การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(5) Socialism
(4) Capitalism
ตอบ 2 หน้า 8 (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเองซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

Advertisement

2. การปกครองที่อํานาจอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 3(คําบรรยาย) การปกครองแบบเผด็จการ (Dictatorship) คือ การปกครองที่อํานาจอยู่ที่ บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาส ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

3. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

4.การปกครองที่มีการการันตีเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ เคารพสิทธิมนุษยชน มีการแบ่งแยก อํานาจของผู้ปกครอง คือหัวใจสําคัญของการปกครองระบอบใด
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่มี การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพ ในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยกอํานาจของผู้ปกครองด้วย

5. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Sociatism
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

6. นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนใดที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 หน้า 39, 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ได้เสนอ แนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะ ไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้หรือไม่ ดังที่ล็อค ได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับ ความไว้วางใจที่ได้รับมอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็น ผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจ จากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

7. นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวาคนใดที่เชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวา ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) โดยมีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Wilt) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจ
ในการปกครองโดยตรงผ่านการออกเจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

8.นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อํานาจตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des tois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

9.“เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 หน้า 77 – 78 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) มาใช้ในการประกาศเอกราช ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้า ผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูก สถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้ การปกครอง…. แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลง ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะ ล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

10. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

11. “เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิม อย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียว แล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่ สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

12. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสคนใดที่เสนอว่าประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่นแต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง

13.“Man is born free but everywhere is in chains” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4หน้า 137, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ใน บรรทัดแรกของหนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน (Man is born free but everywhere is in chains)… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจนเป็นการละทิ้งสิทธิและ หน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

14. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐบาลต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองสกุลเสรีนิยม เสนอว่า รัฐบาล ต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี

15. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า ธรรมชาตินั้นกําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณและแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency” ตัวอย่างเช่น สุนัขหิวก็กิน อยากขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้

16. “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึง เรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น… และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม” เป็นคํากล่าวของ
นักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

17. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “ผู้ปกครองปรารถนาจะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น
(1) John Stuart Millt
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 128 – 129, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักปรัชญา การเมืองชาวอิตาเลียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” เขาได้ เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า “หากผู้ปกครองปรารถนา จะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น”

18. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” ข้อความดังกล่าว
เป็นแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

19. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตาม จะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรมไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิดอย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 142 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า เสรีภาพคือคุณสมบัติ ที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตามจะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรม ไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิด อย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป

20. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเป็นทาสบางเวลา และเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้นก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 142, 144, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20 สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้น ถูกกําหนดให้มีเสรีภาพ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะ เป็นทาสบางเวลาและเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้น ก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ

21. ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 2 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้น ควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่ง ที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใคร ก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

22. งานเขียนชิ้นสําคัญที่เชื่อในเรื่องของการที่อํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

23. ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ ไม่เกี่ยวกับจํานวนของผู้ปกครอง แต่ควรพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของ ผู้ปกครองว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 4 หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Politics” ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตามทัศนะ ของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อ ประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

24. ผู้ปกครองต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษาอํานาจไว้ให้ได้
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 5 หน้า 128 – 130, 132 – 133, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า ผู้ปกครองที่ดีนั้นจะต้องทําทุกอย่าง เพื่อรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ให้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียว ให้คน ๆ นั้นมีความสามารถในการรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ

25. งานเขียนชิ้นสําคัญที่กล่าวถึงความยุติธรรม ความอยุติธรรม หลังการจําคุกของโสเครตีส
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 1 หน้า 61, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณโดยเพลโต (Plato) ในงานชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการสนทนาระหว่างโสเครตีสและไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิท เกี่ยวกับความยุติธรรม ความอยุติธรรม และการตอบสนองที่เหมาะสมต่อความอยุติธรรม หลังจากการจําคุกของโสเครตีส

26.ชีวิตเป็นของเรา เวรกรรมไม่มี มนุษย์เป็นคนกําหนดชีวิตตัวเอง วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2หน้า 142 – 143 ของ ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ได้อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของ เขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ชาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระหมายความว่าอย่างไร เรา หมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเอง ปรากฏตัวในโลก และนิยามตัวเอง ภายหลัง…. ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย เขาจะเป็น อะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น…. เนื่องจากมนุษย์คิดสร้าง ตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการสร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง…”

27. มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัว มากับมนุษย์ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 144 – 145, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) มองว่า การที่มนุษย์ มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาป ให้มีเสรีภาพ (Man is condemned to be free)… เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ เขาก็ต้อง รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะไม่ยอมรับในอํานาจ แห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ำเชี่ยวกรากที่นํามนุษย์ให้ กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

29. เมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณ ในการเลี้ยงดูได้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 139 – 140, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีแกนกลางอยู่ที่เสรีภาพ ด้วยเหตุนี้เองการรวมตัวกันของครอบครัวต้องเกิดจาก การตกลงยินยอมของพ่อแม่ลูก การยินยอมนี้หมายความว่าแต่ละคนเลือกที่จะอยู่รวมกันหรือ เลือกที่จะแยกกันอยู่ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ การรวมตัวกันต้องเป็นไปโดยเสรีและเกิดจากการยินยอม ระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่ พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณได้ เพราะการทวงบุญคุณมีค่าเท่ากับการบังคับ และเป็นการละเมิดเสรีภาพ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันเป็นการละเมิดความเป็นมนุษย์

30.Existentialism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

31. ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

32. เสรีภาพมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนจํานวนมากที่สุด วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 116, 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้น มีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างว่าเสรีภาพนี้มีที่มาจาก สิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ซึ่งแนวคิดของมิลล์นี้เป็นไปตาม หลักการของประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งคํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก โดยนักคิดที่ยึดถือหลักการประโยชน์นิยมนั้นจะมีหลักการพื้นฐาน ร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวน มากที่สุด” หรือถือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก”

33.Utilitarianism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วยวิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษย์ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

35. ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ (On Liberty) เป็นงานเขียนของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 146 – 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) เขาได้เขียนงาน ชิ้นสําคัญออกมาในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty)

36. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐาน
หรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เสนอว่า เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่าน การจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน จนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐานหรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้น เสรีภาพตามความคิดของเบิร์กจึงเป็นเสรีภาพที่สังคมหรือรัฐเป็นผู้กําหนดขึ้นมา ไม่ใช่เสรีภ ที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ตามแบบความคิดของพวกเสรีนิยม

37.“การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้…”

38. ถ้าอยากจะเข้าใจถึงธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ ในสภาวะธรรมชาติ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 136 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) อธิบายว่า ถ้าอยากจะเข้าใจ… ธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ในสภาวะ ธรรมชาติ (State of Nature) หรือในสภาวะก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาอยู่รวมกันเป็นสังคมหรือรัฐเนื่องจากรุสโซมองว่าถ้าเกิดทําการพิจารณามนุษย์จากในสภาวะที่เป็นสังคมแล้วก็จะไม่สามารถพบธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เข้ามาอยู่รวมกัน เมื่อนั้น ธรรมชาติที่ดีของมนุษย์ก็จะสูญหายไป ดังนั้นเองถ้าหากต้องการที่จะทราบว่าธรรมชาติของ มนุษย์เป็นเช่นไร หรืออีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณา มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ

39. “ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์เราอาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะด่วนปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่ง” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 151 – 152, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) กล่าวว่า ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์อาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ ถูกต้องหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่งเพราะถ้าความคิดเห็นที่แสดงออกมานั้นเป็นสิ่งที่ผิดในท้ายที่สุด คนก็จะไม่เชื่อถือ แต่ถ้าเกิดความเห็นนั้นถูกต้องขึ้นมาภายหลังเราก็จะเสียโอกาสที่จะได้ทราบ ความจริงไป ทั้งนี้มิลล์ได้ยกตัวอย่างเรื่องโสเครตีส (Socrates) และพระเยซู (Jesus) มาเป็น ข้อสนับสนุนความคิดของตน

40. ผู้ปกครองจะต้องมีคุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ และความมีไหวพริบ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 131 – 132 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เห็นว่า ผู้ปกครองจะต้องมี คุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ (Prudenzia/Prudence) และความมีไหวพริบ (Astuzia/Astuteness)

41. รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 หน้า 187 – 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอเมริกันเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” เขาเห็นว่ารัฐไม่ควร เข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย โดยเฉพาะเรื่องการกระจายทรัพยากร เพราะ มองว่าการตัดสินใจต่าง ๆ ในสังคมควรจะเป็นไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องมีการกํากับหรือวางแผน อย่างตายตัวจากรัฐ เหตุผลที่โนซิคเสนอเช่นนี้ก็เนื่องมาจากเขามีฐานคิดที่ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับทรัพยากรมาด้วยความชอบธรรมแล้ว รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิที่จะมาพรากเอา ทรัพย์สินนั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

42. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง Anarchy, State and Utopia
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. นักปรัชญาการเมืองคนใดไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักปรัชญาการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม เขาได้เขียนหนังสือว่าด้วยทุน (Das Kapital) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งมีเนื้อหา เป็นการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่เน้นแต่เรื่องของกําไร-ขาดทุน การจ้างงาน การสะสมทุน กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงาน ฯลฯ

44. การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawis
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 174 – 176 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้เสนอแนวคิดการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยเขาเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพรวมกลุ่มกันปฏิวัติโค่นล้มรัฐนายทุนและสถาปนารัฐสังคมนิยม
ที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุน ให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์ พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

45. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอแนวคิดเรื่องม่านแห่งความไม่รู้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veit of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

46. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่สํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนออกมาเป็นรายงาน ว่า “คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่ง มีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 3 หน้า 168, (คําบรรยาย) เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนเป็นรายงาน เสนอรัฐสภา โดยเขาเล่าว่า คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้ จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจน ในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

47. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 5 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ง ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

48. “ในรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจาย ทรัพยากรอยู่เสมอ” เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 170 – 171, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในรูปแบบความสัมพันธ์ ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจายทรัพยากร อยู่เสมอ นั่นก็เพราะเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักร ที่ดิน สถานประกอบการ ฯลฯ มีนายทุนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ส่วนกรรมกรนั้นมีเพียงแรงงาน ที่ติดตัวมาของแต่ละคนเท่านั้นที่ใช้ในการผลิต ด้วยความสัมพันธ์ในการผลิตเช่นนี้เอง นายทุน ได้จ่ายค่าแรงหรือค่าจ้างให้กรรมกรเพื่อแลกกับแรงงานของพวกเขา และนายทุนก็ได้กําไรจาก การผลิตสินค้าของแรงงาน โดย “กําไร” นี้เองที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะนายทุนได้ไปขูดรีดเอา “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value) มาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานในการผลิตสินค้า

49. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 เพื่อเสนอหลักความยุติธรรมใน การกระจายทรัพยากร โดยรอลส์มองว่าการกระจายทรัพยากรนั้นไม่ควรปล่อยเสรี รัฐจะต้อง เข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนที่ด้อยโอกาส คนยากจน และคนทุกข์ยาก

50. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนด้อยโอกาสคนยากจน คนทุกข์ยาก”
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51. การเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 4 หน้า 135 เรามีเสรีภาพหรือไม่ เป็นคําถามสําคัญประการหนึ่งของปรัชญาการเมืองที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ทุกคนทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเสรีภาพ (Liberty) ในที่นี้หมายถึง การที่คน ๆ หนึ่งสามารถทําอะไรได้โดยปราศจากการควบคุมบังคับ ตลอดจนไม่ถูกกีดกันไม่ให้ทําอะไรจากผู้อื่น หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การกระทําอะไรก็ได้ตาม ความปรารถนาของตนเองและไม่มีคนอื่นมาบงการควบคุม ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้จะเน้นไปในทาง เสรีภาพทางการเมือง อันได้แก่ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะมีส่วนร่วม ทางการเมือง เสรีภาพในการชุมนุมสมาคมกัน และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครอง

52. นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปีละ 12,000 บาทของพรรครวมไทยสร้างชาติ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 หน้า 159 – 160 เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งในสังคมอย่างไร เป็นคําถาม ในเรื่องของการจัดสรรหรือการกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม เช่น ควรจัดสรร ทรัพยากรในสังคมอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม การจัดการทรัพยากรในสังคมควรจะมีหลักการ จัดการในรูปแบบลักษณะใด ใครบ้างควรจะเป็นผู้ถือครองทรัพยากร การถือครองทรัพยากร ควรจะมีได้มากน้อยเท่าไร การได้มาของทรัพยากรควรจะได้มาด้วยวิธีการในลักษณะใด

53. ข้อถกเถียงเรื่องการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 1 หน้า 25, 195, (คําบรรยาย) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง เป็นคําถามพื้นฐานที่สุด ในทางปรัชญาการเมือง ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีการตั้งคําถามหรือข้อถกเถียงกันว่าทําไมต้องมีรัฐ หรือสังคมการเมือง มนุษย์มีความจําเป็นหรือไม่ที่จะต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง รัฐหรือ สังคมการเมืองมีที่มาหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐหรือสังคมการเมืองมีความสําคัญอย่างไร เป็นต้น

54. นโยบายเงินดิจิตอล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

55. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้อถกเถียงดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟัง กฎหมาย” หรือ “ทําไมเราต้องทําตามกฎหมาย” โดยกฎหมายนั้นถือเป็นคําสั่งของรัฐ หากเราไม่เชื่อฟังหรือไม่ทําตามจะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมาย

56. การประกาศวันเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 หน้า 7, 85, (คําบรรยาย) “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” เป็นคําถามหนึ่งในทางปรัชญาการเมืองที่มีความสําคัญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะมี การถกเถียงหรือตั้งคําถามว่าผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง การเข้ามามีอํานาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรมหรือไม่ เป็นต้น

57. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมกับนโยบายประชารัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

58. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของการรัฐประหารในซูดานของนายพลอัลบูร์ฮาน
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

60. การเมือง (Politics) ในภาษากรีก คือ
(1) Political
(2) Politika
(3) Politico
(4) Politician
(5) Politicos
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

61. “การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

62. “ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคมอีก” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

63. “มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่า ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 2 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

64. “การศึกษาถึงสิ่งที่เป็นแก่นสารของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่า สิ่งที่ เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)” ข้อความ ดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 1 หน้า 1 – 2 (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

65. เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆแต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

66. พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม หมายถึง
(1) Liberty
(2) Equality
(3) Fraternity
(4) Solidarity
(5) Morality
ตอบ 5 หน้า 3 ศีลธรรม (Morality) หมายถึง พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม

67. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(3) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(4) คําถามทางปรัชญา
(5) คําตอบทางปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

68.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชน
(5) พลเมือง
ตอบ 3 หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Dermos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ำ

69. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) จับสลาก
ตอบ 5หน้า 8, คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จําต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

70. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่ใช่พวกโซฟิสต์
(1) Protagoras
(2) Gorgias
(3) Xerophon
(4) Thrasymachus
(5) Hippias
ตอบ 3 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส (Thrasymachus) เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 71 – 78. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา

71. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Command Theory of Law
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า “คําสั่งใด ๆ ของ ผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย” ซึ่ง ทฤษฎีนี้เองเป็นรากฐานของคําอธิบายที่ว่า มนุษย์จําเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง กฎหมายก็จะลงโทษผู้นั้นตามบทบัญญัติ

72. “ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตาม คําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

73. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Paul the Apostle
ตอบ 3 หน้า 66 – 68 เปาโล หรือเซนต์พอล หรือนักบุญพอล (Saint Paul Paul the Apostle) หมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน เห็นว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” ดังที่เปาโลได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของพระคัมภีร์โรมว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอํานาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอํานาจ ใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอํานาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อํานาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ…”

74. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

75. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Antigone
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ตัวอย่างหนึ่งของการอธิบายเรื่อง “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่ง ที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” เช่น กรณีของแอนธิกอน (Antigone) เธอได้ละเมิด คําสั่งของกษัตริย์คลอน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอ เห็นว่ามันเป็นเรื่องประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของแอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่ กําหนดโดยมนุษย์สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์ แต่กระนั้นเธอก็ยอมถูกลงโทษตามคําสั่งของกษัตริย์

76. “ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้า มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์” ข้อความดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”

77. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Two Treatises of Government
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

78. “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

79. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Patriarcha or the Natural Power of Kings
(1) John Austin
(2) Robert Filmer
(3) John Locke
(4) Henry David Thoreau
(5) Thomas Hobbes.
ตอบ 2 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

80. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

81.คําว่า “Political Society” ใกล้เคียงกับคําศัพท์ในข้อใดมากที่สุด
(1) Anarchy
(2) State of Nature
(3) Modern Nation-State
(4) Royal Palace
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 25, (คําบรรยาย) คําว่า “Political Society” หรือ “สังคมการเมือง” นั้น เป็นคําที่มี ความหมายใกล้เคียงกับคําว่า “รัฐ” (State) หรือ “รัฐชาติสมัยใหม่” (Modern Nation-State)

82. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอริสโตเติล
(1) อริสโตเติลมีชีวิตในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล
(2) อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
(3) อริสโตเติลเป็นชาวมาซิโดเนีย
(4) อริสโตเติลเป็นเจ้าของผลงานที่ชื่อว่า The Prince
(5) ทุกข้อเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมี ผลงานที่สําคัญ ได้แก่ งานเขียนเรื่อง “The Politics” และ “Nicomachean Ethics

83. ข้อใดต่อไปนี้ไม่สอดคล้องกับคําว่า “จุดหมายปลายทาง” ในความหมายของอริสโตเติล
(1) Goal
(2) Primary
(3) Final Cause
(4) Telos
(5) Purpose
ตอบ 2 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ ที่เรียกว่า “Teleology” หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้อง คลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goat) เช่น มีดปอกแอปเปิลจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือ Telos ก็คือ การปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้เป็นอย่างดี และการที่มีดดังกล่าวจะทําหน้าที่ ในการปอกได้ดีนั้น มีดจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางนั้นได้ โดยอริสโตเติลเรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Arete” หรือ “Virtue” ซึ่ง Arete ของมีดปอก
แอปเปิลก็คือ ความคมที่เหมาะแก่การปอกแอปเปิลนั่นเอง

84.การที่มีดปอกแอปเปิลสามารถใช้ในการปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้ อริสโตเติลเห็นว่ามีดปอกแอปเปิลนั้นมีคุณสมบัติข้อใดดังต่อไปนี้
(1) Virtue
(2) Telos
(3) Barred
(4) Quality
(5) Strong
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85.หากกล่าวว่า “สิงโตที่สมบูรณ์คือสิงโตที่เป็นเจ้าป่า ดุดัน และเป็นนักล่า” คําว่า Arete ในความหมายของ อริสโตเติลที่สอดคล้องกับคํากล่าวข้างต้นตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) สวนสัตว์ปิด
(2) ตัวสิงโต
(3) นายพราน
(4) กระต่ายและแมว
(5) ป่าตามธรรมชาติ
ตอบ 5 หน้า 26 – 27 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างจาก สิงโต ซึ่งตามความคิดของอริสโตเติลนั้นมองว่า Telos ของสิงโตก็คือ การเป็นสิงโตที่สมบูรณ์ อย่างที่รับรู้ทั่วไป ส่วน Arete ของสิงโตก็คือ ความแข็งแรง ความดุดัน ความเป็นสัตว์ป่า ความเป็นนักล่า ฯลฯ และการที่สิงโตจะสามารถเป็นสิงโตที่สมบูรณ์หรือบรรลุ Telos ของ ความเป็นสิงโตได้ สิงโตนั้นจะต้องอยู่ในป่าตามธรรมชาติ (ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ)

86. วิธีการที่เรียกว่า “Teleology” ของอริสโตเติลตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ปรัชญาการเมืองเป็นศาสตร์ของเทวดา
(2) ทุกสิ่งมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะต้องคลี่คลายไปเสมอ
(3) พระผู้เป็นเจ้ามีอํานาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
(4) คุณสมบัติของสรรพสิ่งมีความสําคัญน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย
(5) มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่เติบโตจากธรรมชาติในป่า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

87.Thomas Hobbes, John Locke and Jean Jacques Rousseau เป็นนักปรัชญาการเมืองสกุลใด
(1) Existentialism
(2) Sophist
(3) Philosopher
(4) Social Contract
(5) Nihilism
ตอบ 4 หน้า 30 – 32, (คําบรรยาย) นักปรัชญาการเมืองสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes)
2. จอห์น ล็อค (John Locke)
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls)

88. ข้อใดคือสาเหตุที่ทําให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองในความคิดของ Thomas Hobbes
(1) Safety
(2) Comfortable
(3) Technology
(4) Political Animal
(5) Freedom
ตอบ 1 หน้า 32, 36 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทําให้มนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมืองว่าถ้ามนุษย์ไม่มีรัฐ มนุษย์ก็จะทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันไม่รู้จบหรือเรียกว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งมนุษย์ จะไม่ความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดรัฐและมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐเพราะรัฐ จะช่วยให้มนุษย์มีความปลอดภัย (Safety) และมีชีวิตอยู่รอด

89. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับคําว่า “Thought Experiment” มากที่สุด
(1) ศิลาจารึก
(2) เอกสารใบลาน
(3) จินตนาการ
(4) คัมภีร์
(5) สื่อสังคมออนไลน์
ตอบ 3 หน้า 33 – 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ใช้วิธี “การทดลองทางความคิด” (Thought Experiment) ในการตอบคําถามว่าทําไมมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมืองซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ใช้การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบพวกนักโบราณคดี แต่จะใช้การจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรม ของมนุษย์ว่าถ้าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไร ซึ่งสภาวะจําลองดังกล่าวนี้พวกนักปรัชญา การเมืองสกุลสัญญาประชาคมเรียกว่า “สภาวะธรรมชาติ” (State of Nature) และเมื่อทราบ แล้วว่ามนุษย์อยู่อย่างไร พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าทําไมมนุษย์จึงออกจากสภาวะธรรมชาติ เพื่อมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง

90. จากประโยคที่ว่า “มนุษย์อยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคน อยู่กันอย่างเป็นอิสระ” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) รัฐธรรมนูญ
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) สภาวะธรรมชาติ
(4) เสรีภาพทางความคิด
(5) ทุกข้อเป็นส่วนหนึ่งของประโยคนี้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

91. ประโยคที่ว่า “By all means we can, to defend ourselves” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ในการทําสิ่งที่ดีที่สุดต่อตนเอง
(2) การฆ่าฟันกันโดยไม่มีเหตุผลของมนุษย์
(3) การปกป้องตนเองภายใต้การดํารงอยู่ของรัฐ
(4) การปกป้องตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
(5) การใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อยึดอํานาจการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์ จะถูกห้ามไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือ การละเว้นที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะธํารงไว้ ซึ่งชีวิตของเขา (By all means we can, to defend ourselves)

92. เพราะเหตุใดมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค จึงไม่ทําร้ายคนอื่นในแบบข้อเสนอของโทมัส ฮอบส์
(1) มีศาลทําหน้าที่ในการตัดสิน
(2) มีกฎหมายเป็นตัวกํากับบทลงโทษ
(3) มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
(4) มนุษย์พยายามทําแล้วแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
(5) เป็นการหาเรื่องให้ตนเองตายและไม่ปกป้องตนเอง
ตอบ 5 หน้า 40 – 41 สาเหตุที่ทําให้มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ไม่ไปทําร้ายคนอื่นในแบบเดียวกันกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นั้น ก็เพราะว่ามนุษย์ตามความคิดของล็อคอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ว่า แต่ละคน ต้องปกป้องรักษาตนเอง ซึ่งด้วยการใช้เหตุผลเข้าใจหลักการตามกฎธรรมชาติดังกล่าว จึงทําให้ มนุษย์ไม่คิดจะไปทําร้ายคนอื่น เพราะการทําร้ายคนอื่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเอง บาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตได้ ซึ่งก็หมายถึงการไม่ปกป้องรักษาตนเองนั่นเอง

93. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับคําว่า “คุณธรรม” ภายใต้ State of Nature ของโทมัส ฮอบส์
(1) การพูดความจริง
(2) การยึดถือทางสายกลาง
(3) ความกล้าหาญ
(4) การใช้กําลังและความฉ้อฉล
(5) ราชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนจะเป็น ศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยง วิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียว ที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

94. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับบทบาทของ Leviathan มากที่สุด
(1) Sustaining Anarchy
(2) Keeping them all in Awe
(3) Promoting State of War
(4) Being Judge and Executioner
(5) Protecting Property
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือองค์อธิปัตย์มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัด เพื่อให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความกลัว (Keeping them all in Awe) และไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

95. สําหรับจอห์น ล็อค ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะของการลงโทษที่อาจตามมาจาก “Self-Love”
(1) Benevolence
(2) Charity
(3) Supportive
(4) Violent Death
(5) Revenge
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้น เป็นทั้งคนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ (Judge and Executioner)แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรักตนเอง (Self-Love) หรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือ เข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วยความต้องการที่จะล้างแค้น (Revenge) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องยกอํานาจในการตัดสินและ การลงโทษดังกล่าวให้กับรัฐบาลหรือสังคมการเมืองเป็นผู้ทําหน้าที่แทน

96. ข้อใดต่อไปนี้คือคุณลักษณะการทําหน้าที่ของสังคมการเมืองในแบบจอห์น ล็อค
(1) Moderate Scarcity
(2) Leviathan
(3) Utopia
(4) Judge and Executioner
(5) Maximizing Utility
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(2) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
(3) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(4) มนุษย์รักความยุติธรรมและเสรีภาพ
(5) มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี
ตอบ 3 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

ตั้งแต่ข้อ 98 – 99. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) John Locke
(2) Joseph Schumpeter
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) John Austin

98.ผลงานที่ชื่อว่า “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” เป็นผลงานของ นักปรัชญาการเมืองคนใด
ตอบ 3 หน้า 45 – 46, 94, คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบิดา แห่งลัทธิ Romanticism และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยผลงานที่สําคัญของรุสโซ มีดังนี้
1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” “On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755
2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่นําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน

99.“ประชาธิปไตยคือการปกครองของนักการเมือง” วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของนักคิดคนใด
ตอบ 2 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียน งานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอ ทฤษฎีประชาธิปไตยว่าเป็นการปกครองด้วยตัวแทนที่ถูกเลือกเข้ามา ไม่ใช่การปกครองของประชาชน การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมือง มาแข่งขันเพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความ และสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษร ของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น…. ดังนั้นเองในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของ นักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)” ทั้งนี้วิธีคิดดังกล่าวภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

100. Democracy is the Rule of the Politician มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Lockean Democracy
(2) Jeffersonian Democracy
(3) Madisonian Democracy
(4) Schumpeterian Democracy
(5) Athenian Democracy
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

Advertisement