ดุลพินิจต้องอยู่ภายในกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
2. การใช้ดุลพินิจจะต้องมีเหตุผลที่รับฟังได้ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
3. ภายในหน่วยงานเดียวกันต้องมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

20. หลักการในข้อใดแสดงถึงการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษอย่างถูกต้อง
(1) การตัดสินด้วยเหตุผลที่รับฟังได้ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
(2) ภายในหน่วยงานเดียวกันอาจมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่มีมาตรฐานต่างกัน
(3) การใช้ดุลพินิจเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
(4) ผู้บังคับบัญชาสามารถมอบหมายให้ข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานเดียวกันใช้ดุลพินิจตัดสินใจลงโทษแทนตนเองได้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

21. ข้อใดเรียงลำดับขั้นตอนการกำหนดโทษและการลงโทษได้อย่างถูกต้อง
A. การสอบสวนทางวินัยได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ
B. การพิจารณาความผิดว่าผิดหรือไม่ และผิดมาตราใด
C. การพิจารณากำหนดโทษว่าควรให้โทษสถานใด
D. การสั่งลงโทษ
(1) A. -> B. -> C. -> D.
(2) B. -> C. -> A. -> D.
(3) B. -> C. -> D. -> A.
(4) A. -> D. -> B. -> C.
(5) D. -> A. -> B. -> C.
ตอบ 1 (คำบรรยาย) การกำหนดโทษและการลงโทษ มีลำดับขั้นตอนดังนี้
1. การสอบสวนทางวินัยได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ
2. การพิจารณาความผิดว่าผิดหรือไม่ และผิดมาตราใด
3. การพิจารณากำหนดโทษว่าควรให้โทษสถานใด
4. การสั่งลงโทษ

22. ความประพฤติของข้าราชการในข้อใดถือว่าผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(1) ชักสีหน้าและพูดจาไม่สุภาพกับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
(2) ไม่ลงชื่อมาทำงานและไม่ไปพบผู้อำนวยการสำนักตามคำสั่ง
(3) กล่าวถ้อยคำหยาบคายต่อหน้าผู้บังคับบัญชา
(4) ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานในบ้านพักข้าราชการ
(5) ปลอมใบเสร็จ/ใบสำคัญรับเงิน เพื่อเบิกเงินกับหน่วยงานต้นสังกัด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

23. ข้อใดคือข้อกำหนดในด้านวินัยต่อประชาชน
(1) ต้องไม่อาศัยอำนาจหน้าที่ราชการในการหาผลประโยชน์ส่วนตน
(2) ต้องไม่กระทำการล่วงละเมิด/คุกคามทางเพศในที่ทำงาน
(3) ต้องไม่กลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ
(4) ต้องให้ความเป็นธรรม เต็มใจช่วยเหลือแก่ผู้มาติดต่อราชการ
(5) ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในหน้าที่ราชการ
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ข้อกำหนดในด้านวินัยต่อประชาชน มีดังนี้
1. ต้องต้อนรับ ให้ความเป็นธรรม เต็มใจช่วยเหลือ และให้การสงเคราะห์แก่ประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
2. ต้องไม่ชักสีหน้า ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
3. ต้องอำนวยความสะดวกให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีผู้ใดต้องถูกกลั่นแกล้ง รังแก
4. ต้องบริการด้วยมาตรฐาน ไม่ล่าช้า จงใจถ่วงเรื่อง ละเลย หรือไม่ชัดเจน

24. ข้าราชการพลเรือนสามัญจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการในระดับใด
(1) ไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
(2) ไม่ต่ำกว่าระดับปานกลาง หรือร้อยละ 60
(3) ไม่ต่ำกว่าระดับปานกลาง หรือร้อยละ 70
(4) ไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 70
(5) ไม่ต่ำกว่าระดับดี หรือร้อยละ 80
ตอบ 1 หน้า 19, (คำบรรยาย) หลักเกณฑ์การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้
1. การเลื่อนเงินเดือนให้เลื่อนปีละ 2 ครั้ง
2. การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการแต่ละคนในแต่ละครั้งให้เลื่อนได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 6 ของฐานในการคำนวณ และไม่เกินเงินเดือนสูงสุดตามที่ ก.พ. กำหนด
3. ข้าราชการซึ่งจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
4. ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการทั้งกรณีบรรจุใหม่และบรรจุกลับต้องมีเวลาปฏิบัติราชการในรอบครึ่งปีที่แล้วมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือน

25. การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรของหน่วยงานราชการใช้วิธีตามหลักการใด
(1) ระบบคุณธรรม
(2) ระบบอุปถัมภ์
(3) ระบบจริยธรรม
(4) ระบบความเป็นกลาง
(5) ระบบผลสัมฤทธิ์
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 52), (คำบรรยาย) การสรรหาและคัดเลือกบุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงความรู้ความสามารถ พฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม

26. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของวินัยราชการ
(1) การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(2) การสร้างความเจริญมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ
(3) การสร้างความผาสุกของประชาชน
(4) การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีของทางราชการ
(5) การสร้างความมั่งคั่งในอาชีพข้าราชการ
ตอบ 5 (คำบรรยาย) จุดมุ่งหมายของวินัยราชการ มีดังนี้
1. การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
2. การสร้างความเจริญมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ
3. การสร้างความผาสุกของประชาชน
4. การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีของทางราชการ

27. เหตุใดจึงต้องมีระบบการประเมินเงินเดือนข้าราชการที่ถูกต้องและเป็นธรรม
(1) เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนและลดโอกาสผิดพลาดในการดำเนินการพิจารณา
(2) เพื่อให้เกิดการคำนวณจัดสรรเงินเดือนแก่ข้าราชการในแต่ละรอบอย่างรวดเร็ว
(3) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ
(4) เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ข้าราชการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คำบรรยาย) เหตุที่ต้องมีระบบการประเมินเงินเดือนข้าราชการที่ถูกต้องและเป็นธรรม มีดังนี้
1. เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนและลดโอกาสผิดพลาดในการดำเนินการพิจารณา
2. เพื่อให้เกิดการคำนวณจัดสรรเงินเดือนแก่ข้าราชการในแต่ละรอบอย่างรวดเร็ว
3. เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ
4. เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ข้าราชการสร้างผลลัพธ์ของงานและพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

28. ข้อใดไม่ใช่ข้อกำหนดวินัยต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
(1) ข้าราชการต้องรักษาความลับของทางราชการ
(2) ข้าราชการต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง
(3) ข้าราชการต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(4) ข้าราชการต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
(5) ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของทางราชการ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) ข้อกำหนดวินัยต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ มีดังนี้
1. ข้าราชการต้องซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม
2. ข้าราชการต้องไม่อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น
3. ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ
4. ข้าราชการต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
5. ข้าราชการต้องรักษาความลับของทางราชการ
6. ข้าราชการต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง
7. ข้าราชการต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ ฯลฯ

29. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ต้องโทษวินัยปลดออกมีผลตามข้อใด
(1) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับบำเหน็จ
(2) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับบำนาญ
(3) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับเงินชดเชย
(4) พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จ บำนาญ
(5) พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จ แต่ไม่ได้รับบำนาญ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

30. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักการการสรรหาและการเลือกสรร
(1) การสรรหาคือกระบวนการจูงใจและดึงดูดบุคคลทั่วไปให้เข้ามาสมัคร ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากแต่ขอให้มีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานต้องการ
(2) กระบวนการเลือกสรรเป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อจากกระบวนการสรรหา
(3) กระบวนการสรรหา มี 3 รูปแบบ คือ แบบภายใน แบบภายนอก และแบบบูรณาการ
(4) การเลือกสรรบุคลากรเข้ารับราชการ มี 2 วิธี คือ การสอบแข่งขัน และการคัดเลือก
(5) การแย่งตัวบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่องค์การ มักเกิดจากการดึงดูดขององค์การที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า สวัสดิการดีกว่า หรือมีความมั่นคงมากกว่า
ตอบ 1 (คำบรรยาย) การสรรหา (Recruitment) คือ กระบวนการค้นหา จูงใจ และดึงดูดให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานเข้ามาสมัครงาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมาก แต่ขอให้มีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานต้องการ โดยวิธีการสรรหา มี 3 รูปแบบ คือ การสรรหาจากภายใน การสรรหาจากภายนอก และการสรรหาแบบบูรณาการ ส่วนการเลือกสรร (Selection) เป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อจากกระบวนการสรรหา โดยการเลือกสรร คือ กระบวนการพิจารณาบุคคลที่ได้สรรหามาแล้ว และคัดเลือกให้ได้บุคคลที่เหมาะสมที่สุดเอาไว้ โดยยึดหลักการแยกความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความรู้ความสามารถ ทักษะและคุณลักษณะอื่น ๆ ซึ่งวิธีการเลือกสรรมี 2 วิธี คือ การสอบแข่งขัน และการคัดเลือก

31. หลักการข้อใดหมายถึง หน่วยงานราชการทุกแห่งจำเป็นต้องมีแบบแผนและมาตรฐานการทำงาน เพื่อให้หน่วยงานทำงานถูกต้อง เหมาะสม ยืดหยุ่น และคล่องตัว
(1) Rules and Regulations
(2) Hierarchy
(3) Uniformity and Standardization
(4) Supervision and Auditing
(5) Superior and Subordinate
ตอบ 3 (คำบรรยาย) Uniformity and Standardization (in Public Services) หมายถึง หน่วยงานราชการทุกแห่งจำเป็นต้องมีแบบแผนและมาตรฐานการทำงาน เพื่อให้หน่วยงานทำงานถูกต้อง เหมาะสม ยืดหยุ่น และคล่องตัว ตัวอย่างที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น การส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำมาตรฐานการบริหารและการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการจัดทำมาตรฐานการสงเคราะห์ผู้สูงอายุ เป็นต้น

32. ใครคือผู้มีอำนาจพิจารณาความผิดและกำหนดโทษของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทำผิดทางวินัย
(1) ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน
(2) นายกรัฐมนตรี
(3) ผู้พิพากษาศาลปกครอง
(4) สภาผู้แทนราษฎร
(5) เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

33. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการลงโทษการประพฤติผิดวินัยของข้าราชการ
(1) ผู้บังคับบัญชาชายได้โอบกอด จับมือ และแซวเรื่องรูปร่างของผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นเพศหญิงเป็นประจำ โดยอ้างว่าเป็นการหยอกล้อ ไม่มีเจตนาคุกคามทางเพศ กรณีดังกล่าวจึงสมควรลงโทษด้วยการตักเตือนและทำภาคทัณฑ์ไว้ ไม่ถึงขั้นต้องไล่ออก
(2) ข้าราชการสังกัดหน่วยงานแห่งหนึ่งมีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนร่วมงาน โดยพูดจาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และดูถูกดูแคลน กรณีดังกล่าวนับเป็นการผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มีผลให้ลงโทษภาคทัณฑ์
(3) ตำรวจเข้าจับกุมกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ขี่รถจักรยานยนต์ผิดกฎจราจร โดยตำรวจบังคับใส่กุญแจมือและทำร้ายร่างกายด้วยการต่อย กระทืบ และใช้เท้าเหยียบหัว จนบาดเจ็บสาหัส กรณีดังกล่าวถือว่าผิดวินัยไม่ร้ายแรง เนื่องจากกลุ่มวัยรุ่นขัดขืนการจับกุม จึงสมควรลงโทษด้วยการลดเงินเดือนหรือตัดเงินเดือน
(4) ข้าราชการสังกัดหน่วยงานหนึ่งมาสายและทำงานผิดพลาดอยู่เป็นประจำติดต่อกันนานถึง 1 สัปดาห์ โดยอ้างว่าต้องดูแลแม่ที่ล้มป่วยกะทันหัน กรณีดังกล่าวนับเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เพราะสร้างความเสียหายแก่หน่วยงาน สมควรลงโทษด้วยการปลดออกหรือไล่ออก
(5) ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานหนึ่งทำเรื่องเบิกค่าเช่าบ้าน ค่ารักษาพยาบาล และค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทางอันเป็นเท็จมิใช่เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีดังกล่าวยังไม่นับเป็นความประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เพราะเพิ่งกระทำผิดเป็นครั้งแรก และทำคุณงามความดีมาโดยตลอด จึงสมควรลงโทษด้วยการลดเงินเดือนหรือตัดเงินเดือน
ตอบ 2 (คำบรรยาย) กรณีข้าราชการสังกัดหน่วยงานแห่งหนึ่งมีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนร่วมงาน โดยพูดจาด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย และดูถูกดูแคลน นับเป็นการผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ในฐานไม่สุภาพเรียบร้อย และไม่รักษาความสามัคคีระหว่างข้าราชการด้วยกัน กรณีดังกล่าวมีผลให้ลงโทษภาคทัณฑ์

34. การส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำมาตรฐานการบริหารและการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการจัดทำมาตรฐานการสงเคราะห์ผู้สูงอายุ มาตรฐานดังกล่าวจัดเป็นกลไกการสร้างความรับผิดชอบในระบบบริหารงานภาครัฐในรูปแบบใด
(1) Hierarchy
(2) Uniformity and Standardization (in Public Services)
(3) Rules and Regulations
(4) Courts (Constitutional and Administrative Court)
(5) Supervision and Auditing
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

35. ข้อใดไม่ใช่เงื่อนไขในการสั่งให้ออกจากราชการ
(1) สั่งให้ออกเพื่อให้ไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
(2) สั่งให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้าม
(3) สั่งให้ออกระหว่างการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
(4) สั่งให้ออกเพื่อไปรับราชการทหาร
(5) สั่งให้ออกไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลสอบทางวินัย
ตอบ 1 หน้า 24 เงื่อนไขในการสั่งให้ออกจากราชการ มีดังนี้
1. สั่งให้ออกระหว่างการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
2. สั่งให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้าม
3. สั่งให้ออกไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัย
4. สั่งให้ออกเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน
5. สั่งให้ออกเพื่อไปรับราชการทหาร

36. ข้อใดเป็นหลักการของระบบคุณธรรม
(1) หลักความสามารถ
(2) หลักความเสมอภาค
(3) หลักความเป็นกลางทางการเมือง
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 17 – 18 หลักการสำคัญของระบบคุณธรรม (Merit System) ในการบริหารงานบุคคลหรือการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ภาครัฐ มี 4 ประการ คือ 1.หลักความเสมอภาค (Equality) 2. หลักความรู้ความสามารถ (Competence) 3.หลักความมั่นคง (Security) 4. หลักความเป็นกลางทางการเมือง (Political Neutrality)

37. ตำแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กระทรวง
(1) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
(2) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง
(3) ปลัดกระทรวง
(4) รองปลัดกระทรวง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 15), (คำบรรยาย) อ.ก.พ. กระทรวง ประกอบด้วย
1. อนุกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวง) เป็นประธาน ปลัดกระทรวง เป็นรองประธาน และผู้แทน ก.พ. 1 คน
2. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมายที่มิได้เป็นข้าราชการในกระทรวงนั้น จำนวนไม่เกิน 3 คน
3. อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงในกระทรวงนั้น จำนวนไม่เกิน 5 คน
4. เลขานุการ ซึ่ง อ.ก.พ. กระทรวง แต่งตั้ง จำนวน 1 คน

38. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนมีกี่คน
(1) ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 6 คน
(2) ไม่น้อยกว่า 3 คน
(3) ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน
(4) 5 คน
(5) 7 คน
ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7 – 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 6 และมาตรา 7), (คำบรรยาย) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย
1. กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย จำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน โดยอยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี

39. การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันในส่วนที่เกี่ยวกับ การรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องคำนึงถึง
(1) ความรู้ความสามารถของบุคคล
(2) ความเสมอภาคและความเป็นธรรม
(3) ประโยชน์ของตัวข้าราชการ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 42 (1)) การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันในส่วนที่เกี่ยวกับการรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ

40. ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของข้าราชการการเมือง
(1) มีวาระในการดำรงตำแหน่ง
(2) ต้องสังกัดพรรคการเมือง
(3) เน้นเรื่องประสบการณ์
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 391, (คำบรรยาย) ลักษณะของข้าราชการการเมือง มีดังนี้
1. เป็นข้าราชการการเมืองฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 (ฉบับปัจจุบัน)
2. มีอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทนรายเดือนคงที่ ซึ่งกำหนดตามตำแหน่งและไม่มีขั้นวิ่ง
3. การเข้าดำรงตำแหน่งเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่องคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถ หรือประสบการณ์)
4. การออกจากตำแหน่งในกรณีปกติเป็นไปตามวาระหรือมีวาระในการดำรงตำแหน่งหรือเป็นไปตามเหตุผลทางการเมือง
5. ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ฯลฯ

41. หนังสือสั่งการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด
(1) 5 ชนิด
(2) 4 ชนิด
(3) 3 ชนิด
(4) 2 ชนิด
(5) 6 ชนิด
ตอบ 3 หน้า 403, 416, 422, 428, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26 – 27), (คำบรรยาย) หนังสือราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 (ฉบับปัจจุบัน) มี 6 ชนิด คือ
1. หนังสือภายนอก
2. หนังสือภายใน
3. หนังสือประทับตรา
4. หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่ คำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ มี 4 ชนิด ได้แก่ หนังสือรับรอง รายงานการประชุม บันทึก และหนังสืออื่น (ซึ่งรวมถึงภาพถ่าย ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง และแถบบันทึกภาพ)

42. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่หลักสำคัญของระบบคุณธรรมในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ใช้ในระบบราชการปัจจุบัน
(1) หลักความมั่นคง
(2) หลักความรู้ความสามารถ
(3) หลักความเสมอภาค
(4) หลักอาวุโส
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

43. ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กำหนด คือ
(1) ก.พ.
(2) อธิบดี
(3) อ.ก.พ.
(4) อ.ก.พ. กระทรวง
(5) อ.ก.พ. จังหวัด
ตอบ 2 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 55), (คำบรรยาย) กรณีที่มีเหตุพิเศษที่ ก.พ. เห็นว่าไม่ต้องดำเนินการสอบแข่งขัน สามารถให้อธิบดี (ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา 57) เป็นผู้คัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งได้เป็นรายกรณี (ไม่ใช่เป็นการพิจารณาเป็นรายบุคคล) เช่น
1. กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กำหนด
2. กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง หรือทุนรัฐบาลเพื่อศึกษาวิชาในประเทศหรือต่างประเทศที่สำเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น

44. ระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันมีกี่ระดับ
(1) 2 ระดับ
(2) 3 ระดับ
(3) 4 ระดับ
(4) 5 ระดับ
(5) 6 ระดับ
ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13 – 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 46) ระดับตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ มี 5 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป มี 4 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติงาน ระดับชำนาญงาน ระดับอาวุโส และระดับทักษะพิเศษ ทั้งนี้การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎ ก.พ.

45. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติบางประการต่อไปนี้
(1) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
(2) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง
(3) ไม่เป็นกรรมการโดยตำแหน่งอยู่แล้ว
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7 – 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 6 วรรคสอง) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนต้องไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง และมิได้เป็นกรรมการ ก.พ. โดยตำแหน่งอยู่แล้ว

46. ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งใดต่อไปนี้ต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
(1) ปลัดกระทรวง
(2) อธิบดี
(3) รองผู้ว่าราชการจังหวัด
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 17 – 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 57 (1) (2) (7)), (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีขั้นตอนการบรรจุและแต่งตั้งโดยต้องขออนุมัติหรือขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้แก่ 1. ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น 2. ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

47. ระดับทักษะพิเศษเป็นระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทใด
(1) พิเศษ
(2) วิชาการ
(3) บริหาร
(4) อำนวยการ
(5) ทั่วไป
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

48. ข้าราชการพลเรือนตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้แก่
(1) ข้าราชการพลเรือนสามัญ
(2) ข้าราชการพลเรือนในพระองค์
(3) ข้าราชการครู
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 35), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือน มี 2 ประเภท คือ
1. ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 4 ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งข้าราชการประเภทนี้ถือเป็นข้าราชการส่วนใหญ่ที่มีจำนวนมากที่สุดตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้
2. ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

49. หนังสือราชการชนิดใดต่อไปนี้ไม่ต้องมีคำลงท้ายตามระเบียบงานสารบรรณปัจจุบัน
(1) หนังสือประทับตรา
(2) หนังสือภายใน
(3) หนังสือภายนอก
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 410 – 415, (คำบรรยาย) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 หนังสือภายใน คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีน้อยกว่าหนังสือภายนอก ใช้สำหรับติดต่อภายในกระทรวง ทบวง กรม หรือจังหวัดเดียวกัน ส่วนหนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป ซึ่งหนังสือทั้งสองประเภทนี้จะใช้สำหรับส่วนราชการภายในด้วยกันเองจึงไม่ต้องมีคำลงท้าย

50. ในการปฏิบัติราชการเพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล จะบรรลุผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับ
(1) ตัวบทกฎหมาย
(2) ความร่วมมือของภาคเอกชน
(3) ประชาชนโดยส่วนรวม
(4) กระทรวง กรม ในระบบราชการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 1, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 1) ในการปฏิบัติราชการเพื่อดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลจะบรรลุผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดหรือจะบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคน การจัดองค์การ และวิธีการทำงาน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานต่าง ๆ ในระบบราชการว่ามีประสิทธิภาพในการทำงานหรือไม่

51. หนังสือประชาสัมพันธ์ตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด
(1) ชนิดเดียว
(2) 2 ชนิด
(3) 3 ชนิด
(4) 4 ชนิด
(5) 5 ชนิด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

52. ตำแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กรม
(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด
(2) รองปลัดกระทรวง
(3) ปลัดกระทรวง
(4) อธิบดี
(5) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 17), (คำบรรยาย) อ.ก.พ. กรม ประกอบด้วย
1. อนุกรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ อธิบดี เป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมาย 1 คน เป็นรองประธาน
2. อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมายที่มิได้เป็นข้าราชการในกรมนั้น จำนวนไม่เกิน 3 คน
3. อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอำนวยการในกรมนั้น จำนวนไม่เกิน 6 คน
4. เลขานุการ ซึ่ง อ.ก.พ. กรม แต่งตั้ง จำนวน 1 คน

53. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญระดับใดที่ระเบียบฯ กำหนดให้ต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
(1) ประเภทบริหารระดับสูง
(2) ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
(3) ประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

54. โทษผิดวินัยตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันมีกี่สถาน
(1) 2 สถาน
(2) 3 สถาน
(3) 4 สถาน
(4) 5 สถาน
(5) 6 สถาน
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22 – 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 88), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยจะต้องได้รับโทษทางวินัย เว้นแต่มีเหตุอันควรงดโทษตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 การดำเนินการทางวินัย โดยโทษทางวินัยมี 5 สถาน ซึ่งแบ่งออกเป็น
1. โทษผิดวินัยประเภทไม่ร้ายแรง มี 3 สถาน ได้แก่ ภาคทัณฑ์ (เบาที่สุด) ตัดเงินเดือน และลดเงินเดือน
2. โทษผิดวินัยประเภทร้ายแรง มี 2 สถาน ได้แก่ ปลดออก และไล่ออก (หนักที่สุด)

55. ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในการบริหารราชการส่วนภูมิภาคตามกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน
(1) เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
(2) เป็นตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
(3) มีระดับตำแหน่งระดับเดียวกับตำแหน่งปลัดกระทรวง
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มี 2 ระดับ คือ
1. บริหารระดับต้น ได้แก่ รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (รองอธิบดี), รองผู้ว่าราชการจังหวัด, อัครราชทูต เป็นต้น
2. บริหารระดับสูง ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง), รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและรองปลัดกระทรวง), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (อธิบดี), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (เช่น เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ), ผู้ว่าราชการจังหวัด, เอกอัครราชทูต เป็นต้น

56. ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งใดต่อไปนี้เป็นตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้นตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
(1) รองอธิบดี
(2) รองผู้ว่าราชการจังหวัด
(3) รองปลัดกระทรวง
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57. ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(1) เป็นข้าราชการการเมือง
(2) อาจมีหลายคนได้
(3) มีฐานะเท่ากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 387, 393 ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ซึ่งตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีจำนวนเพียง 1 อัตรา

58. ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันแบ่งเป็นกี่ประเภท
(1) 2 ประเภท
(2) 3 ประเภท
(3) 4 ประเภท
(4) 5 ประเภท
(5) 6 ประเภท
ตอบ 3 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 45), (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญแบ่งตามลักษณะงานได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนดเป็นตำแหน่งประเภทบริหาร
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ได้แก่ ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรมและตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนดเป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการ เช่น หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัดในราชการส่วนภูมิภาค เป็นต้น
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กำหนด (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตำแหน่งนั้น
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ ตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งประเภทตามข้อ 1, 2 และ 3 ทั้งนี้ตามที่ ก.พ. กำหนด

59. ข้อใดเป็นโทษผิดวินัยขั้นร้ายแรงตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
(1) ไล่ออก
(2) ปลดออก
(3) ให้ออก
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

60. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันมีจำนวนกี่คน
(1) 5 คน
(2) 6 คน
(3) 7 คน
(4) 8 คน
(5) 9 คน
ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 11), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 24 และมาตรา 29), (คำบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.” ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 7 คน ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นเลขานุการของ ก.พ.ค. โดยตำแหน่ง โดยกรรมการ ก.พ.ค. ต้องทำงานเต็มเวลา และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ดังนั้นกรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ก.พ.ค. อีกมิได้ แต่ให้กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการ ก.พ.ค. ใหม่

ตั้งแต่ข้อ 61. – 100. ข้อใดถูกให้ระบายในช่อง 1 ข้อใดผิดให้ระบายในช่อง 2

61. การบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับปริญญาจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ ก.พ. รับรอง โดยปกติจะต้องผ่านการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่เปิดสอบแข่งขันนั้น
ตอบ 1 หน้า 93 – 95 การบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ ก.พ. รับรองเข้ารับราชการนั้น โดยปกติจะต้องผ่านการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับผู้สำเร็จการศึกษาในประเทศหรือบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่เปิดสอบแข่งขันนั้น แต่ต้องเสนอคุณวุฒิให้ ก.พ. พิจารณารับรองเพื่อตีราคาหรือตีค่าคุณวุฒิ และกำหนดหลักเกณฑ์การบรรจุเป็นราย ๆ ทุกรายไป โดย ก.พ. จะพิจารณาจากหลักสูตรการศึกษาและความน่าเชื่อถือของสถาบันที่ประสาทปริญญาหรือประกาศนียบัตรนั้นด้วย แต่ ก.พ. จะไม่มีอำนาจในการบรรจุและแต่งตั้ง

62. “หนังสือราชการภายนอก” เป็นหนังสือราชการที่ต้องมีคำขึ้นต้นและคำลงท้ายตามระเบียบงานสารบรรณปัจจุบัน
ตอบ 1 หน้า 404 – 407, (คำบรรยาย) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่นใดมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก ซึ่งหนังสือภายนอกนี้จะต้องมีคำขึ้นต้นและคำลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตารางการใช้คำขึ้นต้น สรรพนาม และคำลงท้ายที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 2

63. การละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

64. ก.พ. มีอำนาจหน้าที่ประการหนึ่ง คือ พิจารณาจัดระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติเกี่ยวกับวัน เดือน ปีเกิด และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 10 – 11), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 8) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
1. ออกกฎ ก.พ. และระเบียบเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน
2. ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน รวมตลอดทั้งกำหนดแนวทางปฏิบัติในกรณีที่เป็นปัญหา
3. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิอย่างอื่น (ตีค่าคุณวุฒิ) เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน
4. พิจารณาจัดระบบทะเบียนประวัติและแก้ไขทะเบียนประวัติเกี่ยวกับวัน เดือน ปีเกิด และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือน ฯลฯ

65. ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน ถ้าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการพลเรือนบางประการ ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้ มติของ ก.พ. ในการยกเว้นดังกล่าวต้องได้คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36 วรรคสอง และวรรคสี่) มติของ ก.พ. ในการยกเว้นลักษณะต้องห้าม (คุณสมบัติต้องห้าม) บางประการสำหรับผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนนั้น ต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของจำนวนกรรมการที่มาประชุม และการลงมติให้กระทำโดยลับ ซึ่งในการนี้ ก.พ. จะยกเว้นให้เป็นการเฉพาะราย หรือจะประกาศยกเว้นให้เป็นการทั่วไปก็ได้

66. ระเบียบงานสารบรรณ คือ ระเบียบที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ถือปฏิบัติ เพื่อให้การปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เป็นระเบียบ และมีระบบ
ตอบ 2 หน้า 399 ระเบียบงานสารบรรณ คือ ระเบียบที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการต่าง ๆ ถือปฏิบัติ เพื่อให้การปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับหนังสือราชการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เป็นระเบียบ มีระบบ และเป็นหลักในการปฏิบัติงาน

67. ผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบแข่งขันเข้ารับราชการทำให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36), (คำบรรยาย) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาบังคับไว้ ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้สมัครเข้ารับราชการได้โดยไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติทั่วไป มี 4 กรณี ดังนี้
1. เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
2. เป็นบุคคลล้มละลาย
3. เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา
4. เป็นผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการหรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ

68. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกลงโทษปลดออกจากราชการ กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

69. “ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 4) “ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม

70. กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกมีผลใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศเป็นกฎหมาย
ตอบ 2 หน้า 29, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก ซึ่งประกาศเป็นกฎหมายในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 แต่มิได้มีผลใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศในราชกิจจาฯ โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้เริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472 หรืออีกราวปีเศษให้หลัง

71. หลักความสามารถตามระบบคุณธรรม หมายความว่า สิทธิที่จะเข้ารับราชการต้องเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไปทุกคนที่มีคุณสมบัติตามที่ทางราชการต้องการ
ตอบ 2 หน้า 17 หลักความเสมอภาค (Equality) ตามระบบคุณธรรม หมายความว่า สิทธิที่จะเข้ารับราชการจะต้องเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไปทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่ราชการต้องการหรือตามระเบียบข้าราชการพลเรือน โดยให้มีโอกาสสมัครสอบแข่งขันเข้ารับราชการได้ และต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุเกี่ยวกับเหล่ากำเนิด ฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม ศาสนา และเพศของบุคคล

72. การบรรจุข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งออกจากราชการไปแล้วกลับเข้ารับราชการ ระเบียบฯ กำหนดว่า “ถ้าสมัครเข้ารับราชการเมื่อใดทางราชการจะต้องรับผู้นั้นกลับเข้ารับราชการทุกราย”
ตอบ 2 หน้า 99, (คำบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การบรรจุข้าราชการพลเรือนสามัญซึ่งออกจากราชการไปแล้วกลับเข้ารับราชการไว้ว่า “ถ้าสมัครเข้ารับราชการเมื่อใดทางราชการไม่จำเป็นต้องรับผู้นั้นกลับเข้ารับราชการทันที” นั่นคือ ส่วนราชการไม่ถูกผูกพันให้ต้องบรรจุเหมือนกับกรณีผู้ออกจากราชการเพราะไปรับราชการทหาร หรือไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี แต่ปล่อยให้ส่วนราชการสามารถใช้ดุลยพินิจจะเลือกบรรจุหรือไม่ก็ได้

73. โดยปกติกรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ ระเบียบฯ กำหนดคุณสมบัติประการหนึ่งว่าต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือเทียบเท่าขึ้นไป
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

74. การบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์มีข้อดีประการหนึ่งคือ ช่วยส่งเสริมการวัดผลโดยการสอบให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ตอบ 1 หน้า 19 การบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์มีข้อดี คือ
1. ช่วยให้การบริหารงานบุคคลดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย
2. ช่วยเสริมการวัดผลโดยการสอบตามระบบคุณธรรมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3. ช่วยให้การบริหารงานบุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันท่วงที

75. คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือนตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประการหนึ่งคือ ต้องสำเร็จการศึกษาอย่างต่ำชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36) คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ได้แก่
1. มีสัญชาติไทย
2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี
3. เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

76. ระดับทักษะพิเศษเป็นระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

77. ปลัดกระทรวงการคลังเป็นกรรมการ ก.พ. โดยตำแหน่งตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

78. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันได้กำหนดเรื่องการสอบสวนและการดำเนินการทางวินัยข้าราชการพลเรือนสามัญไว้ นับได้ว่าเป็นการสอดคล้องกับหลักความเป็นกลางในทางการเมืองตามระบบคุณธรรม
ตอบ 2 หน้า 18, (คำบรรยาย) หลักความมั่นคง (Security) ตามระบบคุณธรรม หมายถึง การให้หลักประกันแก่ข้าราชการที่มีผลงานและความประพฤติดีจะต้องไม่ถูกให้ออกจากงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร โดย พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติเรื่องที่สอดคล้องกับหลักการนี้ไว้หลายเรื่อง เช่น การออกจากราชการ การอุทธรณ์ การร้องทุกข์ การสอบสวน และการดำเนินการทางวินัย เป็นต้น

79. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 59 วรรคสาม), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน แต่ทั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือข้อห้ามของข้าราชการพลเรือนแต่อย่างใด

80. กระทรวง กรมใดมีเหตุผลและความจำเป็นอย่างยิ่งจะบรรจุบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และความชำนาญงานสูงเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 56) กระทรวงหรือกรมใดมีเหตุผลและความจำเป็นอย่างยิ่งจะบรรจุบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและความชำนาญงานสูงเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ หรือระดับทรงคุณวุฒิ หรือตำแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษก็ได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด

81. การบริหารงานบุคคลในระบบราชการไทยพัฒนาจากระบบคุณธรรมไปสู่ระบบธรรมาภิบาลในปัจจุบันนี้
ตอบ 2 หน้า 25, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) การบริหารงานบุคคลในระบบราชการของไทยได้มีการพัฒนามาตามลำดับ โดยพัฒนามาจากรูปแบบที่ไม่เป็นทางการไปสู่รูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น และจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้รับบริการ

82. “บำเหน็จดำรงชีพ” คือ เงินตอบแทนจ่ายให้ผู้มีสิทธิขอรับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และจ่ายให้เพื่อดำรงชีพเป็นการชั่วคราว
ตอบ 2 (คำบรรยาย) บำเหน็จดำรงชีพ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการบำนาญเพื่อช่วยเหลือการดำรงชีพ ซึ่งจ่ายในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยผู้รับบำนาญมีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพ ดังนี้
1. ผู้รับบำนาญอายุต่ำกว่า 65 ปี ขอรับได้ไม่เกิน 200,000 บาท
2. ผู้รับบำนาญอายุตั้งแต่ 65 ปี แต่ไม่ถึง 70 ปี ขอรับได้ไม่เกิน 400,000 บาท แต่ถ้าใช้สิทธิตามข้อ 1. ไปแล้ว ขอรับได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้น แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 400,000 บาท
3. ผู้รับบำนาญที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ขอรับได้ไม่เกิน 500,000 บาท แต่ถ้าใช้สิทธิตามข้อ 1.และ 2. ไปแล้ว ขอรับได้ไม่เกินส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้น แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 500,000 บาท

83. วินัยของข้าราชการพลเรือนที่ควรคาดหวังจากข้าราชการพลเรือนควรเป็นการรักษาวินัยโดยผู้บังคับบัญชา
ตอบ 2 หน้า 258, (คำบรรยาย) วินัยที่เหมาะสมและควรคาดหวังจากข้าราชการพลเรือนก็คือ การรักษาวินัยด้วยตนเอง (Self-discipline) ซึ่งวินัยที่ปฏิบัติด้วยตนเองนี้จะเป็นที่รู้จักกันในหมู่ข้าราชการพลเรือนได้ก็โดยการที่ข้าราชการพลเรือนรู้ว่าองค์การต้องการให้เขาปฏิบัติตัวอย่างไร และองค์การจะต้องส่งเสริมให้เขารับผิดชอบต่อการกระทำของเขาเอง

84. ปัจจุบันตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูงตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 2 หน้า 387 – 388, 391, (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ตำแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น
2. ตำแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

85. การที่ระเบียบข้าราชการพลเรือนกำหนดเรื่องการออกจากราชการเมื่อใด นับได้ว่าเป็นมาตรการประการหนึ่งในการแสวงหาความเป็นธรรมแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตอบ 2 หน้า 307, (คำบรรยาย) การที่กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนกำหนดเรื่องการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญไว้เป็นกิจจะลักษณะนั้นนับได้ว่าเป็นมาตรการประการหนึ่งในการให้หลักประกันความมั่นคงแก่ข้าราชการตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล มิให้ข้าราชการต้องถูกออกจากราชการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือเป็นไปโดยอำเภอใจของผู้บังคับบัญชา

86. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

87. ตำแหน่งเอกอัครราชทูตเป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทอำนวยการระดับสูงตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

88. การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎ ก.พ.
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

89. การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ปกติผู้มีอำนาจสั่งย้ายจะกระทำมิได้
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 63 วรรคสาม), (คำบรรยาย) การย้ายหรือการโอนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ผู้มีอำนาจสั่งย้ายจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้น ส่วนการย้ายไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงกว่าเดิม จะไม่สามารถดำเนินการได้แต่ต้องใช้วิธีการสอบคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน

90. ในการบริหารงานบุคคลของส่วนราชการของข้าราชการฝ่ายพลเรือนในปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดวิธีปฏิบัติไว้เป็นการแน่นอนเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
ตอบ 1 หน้า 15, (คำบรรยาย) ในการบริหารงานบุคคลของส่วนราชการของข้าราชการฝ่ายพลเรือนในปัจจุบันมีกฎหมายกำหนดวิธีปฏิบัติไว้เป็นการแน่นอนเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน โดยกฎหมายที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีหลายฉบับด้วยกัน เช่น ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ระเบียบข้าราชการตุลาการ ระเบียบข้าราชการอัยการ เป็นต้น

91. ผลของการไม่ปฏิบัติตามจรรยาข้าราชการ ถ้าไม่ใช่ความผิดทางวินัยผู้บังคับบัญชาอาจสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นไม่ได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนก็ได้
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 20), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 79) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจรรยาข้าราชการอันมิใช่เป็นความผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาตักเตือน นำไปประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง เลื่อนเงินเดือน หรือสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นได้รับการพัฒนา

92. กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ระเบียบฯ กำหนดว่าจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการอีกไม่ได้
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

93. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ขอลาออกจากราชการเพื่อไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งอนุญาตการลาออกอาจยับยั้งการลาออกนั้นได้เพื่อประโยชน์ของทางราชการ
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 109 วรรคห้า), (คำบรรยาย) ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการเพื่อไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)) ตำแหน่งทางการเมือง (เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวง, เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง, ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง) หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนด หรือตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการใดที่กฎหมายกำหนดว่าไม่ต้องเป็นข้าราชการ (เช่น นายกสภามหาวิทยาลัยของรัฐ) หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา (ส.ส. และ ส.ว.) สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (เช่น นายก อบต.) ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งอนุญาตการลาออก (ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา 57) ไม่อาจยับยั้งการขอลาออกได้ และให้การลาออกมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก

94. หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ได้แก่ อธิบดี เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงเช่นเดียวกับปลัดกระทรวง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

95. ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทอำนวยการ ได้แก่ ตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กำหนด เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ตำแห่งนั้น
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 58. ประกอบ

96. การโอนข้าราชการอื่นมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันมีข้อกำหนดว่าจะต้องให้ ก.พ. พิจารณาอนุมัติก่อนโดยคำนึงถึงประโยชน์ของตัวข้าราชการผู้นั้นเป็นหลัก
ตอบ 2 (คำบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 บัญญัติว่า การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือข้าราชการอื่นมาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญต้องเกิดจากความสมัครใจของตัวผู้ขอโอนเอง โดยเมื่อผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้ง 2 หน่วยงานตกลงกันได้แล้ว ให้เสนอเรื่องไปยัง ก.พ. เพื่อพิจารณาอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ซึ่ง ก.พ. จะพิจารณาอนุมัติโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก

97. ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ผู้มีอำนาจกำหนดตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญของส่วนราชการระดับกระทรวง ได้แก่ ปลัดกระทรวง
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 47) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญจะมีในส่วนราชการใด จำนวนเท่าใด และเป็นตำแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด ให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กำหนด โดยต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้ำซ้อนและประหยัดเป็นหลัก ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง

98. คำว่า “ปลัดกระทรวง” ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ให้หมายความรวมถึงปลัดทบวงด้วย
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 4) คำว่า “ปลัดกระทรวง” ให้หมายความรวมถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดทบวง

99. ข้าราชการการเมืองเข้าดำรงตำแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองและตามระเบียบข้าราชการการเมืองฉบับปัจจุบันด้วย
ตอบ 1 หน้า 383, 391 ข้าราชการการเมืองได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งโดยเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่องคุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ) และตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 (ฉบับปัจจุบัน) กล่าวคือ แต่เดิมข้าราชการการเมืองถือว่าเป็นข้าราชการพลเรือนประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่ในปัจจุบันได้มีการแยกข้าราชการการเมืองออกจากข้าราชการพลเรือน เพื่อไม่ให้มีการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน และได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 เพื่อใช้บังคับแก่ข้าราชการการเมืองโดยตรง

100. การมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของระบบราชการ หมายถึง ข้าราชการประจำมีการควบคุมขั้นสุดท้ายอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด คือ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด
ตอบ 2 หน้า 2, (คำบรรยาย) การมีลำดับขั้นการบังคับบัญชา (Hierarchy) ของระบบราชการ หมายถึง การที่ข้าราชการประจำแต่ละคนจะต้องมีผู้บังคับบัญชาคอยสั่งการและควบคุมการกระทำของเขาตามลำดับ โดยมีการจำแนกอำนาจหน้าที่หรือภารกิจความรับผิดชอบของตำแหน่ง และมีการควบคุมขั้นสุดท้ายอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด คือ ปลัดกระทรวง โดยอาศัยการจัดโครงสร้างแบบพีระมิด

 

Advertisement