การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
1. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี
(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป
(2) แต่ละสายต้องชัดเจน
(3) การดำเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จำนวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้มีพอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะต้องชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอำนาจในการสั่งงานผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน
2. ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 147 ทฤษฎีว่าด้วย “อำนาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้เป็นเพราะผู้บังคับบัญชามีอำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อำนาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตำแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Formal Position) แต่อำนาจหน้าที่นี้ก็ยังมิใช่อำนาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพราะการใช้อำนาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นมาของอำนาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนำไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป
3. อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงในการบริหารนั้นจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับให้ผู้บังคับบัญชามีสิทธิหรืออำนาจเหนือตน และอำนาจหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำ หรือเจรจาโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการหรือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ โดยนักทฤษฎีที่กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon
4. Chester I. Barnard เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 148 Chester I. Barnard ได้ให้ความหมายของอำนาจตามทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) โดยกล่าวว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะยอมรับอำนาจของผู้บังคับบัญชาเหนือตนก็ต่อเมื่อเขาสามารถเข้าใจในคำสั่งและเชื่อว่าการใช้อำนาจนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ การใช้อำนาจดังกล่าวไม่ขัดกับผลประโยชน์ของตน และคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่เขาสามารถนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งทั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาจะพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้เสียก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังหรือไม่
5. อำนาจหน้าที่ไม่ได้มาจากตำแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งได้อำนาจมาโดยปริยาย เกี่ยวข้องกับทฤษฎีใด
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 149 ทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่า อำนาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือได้ เช่น เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียง มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น ดังนั้นอำนาจหน้าที่จึงเป็นอำนาจหน้าที่ที่ได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มาจากตำแหน่งเป็นทางการแต่สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งได้อำนาจมาโดยปริยาย
6. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตการมอบหมายอำนาจหน้าที่
(1) บรรยากาศองค์การ
(2) ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
(3) การเมืองในองค์การ
(4) ตัวผู้บริหาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 157 – 159 การกำหนดขอบเขตของการมอบหมายอำนาจหน้าที่ พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. บรรยากาศขององค์การ
2. ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
3. ตัวผู้บริหารที่จะมอบหมายอำนาจหน้าที่
4. ความเต็มใจที่จะมอบหมายความไว้วางใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความเต็มใจในการที่จะกำหนดให้มีการควบคุมอย่างกว้าง
7. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่กำหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา
(1) ระดับขององค์การ
(2) ประเภทของกิจกรรม
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้บังคับบัญชา
(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
ตอบ 5 หน้า 181 – 182 ปัจจัยที่กำหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา มีดังนี้
1. ระดับขององค์การ
2. ประเภทของกิจกรรม
3. ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
4. ลักษณะขององค์การ
5. ความสามารถของผู้บังคับบัญชา
8. ข้อใดเป็นปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้
(1) ระดับขององค์การ
(2) ประเภทของกิจการ
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
ตอบ 5 หน้า 184 – 185 ปัจจัยที่จะช่วยให้การจัดช่วงการบังคับบัญชากว้างยิ่งขึ้นได้ มีดังนี้
1. การฝึกอบรมผู้ใต้บังคับบัญชา
2. เทคนิคในการมอบหมายอำนาจหน้าที่
3. การวางแผนการปฏิบัติงานไว้ให้พร้อม
4. ลักษณะของงานในองค์การ
5. เทคนิคในการควบคุม
6. เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
7. ความจำเป็นในการติดต่อส่วนตัว
9. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กำหนดขนาดของช่วงการบังคับบัญชา
(1) ระดับขององค์การ
(2) ลักษณะงานในองค์การ
(3) ลักษณะของผู้ใต้บังคับบัญชา
(4) ความสามารถของผู้ใต้บังคับบัญชา
(5) เทคนิคในการติดต่อสื่อสาร
ตอบ 1, 3 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ
10. ข้อใดเป็นปัจจัยที่กำหนดขนาดของการกระจายอำนาจ
(1) ความสำคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
(2) ขนาดขององค์การ
(3) ความเป็นเอกภาพในการบริหาร
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 170 – 174, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดขนาดของการกระจายอำนาจและการรวมอำนาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสำคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกับทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
5. ปรัชญาของการบริหาร
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดำเนินงาน
7. จำนวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ
8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานที่มีการแบ่งแยกงานไปตามสถานการณ์ที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ
— ตั้งแต่ข้อ 11. – 15. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Complexity
(2) Formalization
(3) Centralization
(4) Organization Design
(5) Authority
11. ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การแบ่งแยกงานซึ่งมีจำนวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญ รวมทั้งแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ำ รวมทั้งแบ่งไปยังพื้นที่อื่นแต่ละสาขา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 121 ความซับซ้อนขององค์การ (Complexity) คือ ลักษณะที่องค์การแต่ละองค์การจะมีการแบ่งแยกงาน (กิจกรรม) ซึ่งมีเป็นจำนวนมากออกเป็นกลุ่ม ๆ หลายกลุ่มงาน มีการแบ่งแยกตามความถนัดหรือความเชี่ยวชาญแต่ละด้านของบุคลากร และมีการแบ่งเป็นระดับต่าง ๆ จากสูงลงมาสู่ต่ำ รวมทั้งอาจมีการแบ่งไปยังพื้นที่อื่น ๆ แต่ละสาขาด้วย
12. การที่องค์การได้กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 122, (คำบรรยาย) ความเป็นทางการขององค์การ (Formalization) คือ การที่องค์การได้กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อวางระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นมาตรฐานอันเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่เป้าหมายของแต่ละองค์การ ดังนั้นความเป็นทางการจึงแสดงถึงการที่องค์การเต็มไปด้วยกฎ ระเบียบต่าง ๆ
13. ความพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 122 – 123, (คำบรรยาย) การออกแบบองค์การ (Organization Design) หรือการจัดองค์การ (Organizing) คือ การมุ่งหรือพยายามในการจัดโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์การ เพื่อให้มีความเหมาะสมและเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ การออกแบบองค์การนี้จะทำให้เกิดแผนภูมิขององค์การ (Organization Charts)
14. การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ผู้บริหารระดับสูงเป็นส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 168 การรวมอำนาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอำนาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทำจากระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอำนาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้วจะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจให้
15. Power to Command เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5 หน้า 146 อำนาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อำนาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อำนาจหน้าที่นี้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตำแหน่งที่เป็นทางการ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อใช้ภายในขอบเขตของตำแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อำนาจหน้าที่ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่าอำนาจหน้าที่ที่มีฐานะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น
— ตั้งแต่ข้อ 16. – 20. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Division of Work
(2) Departmentation
(3) Line Agency
(4) Staff Agency
(5) Auxiliary Agency
16. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 191 การจัดแผนงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน
17. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คำบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงานภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและหน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency) หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองวิชาการ หน่วยนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หน่วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. หน่วยงานอนุกร (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency) หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น
18. หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ
19. หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ
20. งานสารบรรณเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ
— ตั้งแต่ข้อ 21. – 25. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Span of Control
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Specialization
21. การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง
22. จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่า ผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกำกับดูแลหรือการบังคับบัญชาเพียงใด ทั้งนี้คือการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบกี่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทำให้การกำกับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
23. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารมากกว่า 1 คน
24. ข้อใดเกี่ยวกับ Authority มากที่สุด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ
25. การแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถ เรียกว่าอะไร
ตอบ 5 หน้า 189 การแบ่งงานกันทำหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกรับไปปฏิบัติ เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้ ซึ่งการแบ่งงานกันทำนี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการทำงานซ้ำซ้อนหรือการเหลื่อมล้ำในการทำงานในหน้าที่
— ตั้งแต่ข้อ 26. – 30. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Chain of Command
(2) Delegation of Authority
(3) Power to Command
(4) Limits of Authority
(5) Decentralization of Authority
26. การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 153 – 154 การมอบหมายอำนาจหน้าที่ (Delegation of Authority) หมายถึง การกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่โดยตัวผู้บังคับบัญชาที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือหมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในทางปฏิบัติผู้บังคับบัญชามักจะมอบหมายอำนาจหน้าที่แก่หัวหน้างานระดับรองลงไป การมอบอำนาจหน้าที่นี้อาจจะมอบแก่บุคคลคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
27. การให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ
28. ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการขาดหายไปเมื่อได้สั่งการให้ปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมาจากพฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 149 – 150 ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชามักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการให้ปฏิบัติจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดของอำนาจหน้าที่ (Limits of Authority) ในด้านต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา ฟิสิกส์ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมาย นโยบาย ความด้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น
29. ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 หน้า 169 การกระจายอำนาจ (Decentralization of Authority) หมายถึง ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นอำนาจหน้าที่บางอย่างซึ่งจำเป็นจะต้องสงวนไว้ที่ส่วนกลาง
30. Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ
— ตั้งแต่ข้อ 31. – 34. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) The Simple Structure
(2) The Machine Bureaucracy
(3) The Professional Bureaucracy
(4) The Divisionalized Form
(5) The Adhocracy
31. องค์การที่จัดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่รวมเป็นทีมเพื่อปฏิบัติงานสู่เป้าหมาย โดยไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ตายตัว คือข้อใด
ตอบ 5 หน้า 214 องค์การแบบโครงการ (The Adhocracy หรือ The Project Structure) เป็นองค์การที่จัดกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่รวมเป็นทีมเพื่อปฏิบัติงานสู่เป้าหมาย โดยไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่ตายตัว องค์การในลักษณะนี้จะมีการแบ่งงานกันทำตามแนวนอน การแบ่งงานในแนวดิ่งจะมีน้อย ความเป็นระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติงานมีน้อยกว่ารูปแบบอื่น ๆ มีการกระจายอำนาจมาก มีความคล่องตัวมาก ปรับตัวง่าย ไม่มีระเบียบปฏิบัติงานประจำวันและมาตรฐานการทำงานกำหนดไว้ตายตัว จึงเป็นองค์การที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เสี่ยงภัยสูง สภาพแวดล้อมไม่หยุดนิ่งต้องคิดค้นสิ่งใหม่เสมอ
32. องค์การที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะจำนวนมากและต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานเป็นผู้ปฏิบัติงาน มีความสลับซับซ้อนมาก คือองค์การใด
ตอบ 3 หน้า 212 องค์การระบบราชการแบบวิชาชีพ (The Professional Bureaucracy) เป็นองค์การที่มีความสลับซับซ้อนมาก มีความจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติงานหลักที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานเป็นผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งนับเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องจำนวนมาก องค์การลักษณะนี้เหมาะกับองค์การกลุ่มวิชาชีพ วิชาการ และกับสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและแน่นอน
33. องค์การที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ฝ่ายบริหารระดับสูงและผู้ปฏิบัติงาน ไม่มีฝ่ายงานช่วยและฝ่ายสนับสนุน คือข้อใด
ตอบ 1 หน้า 210 – 211 องค์การแบบเรียบง่าย (The Simple Structure) เป็นองค์การที่ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ฝ่ายบริหารระดับสูงและผู้ปฏิบัติงาน ไม่มีฝ่ายงานช่วยและฝ่ายสนับสนุน ฝ่ายบริหารระดับสูงจะทำหน้าที่ควบคุมประสานงานโดยตรงกับฝ่ายปฏิบัติงานหลัก โดยเป็นลักษณะการรวมอำนาจที่ส่วนกลาง ลักษณะองค์การแบบนี้เหมาะสมกับองค์การที่ทำธุรกิจขนาดเล็ก หรือต้องเปลี่ยนแปลงเสมอ เนื่องจากการดำเนินการต่าง ๆ สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องมีรูปแบบหรือพิธีการมากนัก
34. ระบบราชการในอุดมคติของ Max Weber คือข้อใด
ตอบ 2 หน้า 211 องค์การระบบราชการแบบเครื่องจักรกล (The Machine Bureaucracy) เป็นองค์การที่มีลักษณะใหญ่โตมโหฬารเหมือนระบบราชการ และเป็นแบบระบบราชการในอุดมคติของ Max Weber ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้
1. เป็นองค์การที่มีการแบ่งแยกหน้าที่ตามความชำนาญพิเศษอย่างมาก
2. มีลักษณะเป็นทางการสูงในการปฏิบัติงาน
3. มีกฎระเบียบมาก
4. มีระดับการปฏิบัติงานหลักมีขนาดใหญ่มาก
5. มีการจัดกลุ่มงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่าง
6. รวมอำนาจการตัดสินใจไว้ส่วนกลางค่อนข้างมาก ฯลฯ
35. ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่
(1) ความพึงพอใจ
(2) ประสิทธิภาพสูงสุด
(3) การมีส่วนร่วมของพนักงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 2 หน้า 25 – 29, 37, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด” ได้แก่
1. เสถียรภาพคงที่ของระบบหรือสมดุลแบบสถิต
2. การแบ่งงานโดยเน้นความชำนาญเฉพาะด้าน
3. การคำนึงถึงสายการบังคับบัญชา กฎ และระเบียบ
4. การมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
5. การกำหนดมาตรฐานของงาน
6. การกำหนดแผนงานและเป้าหมายที่แน่นอน
7. ความเชื่อในหลัก One Best Way
8. เป็นรูปแบบที่อิงอยู่กับหลักของเหตุและผล (Rational Model)
9. การใช้หลักเหตุผลและวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา ฯลฯ
36. ข้อใดเป็นผลการศึกษาที่สำคัญที่สุดจาก “Hawthorne Experiments”
(1) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(2) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับทรัพยากรนำเข้า
(3) พบผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความเอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา
(4) พบอิทธิพลของภาวะผู้นำที่มีต่อผลิตภาพการทำงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 68 – 70, (คำบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทำการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งพบผลการทดลองที่สำคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มที่ถูกเฝ้าดูทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไม่ยอมแพ้กันและกันขยันทำงานจนมีผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่มากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง
37. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Participative Management
(2) Management by Objectives
(3) Adhocracy
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 78, (คำบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหารที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอำนาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอำนาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ
38. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่บ่งชี้ถึง “ประสิทธิภาพ” ในการทำงาน
(1) ผลผลิต
(2) ทรัพยากรที่ใช้
(3) แผนที่วางไว้
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 22 – 23, (คำบรรยาย) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับทรัพยากร (เช่น งบประมาณ ระยะเวลา) หรือความพยายามที่ใช้ในการบริหาร ส่วนประสิทธิผล (Effectiveness) ของการบริหารในช่วงเวลาใด ๆ จะมีค่าเท่ากับการเปรียบเทียบผลผลิตหรือผลงานที่ได้จากการบริหารกับมาตรฐาน เป้าหมายหรือจุดประสงค์ที่กำหนด หรือกับแผนงานหรือประมาณการที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้นหากองค์การใดสามารถลดการใช้ทรัพยากรการบริหารให้น้อยลงได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากองค์การใดสามารถดำเนินงานให้บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ได้ก็แสดงว่าองค์การนั้นมีประสิทธิผล
39. ข้อใดเข้าคู่กันไม่ถูกต้อง
(1) Organic Structure – หน่วยผลิตขนาดเล็กที่ใช้แรงงานช่างฝีมือ
(2) Mechanistic Organization – Formal Organization
(3) Organic Structure – องค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
(4) Fluid Structure – Adhocracy
(5) Mechanistic Structure – Long-run Process Production
ตอบ 5 หน้า 45 – 47, 111 – 112, (คำบรรยาย) จากแนวคิดของ Contingency Theory นั้น Burn และ Stalker สรุปว่า
1. Mechanistic Organization เป็นองค์การแบบเก่าหรือองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization) หรือองค์การตามรูปแบบระบบราชการ (Bureaucratic Model) ที่เน้นโครงสร้างและความสัมพันธ์ตามแนวดิ่ง เช่น เน้นตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ (Positions and Authority) รวมทั้งมีความเป็นทางการสูง และเน้นการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีสภาพแวดล้อมคงที่ (Static) เช่น หน่วยราชการทุกรูปแบบ
2. Organic Organization หรือที่ Warren Bennis เรียกว่า Adhocracy เป็นโครงสร้างแบบหลวม (Fluid Structure) ที่เน้นการกระจายอำนาจ ความสัมพันธ์ตามแนวราบ/แนวนอน และการใช้ความรู้มากกว่าอำนาจหน้าที่ ดังนั้นจึงเหมาะกับองค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง นอกจากนี้ Woodward ยังได้สรุปอีกว่า หน่วยผลิตขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพและใช้เครื่องจักร เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จะต้องมีโครงสร้างแบบ Mechanistic Structure ส่วนหน่วยผลิตขนาดเล็ก เช่น องค์การผลิตสินค้าหัตถกรรมหรือใช้แรงงานช่างฝีมือ และที่ผลิตเป็นกระบวนการ (Long-run Process Production) หรือมีระบบการผลิตหลายขั้นตอน จะต้องมีโครงสร้างแบบ Organic Structure
40. Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) External Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี
2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม
41. ใครที่เสนอเรื่อง “Time and Motion Study”
(1) Taylor
(2) Cooke
(3) Munsterberg
(4) Gantt
(5) Gilbreths
ตอบ 5 หน้า 42, (คำบรรยาย) Frank และ Lillian Gilbreths เป็นผู้ศึกษาเรื่องการวิเคราะห์หามาตรฐานของงานโดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและการเคลื่อนไหวในการปฏิบัติงาน (Time and Motion Study) เพื่อนำไปใช้ในการจัดกระบวนการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
42. แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ใช่วิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) The Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจที่ต่างเข้ามาทำงานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่เป็นวิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสำคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”
43. ข้อใดที่มีความสัมพันธ์กันโดยตรง
(1) Gantt Chart – สร้างวินัยในการทำงาน
(2) Division of Work – ขยายความสามารถของมนุษย์
(3) Hygiene Factors – ถ้าได้รับจะไม่ยอมทำงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 42, 81 – 82, (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 19 – 20), (คำบรรยาย) Henry L. Gantt ได้เสนอแนวคิดในการสร้างวินัยในการทำงานและการทำงานเป็นกิจวัตร โดยการใช้ Gantt Chart เป็นแผนภูมิควบคุมเวลาในการทำงาน หรือแผนกำกับหรือติดตามความก้าวหน้าของงาน รวมทั้งการกำหนดเวลาเข้าทำงาน เลิกงาน โดยต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป และจะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจของผู้บริหารไม่ได้ ส่วนการแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เป็นปัจจัยที่มีผลโดยตรงในการช่วยขยายความสามารถของมนุษย์ หรือช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานขององค์การ และปัจจัยอนามัย (Hygiene Factors) ของ Frederick Herzberg เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทำให้พนักงานไม่ยอมทำงาน
44. “สิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน” เป็นสิ่งจูงใจที่เริ่มนำเสนอโดยนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักบริหารเชิงปริมาณ
(2) นักทฤษฎีการบริหาร
(3) นักทฤษฎีระบบราชการ
(4) กลุ่มมนุษยนิยม
(5) กลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์
ตอบ 4 หน้า 26 – 27, 29 – 30, 67 – 82 นักทฤษฎีองค์การกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) หรือกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism หรือ Industrial Humanism) หรือกลุ่มมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) หรือกลุ่มนีโอคลาสสิก (Neo-Classical Organization Theory) หรือนักทฤษฎีการบริหารงานสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Management) มีแนวคิดและวิธีศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ดังนี้
1. ศึกษาองค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization) โดยให้ความสำคัญกับระบบสังคมภายในองค์การหรือระบบสังคมวิทยามากที่สุด
2. ริเริ่มนำเสนอสิ่งจูงใจจากปัจจัยภายใน
3. เน้นการบริหารงานที่คำนึงถึงความสุขและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานหรือสมาชิกในองค์การ
4. เน้นศึกษากลุ่มทางสังคม คุณลักษณะของปัจเจกบุคคล (ได้แก่ บุคลิกภาพ จิตภาพ ทัศนคติ และความต้องการของบุคคล) คุณลักษณะทางธรรมชาติของมนุษย์
5. พยายามนำระบบการบริหารแบบเครือญาติ (Paternalism) เข้ามาใช้ในองค์การ
6. นักทฤษฎี (นักวิชาการ) ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hugo Munsterberg, George Elton Mayo, Warren Bennis, Chester I. Barnard, Abraham Maslow, Douglas McGregor และ Frederick Herzberg ฯลฯ
45. ทุกข้อเป็นหลักเกณฑ์ที่ Max Weber นำเสนอ ยกเว้น
(1) ความชำนาญเฉพาะด้าน
(2) หลักความสามารถ
(3) การกระจายอำนาจ
(4) สายการบังคับบัญชา
(5) แยกการเมืองออกจากการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 44 – 47, 139, 189, (คำบรรยาย) รูปแบบของระบบราชการ (Bureaucratic Model) หรือองค์ประกอบของโครงสร้างองค์การที่เป็นทางการตามทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy Theory) หรือทฤษฎีองค์การที่เป็นทางการ (Formal Organization Theory) หรือทฤษฎีองค์การรูปสามเหลี่ยมพีระมิดของ Max Weber นั้น จะประกอบด้วย
1. การกำหนดสายการบังคับบัญชา (Hierarchy, Chain of Command หรือ Line of Authority)
2. การกำหนดตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ (Positions and Authority)
3. การกำหนดกฎระเบียบและข้อบังคับที่แน่นอน (Rules and Regulations)
4. การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน (Division of Work, Division of Labor หรือ Specialization) เช่น การแบ่งงานออกเป็นแผนกงานต่างๆ
5. การจัดทำคู่มือการทำงาน และคำบรรยายลักษณะงาน (Job Description)
6. การกำหนดเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)
7. การคัดเลือกและเลื่อนขั้นโดยอาศัยหลักความสามารถตามระบบคุณธรรม (Merit on Selection and Promotion)
8. การมีระบบความสัมพันธ์ภายในองค์การอย่างเป็นทางการ (Formal Relationship) ตามสายการบังคับบัญชาและอำนาจหน้าที่ หรือตามแนวดิ่ง ฯลฯ
ซึ่งรูปแบบดังกล่าวทำให้เกิดการแยกการเมืองออกจากการบริหารและระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล
46. ในการบริหารงาน คำว่า Red Tape หมายถึง
(1) การคั่งค้างของงาน
(2) การสื่อสารที่ล่าช้า
(3) หัวหน้างาน
(4) โครงสร้างหน่วยงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ
47. ตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า
(1) Self-Realization Needs
(2) Safety Needs
(3) Social Needs
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 75 – 76 Abraham Maslow ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลำดับ จากต่ำสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน
2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)
3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)
4. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)
5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-Realization Needs)
48. เขียนตำรา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ”
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3) Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 43 Harrington Emerson ได้เขียนตำรา “หลักสิบสองประการในการสร้างประสิทธิภาพ” (The Twelve Principles of Efficiency) ซึ่งประกอบด้วยหลักการสำคัญ เช่น
1. การสร้างวัตถุประสงค์
2. การใช้สามัญสำนึก
3. การปรึกษาหารือ
4. การมีระเบียบวินัย
5. การจัดการที่เป็นธรรม
6. การปฏิบัติงานตลอดเวลาและเชื่อถือได้
7. การกำหนดสายทางเดินของงาน
8. การกำหนดมาตรฐานและระยะเวลาการทำงาน ฯลฯ
49. ทุกข้อเป็น “Motivator Factors” ตามทฤษฎีของ Herzberg ยกเว้น
(1) เงินเดือน
(2) ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
(3) การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน
(4) ลักษณะของงาน
(5) ความรับผิดชอบ
ตอบ 1 หน้า 81 – 82, (คำบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ
1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทำงาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากผู้ร่วมงาน ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน
2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยสุขวิทยา หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนยินยอมทำงาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทำให้พนักงานไม่ยอมทำงาน ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทำงาน
50. ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg
(1) เทคนิคและการควบคุมงาน
(2) สภาพการทำงาน
(3) ความก้าวหน้าในการงาน
(4) นโยบายและการบริหาร
(5) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ
51. Natural System Model เป็นวิธีการศึกษาของ………..
(1) Scientific Management
(2) Bureaucratic Model
(3) Neo-Classical Organization Theory
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, (คำบรรยาย) ตัวแบบระบบตามธรรมชาติ (Natural System Model) เป็นวิธีการศึกษาของกลุ่มนักทฤษฎีหรือนักวิชาการที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบเปิด” ซึ่งได้แก่
1. กลุ่ม Behavioral Science หรือ Neo-Classical Organization Theory
2. กลุ่ม A Systems Approach
3. กลุ่ม Contingency Theory หรือ Situational Approach
4. กลุ่ม The Action Theory หรือ The Action Approach
52. การแบ่งประเภทขององค์การ โดย “พิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน” จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์แบบใด
(1) วัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน
(2) กำเนิดขององค์การ
(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร
(4) ความเป็นเจ้าของ
(5) ความเป็นทางการ
ตอบ 5 หน้า 9, (คำบรรยาย) การแบ่งประเภทขององค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การ เป็นการพิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Formal Organization)
2. องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)
53. “การกำหนดเวลาเข้าทำงาน เลิกงาน” ต้องประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป จะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจของผู้บริหารไม่ได้ เป็นข้อเสนอของนักวิชาการใด
(1) Taylor
(2) Gilbreths
(3) Cooke
(4) Weber
(5) Gantt
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ
54. การยึดหลัก “เอกภาพในการบังคับบัญชา” มีข้อเสียอะไร
(1) สิ้นเปลืองบุคลากร
(2) เกิดความขัดแย้ง
(3) ประสิทธิภาพต่ำ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 50 – 51, 58, 186 – 187 หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานในองค์การเดียวและจะต้องรับคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือมีนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารที่ต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้าสั่งงานโดยตรงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ำซ้อนหรือเกิดความยุ่งยากในการทำงาน ตลอดจนการบอกปัดความรับผิดชอบ ส่วนข้อเสียคือ ทำให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ
55. สิ่งที่ ดร.ชุบ กาญจนประกร เสนอเพิ่มจากที่กูลิคเสนอไว้ในเรื่องหน้าที่ของผู้บริหาร ได้แก่
(1) การควบคุมงาน
(2) การประเมินผลงาน
(3) การวางแผนงาน
(4) การประสานงาน
(5) การกำหนดอำนาจหน้าที่
ตอบ 5 หน้า 60 – 62 ดร.ชุบ กาญจนประกร ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารเพิ่มเติมจากแนวคิด POSDCORB ของ Luther Gulick เป็น PA-POSDCORB โดย PA ที่เพิ่มขึ้นมา ได้แก่ P = Policy (การกำหนดนโยบาย) และ A = Authority (การกำหนดอำนาจหน้าที่)
56. ทุกข้อเป็นประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ ยกเว้น
(1) เกิดความรวดเร็วในการตัดสินใจ
(2) แก้ปัญหาข้อขัดแย้ง
(3) ช่วยสร้างความร่วมมือ
(4) ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว
(5) ทำให้เกิดการประสานงานที่ดี
ตอบ 1 หน้า 63 ประโยชน์ของระบบคณะกรรมการ (Committees) ได้แก่
1. ช่วยแก้ปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ
2. ช่วยสร้างความร่วมมือ หรือเพิ่มการมีส่วนร่วม
3. ทำให้เกิดการประสานงานที่ดี
4. ช่วยปกป้องความรับผิดชอบของบุคคลเพียงคนเดียว
57. “สภาพแวดล้อมขององค์การที่เปรียบได้กับสภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น……” เรียกว่า
(1) Turbulent Field
(2) Placid Clustered Environment
(3) Placid Randomized Environment
(4) Disturbed-Reactive Environment
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 18, (คำบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทำให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ผลของการติดต่อเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น
58. “…….ระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนต่อประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell (ดูคำอธิบายข้อ 40. ประกอบ)
59. ในการทดลองของ Mayo กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ผลการตรวจสอบผลงานของกลุ่มทั้งสองเป็นดังนี้
(1) ผลงานลดลงทั้งสองกลุ่ม
(2) ผลงานเพิ่มขึ้นทั้งสองกลุ่ม
(3) กลุ่มทดลองมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(4) กลุ่มควบคุมมีผลงานเพิ่มขึ้นมากกว่า
(5) ผลงานของทั้งสองกลุ่มเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ
60. ทฤษฎีองค์การในช่วง 1960 – 1975 เป็นยุคของทฤษฎีองค์การกลุ่มใด
(1) Situational Approach
(2) Contingency Theory
(3) The Action Approach
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 113 – 114, (คำบรรยาย) Stephen P. Robbins ได้เสนอพัฒนาการของทฤษฎีองค์การไว้ 4 ช่วงเวลา ดังนี้
1900 – 1930: Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization ได้แก่ Scientific Management, Bureaucratic Model และ Administrative Theorists
1930 – 1960: Behavioral Science หรือ Humanism หรือ Industrial Humanism หรือ Human Relations Approach หรือ Neo-Classical Organization Theory หรือ Neo-Classical Theory of Management
1960 – 1975: A Systems Approach และ Contingency Theory หรือ Situational Approach
1975 – ปัจจุบัน: The Action Theory หรือ The Action Approach
61. ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่ Herbert Kaufman เห็นว่าเป็น Pure Internal Management
(1) การตัดสินใจ
(2) การหาข่าวสาร
(3) การจูงใจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 14, (คำบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ
1. Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดำเนินงานตามภาระหน้าที่
2. External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด
62. จากหน้าที่ของนักบริหารที่ Henri Fayol เสนอไว้ 5 ประการเป็น POCCC C ทั้งสาม ได้แก่
(1) Commanding Controlling Correcting
(2) Controlling Correcting Coordinating
(3) Coordinating Concepting Correcting
(4) Commanding Coordinating Controlling
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 28 – 29, 55, (คำบรรยาย) Henri Fayol ได้เสนอกิจกรรมการบริหารหรือหน้าที่ของนักบริหารไว้ 5 ประการ ซึ่งเรียกว่า POCCC Model ประกอบด้วย
1. P = Planning (การวางแผน)
2. O = Organizing (การจัดรูปงาน)
3. C = Commanding (การสั่งการ)
4. C = Coordinating (การประสานงาน)
5. C = Controlling (การควบคุมบังคับบัญชา)
63. การจำแนกประเภทของระบบในทัศนะของ Kenneth Boulding ระดับที่เริ่มจัดเป็นระดับของระบบทางชีวภาพ ได้แก่ระดับใด
(1) ระดับที่ 1
(2) ระดับที่ 3
(3) ระดับที่ 5
(4) ระดับที่ 7
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 88 – 89 Kenneth Boulding จำแนกประเภทของระบบออกเป็น 9 ระดับ โดยระดับที่ 1 – 3 เป็นระบบทางกายภาพ ระดับที่ 4 – 6 เป็นระบบทางชีวภาพหรือระบบของพฤติกรรมศาสตร์ และระดับที่ 7 – 9 เป็นระบบทางสังคม
64. Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอน
(3) เน้นการกระจายอำนาจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 72, (คำบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy” (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การที่มีลักษณะดังนี้
1. มีการจัดโครงสร้างให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การที่เน้นการทำงานแบบเฉพาะกิจ
2. เน้นการกระจายอำนาจและเป็นแบบประชาธิปไตย
3. มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น
4. เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบเชี่ยวชาญมากกว่าการใช้อำนาจหน้าที่ (Authority)
5. เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ
65. Management Science หมายถึง
(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม
(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดทำนายพฤติกรรมการทำงานในองค์การ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่วิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดำเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดทำนายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทำงานในองค์การ
66. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของ “ระบบ”
(1) Maximized Efficiency
(2) Negative Entropy
(3) Flexible Boundaries
(4) Dynamic Equilibrium
(5) Growth Through Internal Elaboration
ตอบ 1 หน้า 98 – 106, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาเสถียรภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกในการปรับตัวและรักษาสถานภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)
67. “Piece Rate System” เป็นข้อเสนอในยุคสมัยใด
(1) คลาสสิก
(2) นีโอคลาสสิก
(3) แนวคิดเชิงระบบ
(4) การบริหารเชิงสถานการณ์
(5) ก่อนคลาสสิก
ตอบ 1 หน้า 38 – 42, (คำบรรยาย) Frederick W. Taylor เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก ซึ่งมีแนวคิดและผลงานที่สำคัญดังนี้
1. เป็นผู้สร้างทฤษฎีการจัดการโดยอาศัยหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
2. ริเริ่มแนวคิดการบริหารที่คำนึงถึงผลิตภาพหรือประสิทธิภาพ (Efficiency) ในการปฏิบัติงานขององค์การเป็นหลัก
3. เสนอให้ใช้ระบบค่าจ้างต่อชิ้น (Piece Rate System) ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจภายนอกที่จะทำให้มนุษย์ทำงานมากยิ่งขึ้น
4. เสนอให้มีผู้เชี่ยวชาญงานพิเศษ (Functional Foremen) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบงานและเร่งรัดประสิทธิภาพของงานในขั้นตอนต่างๆ
68. วิสัยทัศน์ (Vision) ขององค์การ หมายถึงข้อใด
(1) สิ่งที่องค์การมุ่งหวังจะเป็นในอนาคต
(2) เป้าหมายระยะสั้นขององค์การ
(3) วิธีการปฏิบัติงานประจำ
(4) ความสามารถพิเศษขององค์การ
(5) การวิเคราะห์ความเสี่ยง
ตอบ 1 หน้า 220, (คำบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็นหรือมุ่งหวังจะเป็นในอนาคต ตัวอย่างเช่น
– วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ เป็นสถาบันหลักที่มุ่งขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
– วิสัยทัศน์ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ สร้างความเสมอภาคทางการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ ส่งเสริมการเรียนการสอนและบริการวิชาการสู่ความเป็นเลิศ
69. “การตัดสินใจล่วงหน้าในการกำหนดเป้าหมายและวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้” ข้อความดังกล่าวคือความหมายของอะไร
(1) Leading
(2) Operating
(3) Staffing
(4) Controlling
(5) Planning
ตอบ 5 (คำบรรยาย) การวางแผน (Planning) หมายถึง การตัดสินใจล่วงหน้าในการกำหนดเป้าหมายและวิธีการในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
70. ข้อใดกล่าวถึง “SWOT Analysis” ได้ถูกต้องที่สุด
(1) การกำหนดเป้าหมายรายปีขององค์การ
(2) การวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทย
(3) การสร้างวิสัยทัศน์องค์กร
(4) การตรวจสอบผลการดำเนินงานประจำเดือน
(5) การประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคาม
ตอบ 5 หน้า 220 SWOT Analysis เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์องค์การเพื่อประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามขององค์การ ดังนั้น SWOT Analysis จึงประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่ S = Strengths คือ จุดแข็งขององค์การ และ W = Weaknesses คือ จุดอ่อนขององค์การ
2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่ O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ และ T = Threats คือ ภัยคุกคามขององค์การ
— ตั้งแต่ข้อ 71. – 78. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Strengths
(2) Weaknesses
(3) Opportunities
(4) Threats
(5) Problems
71. กรมการค้าต่างประเทศ “การเปิดเสรีการค้าทำให้สินค้าเกษตรไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 หน้า 220, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นั้น จะประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่
– S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจำนวนมาก การมีระบบการผลิตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน การมีวัฒนธรรมที่ดีภายในองค์การ การมีการวางแผนในระดับหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินงาน การมีสถานที่รองรับการจัดกิจกรรม เป็นต้น
– W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากรขาดทักษะความรู้ความสามารถ บุคลากรมีจำนวนน้อยไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่การงาน งบประมาณมีไม่เพียงพอ มีการจัดทำแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนับสนุนให้มีการทำงานเป็นทีม เป็นต้น
2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่
– O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น การเปิดเสรีการค้าทำให้สินค้าเกษตรไทยแข่งขันได้ในตลาดโลก การสนับสนุนงบประมาณการอนุรักษ์ดินและน้ำจากองค์กรระหว่างประเทศ การที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านระบบรางและขนส่งมวลชน เป็นต้น
– T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น การมีคู่แข่งจากสายการบินโลว์คอสต์ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการรถไฟลดลง ความนิยมในการท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในวงแคบ เป็นต้น
72. กรมการค้าต่างประเทศ “บุคลากรขาดทักษะการเจรจาทางการค้าในเวทีระหว่างประเทศ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
73. การรถไฟแห่งประเทศไทย “คู่แข่งจากสายการบินโลว์คอสต์ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการรถไฟลดลง” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
74. การประปานครหลวง “มีระบบผลิตและจ่ายน้ำที่ทันสมัยรองรับความต้องการของเขตเมืองได้ดี” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
75. กรมพัฒนาที่ดิน “การสนับสนุนงบประมาณการอนุรักษ์ดินและน้ำจากองค์กรระหว่างประเทศ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
76. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) “มีประสบการณ์ยาวนานและความเชี่ยวชาญด้านระบบผลิตไฟฟ้า” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
77. การรถไฟแห่งประเทศไทย “รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนด้านระบบรางและขนส่งมวลชน” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
78. องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) “ความนิยมในการท่องเที่ยวเชิงวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในวงแคบ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ
79. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการตัดสินใจในกระบวนการบริหาร
(1) การตัดสินใจเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดสรรและเปลี่ยนแปลงทรัพยากรขององค์การ
(2) การตัดสินใจที่ดีไม่จำเป็นต้องพึ่งข้อมูลข่าวสารมากนัก หากผู้นำมีประสบการณ์สูง
(3) องค์การจะต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป
(4) การตัดสินใจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลในทุกขั้นตอนของการบริหาร
(5) การตัดสินใจที่ดีควรมีทางเลือกหลายทางและข้อมูลอ้างอิงที่เพียงพอ
ตอบ 2 หน้า 227 – 228 การตัดสินใจในกระบวนการบริหาร มีลักษณะดังนี้
1. การตัดสินใจเป็นเครื่องมือสำคัญของนักบริหารในการจัดสรรและเปลี่ยนแปลงทรัพยากรให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ
2. การตัดสินใจเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลอยู่ในทุกขั้นตอนของการบริหาร
3. การตัดสินใจที่ดีและมีประสิทธิภาพจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและข่าวสารที่เพียงพอ เพื่อที่จะให้ผู้ตัดสินใจได้มีทางเลือกและมีข้ออ้างอิงที่สมบูรณ์
4. องค์การจะต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาและตลอดไป ฯลฯ
80. การตัดสินใจของบุคคลในข้อใดมีลักษณะเป็นการตัดสินใจแบบ Unconscious Decisions มากที่สุด
(1) นายต่อเป็นผู้บริหาร KFC
(2) นายต้อมเป็นนายกเทศมนตรี
(3) นายตั้วเป็นปลัดกระทรวง
(4) นายแต้มเป็นรัฐมนตรี
(5) นายโต้งเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน
ตอบ 5 หน้า 232, (คำบรรยาย) การตัดสินใจแบบไร้สำนึกหรือไม่ต้องใช้ความคิดตรึกตรอง (Unconscious Decisions) เป็นการตัดสินใจที่เกิดจากการวางแผนในการตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว (Programmed Decisions) ทั้งนี้เพื่อที่จะช่วยประหยัดเวลาไม่ให้ต้องมีการตัดสินใจในลักษณะที่ซ้ำกันอยู่เรื่อย ๆ เช่น การสร้างกฎ ระเบียบ และกระบวนการในการปฏิบัติงาน การสร้างระบบอัตโนมัติ การตัดสินใจในลักษณะนี้ใช้มากในระดับของการปฏิบัติงาน เช่น การตัดสินใจของข้าราชการฝ่ายพลเรือน เป็นต้น
81. นักวิชาการท่านใดเห็นว่า “การตัดสินใจมีความหมายเช่นเดียวกับการบริหาร”
(1) Frederick Taylor
(2) Max Weber
(3) Woodrow Wilson
(4) Elton Mayo
(5) Herbert Simon
ตอบ 5 หน้า 231 Herbert Simon กล่าวว่า “การตัดสินใจมีความหมายเช่นเดียวกับการบริหาร ถ้าพฤติกรรมทั้งหลายในองค์การเป็นผลเนื่องมาจากการตัดสินใจ และถ้าการบริหารเป็นพฤติกรรมองค์การแบบหนึ่ง เราก็อาจกล่าวได้ว่าการบริหารเป็นการตัดสินใจนั่นเอง”
82. ข้อใดมีลักษณะการตัดสินใจในลักษณะ Non–Programmable
(1) ระบบกึ่งอัตโนมัติ
(2) กฎ ระเบียบขององค์การ
(3) การปฏิบัติตามแผน
(4) คู่มือการปฏิบัติงานของบุคลากร
(5) การตัดสินใจในการกำหนดนโยบาย
ตอบ 5 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกำหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับของการกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะของขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าจยอมให้มีความสัมพันธ์ในระดับใด มีการรับเอาอิทธิพลและทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือกรับเอาสิ่งใด และต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจจึงไม่สามารถจัดทำไว้ล่วงหน้าได้ (Non–Programmable) ต้องใช้วิจารณญาณและความคิดเห็นของผู้ทำการตัดสินใจ (Judgmental)
83. ข้อใดเป็นเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจ (Decision Making Techniques) ในระดับกำหนดนโยบาย
(1) Judgmental
(2) Computational
(3) Elite
(4) Validity
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ
84. “พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ xxx โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา” จากข้อความดังกล่าว “xxx” หมายถึงสิ่งใด
(1) MIS
(2) Technology
(3) IT
(4) Data
(5) Information
ตอบ 5 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ ข่าวสารข้อมูล (Information) โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา
85. ข้อใดตรงกับคำว่า “การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง”
(1) Learning
(2) Erudition
(3) Study
(4) Analysis
(5) Synthesis
ตอบ 2 หน้า 243 การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง (Erudition) ถือเป็นการเรียนรู้โดยการประมวลความรู้ทั้งหลายจากประชาคมที่อาศัยอยู่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ตดสินใจเกิด “ปัญญา” (Wisdom)
86. ความเจ็บป่วยทางจิตที่เกิดจากการที่ปัจเจกบุคคลรับข่าวสารจากสภาพแวดล้อมมากเกินไปนั้นเป็นปัญหาในตัวเลือกใด
(1) Information Overload
(2) Information Accuracy
(3) Information Privacy
(4) Information Property
(5) Information Accessibility
ตอบ 1 หน้า 244, (คำบรรยาย) นักจิตวิทยาบางคนเสนอว่า ความเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลมาจากการที่ปัจเจกบุคคลรับข้อมูลข่าวสารจากสภาพแวดล้อมมากเกินไป หรือเรียกว่า Information Overload ดังนั้นถ้าบุคคลสามารถสร้างความสมดุลระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมขึ้นได้ บุคคลนั้น ๆ จะมีสุขภาพดี สามารถที่จะเข้ากันได้กับเงื่อนไขภายนอกและมีบทบาทที่เป็นปกติในสังคม
87. ข้อใดไม่ใช่รค์ประกอบที่สำคัญในการควบคุมองค์การ
(1) การกำหนดเป้าหมาย
(2) การกำหนดวิธีการวัดมาตรฐานการดำเนินงาน
(3) การลงโทษผู้ปฏิบัติไม่ได้ตามเป้าหมาย
(4) การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ตั้งไว้
(5) การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
ตอบ 3 หน้า 262 การควบคุมองค์การจะต้องมีองค์ประกอบในการควบคุมที่สำคัญ 4 ขั้นตอน คือ
1. การกำหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดำเนินงาน
2. การกำหนดวิธีการวัดมาตรฐานในการดำเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสำเร็จของงาน
3. การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานที่ได้ตั้งเอาไว้
4. การดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้
— ตั้งแต่ข้อ 88. – 93. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Abraham Maslow
(2) Frederick Herzberg
(3) Clayton Alderfer
(4) David C. McClelland
(5) J. Stacy Adams
88. เป็นทฤษฎีการจูงใจที่จัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีกระบวนการ (Process Theories)
ตอบ 5 หน้า 272, (คำบรรยาย) ทฤษฎีการจูงใจ (Theory of Motivation) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มทฤษฎีของกระบวนการ (Process Theory) จะพยายามอธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะถูกกระตุ้นได้อย่างไร จะถูกชี้นำไปยังทิศทางใด และจะทำให้หยุดลงได้อย่างไร ซึ่งทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ Expectancy Theory ของ Victor H. Vroom, Equity Theory ของ J. Stacy Adams เป็นต้น
2. กลุ่มทฤษฎีว่าด้วยเนื้อหา (Content Theory) จะเน้นถึงความต้องการภายใน โดยจะศึกษาว่า “อะไร” เป็นตัวทำให้พฤติกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นในลักษณะนั้น ๆ ซึ่งทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hierarchy of Needs Theory ของ Abraham Maslow, ERG Theory ของ Clayton Alderfer, Motivation-Hygiene Theory ของ Frederick Herzberg เป็นต้น
89. เป็นทฤษฎีที่อธิบายว่าความต้องการของมนุษย์มี 5 ขั้น
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 47. และ 88. ประกอบ
90. เป็นเจ้าของทฤษฎี ERG
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ
91. เป็นผู้กล่าวถึงปัจจัยจูงใจ (Motivator Factors) และปัจจัยสุขวิทยา (Hygiene Factors)
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ
92. เป็นทฤษฎีการจูงใจที่อธิบายแรงจูงใจในการทำงานของมนุษย์ที่เกิดจากการเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น
ตอบ 5 (คำบรรยาย) ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory) ของ J. Stacy Adams เป็นทฤษฎีการจูงใจที่อธิบายแรงจูงใจในการทำงานของมนุษย์ที่เกิดจากการเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น กล่าวคือตามแนวคิดของทฤษฎีความเสมอภาคนั้น บุคคลมักจะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นในการทำงานว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมกันหรือไม่ โดยพิจารณาจากปัจจัยป้อนเข้า (Input) อันได้แก่ ความรู้ความสามารถ ความพยายาม ประสบการณ์ เป็นต้น กับผลลัพธ์ (Outcomes) ที่ได้รับ อันได้แก่ ค่าจ้างค่าตอบแทน การยกย่องชมเชย การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น หากเปรียบเทียบแล้วบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงบวก ก็จะปรับพฤติกรรม เช่น เพิ่มความพยายามในการทำงาน ไปพบเจ้านายเพื่อขอลด Outcomes เป็นต้น แต่หากบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงลบ ก็จะปรับพฤติกรรม เช่น ลดความพยายามในการทำงาน ไปพบเจ้านายเพื่อขอเพิ่ม Outcomes คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตน หยุดงานบ่อยขึ้น ลาออกจากงาน เป็นต้น
93. ทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ
94. หากอธิบายแรงจูงใจในการทำงานผ่านทฤษฎีของ Victor H. Vroom นั้นข้อใดคือ ไอ (I)
(1) ความเป็นเครื่องมือ
(2) ความเชื่อว่าความพยายามจะนำสู่ผลงาน
(3) คุณค่าของรางวัล
(4) ประสบการณ์
(5) สัญชาตญาณ
ตอบ 1 (คำบรรยาย) “Motivation = E x I x V” เป็นคำอธิบายของทฤษฎีความคาดหวัง (Expectation Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom โดย
– E (Expectation) = ความคาดหวัง คือ การเชื่อว่าความพยายามจะนำไปสู่ผลงาน
– I (Instrumentality) = ความเป็นเครื่องมือ คือ การเชื่อว่าผลงานจะนำไปสู่การได้รับรางวัล
– V (Valance) = คุณค่าของรางวัล คือ รางวัลนั้นมีคุณค่ากับเรา
— ตั้งแต่ข้อ 95. – 100. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม —
(1) Contingency Theories
(2) Behavioral Theories
(3) Trait Theories
(4) Transformational Leader
(5) Reinforcement Theories
95. การศึกษาค้นคว้าที่มหาวิทยาลัยไอโอวา นำโดย Ronald Lippitt & Ralph White นั้นจัดอยู่ในกลุ่มใด
ตอบ 2 หน้า 287, 289 การศึกษาค้นคว้าเรื่องภาวะผู้นำที่มหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa Studies) โดย Ronald Lippitt และ Ralph White ที่ใช้วิธีการแบบ Experimental Approach และควบคุมโดย Kert Lewin ในปี ค.ศ. 1940 เป็นการศึกษาของกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ (Leadership Behavior) หรือทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories) ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่าผู้นำมี 3 แบบ คือ ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) และผู้นำแบบปล่อยเสรี (Laissez-Faire Leadership)
96. แนวคิดที่พิจารณาว่าไม่มีแบบของผู้นำแบบใดที่ดีที่สุด การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลต้องพิจารณาความสอดคล้องกับสถานการณ์
ตอบ 1 หน้า 294, (คำบรรยาย) ทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) คือ ทฤษฎีที่ศึกษาภาวะผู้นำโดยมองความสำคัญของสถานการณ์เป็นหลัก ทฤษฎีนี้เชื่อว่า ไม่มีแบบของผู้นำแบบใดที่ดีที่สุด การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิผลต้องพิจารณาความสอดคล้องกับสถานการณ์ ซึ่งนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ R.M. Stogdill, B.M. Bass, A.C. Pilley, R.J. House, Fred E. Fiedler และ Hersey & Blanchard
97. นายพล อธิบายว่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จต้องมีคุณลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ คือ มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้ในงาน และมีทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี คำอธิบายของนายพลสอดคล้องกับกลุ่มแนวคิดในตัวเลือกใด
ตอบ 3 หน้า 287 – 288, (คำบรรยาย) คำอธิบายของนายพลสอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ (Trait Theories) ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ศึกษาคุณลักษณะและคุณสมบัติของผู้นำ โดยการศึกษาจะกระทำโดยการแยกประเภทของผู้นำเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จกับผู้นำที่ไม่ประสบความสำเร็จแล้วจึงรวบรวมคุณสมบัติหรือคุณลักษณะของผู้นำทั้งสองประเภทว่ามีลักษณะใดบ้างที่เป็นปัจจัยให้ผู้นำเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ โดยนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ T. Carlyle, R.M. Stogdill, Edwin Ghiselli และ Keith Davis
98. ตัวเลือกใดไม่ใช่ทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ
ตอบ 5 หน้า 287, (คำบรรยาย) ทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำ มีดังนี้
1. ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ (Trait Theories)
2. ทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories)
3. ทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories)
4. ทฤษฎีผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leader)
99. ทฤษฎีภาวะผู้นำของ Hersey & Blanchard จัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ
100. นางสาวกุ๊กไก่เข้าชั้นเรียนสาย ได้ยินอาจารย์บอกว่า “ผู้นำมี 3 แบบ คือ ผู้นำแบบประชาธิปไตย ผู้นำแบบเผด็จการ และผู้นำแบบปล่อยเสรี” อาจารย์กำลังบรรยายถึงทฤษฎีในกลุ่มใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ