LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักกฎหมายในการอุดช่องว่างกฎหมายแพ่งมาโดยละเอียด  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย  หมายถึง  กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้  กล่าวคือ  ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อมาใช้ปรับแก่กรณีไม่พบ

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมาย  อาจเกิดขึ้นได้เนื่องจากในขณะที่ร่างกฎหมายนั้น  ผู้ร่างกฎหมายไม่คาดคิดว่าจะมีกรณีนั้นๆเกิดขึ้นมา  จึงไม่ได้บัญญัติกฎหมายให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์  หรือกรณีนั้นๆเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกมีวิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนความเปลี่ยนแปลง ทางเศรษฐกิจและสังคมอาจมีผลทำให้กฎหมายลายลักษณ์อักษรก้าวไม่ทันความเจริญ ก้าวหน้าในด้านต่างๆ  จึงเกิดเป็นช่องว่างแห่งกฎหมายขึ้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

ตัวอย่างเช่น  จารีตประเพณีของธนาคารพาณิชย์  จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง  เป็นต้น

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ตัวอย่างเช่น  การขุดหลุมรับน้ำโสโครก  หลุมรับปุ๋ย  หรือหลุมรับขยะมูลฝอย  มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้  (มาตรา  1342)  แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี  มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน  เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  จึงนำเอามาตรา  1342  มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้  เป็นต้น

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

เช่น  สัญญาต้องเป็นสัญญา  ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  เป็นต้น

 

ข้อ  2  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดลงในกรณีใดบ้าง  ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายด้วย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  วรรคแรก  บัญญัติว่า  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก  และสิ้นสุดลงเมื่อตาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าสภาพบุคคลของบุคคลธรรมดานั้น  ย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย  ซึ่งการตายนั้นมีได้  2  กรณี  คือการตายตามธรรมดา  และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

1       การตายตามธรรมดา  หมายถึง  การที่บุคคลหมดลมหายใจ  และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง  ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุใดๆก็ตาม  เช่น  การที่บุคคลเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตาย  หรือประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  เพียงแต่ในปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น  ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย  ก็ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายและทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลงแล้ว

2       การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ  ตามมาตรา  61  ซึ่งแยกออกเป็น  2  กรณี  คือ

1)    การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  ซึ่งจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

 1.1            บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลา  5  ปี  โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็นหรือนับตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไป  หรือนับแต่วันที่ได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

1.2            ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  ผู้มีส่วนได้เสีย  หมายถึง  บุคคลซึ่งจะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น  เนื่องจากคำสั่งศาล  เช่น  สามีภริยา  บิดามารดา  ลูก  หลาน  เหลน  ลื่น  ฯลฯ  ของผู้ที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

1.3            ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ  ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย  และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวในต่างจังหวัด  และหลังจากนั้นไม่มีบุคคลใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวของนาย  ก  อีกเลย  ดังนี้ถ้าครบกำหนด  5  ปี  นับตั้งแต่วันที่นาย  ก  ได้หายไป  นาง  ข  ซึ่งเป็นภริยาได้ร้องขอต่อศาล  และศาลได้มีคำสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญแล้ว  ย่อมถือว่านาย  ก  ได้ถึงแก่ความตายโดยผลแห่งกฎหมาย  และมีผลทำให้สภาพบุคคลของนาย  ก  สิ้นสุดลง

2)    การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น  ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  3  ประการ  เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  เพียงแต่ตามมาตรา  61  วรรคสอง  ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง  2  ปีเท่านั้น  โดยให้นับตั้งแต่

วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง  ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบ  หรือสงครามดังกล่าว

วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ  (1)  และข้อ  (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ตัวอย่าง  นาย  ก  ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน  ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุอับปางลง  ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย  และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก  ซึ่งรวมทั้งนาย  ก  ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย  ก  เลย  ดังนี้  ถ้านาง  ข  ภริยาของนาย  ก  จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย  ก  เป็นคนสาบสูญ  นาง  ข  สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด  2  ปีนับแต่วันที่เรืออับปางลง  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด  5  ปี  แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  นายไก่ อายุย่าง  15  ปี  ทำพินัยกรรมขึ้น  1  ฉบับ  ยกเงินสดให้มูลนิธิสุนัขจรจัด  1  ล้านบาท  พออายุ  20  ปีบริบูรณ์  จิตฟั่นเฟือน  มารดาร้องขอต่อศาล  ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์  หลังจากนั้นนายไก่ให้เพื่อนยืมช้างไป  2  เชือก  เพื่อไปใช้ลากซุงโดยลำพัง  ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย  ต่อมาอาการทางจิตของนายไก่หนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต  นางไข่ร้องขอต่อศาล  และศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถ  และตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล  ผู้อนุบาลอนุญาตให้นายไก่ซื้อรถยนต์  1  คัน  มูลค่า  1  ล้านบาท

การทำพินัยกรรม  ให้เพื่อนยืมช้าง  ซื้อรถยนต์  ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3)   กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่ามาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)    ตามมาตรา  25  นั้น  กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์  หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว  พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ  เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา  1703ตามปัญหา  การที่นายไก่ซึ่งมีอายุย่าง  15  ปี  ยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  ได้ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาท  ให้มูลนิธิสุนัขจรจัดนั้น  ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา  25  ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  1703

2)    โดยทั่วไป  คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆได้โดยลำพังตนเอง  และมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา  34  เช่น  การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างอันเป็นสัตว์พาหนะซึ่งถือเป็นสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น  การให้ยืมดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา  34(3)  ประกอบวรรคท้าย

3)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะตามปัญหา  การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถยนต์นั้น  ถึงแม้การนำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม  นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

สรุป

1)    การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2)    การให้เพื่อนยืมช้างมีผลเป็นโมฆียะ

3)    การซื้อรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน  


คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การที่รัฐสภาตรากฎหมายขึ้นมาย่อมมีผลใช้บังคับในราชอาณาจักรไทย  ให้นักศึกษาอธิบายคำว่า  ราชอาณาจักรไทย  ว่ามีความหมายเพียงใด  มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

หลักทั่วไปมีว่า  กฎหมายของประเทศใด  ย่อมมีผลใช้บังคับในเขตแดนที่ตนเองมีอำนาจอธิปไตยเหนือเขตแดนนั้น  ดังนั้น  การที่รัฐสภาตรากฎหมายขึ้นมาย่อมมีผลใช้บังคับในราชอาณาจักรไทย  ซึ่งคำว่า  ราชอาณาจักรไทย  หมายถึง

1       พื้นแผ่นดินในประเทศไทยซึ่งรวมถึง  แม่น้ำ  ลำคลอง  ส่วนการจะกำหนดว่าบริเวณใดเป็นอาณาเขตประเทศไทยในกรณีที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศข้างเคียง  ก็ต้องมีการทำข้อตกลงในเรื่องการปักปันเขตแดนร่วมกัน

2       ทะเลอันเป็นอ่าวไทย  ตามพระราชบัญญัติกำหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน  พ.ศ.2502  พื้นที่บริเวณอ่าวไทยมีบางส่วนที่ห่างจากทะเลอาณาเขต  ซึ่งควรจะเป็นทะเลหลวง  แต่ประเทศไทยถือว่าพื้นน้ำทะเลดังกล่าวเป็นอ่าวประวัติศาสตร์  จึงได้มีการประกาศให้เป็นเขตแดนของประเทศไทย  โดยประกาศดังกล่าวแล้ว 
3       ทะเลอันห่างจากชายฝั่งที่เป็นดินแดนของประเทศไทย  ไม่เกิน  12  ไมล์ทะเล  หรือเรียกกันว่าทะเลอาณาเขตของประเทศไทย 4       พื้นที่อากาศเหนือข้อ  1. 2 . และ 3.

หมายเหตุ
เรือไทยในทะเลหลวงไม่ใช่ดินแดนไทย  ในทำนองเดียวกันอากาศยานไทยที่จอดอยู่ที่สนามบินต่างชาติก็ไม่ใช่ดินแดนไทย  เพียงแต่ถ้ามีการกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย  ไม่ว่าจะอยู่  ณ  ที่ใด  ให้ถือว่ากระทำในราชอาณาจักรไทย  เพื่อให้ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทยเท่านั้น

สถานทูตของต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย  เป็นการตั้งอยู่ในราชอาณาจักรไทย  เพียงแต่สถานทูตของต่างประเทศเหล่านั้นได้รับเอกสิทธิ์และการคุ้มกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปในสถานทูต  ขณะเดียวกันสถานทูตไทยที่ตั้งอยู่ต่างประเทศก็ไม่ถือว่าตั้งอยู่ในราชอาณาจักรไทย
 
ข้อ  2  นายแสนกับนายสมเป็นเพื่อนรักกัน  ได้ชวนกันไปเที่ยวน้ำตกที่จังหวัดตรัง  เมื่อวันที่  30  พฤษภาคม  2550  ขณะที่กำลังเล่นน้ำกันอยู่นั้น  เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพานายแสนหายไปกับสายน้ำ  และมีผู้พบศพนายสมในวันรุ่งขึ้น  นางสมใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแสน  และนางสมจิตภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสม  จะมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และหากได้จะไปเริ่มใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อใด  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  15  วรรคแรก  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ตามมาตรา  61  กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น  ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  และได้หายไปจนครบกำหนด  5  ปีหรือ  2  ปี  แล้วแต่กรณี  และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแสนได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลาก  ซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น  ถือเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา  61  วรรคสอง  (3)  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านางสมใจเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแสน  จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  และมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญหายไปในกรณีพิเศษ  จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายแสนได้สูญหายไปในวันที่  30  พฤษภาคม  2550  จึงครบกำหนด  2  ปี  ในวันที่  30  พฤษภาคม  2552  ดังนั้น  นางสมใจจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่  31  พฤษภาคม  2552  ตามมาตรา  61  วรรคสอง  (3)

ส่วนกรณีของนางสมจิตภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสมนั้น  ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้  เพราะเมื่อมีการพบศพนายสมย่อมถือว่านายสมได้เสียชีวิตแล้ว  ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดา  ตามมาตรา  15  วรรคแรก 

สรุป  นางสมใจมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้  โดยจะเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ในวันที่  31  พฤษภาคม  2552  ส่วนนางสมจิตไม่มีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญ

 

 ข้อ  3  จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบายมาโดยชัดเจนว่า  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมได้หรือไม่  และมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1)    ไก่อายุ  18  ปีบริบูรณ์  ซื้อรถยนต์ด้วยเงินของตนเอง  ซึ่งมีมูลค่า  5  ล้านบาทจากนายดำคนสะสมรถหรูใช้แล้ว

2)    ไข่คนไร้ความสามารถ  ได้รับอนุญาตจากนางแดงผู้อนุบาล  ให้ไปซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านนายขวดในราคา  7  หมื่นบาท  และอนุญาตให้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวปลา  ซึ่งมีอายุ  20  ปีบริบูรณ์เท่ากัน

3)    เป็ดคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายห่าน  ในราคา  5  หมื่นบาท  ในขณะกำลังวิกลจริต  แต่นายห่านไม่ทราบว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

มาตรา  1449  การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต  หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืน  มาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา  1458  เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1)    โดยหลัก  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา  21  เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์  เช่น  นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง  เป็นต้น ตามปัญหา  การที่นายไก่อายุ  18  ปีบริบูรณ์  ซึ่งยังเป็นผู้เยาว์  นำเงินส่วนตัวไปซื้อรถยนต์นั้น  ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  หรือนิติกรรมที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิหรือเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง  ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อปรากฏว่านายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  21

 2)    ตามมาตรา  29  กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ทั้งสิ้น  ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม  ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่นายไข่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านของนายขวดนั้น  ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไข่จะได้รับอนุญาต  คือได้รับความยินยอมจากนางแดงผู้อนุบาลก็ตาม 

นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  29

ส่วนการสมรสของนายไข่นั้นเป็นโมฆะ  เพราะบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น  กฎหมายห้ามมิให้ทำการสมรส  (มาตรา  1449)  เมื่อมีการฝ่าฝืนจึงตกเป็นโมฆะ  (มาตรา  1495)

 3)    โดยหลักของมาตรา  30  คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์  เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา  การที่นายเป็ดคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์จากร้านของนายห่านในขณะกำลังวิกลจริต  แต่เมื่อนายห่านไม่ทราบว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต  ดังนั้นนิติกรรมการซื้อขายโทรทัศน์ระหว่างนายเป็ดกับนายห่านจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

สรุป

1)    สัญญาซื้อขายรถยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

2)    สัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์มีผลเป็นโมฆียะ  ส่วนการสมรสมีผลเป็นโมฆะ

3)    สัญญาซื้อขายโทรทัศน์มีผลสมบูรณ์

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  การตีความกฎหมายคืออะไร  และจงอธิบายหลักในการตีความกฎหมายแพ่งมาโดยถูกต้อง  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

การตีความกฎหมาย” คือ การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

1. การตีความตามอักษร  ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้รับทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ

2. การตีความตามเจตนารมณ์  เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ทางกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ตัวอย่างเช่น กฎหมายลักษณะมรดก มาตรา 1627 บัญญัติว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย” ซึ่งคำว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว” เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน กล่าวคือ ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย เช่น การจดทะเบียนการรับรองบุตร หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย เช่น การที่บิดาให้ใช้นามสกุล อุปการะ

เลี้ยงดูให้การ ศึกษาและเปิดเผยต่อบุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ของ กฎหมายลักษณะมรดกแล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับ มรดกนั้น หมายถึง บุตรตามความเป็นจริง กล่าวคือ แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมายแต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับ มรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  เมื่อวันที่  12  กันยายน  2552  นายไสวนอนหลับอยู่ในบ้าน  ปรากฏว่ามีน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขาพัดเอาบ้านพร้อมกับนายไสวหายไปกับสายน้ำและไม่มีใครทราบว่านายไสวเป็นตายร้ายดีอย่างไร  ทั้งนี้  นายไสวมีภริยาแล้วชื่อนางสว่าง  อยากทราบว่า

1       นางสว่างจะร้องขอต่อศาลให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

2       นางสว่างจะร้องขอต่อศาลให้นายไสวเป็นคนสาบสูญ  กรณีปกติ  หรือกรณีพิเศษ

3       นางสว่างจะร้องขอให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่เมื่อใด  อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)  นับแต่วันที่พาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสาบสูญหายไป

(3)  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1) หรือ  (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1. นาง สว่างจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญหรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมายบุคคลที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญจะต้องเป็น ผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นพนักงานอัยการเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไสวกับ นางสว่างเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย นางสว่างจึงมีฐานะเป็นคู่สมรสอันเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิร้องขอต่อ ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้

2.  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีน้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขาพัดพาเอาบ้านพร้อมกับนายไสวหายตัวไปกับสายน้ำ ซึ่งถือเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และนายไสวได้ตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น จึงเป็นการสูญหายไป ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง(3) นางสว่างจึงต้องร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษ

3. นางสว่างจะร้องขอให้ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่าเมื่อเป็นการสาบสูญหายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายไสวสาบสูญหายไปในวันที่ 12 กันยายน 2552 จึงครบกำหนด 2 ปี ในวันที่ 12 กันยายน 2554 ดังนั้น นางสว่างจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่ วันที่ 13 กันยายน 2554 เป็นต้นไปตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

สรุป

1 . นางสว่างสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้

2 . นางสว่างต้องร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ

3 . นางสว่างสามารถร้องขอให้ศาลสั่งให้นายไสวเป็นคนสาบสูญได้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2554

 

ข้อ  3  บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมได้หรือไม่  และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1       นายไก่อายุครบ  18  ปีบริบูรณ์  รับเงินจากปู่  1  ล้านบาท  โดยมีเงื่อนไขว่านายไก่  จะต้องไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง

2       นางไข่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกม้า  4  ตัว  เพื่อนำไปให้เด็กพิการทางสายตาขี่  เพื่อการเยียวยาทางจิตใจ  โดยนายดำผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย

3       นายเป็ดคนวิกลจริตซื้อจักรยานยนต์จากนายห่านในขณะกำลังวิกลจริต  และนายห่านก็รู้ว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต

4       นางนกคนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนายหนูผู้อนุบาลให้ไปซื้อโทรศัพท์มือถือมูลค่า  8,000  บาท  จากร้านนายแดง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนคนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ บุคคลดังกล่าวทำนิติกรรมได้หรือไม่ และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1. โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์กระทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว  นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่งโดยปราศจากเงื่อนไข เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นผู้เยาว์รับเงินจากปู่ 1 ล้านบาทนั้น ไม่ถือเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือนิติกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่งโดยปราศจากเงื่อนไข ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด เพราะการรับเงินดังกล่าวแม้จะทำให้นายไก่ได้สิทธิอันใดอันหนึ่ง แต่ก็มีเงื่อนไขด้วยว่านายไก่จะต้องไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ดังนั้น เมื่อนายไก่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมการรับเงินดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 21

2. โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมสำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  คนเสมือนไร้ความสามารถจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา  การที่นางไข่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกม้านั้น  เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น  ไม่ใช่กรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า  (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่)  ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา  34(3)  ดังนั้น  ถึงแม้นางไข่จะให้เพื่อนยืมลูกม้าโดยลำพัง  กล่าวคือ  ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  สัญญาให้เพื่อนยืมลูกม้า  4  ตัวดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆียะ

3. โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อทำนิติกรรมนั้นในขณะที่จริตวิกลและคู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายเป็ดคนวิกลจริตไปซื้อรถจักรยานยนต์จากนายห่านในขณะที่กำลังวิกลจริตและนายห่านก็รู้อยู่แล้วว่านายเป็ดเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายจักรยานยนต์ระหว่างนายเป็ดกับนายห่านจึงตกเป็นโมฆียะ

4.  ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นางนกคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อโทรศัพท์มือถือจากร้านนายแดงนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนางนกจะได้รับอนุญาต คือ ได้รับความยินยอมจากนายหนูผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

1. นิติกรรมการรับเงินมีผลเป็นโมฆะ

2 . สัญญาให้เพื่อนยืมลูกม้ามีผลสมบูรณ์

3 . สัญญาซื้อขายจักรยานยนต์มีผลเป็นโมฆียะ

4 . สัญญาซื้อขายโทรศัพท์มีผลเป็นโมฆียะ

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 กฎหมายมหาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครอง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติ ให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในทางปกครองและการบริการสาธารณะ ซึ่งการปกครองและการบริการสาธารณะไม่อาจทาให้ประสบผลสำเร็จได้หากปราศจากกฎหมายมหาชนเจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึง บุคคลซึ่งใช้อำนาจ หรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ ในการดำเนินการหรือย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายมหาชนการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการ หรือในความควบคุมของฝ่ายปกครอง ที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนเช่น หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

การใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะนั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือรบกวนสิทธิเสรีภาพเเละผลประโยชน์ของประชาชนได้ เมื่อเกิดกรณีพิพาทดังกล่าวจึงเรียกว่า กรณีพิพาททางปกครอง ก็ต้องใช้ศาลปกครองในการพิจารณาคดี

ศาลปกครอง หมายถึง ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทีเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือให้กำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่หน่ายราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ดังนั้น กฎหมายมหาชนมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครองดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. กฎหมายมหาชนนั้น ได้แก่ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถานะและอำนาจของรัฐและผู้ปกครองรวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทาง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้การ ปกครอง

ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะ เป็นเอกชน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองตามกฎหมายมหาชนดังกล่าวเป็น ความสัมพันธ์ในลักษณะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมือง

ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันของคู่กรณี และตั้งอยู่
บนหลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนาและเสรีภาพในการ ทำ สัญญา

จงอธิบาย ข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มาโดย ละเอียด

ธงคำตอบ

ความแตกต่างของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มีดังต่อไปนี้

1. ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ ในกฎหมายมหาชนองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชน กับเอกชน2. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณประโยชน์
และการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคนหรือเฉพาะบุคคล แต่มีบางกรณีที่เอกชนอาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์

3. ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่
ได้ ซึ่งจะออกมาในรูปของคำสั่งหรือข้อห้าม ที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำชึ่งฝ่ายหนึ่ง (รัฐ)สามารถ ที่จะกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (เอกชนได้) โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาความ เสมอภาคและเสรีภาพในการทำสัญญาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครไม่ได้

4. ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษได้แก่ ศาลปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาทางกฎหมายเอกชน นั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา

5. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนจะแตก
ต่างกัน กล่าวคือ นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตาม กฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกจนนั้นจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและ มุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา นิติปรัชญากฎหมายมหาชนมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับ
ประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนหลัก เสรีภาพแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

 

ข้อ 3. จงอธิบายถึงการควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาลมาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

 การควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาล หมายถึง การควบคุมโดยองค์กรที่มีอิสระจากอำนาจการเมืองและจากฝ่ายปกครอง มีกระบวนพิจารณาที่แน่นอนและมีอำนาจที่จะตัดสินข้อขัดแย้งอย่างเด็ดขาด โดยหลักศาลจะไม่ล่วงล้ำเข้าไปควบคุมความเหมาะสมในการใช้ดุลพินิจของฝ่าย ปกครองหน้าที่หลักของการควบคุมทางศาล เพื่อประกันการคุ้มครองประชาชนจากฝ่ายปกครอง ดังนั้น การพัฒนาการควบคุมทางศาลจึงมีการพัฒนาโดยผูกพันอยู่กับความก้าวหน้าของลัทธิ เสรีภาพนิยมด้วย เพราะจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับหลักนิติรัฐ ว่าอำนาจการเมืองและฝ่ายปกครองที่ขึ้นต่อหลักกฎธรรมชาติหรือหลักกฎหมายทั่ว ไปแล้ว ความยุติธรรมในทางปกครองจึงจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากในประเทศเสรีนิยม ศาลสามารถที่จะนำหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ควบคุมฝ่ายปกครองได้ เช่น หลักความยุติธรรมตามธรรมชาติของอังกฤษ หลักกฎหมายทั่วไปของฝรั่งเศส และหลัก

Dueprocess of Law ในสหรัฐอเมริกา

การควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาลมีระบบการควบคุมที่สำคัญ 2 ระบบ คือ

1. ระบบศาลเดี่ยว ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยคดีทุกประเภท รวมทั้งคดีปกครองด้วย
2. ระบบศาลคู่ ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณาและพิพากษาคดีปกครองโดยทั่วไปมีคดีปกครองบางส่วนอันถือ
เป็นข้อยกเว้นเท่านั้น ที่กำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยได้ ศาลปกครองนั้นจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะแยกออกมาต่างหากจากศาลยุติธรรมมีการแบ่งแยกอำนาจศาลและวางระเบียบวิธีพิจารณาที่แตกต่างกันออกไปจาก ศาลยุติธรรม

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 การบริหารราชการแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2545 มีความสัมพันธ์อย่างไรกับ
กฎหมายมหาชน
และศาลปกครอง
ธงคำตอบกฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในทางปกครองและการบริการสาธารณะซึ่งการดำเนินการปกครองและการบริการสาธารณะสุขไม่อาจทำให้ประสบผลสำเร็จได้ หากปราศจากกฎหมายมหาชน ทั้งนี้ เพราะการดำเนินการปกครองหรือการบริการสาธารณะ จะต้องใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หากไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจในทางปกครองหรือให้อำนาจในการบริการสาธารณะไว้ รัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เช่น การออกบัตรประจำตัวประชาชน ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจหน่วยงานใด หรือเจ้าหน้าที่ผู้ใดไว้ก็จะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะผู้ทำหน้าที่ออกบัตรประจำตัวประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ รวมทั้งการอนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้อนุมัติ อนุญาตในเรื่องต่าง ๆ นั้นจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ด้วย

กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง และพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครอง เช่น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนตำบล พ.ร.บ.เทศบาล เป็นต้น

พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 เป็นกฎหมายมหาชน เพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้
อำนาจและหน้าที่แก่หน่วยงานของรัฐ ได้แก่กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ และให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาจนถึงลูกจ้างคนสุดท้ายของทางราชการทุกคนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องมีกฏหมายให้อำนาจและหน้าที่ไว้จึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้ บทบัญญัติของ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 เป็นการให้อำนาจหน้าที่ทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของกฎหมายมหาชน

การใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนในทางปกครองของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาจจะใช้
อำนาจตามกฎหมายนั้นหรืองดเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายนั้น ทำให้เกิดความเสียหายหรือรบกวนสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชนได้ เมื่อเกิดกรณีพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ซึ่งเรียกกรณีพิพาทนั้นว่า กรณีพิพาททางปกครอง ก็ต้องนำกรณีพิพาทนั้นขึ้นสู่ศาลปกครองในการพิจารณาคดี

ศาลปกครอง เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อความพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงาน
ของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน หรือระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาลด้วยกัน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย
 
พ.รบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 จึงเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐ หรือแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเมื่อเกิดกรณีพิพาทตามกฎหมายมหาชนแล้วจะต้องขึ้นศาลปกครอง

ข้อ 2 กฎหมายมหาชนได้แก่ กฎหมายที่กล่าวกำหนดถึงกฎเกณฑ์ทางกฎหมายทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับสถานะและอำนาจ ของรัฐและผู้ปกครอง รวมทั้งเป็นกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและผู้ปกครองกับพลเมืองผู้อยู่ใต้ปกครอง ในฐานะที่รัฐและผู้ปกครองมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือพลเมืองซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเอกชน  ส่วนกฎหมายเอกชน คือ กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันและในฐานะที่เท่าเทียมกัน

กฏหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนจึงแตกต่างกันในข้อสำคัญคือกฎหมายมหาชนนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างผู้ปกครองกับพลเมือง ส่วนกฎหมายเอกชนนั้น จะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันและบนพื้นฐานของ หลักความศักดิ์สิทธิ์แห่งเจตนา หรืออยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระของการแสดงเจตนาจงอธิบาย ความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชนมา โดย ละเอียด
ธงคำตอบ
1 ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ ในกฎหมายมหาชนองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชน กับเอกชน
2 ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย กฎหมายมหาชนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสาธารณะประโยชน์
และการให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคนหรือเฉพาะบุคคล แต่มีบางกรณีที่เอกชนอาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์
3 ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่
ได้ ซึ่งจะออกมาในรูปของคำสั่งหรือข้อห้าม ที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่ง รัฐ สามารถที่จะกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง เอกชนได้ โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาความ เสมอภาคและเสรีภาพในการทำสัญญาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจไม่ได้
4 ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษได้แก่ ศาลปกครองศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาทางกฎหมายเอกชน นั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา
 

5 ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนจะแตกต่างกัน กล่าวคือ นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตาม กฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกชนนั้นจะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและ มุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6 ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา นิติปรัชญากฎหมายมหาชนมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับ
ประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนหลัก เสรีภาพแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

 

ข้อ 3 จงอธิบายการควบคุมแบบป้องกัน

ธงคำตอบ

การควบคุมแบบป้องกัน หมายถึง ก่อนที่ฝ่ายบริหารจะได้วินิจฉัยสั่งการหรือก่อนจะมีการกระทำในทางปกครอง ที่จะไปกระทบต่อสถานภาพทางกฎหมายของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะมีระบบป้องกันเสียก่อนกล่าวคือ มีกฎหมายกำหนดกระบวนการหรือขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนที่จะมีคำสั่งออกไปกระบวนการควบคุมดังกล่าวในกฎหมายของต่างประเทศมีตัวอย่างเช่น

การโต้แย้งคัดค้าน คือ ผู้ที่อาจเสียหายจากการกระทำของฝ่ายปกครองจะต้องสามารถแสดงข้อโต้แย้งของตนได้ก่อนมีการกระทำนั้น เพื่อหลีกเลี่ยง การปกครองที่ดื้อดึง

การปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
การให้เหตุผล เพื่อเป็นหลักประกันในการควบคุมการใช้ดุลยพินิจของฝ่ายปกครอง
หลังการไม่มีส่วนได้เสีย กล่าวคือ ผู้มีอำนาจสั่งการทางปกครองต้องไม่มีส่วนได้เสียในเรื่องที่สั่งการนั้น
การไต่สวนทั่วไปเป็นวิธีการที่กำหนดให้ฝ่ายปกครองต้องสอบสวนข้อเท็จจริง โดยทำการรวบรวมความคิด
เห็นของบุคคลที่มีส่วนได้เสีย แล้วทำเป็นรายงานก่อนที่ฝ่ายปกครองจะตัดสินใจกระทำการที่จะมีผลกระทบผู้มีส่วนได้เสีย
การควบคุมแบบป้องกัน จึงเป็นวิธีการที่ช่วยเสริมการควบคุมโดยทางศาลเพราะฝ่ายปกครองจะต้องระมัดระวังในขั้นตอนการพิจารณาออกคำสั่ง ทำให้การกระทำของฝ่ายปกครองมีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดคดีที่จะมีไปสู่ศาลอีกทางหนึ่งด้วย

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 การบริการสาธารณะหมายความว่าอย่างไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับศาลปกครองหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบการบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในความควบคุมของฝ่ายปกครองที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน และกิจการเหล่านี้โดยสภาพแล้ว ไม่อาจทำให้บรรลุผลสำเร็จได้หากปราศจากกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้

การบริการสาธารณะมีลักษณะดังนี้ต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้
ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ
ต้องกระทำอย่างเสมอภาค
สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เสมอโดยกฎหมาย

การบริการสาธารณะมีความเกี่ยวข้องกับศาลปกครอง คือ การดำเนินกิจการบริการสาธารณะต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้และการใช้อำนาจหน้าที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชนแล้วเกิดกรณีพิพาทขึ้นเรียกว่ากรณีพิพาททางปกครอง และเมื่อเกิดกรณีพิพาททางปกครองขึ้นแล้ว หากจะต้องนำกรณีพิพาทนั้นไปขึ้นศาลจะต้องนำไปขึ้นศาลปกครอง
เพราะศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาคดีปกครอง คือ คดีเป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนกับหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของรัฐบาล ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำ หรือละเว้นการกระทำที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น การบริการสาธารณะจึงมีความสัมพันธ์กับศาลปกครองดังกล่าว



ข้อ
2

(ก) กฎหมายมหาชนมีวิวัฒนาการอย่างไร

(ข) จงอธิบาย ความหมายของกฎหมายมหาชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมาอย่างน้อย  10 ฉบับ
ธงคำตอบ

 (ก) วิวัฒนาการของกฎหมายมหาชน ก่อนที่จะมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเช่นในปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ในโลกส่วนใหญ่แล้วปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองสูงสุด ประชาชนเป็นเพียงผู้ถูกปกครองที่ต้องปฏิบัติตามและไม่สามารถจะควบคุมการใช้อำนาจของผู้ปกครองได้ หลังจากปี ค.ศ.1788 แนวความคิดและวิธีการปกครองประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการประกาศอิสรภาพของอเมริกาจากอังกฤษ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นแนวทางในการปกครองประเทศ โดยยึดหลักที่ว่า

1. ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาคกัน
2. ผู้ที่จะมาใช้อำนาจปกครองประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่ และมีกฎหมายได้ให้
อำนาจหน้าที่ไว้
3. การใช้อำนาจของผู้ปกครองประเทศ จะต้องใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ และผลประโยชน์ของประชาชน.
4. การใช้อำนาจนั้นจะต้องสามารถตรวจสอบ เเละมีระบบการควบคุมการใช้อำนาจให้อยู่ในความเหมาะสมได้

หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยดังกล่าว คือหลักการปกครองโดยกฎหมายที่เรียกว่า หลักนิติรัฐ

หลักนิติรัฐ หมายความว่าประชาชนจะไม่ถูกละเมิดจากการใช้อำนาจของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยขาดความยุติธรรมเพราะรัฐและเจ้า หน้าที่ของรัฐมีอำนาจปกครองตามกฎหมาย แต่จะใช้อำนาจเกินเลยจากที่กฎหมายให้อำนาจไว้ไม่ได้ประชาชนมีสิทธิที่จะ เรียกร้องและขอความเป็นธรรมได้

หน้าที่หลักของรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในระบอบประชาธิปไตย ก็คือ การบริการสาธารณะ
การบริการสาธารณะ คือ การบริหารงานปกครองที่จัดทำเพื่อสนองความต้องการของประชาชนโดยส่วนรวม และการบริการสาธารณะโดยสภาพแล้วไม่อาจทำให้บรรลุผลสำเร็จได้ หากปราศจากการใช้อำนาจของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าแทรกแซง ซึ่งกฎหมายที่ให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการบริหารการปกครองและการบริการสาธารณะนั้น เรียกว่า กฎหมายมหาชน

กฎหมายมหาชนจึงเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ในการบริหารการปกครองและการบริการสาธารณะและการใช้อำนาจตามหน้าที่ดังกล่าวต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้

ข. กฎหมายมหาชน หมายถึง กฎหมายที่บัญญัติถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชน หรือระหว่างเจ้าหน้าที่
หรือผู้ใช้อำนาจของรัฐกับเอกชน หรือระหว่างองค์กรของรัฐกับเอกชนในฐานะที่ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายปกครองมีอำนาจ ปกครองตามกฎหมาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือระหว่างเจ้า หน้าที่ของรัฐด้วยกัน ในฐานะที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง และเมื่อเกิดกรณีพิพาททางกฎหมายมหาชนต้องสามารถตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจ ปกครองได้ตามนิติวิธีทางกฎหมายมหาชน

กฎหมายมหาชน เช่น
1. กฏหมายรัฐธรรมนูญ
2. พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พศ.2534
3. พ.ร.บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
4. พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
5. พ.ร.บ. เทศบาล
6.พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร
7. พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
8. พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
9. พ.ร.บ. รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ
10.พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯลฯ

 

ข้อ 3 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ได้บัญญัติการแบ่งส่วนการบริหารราชการแผ่นดินของไทยไว้อย่างไร และส่วนราชการดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชนอย่างไร

ธงคำตอบ

พระราชบัญญัติระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ซึ่งเป็นกฎหมายมหาชนได้จัดระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดินเป็น 3 ส่วน คือ

1. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งมีฐานะเป็น
นิติบุคคลตามกฎหมาย
2. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอำเภอโดยกฎหมายบัญญัติให้จังหวัดเท่านั้น
ที่เป็นนิติบุคคล ส่วนอำเภอไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล
3. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่
องค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.)
เทศบาล
องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
เมืองพัทยา
กรุงเทพมหานคร

การแบ่งส่วนราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินพ.ศ.2534 เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ตามหลักกฎหมายมหาชน ดังนี้
นิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมายให้เป็นนิติบุคคล ได้แก่ หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น รวมทั้งรัฐวิสาหกิจ วัดในพระพุทธศาสนา และองค์การมหาชน

บุคคลธรรมดาตามกฎหมายมหาชน ได้แก่ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคลสำคัญในการบัญญัติจัดตั้งและให้อำนาจหน้าที่แก่องค์กรปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ให้เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ตลอดจนให้อำนาจหน้าที่แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดองค์กรดังกล่าว เพื่อดำเนินการในทางปกครองและการบริการสาธารณะ ซึ่งหากปราศจาก พ.ร.บ.ดังกล่าว ก็จะไม่เกิดองค์กรเหล่านี้ขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่สามารถใช้อำนาจทางปกครองได้ ทั้งนี้ เพราะการใช้อำนาจของนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนและบุคคลธรรมดาตามกฎหมายมหาชนจะ กระทำได้ก็แต่โดยที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2546

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ถามข้อ 1. จงยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนมา 5 ฉบับ พร้อมอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายมหาชนกับตัวนักศึกษาให้ชัดเจน

ธงคำตอบ    ประเด็นที่ 1   นักศึกษาจะต้องทราบว่า กฎหมายมหาชนมีลักษณะอย่างไร กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐ แก่หน่วยงานของรัฐ แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ประเด็นที่ 2  นักศึกษาจะต้องยกตัวอย่างกฎหมายมหาชนให้ได้ 5 ฉบับ กฎหมายมหาชน ได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง

กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่รัฐ

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ เช่น พ. ร.บ.ระเบียบ

บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม พ. ศ.2545 พ.ร.บ. อ.บ.จ. พ.ร.บ. อ.บ. ต. พ.ร.บ. เทศบาล พ.ร.บ. กทม.
พ. ร.บ. บริหารราชการเมืองพัทยา พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยต่าง ๆ

ประเด็นที่ 3    กฎหมายมหาชนเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษา ดังนี้กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าทีแก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าพนักงานของรัฐในทางปกครองให้ดำเนินกิจการในหลาย ๆด้าน ตามแต่

กฎหมายจะให้อำนาจไว้ เช่น ในเรื่องการบริการสาธารณสุขหรือการกำหนดสิทธิหน้าที่ของประชาชนตามกฎหมาย และหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้อำนาจทางปกครองก็จะใช้อำนาจดังกล่าวแก่ประชาชน นักศึกษา เพื่อให้ปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ การจัดระเบียบการปกครอง ดังนั้นกฎหมายมหาชนกับประชาชน รวมทั้งตัวนักศึกษา ผู้อยู่ใต้ปกครองจึงมีความเกี่ยวข้องกัน
โดยตรงไม่สามารถแยกจากกันได้ โดยกฎหมายมหาชนนั้น  โดยหลักๆ แล้วจะเป็นกฎหมายที่ประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 ซึ่งเป็นกฎหมายมหาชนได้บัญญัติไว้ทั้งสิทธิและหน้าที่รับรองไว้สิทธิที่กฎหมายมหาชนบัญญัติรับรอง เช่น สิทธิในการรับการบริการสาธารณะจากรัฐสิทธิในการเเสดงความคิดเห็น สิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย หน้าที่ๆกฎหมายมหาชนบัญญัติไว้เช่น หน้าที่ในการเลือกตั้งของประชาชน

ข้อ 2 ลักษณะเฉพาะของกฎหมายที่ใช้ในการปฏิรูปประการหนึ่งและอีกประการหนึ่งเป็นกฎหมายที่มีเพื่อสาธารณะประโยชน์หรือมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ

ดังนั้น จึงขอให้นักศึกษาอธิบายขยายความ คำว่า การปฏิรูป และคำว่าสาธารณะประโยชน์ หรือ ประโยชน์สาธารณะ ในความหมายทางกฎหมายมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ประเด็นเกี่ยวกับ การปฏิรูปการกล่าวว่า กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ใช้ในการปฏิรูป อธิบายได้ว่าการปฏิรูปการเมืองการปกครอง

รวมทั้งการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมนั้นเป็นการริเริ่มหรือ เป็นการกำหนดให้มีขึ้นได้โดยอำนาจรัฐ และโดยการใช้กฎหมายมหาชนเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือจัด ระบบการเพื่อการปกครอง รวมทั้งเพื่อขจัดโครงสร้างใหม่ทางด้านเศรษฐกิจสังคมและเพื่อพัฒนาการบริหาร ราชการแผ่นดินในระบอบการปกครองยุคกษัตริย์และในการปกครองระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชนั้น องค์พระมหากษัตริย์นั่นเอง คือ อำนาจรัฐ และพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นกฎหมาย

ดังนั้น เมื่อพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์เป็นพระบรมราชโองการที่เกี่ยวกับการจัดระบบการปกครอง หรือเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างอำนาจรัฐ หรือเกี่ยวกับการจัดระเบียบโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจการเมือง พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ซึ่งมีสถานะเป็นกฎหมายดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการใช้กฎหมายมหาชนในการปฏิรูป
การปฏิรูปครั้งสำคัญ ๆ ของรัฐที่ผ่านมานั้น อาจพิจารณาได้ว่ามี 4 ครั้งด้วยกัน กล่าวคือ ครั้งแรก ได้แก่ การปฏิรูประบบการปกครองในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ การปฏิรูปครั้งที่สอง คือ การปฏิรูปครั้งใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ครั้งที่สาม คือ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ2475 ซึ่ง ในครั้งนี้ทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการปฏิรูปโดยใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายมหาชนในภาวะการณ์ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหานานับการ ทั้งปัญหาภายในประเทศทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งปัญหาจากต่างประเทศในเรื่องการแข่งขันและการปรับตัวให้ก้าวทันกับ ความเจริญก้าวหน้าในยุคโลกาภิวัฒน์ของโลก ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างรอบด้านอีกครั้งหนึ่งโดยใช้กฎหมาย มหาชนเป็นเครื่องมือในการปฏิรูป เช่น การปฏิรูปกฎหมายการปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปแบบเลือกตั้ง การปฏิรูประบบการศึกษา การปฏิรูปราชการ การปฏิรูปเศรษฐกิจ และที่สำคัญในการปฏิรูปประเทศไทย ก็คือ การจัดให้มีการบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับที่ 5 พ.ศ.2545และการบริหารราชการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546ประเด็นเกี่ยวกับ ประโยชน์สาธารณะลักษณะเฉพาะประการหนึ่งของกฎหมายมหาชน คือ กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเป็นลักษณะที่สำคัญที่ทำให้รัฐมีวิธีดำเนินกิจกรรมของรัฐในฐานะที่รัฐมีเอกสิทธิ์ทางปกครองเหนือเอกชน
ประโยชน์สาธารณะเป็นวัตถุประสงค์ของรัฐในการดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่
ในสังคม ลักษณะของประโยชน์สาธารณะอาจอธิบายเป็นข้อๆได้ดังต่อไปนี้
1 ประโยชน์สาธารณะ คือ การดำเนินการของรัฐเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมมิใช่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ดำเนินการนั้นเอง หรืออาจกล่าวได้ว่าประโยชน์สาธารณะเป็นความต้องการของบุคคลแต่ละคนที่ตรงกัน และมีจำนวนมากจนเป็นหมู่มากหรือเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมบนความต้องการนั้นถูก ยกระดับให้เป็นประโยชน์สาธารณะ

2 การพิจารณาว่าเครื่องใช้เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือเป็นประโยชน์สาธารณะหรือไม่ เนื่องจากความต้องการของแต่ละบุคคลนั้นเป็นภาวะความรู้สึกทางจิตใจ ดังนั้น จึงจำเป็นมีองค์กรหนึ่งองค์กรใดเป็นผู้กำหนดว่าเรื่องใดเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยทั่วไปถือว่า ได้แก่ รัฐสภา เนื่องจากเหตุผลว่ารัฐสภาเป็นศูนย์รวมของผู้แทนที่มาจากทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าเรื่องที่รัฐสภาพพิจารณา แล้วก็ถือเป็นความต้องการของประชาชนด้วย กล่าวคือ ผู้แทนของประชาชนได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประชาชนในกรณีนั้น ๆ แล้ว ดังนั้น หากรัฐสภาได้ตรากฎหมายให้รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีอำนาจดำเนินการในเรื่องใดเรื่องนั้นก็คือ ความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือประโยชน์สาธารณะนั่นเอง
3 ประโยชน์สาธารณะเป็นเรื่องที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมดังนั้นฝ่ายปกครองจึงไม่อาจจะเลือกใช้ดุลพินิจได้ว่า จะดำเนินการหรือไม่ และถ้าเป็นกฎหมายที่รัฐสภาได้ตราออกมาให้อำนาจแก่ฝ่ายปกครองเพื่อดำเนินการ แล้ว หากฝ่ายปกครองไม่ดำเนินการย่อมเป็นการอันมิชอบ ซึ่งฝ่ายปกครองอาจจะต้องรับผิดชอบเรื่องค่าเสียหายจากการไม่ดำเนินการนั้น ลักษณะดังกล่าวเป็นความแตกต่างระหว่างอำนาจในกฎหมายมหาชนกับสิทธิในกฎหมาย เอกชนกล่าวคือ สิทธิในกฎหมายเอกชนนั้น เจ้าของสิทธิอาจจะงดเว้นไม่ใช้สิทธิของตนก็ได้ แต่อำนาจในกฎมหาชนไม่ใช่สิทธิ ด้วยเหตุนี้ในเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้ฝ่ายปกครองอำนาจดำเนินการของฝ่าย ปกครองจึงไม่อาจจะอ้างได้ว่าเป็นสิทธิชองฝ่ายปกครองที่จะใช้หรือจะไม่ใช้ อำนาจนั้น

 

ข้อ 3 ท่านเข้าใจศาลปกครองอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ศาลปกครอง เป็นองค์กรควบคุมฝ่ายปกครองในประเทศที่มีระบบศาลคู่ กล่าวคือ มีศาลยุติธรรม
พิจารณาคดีข้อพิพาทระหว่างเอกชน และมีศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีปกครองแยกต่างหากจากศาลยุติธรรม โดยศาลปกครองก็เป็นองค์กรศาลที่มีความเป็นอิสระ มีวิธีพิจารณาคดีและวินิจฉัย เสร็จเด็ดขาดในศาลนั้นโดยศาลปกครองมีศาลสูงสุดเฉพาะของตนเอง ที่สำคัญก็คือ มีระบบกฎหมายปกครองเป็นการเฉพาะที่แตกต่างไปจากกฎหมายเอกชน ทั้งสาระบัญญัติและสบัญญัติที่สร้างโดยศาลโดยปกติแล้วศาลปกครอง จะควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครองศาลปกครองจะไม่ก้าวล่วง ไปพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ดุลพินิจของฝ่ายปกครองแต่ในทางปฏิบัติศาล ปกครองจะเป็นผู้วางหลักเกณฑ์ระหว่างความชอบด้วยกฎหมายกับดุลพินิจเองประเทศ ต้นแบบที่ใช้ระบบศาลคู่คือฝรั่งเศส และต่อมาได้มีการยอมรับไปใช้ในประเทศต่าง อย่างกว้างขวาง เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เบลเยี่ยม สเปนอียิปต์ รวมทั้งไทยในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามมีระบบศาลคู่ก็อาจมีข้อเสียคือ อาจมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจของศาลว่าคดีใดจะขึ้นศาลใดแต่มีข้อดีในแง่ที่ว่า ศาลปกครองจะมีผู้พิพากษาที่เชี่ยวชาญเฉพาะคดีและมีระบบกฎหมายปกครองเป็นการ เฉพาะที่ประสานประโยชน์สาธารณะและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลได้อย่างมีดุลยภาพ

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001  หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. ระบบศาลเดี่ยวกับระบบศาลคู่แตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

ระบบศาลเดี่ยว หมายถึง ระบบศาลในประเทศที่มีเพียงศาลยุติธรรมประเภทเดียวที่มีอำนาจพิจารณาคดีแพ่ง คดีอาญา คดีประเภทอื่น รวมทั้งคดีปกครองด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักกฎหมายที่ศาลนำมาใช้คือกฎหมายธรรมดาหรือกฎหมายเอกชน ที่นำมาใช้กับคดีปกครองด้วย ยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ โดยใช้วิธีการของศาลในระบบ common Law

โดยการนำหลัก naturay justic มาใช้กับกระบวนการพิจารณาในชั้นของฝ่ายปกครอง กำหนดวิธีพิจารณาที่เหมาะสมและมีการแก้ไขกฎหมายให้การเข้าถึงศาลเป็นที่เข้าใจได้ง่ายเข้าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้น ยังใช้วิธีการออกหมายบังคับในกรณีต่าง ๆ ได้ ประเทศที่ใช้ระบบศาลเดี่ยวก็คือ ประเทศแองโกลแซกซอน ซึ่งใช้ระบบกฎหมาย common เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น

ระบบศาลคู่ ในประเทศที่เป็นระบบศาลคู่ นอกจากจะมีศาลยุติธรรมพิจารณาคดีระหว่างเอกชนแล้ว ยังมีศาลปกครองเฉพาะพิจารณาคดีปกครองโดยมีระบบกฎหมายเฉพาะมาใช้คดีปกครอง ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่ศาลได้ร่างขึ้นมาเอง และเป็นหลักกฎหมายที่สร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้เป็นอย่างดี

การที่ศาลปกครองต้องใช้ระบบกฎหมายเฉพาะเป็นผลมาจากการที่คู่ความมีฐานะไม่เท่าเทียมกัน ศาลจึงจำเป็นต้องสร้างหลักกฎหมายทั้งวิธีพิจารณา และสาระบัญญัติที่แตกต่างออกไปจากกฎหมายธรรมดา ประเทศที่ใช้ระบบศาลคู่ประเทศแรกคือฝรั่งเศส ต่อมาได้ นำไปใช้ประเทศยุโรปอื่น ๆ ซึ่งในปัจจุบันไทยได้นำระบบนี้มาใช้เช่นเดียวกัน โดย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

ข้อ 2. กฎหมายมหาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครองว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร หรือไม่ จงอธิบาย
ธงคำตอบ

 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ หน่วยงานของรัฐ และเจ้า
หน้าที่ของรัฐ ในทางปกครองและการบริการสาธารณสุขซึ่งการปกครองและการบริการสาธารณะไม่อาจทำให้ประสบผลสำเร็จได้หากปราศจาก กฎหมายมหาชนเจ้าหน้าที่ของรัฐ หมายถึง บุคคลซึ่งใช้อำนาจ หรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ ในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายมหาชน

การบริการสาธารณะ หมายถึง กิจการที่อยู่ในความอำนวยการ หรือในความควบคุมของฝ่ายปกครอง ที่จัดทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนเช่น หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ เป็นต้นการใช้อำนาจตามกฎหมายมหาชนของเจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะนั้น อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือรบกวนสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์จนของประชาชนได้ เมื่อเกิดกรณีพิพาทดังกล่าวซึ่งเรียกว่ากรณีพิพาททางปกครอง ก็ต้องใช้ศาลปกครองในการพิจารณาคดีศาลปกครอง หมายถึง ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานราชการ หน่วย
งานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือในกำกับดูแลของรัฐบาลกับเอกชน ซึ่งเป็นข้อพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่หน่วยงานการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

ดังนั้น กฎหมายมหาชนมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบริการสาธารณะและศาลปกครองดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3 จงอธิบาย
ก. ความหมายกฎหมายมหาชน
ข. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน

ธงคำตอบ

 ก. ความหมายของกฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการใช้อำนาจรัฐเกี่ยวกับการปกครองหรือเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐ กล่าวคือ กฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับราษฎร ในลักษณะที่รัฐหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นฝ่ายปกครอง มีเอกสิทธิ์หรือสถานะเหนือกว่าราษฎรซึ่งเป็นเอกชน และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง

ข. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน มี ดังต่อไปนี้

1 ความแตกต่างขององค์กรหรือตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ ในกฎหมายมหาชน องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไป
นิติสัมพันธ์ คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่ง กับเอกชนอีกฝ่ายหนึ่ง แต่กรณีของกฎหมายเอกชนตัวบุคคลที่เข้าไปมีนิติสัมพันธ์ คือ เอกชน กับเอกชน

2. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย เพื่อสาธารณะประโยชน์ และการให้บริการสาธารณะโดยมิได้มุ่งหวังในเรื่องกำไร ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละคนหรือเฉพาะบุคคล แต่มีบางกรณีที่เอกชนอาจทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้ เช่น การตั้งมูลนิธิหรือสมาคมเพื่อการกุศลและสาธารณะประโยชน์

3 ความแตกต่างทางด้านรูปแบบของนิติสัมพันธ์ กฎหมายมหาชนมีลักษณะเป็นการบังคับและหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งจะออกในรูปของคำสั่งหรือข้อห้าม ที่เรียกว่า การกระทำฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นการกระทำซึ่งฝ่ายหนึ่ง คือรัฐ สามารถที่จะกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง เอกชนได้ โดยที่ฝ่ายหลังไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย เช่น การออกกฎหมายต่าง ๆ ส่วนกฎหมายเอกชนนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาความ เสมอภาคและเสรีภาพในการทำสัญญาคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับอีกฝ่ายหนึ่งให้ เข้าร่วมทำสัญญาโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหรือไม่สมัครใจไม่ได้

4 ความแตกต่างในเรื่องเขตอำนาจศาล ปัญหาทางกฎหมายมหาชนจะขึ้นสู่ศาลพิเศษ ได้แก่ ศาลปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนปัญหาทางกฎหมายเอกชนนั้นจะขึ้นสู่ศาลยุติธรรม ได้แก่ ศาลแพ่ง ศาลอาญา

5 ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี แนวความคิดวิเคราะห์ในทางกฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชนจะแตก
ต่างกัน กล่าวคือ นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจะไม่นำหลักกฎหมายเอกชนมาใช้กับปัญหาที่เกิดขึ้นตาม กฎหมายมหาชน แต่จะสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้เอง ส่วนนิติวิธีทางกฎหมายเอกชนนั้น จะเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนและมุ่งรักษาประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

6 ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา นิติปรัชญากฎหมายมหาชนมุ่งประสานประโยชน์สาธารณะกับประโยชน์ของเอกชนและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล แต่นิติปรัชญากฎหมายเอกชนเน้นความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันและตั้งอยู่บนหลัก เสรีภาพแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ซ่อมภาค 2 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ซ่อมภาค 2 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 (LA 101),(LW 101) หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 เป็นกฎหมายปกครองและเป็นกฎหมายมหาชนเพราะเป็นกฎหมายที่บัญญัติอำนาจหน้าที่ในทางปกคองแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ จงอธิบายอย่างละเอียดว่าการแบ่งส่วนราชการตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2535 ดังกล่าวแบ่งอย่างไร และมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร 

ธงคำตอบการบริหารราชการแผ่นดินของไทยเป็นตามบทบัญญัติของกฎหมายมหาชน คือ รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2543 บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครอง

ได้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเป็น 3 ส่วน คือ

1. การจัดระเบียบราชการส่วนกลาง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย

2. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่ จังหวัดและอำเภอกฎหมายบัญญัติให้จังหวัดเป็นนิติบุคคล ส่วนอำเภอไม่เป็นนิติบุคคล

3. การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่
องค์การบริหารส่วนจังหวัด

เทศบาล
องค์การบริหารส่วนตำบล
เมืองพัทยา

การจัดทะเบียนบริหารราชการส่วนท้องถิ่นเป็นการกระจายอำนาจทางปกครองให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองตามความประสงค์ของประชาชนเอง และการเกิดขึ้นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนี้เกิดขึ้นจากบทบัญญัติของกฎหมาย และกฎหมายที่ทำให้เกิดองค์กรดังกล่าวเป็นกฎหมายมหาชน ชึ่งได้แก่

พ.ร บ. องค์การบริหารส่วนจังหวัด
พ.ร.บ เทศบาล
พ.ร.บ. สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล
พ.ร.บ. บริหารราชการกรุงเทพมหานคร
พ.ร.บ.บริหารราชการเมืองพัทยา

พระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น เป็นกฎหมายมหาชนที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองและบริการ
สาธารณะแก่องค์กรดังกล่าว ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามบทบัญญัติของกฎหมาย

 

ข้อ 2. รัฐคืออะไร องค์ประกอบของรัฐมีอะไรบ้าง และรัฐกับรัฐบาลเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

ธงคำตอบ

 รัฐ เป็นสถาบันหรือเป็นเครื่องค้ำจุนอำนาจที่มนุษย์ได้สมมติให้มีขึ้น ดังนั้นรัฐจึงเป็นนามธรรม
ศาสตราจารย์ ยอร์ช บูรโด ได้อธิบายความหมายของ รัฐ ไว้ว่า รัฐ คืออำนาจที่ถูกจัดเป็นสถาบัน รัฐคือ ผู้ถืออำนาจที่เป็นนามธรรมและถาวรโดยมีผู้ปกครองชึ่งเป็นแต่เพียงเจ้า หน้าที่ผู้ดำเนินการอันสำคัญที่ผ่านไปเท่านั้น
รัฐ นั้นกล่าวโดยสรุปคือ ในช่วงปลายยุคกลางสังคมมนุษ์ย์ไม่มีสภาพเป็น รัฐ ตามความหนายในปัจจุบันนี้
อำนาจในการปกครองจึงเป็นอำนาจของบุคคลซึ่งเป็นผู้ปกครอง เมื่อสังคมพัฒนามากขึ้น จึงทำให้เกิดชนชั้นใหม่ ๆ ขึ้นมานอกเหนือไปจากชนชั้นผู้ปกครอง ไพร่ และทาส ตามระบอบศักดินาแบบเดิม

องค์ประกอบของรัฐนั้นกล่าวโดยสรุปได้ 3 ประการ คือ ดินแดน อำนาจอธิปไตย ประชากรรัฐ เป็นนามธรรม แต่จะต้องมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อการปกครอง รัฐจึงต้องมีบุคคลธรรมดาซึ่งอาจจะเป็นบุคคลเพียงคนเดียวหรือคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นเเทน รัฐ ในนามของ รัฐในขณะที่ รัฐบาลนั้น คือ ตัวแทนของรัฐที่ใช้อำนาจปกครองและใช้อำนาจในการให้บริการสาธารณะแต่ก็ยอมรับ ว่าต้องมีอำนาจในการปกครองสังคม มนุษย์จึงต้องประดิษฐ์เครื่องค้ำจุนอำนาจขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนตัวบุคคลและ เครื่องค้ำจุนอำนาจใหม่นี้จะต้องเป็นอิสระที่แยกออกจากตัวบุคคลด้วยทั้งนี้ เพื่อให้ รัฐ เป็นเจ้าของอำนาจรัฐ มิใช่ให้ บุคคลเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ

 

ข้อ 3. การควบคุมฝ่ายปกครองโดยศาลปกครอง นักศึกษาเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย
ธงคำตอบ

การควบคุมฝ่ายปกครองโดยทางศาล หมายถึง การควบคุม โดยองค์กรที่เป็นอิสระจากอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจของฝ่ายบริหารและมีวิธีพิจารณา มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้เสร็จเด็ดขาดที่ศาลสูงของศาลนั้นเองโดยปกติศาล จะควบคุมได้เฉพาะความชอบด้วยกฎหมายศาลจะไม่ก้าวล่วงเข้าไปควบคุมความเหมาะ สมในการใช้ดุลพินิจที่แท้จริงของฝ่ายปกครองได้

การควบคุมโดยทางศาลอาจจะควบคุมโดยศาลยุติธรรม ระบบศาลเดี่ยว หรือการควบคุมโดยศาลปกครองระบบศาลคู่ การควบคุมโดยศาลยุติธรรมมักใช้ในประเทศ แองโกแซกซอน เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และประเทศที่ได้รับอิทธิพลจาก2 ประเทศดังกล่าว โดยในประเทศเหล่านี้ ศาลยุติธรรมจะพิจารณาคดีข้อพิพาทระหว่างเอกชนด้วยกันเองและระหว่างเอกชนกับฝ่ายปกครองด้วยกันเอง โดยศาลยุติธรรมจะนำหลักกฎหมายธรรมดามาใช้บังคับยกเว้นในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษ

การควบคุมโดยศาลปกครองมักใช้ในประเทศระบบประมวลกฎหมายในภาคพื้นยุโรป โดยมีฝรั่งเศสเป็นต้น
แบบในประเทศที่มีศาลปกครอง ศาลยุติธรรมจะมีอำนาจพิจารณาคดีระหว่างเอกชนด้วยกัน และมีศาลปกครองที่มีอำนาจพิจารณาคดีปกครองโดยเฉพาะ และใช้หลักกฎหมายพิเศษหรือระบบกฎหมายปกครองโดยเฉพาะมาใช้ปรับกับคดีในประเทศ ไทยในปัจจุบันมีการนำระบบศาลปกครองมาใช้แล้วในปัจจุบัน

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน

ข้อ 1. จงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างระบอบประชาธิปไตยหลักนิติรัฐ และกฎหมายมหาชน ตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

 จากปัญหาการใช้อำนาจทางปกครองของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่อำนาจอยูที่ผู้นำเพียงผู้เดียว ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง และการใช้อำนาจในการปกครองไม่สามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้ ทำให้ประชาชนถูกรบกวนสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจทางปกครองอย่างไม่เป็นธรรม

จากปัญหาดังกล่าวจึงทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครองเป็นสามอำนาจคืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

จากหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง ทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยโดยมีหลักการว่า

1. ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เสมอภาคกัน

2 ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง

3. เมื่อได้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน

4. การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้
เมื่อเกิดหลักการของระบอบประชาธิปไตย ทำให้เกิดหลักนิติรัฐคือหลักการปกครองโดยกฎหมาย หมายความว่า การใช้อำนาจในทางปกครองในทุกระดับต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ และการใช้อำนาจนั้นต้องสามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้จากหลักนิติรัฐ ทำให้เกิดหลักกฎหมายมหาชนในปัจจุบัน เพราะกฎหมายมหาชนในปัจจุบันเป็นกฎหมายที่
บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่รัฐแก่หน่วยงานของรัฐ และแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และการใช้อำนาจในทางปกครองดังกล่าวต้องสามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งอำนาจทางปกครอง
ธงคำตอบ

หลักการแบ่งอำนาจทางปกครอง เกิดขึ้นเนื่องจาการรวมอำนาจปกครองเข้าไว้ในส่วนกลาง มีข้อเสีย เพราะไม่สามารถดำเนินการให้ได้ผลดีและทั่วถึงทุกท้องที่พร้อมกัน และมักมีระเบียบแบบแผนยุ่งยากทำให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ไม่อาจสนองตอบความต้องการขอประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

จึงได้มีการขยายหลักการรวมอำนาจด้วยหลักการแบ่งอำนาจปกครองให้แก่ส่วนภูมิภาคทั้งนี้เพราะการรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ไม่จำเป็นต้องสงวนอำนาจสั่งการทุกเรื่องไว้ที่ส่วนกลางแห่งเดียว เพื่อแบ่งเบาภาระของกระทรวง ทบวง กรม อาจจะมอบอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้แก่เจ้าหน้าที่ของส่วนกลาง 

ที่ออกไปประจำในส่วนภูมิภาคได้ เมื่อราชการนั้นไม่เกี่ยวกับส่วนได้เสียทั่วไปของประเทศ และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขตการปกครองนั้นโดยเฉพาะ แต่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ยังคงเป็นผู้ที่ราชการบริหารส่วนกลางแต่งตั้งทั้งสิ้นและอยู่ในบังคับบัญชาของราชการบริการส่วนกลาง หลักการแบ่งอำนาจทางปกครองนี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักการรวมอำนาจทางปกครอง ไม่ใช่เป็นการกระจายอำนาจ

 

ข้อ 3. ลักษณะเฉพาะประการหนึ่งของกฎหมายมหาชน คือเป็นกฎหมายที่ใช้ในการปฏิรูป

ดังนั้นจึงขอให้นักศึกษาอธิบายสาระสำคัญของ การปฏิรูป การเมืองการปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดินแนวใหม่ ตามมาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2545 และพระราชทฤษฏีการว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

กฎหมายมหาชนเป็นเครื่องมือที่สำคัญของรัฐในการดำเนินการปฏิรูป โดยการปฏิรูปที่สำคัญ
คือ การปฏิรูปการเมือง การปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2545 ได้กำหนดเกี่ยวกับการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินไว้
มาตรา 3/1 การบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเกิดผลสัมฤทธิ์
ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงานการลดภารกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งนี้โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงานการจัดสรรงบประมาณ และการบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่ต้องคำนึงถึง หลักการตามวรรคหนึ่ง

ในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการ ต้องใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คำนึงถึง
ความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงาน การมีส่วนร่วมของประชาชน การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน ทั้งนี้ตามความเหมาะสมของแต่ละภารกิจเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้เป็นไป ตามมาตรานี้ จะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติราชการและการสั่ง การให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติก็ได้

ส่วนพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 นั้นออกโดยอาศัย
อำนาจตามมาตรา 3/1 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินดังกล่าวข้างต้น ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติงานการ การสั่งการให้ส่วนราชการและข้าราชการปฏิบัติราชการ เพื่อให้การบริหารกิจการบ้านเมืองเป็นไปตามเป้าหมายในเนื้อหาของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 จะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการ โดยนำเนื้อความของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา311 มาขยายอีกทีหนึ่งซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 7 ประการดังต่อไปนี้

1. หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประขาชน
2. หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของ
3. หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
4. หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการเพื่อไม่เป็นการสร้างขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5. หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติราชการเพื่อให้มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
6. หลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการเพื่อให้ประชาชนได้รับการอ่านวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. หลักเกณฑ์ในการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ

WordPress Ads
error: Content is protected !!