การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2302 ระเบียบปฏิบัติราชการ

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว

Advertisement

1. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการจำแนกตำแหน่งในระบบแท่งของระบบราชการ
(1) จำแนกเป็นกลุ่มตำแหน่ง 4 ประเภท และมีสี่ระดับเท่ากัน
(2) ทุกประเภทตำแหน่งจำเป็นต้องจบปริญญาตรีเป็นขั้นต่ำ
(3) แต่ละกลุ่มมี 4 ระดับ แตกต่างกันตามภาระงานและโครงสร้างในองค์กร
(4) ระบบเงินเดือนตามกลุ่มตำแหน่ง 2 – 5 ประเภท
(5) ตำแหน่งอธิบดีกรมจัดอยู่ในประเภทตำแหน่งบริหาร
ตอบ 1_5 (คำบรรยาย) การจำแนกตำแหน่งในระบบแท่งของระบบราชการ มีลักษณะดังนี้
1. จำแนกเป็นกลุ่มตำแหน่ง 4 ประเภท และมีสี่ระดับจากกัน ได้แก่
1) ตำแหน่งประเภททั่วไป ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรี
2) ตำแหน่งประเภทวิชาการ จำเป็นต้องจบปริญญาตรีเป็นขั้นต่ำ
3) ตำแหน่งประเภทอำนวยการ คือ หัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรม
4) ตำแหน่งประเภทบริหาร คือ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดีกรม เป็นต้น
2. แต่ละกลุ่มมี 2 – 5 ระดับ แตกต่างกันตามภาระงานและโครงสร้างในองค์กร
3. ระบบเงินเดือนตามกลุ่มตำแหน่ง 4 ประเภท

2. ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดอยู่ในกลุ่มตำแหน่งประเภทใด
(1) ทั่วไป
(2) วิชาการ
(3) อำนวยการ
(4) บริหาร
(5) อำนวยการ หรือบริหาร
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มี 2 ระดับ คือ
1. บริหารระดับต้น ได้แก่ รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (รองอธิบดี), รองผู้ว่าราชการจังหวัด, อัครราชทูต เป็นต้น
2. บริหารระดับสูง ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดกระทรวง), รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและรองปลัดกระทรวง), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (อธิบดี), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (เช่น เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ผู้ว่าราชการจังหวัด, เอกอัครราชทูต เป็นต้น

3. การย้ายหรือโอนไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ถูกย้ายหรือโอนนั้น เป็นไปตามกฎ ก.พ. ในข้อใด
(1) ข้อ 5
(2) ข้อ 6
(3) ข้อ 7
(4) ข้อ 8
(5) ข้อ 9
ตอบ 2 (คำบรรยาย) กฎ ก.พ. ข้อ 6 กำหนดให้การย้ายหรือโอนไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ถูกย้ายหรือโอนนั้น

4. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการย้ายตำแหน่ง
(1) การย้ายไม่จำเป็นต้องอยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้
(2) การย้ายสามารถย้ายภายในกรมเดียวกัน ประเภทเดียวกัน และสายงานเดียวกัน แต่ไม่สามารถย้ายต่างประเภทกันและต่างสายงานกันได้
(3) การย้ายเป็นกรณีที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ ก.พ. กำหนดก่อนแล้วผู้มีอำนาจสั่งบรรจุจึงจะดำเนินการได้
(4) การย้ายใน “ระดับชำนาญการ” จำเป็นต้องอยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้แต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่จะย้าย
(5) การย้ายอาจสับเปลี่ยนในส่วนราชการ หรือต่างส่วนราชการก็ได้ แต่ต้องเป็นตำแหน่งประเภทเดียวกัน
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การย้าย หมายถึง การย้ายไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในกรมเดียวกันหรือกรมอื่น แต่อาจสับเปลี่ยนในส่วนราชการ หรือโอนไปอยู่ในจังหวัดหรืออำเภอในส่วนภูมิภาคก็ได้ ซึ่งจะจำแนกตำแหน่งประเภทเดียวกันหรือต่างประเภทกันก็ได้ โดยหลักเกณฑ์ในการย้ายแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. กรณีที่อยู่ในดุลพินิจของผู้มีอำนาจสั่งบรรจุที่จะพิจารณาย้ายได้
2. กรณีที่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่ ก.พ. กำหนดก่อน แล้วผู้มีอำนาจสั่งบรรจุจึงจะดำเนินการย้ายได้

5. ตามหลักเกณฑ์ในการโอน ส่วนราชการต้นสังกัดอาจยับยั้งได้ไม่เกินกี่วันนับแต่วันที่กระทรวงหรือกรมต้นสังกัดของข้าราชการผู้ขอโอนได้รับทราบ
(1) 30 วัน
(2) 45 วัน
(3) 60 วัน
(4) 90 วัน
(5) 120 วัน
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ตามหลักเกณฑ์ในการโอน การโอนของผู้ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของส่วนราชการที่จะรับโอนและข้าราชการที่จะโอน ซึ่งต้นสังกัดไม่อาจยับยั้งได้ เว้นแต่ในกรณีมีเหตุผลความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของราชการ ส่วนราชการต้นสังกัดอาจยับยั้งได้ไม่เกิน 90 วันนับแต่วันที่กระทรวงหรือกรมต้นสังกัดของข้าราชการผู้ขอโอนได้รับทราบ หรือในกรณีที่ข้าราชการที่จะขอโอนไปสังกัดได้รับความยินยอมจากส่วนราชการต้นสังกัดก่อนรวมทั้งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนดด้วย

6. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) การเลื่อนระดับให้เลื่อนได้ไม่เกิน 1 ระดับ
(2) การโอนไปให้ดำรงตำแหน่งใหม่ จำเป็นต้องอยู่ในกระทรวงเดิมเท่านั้น
(3) ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ข้าราชการสับเปลี่ยนหน้าที่หรือย้ายโอนไปปฏิบัติหน้าที่อื่นได้
(4) การเลื่อนระดับ คือ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทเดียวกันในระดับที่สูงกว่าเดิม
(5) ข้าราชการสามารถย้ายข้ามประเภทตำแหน่งจากประเภทปฏิบัติงานเป็นประเภทปฏิบัติการได้

7. การเลื่อนระดับของประเภทตำแหน่งบริหาร ตำแหน่งที่ต่อจาก “ระดับต้น” คือตำแหน่งใด
(1) ระดับกลาง
(2) ระดับปลาย
(3) ระดับสูง
(4) ระดับพิเศษ
(5) ระดับชำนาญ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การเลื่อนระดับข้าราชการพลเรือนสามัญในตำแหน่งประเภทต่างๆ สามารถเลื่อนในระดับที่สูงกว่าเดิมได้ไม่เกิน 1 ระดับ ดังนั้นในแต่ละประเภทตำแหน่งจึงสามารถเลื่อนระดับได้ดังนี้
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น → ระดับสูง
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับต้น → ระดับสูง
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ → ระดับชำนาญการ → ระดับชำนาญการพิเศษ → ระดับเชี่ยวชาญ → ระดับทรงคุณวุฒิ
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน → ระดับชำนาญงาน → ระดับอาวุโส → ระดับทักษะพิเศษ

8. การเลื่อนระดับของประเภทตำแหน่งทั่วไป ตำแหน่งที่ต่อจาก “ระดับชำนาญงาน” คือตำแหน่งใด
(1) ระดับเชี่ยวชาญ
(2) ระดับต้น
(3) ระดับชำนาญการ
(4) ระดับชำนาญงานพิเศษ
(5) ระดับอาวุโส
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9. ข้อใดคือหลักเกณฑ์ในการประเมินการเลื่อนเงินเดือน
(1) ยึดหลักความถูกต้องและเป็นธรรม
(2) ต้องเป็นไปตามกฎหมายปกครอง
(3) ใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานเป็นหลัก
(4) ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานจะต้องประเมินผล
(5) ยึดหลักอาวุโส
ตอบ 1 (คำบรรยาย) การประเมินการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการ เป็นการประเมินโดยผู้บังคับบัญชาในระดับที่ตนสังกัดอยู่ โดยปกติการประเมินเงินเดือนจะกระทำตามเกณฑ์โดยยึดหลักความถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่ ก.พ. กำหนด

10. การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญในครึ่งปีหลัง หรือการเลื่อนในครึ่งปีหลัง คือช่วงเวลาใด
(1) 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน
(2) 1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม
(3) 1 พฤศจิกายน ถึง 30 เมษายน
(4) 1 เมษายน ถึง 30 กันยายน
(5) 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม
ตอบ 4 หน้า 19, (คำบรรยาย) การเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยปกติจะเลื่อนปีละ 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เป็นการเลื่อนเงินเดือนสำหรับข้าราชการผู้ปฏิบัติราชการในครึ่งปีที่แล้ว (1 ตุลาคม ถึง 31 มีนาคม) โดยให้เลื่อนในวันที่ 1 เมษายนของปีที่ได้เลื่อน
ครั้งที่ 2 เป็นการเลื่อนเงินเดือนสำหรับข้าราชการผู้ปฏิบัติราชการในครึ่งปีหลัง (1 เมษายน ถึง 30 กันยายน) โดยให้เลื่อนในวันที่ 1 ตุลาคมของปีถัดไป

11. ข้าราชการจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการอยู่ในระดับใด
(1) ไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
(2) ไม่ต่ำกว่าระดับดี หรือร้อยละ 70
(3) ไม่ต่ำกว่าระดับดี หรือร้อยละ 80
(4) ไม่ต่ำกว่าระดับดีเด่น หรือร้อยละ 70
(5) ไม่ต่ำกว่าระดับดีเด่น หรือร้อยละ 60
ตอบ 1 หน้า 19, (คำบรรยาย) หลักเกณฑ์การเลื่อนเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้
1. การเลื่อนเงินเดือนให้เลื่อนได้ละ 2 ครั้ง
2. การเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งให้เลื่อนได้ไม่เกินร้อยละ 6 ของฐานในการคำนวณ และต้องไม่เกินวงเงินที่ ก.พ. กำหนด
3. ข้าราชการซึ่งจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
4. ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรกและบรรจุกลับต้องมีเวลาราชการมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 เดือน

12. ข้อใดไม่ใช่หลักการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจ
(1) หน่วยงานดำเนินการให้ข้าราชการมีคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดผลสัมฤทธิ์
(2) ผู้บังคับบัญชาปฏิบัติตนต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างมีคุณธรรมและเที่ยงธรรม
(3) ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนเงินเดือน ให้บำเหน็จ ค่าตอบแทน หรือเครื่องเชิดชูเกียรติ หรือรางวัล
(4) ให้ข้าราชการไปฝึกอบรม ดูงาน หรือทำวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศ
(5) การให้ข้าราชการยืมทรัพย์สินของหน่วยงานนอกเวลาราชการเมื่อมีเหตุจำเป็น
ตอบ 5 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 72 – 77), (คำบรรยาย) หลักการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติราชการ มีดังนี้
1. หน่วยราชการต้องดำเนินการให้ข้าราชการมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรม คุณภาพชีวิตที่ดีและกำลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
2. ผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติตนต่อผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างมีคุณธรรมและเที่ยงธรรมและเสริมสร้างแรงจูงใจให้ข้าราชการเป็นที่พึงพอใจ
3. หากข้าราชการประพฤติปฏิบัติตนในการเลื่อนเงินเดือนและระเบียบวินัย และปฏิบัติราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเลื่อนเงินเดือนให้บำเหน็จ ค่าตอบแทน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือรางวัล
4. ให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศหรือต่างประเทศ

13. ข้อใดกล่าวถึงหลักการ “Put the right man on the right job” ได้อย่างถูกต้องที่สุด
(1) การสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาปฏิบัติงานถูกคนถูกเวลา
(2) การได้มาซึ่งบุคลากรที่มีทักษะความรู้ความเหมาะสมกับงานของผู้บังคับบัญชา
(3) การสรรหาบุคคลที่มีทักษะความสามารถเข้ามาทำงานด้วยระบบอุปถัมภ์
(4) การรับโอนของหน่วยงานให้เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของบุคคล
(5) การได้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถและสมรรถนะเหมาะสมกับตำแหน่ง
ตอบ 5 (คำบรรยาย) เป้าหมายของการสรรหาเพื่อคัดเลือกบุคลากรเข้ารับราชการ มีดังนี้
1. สรรหาให้ได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะเหมาะสมกับความต้องการของตำแหน่ง (Put the right man on the right job at the right time)
2. สรรหาข้าราชการและสรรหาบุคคลด้วยมาตรฐานและเป็นตัวตั้ง

14. ข้อใดคือคุณสมบัติในการแต่งตั้งข้าราชการใน “สายงานเปิด”
(1) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจง
(2) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาโดยระบุชื่อสาขาวิชาไว้หลายสาขาวิชา
(3) สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาทุกสาขาวิชาเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 (คำบรรยาย) สายงานเปิด คือ สายงานที่กำหนดคุณวุฒิปริญญาสาขาวิชาที่เฉพาะเจาะจงเป็นคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่ง เช่น
– ตำแหน่งนิติกรระดับปฏิบัติการ ได้รับปริญญาตรี/โท/เอก/ดุษฎีบัณฑิตอย่างอื่นที่เทียบได้ในระดับเดียวกันในสาขาวิชานิติศาสตร์
– ตำแหน่งนายสัตวแพทย์ระดับปฏิบัติการ ได้รับปริญญาสัตวแพทย์ศาสตร์บัณฑิต และได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์จากสัตวแพทยสภา

15. คุณสมบัติของตำแหน่งนายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ จัดอยู่ในสายงานประเภทใด
(1) สายงานเปิด
(2) สายงานในโรงงาน
(3) สายงานปิด
(4) สายงานเปิดและสายงานปิด
(5) สายงานปัจจัยภายนอก
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. การปฏิบัติตามวินัยข้าราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อยู่ในหมวดใด
(1) หมวด 4 การเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติราชการ
(2) หมวด 5 การรักษาวินัยข้าราชการ
(3) หมวด 6 วินัยและการรักษาวินัย
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การปฏิบัติตามวินัยข้าราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อยู่ในหมวด 6 วินัยและการรักษาวินัย

17. ข้อใดไม่ใช่ความเคลื่อนไหว (Movement) ด้านจริยธรรมสำหรับการบริหารงานภาครัฐในปลายศตวรรษที่ 19
(1) มุ่งเน้นปัญหาการคอร์รัปชันในแวดวงราชการ
(2) การปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานจาก “สายการบังคับบัญชา” (Hierarchy) สู่ “ข้อตกลง” (Agreement) หรือ “สัญญา” (Contract)
(3) การปฏิรูประบบข้าราชการพลเรือนไปสู่การสร้างระบบการคัดเลือก
(4) การเปลี่ยนจาก “Spoils System” สู่ “Merit System”
(5) การกำหนดมาตรฐานในการประเมินผลงานและคัดสรรคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ความเคลื่อนไหว (Movement) ด้านจริยธรรมสำหรับการบริหารงานภาครัฐในปลายศตวรรษที่ 19 มีดังนี้
1. การมุ่งแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในแวดวงราชการ
2. การบริหารภาครัฐที่ยึดหลักธรรมาภิบาลไปสู่ข้อเสนอคุณค่าการบริหาร 3E’s
3. จุดเริ่มต้นของจริยธรรมทางการเมืองและการปกครอง
4. การปฏิรูประบบข้าราชการพลเรือนไปสู่การสร้างระบบการคัดเลือก โดยเปลี่ยนจากระบบอุปถัมภ์ (Spoils System) ไปสู่ระบบคุณธรรม (Merit System)
5. การกำหนดมาตรฐานในการประเมินผลงานและคัดสรรคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน

18. องค์กรใดเป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า “ธรรมาภิบาล” (Good Governance)
(1) World Bank
(2) IMF
(3) OECD
(4) UN
(5) ASEAN
ตอบ 1 (คำบรรยาย) ธนาคารโลก (World Bank) เป็นองค์กรแรกที่ริเริ่มใช้คำว่า “ธรรมาภิบาล” (Good Governance) ในปี ค.ศ. 1989 เพื่ออธิบายถึงการบริหารจัดการที่จะเป็นมาตรฐานในการกำหนดเงื่อนไขการรับการช่วยเหลือทางการเงินระหว่างประเทศจากหน่วยงานระหว่างประเทศต่าง ๆ

19. หลักธรรมาภิบาลในด้าน “Rule of Law” หมายความว่าอย่างไร
(1) ระบบการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(2) ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม
(3) ระบบกฎหมายที่ยุติธรรมและน่าเชื่อถือ
(4) การดำเนินงานด้วยความโปร่งใส
(5) การมีความพร้อมรับผิดชอบ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) หลักธรรมาภิบาลตามกรอบของธนาคารโลก ประกอบด้วย
1. ระบบการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficient and Effective Public Sector)
2. ระบบกฎหมายที่ยุติธรรมและน่าเชื่อถือ (Rule of Law)
3. ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม (Active Civil Society and Public Participation)
4. การดำเนินงานด้วยความโปร่งใส (Transparency)
5. การมีความพร้อมรับผิดชอบ (Accountability)

20. หลักธรรมาภิบาลในด้าน “ความโปร่งใส” หมายความว่าอย่างไร
(1) การตรากฎหมายที่ถูกต้อง เป็นธรรม ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของสังคม
(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักธรรมาวิชาชีพสุจริตเป็นนิจในชีวิตประจำวัน
(3) ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก และมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้
(4) การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความคิดเห็นในการตัดสินใจ
(5) การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม
ตอบ 3 (คำบรรยาย) หลักความโปร่งใส หมายถึง การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในสังคม โดยการให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวกและมีกระบวนการให้ประชาชนตรวจสอบความถูกต้องชัดเจนได้ ตัวอย่างที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น รัฐวิสาหกิจ กทม. ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกรุงเทพมหานคร เปิดเผยข้อมูลเพื่อเข้าถึงระบบจัดซื้อจัดจ้าง

21. ข้อใดคือความผิดทางวินัย
(1) ข้าราชการไม่เข้าประชุมเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพราะเข้าใจกฎระเบียบผิดแล้ว
(2) ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุจริตการปฏิบัติงานช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แล้วไม่ปฏิบัติการ
(3) ข้าราชการให้บริการประชาชนล่าช้า เพราะบุคลากรในหน้าที่เดียวกันลาป่วย จึงมีคนไม่เพียงพอ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ด้วยความประพฤติของข้าราชการที่ถือว่าเป็นความผิดทางวินัย มีดังนี้
1. ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุจริตการปฏิบัติงานเจตนาในวันเสาร์ อาทิตย์ แล้วไม่ปฏิบัติการ ไม่เลื่อนย้ายทำงานและไม่ไปพบผู้อำนวยการสำนักตามคำสั่ง ปกปิดหน้าและพูดจาไม่สุภาพกับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ กล่าวร้ายนายกฯ ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ทะเลาะวิวาทกับประชาชน หรือเพื่อนร่วมงานในบ้านพักข้าราชการ เป็นต้น
2. ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง เช่น ปลอมใบเสร็จรับเงินเบิกเงินเกินกับหน่วยงานต้นสังกัด ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกิน 15 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือโดยมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ เป็นต้น

22. ข้อใดคือโทษทางวินัยกรณีไม่ร้ายแรง
(1) ภาคทัณฑ์
(2) ตัดเงินเดือน
(3) ลดเงินเดือน
(4) ถูกทั้งข้อ 2 กับ 3
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 96 และมาตรา 97), (คำบรรยาย) ผู้บังคับบัญชามีอำนาจบรรจุตามมาตรา 57 เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาความผิด กำหนดโทษ และสั่งลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทำผิดทางวินัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. กรณีที่กระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด
2. กรณีที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้สั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าปลดออก

23. การให้พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จบำนาญเสมือนผู้นั้นลาออกจากราชการ คือการลงโทษทางวินัยประเภทใด
(1) ไล่ออก
(2) ทัณฑกรรม
(3) พักงาน
(4) ลดตำแหน่ง
(5) ปลดออก
ตอบ 1 หน้า 267, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 97 วรรคสี่), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษวินัยขั้นปลดออกจากราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ ส่วนข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษวินัยขั้นไล่ออกจากราชการจะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ

24. ข้อใดเรียงลำดับขั้นตอนการดำเนินการทางวินัยได้อย่างถูกต้อง
A. การสอบสวนหาความจริงว่ามีมูลที่ถูกกล่าวหา
B. การสอบสวนหาความจริงว่าผิดหรือไม่ และผิดมาตราใด
C. การพิจารณากำหนดโทษว่าควรให้โทษสถานใด
D. การสั่งลงโทษ
(1) A. → B. → C. → D. (2) B. → C. → A. → D.
(3) B. → C. → D. → A. (4) A. → D. → B. → C.
(5) D. → A. → B. → C.
ตอบ 1 (คำบรรยาย) การกำหนดโทษและการลงโทษ มีลำดับขั้นตอนดังนี้
1. การตั้งเรื่องกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยเป็นที่ยุติ
2. การพิจารณาความผิดว่าผิดหรือไม่ และผิดมาตราใด
3. การพิจารณากำหนดโทษว่าควรให้โทษสถานใด
4. การสั่งลงโทษ

25. หลักการในข้อใดแสดงถึงการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษอย่างถูกต้อง
(1) การตัดสินด้วยเหตุสุดวิสัยก็ได้ และอยู่นอกมาตรฐานข้อเท็จจริงจองเรื่อง
(2) ภายในกรอบเดียวกันต้องมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
(3) การใช้ดุลพินิจต้องอยู่ภายในกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คำบรรยาย) การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษ มีหลักการดังนี้
1. การใช้ดุลพินิจต้องอยู่ในกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
2. การใช้ดุลพินิจจะต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
3. ภายในหน่วยงานเดียวกันต้องมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

26. หลักการในข้อใดแสดงถึงการใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาในการพิจารณากำหนดโทษอย่างถูกต้อง
(1) การตัดสินด้วยเหตุสุดวิสัยก็ได้ และอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
(2) ภายในหน่วยงานเดียวกันอาจมีการกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจที่มีมาตรฐานต่างกัน
(3) การใช้ดุลพินิจเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากกรอบที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว
(4) ผู้บังคับบัญชาสามารถมอบหมายให้ข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานเดียวกับที่ใช้ดุลพินิจตัดสินลงโทษแทนตนเองได้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27. ความประพฤติของข้าราชการในข้อใดถือว่าผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(1) ขัดหน้าและพูดจาไม่สุภาพกับประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
(2) ไม่เลื่อนทำงานและไม่ไปพบผู้อำนวยการสำนักตามคำสั่ง
(3) กล่าวร้ายนายกฯ ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา
(4) ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมงานในบ้านพักข้าราชการ
(5) ปลอมใบเสร็จใบสำคัญรับเงิน เพื่อเบิกเงินเกินกับหน่วยงานต้นสังกัด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

28. ข้อใดคือข้อกำหนดในด้านวินัยที่ประชาชน
(1) ต้องไม่เอาดีเอาเด่นอ้างหน้าที่ราชการในการหาผลประโยชน์ส่วนตน
(2) ต้องไม่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศ/คุกคามทางเพศที่ทำงาน
(3) ต้องไม่กลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงในการปฏิบัติราชการ
(4) ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
(5) ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาในหน้าที่ราชการ
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ข้อกำหนดในด้านวินัยต่อประชาชน มีดังนี้
1. ต้องต้อนรับ ให้ความเป็นธรรม เต็มใจช่วยเหลือ และให้การสงเคราะห์แก่ประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
2. ต้องไม่ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หรือข่มเหงประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
3. ต้องอำนวยความสะดวกให้ทุกคนทุกฝ่ายโดยเท่าเทียมกันโดยไม่รู้ว่าต้องถูกกลั่นแกล้ง รังแก
4. ต้องบริการด้วยมาตรฐานฐาน ไม่ล่าช้า จงใจถ่วงเรื่อง ละเลย หรือไม่ขัดเจน

29. ข้าราชการพลเรือนสามัญจะได้รับการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนในแต่ละครั้งต้องมีผลการประเมินผลการปฏิบัติราชการในระดับใด
(1) ไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 60
(2) ไม่ต่ำกว่าระดับดี หรือร้อยละ 60
(3) ไม่ต่ำกว่าระดับพอใช้ หรือร้อยละ 70
(4) ไม่ต่ำกว่าระดับดี หรือร้อยละ 70
(5) ไม่ต่ำกว่าระดับดีเด่น หรือร้อยละ 80
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

30. การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรของหน่วยราชการใช้วิธีตามหลักการใด
(1) ระบบคุณธรรม
(2) ระบบอุปถัมภ์
(3) ระบบจริยธรรม
(4) ระบบความเป็นกลาง
(5) ระบบผลสัมฤทธิ์
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 52), (คำบรรยาย) การสรรหาและคัดเลือกบุคคลบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคำนึงถึงความรู้ความสามารถพฤติกรรมทางการจริยธรรมของบุคคล ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการด้วยความเสมอภาคและเป็นธรรม

31. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของวินัยข้าราชการ
(1) การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(2) การสร้างความเจริญมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ
(3) การสร้างความผาสุกของประชาชน
(4) การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีของทางราชการ
(5) การสร้างความมั่งคั่งในอาชีพราชการ
ตอบ 5 (คำบรรยาย) จุดมุ่งหมายของวินัยข้าราชการ มีดังนี้
1. การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
2. การสร้างความเจริญมั่นคง และความสงบเรียบร้อยของประเทศชาติ
3. การสร้างความผาสุกของประชาชน
4. การสร้างภาพพจน์และชื่อเสียงที่ดีของทางราชการ

32. ข้อใดไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของข้าราชการ
(1) ต้องต้อนรับ ให้ความเป็นธรรม เต็มใจช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
(2) ต้องไม่ดูหมิ่น เหยียดหยามกดขี่หรือข่มเหงประชาชนผู้มาติดต่อราชการ
(3) ต้องอำนวยความสะดวกให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่รู้ว่าต้องถูกกลั่นแกล้ง รังแก
(4) ต้องบริการด้วยมาตรฐาน ไม่ล่าช้า จงใจถ่วงเรื่อง ละเลย หรือไม่ขัดเจน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

33. เหตุใดจึงต้องมีระบบการประเมินเงินเดือนข้าราชการที่ถูกต้องและเป็นธรรม
(1) เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนและลดโอกาสการผิดพลาดในการดำเนินการพิจารณา
(2) เพื่อให้เกิดการคำนวณจัดสรรเงินเดือนในแต่ละรอบอย่างรวดเร็ว
(3) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ
(4) เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้ข้าราชการสร้างผลงานและพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คำบรรยาย) เหตุที่ต้องมีระบบการประเมินเงินเดือนข้าราชการที่ถูกต้องและเป็นธรรม มีดังนี้
1. เพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อนและลดโอกาสการผิดพลาดในการดำเนินการพิจารณา
2. เพื่อให้เกิดการคำนวณจัดสรรเงินเดือนในแต่ละรอบอย่างรวดเร็ว
3. เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ
4. เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้ข้าราชการสร้างผลลัพธ์ของงานและพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

34. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ต้องโทษวินัยจะถูกงดการออกมติผลตามข้อใด
(1) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับบำเหน็จ
(2) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับบำนาญ
(3) พ้นจากราชการโดยไม่ได้รับเงินเดือน
(4) พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จ บำนาญ
(5) พ้นจากราชการโดยได้รับบำเหน็จ แต่ไม่ได้รับบำนาญ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

35. ข้อใดไม่ใช่ข้อกำหนดวินัยต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
(1) ข้าราชการต้องรักษาความลับของทางราชการ
(2) ข้าราชการต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง
(3) ข้าราชการต้องสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(4) ข้าราชการต้องไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ
(5) ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบของทางราชการ
ตอบ 3 (คำบรรยาย) ข้อกำหนดวินัยต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ มีดังนี้
1. ข้าราชการต้องซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม
2. ข้าราชการต้องไม่อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น
3. ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ
4. ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความสม่ำเสมอในทางราชการ
5. ข้าราชการต้องรักษาความลับของทางราชการ
6. ข้าราชการต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง
7. ข้าราชการต้องอุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ ฯลฯ

36. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการสรรหาและการเลือกสรร
(1) การสรรหาคือกระบวนการชักจูงและดึงดูดบุคคลให้มาสมัคร ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากแต่ขอให้มีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานต้องการ
(2) กระบวนการเลือกสรรเป็นกระบวนการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากกระบวนการสรรหา
(3) กระบวนการสรรหามี 3 รูปแบบ คือ แบบภายใน แบบภายนอก และแบบบูรณาการ
(4) การเลือกสรรบุคลากรเข้ารับราชการมี 2 วิธี คือ การสอบแข่งขัน และการคัดเลือก
(5) การแข่งขันวัดความรู้ความสามารถเป็นการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ของการคัดเลือกตำแหน่งสูงกว่าปกติ สวัสดิการดี หรือมีความมั่นคงมากกว่า
ตอบ 1 (คำบรรยาย) การสรรหา (Recruitment) คือ กระบวนการค้นหา จูงใจ และดึงดูดให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถตามทักษะและคุณลักษณะอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานเข้ามาสมัครงาน
ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีจำนวนมากแต่ขอให้มีคุณสมบัติตรงตามที่หน่วยงานต้องการ โดยวิธีการสรรหามี 3 รูปแบบ คือ การสรรหาจากภายใน การสรรหาจากภายนอก และการสรรหาแบบบูรณาการ ส่วนการเลือกสรร (Selection) เป็นกระบวนการที่ดำเนินการต่อเนื่องจากการสรรหา โดยการเลือกสรร คือ กระบวนการพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่ได้สรรหามาแล้ว และคัดเลือกให้ได้บุคคลที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้ดุลยพินิจหลักการความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านความรู้ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะอื่น ๆ ซึ่งวิธีการเลือกสรรมี 2 วิธี คือ การสอบแข่งขัน และการคัดเลือก

37. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการสรรหาข้าราชการพลเรือนสามัญ
(1) ผู้บังคับบัญชาโดยอ้างเหตุจำเป็นเร่งด่วนของรัฐของผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยด้วยการสั่งลงโทษด้วยวาจาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนเป็นการบอกกล่าว และท้ายที่สุดจึงต้องให้ออกจากราชการ
(2) ข้าราชการสังกัดหน่วยงานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ต้องการของเพื่อนร่วมงาน โดยทุจริตต่อหน้าที่ด้วยการขโมยยาเสพติดและถูกจับกุมจึงกล่าวอ้างว่าเป็นความผิดครั้งแรกจึงไม่สมควรให้ลงโทษภาคทัณฑ์
(3) ตำรวจเข้าจับกุมเด็กวัยรุ่นที่มั่วสุมที่ร้านอินเทอร์เน็ต โดยตำรวจจงใจใส่ร้ายผู้ต้องหาว่าจำเลยต้องการต่อสู้ และทำร้ายร่างกายด้วยการต่อย กระทืบ และใช้เท้าเหยียบหน้า จนบาดเจ็บสาหัส กรณีดังกล่าวถือว่าผิดวินัยร้ายแรง เนื่องจากเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามและใช้กิริยาไม่สุภาพรวมถึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อจริยธรรมอันดีของประชาชนซึ่งเป็นการลงโทษด้วยการลดขั้นเงินเดือน
(4) ข้าราชการสังกัดหน่วยงานหนึ่งมาสายและทำงานผิดพลาดอยู่เป็นประจำติดต่อกันนานถึง 1 สัปดาห์ โดยอ้างว่าต้องเลี้ยงแม่ที่ป่วยกะทันหัน กรณีดังกล่าวเป็นความผิดต่อวินัยอย่างร้ายแรง เพราะสร้างความเสียหายแก่หน่วยงาน สมควรลงโทษด้วยการปลดออกหรือไล่ออก
(5) ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานหนึ่งทำเรื่องเบิกค่ารักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียนเป็นเท็จทางเดินทางอันเป็นเท็จ มิใช่เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ราชการ กรณีดังกล่าวไม่เป็นความผิดอย่างร้ายแรง เพราะเหตุเกิดนอกเวลาราชการเป็นครั้งแรก และทำคุณงามความดีมาโดยตลอด ซึ่งสมควรลงโทษด้วยการลดขั้นเงินเดือน
ตอบ 2 (คำบรรยาย) กรณีข้าราชการตำรวจกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงโดยทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และดูถูกดูหมิ่น เป็นการผิดวินัยร้ายแรงโดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการกระทำในหน้าที่ราชการหรือไม่ก็ตาม โดยไม่สามารถให้ลงโทษด้วยการภาคทัณฑ์ได้ แม้จะเป็นความผิดครั้งแรกก็ตาม

38. หลักการข้อใดหมายถึง หน่วยงานราชการทุกแห่งจำเป็นต้องมีแบบแผนและมาตรฐานการทำงานเพื่อให้พนักงานทุกคนเหมือนกัน ยืดหยุ่น และคล่องตัว ตัวอย่างที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น การส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมีมาตรฐานการบริหารและการบริการสาธารณสุขเป็นลายลักษณ์อักษร
(1) Rules and Regulations
(2) Hierarchy
(3) Uniformity and Standardization
(4) Supervision and Auditing
(5) Superior and Subordinate
ตอบ 3 (คำบรรยาย) Uniformity and Standardization (in Public Services) หมายถึง หน่วยงานราชการทุกแห่งจำเป็นต้องมีแบบแผนและมาตรฐานการทำงานเพื่อให้พนักงานทุกคนเหมือนกัน ยืดหยุ่น และคล่องตัว ตัวอย่างที่สอดคล้องกับหลักการนี้ เช่น การส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นโดยมีมาตรฐานการบริหารและการบริการสาธารณสุขเป็นลายลักษณ์อักษร

39. ใครคือผู้มีอำนาจพิจารณาความผิดและกำหนดโทษของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทำผิดทางวินัย
(1) ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงาน
(2) นายกรัฐมนตรี
(3) ผู้พิพากษาศาลปกครอง
(4) สภาผู้แทนราษฎร
(5) เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

40. การส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยได้จัดทำมาตรฐานการบริหารและการบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการจัดทำมาตรฐานการสงเคราะห์ผู้สูงอายุ มาตรฐานดังกล่าวจัดเป็นกลไกการสร้างความรับผิดชอบในระบบบริหารงานภาครัฐในรูปแบบใด
(1) Hierarchy
(2) Uniformity and Standardization (in Public Services)
(3) Rules and Regulations
(4) Courts (Constitutional and Administrative Court)
(5) Supervision and Auditing
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

41. ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามคำสั่งให้กรุงเทพมหานครเปิดเผยข้อมูลเพื่อการเข้าถึงโดยระบบดิจิทัล เป็นไปตามหลักการใดในระบบธรรมาภิบาล (Good Governance) มากที่สุด
(1) ระบบการบริหารภาครัฐที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
(2) มีระบบกฎหมายที่ยุติธรรม ชัดเจน และน่าเชื่อถือ
(3) ภาคประชาสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วม
(4) มีความโปร่งใส
(5) มีความพร้อมรับผิดชอบ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

42. กรณีข้าราชการถูกลงโทษไล่ออกจากราชการด้วยเหตุทุจริตต่อหน้าที่ จะขอกลับเข้ารับราชการได้หรือไม่
(1) ได้ โดยขอกลับมีคุณสมบัติต่อ ก.พ. ในกรณีออกจากราชการไปแล้ว 2 ปี
(2) ได้ โดยขอกลับมีคุณสมบัติต่อ ก.พ. ในกรณีออกจากราชการไปแล้ว 3 ปี
(3) ได้ โดยขอกลับต่อ ก.พ.ค. ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันรับทราบหรือถือว่าทราบคำสั่ง
(4) ไม่ได้ เนื่องจากถูกไล่ออก ถือเป็นโทษทางวินัยสูงสุด
(5) ไม่ได้ในทุกกรณี เนื่องจากเป็นคดีทุจริตต่อหน้าที่
ตอบ 5 (คำบรรยาย) ข้าราชการที่ถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการจะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการกลับเข้ารับราชการ ถ้าประสงค์จะขอกลับเข้ารับราชการจะต้องขอกลับมีคุณสมบัติต่อ ก.พ. ในกรณีออกจากราชการไปแล้ว 2 ปี สำหรับโทษไล่ออกจากราชการจะต้องออกจากราชการไปแล้ว 3 ปี จึงจะขอกลับมีคุณสมบัติได้ แต่ถ้าเป็นกรณีถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่จะขอกลับมีคุณสมบัติไม่ได้เลย

43. ข้อใดไม่ใช่เงื่อนไขในการสั่งให้ออกจากราชการ
(1) สั่งให้ออกเพื่อให้ไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
(2) สั่งให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้าม
(3) สั่งให้ออกระหว่างการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
(4) สั่งให้ออกเพื่อไปรับราชการทหาร
(5) สั่งให้ออกไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลสอบสวนทางวินัย
ตอบ 1 หน้า 24 เงื่อนไขในการสั่งให้ออกจากราชการ มีดังนี้
1. สั่งให้ออกระหว่างการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ
2. สั่งให้ออกเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้าม
3. สั่งให้ออกไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัย
4. สั่งให้ออกเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน
5. สั่งให้ออกเพื่อไปรับราชการทหาร

44. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการลาออกจากราชการ
(1) ให้ยื่นหนังสือลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปชั้นหนึ่งก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า 60 วัน
(2) การลาออกจาการาชการเพื่อสมัคร สว. ปี 2567 เมื่อสิ้นสุดการเลือกแล้ว สามารถแสดงความประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการดังเดิมได้
(3) หากผู้มีอำนาจเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์ทางราชการ จะยับยั้งเป็นเวลาไม่เกิน 60 วันนับตั้งแต่วันขอลาออก
(4) การลาออกต้องยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้บริหารท้องถิ่น ให้ยื่นหนังสือลาออกต่อผู้บังคับบัญชาผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
(5) ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ลาออก ต้องเป็นผู้บังคับบัญชาระดับอธิบดีขึ้นไป
ตอบ 2 23 – 24, (คำบรรยาย) การลาออกจากราชการ มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้
1. ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปชั้นหนึ่งโดยยื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า 30 วัน
2. ผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ลาออกได้แก่ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57
3. หากผู้มีอำนาจเห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์ทางราชการจะยับยั้งการลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 90 วันนับแต่วันขอลาออกก็ได้
4. การลาออกจากราชการเพื่อดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนด หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาและการลาออกให้มีผลตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก ผู้บังคับบัญชาไม่มีอำนาจยับยั้งการลาออกได้
5. กฎหมายบางฉบับได้เปิดช่องให้ข้าราชการสามารถลาออกจากราชการเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง สว. ได้ และเมื่อสิ้นสุดการเลือกแล้วสามารถแสดงความประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการดังเดิมได้ เช่น การลาออกจากราชการเพื่อลงสมัคร สว. ปี 2567 เป็นต้น

45. งานในข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับงานสารบรรณ
(1) การรับ-การส่ง
(2) การยืม
(3) การทำลาย
(4) การเก็บรักษา
(5) การแปล
ตอบ 5 หน้า 400 งานสารบรรณหมายถึง งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำ การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลาย

46. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับงานหนังสือราชการ
(1) หนังสือภายนอกเป็นการติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ
(2) หนังสือภายในใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างหน่วยงานภายนอกได้
(3) หนังสือภายนอกจะเป็นพิธีการน้อยกว่าหนังสือภายใน
(4) หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป
(5) หนังสือคำสั่งไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษตราครุฑ
ตอบ 4 หน้า 413 หนังสือประทับตรา คือ หนังสือที่ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป โดยให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกอง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไปเป็นผู้รับผิดชอบลงชื่อย่อกำกับตรา

47. “ข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่สั่งการไว้ โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็ได้ เพื่อถือเป็นหลักปฏิบัติงานประจำ” ลักษณะดังกล่าวหมายถึงหนังสือราชการประเภทใด
(1) ระเบียบ
(2) คำสั่ง
(3) ข้อบังคับ
(4) แถลงการณ์
(5) ประกาศ
ตอบ 1 หน้า 416 – 420, (คำบรรยาย) หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่
1. คำสั่ง คือ บรรดาข้อความที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ปฏิบัติโดยชอบด้วยกฎหมาย ใช้กระดาษตราครุฑ
2. ระเบียบ คือ ข้อความที่ผู้มีอำนาจหน้าที่สั่งการไว้โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายหรือไม่ก็ได้ เพื่อถือเป็นหลักปฏิบัติงานประจำ ใช้กระดาษตราครุฑ
3. ข้อบังคับ คือ ข้อบัญญัติที่ผู้มีอำนาจหน้าที่กำหนดขึ้น โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่บัญญัติให้กระทำได้ ใช้กระดาษตราครุฑ

48. ข้อใดไม่จัดอยู่ในประเภท “หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ”
(1) หนังสือรับรอง
(2) ข่าว
(3) รายงานการประชุม
(4) บันทึก
(5) ภาพถ่าย
ตอบ 2 หน้า 403, 416, 422, 428, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26 – 27), (คำบรรยาย) หนังสือราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 (ฉบับปัจจุบัน) มี 6 ชนิด คือ
1. หนังสือภายนอก 2. หนังสือภายใน 3. หนังสือประทับตรา
4. หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่ คำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ
5. หนังสือประชาสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว
6. หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ มี 4 ชนิด ได้แก่ หนังสือรับรอง รายงานการประชุม บันทึก และหนังสืออื่น (ซึ่งรวมถึงภาพถ่าย ฟิล์ม แถบบันทึกเสียง และแถบบันทึกภาพ)

49. การล้อเลียนเพื่อนร่วมงาน ถือเป็นความผิดประเภทใด และมีผลลงโทษแบบใด
(1) การผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มีผลให้ลงโทษภาคทัณฑ์
(2) การผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มีผลให้ลงโทษตัดเงินเดือน
(3) การผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มีผลให้ลงโทษปลดออก
(4) การผิดวินัยร้ายแรง มีผลให้ลงโทษปลดออก
(5) การผิดวินัยร้ายแรง มีผลให้ลงโทษภาคทัณฑ์
ตอบ 1 (คำบรรยาย) กรณีข้าราชการล้อเลียนเพื่อนร่วมงาน ถือเป็นการผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงฐานไม่สุภาพเรียบร้อย มีผลให้ลงโทษภาคทัณฑ์

50. ผู้มีอำนาจพิจารณาความผิดและกำหนดโทษ เป็นไปตามมาตราใด
(1) มาตรา 56
(2) มาตรา 57
(3) มาตรา 58
(4) มาตรา 59
(5) มาตรา 60
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

51. การสอบแข่งขันเข้ารับราชการเรื่องใดถือเป็นเรื่องโดยตรง
(1) การสอน
(2) การย้าย
(3) คุณสมบัติเฉพาะ
(4) คุณสมบัติทั่วไป
(5) การบรรจุและแต่งตั้ง
ตอบ 5 หน้า 92, (คำบรรยาย) การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลให้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนโดยบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ ถือเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของการบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญในทุกประเภท ทั้งนี้สามารถบรรจุข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ได้รับเลือกส่วนใหญ่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน

52. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณฉบับปัจจุบันใช้บังคับโดยตรงกับ
(1) ราชการบริหารส่วนกลาง
(2) ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
(3) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 400, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26), (คำบรรยาย) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 ใช้บังคับแก่ส่วนราชการซึ่งหมายถึง กระทรวง กรม สำนักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือในต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงคณะกรรมการด้วย

53. หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณปัจจุบันมีกี่ชนิด
(1) 2 ชนิด
(2) 3 ชนิด
(3) 4 ชนิด
(4) 5 ชนิด
(5) 6 ชนิด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

54. ตำแหน่งใดต่อไปนี้เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม แต่มีตำแหน่งในการบังคับบัญชาต่างปลัดกระทรวง
(1) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(2) เลขาธิการรัฐมนตรี
(3) ปลัดกรุงเทพมหานคร
(4) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
(5) โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

55. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันใช้กำหนดได้ต่อเมื่อเป็นไปที่สอดคล้องกับหลักความสามารถตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล
(1) การร้องทุกข์
(2) การอุทธรณ์
(3) การออกจากราชการ
(4) การสอบสวนทางวินัย
(5) การสอบแข่งขันเข้ารับราชการ
ตอบ 5 หน้า 17, (คำบรรยาย) หลักความสามารถ (Competence) ตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล หมายถึง การเลือกสรรบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นหรือพิจารณาเลื่อนระดับตำแหน่งบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนมากจะกระทำโดยการสอบแข่งขัน สอบสัมภาษณ์ และการทดลองปฏิบัติงาน

56. หนังสือราชการชนิดใดต่อไปนี้ต้องมีคู่ฉบับลงท้าย
(1) หนังสือภายใน
(2) หนังสือประทับตรา
(3) หนังสือภายนอก
(4) รายงานการประชุม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 404 – 407, (คำบรรยาย) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการมีถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก ซึ่งหนังสือภายนอกจะต้องมีคำขึ้นต้น คำลงท้าย และคำลงท้ายที่ถูกต้องตามฐานะของผู้รับหนังสือเพื่อทำการใช้คำขึ้นต้น สรรพนาม และคำลงท้ายที่กำหนดไว้ในภาคผนวก 2

57. ระดับเชี่ยวชาญเป็นระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทใด
(1) บริหารระดับสูง
(2) อำนวยการระดับสูง
(3) ทั่วไป
(4) บริหารระดับต้น
(5) วิชาการ
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13 – 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 46) ระดับตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ มี 5 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ ระดับชำนาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป มี 4 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติงาน ระดับชำนาญงาน ระดับอาวุโส และระดับทักษะพิเศษ ทั้งนี้การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎ ก.พ.

58. ระดับตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปมีกี่ระดับตามที่บัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
(1) 1 ระดับ
(2) 5 ระดับ
(3) 4 ระดับ
(4) 3 ระดับ
(5) 2 ระดับ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

59. ตำแหน่งใดต่อไปนี้เป็นกรรมการ ก.พ. โดยตำแหน่งตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
(1) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(2) ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(4) ปลัดกระทรวงการคลัง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7 – 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 6 และมาตรา 7), (คำบรรยาย) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ประกอบด้วย
1. กรรมการโดยตำแหน่ง จำนวน 5 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย จำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน อยู่ในตำแหน่งคราวละ 3 ปี

60. เรื่องใดต่อไปนี้ไม่ได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนปัจจุบัน
(1) ศาลรัฐธรรมนูญ
(2) ศาลปกครอง
(3) ศาลทหาร
(4) ถูกทั้งข้อ 1 กับ 2
(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 (คำบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนไว้หลายเรื่อง เช่น การบรรจุและแต่งตั้ง การย้าย การเลื่อน การกลับ การออกจากราชการ การร้องทุกข์ การอุทธรณ์ การร้องเรียน ฯลฯ ส่วนเรื่องคณะกรรมการรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการประเภทพิเศษ รัฐวิสาหกิจ เป็นเรื่องที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

**ตั้งแต่ข้อ 61. – 100. ข้อใดถูกให้ระบายในช่อง 1 ข้อใดผิดให้ระบายในช่อง 2**

61. การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญไปประจำกระทรวง หรือประจำกรม ทำให้ขาดจากอัตราเงินเดือนเดิม
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 19), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 69), (คำบรรยาย) การสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญไปประจำส่วนราชการ (ประจำกระทรวง หรือประจำกรม) ซึ่งเป็นการสั่งให้พ้นจากตำแหน่งหน้าที่เดิม เป็นการช่วยราชการชั่วคราว จะไม่ทำให้ขาดจากอัตราเงินเดือนเดิม ยังคงได้รับเงินเดือนในอัตราเดิมอยู่ จึงไม่ทำให้ขาดอัตราเงินเดือนว่างลง ฉะนั้นการที่จะให้ผู้อื่นมารับเงินเดือนในตำแหน่งแทนที่ได้ คงทำได้แต่เพียงแต่งตั้งให้รักษาราชการในตำแหน่งได้เท่านั้น

62. วินัยของข้าราชการพลเรือนสามัญขึ้นอยู่กับเหตุผลที่จะเป็นสิ่งจูงใจให้ข้าราชการพลเรือนสามัญปฏิบัติโดยไม่ต้องมีการบังคับ
ตอบ 1 หน้า 258 ศาสตราจารย์ Joseph B. Kingsbury และศาสตราจารย์ Robert F. Wilcox ได้กล่าวถึงวินัยของข้าราชการพลเรือนสามัญว่าขึ้นอยู่กับเหตุผลเป็นสำคัญที่จะเป็นสิ่งจูงใจให้ข้าราชการพลเรือนสามัญปฏิบัติได้โดยไม่ต้องอาศัยการบังคับ โดยวินัยประเภทนี้เรียกว่าวินัยที่เกิดจากตนเอง (Self-discipline)

63. บำนาญ คือ เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับเมื่อพ้นจากราชการมิใช่สิทธิได้รับตามกฎหมายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ บำนาญจ่ายเป็นรายเดือน
ตอบ 1 หน้า 69 – 70, (คำบรรยาย) บำนาญ คือ เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับเมื่อพ้นจากราชการแล้ว ซึ่งผู้จะได้รับบำนาญต้องเป็นผู้มีสิทธิได้รับตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ โดยบำนาญจะจ่ายเป็นรายเดือน

64. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นโดยหลักฐานในราชการถือว่าเป็นหนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 หน้า 403, (คำบรรยาย) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 กำหนดว่า หนังสือราชการ คือ เอกสารที่เป็นหลักฐานในราชการ ได้แก่
1. หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ
2. หนังสือที่ส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีไปถึงบุคคลภายนอก
3. หนังสือที่หน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือบุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ
4. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ เช่น รายงานการประชุม เป็นต้น
5. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ
6. ข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือที่ได้รับจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์

65. การบริหารงานบุคคลในระบบราชการไทยได้มีการพัฒนามาตามลำดับ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม
ตอบ 2 หน้า 25, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) การบริหารงานบุคคลในระบบราชการของไทยได้มีการพัฒนามาตามลำดับ โดยพัฒนาจากรูปแบบที่ไม่ได้เป็นทางการไปสู่รูปแบบที่เป็นทางการมากขึ้น และจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม โดยทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้รับบริการ

66. คำว่า “ปลัดกระทรวง” ตามคำนิยามของระเบียบข้าราชการพลเรือนปัจจุบัน ให้หมายความรวมถึง “ปลัดกรุงเทพมหานคร” ด้วย
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 4) คำว่า “ปลัดกระทรวง” ให้หมายความรวมถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดทบวง

67. ระดับชำนาญการพิเศษเป็นตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภททั่วไปตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

68. วินัยของข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประการหนึ่ง คือ ห้ามมิให้เป็นกรรมการบริหารของพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
1. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2. เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.
3. เป็นกรรมการหรือผู้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง 4. เป็นบุคคลล้มละลาย ฯลฯ

69. บำเหน็จดำรงชีพเป็นเงินที่ผู้รับบำนาญมีสิทธิได้รับ ปัจจุบันจะมีสิทธิได้รับเมื่ออายุครบ 60 ปีในปีที่เกษียณอายุราชการ และเมื่ออายุครบ 65 ปี และ 70 ปีอีก ตามที่บัญญัติในกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ตอบ 1 (คำบรรยาย) บำเหน็จดำรงชีพ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการเพื่อช่วยเหลือการดำรงชีพ ซึ่งจ่ายในอัตรา 15 เท่าของบำนาญรายเดือน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยผู้รับบำนาญมีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพ ดังนี้
1. ผู้รับบำนาญอายุต่ำกว่า 65 ปี ขอรับได้ไม่เกิน 200,000 บาท
2. ผู้รับบำนาญอายุตั้งแต่ 65 ปี แต่ไม่ถึง 70 ปี ขอรับได้ไม่เกิน 400,000 บาท แต่ถ้าใช้สิทธิตามข้อ 1. ไปแล้ว ขอรับในส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 400,000 บาท
3. ผู้รับบำนาญที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ขอรับได้ไม่เกิน 500,000 บาท แต่ถ้าใช้สิทธิตามข้อ 1. และ 2. ไปแล้ว ขอรับได้ในส่วนที่ยังไม่ครบตามสิทธิของผู้นั้น แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

70. หลักความเสมอภาคตามระบบคุณธรรม หมายความว่า สิทธิที่จะเข้ารับราชการจะต้องเปิดกว้างสำหรับประชาชนทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
ตอบ 1 หน้า 17 หลักความเสมอภาค (Equality) ตามระบบคุณธรรม หมายความว่า สิทธิที่จะเข้ารับราชการจะต้องเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไปทุกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามที่ราชการต้องการซึ่งการจะเข้ามาเป็นข้าราชการพลเรือน โดยให้มีโอกาสสอบแข่งขันเข้ารับราชการได้ และต้องไม่มีการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุเกี่ยวกับเหล่ากำเนิด ฐานะทางเศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม ศาสนา และเพศ

71. ข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นการบรรจุและแต่งตั้งที่สำคัญคือต้องขอความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัดก่อน และปลัดกระทรวงเป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 17 – 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 57 (1) (2) (7)), (คำบรรยาย) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีขั้นตอนการบรรจุและแต่งตั้งโดยต้องขออนุมัติหรือขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้แก่ 1. ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น 2. ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

72. ข้าราชการการเมือง เข้าดำรงตำแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุแห่งการดำรงตำแหน่งและการเป็นข้าราชการการเมืองฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 หน้า 383, 391 ข้าราชการการเมืองได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งโดยเป็นไปตามเหตุแห่งการดำรงตำแหน่งหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่ได้เน้นเรื่องคุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ) และตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 (ฉบับปัจจุบัน) กล่าวคือ แต่เดิมข้าราชการการเมืองถือว่าเป็นข้าราชการพลเรือนประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่ในปัจจุบันได้มีการแยกข้าราชการการเมืองออกจากข้าราชการพลเรือน เพื่อไม่ให้มีการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน และใช้ประโยชน์ได้ โดย พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 เพื่อใช้บังคับแก่ข้าราชการการเมืองโดยตรง

73. บำเหน็จตกทอดเป็นเงินที่กฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการกำหนดให้จ่ายแก่ทายาทของผู้รับบำนาญถึงแก่กรรม
ตอบ 1 หน้า 69 – 72, (คำบรรยาย) บำเหน็จบำนาญ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. บำเหน็จบำนาญปกติ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการที่มีสิทธิได้รับตามอันตราเงินเดือนเพราะเหตุรับราชการปกติ
2. บำเหน็จบำนาญพิเศษ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการเพราะเหตุทุพพลภาพหรือเพราะเหตุปฏิบัติราชการต่อไปไม่ได้ ถ้าถึงแก่กรรมทายาทมีสิทธิได้รับสิทธิตามกฎหมายกำหนด
3. บำเหน็จตกทอด คือ เงินที่จ่ายให้แก่ทายาทของผู้รับบำนาญหรือผู้รับบำนาญถึงแก่กรรม ซึ่งจ่ายให้ครั้งเดียว

74. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ จะมีในส่วนราชการใด จำนวนเท่าใด ตำแหน่งประเภทใด ระดับใด ให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กำหนด
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 47) ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญจะมีในส่วนราชการใด จำนวนเท่าใด และเป็นตำแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด ให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กำหนด โดยต้องคำนึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้ำซ้อนและประหยัดเป็นหลัก ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง

75. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเป็นหลักฐานในราชการ เช่น รายงานการประชุม ถือว่าเป็นหนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

76. ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

77. มติของ ก.พ. ในการยกเว้นลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนบางประการ ต้องได้คะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ของจำนวนกรรมการข้าราชการพลเรือนที่มาประชุมพิจารณากรณีดังกล่าว
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36 วรรคสอง และวรรคสี่) มติของ ก.พ. ในการยกเว้นลักษณะต้องห้าม (คุณสมบัติต้องห้าม) บางประการสำหรับผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนนั้น ต้องได้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของจำนวนกรรมการที่มาประชุม และการลงมติให้กระทำโดยลับ ซึ่งในการนี้ ก.พ. จะยกเว้นให้เป็นการเฉพาะราย หรือจะประกาศยกเว้นให้เป็นการทั่วไปก็ได้

78. ผลของการไม่ปฏิบัติตามจรรยาข้าราชการอย่างร้ายแรง ถือว่าไม่ใช้ความผิดวินัยให้ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ผู้นั้นได้รับการพัฒนา หรืออาจสั่งตัดเงินเดือน หรืออาจนำไปประกอบการพิจารณาการเลื่อนเงินเดือนก็ได้
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 20), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 79) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดไม่ปฏิบัติตามจรรยาข้าราชการอันมิใช่เป็นความผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาตักเตือน นำไปประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง เลื่อนเงินเดือน หรือสั่งให้ผู้นั้นได้รับการพัฒนา

79. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันให้กำหนดให้การสรรหา การบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการสามัญต้องเป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กำหนด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

80. การอุทธรณ์การลงโทษเป็นสิทธิของข้าราชการพลเรือนสามัญ ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันกำหนดให้อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาอนุมัติโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก
ตอบ 2 (คำบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 บัญญัติว่า การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น หรือข้าราชการอื่นมาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญต้องเกิดจากความสมัครใจของผู้ขอโอนเอง โดยเมื่อผู้มีอำนาจสั่งบรรจุของทั้ง 2 หน่วยงานตกลงกันแล้วให้เสนอเรื่องไปยัง ก.พ. เพื่อพิจารณาอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ซึ่ง ก.พ. จะพิจารณาอนุมัติโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก

81. การลาออกจากราชการกรณีพิเศษไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ผู้บังคับบัญชาอาจยับยั้งการสั่งอนุญาตการลาออกนั้นได้ไม่เกิน 90 วันนับแต่วันขอลาออก
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 109 วรรคห้า), (คำบรรยาย) ในกรณีที่ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการเพื่อไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)) ตำแหน่งทางการเมือง (เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวง, เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง, ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง) หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำหนด หรือตำแหน่งกรรมการในคณะกรรมการที่กฎหมายกำหนดว่าต้องไม่เป็นข้าราชการ (เช่น นายกสภามหาวิทยาลัยของรัฐ) หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และ (ส.ส.) สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (เช่น นายก อบต.) ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งอนุญาตการลาออก (ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา 57) ไม่อาจยับยั้งการขอลาออกได้ และให้การลาออกมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้นั้นขอลาออก

82. การที่กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนได้กำหนดเรื่องการออกจากราชการไว้เป็นกิจจะลักษณะนับได้ว่าเป็นมาตรการที่เป็นไปตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล
ตอบ 1 หน้า 307, (คำบรรยาย) การที่กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนกำหนดเรื่องการออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญไว้เป็นกิจจะลักษณะนั้นนับได้ว่าเป็นมาตรการประการหนึ่งในการให้หลักประกันความมั่นคงแก่ข้าราชการตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลมิให้ข้าราชการต้องออกจากราชการโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือเป็นไปโดยอำเภอใจของผู้บังคับบัญชา

83. หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมปกติได้แก่ ตำแหน่งอธิบดี เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารมีระดับตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งปลัดกระทรวง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

84. กรรมการในคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการอีกก็ได้ แต่ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 11), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 24 และมาตรา 29), (คำบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.” ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 7 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นเลขานุการของ ก.พ.ค. โดยตำแหน่ง โดยกรรมการ ก.พ.ค. ต้องทำงานเต็มเวลา และมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว ดังนั้นกรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ก.พ.ค. อีกมิได้ แต่ให้กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการ ก.พ.ค. ใหม่

85. ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 59 วรรคสาม), (คำบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่าง
ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน แต่ทั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึงการที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือข้อห้ามของข้าราชการพลเรือนแต่อย่างใด

86. การมีลำดับการบังคับบัญชาของข้าราชการตามระบบราชการ หมายถึง ข้าราชการมีการควบคุมขั้นสุดท้ายอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด
ตอบ 1 หน้า 2, (คำบรรยาย) การมีลำดับการบังคับบัญชา (Hierarchy) ของข้าราชการตามระบบราชการ หมายถึง การที่ข้าราชการประจำและคณะบุคคลจะต้องมีผู้บังคับบัญชาคอยสั่งการและควบคุมการกระทำของเขาตามลำดับ โดยมีการจำแนกอำนาจหน้าที่หรือภารกิจความรับผิดชอบของตำแหน่ง และมีการควบคุมขั้นสุดท้ายอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุด คือ ปลัดกระทรวงโดยอาศัยการจัดโครงสร้างแบบพีระมิด

87. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมต้องปฏิบัติงานเต็มเวลา และอยู่ในตำแหน่งได้จนครบวาระตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

88. ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน และเป็นตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
ตอบ 2 (คำบรรยาย) ตำแหน่งปลัดกรุงเทพมหานคร, ผู้อำนวยการเขตของกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานคร และบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554

89. ปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญส่วนใหญ่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

90. กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก มีผลใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ตอบ 2 หน้า 29, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกของปวงชนชาวสยาม ซึ่งประกาศเป็นกฎหมายในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 แต่ได้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฯ โดย พ.ร.บ. ฉบับนี้เริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2472 หรืออีกราวปีเศษให้หลัง

91. กรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอาจได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการ ก.พ. อีกก็ได้
ตอบ 1 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 7 วรรคสาม และวรรคสี่), (คำบรรยาย) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของ ก.พ. ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการอีกก็ได้ แต่ถ้าเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วยังมิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งกรรมการใหม่ ให้กรรมการนั้นปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการใหม่

92. ข้าราชการตุลาการ (ผู้พิพากษา) อาจโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญได้ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง), (คำบรรยาย) การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญ (เช่น ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการครู ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการตุลาการ (ผู้พิพากษา) ข้าราชการอัยการ ข้าราชการรัฐสภา ข้าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น) และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่ ก.พ. กำหนด มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตลอดจนจะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด ซึ่ง ก.พ. จะพิจารณาอนุมัติโดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก

93. ข้าราชการพลเรือนสามัญอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ตอบ 1 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 38 วรรคสอง) ข้าราชการพลเรือนอาจได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามภาวะเศรษฐกิจ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

94. ผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการหรือสอบเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ระเบียบบัญญัติว่าห้ามมิให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปของการเป็นข้าราชการพลเรือน
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36), (คำบรรยาย) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาที่จัดไว้ที่ ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้สมัครเข้ารับราชการได้ โดยไม่ทำให้ขาดคุณสมบัติทั่วไป มี 4 กรณี ดังนี้
1. เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
2. เป็นบุคคลล้มละลาย
3. เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา
4. เป็นผู้เคยกระทำการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการหรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ

95. คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมเป็นองค์กรที่ไม่เคยบัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใดมาก่อน เพิ่งบัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7), (คำบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เป็นองค์กรที่ไม่เคยบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใดมาก่อน เพิ่งบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เพื่อเป็นองค์กรพิทักษ์คุ้มครองความป็นธรรมให้แก่ข้าราชการข้าราชการพลเรือน และพิทักษ์ระบบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม

96. โทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการ ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันกำหนดให้ไม่มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

97. ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน และลาออกจากราชการไปโดยไม่มีความผิดวินัยแต่ประการใดถ้าประสงค์จะขอกลับเข้ารับราชการอาจขอกลับเข้ารับราชการอีกที่กระทรวง ทบวง กรมเดิมและจะต้องได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมได้ด้วย
ตอบ 2 หน้า 99, (คำบรรยาย) ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน และลาออกจากราชการไปโดยไม่มีความผิดวินัยแต่ประการใด ถ้าประสงค์จะขอกลับเข้ารับราชการอาจขอกลับเข้ารับราชการในกระทรวง กรมใด ๆ ก็ได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะกระทรวง กรมเดิม แต่จะต้องถูกบรรจุและแต่งตั้งในตำแหน่งและเงินเดือนที่ไม่สูงกว่าเดิมก่อนออกจากราชการ และอาจได้รับเงินเดือนที่สูงกว่าเดิมก็ได้ตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.

98. การบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับปริญญาจากต่างประเทศเข้ารับราชการ ตามปกติจะต้องผ่านการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่เปิดสอบแข่งขันนั้น
ตอบ 1 หน้า 93 – 95 การบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรจากสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่ ก.พ. รับรองเข้ารับราชการนั้น โดยปกติจะต้องผ่านการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับผู้สำเร็จการศึกษาในประเทศหรือบุคคลทั่วไปที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งที่เปิดสอบแข่งขันนั้น แต่ต้องเสนอคุณวุฒิให้ ก.พ. พิจารณารับรองเพื่อตีราคาอัตราเงินเดือนและกำหนดหลักเกณฑ์การบรรจุเป็นราย ๆ ทุกรายไป โดยพิจารณาจากหลักสูตรการศึกษา และความน่าเชื่อถือของสถาบันที่ประสาทปริญญาหรือประกาศนียบัตรนั้นด้วย แต่ ก.พ. จะไม่มีอำนาจในการบรรจุและแต่งตั้ง

99. เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญกำหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน
ตอบ 1 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 50), (คำบรรยาย) เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ กำหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ทั้งนี้ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทใด สายงานใด ระดับใด จะได้รับเงินเดือนสามัญขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนสามัญเท่าใด หรือจะได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายพระราชบัญญัตินี้ในอัตราใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.พ.

100. การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ผู้มีอำนาจสั่งย้ายจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแล้ว
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 63 วรรคสาม), (คำบรรยาย) การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ผู้มีอำนาจสั่งย้ายจะกระทำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้น ส่วนการย้ายไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในระดับที่สูงกว่าเดิม จะไม่สามารถดำเนินการได้แต่ต้องใช้วิธีการสอบคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทน

 

Advertisement