การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2300 การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
ตั้งแต่ข้อ 1 – 3 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) องค์การแบบแบ่งแยกหน้าที่
(2) องค์การแบบแบ่งตามผลผลิต
(3) องค์การแบบแบ่งตามพื้นที่
(4) องค์การแบบแบ่งตามประเภทลูกค้า
(5) องค์การแบบแบ่งตามกระบวนการ
1 หน่วยงานที่มีผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ ผู้จัดการฝ่ายผลิต เป็นการจัด องค์การแบบใด
ตอบ 1 หน้า 117 องค์การแบบแบ่งแยกหน้าที่ (Functional Departmentalization) เป็นการจัดองค์การโดยพิจารณาจากประเภทของงานหรือหน้าที่ในการปฏิบัติงานเป็นหลัก โดยกลุ่มของ กิจกรรมที่เหมือนกันและเกี่ยวข้องกันจะถูกจัดให้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา คนเดียวกัน การจัดองค์การแบบนี้เหมาะกับองค์การที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมคงที่และมีลักษณะ เป็นงานประจํา เช่น การจัดองค์การโดยแบ่งออกเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้จัดการฝ่ายขายผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ และผู้จัดการฝ่ายผลิต เป็นต้น
2 ฝ่ายขายต่างประเทศ เป็นการจัดองค์การแบบใด
ตอบ 3 หน้า 118 119 องค์การแบบแบ่งตามเขตภูมิศาสตร์หรือตามพื้นที่ (Geographical Departmentalization หรือ Territorial Departmentalization) เป็นการจัดองค์การที่ เหมาะกับองค์การขนาดใหญ่หรือองค์การที่มีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบกว้างขวาง เพื่อทําให้เกิด ความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน เป็นการกระจายอํานาจในการปฏิบัติงานให้ครอบคลุมพื้นที่ ที่ต้องรับผิดชอบ และมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังสามารถตอบสนอง ความต้องการหรือแก้ปัญหาได้ตรงตามความต้องการของแต่ละพื้นที่ด้วย เช่น การจัดองค์การโดยแบ่งฝ่ายขายออกเป็นฝ่ายขายในประเทศ และฝ่ายขายต่างประเทศ เป็นต้น
3 ฝ่ายผลิตอาหาร เป็นการจัดองค์การแบบใด
ตอบ 2 หน้า 117 – 118 องค์การแบบแบ่งตามผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ (Product Departmentalization) เป็นการจัดองค์การที่ทําให้ผลผลิตแต่ละประเภทอยู่ภายใต้อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ ของผู้บริหารที่มีความชํานาญเฉพาะด้านนั้น ๆ ซึ่งจะทําให้สามารถควบคุมกระบวนการผลิตได้ดี และเกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน แต่อาจทําให้เกิดความซ้ําซ้อนของงานและสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายโดยส่วนรวมได้ เช่น การจัดองค์การโดยแบ่งฝ่ายการผลิตออกเป็นฝ่ายผลิตอาหารและฝ่ายผลิตเสื้อผ้า เป็นต้น
4 ผู้ใดกล่าวว่า “วัฒนธรรมเป็นส่วนทั้งหมดที่ซับซ้อน ประกอบด้วยความรู้ ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม ประเพณี และความสามารถอื่น ๆ ที่มนุษย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม”
(1) Dwight Waldo
(2) Richard L. Daft
(3) Stephen P. Robbins
(4) Taylor
(5) Max Weber
ตอบ 4 หน้า 266, 282 Taylor กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นส่วนทั้งหมดที่ซับซ้อน ประกอบด้วยความรู้ความเชื่อ ศิลปะ ศีลธรรม กฎหมาย ประเพณี และความสามารถอื่น ๆ ที่มนุษย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม
5 ประเทศอะไรสังคมมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ
(1) ประเทศไทย
(2) อินเดีย
(3) สหรัฐอเมริกา
(4) อังกฤษ
(5) เยอรมนี
ตอบ 2 หน้า 265, 282 283 สังคมของประเทศอินเดียมีการแบ่งชนชั้นวรรณะออกเป็น 4 วรรณะ คือ
1 พราหมณ์ ได้แก่ นักบวชที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้
2 กษัตริย์ ได้แก่ นักรบ
3 แพศย์ ได้แก่ พ่อค้า ฃ
4 ศูทร ได้แก่ กรรมกร
6 ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับปัจจัยสิ่งแวดล้อมจากต่างประเทศ
(1) ระบบศุลกากร
(2) อัตราการแลกเปลี่ยน
(3) การกีดกันทางการค้า
(4) เครื่องมือหรืออุปกรณ์
(5) ระบบตลาด
ตอบ 4 หน้า 255 – 257, 282 – 283 Richard L. Daft ได้พิจารณาสภาพแวดล้อมขององค์การว่าประกอบด้วยปัจจัยหรือส่วนต่าง ๆ 10 ส่วน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นสภาพแวดล้อมของงาน ที่มีผลกระทบต่อการบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง เช่น
1 ปัจจัยด้านการผลิตหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น ผู้ป้อนวัตถุดิบให้แก่องค์การ โรงงานผลิต
2 ปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์ เช่น สถานฝึกอบรม สหภาพแรงงาน
3 ปัจจัยด้านเทคโนโลยี เช่น เทคนิคการผลิต เครื่องมือหรืออุปกรณ์อัตโนมัติ ปัจจัยการผลิตใหม่ ๆ
4 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินฝืด-เงินเฟ้อ อัตราการลงทุน อัตราการออม
5 ปัจจัยจากต่างประเทศ เช่น การกีดกันทางการค้า ระบบตลาดต่างประเทศ ระบบศุลกากรอัตราการแลกเปลี่ยน ฯลฯ
7 ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ
(1) อัตราการว่างงาน
(2) อัตราเงินฝืด-อัตราเงินเฟ้อ
(3) การลงทุน
(4) อัตราการออม
(5) การปฏิบัติงาน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 6 ประกอบ
8 การศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง
(1) การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
(2) การศึกษาในระดับ ปวส.
(3) การศึกษาในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
(4) การศึกษาชั้นอนุบาล
(5) การศึกษาในระดับปริญญาตรีเท่านั้น
ตอบ 1. 4 หน้า 262 – 263, 282 – 283 การศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง การศึกษาซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปีก่อนระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1 การศึกษาก่อนระดับประถมศึกษา ได้แก่ การศึกษาชั้นเด็กเล็ก และการศึกษาชั้นอนุบาล
2 การศึกษาระดับประถมศึกษา
3 การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
9 ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทําให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทําลาย
(1) การลดของประชากร
(2) ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
(3) การสร้างสิ่งก่อสร้างเขื่อน
(4) การกีฬา
(5) ความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ตอบ 1 หน้า 275 276, 282 283 สาเหตุที่ทําให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกทําลาย มีดังนี้
1 การเพิ่มของประชากร
2 การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
3 ความเจริญก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
4 การสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น การสร้างเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ถนน
5 การกีฬา เช่น การยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์
6 สงคราม
7 ความไม่รู้หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
10 Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่
(1) สงบราบเรียบไม่ค่อยมีโอกาสติดต่อกับภายนอก
(2) เป็นสภาพแวดล้อมของเด็กกําลังเจริญเติบโต เริ่มเรียนรู้และสัมผัสกับระบบของครอบครัว
(3) สภาพแวดล้อมของเด็กวัยรุ่นเริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก
(4) สภาพแวดล้อมของชาวเขา
(5) สภาพแวดล้อมใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา
ตอบ 5 หน้า 257 258, 283 Fred Emery และ Eric Trist ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การออกเป็น 4 ประเภท คือ
1 Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ ไม่ค่อยมีโอกาสติดต่อกับสังคมภายนอก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาที่เร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2 Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่เริ่มมีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กที่กําลังเจริญเติบโตเริ่มเรียนรู้และสัมผัสกับระบบของครอบครัว โรงเรียน เป็นต้น
3 Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่เริ่มมีความยุ่งยาก ซับซ้อน ยุ่งเหยิง เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยรุ่นที่เริ่มเผชิญกับสังคมภายนอก เป็นต้น
4 Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพแวดล้อมใน 3 จังหวัดภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา เป็นต้น
11 ในการบริหารภาครัฐของไทยเป็นอย่างไร
(1) รัฐบาลส่วนกลางเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุดและเป็นผู้วางนโยบาย
(2) รัฐบาลท้องถิ่นมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ
(3) องค์การอิสระเป็นหน่วยที่ใหญ่ที่สุด
(4) รัฐบาลกลางเป็นผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 259, 283 ในการบริหารภาครัฐของไทยนั้น รัฐบาลส่วนกลางถือเป็นหน่วยการบริหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งจะทําหน้าที่ในการวางนโยบายหลักของประเทศ เช่น การป้องกันประเทศ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การส่งเสริมและควบคุมเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น โดยจะมีกระทรวงและกรมทําหน้าที่ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย
12 สภาพแวดล้อมเฉพาะสําหรับองค์การต่าง ๆ ของรัฐ คือ
(1) ค่านิยมทางสังคม
(2) ภาวะดอกเบี้ย
(3) การศึกษาของประชาชน
(4) เทคโนโลยี
(5) วัตถุดิบ
ตอบ 5 หน้า 260 – 280, (คําบรรยาย) สภาพแวดล้อมขององค์การบริหารภาครัฐเป็นสิ่งที่ควบคุมได้น้อยมากและมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 สภาพแวดล้อมทั่วไปหรือสภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการบริหารขององค์การของรัฐทุก ๆ องค์การ ได้แก่ การศึกษา ชนชั้นทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมของประชาชน เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี กฎหมาย และทรัพยากรธรรมชาติ
2 สภาพแวดล้อมเฉพาะหรือสภาพแวดล้อมภายในองค์การ เป็นสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการบริหารขององค์การ ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่จําเป็นในการดําเนินงาน สําหรับองค์การหนึ่ง ๆ แต่อาจจะไม่มีความจําเป็นสําหรับองค์การอื่น ๆ เลยก็ได้ เช่น ลูกค้า ผู้รับบริการ คู่แข่งขัน แรงงาน/บุคลากร วัตถุดิบ กฎระเบียบขององค์การ เทคโนโลยีการบริหารความรู้และข้อมูล ทรัพยากรที่หน่วยงานต้องใช้
13 ข้อใดคู่กันแล้วไม่ถูกต้อง
(1) ระบบราชการ – วางแผน
(2) ระบบราชการ – ปฏิบัติงานถูกต้อง
(3) การเมืองดี – ระบบราชการดี
(4) การเมือง – นํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ระบบราชการ – ปฏิบัติงานตามนโยบายการเมือง
ตอบ 4 หน้า 271 – 273, (คําบรรยาย) การเมืองจะทําหน้าที่ในการกําหนดนโยบาย ส่วนระบบราชการจะทําหน้าที่นํานโยบายของฝ่ายการเมืองไปปฏิบัติ ดังนั้นการเมืองและระบบราชการ จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันและส่งผลถึงกันและกันเสมอ กล่าวคือ หากการเมืองดีจะส่งผลให้ระบบราชการดีด้วย แต่หากการเมืองล้มเหลวก็จะส่งผลให้ระบบราชการล้มเหลวไปด้วย
14 ใครเสนอให้จําแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระของนโยบาย
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Cart J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 1 หน้า 76, (คําบรรยาย) Theodore Lowi ได้เสนอให้จําแนกประเภทของนโยบายตามเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้น ๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
1 นโยบายที่เป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับ (Regulative Policy)
2 นโยบายการกระจายบริการของรัฐ (Distributive Policy)
3 นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมหรือการจัดสรรทรัพยากรเสียใหม่(Re-Distributive Policy)
15 ใครที่ให้ความหมายของนโยบายโดยเน้นการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อสังคมส่วนรวม
(1) Theodore Lowi
(2) Ira Sharkansky
(3) Carl J. Friedrich
(4) William Greenwood
(5) David Easton
ตอบ 5 หน้า 74 David Easton กล่าวว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง การจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ ของสังคมโดยชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
16 การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชนอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 87 , 107 108 ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย
1 การพิจารณาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2 การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา
3 ปัญหาที่รัฐบาลสนใจ
4 การจัดลําดับความสําคัญของปัญหา
17 การจัดทําร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) การเตรียมและเสนอนโยบาย
(4) การอนุมัติและประกาศนโยบาย
(5) การปรับปรุงแก้ไขนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 88, 108 ขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย (Policy Formulation) ประกอบด้วย
1 การกําหนดวัตถุประสงค์
2 การกําหนดทางเลือก
3 การจัดทําร่างนโยบาย
18 นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 4 หน้า 76, (คําบรรยาย) นโยบายเพื่อการลงทุน (Capitalization Policy) เป็นนโยบายที่รัฐบาลกําหนดขึ้นเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ หรือเพื่อแสวงหาทรัพยากรใหม่ ๆ ในการริเริ่มสร้างสรรค์ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาอันเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยส่วนรวม เช่น นโยบายพัฒนาชายฝั่งทะเล ภาคตะวันออกและภาคใต้ การสร้างสนามบิน การสร้างนิคมอุตสาหกรรม การสร้างท่าเรือน้ำลึกการวางท่อก๊าซ เป็นต้น
19 โครงการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร เกี่ยวข้องกับนโยบายประเภทใด
(1) Regulative Policy
(2) Distributive Policy
(3) Re-Distributive Policy
(4) Capitalization Policy
(5) Ethical Policy
ตอบ 3 หน้า 76 นโยบายเพื่อการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม (Re-Distributive Policy) เป็นนโยบายที่กําหนดขึ้นเพื่อประชาชนบางอาชีพ ผู้ประกอบการบางสาขาการผลิต พื้นที่บางพื้นที่ ตามความจําเป็น หรือเป็นนโยบายเพื่อดึงทรัพยากรจากประชาชนกลุ่มหนึ่งไปเป็นประโยชน์
ให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ด้อยโอกาส เช่น นโยบายภาษี นโยบายปฏิรูปที่ดิน เป็นต้น
20 การส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุและคนพิการ เป็นนโยบายด้านใด (1) นโยบายด้านสวัสดิการสังคม
(2) นโยบายด้านการศึกษา
(3) นโยบายด้านสาธารณสุข
(4) นโยบายด้านแรงงาน
(5) นโยบายด้านศาสนาและศิลปะ
ตอบ 4 หน้า 92 – 93 นโยบายด้านแรงงาน มีดังนี้
1 ดําเนินการให้แรงงานทั้งในและนอกระบบได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงานไทย
2 ปฏิรูประบบประกันสังคมให้มีความเข้มแข็งมั่นคง
3 พัฒนาและฝึกอบรมแรงงานทุกระดับให้มีความรู้และทักษะฝีมือที่มีมาตรฐาน
4 ส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
5 ส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุและคนพิการ ฯลฯ
21 การส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ เป็นนโยบายด้านใด
(1) นโยบายด้านสวัสดิการสังคม
(2) นโยบายด้านการศึกษา
(3) นโยบายด้านสาธารณสุข
(4) นโยบายด้านกีฬาและนันทนาการ
(5) นโยบายด้านศาสนาและศิลปะ
ตอบ 2 หน้า 91 – 92 นโยบายด้านการศึกษา มีดังนี้
1 ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
2 ส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ
3 จัดให้ทุกคนมีโอกาส ได้รับการศึกษาฟรี 15 ปี
4 ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ ฯลฯ
22 ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต้องการความสามารถทางการบริหารสูง
(2) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายในประเทศที่มีขนาดใหญ่
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะเหมาะกับประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่ปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจ
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติจะมีประสิทธิผลมากในประเทศที่รัฐบาลมีเสถียรภาพสูง
ตอบ 2 หน้า 99 – 100 การนํานโยบายไปปฏิบัติในประเทศต่าง ๆ อาจจะให้ผลแตกต่างกัน ดังนี้
1 การนํานโยบายไปปฏิบัติที่มีประสิทธิผลต้องการความสามารถทางการบริหารสูงจะกลายเป็นข้อจํากัดที่สําคัญของประเทศในโลกที่ 3 และในยุโรปบางประเทศ
2 การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่มีขนาดกลางหรือขนาดเล็ก
3 การนํานโยบายไปปฏิบัติจะเหมาะสมกับประเทศที่ยึดถือการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
4 การนํานโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่มีการปกครองแบบรวมศูนย์อํานาจ
5 การนํานโยบายไปปฏิบัติจะมีประสิทธิผลมากในประเทศที่รัฐบาลมีเสถียรภาพสูง
- ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) Harold Lasswell นโยบายเกี่ยวข้องกับแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น
(2) Thomas R, Dye นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจว่าจะทําหรือไม่ทํา
(3) Theodore Lowi เป็นบิดาแห่งนโยบายศาสตร์
(4) David Easton เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและแจกแจงคุณค่าต่าง ๆ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 74, (คําบรรยาย) Harold Lasswell ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์”ได้ให้ความหมายนโยบายสาธารณะร่วมกับ Abraham Kaplan ว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึงแผนหรือโครงการที่กําหนดขึ้น อันประกอบด้วยเป้าหมาย คุณค่า และแนวการปฏิบัติงานต่าง ๆ
24 กลไกการควบคุมเพื่ออํานวยความยุติธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ได้แก่
(1) บทบาทของสํานักงบประมาณ
(2) บทบาทของสํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน
(3) บทบาทของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 4 หน้า 176, 185 – 190 กลไกการควบคุมเพื่ออํานวยความยุติธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมีดังนี้
1 แนวนโยบายแห่งรัฐในกฎหมายรัฐธรรมนูญ
2 บทบาทของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
3 การตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎร
4 บทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา
5 บทบาทของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือสํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน 6 บทบาทของศาลในกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ
25 ที่กล่าวว่า งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุม เพราะ
(1) งบประมาณเป็นแผนการบริหารชนิดหนึ่ง
(2) งบประมาณเป็นทรัพยากรในการบริหาร
(3) ผู้บริหารหน่วยงานสามารถกําหนดรายจ่ายตามที่เห็นควร
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 2 ถูก
ตอบ 5 หน้า 184, 205 – 206, (คําบรรยาย) งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุม เนื่องจาก
1 งบประมาณเป็นกฎหมาย และการใช้จ่ายเงินของรัฐหรือหน่วยราชการต้องมีกฎหมายรองรับและเป็นไปตามกฎหมายงบประมาณ
2 งบประมาณเป็นแผนการบริหารที่แสดงโครงการในการดําเนินงาน แสดงเป้าหมายและ วัตถุประสงค์ แสดงจํานวนเงินที่ต้องการใช้ ตลอดจนแสดงจํานวนบุคลากรและทรัพยากรในการสนับสนุนการดําเนินงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ
3 งบประมาณเป็นทรัพยากรในการบริหาร ซึ่งจะต้องมีการใช้จ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
26 ข้อใดเป็นแนวนโยบายตามรัฐธรรมนูญปี 2550 การมีส่วนร่วมของประชาชน
(1) ส่งเสริมการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ
(2) จัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง
(3) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมือง
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 193 – 200 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มีดังนี้
1 แนวนโยบายด้านศาสนา สังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย จัดให้มีแผนการศึกษาของชาติ
2 แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมให้ประชากรวัยทํางานมีงานทํา คุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระ
3 แนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน เช่น ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วม ของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งทางการเมือง จัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ฯลฯ
27 ข้อใดเป็นกลไกภายในที่เกี่ยวกับการควบคุม
(1) คําสั่ง
(2) วินัย
(3) กฎหมายปกครอง
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 175, 200 – 203 กลไกการควบคุมภายในหน่วยงานราชการ ประกอบด้วย นโยบายแผนงาน โครงการ วิธีปฏิบัติงาน คําสั่งและรายงาน ระบบการติดต่อสื่อสารและการประสานงาน คู่มือ กฎ ระเบียบ วินัยและบทลงโทษ ระบบการติดตามประเมินผล ความสามารถของผู้บริหาร/
ผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติงาน ระบบการประกันคุณภาพ เทคโนโลยีขององค์กร เป็นต้น
28 ผู้ได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานของรัฐ จะร้องเรียนไปที่หน่วยงานใดได้บ้าง
(1) ผู้ตรวจการแผ่นดิน
(2) สํานักงานคุ้มครองผู้บริโภค
(3) สํานักงานสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ข้อ 1, 2 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 179, 203 ผู้ได้รับผลกระทบจากการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ สามารถร้องเรียนต่อหน่วยงานที่ทําให้เกิดผลกระทบหรือกระทําผิดได้โดยตรง หรือร้องเรียนไปที่หน่วยงานที่มีบัญญัติไว้ ตามรัฐธรรมนูญ เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน สํานักงานคุ้มครองผู้บริโภค สํานักงานสิทธิมนุษยชน แห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงการนําเรื่องเข้าสู่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม เป็นต้น
29 นโยบายการบริหารจัดการที่มีผลต่อการควบคุมตรวจสอบ ได้แก่
(1) ระบบติดตามประเมินผล
(2) การพัฒนาบุคลากร
(3) การจัดสวัสดิการ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 184 185, (คําบรรยาย) นโยบายการบริหารจัดการภาครัฐที่มีผลต่อการควบคุมตรวจสอบมีดังนี้
1 การพัฒนาระบบงบประมาณ
2 การพัฒนาบุคลากร
3 การจัดวางระบบการติดตามประเมินผล
4 ระบบประกันคุณภาพขององค์การ
30 ข้อใดเป็น “สิทธิเสรีภาพโดยทั่วไปของชนชาวไทย”
(1) การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
(2) การเข้าถึงข่าวสารสาธารณะในครอบครองของราชการ
(3) การฟื้นฟูจารีตประเพณี
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 5 หน้า 191 192 สิทธิเสรีภาพโดยทั่วไปของชนชาวไทย มีดังนี้
1 การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ
2 การรวมตัวกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การพัฒนาเอกชน หรือหมู่คณะอื่น
3 การอนุรักษ์และฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ
4 การได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ
5 การได้รับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี ซึ่งรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ฯลฯ
31 ในการควบคุมตรวจสอบ มาตรการใดที่เกี่ยวข้องกับ “การกําหนดเป้าหมาย”
(1) ความร่วมมือ
(2) ระบบงาน
(3) กฎหมาย
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 181 – 182 มาตรการที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการควบคุมตรวจสอบ มีดังนี้
1 กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คู่มือ วินัย นโยบาย แผน เทคโนโลยีการดําเนินงาน เป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการกําหนดเป้าหมายและมาตรฐานของการดําเนินงาน (ขั้นตอนที่ 1)และขั้นตอนการกําหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน (ขั้นตอนที่ 2)
2 ความสามารถ ความร่วมมือของทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงระบบงานในองค์การเป็นมาตรการที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานหรือ เกณฑ์ที่ได้ตั้งไว้ (ขั้นตอนที่ 3) และขั้นตอนการดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ (ขั้นตอนที่ 4)
32 ข้อใดจัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการ “ควบคุมตรวจสอบ”
(1) การลงโทษ
(2) การพัฒนาปรับปรุง
(3) การกําหนดมาตรฐาน
(4) การกําหนดวิธีการในการวัดผล
(5) การเปรียบเทียบผลงาน
ตอบ 2 หน้า 181 กระบวนการในการควบคุมตรวจสอบ มี 4 ขั้นตอน คือ
1 การกําหนดเป้าหมาย รายละเอียด และมาตรฐานของการดําเนินงาน
2 การกําหนดวิธีการในการวัดมาตรฐานในการดําเนินงาน รวมทั้งวิธีการที่จะวัดความสําเร็จของงาน
3 การพิจารณาเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานหรือเกณฑ์ที่ได้ตั้งเอาไว้
4 การดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้
33 หากเจ้าพนักงานของรัฐละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิใดตามรัฐธรรมนูญเรื่องหน้าที่ของชนชาวไทย
(1) ให้เจ้าพนักงานหรือผู้บังคับบัญชาชี้แจงแสดงเหตุผล
(2) ให้เจ้าพนักงานดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
(3) ฟ้องร้องศาลยุติธรรม
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 4 หน้า 193 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 74 กําหนดว่า หากเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งได้แก่ บุคคลที่เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ละเลยหรือไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิให้เจ้าพนักงาน ของรัฐหรือผู้บังคับบัญชาชี้แจงแสดงเหตุผล และขอให้เจ้าพนักงานดําเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ตั้งแต่ข้อ 34 – 40 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักธรรมาภิบาล
(2) หลักการมีส่วนร่วมของประชาชน
(3) หลักการประชาธิปไตย
(4) หลักความโปร่งใส เป็นธรรม
(5) หลักการกลไกการเมืองที่ขอบธรรม
34 กลไกประชารัฐ หมายถึงข้อใด
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กลไกประชารัฐ หมายถึง การบริหารจัดการและพัฒนาประเทศที่ใช้หลักการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนของสังคมทั้งฝ่ายการเมือง หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และประชาชน มาร่วมกันดําเนินการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และติดตามประเมินผลเพื่อปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
35 การทําประชาพิจารณ์ สะท้อนถึงหลักการในข้อใด
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หลักการมีส่วนร่วม คือ การทําให้สังคมเป็นสังคมที่ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และร่วมแสดงความเห็นในการตัดสินใจที่สําคัญของสังคม โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทาง ในการเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ การทําประชาพิจารณ์ การแสดงประชามติ การทําประชาคมหมู่บ้าน เป็นต้น
36 กระบวนการเลือกตั้งที่ยุติธรรมมีส่วนช่วยให้เกิดหลักการในข้อใด
ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักการกลไกการเมืองที่ชอบธรรม หมายถึง ความชอบธรรมที่เกี่ยวพันกับความสามารถของระบบที่จะก่อให้เกิดและรักษาไว้ซึ่งความเชื่อที่ว่าการคงอยู่ของระบบเป็น ความพึงพอใจสูงสุดของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจัดให้มีการเลือกตั้งที่ยุติธรรม หรือการให้ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
37 การทําประชาคมหมู่บ้านส่งผลให้เกิดหลักการในข้อใด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ
38 การบริหารรัฐกิจแบบธรรมาภิบาลควรมีลักษณะตามข้อใดมากที่สุด
ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาล หรือหลักธรรมรัฐ หรือหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมีองค์ประกอบที่สําคัญ 6 ประการ ดังนี้
1 หลักนิติธรรม
2 หลักคุณธรรม
3 หลักความโปร่งใส ซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญที่การบริหารราชการควรต้องดําเนินการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
4 หลักการมีส่วนร่วม
5 หลักความรับผิดชอบ
6 หลักความคุ้มค่า
39 การยอมรับฟังเสียงส่วนใหญ่ แต่ไม่ละเลยเสียงส่วนน้อย เป็นไปตามหลักการข้อใด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) หลักการประชาธิปไตยที่ดีจะต้องยอมรับฟังเสียงข้างมากแต่ไม่ละเลยเสียงข้างน้อยและเปิดโอกาสให้ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยสามารถแสดงความคิดเห็น มีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการกําหนดทิศทางของประเทศได้
40 หลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี 6 ประการ คือข้อใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 38 ประกอบ
41 คุณค่าหลัก 2 ประการที่แย้งกันในทัศนะของนักรัฐศาสตร์ คือ
(1) ประสิทธิภาพ VS. ประสิทธิผล
(2) ประสิทธิภาพ VS. ประหยัด
(3) ประสิทธิภาพ VS. ประชาธิปไตย
(4) ประสิทธิผล VS. ประชาธิปไตย
(5) ประหยัด VS. ประชาธิปไตย
ตอบ 3 หน้า 323, 326 – 329, 355 คุณค่าหลัก 2 ประการที่แย้งกันในทัศนะของนักรัฐศาสตร์ในการบริหารประเทศ มีดังนี้
1 คุณค่าที่เน้นประสิทธิภาพของภาครัฐ vs. คุณค่าที่เน้นความเป็นประชาธิปไตยซึ่งคุณค่าอย่างแรกตรงกับแนวคิดของอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) ส่วนคุณค่าอย่างหลังตรงกับแนวคิดของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jeferson)
2 คุณค่าที่เน้นการขยายบทบาทของภาครัฐ VS. คุณค่าที่เน้นการลดบทบาทของภาครัฐ ซึ่งคุณค่าอย่างแรกตรงกับแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์สํานักเคนส์เซียนหรือเศรษฐศาสตร์ แบบเคนส์ (Keynesian School) ส่วนคุณค่าอย่างหลังตรงกับแนวคิดของเศรษฐศาสตร์ แบบนี้โอลิเบอรัลลิสม์ (Neo-Liberalism) และเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก (Neo-Classical School)
42 แนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์สํานักเคนส์เซียน สนับสนุนแนวทางแบบใด
(1) การขยายบทบาทของภาครัฐ
(2) การลดบทบาทและขนาดของภาครัฐ
(3) การรวมอํานาจเข้าสู่ส่วนกลาง
(4) การประหยัดทรัพยากรการบริหาร
(5) การจัดการแบบภาคเอกชน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 41 ประกอบ
43 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีชื่อเรียกได้หลายอย่าง คือ
(1) การจัดการโดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
(2) การจัดการแบบมีส่วนร่วม
(3) การจัดการบนพื้นฐานของการแข่งขันในตลาด
(4) การบริการภาครัฐแนวใหม่
(5) การบริหารจัดการบ้านเมืองอย่างเป็นประชาธิปไตย
ตอบ 3 หน้า 340, (คําบรรยาย) การจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีชื่อเรียกหลายอย่าง ดังนี้
1 การจัดการนิยมใหม่ (Neo-Managerialism)
2 การจัดการบนพื้นฐานของการแข่งขันในตลาด (Market-Based Management)
3 การบริหารรัฐกิจบนพื้นฐานของการแข่งขันในระบบตลาด (Market-Based Public Administration)
4 รัฐบาลแบบเถ้าแก่หรือรัฐบาลแบบวิสาหกิจ (Entrepreneurial Government)
44 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ เน้นคุณค่าหลัก 4 ประการ คือ
(1) ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ประหยัด ประชาธิปไตย
(2) ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ประหยัด ประชาชน
(3) ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ประหยัด คุณภาพ
(4) ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ ประชาธิปไตย คุณภาพ
(5) ประสิทธิผล ประหยัด ประชาธิปไตย คุณภาพ
ตอบ 3 หน้า 330 การจัดการภาครัฐแนวใหม่เน้นคุณค่าหลัก 4 ประการ คือ
1 ประสิทธิผล (Effectiveness หรือ Result)
2 ประสิทธิภาพหรือความคุ้มค่า (Efficiency)
3 ประหยัด (Economy)
4 ความเป็นเลิศหรือคุณภาพ (Excellence หรือ Quality)
45 แนวคิดเชิงอุดมการณ์มีอิทธิพลต่อการจัดการภาครัฐแนวใหม่ คือ
(1) แนวคิดของโทมัส เจฟเฟอร์สัน
(2) แนวคิดแบบเคนส์เซียน
(3) แนวคิดแบบอนุรักษนิยม
(4) แนวคิดแบบสังคมนิยม
(5) แนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่
ตอบ 5 หน้า 330 – 331, 356, 360 361 การจัดการภาครัฐแนวใหม่ได้รับอิทธิพลแนวคิดเชิงอุดมการณ์มาจากแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) โดยแนวคิดการจัดการภาครัฐ แนวใหมถือเป็นแนวคิดหลักที่ใช้ในการปฏิรูปการบริหารภาครัฐของประเทศต่าง ๆ ซึ่งประเทศแรก ที่ริเริ่มนําแนวคิดนี้มาใช้ คือ ประเทศอังกฤษ (England) ในสมัยนางมาร์กาเร็ต แทชเชอร์ (Margaret Thatcher) เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้ถูกนําไปใช้ในการปฏิรูปการบริหารภาครัฐในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ตั้งแต่ข้อ 46 – 50 จงเลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาวิธีระงับข้อพิพาททางเลือก
(1) การประเมินความขัดแย้ง
(2) การประสานความขัดแย้ง
(3) การประนอมข้อพิพาท
(4) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท
(5) อนุญาโตตุลาการ
46 เป็นกระบวนการที่มีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยเหลือให้คู่ความเจรจาต่อรองกันได้สําเร็จ
ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 27) การไกล่เกลี่ยข้อพิพาท คือ กระบวนการระงับข้อพิพาทที่มีบุคคลที่สามเข้ามาช่วยเหลือให้คู่ความเจรจาต่อรองกันได้สําเร็จ ซึ่งกระบวนการนี้ผู้ไกล่เกลี่ย จะเป็นคนกระตุ้นให้คู่ความตกลงกันง่ายขึ้น แต่ไม่มีอํานาจในการกําหนดข้อตกลงให้แก่คู่ความ
47 เป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความสมัครใจของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นสําคัญ ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22 – 23) การประนอมข้อพิพาท คือ กระบวนการที่ผู้ประนอมข้อพิพาทจะพยายามช่วยคู่พิพาทในการแก้ไขความเข้าใจผิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกัน พยายาม – ลดทอนความรู้สึกหวาดระแวงและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ซึ่งเทคนิคนี้จะต้องอาศัยความสมัครใจของคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นสําคัญ
48 มีการตั้งคนกลางขึ้นมาทําหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และผลแห่งข้อวินิจฉัยนี้เรียกว่าเป็นคําชี้ขาดมีผลผูกพันคู่พิพาทให้ต้องปฏิบัติตาม
ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26) อนุญาโตตุลาการ เป็นกระบวนการที่มีการตั้งคนกลางมาทําหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้น และผลแห่งข้อวินิจฉัยนี้ปรากฏในสิ่งที่เรียกว่าเป็นคําชี้ขาดที่มีผลตามกฎหมายผูกพันคู่พิพาทให้ต้องปฏิบัติตาม
49 แนวทางเริ่มต้นจะเริ่มต้นด้วยการประชุมหารือเบื้องต้นระหว่างผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22) การประสานความขัดแย้ง เป็นกระบวนการระงับข้อพิพาทแบบมีส่วนร่วมลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะมีผู้ประสานความขัดแย้งเข้ามาทําหน้าที่ช่วยเหลือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพูดคุยเจรจาประเด็นปัญหาต่าง ๆ โดยเริ่มต้นจากการประชุมหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อหาข้อยุติข้อพิพาทต่อไป
50 เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่กระบวนการสําหรับการระงับข้อพิพาทโดยตรง แต่จะเป็นวิธีการเบื้องต้นในการบริหารจัดการความขัดแย้ง
ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 20 – 21) การประเมินความขัดแย้ง เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่กระบวนการสําหรับการระงับข้อพิพาทโดยตรงแต่จะเป็นวิธีการเบื้องต้นในการบริหารจัดการความขัดแย้ง เพื่อช่วยให้สามารถวางแผนและกําหนดแนวทางการดําเนินการที่เหมาะสมต่อไป
ตั้งแต่ข้อ 51- 55 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) “การบริหารนั้นคือการทํางานให้ลุล่วงสําเร็จ”
(2) “คนสองคนช่วยกันเป็นก้อนหิน”
(3) “การบริหารรัฐกิจประกอบไปด้วยการปฏิบัติทั้งปวง”
(4) “กิจกรรมทั้งปวงของฝ่ายบริหาร”
(5) “เป็นการดําเนินงานที่ครอบคลุมการใช้อํานาจอธิปไตยทั้ง 3 สาขา”
51 คํานิยามในข้อใดเป็นข้อเสนอของ Herbert A. Simon
ตอบ 4 หน้า 6: Herbert A. Simon ได้ให้คํานิยามว่า “การบริหารรัฐกิจ หมายถึง กิจกรรมทั้งปวงของฝ่ายบริหารไม่ว่าจะเป็นการปกครองส่วนกลาง การปกครองมลรัฐ หรือการปกครองส่วนท้องถิ่น
ที่สําคัญคือไม่รวมเอางานของฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการเข้าไว้ด้วย”
52 คํานิยามในข้อใดมาจากคํากล่าวของ Felix A. Nigro
ตอบ 5 หน้า 5 Felix A. Nigro ได้ให้คํานิยามของคําว่า “การบริหารรัฐกิจ” ไว้ดังนี้
1 เป็นพลังของกลุ่มที่ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันในหน่วยงานราชการ
2 เป็นการดําเนินงานที่ครอบคลุมการใช้อํานาจอธิปไตยทั้ง 3 สาขา คือ อํานาจบริหาร อํานาจ นิติบัญญัติ และอํานาจตุลาการ ตลอดจนความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างอํานาจทั้งสามนั้น
3 มีบทบาทสําคัญในการกําหนดนโยบายของรัฐ จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการเมือง
4 มีความแตกต่างในลักษณะที่สําคัญหลายประการจากการบริหารงานธุรกิจของเอกชน
5 มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจเอกชนและบุคคลต่าง ๆ ในการจัดทําบริการในด้านต่าง ๆ ให้แก่ชุมชน
53 คํานิยามในข้อใดมาจากข้อสังเกตของ Leonard D. White
ตอบ 3 หน้า 6 Leonard Co. White ได้ให้คํานิยามว่า “การบริหารรัฐกิจประกอบไปด้วยการปฏิบัติทั้งปวง ซึ่งกระทําโดยมีจุดมุ่งหมายให้นโยบายแห่งรัฐบรรลุผลสําเร็จหรือนํามาบังคับใช้ได้ผล”
54 คํานิยามในข้อใดมาจากข้อเสนอของ Ernest Date
ตอบ 1 หน้า 4 Ernest Date ได้ให้คํานิยามว่า “การบริหารนั้นคือการทํางานให้ลุล่วงสําเร็จไป โดยใช้ให้ผู้อื่นเป็นผู้กระทํา” (Management is getting things done through other people)
55 ข้อใดเป็นข้อสังเกตของ Simon ต่อการบริหาร
ตอบ 2 หน้า 4 Herbert A. Simon ได้ให้คํานิยามว่า “การบริหาร หมายถึง กิจกรรมของกลุ่มบุคคลที่ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ร่วมกัน” โดยได้ตั้งข้อสังเกต ไว้ว่า “การบริหารเปรียบเสมือนคนสองคนช่วยกันเป็นก้อนหินขึ้นภูเขา ซึ่งคนเพียงคนเดียวทําให้ขยับเขยื้อนไม่ได้”
56 ลักษณะของการศึกษาบริหารรัฐกิจมีลักษณะสอดคล้องกับข้อใด
(1) มีความเป็นศาสตร์
(2) มีความเป็นศิลป์
(3) มีความเป็นศาสตร์และศิลป์
(4) ไม่มีความเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 6 – 7, 36, 38 – 39 การศึกษาการบริหารรัฐกิจ (การบริหารราชการ) มีลักษณะที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือ
1 ในฐานะที่มีความเป็นศาสตร์ (Science) คือ การมองในด้านของการเป็นสาขาวิชาการหรือองค์ความรู้ ซึ่งหมายถึงเฉพาะวิชารัฐประศาสนศาสตร์ (Public Administration) อันเป็นวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาแนวความคิดและทฤษฎีการบริหารงานในภาครัฐ เป็นวิชาการที่มีการรวบรวมเป็นระบบ มีหลักการ มีกฎเกณฑ์ที่สามารถศึกษาได้และนํามาถ่ายทอดให้ความรู้กันได้
2 ในฐานะที่มีความเป็นศิลป์ (At) คือ การมองในด้านการปฏิบัติงาน เรียกว่า การบริหารรัฐกิจ (public administration) ซึ่งเป็นการศึกษากิจกรรมของการบริหารงานในภาครัฐ ได้แก่ การใช้ศิลปะในการอํานวยการ การร่วมมือประสานงานกัน การควบคุมคนจํานวนมาก การมีความคิดสร้างสรรค์ การนําทรัพยากรมาใช้ในการบริหาร ตลอดจนการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะของนักบริหารแต่ละคนเข้ามาเป็นเครื่องช่วย
57 ข้อใดแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนของความเป็นศาสตร์ในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี
(1) มีการรวบรวมเป็นระบบ
(2) มีหลักการภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ
(3) มีกฎเกณฑ์ที่สามารถศึกษาได้
(4) นํามาถ่ายทอดต่อสาธารณะ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 56 ประกอบ
58 ข้อใดแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนของความเป็นศิลป์ในการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี
(1) เป็นเรื่องของการอํานวยการ
(2) มีการร่วมมือประสานงานกัน
(3) นําเอาทรัพยากรมาใช้ในการบริหาร
(4) มีความคิดสร้างสรรค์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 56 ประกอบ
59 ข้อใดต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันระหว่างการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยกับการบริหารงานของบริษัทการบินไทย
(1) เป็นกระบวนการปฏิบัติงาน
(2) มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกัน
(3) ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) การบริหารรัฐกิจ (เช่น การบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) และการบริหารธุรกิจ (เช่น การบริหารงานของบริษัทการบินไทย) มีสิ่งที่เหมือนหรือสอดคล้องกัน ดังนี้
1 เป็นกระบวนการบริหารหรือการปฏิบัติงานที่ต้องนําเอาทรัพยากรมนุษย์และสิ่งต่าง ๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
2 ต้องอาศัยพลังความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของกลุ่มในการปฏิบัติงาน
3 มีลักษณะการปฏิบัติงานตามสภาพแวดล้อมขององค์การ เช่น มีความเสี่ยงในการดําเนินงาน
4 ลักษณะการบริหารในแต่ละองค์การจะแตกต่างกันออกไปตามประเภทของงานที่ทํา
60 ข้อใดต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยกับการบริหารงานของบริษัทการบินไทย
(1) ขนาดความรับผิดชอบต่างกัน
(2) มีวัตถุประสงค์ต่างกัน
(3) มีกระบวนการทํางานต่างกัน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 หน้า 12 – 13, 37, 38, (คําบรรยาย) การบริหารรัฐกิจ (เช่น การบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย) และการบริหารธุรกิจ (เช่น การบริหารงานของบริษัทการบินไทย) มีสิ่งที่แตกต่างกัน ดังนี้
1 วัตถุประสงค์ในการดําเนินงาน
2 ขนาดความรับผิดชอบ
3 แหล่งที่มาของทุนในการดําเนินงาน
4 การกําหนดราคาสินค้าและบริการ
5 คู่แข่งขันในการดําเนินงาน
6 การคงอยู่
7 การเป็นไปตามกฎหมาย
8 บทบาทของประชาชนในการกํากับดูแล และความพร้อมในการตรวจสอบจากสาธารณะ(ดูคําอธิบายข้อ 59 ประกอบ)
61 วิชารัฐศาสตร์มีความสัมพันธ์กับวิชาบริหารรัฐกิจอย่างไร
(1) มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อส่งเสริมให้มีการบริหารงานเป็นไปตามนโยบายของฝ่ายการเมือง
(2) มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้องค์ความรู้ในการบริหารงานของภาครัฐ
(3) มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคของการทํางาน
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 20 วิชาบริหารรัฐกิจหรือวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีส่วนสัมพันธ์แนบแน่นกับวิชารัฐศาสตร์ กล่าวคือ วิชารัฐประศาสนศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของวิชารัฐศาสตร์ เนื่องจากวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เป็นวิชาที่มุ่งศึกษาวิจัยเพื่อส่งเสริมให้มีการบริหารงานเป็นไปตามนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือกล่าวอย่างง่ายก็คือ ต้องมีการใช้หลักวิชาในทางรัฐศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองเสียก่อน รัฐประศาสนศาสตร์จึงจะสานต่อ ๆ ไปได้
ตั้งแต่ข้อ 62 – 66 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Frank J. Goodnow
(2) Leonard D. White
(3) W.F. Willoughby
(4) Nicholas Henry
(5) John M. Gaus
62 ใครเป็นผู้เสนอความเห็นว่าทฤษฎีการบริหารรัฐกิจคือทฤษฎีการเมือง ตอบ 5 หน้า 52, 65 John M. Gaus ได้เสนอความเห็นไว้ในหนังสือชื่อ “Reflections on Public Administration” (1947) ว่า “ในยุคของเรานี้ทฤษฎีการบริหารรัฐกิจก็คือทฤษฎีการเมืองนั้นเอง”
63 ใครเป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ Politics and Administration (1900)
ตอบ 1 หน้า 47 Frank J. Goodnow ได้เขียนหนังสือชื่อ “Politics and Administration” (1900) โดยแสดงความเห็นว่า รัฐบาลมีหน้าที่ที่แตกต่างกันอยู่ 2 ประการ คือ
1 หน้าที่ทางการเมือง ได้แก่ การกําหนดนโยบายหรือการแสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐ
2 หน้าที่ทางการบริหาร ได้แก่ การนํานโยบายหรือเจตนารมณ์ของรัฐไปปฏิบัติ
64 หนังสือของใครที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตําราเรียนที่สมบูรณ์เล่มแรกของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ
ตอบ 2 หน้า 47, 65 Leonard D. White ได้เขียนหนังสือชื่อ “Introduction to the Study of Public Administration” (1926) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นตําราเรียนที่สมบูรณ์เล่มแรกของ สาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ โดยเขาเสนอความเห็นว่า การเมืองไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงการบริหาร เพราะการบริหารได้นําตัวเองไปสู่การศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ และวิชาการบริหารรัฐกิจสามารถจะก้าวไปสู่ความเป็นศาสตร์ที่ปลอดจากค่านิยมได้ด้วยความถูกต้องชอบธรรมของตนเอง
65 ใครเป็นผู้วิเคราะห์ว่าพาราไดม์ของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจมี 5 พาราไดส์
ตอบ 4 หน้า 46 – 48, 56 – 58, (คําบรรยาย) Nicholas Henry เป็นผู้ที่นําแนวคิดเกี่ยวกับพาราไดม์ (Paradigm) มาใช้ในการศึกษาพัฒนาการของวิชาการบริหารรัฐกิจ โดยให้ข้อสรุปเกี่ยวกับ เรื่องดังกล่าวไว้ว่า พัฒนาการของวิชาการบริหารรัฐกิจนับตั้งแต่ทศวรรษ 1900 จนกระทั่งถึง ปัจจุบัน (1970 – ?) นั้น อาจจําแนกพาราไดม์ของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจออกได้เป็น 5 พาราไดม์ที่คาบเกี่ยวกัน ดังนี้
พาราไดม์ที่ 1 การบริหารรัฐกิจคือการแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน
พาราไดม์ที่ 2 : การบริหารรัฐกิจคือหลักของการบริหาร
พาราไดม์ที่ 3 : การบริหารรัฐกิจคือรัฐศาสตร์
พาราไดม์ที่ 4 : การบริหารรัฐกิจคือวิทยาการบริหาร
พาราไดม์ที่ 5 : การบริหารรัฐกิจคือการบริหารรัฐกิจ
66 หนังสือของใครที่มีส่วนอย่างสําคัญในการนําเสนอพาราไดม์หลักของการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 48, 65, (คําบรรยาย) W.F. Willoughby เป็นนักวิชาการที่มีส่วนสําคัญในการบุกเบิกหรือนําเสนอพาราไดม์หลักของการบริหาร เขาได้เขียนตําราการบริหารรัฐกิจที่สมบูรณ์ที่สุดชื่อ “Principles of Public Administration” (1927) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นตําราเรียนที่สมบูรณ์ เล่มที่สองของสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ และได้แสดงความเห็นว่า หลักต่าง ๆ ของการบริหาร ที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนนั้นเป็นสิ่งที่สามารถค้นพบได้ ซึ่งทําให้แนวความคิดนี้ได้รับการยอมรับเป็นพาราไดม์ที่ 2 (พาราไดม์หลักของการบริหาร) ของวิชาการบริหารรัฐกิจ
ตั้งแต่ข้อ 67 – 72 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Robert T. Golembiewski
(2) Woodrow Wilson
(3) Herbert A. Simon
(4) Robert A. Dani
(5) Luther H. Gulick
67 ใครเป็นผู้เสนอความเห็นว่าพาราไดส์เบ็ดเสร็จไม่ใช่สิ่งจําเป็นสําหรับสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ
ตอบ 1 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 75 – 76) Robert T. Gotembiewski ได้เสนอความเห็นว่า พาราไดส์เบ็ดเสร็จไม่ใช่สิ่งจําเป็นสําหรับสาขาวิชาการบริหารรัฐกิจ และวิชาการบริหารรัฐกิจก็ไม่จําเป็นที่จะต้องกําหนดขึ้นมาในรูปของพาราไดส์เบ็ดเสร็จแต่ควรจะกําหนดขึ้นมาในรูปของมินิพาราไดม์หลาย ๆ มินิพาราไดม์จะดีกว่า
68 ใครเป็นผู้วิจารณ์ว่าหลักการบริหารรัฐกิจเป็นเพียงแค่ภาษิตทางการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 52 Herbert A. Simon ได้เสนอความเห็นไว้ในบทความเรื่อง “The Proverbs of Administration” (1946) ว่า หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของการบริหารรัฐกิจที่ได้กําหนดขึ้นมานั้นใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติ จะเป็นได้ก็เพียงแค่ภาษิตทางการบริหาร
69 ใครเป็นผู้เขียนบทความเสนอว่าการบริหารรัฐธรรมนูญยากยิ่งกว่าการบัญญัติรัฐธรรมนูญ
ตอบ 2 หน้า 31, 46, 64 – 65, (คําบรรยาย) Woodrow Wilson บิดาของวิชาการบริหารรัฐกิจเป็นผู้ให้กําเนิดคําว่า “Public Administration” และเป็น “ต้นกําเนิดของแนวความคิด เกี่ยวกับเรื่องการแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน” ได้เขียนบทความเรื่อง “The Study of Administration” (1887) และเสนอความเห็นว่า การบริหารรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งบทความดังกล่าวยังได้รับการยอมรับจาก
นักวิชาการว่าเป็น “สูติบัตร” ของวิชาการบริหารรัฐกิจอีกด้วย
70 ใครเป็นผู้เสนอว่าหัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่สําคัญ 7 ประการ โดยสรุปเป็นคําย่อว่า POSDCORB
ตอบ 5 หน้า 49 – 50, 64 – 65, (คําบรรยาย) Luther H. Gulick และ Lyndall Urwick ได้เสนอว่า หน้าที่สําคัญของหัวหน้าฝ่ายบริหารมี 7 ประการ โดยสรุปเป็นคําย่อว่า POSDCORE ซึ่งประกอบด้วย
1 P = Planning (การวางแผน)
2 O = Organizing (การจัดองค์การ)
3 S = Staffing (การจัดบุคคลเข้าทํางาน)
4 D = Directing (การอํานวยการ)
5 Co – Coordinating (การประสานงาน)
6 R = Reporting (การรายงานผลการปฏิบัติงาน)
7 B = Budgeting (การจัดทํางบประมาณ)
71 ใครเป็นต้นกําเนิดแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการแยกการบริหารกับการเมืองออกจากกันเป็นสองส่วน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 69 ประกอบ
72 ใครเป็นผู้วิเคราะห์ว่าหลักการบริหารรัฐกิจไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนได้
ตอบ 4 หน้า 53, (คําบรรยาย) Robert A. Dahl ได้เสนอความเห็นไว้ในบทความเรื่อง “The Science of Public Administration : Three Problems” (1947) ว่า การพัฒนา หลักเกณฑ์ที่เป็นสากลของการบริหารรัฐกิจนั้นมีอุปสรรคขัดขวางที่สําคัญ 3 ประการ คือ ค่านิยมที่แตกต่างกัน ความแตกต่างกันในบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล และกรอบทางสังคม ที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังได้วิเคราะห์อีกว่า หลักการบริหารรัฐกิจจะไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนได้
73 Personnel Administration หมายถึงข้อใด
(1) การบริหารรัฐกิจ
(2) การบริหารธุรกิจ
(3) การบริหารงานบุคคล
(4) การบริหารทรัพยากรมนุษย์
(5) การบริหารคน
ตอบ 3 หน้า 148 – 150, 171 – 172 การบริหารงานบุคคล ในภาษาอังกฤษจะใช้คําว่า “Personnel Administration” หรือ “Personnel Management” ซึ่งหากจะให้มีความหมายว่าเป็น การบริหารงานบุคคลในระบบราชการหรือภาครัฐโดยเฉพาะก็จะใช้คําว่า “Public Personnel Administration” และหากจะให้มีความหมายเฉพาะถึงการบริหารงานบุคคลในภาคธุรกิจเอกชน ก็จะใช้คําว่า “Business Personnel Management” โดยการบริหารงานบุคคลทั้งในระบบ ราชการและภาคธุรกิจเอกชน มีความหมายดังนี้
1 เป็นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคลในองค์การ
2 เป็นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกําหนดนโยบายเกี่ยวกับบุคคล นับตั้งแต่การสรรหาและคัดเลือกบุคคลเข้ามาปฏิบัติงาน การดูแลและบํารุงรักษา จนกระทั่งพ้นไปจากการปฏิบัติงาน
3 เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารระบบราชการ (Public Administration) ฯลฯ
74 ข้อใดเป็นคําอธิบายความหมายของ Personnel Administration
(1) เป็นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรบุคคล
(2) เป็นเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารระบบราชการ
(3) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสรรหา และคัดเลือกบุคคล
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 73 ประกอบ
ตั้งแต่ข้อ 75 – 80 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) หลักการจ่ายค่าตอบแทนแบบรายชิ้น
(2) หลักการจ้างงานตลอดชีพ
(3) หลักการตอบสนองความต้องการ 5 ขั้น
(4) หลักการบริหารภายใต้ปทัสถานกลุ่ม
(5) หลักการบริหารของผู้บริหาร 14 ประการ
75 ข้อใดจัดเป็นข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Max Weber
ตอบ 2 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 226), (คําบรรยาย) Max Weber ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคล ดังนี้
1 การแต่งตั้ง พิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตําแหน่งบุคคลในการปฏิบัติงานต้องมีการจัดไว้อย่างเป็นระเบียบและอยู่บนพื้นฐานแห่งการตกลงกัน
2 การเลือกสรรบุคคลเข้าทํางานจะต้องพิจารณาในด้านความสามารถและหลักการแบ่งงานตามความชํานาญเฉพาะอย่าง
3 มีการจ้างงานตลอดชีพ
4 มีการกําหนดค่าตอบแทนในรูปเงินประจําสําหรับผู้ปฏิบัติงาน ฯลฯ
76 ข้อใดจัดเป็นข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Frederick Winslow Taylor
ตอบ 1 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 227 – 228) Frederick Winslow Taylor ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคล ดังนี้
1 ต้องมีวิธีการคัดเลือกและพัฒนาคนงานโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
2 ต้องมีความประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีในการใช้เครื่องมือและวิธีการที่ดีที่สุดในการบริหารกับการคัดเลือกและฝึกฝนพนักงาน
3 ต้องมีการนําระบบการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าจ้างแบบรายชิ้น (Piece Rate System) มาใช้ในการจูงใจคนงาน ฯลฯ
77 ข้อใดจัดเป็นข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ Henri Fayol
ตอบ 5 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 182 – 183, 230) Henri Fayol ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลว่า ผู้บริหารควรจะยึดถือหลักเกณฑ์ในการบริหาร 14 ประการ (14 Principles of Management) เช่น การแบ่งงานกันทํา การมีเอกภาพในการบังคับบัญชา การยึดมั่นในความยุติธรรมและเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น รวมทั้งจะต้องมีคุณลักษณะ พร้อมด้วยความสามารถทางร่างกาย จิตใจ ไหวพริบ การศึกษาหาความรู้ เทคนิคในการทํางานและประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วย
78 ข้อใดจัดเป็นข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ George Elton Mayo
ตอบ 4 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 189 – 190, 230 – 231), (คําบรรยาย) George Elton Mayo เป็นผู้นําแนวคิดหรือทฤษฎีแบบมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations Approach) มาเผยแพร่ในการบริหารองค์การ โดยได้ทําการทดลองที่เรียกว่า “Hawthorne Experiments” และพบว่า
1 ขวัญของคนงานเป็นสิ่งสําคัญและจะส่งผลต่อการปฏิบัติงาน
2 รางวัลทางจิตใจ เช่น รางวัลข้าราชการหรือเกษตรกรดีเด่น การได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์รวมถึงกําลังใจและการได้รับการยอมรับ จะให้ความสุขในการปฏิบัติงานและมีผลกระตุ้นในการทํางานมากกว่ารางวัลทางเศรษฐกิจ
3 ปทสถานทางสังคมของกลุ่มมีผลต่อประสิทธิภาพและปริมาณของงาน
4 ภาวะผู้นํา (Leadership) จะมีบทบาทสําคัญในการกําหนดบรรทัดฐานของกลุ่มภายในองค์การ ฯลฯ
79 ข้อใดจัดเป็นข้อเสนอในการบริหารงานบุคคลของ A.H. Maslow ตอบ 3 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 340 – 341), (คําบรรยาย) A.H. Maslow ได้เสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลว่า ผู้บริหารจะต้องรู้และเข้าใจถึงความต้องการของคน ในองค์การ ซึ่งมีลักษณะเป็นลําดับขั้นจากต่ําสุดไปสูงสุดตามทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการ (Hierarchy’s Needs Theory) ทั้งนี้เมื่อความต้องการในลําดับต้นได้รับการตอบสนองแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการในลําดับขั้นที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งความต้องการทั้ง 5 ลําดับขั้น ประกอบด้วย
1 ความต้องการทางกายภาพหรือชีววิทยา (Physiological Needs หรือ Biological Needs)
2 ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Security Needs หรือ Safety Needs)
3 ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs หรือ Love feeds)
4 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในหน้าที่การงาน (Esteem Needs หรือ Ego Needs Status Needs)
5 ความต้องการที่จะได้รับความสําเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองตั้งไว้ (Self-Actualization Needs หรือ Self-Realization Needs)
80 ข้อใดคือหลักการในการจูงใจคนงานของ Frederick Winslow Taylor
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 76 ประกอบ
81 การจัดเรื่องแรงงานสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) การประเมินผลการปฏิบัติงานของคนในองค์การ
(2) การวางแผนกําลังคน
(3) การจัดการเรื่องสหภาพแรงงาน
(4) การฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 3 หน้า 172, (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 249), (คําบรรยาย) แรงงานสัมพันธ์ (Labor Relation) หรืออาจจะเรียกได้ว่า พนักงานสัมพันธ์ (Employee Relation) หรือ อุตสาหกรรมสัมพันธ์ (Industrial Relation) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายจัดการกับคนงานหรือสหภาพแรงงานที่เกี่ยวกับสิทธิและผลประโยชน์ในการทํางาน เช่น การเจรจาต่อรองร่วมกัน การบริหารแรงงานให้เป็นไปตามสัญญาการว่าจ้างแรงงาน เป็นต้น
82 ข้อใดไม่จัดว่าเป็นบทบาทและหน้าที่ของนักบริหารงานบุคคล
(1) คิดค้นวิธีการในการระบุตําแหน่ง
(2) กําหนดวิธีการในการดึงดูดความสนใจในการสมัครงาน
(3) ระบุความต้องการของตลาดเกี่ยวกับสินค้า
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกเฉพาะข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 172, (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 246) บทบาทและหน้าที่ของนักบริหารงานบุคคล มีดังนี้
1 คิดค้นวิธีการในการกําหนดหรือระบุตําแหน่งในองค์การ
2 เป็นผู้กําหนดวิธีการในการดึงดูดความสนใจในการสมัครงาน การคัดเลือก และการบรรจุ พนักงาน
3 เป็นผู้นําในการพัฒนาวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างและเพิ่มสัมพันธภาพอันดีระหว่าง พนักงานและองค์การ
4 ให้คําปรึกษา เสนอแนะ และช่วยเหลือฝ่ายบริหารในด้านของการวิเคราะห์ความต้องการ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม และด้านวิชาการต่าง ๆ ในองค์การ
83 ข้อใดไม่จัดว่าเป็นภาระหน้าที่ของการจัดการบุคคล
(1) การกําหนดนโยบาย
(2) การวางแผนกําลังคน
(3) การวัดประเมิน
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ ไม่มีข้อใดถูก (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 247 – 248) ภาระหน้าที่ของการจัดการบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
1 การกําหนดนโยบาย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และกลยุทธ์
2 การวางแผนกําลังคนหรือทรัพยากรมนุษย์
3 โครงสร้างและกระบวนการบริหารงานบุคคล
4 การวัดและประเมินระบบการจัดการบุคคล
84 ข้อใดเป็นสาระสําคัญของนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 12 กันยายน 2557
(1) จัดระเบียบสังคม สร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม
(2) เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมที่มีความหลากหลาย
(3) การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษา
(4) ปรับปรุงและบูรณาการระบบการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ
(5) ถูกต้องทั้งหมด
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สาระสําคัญของนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 มีดังนี้
1 การรักษาความมั่นคงของรัฐและการต่างประเทศ เช่น การเร่งแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
2 การลดความเหลื่อมล้ําของสังคมและการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ เช่น การจัดระเบียบสังคม สร้างมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทั่วไป โดยใช้ค่านิยมหลัก 12 ประการ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมที่มีความหลากหลายเนื่องจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
3 การศึกษาและเรียนรู้ การทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เช่น การจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษาให้สอดคล้องกับความจําเป็นของผู้เรียนและลักษณะพื้นที่ของสถานศึกษา การปรับปรุงและบูรณาการระบบการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มโอกาสแก่ผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส ฯลฯ
85 กิจกรรมในการบริหารงานคลังสาธารณะ ครอบคลุมด้านใด
(1) การหารายได้ของรัฐ
(2) การบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณ
(3) การบริหารหนี้สาธารณะ
(4) การบริหารนโยบายการเงิน
(5) ถูกหมดทุกข้อ
ตอบ 5 (หนังสือ POL 2300 เลขพิมพ์ 52135 หน้า 260 – 263), (คําบรรยาย) การศึกษาวิชาการบริหารงานคลังสาธารณะ (Public Finance Administration) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ ขอบเขตหน้าที่และกิจกรรมในการบริหารงานคลังสาธารณะของรัฐบาล ดังนี้
1 ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่และการบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินของรัฐบาล
2 ศึกษาการตัดสินใจด้านการคลังและการใช้จ่ายของรัฐบาล
3 ศึกษาอํานาจหน้าที่ในการหารายได้หรือการจัดหาทรัพยากรเพื่อรองรับบทบาทหน้าที่ของรัฐบาล เช่น การจัดเก็บภาษีอากร การบริหารหรือก่อหนี้สาธารณะ เป็นต้น
4 ศึกษาการบริหารหรือการดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของรัฐบาลให้มีความเหมาะสมตามสถานการณ์
86 ขอบเขตหน้าที่ของการบริหารงานคลังสาธารณะครอบคลุมประเด็นอะไรบ้าง
(1) บทบาทหน้าที่ของรัฐบาล
(2) การจัดหาทรัพยากรเพื่อรองรับบทบาทหน้าที่ของรัฐ
(3) การดําเนินนโยบายทางเศรษฐกิจการคลังให้เหมาะสม
(4) การตัดสินใจในด้านการคลังและการใช้จ่าย
(5) ถูกต้องทั้งหมด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 85 ประกอบ
87 ข้อใดไม่ใช่หลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือทฤษฎี Classical Economics
(1) ทรัพยากรมีล้นเหลือ
(2) ประสิทธิภาพในการผลิตเป็นเป้าหมายหลัก
(3) ข้อมูลข่าวสารมีจํากัดและเป็นต้นทุนที่สําคัญ
(4) ความต้องการของมนุษย์มีไม่จํากัด
(5) การสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดทางเศรษฐกิจ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) หลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือทฤษฎี Classical Economics มีดังนี้
1 ความต้องการของมนุษย์มีไม่จํากัดและไม่สิ้นสุด ขณะที่ทรัพยากร เช่น ข้อมูลข่าวสารนั้นมีจํากัดและถือเป็นต้นทุนที่สําคัญ
2 การมุ่งสร้างอรรถประโยชน์สูงสุด ในทางเศรษฐกิจ
3 เน้นประสิทธิภาพในการผลิตเป็นเป้าหมายหลักในการจัดการเศรษฐกิจ
4 ความเชื่อในเรื่องการแข่งขันโดยกลไกตลาด ฯลฯ
88 ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) จังกอบ คือ ภาษีชนิดหนึ่ง เช่น ภาษีปากเรือ
(2) อากร คือ ค่าธรรมเนียมจากสิงธรรมชาติหรือที่สร้างขึ้น
(3) ส่วย คือ เงินที่ข้าราชการเรียกเก็บจากชาวบ้านอย่างถูกต้อง
(4) ฤชา คือ เงินทดแทนการเกณฑ์แรงงานไพร่
(5) ไม่มีข้อใดที่ไม่ถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 214, (คําบรรยาย) การจัดเก็บภาษีอากรในสมัยกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า “ส่วยสาอากร” แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1 จังกอบ คือ ภาษีชนิดหนึ่ง เช่น ภาษีปากเรือ
2 อากร คือ ค่าธรรมเนียมที่รัฐเก็บจากสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติหรือสิ่งที่สร้างขึ้น เช่น อากรรังนกนางแอ่น อากรมหรสพ
3 ส่วย คือ ของที่เรียกเก็บจากท้องถิ่นพื้นเมืองเพื่อเป็นค่าภาคหลวง เช่น เงินช่วยเหลือราชการ
4 ฤชา คือ เงินทดแทนการเกณฑ์แรงงานไพรที่ผู้ครอบครองไพร่ทดแทนให้หลวง
89 ข้อใดไม่ใช่เหตุผลที่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์
(1) เจ้าภาษีนายอากรมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
(2) อํานาจในการจัดเก็บภาษีอากรอยู่ในอัตวิสัยของเจ้านายบางคน
(3) ระบบบัญชีของกรมพระยาคลังไม่เป็นระบบระเบียบ
(4) เกิดวิกฤติเงินแผ่นดิน
(5) การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงโปรดให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒนในปี พ.ศ. 2416 ด้วยเหตุผล 4 ประการ คือ 1 เจ้าภาษีนายอากรมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม
2 อํานาจในการจัดเก็บภาษีอากรอยู่ในอัตวิสัยของเจ้านายบางคน
3 ระบบบัญชีของกรมพระยาคลังไม่เป็นระบบระเบียบ
4 เกิดวิกฤติเงินแผ่นดินไม่พอใช้ในราชการ
90 ข้อใดที่มิใช่เงื่อนไขสําคัญของภาษีอากร
(1) เป็นการบังคับจัดเก็บจากรัฐ
(2) การที่รัฐต้องตอบแทนโดยตรงแก่ผู้ชําระภาษี
(3) เป็นเครื่องมือหลักในการหารายได้ของรัฐ
(4) เพื่อนําเงินไปใช้เพื่อกิจการสาธารณะ
(5) ยังสรุปไม่ได้
ตอบ 2 หน้า 216 ภาษีอากร เป็นเครื่องมือหลักในการหารายได้ของรัฐ ซึ่งรัฐบังคับจัดเก็บจากบุคคลผู้มีรายได้เพื่อใช้ในการบริหารประเทศและกิจการสาธารณะ โดยผู้ชําระภาษีจะได้รับ ผลประโยชน์ตอบแทนทางอ้อม เพราะว่ารัฐนําเงินภาษีไปใช้จ่ายในการทํานุบํารุงประเทศอันเป็นสาธารณประโยชน์ต่อคนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศ
91 การบริหารงานคลังมีสาระครอบคลุมเรื่องใดบ้าง
(1) นโยบายการเงิน
(2) นโยบายการคลัง
(3) นโยบายเศรษฐกิจมหภาค
(4) นโยบายหนี้สาธารณะ
(5) ถูกหมดทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 85 ประกอบ
92 หน่วยงานหลักที่มีอํานาจหน้าที่การบริหารงานคลังด้านนโยบาย
(1) กระทรวงการคลัง
(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(4) สํานักงบประมาณ
(5) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) หน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่และดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลัง มีดังนี้
1 กระทรวงการคลัง ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลังด้าน “นโยบายการคลัง” และการบริหารงานคลัง “ภาครายรับ” เช่น การบริหารการจัดเก็บภาษีอากร การกํากับดูแลรายได้จากการนําเข้าและส่งออก การบริหารหนี้สาธารณะ
2 ธนาคารแห่งประเทศไทย ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลังด้าน “นโยบายการเงิน”
3 สํานักงบประมาณ ดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลัง “ภาครายจ่าย” คือ การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน
93 หน่วยงานที่กํากับดูแลรายได้จากการนําเข้าและส่งออก
(1) กระทรวงการคลัง
(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(4) สํานักงบประมาณ
(5) สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 92 ประกอบ
94 ข้อใดเป็นลักษณะสําคัญขององค์การ
(1) วัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
(2) มีลักษณะคงที่
(3) มีลักษณะชั่วคราว
(4) มีผู้บริหารสูงสุดเป็นผู้ตัดสินใจ
(5) ลักษณะงานมีความแตกต่างกัน
ตอบ 1 หน้า 114 ลักษณะสําคัญขององค์การ มี 3 ประการ คือ
1 มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
2 มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เข้ามาปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
3 มีการพัฒนาโครงสร้างให้เหมาะสม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถปฏิบัติงานได้สําเร็จ
95 ข้อใดเป็นความแตกต่างระหว่างองค์การแบบเดิมและองค์การแบบใหม่ (1) แผนภูมิแสดงโครงสร้างองค์การ
(2) ความยืดหยุ่นในการทํางาน
(3) การจัดแผนกงาน
(4) ระบบย่อยในองค์การ
(5) จํานวนคนในองค์การ
ตอบ 2
96 องค์การแบบมีชีวิตมีลักษณะอย่างไร
(1) ช่วงการควบคุมแคบ
(2) รวมอํานาจในการบริหาร
(3) มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย
(4) ระดับชั้นการบังคับบัญชามาก
(5) ความเป็นทางการสูง
ตอบ 3 หน้า 133, 140 – 141 องค์การแบบมีชีวิต (Organic Organization) มีลักษณะดังนี้
1 มีความยืดหยุ่น เน้นความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
2 ช่วงการควบคุมกว้าง
3 มีระเบียบกฎเกณฑ์น้อย
4 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานเป็นแบบแนวนอน แนวทแยง และแบบเครือข่าย
5 มีรายละเอียดของหน้าที่ ความรับผิดชอบ และวิธีปฏิบัติงานน้อย
6 มีความเป็นทางการน้อย
7 กระจายอํานาจในการบริหารและตัดสินใจ
97 องค์การแบบผสมมีลักษณะอย่างไร .
(1) เป็นองค์การแบบอาสาสมัคร
(2) มีการจ้างเหมาบุคคลภายนอกเข้ามาปฏิบัติงาน
(3) มีความคล่องตัวในการตัดสินใจและการปฏิบัติงาน
(4) มีโครงสร้างหลายรูปแบบผสมกัน
(5) เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฏิบัติงานตามแนวดิ่ง
ตอบ 4 หน้า 125, 141 องค์การแบบผสม (Hybrid Organization) เป็นองค์การที่มีการใช้โครงสร้างองค์การหลาย ๆ รูปแบบผสมกัน เพื่อตอบสนองการปฏิบัติงานที่มีความสลับซับซ้อน โดยใช้ประโยชน์จากลักษณะเด่นของรูปแบบโครงสร้างองค์การแต่ละแบบ
98 องค์การแห่งการเรียนรู้ควรมีวินัยอะไรบ้าง
(1) การคิดอย่างเป็นระบบ
(2) การมีภาวะผู้นําที่โดดเด่น
(3) การปฏิบัติงานที่ไม่มีขอบเขต
(4) วัฒนธรรมการทํางานแบบแข่งขัน
(5) ไม่เน้นการทํางานเป็นทีม
ตอบ 1 หน้า 130, 138 Peter Senge เสนอว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ (The Learning Organization) จะต้องประกอบด้วย วินัย 5 ประการ คือ
1 ความรอบรู้แห่งตน (Personal Mastery)
2 แบบแผนของความคิด (Mental Model)
- การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม (Team Learning)
4 การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (Shared Vision)
5 การคิดอย่างเป็นระบบ (Systems Thinking)
99 สายการบังคับบัญชา คืออะไร
(1) การกําหนดจํานวนผู้ใต้บังคับบัญชา
(2) การกําหนดอํานาจการตัดสินใจในองค์การ
(3) การกําหนดอํานาจหน้าที่ลดหลั่นจากระดับสูงมายังระดับล่าง
(4) การจัดแบ่งงานในองค์การ
(5) ความมีมาตรฐานของงาน
ตอบ 3 หน้า 120 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) หมายถึง สายการกําหนดอํานาจหน้าที่ที่ลดหลั่นกันลงมาจากระดับสูงลงมายังระดับล่าง และกําหนดการรายงานผลการปฏิบัติงาน โดยสายการบังคับบัญชาจะชี้ให้เห็นว่าผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนจะขึ้นตรงต่อใคร หรือจะต้องรายงาน ต่อใคร การจัดสายการบังคับบัญชาจึงมีความเกี่ยวข้องกับอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนในองค์การ รวมถึงเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command)
100 ข้อใดเป็นประเภทขององค์การแบบเครือข่าย
(1) เครือข่ายแบบวัฒนธรรม
(2) เครือข่ายแบบห่วงโซ่อุปทาน
(3) เครือข่ายแบบแมทริกซ์
(4) เครือข่ายแบบโครงการ
(5) เครือข่ายแบบเรียบง่าย
ตอบ 2 หน้า 126 127 ประเภทขององค์การแบบเครือข่าย มี 6 ประเภท คือ
1 เครือข่ายแบบการทําสัญญาในการให้บริการ
2 เครือข่ายแบบห่วงโซ่อุปทาน
3 เครือข่ายแบบเฉพาะกิจ
4 เครือข่ายแบบตัวแทนการให้บริการ
5 เครือข่ายแบบศูนย์เผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ
6 เครือข่ายแบบศูนย์ประสานงานประชาชน