LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. จงอธิบายอย่างละเอียดว่า กฎหมายมหาชนปัจจุบันมีหลักการและแนวคิดเหมือนหรือแตกต่างจากระบอบประชาธิปไตย และหลักนิติรัฐอย่างไร

ธงคำตอบ

1. กฎหมายมหาชนปัจจุบันเกิดจากปัญหาทางการปกครอง ซึ่งในอดีตลักษณะของการใช้อำนาจทางปกครองดังนี้ คือ

อำนาจสูงสุดอยู่ที่ผู้ปกครองเพียงผู้เดียว
ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง
ไม่สามารถควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ปกครองให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้ จากหลักการปกครองดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็น

อำนาจนิติบัญญัติ
อำนาจบริหาร
อำนาจตุลาการ.

การเเบ่งแยกอำนาจทางปกครองเป็นการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน เพื่อรักษาสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน เเละจากหลักการแบ่งแยกทางปกครองดังกล่าวทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตย มีหลักการสำคัญว่า

ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันเสมอภาคกัน
ผู้ที่จะเขัาไปใช้อำนาจทางปกครองจะต้อง ได้รับความเห็นชอบจากประขาขน ส่วนใหญ่เป็นสำคัญจึงทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง
ผู้ใช้อำนาจทางปกครองจะต้องใช้อำนาจ เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทชิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

การใช้อำนาจทางปกครองต้องสามารถควบคุม และตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้
จากหลักการดังกล่าวเป็นที่มาของนิติรัฐ คือ หลักการปกครองโดยกฎหมาย หมายความว่า การใช้อำนาจทาง
ปกครองในทุกระดับต้องมีกฎหมายบัญญัติ ให้อำนาจไว้ และการใช้อำนาจทางปกครองนั้นจะต้องสามารถควบคุมและตรวจ
สอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายมหาชน ปัจจุบัน
ข้อ
2. จงยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมา 5 ฉบับ พร้อมอธิบายว่ากฎหมายมหาชนเหล่านั้นมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณสุขและศาลปกครองอย่างไร

ธงคำตอบ

 กฎหมายมหาชนปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง ดังนั้น กฎหมายมหาชน ได้แก่

กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กฎหมายปกครอง
พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
พ.ร.บ. องค์กรบริหารส่วนจังหวัด
พ.ร.บ. เทศบาล
พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
พ.ร.บ. บริหารราชการกรุงเทพมหานคร

หรือ พ.ร.บ.อื่น ๆ ที่เมื่อเกิดกรณีพิพาทจะต้องนำคดีไปขึ้นศาจปกครอง ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้จะเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้ อำนาจและหน้าที่ในทางปกครอง แก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐเหมือนกัน

หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ หน่วยงานในราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นๆ ที่จัดตั้งขึ้นมา ฯลฯ

เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ ที่บุคคลหรือคณะบุคคล ที่ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐ ซึ่งได้แก่ ข้าราชการพนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง ฯลฯ

การบริการสาธารณะ คือ กิจการที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจัดทำขึ้นเพื่อบริการประชาชน ซึ่งโดยสภาพแล้ว ไม่อาจทำให้สำเร็จได้เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้

ศาลปกครอง ได้แก่ ศาลที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง คือ คดีที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจทางปกครองตามบทบัญญัติของกฎหมายปกครอง ซึ่งได้แก่กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่มีสถานะภาพทางกฎหมายไม่เท่ากันคือ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปกครองมีอำนาจที่เหนือกว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ถูกปกครอง

สรุปได้ว่า กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครอง แก่หน่วยงานของรัฐ
แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อทำหน้าที่ในทางปกครองหรือบริการสาธารณสุขและการใช้อำนาจหน้าที่ตาม กฎหมายที่ให้อำนาจไว้อาจจะทำให้เกิดกรณีพิพาทได้เรียกว่า กรณีพิพาททางปกครอง และเมื่อเกิดกรณีพิพาททางปกครองต้องนำคดีไปขึ้นศาลปกครอง

 

ข้อ 3 การควบคุมตรวจสอบอำนาจทางปกครองของหน่วยงานของรัฐ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำได้ทั้งก่อนและหลังการใช้อำนาจจงอธิบายว่าการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจแบบแก้ไขเป็นอย่างไรและมีวิธีการใดบ้าง

ธงคำตอบ

 การควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หลังการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว เรียกว่า

เป็นการควบคุมแบบแก้ไข ซึ่งกระทำได้หลายวิธีดังนี้
การควบคุมโดยองค์กรภายในของฝ่ายบริหารเอง เช่น
การร้องทุกข์
การอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง
การควบคุมโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร เช่น
การควบคุมโดยทางการเมือง ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ ไว้วางใจ
การควบคุมโดยองค์กรพิเศษได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
การควบคุมโดยศาลปกครอง
การควบคุมแบบแก้ไขนี้เป็นการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว และเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจทางการ
ปกครองนั้นขึ้น จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างหลักกฎหมายมหาชนหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณสุขและศาลปกครอง พร้อมยกตัวอย่างในแต่ละส่วนที่กล่าวมาให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ ในทางปกครองแก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐ และหน้าที่ของรัฐ และเมื่อรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้นแล้ว เกิดความเสียหาย หรือเดือดร้อนแก่ประชาชน เรียกว่ากรณีพิพาททางปกครอง คดีปกครอง

คดีปกครองเป็นคดีที่เกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับเอกชนหรือประชาชน และเมื่อเกิดคดีปกครองขึ้น จะต้องนำคดีนั้นไปฟ้องศาลปกครอง ไม่นำไปฟ้องศาลแพ่ง หรือศาลอาญา

หน่วยงาน ของ รัฐ ได้แก่ หน่วยงานบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นตลอดถึงรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นหน่วยงานทางปกครอง

เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ บุคคลและคณะบุคคล ที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือความควบคุมของฝ่ายปกครอง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน กิจการเหล่านี้โดยสภาพแล้วไม่อาจทำให้บรรลุสำเร็จได้ หาปราศจากอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชน

ศาลปกครอง เป็นศาลที่ใช้พิจารณาคดีปกครองคือ คดีที่เกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานทางปกครอง การใช้อำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายมหาชนแล้วเกิดกรณีพิพาททางปกครอง ต้องนำคดีไปพิจารณาในศาลปกครอง

 

ข้อ.2 กฎหมายมหาชนนั้น ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวกับสถานะและอำนาจของ รัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครอง กับพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครอง ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง ซึ่งอยู่ในฐานะ เอกชนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครอง กับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนดังกล่าว เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครอง มีเอกสิทธิ์ทางปกครอง เหนือพลเมือง

ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันของคู่กรณี และตั้งอยู่บนหลักความศักดิ์สิทธิ์ของเจตนา และเสรีภาพการทำสัญญา จึงให้นักศึกษาอธิบายถึงข้อแตกต่างระหว่าง กฎหมายมหาชน กับกฎหมายเอกชนทั้ง 6 ประการ มาให้เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน อีกทั้งขอให้นักศึกษา อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชน กับรัฐศาสตร์มาพอสังเขปด้วย

ธงคำตอบ


กฎหมาย มหาชน คือ กฎหมายที่กล่าวถึง กำหนดกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถานะและอำนาจ ของรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับ พลเมืองผู้อยู่ใต้ปกครอง ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ปกครอง มีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง ซึ่งอยู่ในฐานะเอกชน

ส่วนกฎหมายเอกชน คือกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกัน และในฐานะที่เท่าเทียมกัน

กฎหมาย มหาชนกับ กฎหมายเอกชนจึงแตกต่างกัน ในข้อสำคัญคือกฎหมายมหาชนนั้น อยู่บนพื้นฐานของความไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมือง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน และบนพื้นฐานของหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนา หรืออยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นอิสระของการ แสดง เจตนา
ในส่วนประเด็นความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน ทั้ง 6 ประการ มีดังนี้ความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน1. ความแตกต่างขององค์กร หรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์กล่าวคือ กฎหมายมหาชน องค์การหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือรัฐหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชน ตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชนกับเอกชน2. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (BUT)กฎหมายมหาชน มีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณะ
ประโยชน์ และการให้บริการสาธารณะโดยไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายและเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน แต่บางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้น เอกชนก็อาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและการสาธารณะประโยชน์3. ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์กล่าวคือ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงออกมาเป็นรูปคำสั่งหรือข้อห้ามที่เรียกว่าการกระทำฝ่ายเดียวกล่าวคือ เป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่งสามารถกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง โดยที่ฝ่ายหลังมิได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ (พระราชบัญญัติ) เป็นต้น ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความอิสระในการแสดงเจตนา ความเสมอภาค และเสรีภาพในการทำสัญญา คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับคู่สัญญาอีกฝายหนึ่งไม่ได้4. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธีกล่าวคือ แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายเอกชน และกฎหมายมหาชนจะแตกต่างกับนิติวิธีของกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมา ใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นของกฎหมายมหาชนจะสร้างหลักของกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้ เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมาย เอกชนนั้นจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชน และมุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

5. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญากล่าวคือ นิติปรัชญากฎหมายมหาชนนั้นมุ่งประสานประโยชน์
สาธารณะ กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของส่วนบุคคลแต่นิติปรัชญาของกฎหมายเอกชนเน้น ความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและอยู่บนสภาพสมัครใจของคู่กรณี

6. ความแตกต่างในเรื่องขงเขตอำนาจศาลกล่าวคือ ปัญหาทางด้านกฎหมายมหาชน จะขึ้นสู่ศาลพิเศษได้แก่ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาตามกฎหมายเอกชนนั้น ขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ศาลแพ่ง ศาลอาญา

ประเด็นความสำคัญระหว่างกฎหมายมหาชนกับรัฐศาสตร์นั้น เป็นศาสตร์ 2 ศาสตร์ที่สัมพันธ์กันอย่างมาก

กล่าวคือ กฎหมายมหาชนเป็นเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐ อำนาจรัฐ และผู้ปกครอง รวมทั้งการปกครองของรัฐ

ส่วน รัฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับรัฐ กำเนิดรัฐ วิวัฒนาการของรัฐ ในอดีตจนปัจจุบัน ศึกษาถึงสถาบันทางการเมืองภายในรัฐ ศึกษาถึงอำนาจรัฐ ในแง่ของข้อเท็จจริง

กฎหมายมหาชน เกี่ยวข้องกับรัฐศาสตร์ กฎหมายมหาชนเป็นกฎเกณฑ์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐ
ซึ่งเป็นอำนาจทางการเมือง รวมทั้งการจัดองค์กรและเกี่ยวกับสถาบันทางการเมือง

 

ข้อ 3 เหตุใดจึงมีระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ และระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

ธงคำตอบ

ระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ เป็นหลักประกันให้กับประชาชนว่าจะไม่ถูกรัฐใช้อำนาจอันจะกระทบกระเทือนถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ นอกจากนี้ ก็ยังเป็นการเสริมสร้างการทำงานของภาครัฐ(ราชการ) ให้มีประสิทธิภาพระบบการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดี ประกอบด้วย

1. ต้องครอบคลุมกิจการของรัฐทุกด้าน ให้เป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างทั่วถึง
2. เหมาะสมกับสภาพของกิจกรรมของรัฐ ที่ถูกควบคุม (มีสมดุล)
3. องค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนั้น ๆ ต้องอิสระ และองค์กรนั้น ๆต้องถูกตรวจสอบ ได้ เช่นกัน
4. การเข้าถึงระบบการตรวจสอบควบคุมนี้ ต้องเป็นไปโดยกว้างขวาง

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 ขอให้นักศึกษาอธิบายความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ความแตกต่างของกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน

1. ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์กล่าวคือ ในกฎหมายมหาชน องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์คือรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฝ่ายหนึ่งกับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่งแต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมี นิติสัมพันธ์ คือ เอกชนกับเอกชน

2. ความแตกต่างของด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (BUT)กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณะประโยชน์ และการให้บริการสาธารณะ โดยไม่ได้มุ่งหวังในเรื่องกำไรส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมุ่งหมาย เพื่อประโยชน์ของเอกชน แต่ละคนแต่บางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้นเอกชนก็กระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์

3. ความแตกต่างด้านรูปแบบและนิติสัมพันธ์ กล่าวคือ กฎหนายมหาชนเป็นรูปแบบบังคับและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งออกมาเป็นรูปแบบคำสั่งหรือข้อห้ามที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือเป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่งสามารถกำหนดหน้าที่ ทางกฎหมาย ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งโดยที่ฝ่ายหลังไม่ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ (พ.ร.บ. เป็นต้น)ส่วนกฎหมายเอกชน นั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของควานเป็นอิสระในการแสดงความเสมอภาค และเสรีภาพในการทำสัญญา คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้

4. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธีกล่าวคือ แนวความคิดในทางกฎหมายเอกชนจะแตกต่างกับนิติวิธีของกฎหมายมหาชน โดยจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เองส่วนนิติวิธีของกฎหมายเอกชนนั้นจะ เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและมุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

5. ความแตกต่างด้านนิติปรัชญากล่าวคือ นิติปรัชญาของกฎหมายมหาชนนั้นมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครอง เสรีภาพส่วนบุคคลแต่นิติปรัชญาเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และอยู่บนความสมัครใจของคู่กรณี

6. ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล กล่าวคือ ปัญหาทางด้านกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษ ได้แก่
ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาตามกฎหมายเอกชนนั้นขึ้นศาลยุติธรรมได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา

ข้อ 2 จงยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมาสิบฉบับและอธิบายว่าเพราะเหตุใดกฎหมายเหล่านั้นจึงเป็นกฎหมายมหาชน

ธงคำตอบ

กฎหมายปกครอง (ซึ่งได้แก่ พ.ร.บ. ต่าง ๆ ประมาณ 700 ฉบับ) เช่น

2.1 พ.ร.บระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
2.2 พ. ร. บ. อบจ.
2.3 พ.ร.บ. เทศบาล
2.4 พ.ร.บ.สภาตำบล และ อบต
2.5 พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพฯ
2.6 พ.ร.บ. ระเบียบราชการเมืองพัทยา
2.7 พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง
2.8 พ.ร.บ. รัฐวิสาหกิจต่างๆ เช่น การไฟฟ้าแห่งประเทศไทยกฎหมายทั้งสิบฉบับเป็นกฎหมายมหาชน
เพราะ เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจในการปกครอง แก่หน่วยงานของรัฐแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจดังกล่าวจะต้องนำคดีไปพิจารณาใน ศาล รัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีจะไม่นำคดีไปฟ้องยังศาลยุติธรรม

 

ข้อ 3. ศาลปกครองคืออะไร ต่างจากศาลยุติธรรมอย่างไร

ธงคำตอบ

ศาลปกครองคือ องค์กรทางศาล หรือองค์กรตุลาการที่ทำหน้าที่พิจารณาคดีปกครองและควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง โดยวิธีการในลักษณะข้อพิพาทผู้มีอำนาจวินิจฉัยคดีปกครองมีความเป็นอิสระ มีกระบวนการพิจารณาคดีที่แน่นอนเป็นระบบไต่สวนมีเงื่อนไขการฟ้องคดีและกำหนดอายุความและลักษณะสำคัญของการควบคุมโดยศาลปกครอง คือ

ศาล ปกครองจะใช้หลักกฎหมายมหาชน ซึ่งเป็นหลักกฎหมายที่แตกต่างไปจากหลักกฎหมายเอกชนได้แก่ หลักกฎหมายเอกชน เป็นหลักกฎหมายที่ใช้กับคดีการปกครอง ซึ่งคู่กรณีมีฐานะไม่เสมอภาคกัน กล่าวคือ กรณีพิพาทระหว่างฝ่ายปกครองซึ่งมีเอกสิทธิ์ทางปกครองกับเอกชนซึ่งอยู่ใต้ ปกครองเป็นกรณีพิพาทที่ไม่เสมอภาคกัน

ส่วน ศาลยุติธรรมคือ องค์กรวินิจฉัยในระบบกฎหมายเอกชนมีกระบวนพิจารณาเป็นระบบกล่าวหาที่คู่กรณี มีหน้าที่นำพยานหลักฐานพยานเอกสารมาสืบต่อศาลยุติธรรม พิจารณาคดีแพ่งคดีอาญาซึ่งเป็นองค์กรวินิจฉัยในระบบกฎหมายเอกชนและกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง กฎหมายมหาชน หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้อำนาจทางปกครอง การบริการสาธารณะและศาลปกครอง

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจทางปกครองตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้นแล้ว เกิดความเสียหาย หรือเดือดร้อนแก่ประชาชน เรียกว่ากรณีพิพาททางปกครอง หรือคดีปกครอง

หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ หน่วยงานบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่นตลอดถึงรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่นซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ เป็นหน่วยงานทางปกครองเจ้าหน้าที่ของรัฐ.ได้แก่ บุคคลและคณะบุคคล ที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง

การบริการสาธารณะ  หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนายการหรือความควบคุมของฝ่ายปกครอง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน กิจการเหล่านี้โดยสภาพแล้วไม่อาจบรรลุสำเร็จได้ หากปราศจากอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชน

ศาลปกครอง เป็นศาลที่ใช้พิจารณาคดีปกครองคือ คดีที่เกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือหน่วยงานทางปกครอง การใช้อำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายมหาซนแล้วเกิดกรณีพิพาททางปกครอง ต้องนำคดีไปพิจารณาในศาลปกครอง

การใช้อำนาจทางปกครอง เป็นการที่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตาม กฎหมายมหาชนซึ่งเรียกว่าอำนาจในทางปกครอง ให้ประชาชนกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือให้ประชาชนงดเว้นกระทำการเช่น การสั่งให้ นาย ก. รื้อบ้านที่สร้างผิดแบบ

 

ข้อ 2 จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนกับตัวนักศึกษามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งยกตัวอย่าง
ประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่แก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าพนักงานของรัฐในทางปกครองให้ดำเนินกิจการในหลาย ๆ ด้าน ตามแต่กฎหมายจะให้อำนาจไว้ เช่น ในเรื่องการบริการสาธารณะหรือการกำหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชนตามกฎหมาย และหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้อำนาจทางปกครองก็จะใช้อำนาจดังกล่าวแก่ประชาชน เพื่อให้ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจัดระเบียบการปกครอง ดังนั้นกฎหมายมหาชนกับประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองจึงมีความเกี่ยวข้องกันโดยตรง ไม่สามารถแยกจากกันได้ โดยกฎหมายมหาชนนั้นโดยหลักแล้วจะเป็นกฎหมายที่ประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ซึ่งเป็นกฎหมายมหาชนได้บัญญัติไว้ทั้งสิทธิและหน้าที่รับรองไว้

 สิทธิที่กฎหมายมหาชนบัญญัติรับรองเช่น สิทธิในการรับการบริการสาธารณะจากรัฐ สิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย หน้าที่ที่กฎหมายมหาชนบัญญัติไว้ เช่น หน้าที่ในการเลือกตั้งของ ประชาชน

 

ข้อ 3 จงอธิบายว่าศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาคดีลักษณะใดบ้าง
ธงคำตอบ

ศาล ปกครองมีอำนาจพิจารณาคดี ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำ หรือละเว้นการกระทำที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องรับผิด ชอบในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (รัฐธรรมนูญมาตรา 276)

นอก จากนี้ในปัจจุบัน พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ยังได้กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาในเรื่องดังต่อไปนี้(ตามมาตรา 9)
1. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำโดยไม่ ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดอันเนื่องมาจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจ หน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้นหรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับ ประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ2. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อ หน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร3. คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด หรือปฏิบัติหน้าทีดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร4. คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง5. คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฟ้องคดีต่อ ศาลเพื่อบังคับให้บุคคลต้องกระทำหรือละเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด

6. คดีพิพาทเกี่ยวกับเรื่องที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง

ส่วนเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจศาลปกครอง มีดังนี้1. การดำเนินการเกี่ยวกับวินัยทหาร
2. การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ
3. คดีอยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลล้มละลาย หรือศาลชำนาญ พิเศษ อื่น

จากอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองดังกล่าว หากศาลปกครองเห็นว่าการกระทำทางปกครอง กฎ คำสั่งทางปกครอง หรือนิติกรรมทางปกครองใด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็มีอำนาจพิพากษาเพิกถอนการกระทำทางปกครอง กฎ คำสั่งทางปกครองหรือนิติกรรมทางปกครองดังกล่าวนั้น และสามารถพิพากษาให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย ได้ ถ้ามีคำขอดังกล่าวด้วย แต่ศาลปกครองไม่มีอำนาจลงโทษทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา และไม่มีอำนาจลงโทษทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องของคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม

กรณีนี้จึง เห็นได้ว่า คดีปกครองที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองดังกล่าวนั้นแตกต่างจากคดีอาญาที่มีการ กล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าเป็นพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งการฟ้องคดีอาญาดังกล่าวมุ่งหมายที่จะให้ศาลลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น แต่ไม่มีผลกระทบต่อการกระทำหรือการวินิจฉัยสั่งการที่เป็นสาเหตุแห่งการฟ้อง คดีอาญานั้นแต่อย่างใดส่วนในคดีปกครองนั้น ผู้ฟ้องคดีมุ่งที่จะให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการกระทำหรือการวินิจฉัยสั่งการที่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและกระทบถึงสิทธิของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ โดยมิได้มุ่งหมายให้มีการลงโทษทางอาญาแก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบซ่อมภาค 2 ปีการศึกษา 2548

การสอบซ่อมภาค   ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001  หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. ขอให้นักศึกษาอธิบายความหมายของรัฐ และองค์ประกอบของรัฐ และให้อธิบายความแตกต่างระหว่างรัฐกับรัฐบาลมาโดยละเอียด

แนวคำตอบศาสตราจารย์ยอร์ช บูร์โด ได้อธิบาย ความหมายของคำว่า รัฐ หมายถึง อำนาจที่ถูกจัดเป็นสถาบัน รัฐ หมายถึง ผู้ถืออำนาจที่เป็นนามธรรมและถาวร โดยมีผู้ปกครองซึ่งเป็นแต่เพืยงเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการอันสำคัญที่ผ่านไป เท่านั้นเนื่องจาก รัฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติให้มีขึ้น ดังนั้นรัฐจึงเป็นนามธรรมในแนวทางการอรรถาธิบายองค์ประกอบของรัฐแบบดั้งเดิมนั้น มี 4ประการ คือ ดินแดน ประชากร อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล 

โดยทั่วไป รัฐจะเป็นสถาบันการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน (complex) และจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่าง ๆจำนวนมาก ดังนี้

1. ดินแดน (territory)
2. ประชากร (popuIation)
3. รัฐบาล (government)

4. อำนาจอธิปไตย (sovereignty)

5. ความต่อเนื่อง (continuity)
6. การดำเนินการทางด้านความมั่นคง (security)
7. การรักษาความสงบเรียบร้อย (order)
8. การอำนวยความยุติธรรม (justice)
9. การสวัสดิการสังคม (welfare)

นอกจากนี้ รัฐต้องประกอบไปด้วยสิ่งที่เป็นสารัตถะต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือ ทรัพยากร (resources) การคลัง(flnance) ระบบราชการ(bureaucracy) และการดำรงอยู่ในสังคมแห่งรัฐต่าง ๆ หรือสังคมโลก (existence as part of a society of states)แนวคิดในการสถาปนารัฐขึ้นมานั้น กล่าวได้โดยสรุป คือ ในช่วงปลายยุคกลาง (middle age) สังคมมนุษย์ยังไม่มีสภาพเป็นรัฐ ตามความหมายในปัจจุบันนี้อำนาจในการปกครองจืงเป็นอำนาจของบุคคลซึ่งเป็นผู้ปกครอง เมื่อสังคมวิวัฒนาการขึ้น จึงทำให้เกิดชนชั้นใหม่ ๆ ขึ้นมานอกเหนือไปจากชนชั้นผู้ปกครอง ไพร่ และทาส ตามระบอบศักดินาแบบเดิมสภาพดังกล่าว
รวม ทั้งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้สังคมมาถึงจุดวิกฤติของ การปกครองระบอบศักดินา จึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า อำนาจในการปกครองดังกล่าวไม่ควรจะอยู่กับตัวบุคคล แต่ก็ต้องยอมรับว่าต้องมีอำนาจในการปกครองสังคมมนุษย์จึงต้องประดิษฐ์ เครื่องค้ำจุนอำนาจขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนตัวบุคคลและเครื่องค้ำจุนอำนาจใหม่ นี้ จักต้องเป็นอิสระแยกจากตัวบุคคลด้วย เครื่องค้ำจุนอำนาจดังกล่าวก็คือรัฐนั่นเองทั้งนี้ เพื่อให้ รัฐ เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ ไม่ใช่ให้บุคคลเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ

แต่อย่างไรก็ตาม รัฐเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติให้มีขึ้น ดังนั้น รัฐจึงเป็นนามธรรม ตามที่ศาสตราจารย์ยอร์ช บูร์โด ได้อธิบายความหมายของรัฐ ดังได้กล่าวไว้ข้างต้น

ในเมื่อรัฐเป็นนามธรรม แต่จะต้องมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อการปกครองรัฐจึงต้องมีบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจจะเป็น
บุคคลเพียงคนเดียวหรือคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นแทนรัฐในนามของรัฐ อำนาจรัฐนั้น โดยหลักการแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 สาขา ซึ่งมีองค์กรบริหารหรือใช้อำนาจรัฐที่แยกต่างหากจากกันแล้วแต่บทบาทและอำนาจหน้าที่หลัก กล่าวคืออำนาจนิติบัญญัติ อันมีรัฐสภาเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐส่วนนี้

อำนาจบริหาร องค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐส่วนนี้ คือ รัฐบาล และอำนาจตุลาการ องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐส่วนนี้ ก็คือ องค์กรศาลผู้ที่มีบทบาทอำนาจหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐในนามของรัฐ เรียกว่าองค์กรของรัฐ

รัฐมีลักษณะเป็นสถาบัน ที่มีความต่อเนื่องอยู่ตลอด แต่รัฐบาลนั้นเป็นกลุ่มบุคคลที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตัว
บุคคลที่มาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลไปตามวาระเมื่อพิเคราะห์แล้วจึงเห็นได้ว่า รัฐบาลก็คือ องค์กรหรือกลุ่มบุคคลที่กระทำการใช้อำนาจบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจรัฐอย่างหนึ่งแทน รัฐ ในนามของรัฐเท่านั้นเอง

 

ข้อ 2. กฎหมายมหาชนปัจจุบัน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง พระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 พระราชบัญญัติเทศบาล พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหงฯ พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฯต่างเป็นกฏหมายปกครองและเป็นกฎหมายมหาชน

จงอธิบายว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้อำนาจทางปกครองและศาลปกครองอย่างไร

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าวจะใช้อำนาจทางปกครองได้ เท่าที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้

การใช้อำนาจทางปกครอง คือ การใช้อำนาจตามที่กฎหมายกำหนด แล้วทำให้เกิดการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน
สงวน หรือ ระงับต่อสถานภาพ หรือสิทธิทางปกครองของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการออกกฏ คำสั่ง หรือการกระทำหรือหน้าที่และเมื่อหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ใช้อำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไปแล้วเกิดกรณีพิพาทเรียกว่า กรณีพิพาทปกครอง.จะต้องนาคดีขึ้นสู่ศาลปกครองเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป

 

ข้อ 3 จงอธิบายบทบาทและความสำคัญของกฎหมายมหาชนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายหลังจากที่มีการประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับ (พ.ศ.2540) พร้อมยกตัวอย่างประกอบมาให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

บทบาทที่สำคัญของกฎหมายมหาชน ได้แก่

กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจหน้าที่ในการบริหารการปกครองและการบริการสาธารณะแก่รัฐ
แก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
กฎหมายมหาชนช่วยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน
กฎหมายมหาชนช่วยควบคุมการใช้อำนาจและหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กฎหมายมหาชนช่วยส่งเสริมการกระจายอำนาจ

การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ก็มีบทบัญญัติที่ตราไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายประเด็น การให้ความเป็น
ธรรมกับข้าราชการก็มีศาลปกครอง มีการตรากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ อาทิเช่น พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ..2542 การส่งเสริมการกระจายอำนาจก็มีระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญหมวดที่ว่าด้วยการกระจายอำนาจ อาทิเช่น มาตรา 284, 285, 286 เป็นต้น

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายเกี่ยวกับรัฐ อำนาจรัฐและการใช้อำนาจรัฐเกี่ยวกับการปกครอง หรือเป็น กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ กล่าวคือ กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐกับราษฎรในลักษณะที่รัฐหน่วยงานของรัฐรวมทั้งเจ้า หน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นฝ่ายปกครองมีเอกสิทธิ์หรือมีสถานะเหนือกว่าราษฎรซึ่ง เป็นเอกชน

จึงขอให้นักศึกษาอธิบายให้เข้าใจและตอบคำถามในประเด็นต่อไปนี้

ก. ความหมายของคำว่า รัฐ รัฐคืออะไร องค์ประกอบของรัฐมีอะไรบ้าง
ข. ลักษณะเฉพาะของอำนาจรัฐมีอะไรบ้างให้อธิบายมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ก. ศาสตราจารย์ยอร์ช บูร์โด ได้อธิบายความหมายของ รัฐ ไว้ว่า รัฐคือ อำนาจที่ถูกจัดเป็นสถาบัน รัฐ คือผู้ถืออำนาจที่ เป็นนามธรรมและถาวร โดยมีผู้ปกครองซึ่งเป็นแต่เพียงเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการอันสำคัญที่ ผ่านไปเท่านั้น เนื่องจากรัฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติให้มีขึ้น ดังนั้นรัฐจึงเป็นนามธรรมองค์ประกอบของรัฐที่อธิบายกันมาแบบดั้งเติมนั้นจะ มีอยู่เพียง 4 ประการคือ ดินแดน ประชากร อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล 

 โดยทั่วไป รัฐจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสลับซับซ้อนและจะประกอบไปด้วยองค์ ประกอบต่าง ๆ มากมาย ได้แก่

1. ดินแดน (territov)
2. ประชากร (population)
3. รัฐบาล (govemment)

4. อำนาจอธิปไตย (sovereignty)
5. ความต่อเนื่อง (continuity)
6. การดำเนินการทางด้านควานมั่นคง (security)
7. การรักษาความสงบเรียบร้อย (order)
8. การอำนวยความยุติธรรม (justice)
9. การสวัสดิการสังคม (welfare)
นอกจากนี้ รัฐยังจะต้องประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ คือทรัพยากร (resources) การคลัง
(finances) ระบบราชการ (bureaucracy) และการดำรงอยู่ในสังคมแห่งรัฐต่าง ๆ หรือสังคมโลก (existence as part of a society ofstates )
ข. ลักษณะเฉพาะของอำนาจรัฐอำนาจรัฐ ก็คือ อำนาจมหาชน ซึ่งเป็นอำนาจเพื่อสาธารณประโยชน์ในประเทศประชาธิปไตยแบบตะวันตก อำนาจรัฐจะมีลักษณะเฉพาะคือ การเป็นอำนาจซ้อนและการรวมศูนย์อำนาจ การเป็นอำนาจทางการเมือง การเป็นอำนาจทางพลเรือนและการเป็นอำนาจทางอาณาจักร
1 อำนาจของรัฐเป็นอำนาจซ้อนและการรวมศูนย์ อำนาจลักษณะเฉพาะของอำนาจรัฐในส่วนนี้จะปรากฏเหมือนกันในทุกรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐเดี่ยวหรือรัฐรวม
2 อำนาจรัฐเป็นอำนาจทางการเมือง ในรัฐทุกรัฐ นอกจากอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึง อำนาจในการควบคุมการผลิต และอำนาจในการกระจายทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในแต่ละรัฐยังมีอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นอำนาจที่ไม่ได้สืบเนื่องมาจากอำนาจในการควบคุมปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่เป็นอำนาจที่มีลักษณะทางการเมือง กล่าวคือประการแรก อำนาจรัฐเป็นอำนาจแห่งการตัดสินใจ ชึ่งอธิบายไดัว่าภารกิจและหน้าที่ของรัฐนั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้น และทวีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ทำให้ประชาชนและสังคมเกิดความต้องการใหม่ๆ และรัฐจะอยู่ในฐานะผู้ตัดสินใจที่จะเลือกดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ประการที่สอง อำนาจรัฐสมัยใหม่จะไม่มีการปะปนกันระหว่างทรัพย์สินของรัฐและทรัพย์สินของผู้ปกครองซึ่งผิดกับสมัยศักดินาที่ไม่สามารถแยกสาธารณสมบัติของแผ่นดินออกจากทรัพย์สินของกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนครได้ประการที่สาม สภาพบังคับที่ใช้โดยรัฐนั้น ต้องมีลักษณะทางการเมืองแท้ ๆ กล่าวคือ อำนาจที่ใช้กับผู้คนในสังคมนั้นจะมีอยู่สองแบบคือ อำนาจโดยตรง อันได้แก่ อำนาจที่เป็นคำสั่งต่อตัวบุคคลโดยตรง ซึ่งถ้าไม่ปฏิบัติตาม บุคคลนั้นก็ย่อมจะมีโทษกับ อำนาจทางอ้อม อันได้แก่อำนาจในการถือครองสิ่งของที่บุคคลต้องการเพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งถ้าไม่เคารพอำนาจนี้
ก็จะมีการเอาทรัพย์สินสิ่งของนั้นไป อำนาจทางอ้อมนี้จึงเรียกว่า อำนาจทางเศรษฐกิจ หรืออาจจะเป็น อำนาจทางเศรษฐกิจการเมือง ส่วนอำนาจรัฐในรัฐเสรีนิยมไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตของบุคคล ดังนั้น รัฐเสรีนิยมจึงใช้แต่อำนาจทางการเมืองแท้ ๆ ต่อบุคคลเท่านั้น

 

3 อำนาจรัฐเป็นอำนาจทางพลเรือน ในรัฐสมัยใหม่การที่อำนาจทางพลเรือนอยู่เหนืออำนาจทางทหารได้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการอันยาวนานของระบบการปกครองของ รัฐตะวันตก เพราะรัฐในสมัยก่อน ๆ นั้นมีลักษณะที่เน้นควานสำคัญและความเข้มแข็งทางด้านทหารอย่างมาก แต่ในปัจจุบันอำนาจรัฐในประเทศแถบตะวันตกจะมีลักษณะเป็นอำนาจทางพลเรือน

กล่าวคือ อำนาจรัฐเป็นอำนาจที่มีเพื่อสันติภาพและใช้โดยผู้นำที่เป็นพลเรือน ในขณะเดียวกัน รัฐก็มีอำนาจทางทหาร ซึ่งเป็นอำนาจที่มีเพื่อการป้องกันประเทศ แต่อยู่ใต้อำนาจทางพลเรือนภายใต้ความสัมพันธ์ เช่นนี้ กองทัพในประเทศตะวันตกจึงเป็นผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติกองทัพไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ

4. อำนาจรัฐเป็นอำนาจในทางอาณาจักร การแบ่งแยกระหว่างอำนาจในทางอาณาจักรกับอำนาจในทางศาสนา เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งของเสรีภาพ ในยุคกลางโบสถ์ในคริสต์ศาสนามีบทบาททางสังคมสูงมาก เพราะนอกจากคริสตจักรจะเป็นองค์กรผู้นำทางด้านจิตวิญญาณและเป็นศูนย์กลางของ ความศรัทธาเชื่อมั่นในพระเจ้าแล้ว คริสตจักรยังเป็นองค์กรที่ได้รับการจัดตั้งระบบการบริหารปกครองมาจากโรมัน และยังเป็นแหล่งที่เก็บรวบรวมบรรดาความรู้และวิทยาการในด้านต่าง ๆ 

รวม ทั้งศาสตร์และศิลปะในการปกครองในช่วงยุคกลาง พระหรือนักบวชในคริสต์ศาสนาจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อกษัตริย์และเจ้าผู้ ปกครองเมืองและแว่นแคว้นต่าง ๆ ในยุคดังกล่าวนี้บทบัญญัติและมาตรฐานความยุติธรรมของศาสนจักรได้เข้าไปก้าว ก่ายครอบงำอำนาจทางการเมืองและอำนาจพลเมืองของฝ่ายอาณาจักร ทั้งในด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวและในด้านการปกครอง ลักษณะเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกอำนาจขออาณาจักรออกจากการครอบงำของศาสนจักรได้ ต่อมาเมื่อการค้าโพ้นทะเลและระบบทุนก้าวหน้ามากขึ้น แนวความคิดเสรีนิยมก็พัฒนาแพร่หลาย และเข้มแข็งมากขึ้นรวมทั้งเหตุการณ์การปฏิรูปศาสนา (The Reformation) ซึ่งนำไปสู่การแยกออกมาเป็นคริสต์ศาสนานิกายต่าง ๆ

ซื่งแอบแฝงการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของฝ่ายอาณาจักรที่ต้องการหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำของฝ่ายคริสตจักรโรมันคาธอลิค อำนาจอันมากล้นของศาสนจักรก็ค่อย ๆ เสื่อมถอยลง พวกชนชั้นกลางก็ให้การสนับสนุนส่งเสริมให้กษัตริย์เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อแยก รัฐ หรืออาณาจักรออกจากอิทธิพลของศาสนจักรให้เด็ดขาดไป

 

ข้อ 2. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง

จงยกตัวอย่างว่า กฎหมายปกครองได้แก่กฎหมายอะไรบ้าง และกฎหมายดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้อำนาจทางปกครองและศาลปกครองอย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติสวนใหญ่เป็นกฎหมายปกครอง ถ้าพระราชบัญญัตินั้นบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐหรือแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ

เช่น พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายมหาชนที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฯลฯ

กฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้อำนาจหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐ ได้แก่หน่วยงานในการบริหารราชการ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการใช้อำนาจที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับต่อสิทธิ สถานภาพของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการกระทำทางปกครองหรือการออกกฎ เมื่อเกิดปัญหาในการใช้อำนาจทางปกครองเรียกว่า กรณีพิพาททางปกครองจะต้องนำคดีไปสู่ศาลปกครอง

ศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง คือ คดีที่เกิดจากการใช้อำนาจทางปกครองของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

ข้อ 3 การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ โดยการควบคุมแบบป้องกันคืออะไร และมีรูปแบบอย่างไร เหตุใดจึงมีคำกล่าวว่าการควบคุมแบบป้องกันมักไม่ค่อยได้ผลเมื่อเปรียบเทียบกับการควบคุมแบบแก้ไข ท่านเข้าใจคำกล่าวข้างต้นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

 การควบคุมแบบป้องกัน คือ การควบคุมในขั้นตอนตระเตรียมการก่อนที่องค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายบริหารจะมีคำสั่งหรือการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

การควบคุมโดยการปรึกษาหารือองค์กรที่ปรึกษา เช่น การขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย หรือนิติกรรมในทางปกครอง หรือให้คำปรึกษาทางกฎหมาย

การควบคุมโดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยอาจเป็นการโต้แย้งคัดค้านก่อนที่องค์กรของฝ่ายรัฐฝ่ายบริหาร จะมีคำสั่งทางปกครอง การปรึกษาหารือกับองค์กรหรือตัวแทนของกลุ่มบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย การไต่สวน การรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ และการให้เหตุผลในคำสั่งทางปกครอง.

เหตุที่มีการระบุเช่นนั้น เนื่องมาจากรูปแบบของการควบคุมแบบป้องกันนั้นยังขาดหลักประกันในการดำเนินการหรือการเปิดโอกาสให้ประชาชน สามารถที่จะเข้ามามีส่วนในการควบคุมก่อนที่องค์กรของรัฐหรือ เจ้าหน้าที่รัฐจะมีคำสั่งหรือนิติกรรมในทางปกครองอันส่งผลกระทบถึงประขาชน จึงมักมีการละเลยหรือไม่ปฏิบิตตามของแต่ละหน่วยงาน ในการดำเนินการดังกล่าว
ทั้งที่โดยทางกฎหมายและจะต้องดำเนินการเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการในทางปกครอง พ.ศ.2539 พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการพ.ศ.2540 ซึ่งต่างจากการควบคุมแบบแก้ไขโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยวิธีการทางศาล (ศาลปกครอง) ที่มีความชัดเจน ทั้งในแง่การดำเนินการวิธีพิจารณา หลักประกันความเป็นอิสระ และสภาพบังคับ อันจะเป็นการเยียวยาความเสียหายให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวได้

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001  หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. กฎหมายมหาชนคืออะไร ลักษณะเฉพาะของกฎหมายมหาชนมีลักษณะอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชน คือ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ของกฎหมายรวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชนลักษณะเฉพาะของกฎหมายมหาชน มี 6 ลักษณะ ดังนี้

1. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ใช้ในการปฏิรูป ความหมายของคำว่า ปฏิรูป (ปะ- ติ- รูป) ตาม
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน แปลว่า เปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้สมควรหรือดีขึ้น เปลี่ยนรูปใหม่ ดัดแปลงแก้ไขให้ดีขึ้น ไทยใช้เป็นคำกริยาตามความหมายที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การปฏิรูปการเมือง การปฏิรูประบบกฎหมายการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การปฏิรูปการศึกษา ฯลฯ เป็นต้น

2. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ใช้กับนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนและบุคคลธรรมดา

3. กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่มีเพื่อสาธารณะประโยชน์ สาธารณะประโยชน์ คือ ประโยชน์สำหรับประชาชนส่วนรวม และเป็นผลดีแก่คนทั่วไปการประสานประโยชน์ระหว่างประโยชน์สาธารณะกับประโยชน์ ส่วนตัวของเอกชนถือเป็นนิติปรัชญาอันสำคัญของกฎหมายมหาชน

4. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ไม่เสมอภาค สามารถบังคับเอาได้ จากคำจำกัดความดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความไม่เสมอภาคของบุคคล 2 ฝ่าย คือ รัฐหรือหน่วยงานของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับอีกฝ่ายหนึ่งคือเอกชนหรือราษฎรซึ่งลักษณะของความไม่เสมอภาคจะปรากฏ ดังนี้

4.1 ความไม่เสมอภาคในที่นี้ปรากฏให้เห็นถึงเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองที่มีอยู่เหนือราษฎร โดยฝ่ายปกครองหรือฝ่ายของรัฐ จะมีสิทธิพิเศษเหนือราษฎรในการบริหารงานต่าง ๆ ของฝ่ายปกครอง เช่น การออกกฎหมายการเก็บภาษีการพิมพ์ธนบัตร การเกณฑ์ทหาร การเวนคืนที่ดิน ฯลฯ เป็นต้น

4.2 นอกจากนี้กฎหมายมหาชนยังเป็นกฎหมายที่มีลักษณะบังคับเพื่อที่จะให้การกระทำทางปกครองหรือคำสั่งทางปกครองของตนบรรลุผลการบังคับการให้เป็นไปตาม นิติกรรมทางปกครองหรือคำสั่งทางปกครองนั้น ฝ่ายปกครองมีเอกสิทธิ์ที่จะบังคับให้เอกชนปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้เอง ซึ่งเป็นผลจากการที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจมหาชน จึงทำให้นิติกรรมทางปกครองหรือคำสั่งทางปกครองนั้นมีสภาพบังคับต่อเอกชนโดย ทันที โดยที่ฝ่ายปกครองไม่ต้องไปร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งบังคับให้เอกชนปฏิบัติตาม การตรวจสอบของศาลว่านิติกรรมทางปกครองนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จะทำกันในภาย หลัง กล่าวคือ หลังจากที่คำสั่งทางปกครองนั้นออกมาใช้บังคับแล้วนั่นเอง

4.3 ความไม่เสมอภาคดังกล่าวมาแล้วข้างต้นอาจจะปรากฏให้เห็นในรูปของสัญญาที่มีข้อความให้เอกสิทธิ์
แก่ฝ่ายปกครองในการบอกเลิกสัญญาหรือแก้ไข้สัญญาได้โดยฝ่าย เดียว โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมของเอกชนคู่สัญญาสัญญาดังกล่าว ตามหลักกฎหมายปกครองเราเรียกสัญญาลักษณะนี้ว่าเป็น สัญญาทางปกครอง อย่างไรก็ตาม การจะบอกเลิกแก้ไขสัญญาแต่ฝ่ายเดียวของฝ่ายปกครองก็ต้องทำไปโดยคำนึงถึงหลัก ความถูกต้องตามกฎหมายและต้องทำเพื่อสาธารณะประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการใช้อำนาจมหาชนไปกลั่นแกล้งเอกชน

5. กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการควบคุมอำนาจรัฐและหน่วยงานของรัฐ ในคติเสรีนิยมประชาธิปไตย ถือว่าแม้รัฐมีอำนาจอธิปไตย แต่รัฐก็ต้องเคารพกฎหมาย ทฤษฎีที่ว่ารัฐต้องเคารพกฎหมายที่ตนเองเป็นผู้ออกทฤษฎีหลักๆ คือ

5.1 ทฤษฎีว่าด้วยการจำกัดอำนาจตนเองด้วยความสมัครใจ

5.2 ทฤษฎีนิติรัฐ

6. ลักษณะพัฒนาการของกฎหมายมหาชน จะไม่มีความต่อเนื่องเหมือนกฎหมายเอกชนซึ่งมีความต่อเนื่องและมีความสมบูรณ์ มีการวิจารณ์อย่างเป็นระบบต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ประมวลสมัยโรมัน มีประมวลกฎหมายแพ่งที่เรียกว่าCorpus Juriilis Civilis ซึ่งมีผลต่อประมวลกฎหมายแพ่งของฝรั่งเศส ค.ศ. 1804 และประมวลกฎหมายแพ่งของเยอรมันค.ศ. 1900

 

ข้อ 2. จงยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมา 5 ฉบับ และอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นกฎหมายมหาชน

ธงคำตอบ

 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและเมื่อเกิดกรณีพิพาททางกฎหมายมหาชนจะต้องใช้นิติวิธีทางกฎหมายมหาชน ได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองปัจจุบันมีทั้งหมดประมาณ 700 ฉบับ

ตัวอย่างของกฎหมายมหาชน เช่น

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
2. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
3. พระราชบัญญัติองค์กรบริหารส่วนจังหวัด
4. พระราชบัญญัติเทศบาล
5. พระราชบัญญัติการไฟฟ้า
6. พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหง
กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายมหาชน เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่
รัฐหรือแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อเกิดกรณีพิพาทตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จะต้องใช้นิติวิธีทางกฎหมายมหาชน หรือใช้ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองในการพิจารณาคดี

 

ข้อ 3. คำกล่าวที่ว่า จุดเริ่มต้นของการบริหารราชการแผ่นดินในแบบราชการส่วนภูมิภาคนั้นมีจุดก่อเกิดมาจากในสมัยปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินของในหลวงรัชกาลที่ 5 ท่านเข้าใจคำกล่าวนี้อย่างไร และปัจจุบัน จากกระแสการปฏิรูปการเมืองในปัจจุบัน ทั้งจากลไกทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ท่านคิดว่าทิศทางหรือการปรับบทบาทของราชการส่วนภูมิภาคในอนาคตควรเป็นเช่นใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

 คำกล่าวที่ว่า จุดเริ่มต้นของการบริหารราชการแผ่นดิน แบบราชการส่วนภูมิภาคนั้น มีจุดก่อเกิดมาจากในสมัยการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินของในหลวงรัฐกาลที่ 5 คำดังกล่าวเป็นความจริง ทั้งนี้ เพราะในสมัยของรัฐกาลที่ 5 ได้ชื่อว่า เป็นยุคแห่งการปฏิรูปทั้งการบริหารราชการแผ่นดิน และระบบกฎหมายหลายประการ เช่น มีการยกเลิกระบบจัตตุสดมภ์ มาเป็นการจัดตั้งหน่วยราชการเป็นกรม 12 กรม ซึ่งเป็นรากฐานของกระทรวงในปัจจุบัน ยกเลิกระบบให้ราชการกินเมืองมาเป็นการรับเงินเดือนจากรัฐ ปฎิรูประบบการเงินการคลัง โดยมีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน รวมทั้งการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการส่วนพระองค์ การปฏิรูประบบกฎหมาย มาใช้บังคับ ปฏิรูปศาล ปฏิรูปสังคมมีการยกเลิกศาลและไพร่

สำหรับคำกล่าวที่ว่า รากฐานของราชการส่วนภูมิภาคนั้น มาจากแนวคิดของพระองค์ ก็คือ เป็นระบบที่พัฒนามาจากระบบเทศาภิบาล ในปี พ.ศ.2537 เป็นระบบการบริหารราชการที่ประกอบด้วย ข้าราชการของพระมหากษัตริย์ไปทำหน้าที่แทนรัฐบาลกลางในส่วนภูมิภาคโดยแยกเป็น

มณฑลมีข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบ
เมือง – มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบ
อำเภอ – มีนายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ
ตำบล – มีกำนันเป็นผู้รับผิดชอบ
หมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ

ซึ่งต่อมา ก็มีการตรากฎหมาย พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พ.ศ.2457 อันเป็นรากฐานที่สำคัญและเป็นการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคอย่างเป็นระบบ อันเป็นรากฐานมาจนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้สำหรับทิศทางในอนาคตของราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคนั้น

หากพิจารณาจะเห็นได้ว่า กระแสการปฏิรูปการเมืองและการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 283-290) ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญให้ความสำคัญไปที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นการปกครองตนเองของประชาชน (self Government) ได้แก่รูปแบบของ องค์การบิหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)เทศบาล เมืองพัทยา แลกรุงเทพมหานคร

ดังนั้น บทบาทของราชการส่วนภูมิภาคในปัจจุบันจึงต้องลดบทบาทและความสำคัญลง โดยเปลี่ยนจากผู้ควบคุมบังคับบัญชามาเป็นผู้กำกับดูแล คอยส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีอิสระทางการคลัง และสามารถดำเนินการบริหารจัดการท้องถิ่นได้อย่างเต็มที่ภายใต้การกำกับดูแล ทั้งของนายอำเภอผู้ว่าราชการจังหวัด และราชการส่วนกลาง โดยไม่ใช้อำนาจที่จะเอาไปควบคุมบังคับบัญชา และในอนาคตอาจจะเน้นไปที่สองส่วนราชการก็เป็นไปได้ นั้นคือ ราชการส่วนกลางกับราชการท้องถิ่น ดังเช่น กรณีของต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เป็นต้น

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. กฎหมายมหาชนคืออะไร ลักษณะเฉพาะของกฎหมายมหาชนมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย เพื่อประโยชน์สาธารณะ ( lnterest genral) หรือ public interest นักศึกษาเข้าใจประโยชน์สาธารณะอย่างไร และองค์กรใดบ้างที่แสดงออกถึงประโยชน์สาธารณะ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชน( Public Law) เป็นกฎหมายที่วางหลักเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับ สถานะและอำนาจ ของรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หรือผู้ปกครองกับพลเมือง ผู้อยู่ใต้อาณัติการปกครองในบริบทที่รัฐ หรือผู้ปกครอง (ผู้ใช้อำนาจรัฐ) มีเอกสิทธิ์ (privilgeg) ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน (private) 

หลักประโยชน์สาธารณะ คือ การตอบสนองความต้องกาของมหาชน (คนส่วนใหญ่) มิได้ตอบสนองความต้องการของเอกชนคนใดคนหนึ่ง และตอบสนองความต้องการของผู้ดำเนินการนั้นเอง แล้วสามารถอรรถาธิบายได้ว่าประโยชน์สาธารณะ คือ ความต้องการของแต่ละคนที่เหมือนกันและมีจำนวนมากรวมกัน กลายเป็นมหาชนคนหมู่มากหรือเป็นประโยชน์ของคนส่วนมากในสังคม 

ความต้องการของคนหมู่มากในสังคมจึงถือว่าเป็นประโยชน์สาธารณะ (publicinterest) และมีความผิดแผกแตกต่างกับประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละคน (individual interest)องค์กรที่แสดงถึงประโยชน์สาธารณะ ได้แก่ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์การของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการองค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร ในส่วนของรัฐบาลต้องมีการวางนโยบายของรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนในการบริหารประเทศนโยบายของรัฐบาลต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้น 

ประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่ฝ่ายปกครองมีพันธกิจต้อง ดำเนินการ หากเป็นกิจกรรมที่รัฐสภาได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้ว หากฝ่ายปกครองบิดพลิ้วหรือเพิกเฉยหรือละเลยไม่ดำเนินการย่อมเป็นการไม่ชอบ เหตุผลที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจดำเนินการก็เพราะฝ่ายปกครองมีภาระหน้าที่ที่ จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนหมู่มากในสังคม ฝ่ายปกครองจึงต้องใช้อำนาจนั้นให้ภาระหน้าที่นั้น บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย 

ในส่วนองค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติได้แก่ รัฐสภาทำหน้าที่ตรากฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน และควบคุมตรวจสอบ (review) การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยมุ่งไปที่ประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญสำหรับองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ คือ ศาล อาจจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร และศาลรัฐธรรมนูญ แต่ละศาลมีบทบาทอำนาจหน้าที่แตกต่างกันแต่ก็มีเป้าหมายอันเดียวกันคือ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

 

ข้อ จงอธิบายเรื่องต่อไปนี้

– ยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมา ฉบับ
– หน่วยงานของรัฐได้แก่หน่วยงานใดบ้าง
– เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่ใครบ้าง
– การใช้อำนาจทางปกครองเป็นอย่างไร
จงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชน หน่วยงานของรัฐเจ้าหน้าที่ของรัฐ การใช้อำนาจทาง
ปกครอง และศาลปกครอง

ธงคำตอบ

ตัวอย่างกฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ดิน พระราชบัญญัติจราจรทางบก พระราชบัญญัติป่าไม้ ประมวลกฎหมายอาญา

(1) หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลางส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ

(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้แก่ บุคคล หรือคณะบุคคลที่ได้ใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจในทางปกครองของรัฐได้แก่ ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ ฯ

(3) การใช้อำนาจทางปกครอง คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ขึ้น
ระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพ สิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราวก็ตาม

กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้า
หน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้อำนาจในทางปกครองที่ทำให้เกิด การก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวนหรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวร หรือชั่วคราว ได้นั้นจักด้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติรองรับในการให้อำนาจหน้าที่ไว้ และเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครอง  ซึ่งเรียกว่า กรณีพิพาททางปกครองจะต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครอง เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง ต่อไป

 

ข้อ 3. ตามที่ท่านได้ศึกษามาแล้วในเรื่องการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ที่ว่ามีความจำเป็นจะต้องควบคุมการใช้อำนาจรัฐดังกล่าว คือ ควบคุมอะไรและเหตุใดจึงต้องมีการควบคุม วิธีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐที่ดีที่สุดคืออะไรเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จงอธิบาย

ธงคำตอบ

การควบคุมการใช้อำนาจรัฐ คือ การควบคุมการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ องค์กรของรัฐหน่วยงานของรัฐ การใช้ดุลพินิจมี รูปแบบดังนี้ คือ

1. ดุลพินิจทั่วไป
2. ดุลพินิจที่เป็นอำนาจผูกพัน
1) ดุลพินิจทั่วไป หรือเรียกว่า อำนาจดุลพินิจอำนาจดุจพินิจ คือ เสรีภาพที่กฎหมายให้แก่องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองในอันที่จะตัดสินใจว่าในกรณีเฉพาะเรื่องกรณีใดกรณีหนึ่ง สมควรเลือกคาสั่งใดในบรรดาคำสั่งหลาย ๆ อย่างที่มีความแตกต่างกันออกไป และดำเนินการออกคำสั่งตามที่ได้ตัดสินใจ เลือก ไว้

อำนาจดุลพินิจ ย่อมเกิดขึ้นทุกครั้งที่องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองกระทำการอย่างอิสระโดยที่กฎหมายมิได้บัญญัติกำหนดสิ่งอันตนจักต้องการทำไว้ล่วงหน้าอำนาจดุลพินิจ หากพิเคราะห์โดยถ่องแท้แล้วก็คือ ความสามารถอันกฎหมายให้อำนาจแก่องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองในอันที่จะเลือกว่าในบรรดาคำสั่งซึ่งตามกฎหมายแล้วล้วนแต่สามารถออกได้ทั้งสิ้น คำสั่งใดที่พิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามความมุ่งหมายแห่งอำนาจหน้าที่ของตนได้ดีที่สุด ก็พึงทำการออกคำสั่งนั้น

อำนาจดุลพินิจ คือ อำนาจที่กฎหมายมอบให้องค์กรของรัฐฝ่ายปกครองสามาถกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอิสระ แต่ต้องขึ้นอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย และชอบด้วยเหตุผล ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดแก่สังคมส่วนรวมเป็นสำคัญ

2) ดุลพินิจที่เป็นอำนาจผูกพันอำนาจผูกพันเป็นอำนาจที่กฎหมายมอบให้แก่องค์กรของรัฐฝ่ายปกครององค์กรใดองค์กรหนึ่ง โดยบัญญัติ
บังคับไว้ล่วงหน้า เมื่อมีข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กำหนดไว้เกิดขึ้น องค์กรของรัฐฝ่ายปกครององค์กรนั้น จักต้องออกคำสั่ง และต้องออกคำสั่งที่มีเนื้อหาความตามที่ได้กำหนดไว้นั้น

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าลักษณะของการใช้อำนาจผูกพันนั้น หมายความว่าการจะตัดสินใจในทางกฎหมายได้ต้องมีข้อเท็จจริงปรากฏขึ้นมาก่อน ถ้าข้อเท็จจริงอย่างนี้เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ก็ผูกพันที่ว่าต้องตัดสินใจไปในทางนี้เท่านั้น คือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จะตัดสินใจเป็นอย่างอื่นหาไม่ เช่น การร้องขอจดทะเบียนสมรส ชายและหญิง มีคุณสมบัติและเงื่อนไขครบถ้วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สมัครใจสมรสกัน ต้องการจดทะเบียนสมรสกัน เจ้าหน้าที่ต้องจดทะเบียนให้ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว จะปฏิเสธไม่จดทะเบียนไม่ได้ แต่ถ้าชายและหญิงมีอายุ 15 กับ 14ปี ตามลำดับ ต้องการจดทะเบียนสมรส กรณีข้อเท็จจริงในเรื่องอายุไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดให้สมรสกันได้ กรณีเช่นนี้ นายทะเบียนครอบครัวสามารถปฏิเสธการจดทะเบียนสมรสได้ เจ้าหน้าที่ไม่เลือกดุลพินิจเพื่อที่จะรับจดทะเบียนให้ตามความประสงค์ของชาย และหญิง โดยพิจารณาเห็นว่าชายหญิงทั้งสองนี้มีความปรารถนาต้องการใช้ชีวิตร่วมกันฉัน สามีภริยา เช่นนี้ย่อมทำไม่ได้
ความแตกต่างระหว่างอำนาจดุลพินิจ และอำนาจผูกพัน

1. อำนาจดุลพินิจ หมายถึง อำนาจที่เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ หรือองค์กรฝ่ายปกครองของรัฐสามารถเลือกตัดสินใจออกคำสั่งหรือสั่งการใดๆ ได้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งหมาย หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายกล่าวอีกอย่างหนึ่ง อำนาจดุลพินิจ ก็คือ อำนาจที่กฎหมายเปิดช่องให้องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐมีอิสระในการตัดสินใจเมื่อ มีเหตุการณ์หรีอมีข้อเท็จจริงใด ๆ กำหนดไว้เกิดขึ้น

2. อำนาจผูกพัน อำนาจผูกพันมีความแตกต่างกับอำนาจดุลพินิจข้างต้น กล่าวคือ อำนาจผูกพันเป็นอำนาจหน้าที่ที่องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐต้องปฏิบัติเมื่อมี ข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ เกิดขึ้นตามที่กฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ ได้บัญญัติกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนี้ องค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่ง และคำสั่งนั้นต้องมีเนื้อความเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น เรื่องการร้องขอจดทะเบียนสมรสเมื่อชายและหญิงผู้ร้องขอมีคุณสมบัติครบถ้วน และปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการสมรสที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์แล้ว นายทะเบียนครอบครัวจะต้องทำการจดทะเบียนสมรสให้แก่ผู้ยื่นคำขอจดทะเบียนสมรส เสมอ เป็นต้น

เหตุที่เรียก อำนาจหน้าที่ว่าเป็นอำนาจผูกพันก็เพราะคำวินิจฉัยสั่งการดังกล่าวเป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรฝ่ายปกครองของรัฐ ซึ่งกฎหมายยอมรับว่า การปฏิบัติหน้าที่นั้น มีผลใช้บังคับได้สมบูรณ์นั่นเองทั้งอำนาจดุลพินิจ และอำนาจผูกพันนี้ ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายจะกำหนดให้ใจทั้งสองอำนาจนี้ไปด้วยกัน

กล่าวคือ เมื่อมีข้อเท็จจริงอย่างใดเกิดขึ้นแล้วองค์กรฝ่ายปกครองของรัฐจะต้องออกคำสั่งในเรื่องนั้น ๆ แต่จะออกคำสั่งอย่างไรนั้นสามารถตัดสินใจได้อย่างมีอิสระตามที่กฎหมายเปิดช่องให้อำนาจดุลพินิจ เช่น กรณีข้าราชการกระทำผิดวินัยร้ายแรง

กฎหมายบังคับไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บังคับบัญชา ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุแต่งตั้งต้องมีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยกับข้าราชการผู้นั้น แต่ผู้บังคับบัญชา ก็มีอิสระในการตัดสินใจว่าจะสั่งลงโทษข้าราชการผู้นั้นสถานใด กล่าวคือ จะสั่งปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ เป็นต้น

หตุที่ต้องมีการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ เพราะว่าหากปราศจากการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ จะเป็นช่องทางไปสู่การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นข้ามขั้นตอนหรือวิธีการที่มีการกำหนดไว้ ปราศจากอำนาจ ทำผิดแบบนอกกรอบวัตถุประสงค์ของกฎหมาย สร้างภาระให้ประชาชนเกินสมควร สั่งโดยมีอคติหรือไม่สุจริตเป็นต้น

การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หมายถึง การใช้ดุลพินิจที่ไม่มีวิญญูชนคนใดจะวินิจฉัยเช่นนั้น หรือใช้ดุลพินิจเช่นนั้น และเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ในการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมของกฎหมาย และไม่ชอบด้วยเหตุผล

การใช้ดุลพินิจวินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาที่อ. 142/ 2547 การที่คณะกรรมการอัยการมีมติไม่รับสมัครผู้ฟ้องคดีในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย ประจำปี 2544 โดยใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีมีกายที่ไม่เหมาะสมจะเป็นข้าราชการอัยการ โดยมิได้พิจารณาถืงความสามารถที่แท้จริงในการปฏิบัติงานของผู้ฟ้องคดี เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยมาตรา 33 (1) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการพ.ศ.2521 และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 30 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.254O

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001  หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. ขอให้นักเรียนอธิบาย ลักษณะทางกฎหมายมหาชนของประโยชน์สาธารณะ มาพอสังเขป

ธงคำตอบ

ประโยชน์สาธารณะเป็นวัตถุประสงค์ของรัฐในการดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ลักษณะของประโยชน์สาธารณะอาจอธิบายเป็นข้อๆ ได้ดังต่อไปนี้

1. ประโยชน์สาธารณะ คือ การดำเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมมิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดำเนินการนั้นเอง หรืออาจกล่าวได้ว่า ประโยชน์สาธารณะเป็นความต้องการของบุคคลแต่ละคนที่ตรงกันและมีจำนวนมากจน เป็นคนหมู่มากหรือเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมจนความต้องการนั้นถูกยกระดับให้ เป็นประโยชน์สาธารณะ 

2. การพิจารนาว่าเรื่องใดเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะหรือไม่ เนื่องจากความต้องการของแต่ละบุคคลนั้นเป็นภาระความรู้สึกด้านจิตใจ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีองค์กรหนึ่งเป็นผู้กำหนดว่าเรื่องใดเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยทั่วไปถือว่าได้แก่ รัฐสภา เนื่องจากเหตุผลว่ารัฐสภาเป็นศูนย์รวมของผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของ ประชาชนทั่วประเทศ 

ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเรื่องใดที่รัฐพิจารนาแล้ว ย่อมถือเป็นความต้องการของประชาชนด้วย กล่าวคือ ผู้แทนของประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนในกรณีนั้นๆ แล้ว ดังนั้นหากรัฐสภาได้ตรากฎหมายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีอำนาจดำเนินการใน เรื่องใด เรื่องนั้นก็คือความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะนั่นเอง 

3. ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม

ดังนั้นฝ่ายปกครองจึงไม่อาจจะเลือกใช้ดุลพินิจได้ว่าจะ ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะและถ้าเป็นกฎหมาย ที่รัฐสภาได้ตราออกมาให้อำนาจแก่ฝ่ายปกครองเพื่อดำเนินการแล้วหากฝ่ายปกครอง ไม่ดำเนินการย่อมเป็นการอันมิชอบซึ่งฝ่ายปกครองอาจจะต้องรับผิดเรื่องค่า เสียหายอีกด้วยหากมีเอกชนได้รับความเสียหายจากการไม่ดำเนินการนั้นลักษณะดัง กล่าวเป็นความแตกต่างระหว่าง อำนาจ ในกฎหมายมหาชน กับ สิทธิ ในกฎหมายเอกชน กล่าวคือ สิทธิในกฎหมายเอกชนนั้นเจ้าของสิทธิอาจจะงดเว้นไม่ใช้กฎหมายกำหนดให้ฝ่าย ปกครองมีอำนาจดำเนินการฝ่ายปกครองจึงไม่อาจจะอ้างได้ว่าเป็นสิทธิของฝ่าย ปกครองที่จะใช้หรือจะไม่ใช้อำนาจนั้น 

 

ข้อ 2. ในกรุงเทพมหานครในเขตรอบนอกได้มีการยกเลิกการมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการยกเลิกดังกล่าว และในอนาคตบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจ ควรมีบทบาทอย่างไร จงอธิบายพอสังเขปธงคำตอบการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งออกเป็น ส่วน คือ ราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น 

ราชการส่วนกลาง ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรม เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการรวมอำนาจ โดยการปกครองแบบนี้อำนาจในการตัดสินใจทั้งหลายจะอยู่ที่ส่วนกลางทั้งสิ้น มีการรวมกำลังในการบังคับต่างๆ ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง และมีลำดับขั้นการบังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจนราชการส่วนภูมิภาค ประกอบด้วย จังหวัด อำเภอ กิ่งอำเภอ ตำบล หมู่บ้านเป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการแบ่งอำนาจ ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ส่วนกลางมอบอำนาจตัดสินใจบางประการให้แก่เจ้า หน้าที่ของรัฐที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนภูมิภาค โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวก็ยังคงอยู่ในบังคับบัญชาของส่วนกลางตลอดเวลา

ราชการส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย อบจ. อบต. เทศบาล พัทยา และกรุงเทพมหานคร เป็นการจัดระเบียบบริหารราชการในรูปแบบการกระจายอำนาจ โดยรัฐจะมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรส่วนกลางหรือ ส่วนภูมิภาคเพื่อจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง โดยจะมีอิสระตามสมควร ไม่ต้องขึ้นอยู่ในการบังคับบัญชาของส่วนกลาง เพียงแต่ขึ้นอยู่ในการกำกับดูแลเท่านั้น

การควบคุมบังคับบัญชา เป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการใดๆก็ได้ตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสมสามารถกลับ แก้ ยกเลิก เพิกถอน คำสั่งหรือว่าการกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ

ส่วนการควบคุมกำกับดูแล ไม่ใช่อำนาจบังคับบัญชา แต่เป็นอำนาจควบคุมกำกับดูแลให้เป็นไปตาม
กฎหมาย ดังนั้นองค์การควบคุมกำกับไม่มีอำนาจไปสั่งการองค์กรภายใต้การควบคุมให้ปฏิบัติตามที่ตนเห็นสมควรทำได้แต่เพียงกำกับดูแลตาม ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น การควบคุมกำกับดูแลนี้เป็นการควบคุมระหว่างส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่นนั่นเอง

ดังนั้นเมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า กทม. เป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่นพิเศษ การที่ยกเลิกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ซึ่งเป็นราชการส่วนภูมิภาคให้หมดไปจาก กทม. จึงถือว่าถูกต้องแล้วที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการที่ผ่านมา เพราะเป็นไปตามหลักการจัดการบริหารราชการแผ่นดินข้างต้น แต่ในอดีต ด้วยเหตุผลหลายประการจึงทำให้มีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในเขตรอบนอก แต่เวลาและเงื่อนไขการพัฒนาการทางการเมืองเปลี่ยนแปลงจากในอดีต จึงต้องจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกัน

ดังนั้น ในอนาคตบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะไม่ปรากฏตัวในราชการส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ
การเป็นองค์ประกอบของกรรมการต่างๆ ใน อบจ. อบต. เทศบาล พัทยา หรือ กทม. ก็ตาม จะต้องปรับบทบาทไปสู่การทำงานอย่างราชการส่วนภูมิภาคร่วมกับนายอำเภอ ปลัดอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด

 

ข้อ 3. ปรัชญาของอริสโตเติลที่ว่า การปกครองที่ดีที่สุดจะต้องเป็นการปกครองของกฎหมายไม่ใช่ของ
คน อันเป็นพื้นฐานของแนวคิดนิติรัฐ ในฐานะที่ท่านศึกษาแนวคิดเรื่องการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ แนวคิดดังกล่าวจะนำไปใช้อย่างไรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย จงอธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

 หลักนิติรัฐ หมายถึง รัฐ ยอมตนอยู่ภายใต้กฎหมาย นั่นคือ ฝ่ายปกครองหรือฝ่ายบริหาร หรือเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องกระทำการในอำนาจหน้าที่ภายในขอบเขตของ กฎหมาย และรัฐธรรมนูญ กิจการของฝ่ายปกครอง จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและถูกควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันสิทธิของผู้อยู่ใต้ปกครองจากการกระทำของรัฐ

1. การควบคุมแบบป้องกัน หมายถึง ก่อนที่ ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทาง
ปกครอง ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีระบบป้องกันเสียก่อน กล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการ หรือขั้นตอนต่างๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งออกไป กระบวนการควบคุมดังกล่าวในกฎหมายของต่างประเทศมีตัวอย่างเช่น

– การโต้แย้งคัดค้าน กล่าวคือ ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครองจะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ก่อนมีการกระทำนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการปกครองที่ดื้อดึง

– การปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจการให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักในการ
ควบคุมการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายปกครอง

หลักการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอำนาจส่งทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่สั่งการนั้น
การไต่สวนทั่วไปเป็นวิธีการที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยทำการรวบรวมความคิด
เห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย แล้วทำเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะต้องตัดสินใจกระทำที่จะมีผลกระทบผู้มี ส่วนได้เสียการควบคุมแบบป้องกันของประเทศไทยมีกฎหมายเกี่ยวข้องที่สำคัญ ได้แก่ พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารทางราชการ พ.ศ. 2540

2. การควบคุมแบบแก้ไข เป็นการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองหลักการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว ซึ่งกระทำได้หลายวิธี ดังนี้

2.1 การควบคุมองค์กรภายในของฝ่ายบริหารเอง เช่น
– การร้องทุกข์
– การอุทธรณ์คำสั่งหรือคำวินิจฉัยทางปกครอง

2.2 การควบคุมโดยองค์กรภายนอกของฝ่ายบริหาร เช่น
– การควบคุมทางการเมือง ได้แก่ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
– การควบคุมโดยองค์กรพิเศษ ได้แก่ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
– การควบคุมโดยศาลปกครอง

การควบคุมแบบแก้ไขนี้ เป็นการใช้อำนาจทางปกครองไปแล้ว และเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจการปกครองนั้นขึ้น จึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคซ่อมภาค 2 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคซ่อมภาค   ปีการศึกษา 2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. รัฐคืออะไร องค์ประกอบของรัฐมีอะไรบ้าง และลักษณะเฉพาะของอำนาจรัฐมีอย่างไร จงอธิบาย
 
ธงคำตอบ
ศาสตราจารย์ยอร์ช บูร์โด ได้อรรถาธิบาย ความหมายของคำว่า รัฐ หมายถึงอำนาจที่ถูกจัดเป็นสถาบัน รัฐ หมายถึง ผู้ถืออำนาจที่เป็นนามธรรมและถาวร โดยมีผู้ปกครองซึ่งเป็นแต่เพียงเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการอันสำคัญที่ผ่านไป เท่านั้นเนื่องจาก รัฐ เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สมมุติให้มีขึ้น ดังนั้นรัฐจึงเป็นนามธรรม องค์ประกอบของรัฐที่อธิบายกันมาแบบดั้งเดิมนั้นจะมีอยู่เพียง 4 ประการ คือ ดินแดน ประชากร อำนาจอธิปไตย และรัฐบาล
โดยทั่วไป รัฐจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสลับซับซ้อน และจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆมากมาย ได้แก่1. ดินแดน (territory)
2. ประชากร (population)
3. รัฐบาล (govereignty)
4. อำนาจอธิปไตย (sovereignty)
5. ความต่อเนื่อง (continurity)
6. การดำเนินการทางด้านความมั่นคง (security)
7. การรักษาความสงบเรียบร้อย (order)
8. การอำนวยความยุติธรรม (justice)
9. การสวัสดิการสังคม (welfare)

นอกจากนี้ รัฐต้องประกอบไปด้วยสิ่งสำคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้ คือ ทรัพยากร (resources) การคลัง (finance)ระบบราชการ (bureaucracy) และการดำรงอยู่ในสังคมแห่งรัฐต่างๆ หรือสังคมโลก (existence as part of a socierty ofstates)

ลักษณะเฉพาะอำนาจของรัฐ1. อำนาจรัฐมีลักษณะเป็นอำนาจแห่งการรวมศูนย์และการซ้อนกันของอำนาจ
2. อำนาจรัฐเป็นอำนาจทางการเมือง ซึ่งเป็นอำนาจแห่งการตัดสินใจ
3. อำนาจรัฐเป็นอำนาจทางพลเรือน ซึ่งมาจากแนวคิดอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน อำนาจทาง
พลเรือนอยู่เหนืออำนาจทางทหาร
4. อำนาจรัฐเป็นอำนาจทางอาณาจักร ไม่ใช่อำนาจทางศาสนจักร

 

ข้อ 2. จงยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมา ฉบับ พร้อมอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นกฎหมายมหาชน

ธงคำตอบ

 กฎหมายมหาชน ได้แก่

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
2. กฎหมายปกครอง
กฎหมายปกครองได้แก่ พ.ร.บ. ต่างๆ เช่น พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปก
ครอง พ.ศ. 2539 พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และกฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายที่ดิน ที่เมื่อเกิดกรณีพิพาทจะต้องนำคดีไปขึ้นศาลปกครอง

เหตุผลที่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครองเป็นกฎหมายมหาชนเพราะต่างบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ทางปกครองแก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครอง หรือแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐและเมื่อเกิดกรณีพิพาทจะเรียกว่า กรณีพิพาททางปกครอง ซึ่งจะต้องนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง

 

ข้อ 3. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้วางรากฐานของกฎหมายขึ้น
ในประเทศไทย การวางรากฐานดังกล่าวของกฎหมายมหาชนคืออะไร และมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องใดบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างโดยสังเขป

ธงคำตอบ

 หลักทฤษฎีของกฎหมายมหาชนได้แก่

– หลักบริการสาธารณะ
– หลักความชอบด้วยกฎหมาย
– หลักความไม่เสมอภาคระหว่างราชการกับเอกชน
– นิติวิธีในกฎหมายมหาชน
– นิติรัฐ นิติกรรม ฯลฯ
เรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักกฎหมายมหาชนดังกล่าว ได้แก่ ที่พระองค์ทรงปฏิรูประบบกฎหมาย ปฏิรูป
ระบบศาล ปฏิรูประบบราชการ (จัดตั้งกระทรวงทบวง กรม ขึ้น) ปฏิรูปการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ระบบเทศบาลอันเป็นที่มาของราชการส่วนภูมิภาค การเริ่มสุขาภิบาล อันเป็นพื้นฐานของการกระจายอำนาจ ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน วางรากฐานด้านรัฐวิสาหกิจไทย สาธารณูปโภคต่างๆ

WordPress Ads
error: Content is protected !!