LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายแสนได้ครอบครองที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายดำและนายแดงจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว แต่นายแสนยังไม่ได้ไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินนั้น  เมื่อนายดำรู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ดังกล่าวจึงขายที่ดินส่วนของตนให้นายแดงเจ้าของรวมอีกผู้หนึ่ง  ภายหลังการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเพียงผู้เดียวแล้ว  นายแดงจึงรู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายแสน  และต้องการฟ้องขับไล่ให้นายแสนออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแดงจะฟ้องไล่นายแสนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

วินิจฉัย

การที่นายแสนได้ครอบครองที่ดินมีโฉนดซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของนายดำและนายแดงจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว นายแสนจึงเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299  วรรคสอง  แต่เนื่องจากนายแสนยังไม่ได้ไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว  จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนและจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยมีค่าตอบแทนโดยสุจริต  และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้  ส่วนกรณีที่นายดำเจ้าของรวมจดทะเบียนขายที่ดินส่วนของตนให้กับนายแดงเจ้าของรวมอีกผู้หนึ่ง  จนนายแดงเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวนั้น  ก็ไม่ถือว่านายแดงเป็นบุคคลภายนอกตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299  วรรคสอง  เพราะการครอบครองปรปักษ์ของนายแสนเป็นการครอบครองปรปักษ์ในส่วนที่นายแดงเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  นายแสนจึงยกการได้ที่ดินมาโดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นายแดงได้  ดังนั้น  นายแดงจึงฟ้องขับไล่นายแสนไม่ได้

 

ข้อ  2  จันทร์เก็บโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งได้ในห้องลองเสื้อของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง  ย่านถนนรามคำแหง  และได้นำโทรศัพท์เครื่องนี้ไปขายให้น้อยซึ่งตั้งร้านรับซื้อขาย  ซ่อมโทรศัพท์มือสองทุกรุ่นทุกยี่ห้อ  ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าเดียวกันในราคา  3,000  บาท  ขณะที่จันทร์ขายโทรศัพท์ที่เก็บได้แก่น้อย  อาทิตย์ซึ่งกำลังหาซื้อโทรศัพท์ในร้านก็มาขอดูโทรศัพท์เครื่องนี้และตกลงซื้อจากน้อยในราคา  3,500  บาท  แต่เมื่อใช้ไปได้เพียง  3  วัน  ก็ได้รับแจ้งจากอังคารว่าโทรศัพท์นี้เป็นของอังคารขอให้อาทิตย์นำมาคืน  มิฉะนั้นจะแจ้งตำรวจให้จับอาทิตย์

ดังนี้  อาทิตย์จึงมาปรึกษาท่านเพื่อขอคำแนะนำว่าตนจะต้องคืนโทรศัพท์เครื่องนี้แก่อังคารหรือไม่  และหากต้องคืน  ตนจะมีทางเรียกเงิน  3,500  บาท  กลับคืนหรือไม่  จากใคร  เพราะเหตุใด  ขอให้ท่านให้คำปรึกษาแก่อาทิตย์

ธงคำตอบ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

อาทิตย์ซื้อโทรศัพท์มือถือมาจากน้อยซึ่งเป็นพ่อค้าที่รับซื้อขาย  ซ่อมโทรศัพท์มือสองทุกรุ่นทุกยี่ห้อ  จึงถือว่าอาทิตย์ซื้อทรัพย์สินมาจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น  เมื่อซื้อโดยไม่รู้ว่าเป็นโทรศัพท์ที่เจ้าของลืมไว้จึงเป็นการซื้อโดยสุจริต  ตามหลัก  ป.พ.พ.  มาตรา  1332  อาทิตย์ย่อมได้รับความคุ้มครอง  กล่าวคือ  อาทิตย์ไม่ต้องคืนโทรศัพท์แก่เจ้าของที่แท้จริง  นอกเสียจากว่าจะได้รับชดใช้ราคาที่เสียไปจากเจ้าของ

ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะแนะนำอาทิตย์ว่า  อาทิตย์ต้องคืนโทรศัพท์แก่นายอังคาร  แต่ยังไม่ต้องคืนจนกว่าอังคารจะชดใช้ราคา  3,500  บาท  ที่เสียไปคืนแก่อาทิตย์

 

ข้อ  3  นายหนึ่งและนายสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงหนึ่ง  โดยนายหนึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้มาตลอด  ต่อมานายหนึ่งได้ให้นายสามซึ่งเป็นเพื่อนกับนายหนึ่งเข้าอาศัยในที่ดินแปลงนี้โดยไม่ได้บอกให้นายสองทราบ  เมื่อนายสามอาศัยในที่ดินแปลงนี้มาได้หกเดือน  นายสองเพิ่งทราบว่านายสามเข้ามาอยู่บนที่ดินแปลงนี้และโดยนายหนึ่งเป็นผู้อนุญาต  นายสองจึงได้บอกนายสามว่าถ้านายสามอยากอยู่ต่อก็ต้องเสียค่าเช่า  มิฉะนั้นก็ต้องออกไปจากที่ดินแปลงนี้  แต่นายสามไม่ยอมออกไปจากที่ดินแปลงนี้  และก็ไม่ยอมเสียค่าเช่าให้นายสอง

ให้ท่านวินิจฉัยว่านายสองจะเรียกค่าเช่าที่ดินแปลงนี้จากนายสามได้หรือไม่  และถ้านายสามไม่ยอมจ่ายค่าเช่า  นายสองจะขับไล่นายสามให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1359  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก

มาตรา  1361  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จะจำหน่ายส่วนของตน  หรือจำนอง  หรือก่อให้เกิดภารติดพันก็ได้

แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย  จำนำ  จำนอง  หรือก่อให้เกิดภารติดพันได้  ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน

วินิจฉัย

นายหนึ่งและนายสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงหนึ่ง  โดยนายหนึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้มาตลอด  ต่อมานายหนึ่งได้ให้นายสามซึ่งเป็นเพื่อนกับนายหนึ่งเข้าอาศัยในที่ดินแปลงนี้โดยไม่ได้บอกให้นายสองทราบ  เมื่อนายสามอาศัยในที่ดินแปลงนี้มาได้หกเดือน  เดือน  นายสองทราบว่านายสามเข้ามาอยู่บนที่ดินแปลงนี้และโดยนายหนึ่งเป็นผู้อนุญาตเพียงผู้เดียว  ไม่ได้รับความยินยอมจากนายสองซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่ง  ตามมาตรา  1361  วรรคสอง  จึงไม่ผูกพันตัวทรัพย์  นายสองจึงให้นายสามออกจากที่ดินแปลงนี้ได้  แต่นายสองบอกนายสามว่าถ้านายสามอยากอยู่ต่อก็ต้องเสียค่าเช่า  มิฉะนั้นก็ต้องออกไปจากที่ดินแปลงนี้  นายสองจะเรียกค่าเช่าที่ดินแปลงนี้จากนายสามได้  และถ้านายสามไม่ยอมเสียค่าเช่าให้นายสอง  นายสองก็ขับไล่นายสามให้ออกจากที่ดินแปลงนี้ได้ตามมาตรา  1359

 

ข้อ  4  นายแจ่มเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งที่มีคลองภารจำยอมให้นายใจผ่านเข้าออกจากที่ดินของนายใจ  นายใจได้ภารจำยอมมาโดยการครอบครองปรปักษ์  และจดทะเบียนการได้มาเรียบร้อยแล้ว  ต่อมานายแจ่มได้แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นออกเป็นสองโฉนดและยกที่ดินที่แบ่งทั้งสองแปลงแล้วขายให้กับนายจิตกับนายจอม  ที่ดินของนายจอมเท่านั้นที่มีคลองภารจำยอมแตะอยู่  ส่วนของนายจิตไม่มี นายจิตจึงต้องการเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินของตนที่รับโอนมา  แต่นายใจต้องการค่าชดเชยหนึ่งแสนบาทถึงจะยอมให้เพิกถอนทะเบียนในส่วนที่ดินที่นายจิตซื้อ  นายจิตจะขอเพิกถอนภารจำยอมและต้องจ่ายชดเชยตามที่นายใจเรียกร้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1394  ถ้ามีการแบ่งแยกภารทรัพย์  ท่านว่าภารจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก  แต่ถ้าในส่วนใดภารจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ  ท่านว่าเจ้าของส่วนนั้นเรียกให้พ้นจากภารจำยอมก็ได้

วินิจฉัย

นายแจ่มเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งที่มีคลองภารจำยอมให้นายใจผ่านเข้าออกจากที่ดินของนายใจ  นายใจได้ภารจำยอมมาโดยการครอบครองปรปักษ์  และจดทะเบียนการได้มาเรียบร้อยแล้ว  ต่อมานายแจ่มได้แบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นออกเป็นสองโฉนดและยกที่ดินที่แบ่งทั้งสองแปลงแล้วขายให้กับนายจิตกับนายจอม  ที่ดินของนายจอมเท่านั้นที่มีคลองภารจำยอมแตะอยู่  ส่วนของนายจิตไม่มี  นายจิตจึงต้องการเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินของตนที่รับโอนมา  แต่นายใจต้องการค่าชดเชยหนึ่งแสนบาทถึงจะยอมให้เพิกถอนทะเบียนในส่วนที่ดินที่นายจิตซื้อ  นายจิตจะขอเพิกถอนภารจำยอมได้เพราะว่าที่ดินส่วนของนายจิตภารจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการเพื่อประโยชน์แกสามานยทรัพย์  เจ้าของส่วนนั้นจะยกให้พ้นจากภารจำยอมอันเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนนั้นได้  และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามที่นายใจเรียกร้อง  กฎหมายให้สิทธิกับเจ้าของภารยทรัพย์เพิกถอนได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทน  ตามมาตรา  1394

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 1/2547

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 (LA 201),(LW 204) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายหลีทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้กับนายหลามในราคาห้าแสนบาท  ในวันทำสัญญานายหลามได้ชำระราคาแล้วหนึ่งแสนบาท  และนายหลีอนุญาตให้นายหลามเข้าไปในที่ดินเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินตามสัญญาได้  โดยสัญญาซื้อขายระบุว่าผู้ซื้อและผู้ขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคาส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญา  หลังจากนายหลามสร้างบ้านลงบนที่ดินนั้นได้เพียง  8  เดือน  นายหลีทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับนายแหลม

โดยสัญญาซื้อขายไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้ให้ชัดเจน  และนายแหลมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายหลีกับนายหลามมาก่อนหลังจากจดทะเบียนโอนกกรมสิทธิ์แล้ว  นายแหลมได้แจ้งให้นายหลามออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างนายหลามกับนายแหลมผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  146  ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น  ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายหลีกับนายหลามที่ระบุว่า  ผู้ซื้อและผู้ขายจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และชำระราคาส่วนที่เหลือทั้งหมดภายใน  1  ปีนับแต่วันทำสัญญา  เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายกรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงยังไม่โอนไปยังนายหลามผู้จะซื้อ  นายหลามจึงยังไม่ถือว่าเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โยทางนิติกรรมตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299 วรรค  1  แต่เนื่องจากในวันทำสัญญา  นายหลามได้ชำระราคาแล้วหนึ่งแสนบาท  และนายหลีอนุญาตให้นายหลามเข้าไปในที่ดินเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ในที่ดินตามสัญญาได้  บ้านที่นายหลามสร้างขึ้นจึงไม่ถือเป็นส่วนควบของที่ดิน  และยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนายหลามอยู่  เพราะนายหลามเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของผื่นและนายหลามได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  146

หลังจากนายหลามสร้างบ้านลงบนที่ดินนั้นได้เพียง  8  เดือน  นายหลีทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินแปลงนี้ให้กับนายแหลม  โดยสัญญาซื้อขายไม่ได้ระบุเรื่องบ้านไว้ให้ชัดเจน  และนายแหลมก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายหลีกับนายหลามมาก่อน  นายแหลมจึงเป็นผ้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยสมบูรณ์  และมีสิทธิดีกว่านายหลาม  ส่วนบ้านเมื่อไม่เป็นส่วนควบของที่ดินและยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายหลามอยู่  นายแหลมผู้รับโอนจึงไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  นายหลามจึงมีสิทธิในบ้านดีกว่านายแหลม

สรุป  นายหลามมีสิทธิในบ้านดีกว่านายแหลม  ส่วนนายแหลมมีสิทธิในที่ดินดีกว่านายหลาม

 

ข้อ  2  นายใหญ่มีที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งอยู่ติดถนนสาธารณะ  ต่อมาแบ่งขายที่ดินด้านในให้แก่นายโต  200  ตารางวา  แต่แปลงที่แบ่งขายนี้ไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ  นายใหญ่จึงสัญญาว่าจะเปิดถนนกว้าง  3.5  เมตรให้นายโตผ่านเข้า ออก  หากนายโตต้องการ  หลังจากซื้อที่ดินแล้วนายโตไม่ได้เรียกร้องให้นายใหญ่เปิดทางเพื่อทำถนนเพราะตนสามารถใช้ทางผ่านที่ดินของนายเบิ้มซึ่งอยู่ติดกันได้

นายใหญ่ผ่านเข้า ออกบนที่ดินของนายเบิ้มมาราว  5  ปี  โดยไม่เคยขออนุญาต  ต่อมานายเบิ้มได้ปิดทางผ่านบนที่ดินของตนเสีย  นายโตจึงมาขอให้นายใหญ่เปิดถนนกว้าง  3.5  เมตรให้ตนผ่านเข้า ออก  ตามที่เคยสัญญาไว้  นายใหญ่อ้างว่าที่ตนเคยสัญญานั้นผ่านมานานแล้ว  ในตอนนี้หากต้องการให้ตนเปิดทางผ่านเข้า ออก  ตนขอเรียกเงินค่าผ่านเป็นรายปี

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายโตจะขอให้นายใหญ่เปิดทางผ่านให้แก่ตนหรือไม่  และนายโตจะต้องเสียค่าทดแทนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1350  ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบทที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก  หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน

วินิจฉัย  

ที่ดินของนายโตเป็นที่ดินที่เคยรวมเป็นแปลงเดียวกับที่ดินของนายใหญ่มาก่อน  แต่พอแบ่งขายให้นายโตแล้วทำให้ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ  (ที่ดินตาบอด)  กรณีเช่นนี้นายโตสามารถขอใช้ทางผ่านบนที่ดินแปลงที่เคยรวมอยู่กับตนมาก่อนได้โดยใช้สิทธิตามมาตรา  1350  ทั้งนี้  โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนให้แก่นายใหญ่

 

ข้อ  3  นายสี  นายแสง  นายเสียง  มีที่ดินอยู่ติดกัน  ซึ่งที่ดินของทั้งสามยังไม่มีน้ำประปาเข้ามาถึงทั้งสามจึงได้ตกลงร่วมกันออกเงินเท่าๆกัน  ซื้อที่ดินในราคา  150,000  บาทและแจ้งนายแดงขุดบ่อน้ำบาดาลในราคา  60,000  บาท  ค่าที่ดินได้ชำระไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อก็ยังติดค้างนายแดงอยู่  เมื่อใช้น้ำไปได้เพียง  6  เดือน  หน่วยงานท้องถิ่น  ได้ต่อท่อน้ำประปาเข้ามาในบ้านของคนทั้งสาม  นายสีจึงต้องการนำที่ดินที่ร่วมซื้อเพื่อขุดบ่อน้ำบาดาลนั้นออกขาย  นายสีเพียงคนเดียวจะขอให้นำที่ดินกรรมสิทธิ์ร่วมแปลงนี้ออกขายเพื่อเอาเงินมาแบ่งระหว่างคนทั้งสามได้หรือไม่  และเงินที่ค้างชำระนายแดงค่าขุดบ่อ  60,000  บาท  จะมีวิธีดำเนินการอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1362  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จำต้องช่วยเจ้าของรวมคนอื่นๆ  ตามส่วนของตนในการออกค่าจัดการ  ค่าภาษีอากร  และค่ารักษากับทั้งค่าใช้จ่ายทรัพย์สินรวมกันด้วย

มาตรา  1363  วรรคหนึ่ง  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้  เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่  หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร  ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้

มาตรา  1365  วรรคหนึ่ง  ถ้าเจ้าของรวมต้องรับผิดร่วมกันต่อบุคคลภายนอกในหนี้อันเกี่ยวกับทรัพย์สินรวม  หรือในหนี้ซึ่งได้ก่อขึ้นใหม่เพื่อชำระหนี้เดิมดั่งว่านั้นก็ดี  ในเวลาแบ่ง  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆจะเรียกให้เอาทรัพย์สินรวมนั้นชำระหนี้เสียก่อน  หรือให้เอาเป็นประกันก็ได้

วินิจฉัย

นายสี  นายแสง  นายเสียง  มีที่ดินอยู่ติดกัน  ซึ่งที่ดินของทั้งสามยังไม่มีน้ำประปาเข้ามาถึงทั้งสามจึงได้ตกลงร่วมกันออกเงินเท่าๆกัน  ซื้อที่ดินในราคา  150,000  บาทและแจ้งนายแดงขุดบ่อน้ำบาดาลในราคา  60,000  บาท  ค่าที่ดินได้ชำระไปเรียบร้อยแล้ว  แต่ค่าใช้จ่ายในการขุดบ่อก็ยังติดค้างนายแดงอยู่  เมื่อใช้น้ำไปได้เพียง  6  เดือน  หน่วยงานท้องถิ่น  ได้ต่อท่อน้ำประปาเข้ามาในบ้านของคนทั้งสาม  นายสีจึงต้องการนำที่ดินที่ร่วมซื้อเพื่อขุดบ่อน้ำบาดาลนั้นออกขาย  นายสีเพียงคนเดียวจะขอให้นำที่ดินกรรมสิทธิ์ร่วมแปลงนี้ออกขายเพื่อเอาเงินมาแบ่งระหว่างคนทั้งสามได้เพราะวัตถุประสงค์เดิมที่เป็นการถาวรได้หมดไปแล้วตามมาตรา  1363  วรรคหนึ่ง  นายสีแม้เพียงคนเดียวก็มีสิทธิขอแบ่งได้  และเงินที่ค้างชำระนายแดงค่าขุดบ่อ  60,000  บาท  จะมีวิธีดำเนินการโดยถ้าแบ่งวิธีเอาทรัพย์สินออกขายก็ต้องเอาเงินที่ขายได้ชำระหนี้ร่วมก่อนเพราะค่าขุดน้ำบาดาลเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา  1362  แต่ถ้าแบ่งตัวทรัพย์ก็ต้องเอาแต่ละส่วนของ  เจ้าของร่วมทุกคนประกันหนี้ร่วมตามส่วนก่อนแบ่งตามมาตรา  1365  วรรคหนึ่ง  ซึ่งเจ้าของร่วมคนใดคนหนึ่งมีสิทธิตามมาตรา  1365  วรรคหนึ่งได้ทุกคน

 

ข้อ  4  นายสิงห์ได้ขายฝากที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งไว้กับนายเสือด้วยวาจา  กำหนดเวลาไถ่คืนเป็นเวลาห้าปี  นายเสือจึงได้เข้าไปครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นตลอดมา  ต่อมาเมื่อขายฝากไปได้หนึ่งปี  นายสิงห์ได้เขียนจดหมายลงลายมือชื่อนางสิงห์ไปถึงนายเสือ  ว่าตนตกลงขายขาดที่ดินแปลงนี้ให้กับนายเสือไปเลยและจะไม่ไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนอีกแล้ว  นายเสือก็ตกลงและยังได้ให้เงินราคาค่าที่ดินเพิ่มให้กับนายสิงห์ไปอีก  หลังจากตกลงขายขาดที่ดินแปลงนี้ให้นายเสือไปแล้วได้หนึ่งปี  นายสิงห์เกิดเปลี่ยนใจจะมาฟ้องเรียกที่ดินคืนจากนายเสือ  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายสิงห์จะฟ้องเรียกคืนที่ดินแปลงนี้จากนายเสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง

วินิจฉัย

นายสิงห์ได้ขายฝากที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งไว้กับนายเสือด้วยวาจา  จึงตกเป็นโมฆะ  แต่เมื่อเป็นสัญญาขายฝากยังอยู่ในกำหนดห้าปีซึ่งเป็นเวลาไถ่คืนถือว่าผู้ขายฝากยังไม่มีเจตนาสละสิทธิในที่ดินแปลงนั้น  เสือได้เข้าไปครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นตลอดมา  ต่อมาเมื่อขายฝากไปได้หนึ่งปี  นายสิงห์ได้เขียนจดหมายลงลายมือชื่อนางสิงห์ไปถึงนายเสือ  ว่าตนตกลงขายขาดที่ดินแปลงนี้ให้กับนายเสือไปเลยและจะไม่ไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนอีกแล้ว  นายเสือก็ตกลงและยังได้ให้เงินราคาค่าที่ดินเพิ่มให้กับนายสิงห์ไปอีก  เป็นการที่นายสิงห์ได้สละเจตนายึดถือที่ดินมือเปล่าแปลงนี้แล้วตามมาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  นายเสือจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้เพื่อตนเองไม่ได้แทนนายสิงห์อีกต่อไปแล้ว  ตามมาตรา  1367  และนายสิงห์จะมาเรียกคืนที่ดินแปลงนี้ไม่ได้  แม้ต่อมาภายหลังจากตกลงขายที่ดินแปลงนี้ให้นายเสือไปแล้วได้หนึ่งปีนายสิงห์เกิดเปลี่ยนใจ

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  เอกให้โทกู้ยืมเงินเป็นจำนวนสามแสนบาท  ต่อมาเมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนด  เอกฟ้องโทให้ชำระหนี้เงินกู้  โทขอประนีประนอมหนี้โดยจะโอนที่ดินของตนแปลงหนึ่งให้แทน  เอกตกลง  และศาลมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมหนี้  แต่หลังจากนั้นโทยังไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้จนต่อมาโทนำที่ดินไปเสนอขายให้ตรีในราคาถูก  โดยตรีรู้ว่าโทจะต้องโอนที่ดินแปลงนี้ชำระหนี้แก่เอก  แต่ตรีเห็นว่าราคาถูกจึงรับซื้อไว้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว

ต่อมาตรีขายที่ดินแก่จัตวา  จัตวาไม่รู้ข้อเท็จจริงใดๆ  เกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้เลย  จึงรับซื้อไว้และจดทะเบียนโอนโฉนดที่ดินแล้ว  ต่อมาเอกเรียกให้โทไปจดทะเบียนโอนโฉนดตามคำพิพากษาตามยอมของศาล  โมปฏิเสธและให้เอกไปติดตามเรียกร้องเอาจากจัตวาเจ้าของคนปัจจุบัน

เอกจึงปรึกษาทนายความว่าระหว่างตนกับจัตวาใครจะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินกว่ากัน  ถ้าท่านเป็นทนายความ  ขอจงให้คำปรึกษาแก่เอก 

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

เอกได้ที่ดินของโทมาจากการพิพากษาตามยอมของศาล  แต่การได้ตามคำพิพากษาตามยอมถือเป็นการได้มาตามมาตรา  1299  วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ได้มีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  การได้มาย่อมไม่บริบูรณ์  มีสิทธิแค่บุคคลสิทธิ  เมื่อโทขายที่ดินแก่ตรีแม้ตรีจะซื้อโดยไม่สุจริต  แต่ตรีก็จดทะเบียนสิทธิแล้ว  สิทธิที่เป็นทรัพยสิทธิจึงดีกว่าสิทธิของเอก  ต่อมาตรีขายที่ดินแก่จัตวา  จัตวาได้สิทธิในที่ดินที่สมบูรณ์มาจากตรี  ส่วนเอกมีแค่บุคคลสิทธิเหนือโท  ผู้เป็นลูกหนี้  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นทนายความจะให้คำปรึกษาว่าจัตวามีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่านายเอก  ด้วยเหตุผลข้างต้น

 

ข้อ  2  ห้างหุ้นส่วนจำกัดคอมพ์ไฮเทค  เป็นห้างที่ขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่มีร้านขายคอมพิวเตอร์อยู่หลายร้านในบริเวณเดียวกัน  นายแดงเจ้าของร้านได้นัดหมายให้นายดำลูกค้าที่เคยซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านตนมาดูกล้องถ่ายรูปดิจิตอลที่เพื่อนของนายแดงมาฝากขายไว้ที่ร้านนี้  เมื่อนายดำมาดูแล้วเกิดความพอใจจึงตกลงซื้อกล้องถ่ายรูปในราคา  10,000 บาท  ซึ่งเป็นราคาปกติที่ซื้อขายกันในท้องตลาด

หลังจากใช้มาได้  1  เดือน  นายขาวเจ้าของกล้องได้มาขอกล้องคืนจากนายดำ  ดำจึงมาปรึกษาทนายความว่าตนจะต้องคืนกล้องให้นายขาวหรือไม่  ถ้าท่านเป็นนายความจงให้คำปรึกษาแก่นายดำ

ธงคำตอบ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

นายดำซื้อกล้องถ่ายรูปจากร้านขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์  แม้ย่านดังกล่าวจะเป็น  ท้องตลาด  แต่ก็เป็นท้องตลาดของคอมพิวเตอร์  มิใช่ของกล้องถ่ายรูป  จึงไม่อาจถือได้ว่านายดำซื้อสินค้านี้มาจากท้องตลาด  จึงไม่เข้ามาตรา  1332  ที่จะไม่ยอมคืนกล้องแก่เจ้าของที่แท้จริงได้จนกว่าจะได้เงิน  10,000  บาทคืน

ดังนั้น  หากข้าพเจ้าเป็นทนายความ  จะให้คำปรึกษาแก่ดำว่าดำจะต้องคืนกล้องแก่ขาว  โดยไม่มีสิทธิเรียกราคากล้องที่ตนจ่ายไปกลับคืนมา

 

ข้อ  3  เอกยุทธทำพินัยกรรมยกที่ดินและบ้านหลังหนึ่งให้เอกภพ  เอกพงศ์  และเอกพร  บุตรของตน  โดยไม่มีทายาทอื่นอีก  ซึ่งพินัยกรรมระบุให้เอกภพเป็นเจ้าของสองส่วน  เอกพงศ์และเอกพรเป็นเจ้าของคนละหนึ่งส่วน  หลังจากที่เอกยุทธถึงแก่ความตายแล้ว  เอกภพเป็นผู้อยู่อาศัยในที่ดินและบ้านแต่เพียงผู้เดียว  โดยที่ยังไม่มีการแบ่งมรดก  ต่อมาเอกภพได้จ้างช่างมาซ่อมหลังคาบ้านโดยเสียค่าซ่อมไปสี่หมื่นบาท  เอกภพจึงเรียกให้เอกพงศ์และเอกพรช่วยออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมหลังคาบ้าน  รวมทั้งค่าน้ำประปา  ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์ที่เอกภพชำระไปแล้วรวมเป็นเงินสองพันบาท  เอกพงศ์กับเอกพรไม่ยอมจ่าย  และเรียกให้นำที่ดินและบ้านนั้นออกขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าถ้าเอกภพไม่เห็นด้วยกับการขายที่ดินและบ้าน  เอกพงศ์กับเอกพรจะนำที่ดินและบ้านออกขายได้หรือไม่  และเอกพงศ์กับเอกพรต้องร่วมรับผิดในค่าซ่อมหลังคาบ้าน  ค่าน้ำประปา  ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์ที่เอกภพจ่ายไปแล้วหรือไม่  และถ้ารับผิดชอบจะต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร

ธงคำตอบ

มาตรา  1358  วรรคสองตอนท้าย  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  อาจทำการรักษาทรัพย์สินได้เสมอ

มาตรา  1362  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จำต้องช่วยเจ้าของรวมคนอื่นๆ  ตามส่วนของตนในการออกค่าจัดการ  ค่าภาษีอากร  และค่ารักษากับทั้งค่าใช้จ่ายทรัพย์สินรวมกันด้วย

มาตรา  1363  วรรคหนึ่ง  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้  เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่  หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร  ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้

มาตรา  1364  การแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวมหรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน

ถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรไซร้  เมื่อเจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอศาลอาจสั่งให้เอาทรัพย์นั้นออกแบ่ง  ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากันไซร้  จะสั่งให้ทดแทนกันเป็นเงินก็ได้  ถ้าการแบ่งเช่นว่านี้ไม่อาจทำได้  หรือจะเสียหายมากนักก็ดี  ศาลจะสั่งให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาดก็ได้

วินิจฉัย

เอกภพ  เอกพงศ์  และเอกพร  เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้านซึ่งรับมรดกมาตามพินัยกรรม  โดยเอกภพเป็นเจ้าของสองส่วน  เอกพงศ์และเอกพรเป็นเจ้าของคนละหนึ่งส่วน  และเอกภพเป็นผู้อยู่อาศัยในที่ดินและบ้านแต่เพียงผู้เดียว  ต่อมาเอกภพได้จ้างช่างมาซ่อมหลังคาบ้านโดยเสียค่าซ่อมไปสี่หมื่นบาท  ซึ่งถือว่าเป็นการทำเพื่อรักษาทรัพย์สินที่เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  สามารถทำได้โดยลำพัง  ตาม ป.พ.พ.  มาตรา  1358  วรรคสอง  และเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จำต้องช่วย  เจ้าของรวมคนอื่นๆ  ตามส่วนของตนในค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาทรัพย์สินด้วยตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1362  ดังนั้น  เอกพงศ์และเอกพรจะต้องช่วยเอกภพออกเงินค่าซ่อมหลังคาบ้านตามส่วนของตนคือคนละหนึ่งหมื่นบาท

ส่วนค่าน้ำประปา  ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์  ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ของเอกภพ  โดยเฉพาะเอกพงศ์กับเอกพรไม่จำต้องร่วมรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายดังกล่าว

กรณีที่เอกพงศ์กับเอกพรเรียกให้นำที่ดินและบ้านนั้นออกขายแล้วนำเงินมาแบ่งกัน  แต่เอกภพไม่เห็นด้วย  เอกพงศ์กับเอกพรสามารถทำได้  เพราะเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้  เนื่องจากไม่มีนิติกรรมขัดอยู่  หรือไม่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมมีลักษณะเป็นการถาวรตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1363  และการแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำได้โดยการขายทรัพย์สิน  แล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกันตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1364

 

ข้อ  4  นายทองครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งทำสวนมะพร้าวมาห้าปี  ต่อมานายทองถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีกับหกเดือน  เมื่อถูกจำคุกไปได้สามเดือนนายทองกลัวว่ามะพร้าวในสวนจะตายเพราะไม่มีใครดูแล  จึงได้ติดต่อนายเงินซึ่งเป็นเพื่อนบ้านให้มาช่วยดูแลมะพร้าวในสวนให้และให้เก็บผลออกขายได้โดยเงินที่ขายได้ยินดีให้นายเงินเป็นค่าดูแลสวน  เมื่อนายเงินดูแลสวนมะพร้าวมาได้หนึ่งปี  นายเงินจึงได้เขียนจดหมายไปถึงนายทองว่าต้องการสวนนี้สวนมะพร้าวแปลงนี้ปัจจุบันเป็นของตนแล้ว  และตนได้แจ้งการครอบครองขอออกหนังสือสำคัญบนที่ดินแปลงนี้เป็นชื่อของตนแล้ว  ถ้านายทองออกจากคุกให้ไปหาที่อยู่ที่อื่น  เมื่อได้รับจดหมายนายทองได้เขียนจดหมายตอบขับไล่ให้นายเงินออกจากที่ดินแปลงนี้  แต่นายเงินก็ยังครอบครองที่ดินแปลงนี้ต่อมาจนนายทองได้รับโทษครบกำหนดหนึ่งปีกับหกเดือนจึงมาฟ้องร้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายเงิน  ให้ท่านอธิบายว่าเมื่อนายทองพ้นโทษระหว่างนายทองกับนายเงินใครมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน  และนายทองจะฟ้องคดีต่อศาลเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายเงินได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1368  บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

มาตรา  1381  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง  บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่า  ไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป  หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต  อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก

มาตรา  1384  ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร  และได้คืนภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันขาดยึดถือ  หรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้  ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย 

นายทองครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งทำสวนมะพร้าวมาห้าปี  ต่อมานายทองถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลาหนึ่งปีกับหกเดือน  นายทองขาดการยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร  ตามมาตรา  1384  เดือน  เมื่อถูกจำคุกไปได้สามเดือนนายทองกลัวว่ามะพร้าวในสวนจะตายเพราะไม่มีใครดูแล  จึงได้ติดต่อนายเงินซึ่งเป็นเพื่อนบ้านให้มาช่วยดูแลมะพร้าวในสวนให้  นายทองได้คืนการครอบครองภายในหนึ่งปีโดยมีนายเงินเป็นผู้ยึดถือการครอบครองแทนทำให้นายทองได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้  ตามมาตรา  1368  จึงถือว่านายเงินเป็นผู้ได้คืนการครอบครองแทนนายทองตามมาตรา  1384 

เมื่อนายเงินดูแลสวนมะพร้าวมาได้หนึ่งปี  นายเงินจึงได้เขียนจดหมายไปถึงนายทองว่าต้องการสวนนี้  สวนมะพร้าวแปลงนี้ปัจจุบันเป็นของตนแล้ว  นายเงินเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแล้วตามมาตรา  1381  เมื่อเปลี่ยนแล้วจึงถือว่านายเงินแย่งการครอบครองจากนายทองสำเร็จ  ทำให้นายเงินได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองตามมาตรา  1367  แล้วดีกว่านายทอง  นายทองถูกแย่งการครอบครองตามมาตรา  1375 ต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเอาคืนการครอบครองภายในหนึ่งปี  เมื่อนายทองได้รับโทษครบกำหนดหนึ่งปีกับหกเดือน  จึงต้องการฟ้องร้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายเงิน  นายเงินจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้ดีกว่านายทอง  แต่นายทองมีสิทธิได้คืนการครองครองโดยฟ้องเพื่อเอาคืนการครอบครองได้  นายเงินเปลี่ยนการยึดถือแย่งการครอบครองจากนายทองมาได้เพียงสามเดือน  นายทองจึงฟ้องคดีต่อศาลเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายเงินได้  ตามมาตรา  1375

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  อาทิตย์ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของจันทร์มาเป็นเวลากว่าสิบปี  โดยไม่ได้ไปยื่นขอเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดและยังคงครอบครองต่อไปจนในปีที่  15  จันทร์เจ้าของเดิมได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้พฤหัส  โดยพฤหัสเพิ่งชำระค่าที่ดินเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของราคาที่ตกลงกัน  และส่วนที่เหลือยังคงขอผ่อนชำระเป็นงวดๆ  แต่ได้จดทะเบียนโอนเป็นของพฤหัสแล้ว  โดยพฤหัสไม่มีเวลาไปดูที่ดินก่อนซื้อจึงไม่ทราบว่ามีอาทิตย์เป็นผู้ครอบครองปรปักษ์

หลังจากซื้อแล้วพฤหัสขอให้อาทิตย์ย้ายออกจากที่ดิน  แต่อาทิตย์อ้างว่าตนครอบครองจะได้กรรมสิทธิ์แล้ว  การที่จันทร์ขายให้พฤหัสย่อมเป็นโมฆะ  อาศัยหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า  ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  เมื่อจันทร์ไม่มีกรรมสิทธิ์  พฤหัสก็ย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์  ดังนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างอาทิตย์กับพฤหัส  ใครเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

วินิจฉัย

อาทิตย์เป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมาโดยการครอบครองปรปักษ์  แต่เมื่อยังมิได้เปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียน  ย่อมยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกตามมาตรา  1299  วรรคสองไม่ได้  พฤหัสเป็นบุคคลภายนอกผู้จดทะเบียนสิทธิโอนที่ดินแล้ว  แม้จะยังชำระราคาไม่ครบถ้วนก็ถือว่าเป็นผู้เสียค่าตอบแทน  การที่พฤหัสซื้อที่ดินโดยไม่ได้ไปดูจึงไม่รู้ว่าอาทิตย์ครอบครองปรปักษ์  ก็ยังถือว่าเป็นการซื้อโดยสุจริต  (ฎ. 847/2523)  ดังนั้น  พฤหัสจึงเป็นบุคคลภายนอกผู้มีสิทธิดีกว่าอาทิตย์

การที่อาทิตย์อ้างหลักผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  ย่อมอ้างไม่ได้ (ฎ. 472/2513)

 

ข้อ  2  เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนายแม้ว  ซึ่งเป็นผู้ล้มละลายและได้ประกาศขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โดยนายป๋องเป็นผู้ให้ราคาสูงสุดและศาลมีคำสั่งขายที่ดินให้แก่นายป๋องภายหลังจากที่นายป๋องจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดเป็นของตนแล้ว  นายป๋องจึงรู้ว่าที่ดินนั้นนายแม้วได้จดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง  ต่อมาธนาคารแห่งนั้นได้ฟ้องบังคับจำนอง กรณีนี้นายป๋องจะคัดค้านการบังคับจำนองได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1330  สิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้อละลายนั้น  ท่านว่ามิเสียไป  ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลย  หรือลูกหนี้โดยคำพิพากษา  หรือผู้ล้มละลาย

วินิจฉัย

แม้นายป๋องเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล  และสิทธิของนายป๋องจะมิเสียไปแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าที่ดินมีโฉนดแปลงนั้นจะมิใช่ของนายแม้วลูกนี้ผู้ล้มละลายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1330  ก็ตาม  แต่มิได้หมายความว่าทรัพย์ที่ซื้อมานั้นจะปลอดจากภาระผูกพันใดๆด้วย  ดังนั้น  การที่ธนาคารรับจำนองไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย  การจำนองย่อมตกติดไปกับที่ดินที่นายป๋องซื้อมาด้วย  ธนาคารจึงมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวได้  นายป๋องไม่สามารถคัดค้านการบังคับจำนอง

 

ข้อ  3  นางส่งเป็นบิดาของนายสีซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้กับที่ดินของนายสี  นายสีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของนายส่งเข้ามาในที่ดินของตนโดยไม่ได้บอกกล่าวกับนายส่ง  ซึ่งนายส่งเองก็รู้แต่ก็ไม่ได้ห้าม  ต่อมานายส่งได้ขายที่ดินของนายส่งแปลงนั้นให้นายสุด  นายสุดได้เรียกให้นายสีรื้อถอนสายไฟฟ้าออกไปแต่นายสีไม่ยอม  เมื่อนายสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้สามปี  นายสีก็ได้วางสายโทรศัพท์บนเสาไฟฟ้าและวางท่อประปาผ่านที่ดินของนายสุดอีก  โดยนายสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย  นายสีวางสายโทรศัพท์  ท่อประปามาได้แปดปี  นายสุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้า  สายโทรศัพท์  ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน  นายสีจะต่อสู้ว่าตนได้ภารจำยอมในการวางสายไฟฟ้า  สายโทรศัพท์  ท่อประปาบาที่ดินของนายสุดแปลงนั้นแล้ว  ข้อต่อสู้ของนายสีรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1401  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  3  แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

นางส่งเป็นบิดาของนายสีซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้กับที่ดินของนายสี  นายสีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของนายส่งเข้ามาในที่ดินของตน  โดยไม่ได้บอกกล่าวกับนายส่ง  ซึ่งนายส่งเองก็รู้แต่ก็ไม่ได้ห้ามเป็นการใช้ภารจำยอมโดยฉันญาติมิตรไม่ก่อให้เกิดการนับอายุความปรปักษ์  เป็นการได้ภารจำยอมโดยนิติกรรมสัญญา  แต่เมื่อนายส่งได้ขายที่ดินของนายส่งแปลงนั้นให้นายสุด  นายสุดได้เรียกให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่นายสีไม่ยอม  จึงเป็นการเริ่มนับอายุความครอบครองปรปักษ์เพื่อให้ได้ภารจำยอมแล้ว  เมื่อนายสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้สามปี  นายสีก็ได้วางสายโทรศัพท์บนเสาไฟฟ้าและวางท่อประปาผ่านที่ดินของนายสุดอีก  โดยนายสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย  นายสีวางสายโทรศัพท์  ท่อประปามาได้แปดปี  นายสุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้า  สายโทรศัพท์  ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน  นายสีได้ภารจำยอมในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้น  ส่วนสายโทรศัพท์  ท่อประปา  ยังไม่ได้ภารจำยอมเพราะยังครอบครองปรปักษ์ไม่ครบสิบปี

 

ข้อ  4  นายดำครอบครองปรปักษ์ทำเกษตรกรรมในที่ดินมีโฉนดของนายแดงมาได้สามปี  นายขาวบุตรชายของนายดำซึ่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ  เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บไม่มีใครดูแล  นายดำจึงได้เข้ามากรุงเทพฯเพื่อมาดูแลบุตรชายที่บาดเจ็บอยู่หนึ่งปีโดยนายดำไม่ได้เข้าไปครอบครองประกอบการเกษตรชั่วคราวบนที่ดินแปลงนั้น  เมื่อนายขาวหายป่วย  นายดำจึงได้กลับเข้าไปเพาะปลูกครอบครองที่ดินของนายแดงต่อมาได้เจ็ดปี  นายแดงได้ขับไล่ให้นายดำออกไปจากที่ดินแลงนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายดำได้กรรมสิทธิ์บนที่ดินแปลงนั้นแล้วหรือยัง  นายดำจะต้องออกไปจากที่ดินแปลงนั้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง

มาตรา  1384  ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร  และได้คืนภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันขาดยึดถือ  หรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้  ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย 

นายดำครอบครองปรปักษ์ทำเกษตรกรรมในที่ดินมีโฉนดของนายแดงมาได้สามปี  นายขาวบุตรชายของนายดำซึ่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ  เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บไม่มีใครดูแล  นายดำจึงได้เข้ามากรุงเทพฯเพื่อมาดูแลบุตรชายที่บาดเจ็บอยู่หนึ่งปี  นายดำไม่ได้ทำการเกษตรชั่วคราวบนที่ดินแปลงนั้นเป็นการขาดการยึดถือทรัพย์สินทำให้การครอบครองของนายดำสิ้นสุดลงตามมาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  การเข้ามากรุงเทพฯ  เพื่อมาดูแลบุตรชายที่บาดเจ็บถือเป็นนายดำขาดการยึดถือโดยสมัครใจไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  1384  เมื่อนายขาวหายป่วยนายดำจึงได้กลับเข้ามาอยู่บนที่ดินแปลงนี้เหมือนเดิมและได้ทำการเกษตรบนที่ดินของนายแดงต่อมาได้เจ็ดปี  นายแดงได้ขับไล่ให้นายดำออกไปจากที่ดินแปลงนั้น  การครอบครองในช่วงหลังของนายแดงครอบครองปรปักษ์ได้เพียงเจ็ดปี  ยังไม่ครบสิบปีจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์บนที่ดินของนายแดงโดยการครอบครองปรปักษ์  นายดำจึงต้องออกไปจากที่ดินแปลงนั้นเมื่อนายแดงขับไล่

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  เมฆครอบครองที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของฝนมาเป็นเวลากว่า  10  ปี  โดยไม่ได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่อในโฉนดจนมาถึงปีที่  15  ฝนได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้พายุ  โดยพายุไม่มีเวลาไปดูที่ดินที่จะซื้อจึงไม่รู้ว่าเมฆครอบครองอยู่  หลังจากจดทะเบียนซื้อขายกันเรียบร้อยแล้ว พายุนัดหมายนายดำผู้รับเหมาก่อสร้างไปดูที่ดินที่ซื้อจากฝนเพื่อตกลงเรื่องการปลูกบ้าน  เมื่อไปดูที่ดินพบเมฆครอบครองอาศัยอยู่จึงแจ้งให้เมฆขนย้ายรื้อถอนบ้านออกไป  แต่เมฆไม่สนใจ  พายุจึงปรึกษาทนายความ

ถ้าท่านเป็นทนายความ  จงให้คำแนะนำพายุว่าระหว่างพายุและเมฆ  ใครมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

วินิจฉัย

เมฆครอบครองที่ดินของฝนมากว่า  10  ปีจึงเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์  เป็นการได้มาตามวรรคสองของมาตรา  1299  แต่เมื่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน  จึงอาจมีสิทธิด้อยกว่าบุคคลภายนอกที่ได้มาโดยสุจริต  เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

พายุซื้อที่ดินจากฝนโดยไม่เคยไปดูที่ดินก่อนซื้อจึงไม่รู้ว่าเมฆครอบครองปรปักษ์อยู่  แต่การซื้อขายที่ดินนั้นมีหลายรายที่ไม่เคยไปดูที่ก็ทำการซื้อขายกัน  จึงเป็นการซื้อที่สุจริต  ดังนั้นพายุจึงเป็นบุคคลภายนอกที่ได้ที่ดินมาโดยสุจริต  เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต  สิทธิของพายุจึงดีกว่าเมฆ

สรุป  พายุมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่าเมฆ

 

ข้อ  2  นางแตนเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่นายขวัญให้ออกไปจากที่ดินมีโฉนดของนางแตน  แต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายขวัญเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์  แต่นายขวัญยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดให้เป็นชื่อของนายขวัญ  ต่อมานางแตนได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้กับนางเรียม  โดยนางเรียมไม่รู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างนายขวัญกับนางแตนมาก่อน  ภายหลังจากจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันเรียบร้อยแล้ว

นางเรียมจึงรู้เรื่องคำพิพากษาที่ให้นายขวัญมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์  ต่อมาอีกห้าเดือนนางเรียมเสนอขายที่ดินดังกล่าวให้กับนายขวดในราคาหนึ่งล้านบาท  แต่ก่อนจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน  นายขวดรู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายขวัญ  

นายขวดจึงต่อรองขอลดราคาลงเหลือเก้าแสนบาท  นางเรียมตกลงทำสัญญา  และจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้นายขวดในราคาเก้าแสนบาทตามที่นายขวดเสนอ  หลังจากจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันเรียบร้อยแล้ว  นายขวดต้องการฟ้องขับไล่นายขวัญให้ออกไปจากที่ดินแปลงนั้น

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างนายขวัญกับนายขวดผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน  และนายขวดจะฟ้องขับไล่นายขวัญได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  วรรคสอง  ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  สิทธิของผู้ได้มานั้น  ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้  ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้  และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น  มิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

วินิจฉัย

การที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นายขวัญเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์  ทำให้นายขวัญเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนางแตนโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299  วรรคสอง  แต่การที่นายขวัญยังไม่ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดให้เป็นชื่อนายขวัญ  จึงทำให้นายขวัญไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้บุคคลอื่นได้  และไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน  โดยสุจริต  และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว

ต่อมานางแตนได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้กับนางเรียม  โดยนางเรียมไม่รู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างนายขวัญกับนางแตนมาก่อน  กรณีนี้ถือว่านางเรียมเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิในที่ดินมาโดยมีค่าตอบแทน  โดยสุจริต  และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว นางเรียมจึงมีสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายขวัญ  ส่วนการที่นางเรียมขายที่ดินต่อให้นายขวด  แต่ก่อนจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน  นายขวดรู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของนายขวัญ  ดังนี้แม้นายขวดจดทะเบียนสิทธิโดยไม่สุจริตก็ตาม  นายขวดก็ยังมีสิทธิในที่ดินดีกว่านายขวัญ  เพราะสิทธิในที่ดินของนายขวัญสิ้นสุดลงแล้วตั้งแต่ที่นางเรียมได้สิทธิไปโดยมีค่าตอบแทน  โดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว  ถ้านายขวัญยังต้องการจะได้สิทธิในที่ดินแปลงนี้อีก  นายขวัญจะต้องเริ่มครอบครองปรปักษ์ใหม่นับแต่ที่นางเรียมซื้อที่ดินจากนางแตนดังกล่าวแล้วข้างต้น

 

ข้อ  3  นายมีเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งที่ดินทางทิศเหนือของนายมีติดกับที่ดินของนายมาได้ภารจำยอมจดทะเบียนไว้แล้วในการใช้ทางผ่านที่ดินของนายมาเพื่อออกสู่สาธารณะ  ต่อมานายมีได้ต้องการจะแบ่งที่ดินแปลงนั้นของตนในส่วนทางทิศใต้ซึ่งไม่ติดกับที่ดินของนายมาขายให้กับนายแมน

เมื่อนายมาทราบจึงได้เจรจาตกลงกับนายมีว่าถ้านายมีแบ่งที่ดินแปลงนั้นออกขายขอให้ที่ดินแปลงที่แบ่งออกไปทางทิศใต้ที่ไม่ติดกับที่ดินของตนพ้นจากภารจำยอม  นายมีก็ตกลงยินยอมด้วย  แต่เมื่อแบ่งที่ดินขายให้นายแมนแล้ว  นายมีกลับตกลงกับนายแมนทำถนนเชื่อมต่อระหว่างที่ดินของนายมาผ่านที่ดินของนายมีไปยังที่ดินส่วนที่แบ่งขายให้นายแมน  เมื่อนายมาทราบจึงได้ห้ามมิให้นายแมนใช้ทางผ่านที่ดินของตน

เพราะตนกำลังจะขอเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินที่นายแมนซื้อจากนายมีตามที่ตกลงไว้กับนายมี  ให้ท่านวินิจฉับว่านายมาจะขอเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินของนายแมนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1394  ถ้ามีการแบ่งแยกภารยทรัพย์  ท่านว่าภารจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก  แต่ถ้าในส่วนใดภารจำยอมนั้นไม่ใช้  และใช้ไม่ได้ตามรูปการ  ท่านว่าเจ้าของส่วนนั้นจะเรียกให้พ้นจากภารจำยอมก็ได้

วินิจฉัย

นายมีเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งที่ดินทางทิศเหนือของนายมีที่ติดกับที่ดินของนายมาได้ภารจำยอมจดทะเบียนไว้แล้วในการใช้ทางผ่านที่ดินของนายมาเพื่อเข้าออกสู่สาธารณะ  ต่อมานายมีได้ต้องการจะแบ่งที่ดินแปลงนั้นของตนในส่วนทางทิศใต้ซึ่งไม่ติดกับที่ดินของนายมาขายให้กับนายแมน  เมื่อนายมาทราบจึงได้เจรจาตกลงกับนายมีว่า  ถ้านายมีแบ่งที่ดินแปลงนั้นออกขายขอให้ที่ดินแปลงที่แบ่งออกไปทางทิศใต้ที่ไม่ติดกับที่ดินขอตนพ้นจากภาร

จำยอม  นายมีก็ตกลงยินยอมด้วย  แต่เมื่อแบ่งที่ดินขายให้นายแมนแล้ว  นายมีกลับตกลงกับนายแมนทำถนนเชื่อมต่อระหว่างที่ดินของนายมาผ่านที่ดินของนายมีไปยังที่ดินส่วนที่แบ่งขายให้นายแมน  เมื่อนายมาทราบจึงได้ห้ามมิให้นายแมนใช้ทางผ่านที่ดินของตน  เพราะตนกำลังจะขอเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินที่นายแมนซื้อจากนายมีตามที่ตกลงไว้กับนายมีนั้น  นายมาจะขอเพิกถอนภารจำยอมในส่วนที่ดินของนายแมนไม่ได้  ส่วนที่ดินของนายแมนที่แบ่งไปนั้นยังคงใช้ภารจำยอมบนที่ดินของนายมีได้  เพราะข้อตกลงระหว่างนายมีกับนายมาไม่ได้จดทะเบียนเพิกถอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

 

ข้อ  4  นายส้มครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งร่วมกับนายแสด  เมื่อครอบครองไปได้หนึ่งปีนายแสดได้ตกลงขายส่วนของตนให้นายส้ม  แต่ในเวลาเดียวกันนายแสดกลับไปยื่นขอออก  น.ส.3  ไว้โดยนายส้มไม่ทราบ  ต่อมาเจ้าพนักงานได้ออก  น.ส.3  เป็นชื่อของนายแสด นายแสดจึงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ให้นายสมชาย  โดยนายแสดบอกนายสายว่านายส้มเช่าที่ดินแปลงนี้ของตนและสัญญาเช่าเหลืออีกหนึ่งปีเมื่อครบสัญญา  นายสายสามารถให้นายส้มออกไปจากที่ดินแปลงนี้ได้  เมื่อนายสายรับโอนมาได้หนึ่งปีจึงได้ฟ้องขับไล่นายส้มออกจากที่ดินแปลงนี้  พร้อมกับยื่นขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้จากเจ้าพนักงาน  โดยนายส้มไม่ได้คัดค้านเพราะไม่ทราบว่านายสายได้ยื่นขอออกโฉนดจากเจ้าพนักงานไว้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างนายส้มกับนายสายใครมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

มาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง  หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้  การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง

วินิจฉัย

นายส้มครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งร่วมกับนายแสด  เมื่อครอบครองไปได้หนึ่งปีนายแสดได้ตกลงขายส่วนของตนให้นายส้ม  จึงถือว่านายแสดสละเจตนาการครอบครองตามมาตรา  1377  วรรคหนึ่ง  การครอบครองของนายแสดย่อมสิ้นสุดลง  นายส้มจึงมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นแต่เพียงผู้เดียว  ตามมาตรา  1367  แม้นายแสดจะไปขอออก  น.ส.3  แต่ไม่ได้ยึดถือครอบครอง  การครอบครองของนายแสดย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายส้ม  เมื่อนายแสดจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายสาย  นายสายจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นดีกว่านายส้ม  แม้นายส้มจะรับโอนการครอบครองที่ดินแปลงนั้นมาจากนายแสดได้  1  ปี  แต่นายสายไม่เข้าครอบครองยึดถือทรัพย์สิน  จึงยังไม่ถือว่านายสายแย่งการครอบครองจากนายส้ม

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  คำแท้กับน้ำผึ้งทำสัญญากันเอง  โดยคำแท้อนุญาตให้น้ำผึ้งอาศัยอยู่ในบ้านของคำแท้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน  และไม่มีการกำหนดระยะเวลาแต่อย่างใด  เมื่อน้ำผึ้งเข้าอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว  น้ำผึ้งได้ต่อเติมห้องใหม่ขึ้นอีกหนึ่งห้องเพื่อใช้เป็นห้องนอนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำแท้แต่อย่างใด

ต่อมาอีก  1  ปี  คำแท้ถึงแก่ความตาย  คำนางบุตรของคำแท้ได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินพร้อมกับบ้านหลังดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรม  ต่อจากนั้นคำนางได้ทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพร้อมบ้านหลังนั้นให้กับแสงดาว  โดยแสงดาวไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งมาก่อน  หลังจากนั้นแสงดาวได้แจ้งให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านหลังนี้  น้ำผึ้งจึงอ้างสิทธิตามสัญญาที่ตนทำไว้กับคำแท้

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าแสงดาวจะให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านหลังดังกล่าวได้หรือไม่  และถ้าน้ำผึ้งต้องย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้จริงๆ  น้ำผึ้งจะเรียกให้แสงดาวชดใช้เงินเป็นค่าต่อเติมห้องนอนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

มาตรา  146  ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น  ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

การที่คำแท้กับน้ำผึ้งทำสัญญากันเอง  โดยคำแท้อนุญาตให้น้ำผึ้งอาศัยอยู่ในบ้านของคำแท้โดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน  และไม่มีการกำหนดระยะเวลาแต่อย่างใดนั้น  ถือว่าน้ำผึ้งเป็นผู้มีสิทธิอาศัยในโรงเรียนของคำแท้  อันเป็นการได้มาซึ่งสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  แต่เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  และไม่ผูกพันถึงบุคคลภายนอกแต่อย่างใด  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299  วรรคหนึ่ง

ส่วนกรณีที่น้ำผึ้งต่อเติมห้องใหม่ขึ้นอีกห้องหนึ่งเพื่อใช้เป็นห้องนอนโดยไม่ได้บอกกล่าวคำแท้แต่อย่างใดนั้น  ห้องที่ต่อเติมนี้ถือเป็นส่วนควบของบ้าน  เพราะเป็นสารถสำคัญในการเป็นอยู่ของบ้าน  และไม่สามารถแยกออกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  144  วรรคหนึ่ง  และไม่เข้าข้อยกเว้นตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  146 เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราว  และการกระทำของน้ำผึ้งก็ไม่ได้รับความยินยอมจากคำแท้แต่อย่างใด  คำแท้เจ้าของบ้านจึงเป็นเจ้าของห้องที่ต่อเติมขึ้นด้วย  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  144  วรรคสอง

เมื่อคำแท้ถึงแก่ความตาย  คำนางบุตรของคำแท้ได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินพร้อมบ้านหลังดังกล่าวในฐานะทายาทโดยธรรม  แล้วคำนางได้ทำสัญญาและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินพร้อมบ้านหลังนั้นให้กับแสงดาว  โดยแสงดาวไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งมาก่อน  เช่นนี้  นิติกรรมระหว่างคำแท้กับน้ำผึ้งจึงไม่ผูกพันแสงดาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่อย่างใด

ดังนั้น  แสงดาวจึงให้น้ำผึ้งออกไปจากบ้านของตนได้  และน้ำผึ้งไม่สามารถเรียกให้แสงดาวชดใช้เงินค่าต่อเติมห้องนอนแต่อย่างใด

 

ข้อ  2  นายดำกับนายขาวเป็นเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเดียวกัน  ต่อมาทั้งสองได้ปลูกบ้านลงในที่ดินคนละหลัง  หลังจากนั้นได้ไปทำการแบ่งโฉนดออกเป็นสองแปลง  โดยแบ่งจากพื้นที่คนละครึ่ง  เมื่อแบ่งแล้วปรากฏว่าชายคาบ้านของนายดำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาว  ส่วนถังส้วมซีเมนต์ของบ้านนายขาวก็รุกล้ำไปอยู่ในเขตที่ดินของนายดำ  นายดำและนายขาวต่างก็เรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาออกไปเสีย  แต่ก็ไม่มีใครยอมรื้อ  ทั้งสองจึงไปพบทนายความเพื่อขอคำแนะนำ

หากท่านเป็นทนายความ  จงให้คำแนะนำแก่นายดำและนายขาวโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  4  วรรคสอง  เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

มาตรา  1312  วรรคแรก  บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น  แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้นและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม  ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหาเป็นเรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำในที่ดินของผู้อื่น  ซึ่งข้อเท็จจริงมิใช่กรณีของมาตรา  1312  เพราะเพราะเป็นการสร้างโรงเรือนก่อนมีการแบ่งโฉนดออกเป็น  2  แลง  แต่แม้จะไม่มีกฎหมายบังคับมาตรา  4  วรรคสอง  ได้วางหลักของการอุดช่องว่างกฎหมายให้ใช้หลักกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  นั่นก็คือใช้มาตรา  1312

การสร้างโรงเรือนของนายดำและนายขาวเป็นการสร้างที่สุจริต  เพราะขณะก่อสร้างต่างฝ่ายต่างไม่รู้แนวเขตที่ดินจะอยู่แนวใด  ดังนั้น สำหรับชายคาบ้านของนายดำที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายขาว  ชายคาบ้านเป็นส่วนควบของโรงเรือน  นายดำจึงไม่ต้องรื้อถอนชายคาที่รุกล้ำ  แต่ต้องเสียเงินให้แก่นายขาวเป็นค่าใช้ที่ดินและนายขาวต้องไปจดทะเบียนภารจำยอมให้แก่นายดำ

ส่วนถังส้วมซีเมนต์ของนายขาวรุกล้ำมาในที่ดินของนายดำ  เนื่องจากถังส้วมซีเมนต์ไม่ใช่ส่วนควบของโรงเรือน  นายขาวจึงต้องรื้อถอนถังส้วมให้ออกมาจากที่ดินของนายดำ

 

ข้อ  3  นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสามมีอาชีพทำการเกษตรเหมือนกัน  และมีที่ดินอยู่ติดกัน  เมื่อหลายีมาแล้วทั้งนายหนึ่ง  นายสอง และนายสามได้ร่วมกันออกเงินคนละเท่าๆกัน  ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อขุดบ่อนำน้ำมาใช้ทำการเกษตรร่วมกัน  และยังร่วมกันออกเงินเท่าๆกันซื้อเครื่องสูบน้ำไว้ใช้ร่วมกันหนึ่งเครื่อง  ต่อมานายสามได้ขายที่ดินของตนให้นายดำ  จึงต้องการจะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วมโดยนำที่ดินที่สร้างบ่อออกขายเพื่อนำเงินของตนที่ออกไปคืนมา  และยังนำเครื่องสูบน้ำที่ร่วมกันซื้อเครื่องนั้นไปให้นายดำเช่าโดยทั้งนายหนึ่งและนายสองไม่ทราบ 

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมอธิบายว่า  นายหนึ่งและนายสองจะเรียกคืนเครื่องสูบน้ำจากนายดำได้หรือไม่  และนายสามจะขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1359  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  อาจใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อต่อสู้บุคคลภายนอก

มาตรา  1361  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  จะจำหน่ายส่วนของตน  หรือจำนอง  หรือก่อให้เกิดภารติดพันก็ได้

แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย  จำนำ  จำนอง  หรือก่อให้เกิดภารติดพันได้  ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน

มาตรา  1363  วรรคหนึ่ง  เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ  มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้  เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่  หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร  ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้

วินิจฉัย

นายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  มีอาชีพทำการเกษตรเหมือนกัน  และมีที่ดินอยู่ติดกันเมื่อหลายปีมาแล้วทั้งนายหนึ่ง  นายสอง  และนายสาม  ได้ร่วมกันออกเงินคนละเท่าๆกัน  ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อขุดบ่อนำน้ำมาใช้ทำการเกษตรร่วมกัน  และยังร่วมกันออกเงินเท่าๆกัน  ซื้อเครื่องสูบน้ำไว้ใช้ร่วมกันหนึ่งเครื่อง  ต่อมานายสามได้ขายที่ดินของตนให้นายดำ  จึงต้องการจะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินที่สร้างบ่อน้ำไม่ได้เพราะวัตถุประสงค์ในการใช้น้ำในบ่อร่วมกันเป็นการถาวรตามมาตรา  1363  วรรคหนึ่งส่วนเครื่องสูบน้ำที่ร่วมกันซื้อเครื่องนั้นนายสามไปให้นายดำเช่าโดยทั้งนายหนึ่งและนายสองไม่ทราบสัญญาเช่าจึงไม่ผูกพันตัวทรัพย์  ตามมาตรา  1361  วรรคสอง  นายหนึ่งและนายสองจะเรียกคืนเครื่องสูบน้ำจากนายดำได้ตามมาตรา  1359

 

ข้อ  4  นายฟ้าเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของนายฝนทำการเกษตรและปลูกบ้านอยู่มาหลายปีโดยได้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนให้นายฝน  เมื่อนายฝนตายนายฟ้าทราบเรื่องจึงตั้งใจจะยึดเอาที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  และประกอบกับก็ไม่มีใครมาเก็บค่าเช่าจากนายฟ้าจนกระทั่งเวลาผ่านไป  6  เดือนหลังจากนายฝนตาย  ซึ่งนายฟ้าคิดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตนแล้ว  นายน้ำบุตรชายนายฝนได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้จากนายฝน  ได้มาทวงค่าเช่าที่นายฟ้าค้างทั้งหมด  แต่นายฟ้าปฏิเสธและบอกกับนายน้ำว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  ตนจึงไม่ต้องจ่ายค่าเช่าให้ใคร  เมื่อนายฟ้าปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าเช่าให้นายน้ำมาได้  6  เดือน  นายน้ำจึงต้องการฟ้องขับไล่นายฟ้าให้ออกไปจากที่ดินแลงนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายน้ำจะฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนี้จากนายฟ้าได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

มาตรา  1381  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง  บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่า  ไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป  หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต  อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก

วินิจฉัย

นายฟ้าเช่าที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของนายฝนทำเกษตรและปลูกบ้านอยู่มาหลายปีโดยได้จ่ายค่าเช่าทุกเดือนให้นายฝน  เมื่อนายฝนตายนายฟ้าทราบจึงตั้งใจที่จะยึดเอาที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  และประกอบกับก็ไม่มีใครมาเก็บค่าเช่าจากนายฟ้าจนกระทั่งเวลาผ่านไป  6 เดือน  หลังจากนายฝนตาย  ซึ่งนายฟ้าคิดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตนแล้ว  นายน้ำบุตรชายนายฝนได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้จากนายฝน  ได้มาทวงค่าเช่าที่นายฟ้าค้างทั้งหมด  แต่นายฟ้าปฏิเสธและบอกกับนายน้ำว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  นายฟ้าได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแล้วตามมาตรา  1381  เมื่อนายฟ้าปฏิเสธไม่ยอมจ่ายค่าเช่าได้  6  เดือน  นายน้ำจึงต้องการฟ้องขับไล่นายฟ้าให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้  นายฟ้ายังเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแย่งการครอบครองจากนายน้ำได้เพียง  6  เดือน  ยังไม่ครบ  1  ปี  เพราเมื่อนายฝนตายแม้นายฟ้าไม่ได้ชำระค่าเช่าก็ยังไม่ถือว่านายฟ้าแย่งการครอบครองจากนายฝนหรือนายน้ำตามมาตรา  1381  นายน้ำจะฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนี้จากนายฟ้าได้  ตามมาตรา  1375

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ชิงชัยกับสันติตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  โดยให้ชิงชัยทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของสันติ  หากชิงชัยชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว  สันติยินยอมให้ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของชิงชัยทันที  โดยสันติจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ชิงชัย  หรือให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว  หลังจากที่ชิงชัยชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว  แต่ยังไม่ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้สันติจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท  หรือไม่ใช้สิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินเป็นของตน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงต่อไปนี้

ก)     ถ้าในเวลาต่อมาสันติถึงแก่ความตาย  เสกสรรค์บุตรของสันติจดทะเบียนรับมรดกที่ดินพิพาทในฐานะทายาทโดยธรรม  และเข้าไปสร้างบ้านอยู่อาศัยได้เพียง  1  ปี  ชิงชัยจะฟ้องขับไล่เสกสรรให้ออกไปจากที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่  และผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน

ข)     ถ้าสันติทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่องอาจ  โดยองอาจไม่รู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างชิงชัยกับสันติมาก่อน  ดังนี้ระหว่างชิงชัยกับองอาจผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน

ธงคำตอบ

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

ชิงชัยเป็นผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดของสันติ  โดยสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำพิพากษาของศาล  อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1299  วรรคหนึ่ง  ผลแห่งนิติกรรมฉบับนี้แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ก็หาทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด  เพียงแต่ทำให้นิติกรรมไม่บริบูรณ์ถึงขั้นเป็นทรัพย์สิทธิเท่านั้น  แต่ระหว่างคู่สัญญาย่อมมีผลผูกพันต่อกันในฐานะบุคคลสิทธิ  ดังนั้นจึงวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้ดังต่อไปนี้

ก)     กรณีที่เสกสรรค์บุตรของสันติจดทะเบียนรับมรดกที่ดินพิพาทในฐานะทายาทโดยธรรมและเข้าไปสร้างบ้านอยู่อาศัยได้เพียง  1  ปี ชิงชัยสามารถฟ้องขับไล่เสกสรรให้ออกไปจากที่ดินดังกล่าวได้  เพราะผู้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม  ย่อมรับไปทั้งสิทธิหน้าที่ของเจ้ามรดก  และไม่ถือเป็นบุคคลภายนอก  ชิงชัยจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าเสกสรรค์

ข)  กรณีสันติทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่องอาจ  โดยองอาจไม่รู้เรื่องข้อพิพาทระหว่างชิงชัยกับสันติมาก่อนนั้น  การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมที่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่  จึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิที่จะยกขึ้นต่อสู้กับองอาจซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแต่อย่างใด  ดังนั้น  องอาจมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าชิงชัย

 

ข้อ  2  ห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมคอมพิวเตอร์  เป็นห้างที่ขายคอมพิวเตอร์และอึปกรณ์คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่มีร้านขายคอมพิวเตอร์อยู่หลายร้านในบริเวณเดียวกัน  นายแดงเจ้าของร้านได้นัดหมายนายขาวลูกค้าที่เคยซื้อคอมพิวเตอร์จากร้านของตนมาดูคอมพิวเตอร์มือสองจากญี่ปุ่นโดยอ้างว่ามีจำนวนเพียง  2  เครื่อง  ที่เจ้าของต้องการใช้เงินมาก  จึงอยากรีบขายในราคาต่ำ  แต่ขอให้มาหลัง  5  โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่ร้านปิดทำการแล้ว

เมื่อนายขาวมาตามนัดหมายนายขาวตัดสินใจซื้อคอมพิวเตอร์ที่นายแดงนำมาให้ดูโดยเลือกซื้อไป  1  เครื่อง  ในราคาถูกกว่าปกติหากเทียบกับราคาในท้องตลาด  หลังจากใช้มาได้  2  สัปดาห์  นายดำเจ้าของคอมพิวเตอร์ได้มาทวงคอมพิวเตอร์คืนจากนายขาวเนื่องจากทราบว่าคอมพิวเตอร์ของตนที่ถูกขโมยมาได้มีคนนำมาขายไว้ที่ร้านขายคอมพิวเตอร์แห่งนี้  นายขาวจึงปรึกษาทนายความ 

ถ้าท่านเป็นทนายความ  จงให้คำปรึกษาแก่นายขาวว่าระหว่างนายขาวกับนายดำ  ผู้ใดมีสิทธิในคอมพิวเตอร์นี้ดีกว่ากัน  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

การซื้อขายทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้มาตรา  1332  ต้องเป็นการซื้อโดยสุจริตจากการขายทอดตลาด  ในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น  นายขาวซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจากร้านขายคอมพิวเตอร์ของนายแดง  แต่ข้อเท็จจริงทั่วไป  นายแดงขอให้มาซื้อหลังเวลาร้านปิดแล้วและขายในราคาต่ำกว่าปกติ  จึงเป็นการซื้อที่ไม่สุจริต  แม้จะซื้อจากผู้ขายของประเภทนี้และซื้อจากท้องตลาดก็ตาม  ก็ไม่อยู่ภายใต้มาตรา  1332

ดังนั้น  นายขาวต้องคืนคอมพิวเตอร์แก่นายดำเจ้าของที่แท้จริง  โดยไม่มีสิทธิขอราคาที่ซื้อมาคืนจากนายดำ

 

ข้อ  3  นายปูปลูกบ้านบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งที่ซื้อมาจากบริษัทจัดสรรที่ดิน  เข้าใจว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  เพราะบริษัทจัดสรรที่ดินได้ชี้แนวเขตและเป็นผู้วางหมุดเขตที่ดิน  แต่ความจริงที่ดินแปลงนี้บริษัทได้ขายให้นายปลา  ถ้านายปูจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้  นายปูต้องครอบครองที่ดินแปลงนี้อย่างไรบ้าง

และจะได้ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายอย่างไรบ้าง  ต่อมาเมื่อนายปูปลูกบ้านอยู่มาได้สิบกว่าปีแล้ว  นายปลาได้มารังวัดที่ดินพบว่านายปูครอบครองที่ดินของตน  นายปลาจึงฟ้องขับไล่นายปู  นายปูไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่าตนมีกรรมสิทธิ์ดีกว่านายปลาแต่พิสูจน์ในศาลได้ว่านายปูครอบครองปรปักษ์ครบตามกฎหมายแล้ว  ศาลจะพิพากษาให้นายปูได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1370  ผู้ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าครอบครองโดยสุจริต  โดยความสงบและโดยเปิดเผย

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1386   บทบัญญัติว่าด้วยอายุความในประมวลกฎหมายนี้  ท่านให้ใช้บังคับในเรื่องอายุความได้สิทธิ  อันกล่าวไว้ในลักษณะนี้โดยอนุโลม

วินิจฉัย

นายปูปลูกบ้านบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งที่ซื้อมาจากบริษัทจัดสรรที่ดิน  เข้าใจว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของตน  เพราะบริษัทจัดสรรที่ดินได้ชี้แนวเขตและเป็นผู้วางหมุดเขตที่ดิน  แต่ความจริงที่ดินแปลงนี้บริษัทได้ขายให้นายปลวก  ถ้านายปูจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้  นายปูต้องครอบครองที่ดินแปลงนี้อย่างสงบเปิดเผย  ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันครบสิบปีตามมาตรา  1382  และจะได้ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าครอบครองโดยสุจริต  โดยความสงบและโดยเปิดเผยตามมาตรา  1370  ต่อมาเมื่อปลูกบ้านอยู่มาได้สิบกว่าปีแล้ว  นายปลาได้มารังวัดที่ดินพบว่านายปูครอบครองที่ดินของตน  นายปลาจึงฟ้องขับไล่แต่นายปูไม่ได้ยกข้อต่อสู้  และพิสูจน์ในศาลว่านายปูครอบครองปรปักษ์ครบตามกฎหมายแล้ว  ศาลจะพิพากษาให้นายปูได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ได้เพราะอายุความครอบครองปรปักษ์เป็นอายุความได้สิทธิตามมาตรา  1386  ไม่ใช่อายุความสิทธิเรียกร้อง  ศาลจึงยกขึ้นเองได้

 

ข้อ  4  ที่ดินของนายเสาร์  นายจันทร์และนายพุธอยู่ใกล้เคียงกัน  ที่ดินของนายเสาร์ได้ภารจำยอมในการสูบน้ำในบ่อน้ำบนที่ดินของนายจันทร์มาใช้ประโยชน์  โดยภารจำยอมนี้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว  ต่อมานายเสาร์ได้แบ่งที่ดินของนายเสาร์จดทะเบียนขายให้แก่นายอาทิตย์ครึ่งหนึ่ง  โดยเมื่อโอนขายให้นายอาทิตย์ไปแล้ว  นายเสาร์ได้กั้นรั้วที่ดินของตนทำให้นายอาทิตย์ไม่สามารถเข้าไปใช้น้ำในบ่อที่อยู่บนที่ดินของนายจันทร์ได้เหมือนเดิม  หลังจากนายอาทิตย์ซื้อที่ดินมาได้ห้าเดือน  นายอาทิตย์จึงได้ตกลงกับนายพุธวางท่อสูบน้ำจากบ่อน้ำบนที่ดินของนายจันทร์ผ่านที่ดินของนายพุธเพื่อมายังที่ดินของตน  นายพุธยินยอม  นายอาทิตย์จึงได้วางท่อผ่านที่ดินของนายพุธ  นายจันทร์ได้มาห้ามไม่ยอมให้นายอาทิตย์ใช้น้ำในบ่อบนที่ดินของตน  นายจันทร์จะห้ามนายอาทิตย์ได้หรือไม่ ภารจำยอมในส่วนที่ดินของนายอาทิตย์ระงับไปแล้วหรือยัง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1394  ถ้ามีการแบ่งแยกภารทรัพย์  ท่านว่าภารจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก  แต่ถ้าในส่วนใดภารจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ  ท่านว่าเจ้าของส่วนนั้นเรียกให้พ้นจากภารจำยอมก็ได้

วินิจฉัย

ที่ดินของนายเสาร์  นายจันทร์และนายพุธอยู่ใกล้เคียงกัน  ที่ดินของนายเสาร์ได้ภารจำยอมในการสูบน้ำในบ่อน้ำบนที่ดินของนายจันทร์มาใช้ประโยชน์  โดยภารจำยอมนี้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว  ต่อมานายเสาร์ได้แบ่งที่ดินของนายเสาร์จดทะเบียนขายให้แก่นายอาทิตย์ครึ่งหนึ่ง  โดยเมื่อโอนขายให้นายอาทิตย์ไปแล้วนายเสาร์ได้กั้นรั้วรอบที่ดินของตนทำให้นายอาทิตย์ไม่สามารถเข้าไปใช้น้ำในบ่อที่อยู่บนที่ดินของนายจันทร์ได้เหมือนเดิม  หลังจากนายอาทิตย์ซื้อที่ดินมาได้ห้าเดือน  นายอาทิตย์จึงได้ตกลงกับนายพุธวางท่อสูบน้ำจากบ่อน้ำบนที่ดินของนายจันทร์ผ่านที่ดินของนายพุธเพื่อมายังที่ดินของตน  นายพุธยินยอม  นายอาทิตย์จึงได้วางท่อผ่านที่ดินของนายพุธ  นายจันทร์ได้มาห้ามไม่ยอมให้นายอาทิตย์ใช้น้ำในบ่อบนที่ดินของนายจันทร์  นายจันทร์จะห้ามนายอาทิตย์ไม่ได้เพราะภารจำยอมมีประโยชน์ทุกส่วนของสามทรัพย์  และส่วนที่แบ่งแยกยังคงใช้ประโยชน์ในภารจำยอมนั้นได้  นายจันทร์จึงไม่มีสิทธิห้ามหรือขอให้ที่ดินของนายอาทิตย์พ้นจากภารจำยอม  ภารจำยอมในส่วนที่ดินของนายอาทิตย์ยังไม่ระงับ

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายพิชัยกับนายเพชรได้ทำสัญญากันเอง  โดยนายพิชัยอนุญาตให้นายเพชรสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัยในที่ดินของนายพิชัยได้ตลอดชีวิตของนายเพชร  หลังจากนายเพชรสร้างเรือนไม้สักอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้  5  ปี  นายพิชัยถึงแก่ความตาย  นายพิชิตบุตรของนายพิชัยได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่รับมรดกที่ดินและเรือนไม้สักดังกล่าว  โดยนายพิชิตไม่รู้เรื่องสัญญาระหว่างนายพิชัยกับนายเพชรมาก่อน  หลังจากนั้นนายพิชิตแจ้งให้นายเพชรออกไปจากที่ดินและเรือนไม้สักหลังนั้น   นายเพชรจึงอ้างสัญญาที่นายพิชัยทำไว้กับนายเพชร

แต่นายพิชิตต่อสู้ว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  จึงไม่ผูกพันนายพิชิตผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและเรือนไม้สักมาโดยสุจริต  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

ก.      สัญญาระหว่างนายพิชัยกับนายเพชรมีผลผูกพันนายพิชิตหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ระหว่างนายพิชิตกับนายเพชร  ผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในเรือนไม้สักดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  146  ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น  ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย

มาตรา  1299  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  ท่านว่า  การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์  เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

สัญญาที่นายพิชัยอนุญาตให้นายเพชรสร้างบ้านเพื่ออยู่อาศัยในที่ดินของนายพิชัยได้ตลอดชีวิตของนายเพชร  และนายเพชรสร้างเรือนไม้สักอยู่ในที่ดินดังกล่าว  เป็นกรณีที่นายเพชรได้สิทธิเหนือพื้นดินบนที่ดินของนายพิชัย  อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม  ตามมาตรา  1299  วรรคหนึ่ง  แต่เนื่องจากนิติกรรมฉบับนี้ไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่  นิติกรรมจึงไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ  แต่ยังมีผลบังคับใช้ได้ระหว่างคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิ

สำหรับประเด็นที่นายเพชรสร้างเรือนไม้สักในที่ดินของนายพิชัย  โดยอาศัยสิทธิเหนือพื้นดินตามสัญญานั้น  นายเพชรจึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของนายพิชัย  และได้อาศัยสิทธินั้นสร้างโรงเรือนในที่ดินของนายพิชัย  เรือนไม้สักจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน  ตามมาตรา  146 นายเพชรจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเรือนไม้สักที่ตนสร้างขึ้น  ส่วนนายพิชัยไม่มีกรรมสิทธิ์ในเรือนไม้สักดังกล่าว

หลังจากนายเพชรสร้างเรือนไม้สักอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้  5  ปี  นายพิชัยถึงแก่ความตาย  นายพิชิตบุตรของนายพิชัยได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่รับมรดกที่ดินและเรือนไม้สักดังกล่าว  นายพิชิตจึงเป็นผู้สืบสิทธิของนายพิชัยเจ้ามรดก  ซึ่งต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของเจ้ามรดก  ดังนั้น

ก  สัญญาระหว่างนายพิชัยกับนายเพชรย่อมมีผลผูกพันถึงนายพิชิตด้วย  แม้สัญญาดังกล่าวจะไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม  เพราะสัญญาดังกล่าวยังมีผลบังคับใช้ได้ระหว่างคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิ  รวมถึงทายาทผู้สืบสิทธิของเจ้ามรดกด้วย  ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

ข  นายเพชรมีกรรมสิทธิ์ในเรือนไม้สักดีกว่านายพิชิต  เพราะเรือนไม้สักไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน  นายพิชัยบิดาของนายพิชิตจึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในเรือนไม้สัก  ดังนั้นนายพิชิตจึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนรับมรดกเรือนไม้สักดังกล่าวตามกฎหมาย  ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน

 

ข้อ  2  นายรุ่งได้ยืมเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งของนายเรืองมาใช้งาน  เมื่อใช้งานเสร็จ  นายรุ่งไม่ยอมคืนแต่ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไปขายที่ร้านไอทีเซ็นเตอร์  ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายคอมพิวเตอร์มือสองและรับซ่อมอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาหลายปี  ร้านไอทีเซ็นเตอร์ให้ราคา  20,000  บาท  แก่นายรุ่งเป็นค่าคอมพิวเตอร์และนายรุ่งได้นำเงินไปฝากนายโรจน์เก็บไว้

ต่อมาในวันที่  1  ตุลาคม  2549  นายเรืองมาทวงคอมพิวเตอร์คืนจากนายรุ่ง  นายรุ่งอ้างว่าได้นำไปซ่อมไว้ที่ร้านไอทีเซ็นเตอร์  ขอให้นายเรืองไปรับคืนเอง  นายเรืองจึงไปที่ร้านไอทีเซ็นเตอร์  พบว่าร้านได้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว  เมื่อวันที่  5  ตุลาคม  ผู้ซื้อไปคือนายโรจน์ในราคา  23,000  บาท  ร้านปฏิเสธไม่รับทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นคอมพิวเตอร์ของผู้ใด  ขอให้นายเรืองไปติดตามทวงคืนจากนายโรจน์เอง

ดังนี้  เมื่อนายเรืองไปขอให้นายโรจน์คืนคอมพิวเตอร์แก่ตน  นายโรจน์จะไม่ยอมคืนได้หรือไม่  หรือหากจะต้องคืนนายโรจน์จะขอให้นายเรืองจ่ายเงินให้ตน  23,000  บาท  เพื่อแลกกับการส่งคืนคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1332  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด  หรือในท้องตลาด  หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น  ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

วินิจฉัย

การที่นายโรจน์ซื้อทรัพย์สินคือเครื่องคอมพิวเตอร์มาจากร้านไอทีเซ็นเตอร์  ผู้ประกอบการจำหน่ายคอมพิวเตอร์มาหลายปี  จึงเป็นการซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจากพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น  ตามมาตรา  1332  ดังนั้นนายโรจน์แม้จะไม่มีสิทธิในคอมพิวเตอร์เครื่องนี้  และต้องคืนให้แก่นายเรืองผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงไป  แต่นายโรจน์ยังคงไม่ต้องคืนทรัพย์แก่นายเรืองจนกว่านายเรืองจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา  คือ  23,000  บาท  แก่นายโรจน์

 

ข้อ  3  นายดำอาศัยปลูกบ้านครอบครองอยู่บนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนายแดงบิดามาได้  3  ปี  นายแดงได้นำที่ดินแปลงนี้ไปขายฝากไว้กับนายเหลืองเป็นเวลา  7  ปี  ไม่ไถ่คืนจนเลยกำหนดเวลาไถ่คืนแล้ว  แต่นายดำก็ยังคงอาศัยครอบครองบนที่ดินแปลงนี้ตลอดมา  เมื่อหมดกำหนดเวลาไถ่คืนมาได้  1  ปี  นายเหลืองได้นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดสอบเขต  นายดำคัดค้านการรังวัดที่ดินแปลงนี้มาได้  6 เดือน  นายเหลืองจึงได้ฟ้องขับไล่นายดำออกจากที่ดินแปลงนี้  ดังนี้ท่านเห็นว่านายเหลืองมีสิทธิฟ้องขับไล่นายดำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และข้ออ้างของนายดำรับฟังได้เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1381  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง  บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่า  ไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป  หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต  อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

วินิจฉัย

นายดำอาศัยปลูกบ้านครอบครองอยู่บนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนายแดงบิดามาได้  3  ปี  นายแดงได้นำที่ดินแปลงนี้ไปขายฝากไว้กับนายเหลืองเป็นเวลา  7  ปี  ไม่ไถ่คืนจนเลยกำหนดเวลาไถ่คืนแล้ว  แต่นายดำก็ยังคงอาศัยครอบครองบนที่ดินแปลงนี้ตลอดมา  ถือว่านายดำครอบครองที่ดินแปลงนี้แทนนายเหลืองตลอดมา  จึงนับอายุความครอบครองปรปักษ์ไม่ได้  เมื่อหมดกำหนดเวลาไถ่คืนมาได้  1  ปี นายเหลืองได้นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดสอบเขต  นายดำได้คัดค้านการรังวัดโดยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้  เป็นการที่นายดำได้แสดงเจตนาเปลี่ยนแปลงการยึดถือโดยเจตนาเป็นเจ้าของแล้ว  ตามมาตรา  1381  นายดำคัดค้านการรังวัดที่ดินแปลงนั้นมาได้  6  เดือน  นายเหลืองจึงได้ฟ้องขับไล่นายดำให้ออกจากที่ดินแปลงนี้  นายเหลืองจึงฟ้องขับไล่นายดำได้  เพราะนายดำครอบครองปรปักษ์มาได้เพียง  6  เดือน  และข้ออ้างของนายดำรับฟังไม่ได้เพราะการครอบครองปรปักษ์ยังไม่ครบ  10  ปี  ตามมาตรา  1382

 

ข้อ  4  นายสำลีเป็นพ่อค้ารับซื้อของเก่า  นายสำลีได้มาซื้อบ้านพร้อมที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งที่ดินแปลงนั้นด้านหลังติดที่ดินของนายส้ม  นายสำลีจึงได้ใช้ที่ดินบางส่วนของนายส้มเก็บของเก่าที่นายสำลีรับซื้อมาและยังเดินผ่านที่ดินของนายส้มเข้าไปตักน้ำในคลองสาธารณะที่อยู่ติดกับที่ดินของนายส้มเพื่อมาใช้ทำความสะอาดของเก่าเตรียมไว้ขายให้โรงงาน  โดยนายส้มไม่ทราบถึงการกระทำของนายสำลีเลยนายสำลีใช้ที่ดินและเดินผ่านที่ดินของนายส้มเข้าไปตักน้ำมาได้สิบสองปี  นายส้มได้ห้ามนายสำลีไม่ให้เข้ามาในที่ดินของนายส้มไม่ว่าในกรณีใดทั้งสิ้น  แต่นายสำลีโต้แย้งว่าตนได้ภาระจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้อโต้แย้งของนายสำลีรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ส่วนนายส้มจะฟ้องศาลห้ามไม่ไห้นายสำลีเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินของตนและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายสำลีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1387  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน  หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์นั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

มาตรา  1374  ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน  เพราะมีผู้สอดแทรกเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้

มาตรา  193/29  เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้  ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

นายสำลีมีบ้านพร้อมที่ดินซึ่งที่ดินด้านหลังติดที่ดินของนายส้ม  นายสำลีจึงได้ใช้ที่ดินของนายส้มเก็บของเก่าที่นายสำลีซื้อมา  และยังเดินผ่านที่ดินของนายส้มเข้าไปตักน้ำในคลองสาธารณะที่อยู่ติดกับที่ดินของนายส้มเพื่อมาใช้ทำความสะอาดของเก่าเตรียมไว้ขายให้โรงงาน  โดยนายส้มไม่ทราบถึงการกระทำของนายสำลีเลย  นายสำลีใช้ที่ดินและเดินผ่านที่ดินของนายส้มเข้าไปตักน้ำมาได้สิบสองปี  นายส้มได้ห้ามนายสำลีไม่ให้เข้ามาในที่ดินของนายส้มไม่ว่าในกรณีใดทั้งสิ้น  แต่นายสำลีโต้แย้งว่าตนได้ภารจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ข้อโต้แย้งของนายสำลีฟังไม่ได้เพราะการใช้ที่ดินของนายส้มเก็บของเก่า  และยังเดินผ่านเข้าไปตักน้ำมาใช้ทำความสะอาดของเก่าเตรียมไว้ขายให้โรงงานไม่ใช่เพื่อประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา  1387  นายส้มจะฟ้องศาลห้ามไม่ให้นายสำลีเข้ามารบกวนการครอบครอง  ศาลสามารถยกระยะเวลาฟ้องปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองได้ว่าเลยระยะเวลา  1  ปีแล้วตามมาตรา  1374  เพราะเป็นระยะเวลาฟ้องร้องไม่ใช่สิทธิเรียกร้อง  ส่วนค่าสินไหมทดแทนต้องฟ้องร้องภายในหนึ่งปี  และเป็นอายุความสิทธิเรียกร้องเป็นไปตามมาตรา  193/29

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งจากนางแมว  โดยทำสัญญาซื้อขายไว้และได้ชำระราคากันครบถ้วนแล้ว  แต่นางแมวขอผัดจะไปจดทะเบียนโอนให้หลังจากนั้นอีก  20  วัน  หลังจากทำสัญญาได้  5  วัน  นางแมวถึงแก่ความตาย  นายหนูบุตรนางแมวได้ไปจดทะเบียนขอรับมรดกที่ดินแปลงนั้น  แล้วนายหนูได้นำที่ดินนั้นไปจดทะเบียนจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้กับธนาคาร

โดยธนาคารไม่ทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายแดงกับนางแมวมาก่อน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแดงจะฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกที่ดินของนายหนู  และฟ้องให้เพิกถอนการจำนองระหว่างนายหนูกับธนาคารได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1300  ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์  หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์  เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้  แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน  ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น  ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด  ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้

วินิจฉัย

การที่นายแดงทำสัญญาซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งจากนางแมว  และได้ชำระราคากันครบถ้วนแล้ว  เพียงแต่นัดจะไปโอนที่ดินทางทะเบียนกันภายใน  20  วันหลังจากทำสัญญาซื้อขายกัน  ถือได้ว่านายแดงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน  ตามมาตรา 1300  ดังนั้นนายแดงจึงมีสิทธิตามมาตรา  1300  ที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางให้ตนเสียเปรียบได้  เว้นแต่จะเป็นการโอนโดยสุจริต  และมีค่าตอบแทนจึงจะขอให้เพิกถอนไม่ได้  ดังนั้นการที่นายหนูจดทะเบียนรับมรดกที่ดินจากนางแมวซึ่งเป็นการรับโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน  นายแดงจึงฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกที่ดินของนายหนูได้

ส่วนการที่นายหนูนำที่ดินแปลงนั้นไปจดทะเบียนจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้กับธนาคารโดยธนาคารไม่ทราบเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายแดงกับนางแมวมาก่อน  นายแดงจึงฟ้องให้เพิกถอนการจำนองระหว่างนายหนูกับธนาคารไม่ได้  เพราะธนาคารกระทำโดยสุจริต  และเสียค่าตอบแทน

 

ข้อ  2  เด็กชายเอกอายุ  14  ปี  ขายโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งให้แก่นายโทในราคาร้อยบาท  โดยไม่ได้ขออนุญาตบิดา-มารดาของตนก่อน  นายโทซื้อแล้วนำไปตีใช้หนี้เงินกู้ที่ตนค้างชำระนายตรีอยู่หนึ่งพันบาท  นายตรียอมรับโทรศัพท์ไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นของที่นายโทซื้อมาจากเด็กชายเอก  นายตรีใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ได้เพียงอาทิตย์เดียวก็ยกให้นางสาวนิดหน่อยน้องสาวของตน

นางสาวนิดหน่อยนำโทรศัพท์ไปใช้โดยรู้ว่าเป็นเครื่องเก่าของเด็กชายเอกที่โอนต่อให้กันมาเป็นทอดๆ  จนมาถึงนายตรีพี่ชายของตน  แต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะตนได้มาเปล่าๆ  ไม่ต้องเสียเงินซื้อ  ต่อมาบิดาของเด็กชายเอกบอกล้างการซื้อขายโทรศัพท์ระหว่างเด็กชายเอกกับนายโท  และติดตามทวงถามให้นางสาวนิดหน่อยคืนโทรศัพท์แก่เด็กชายเอก  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างเด็กชายเอก  นายตรี  และนางสาวนิดหน่อยใครมีสิทธิในโทรศัพท์เครื่องนี้ดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1329  สิทธิของบุคคลผู้ได้มา  ซึ่งทรัพย์สินโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตนั้น  ท่านว่ามิเสียไปถึงแม้ว่าผู้โอนทรัพย์สินให้จะได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยนิติกรรมอันเป็นโมฆียะ  และนิติกรรมนั้นได้ถูกบอกล้างภายหลัง

วินิจฉัย

ตามปัญหา  เป็นการที่เด็กชายเอกผู้เยาว์ขายโทรศัพท์มือถือแก่นายโทโดยไม่ได้ขออนุญาตบิดา-มาดา นิติกรรมการซื้อขายจึงเป็นโมฆียะ การที่นายโทขายต่อแก่นายตรี  นายตรีเป็นผู้ซื้อมาโดยสุจริต  (ไม่รู้ว่าเป็นของที่นายโทซื้อมาจากเด็กชายเอก)  และนายตรีซื้อมาก่อนที่นิติกรรมการซื้อขายโทรศัพท์จะถูกบอกล้าง  ทำให้นายตรีไดกรรมสิทธิ์ในโทรศัพท์ดังกล่าวตามมาตรา  1329  แม้ว่าการซื้อขายจะถูกบอกล้างในภายหลังก็ตามย่อมไม่กระทบกระเทือนสิทธิของนายตรีที่ได้ซื้อโทรศัพท์มา

ส่วน น.ส. นิดหน่อย  แม้ได้โทรศัพท์มาโดยไม่เสียค่าตอบแทนและไม่สุจริต  แต่เมื่อได้มาจากนายตรีผู้มีสิทธิในโทรศัพท์เครื่องนี้  ก็ย่อมได้รับความคุ้มครองตามไปด้วย

ดังนั้นนายตรี  และ  น.ส. นิดหน่อย  จึงมีสิทธิในโทรศัพท์เครื่องนี้ดีกว่าเด็กชายเอก

 

ข้อ  3  นายสีครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งโดยได้ปลูกไม้เบญจพรรณทิ้งไว้  เพื่อตนจะได้ขอเอกสารสิทธิในภายหลัง  ซึ่งความจริงแล้วที่ดินแปลงนั้นอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่นายสีไม่ทราบ  นายสีปลูกต้นไม้บนที่ดินแปลงนั้นมาได้สองปี  เจ้าหน้าที่ของสักปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้นำที่ดินแปลงนั้นไปจัดให้นายสายซึ่งเป็นเกษตรกรเข้าทำประโยชน์  นายสายเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นได้ประมาณห้าเดือน

นายสีทราบจึงต้องการฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนั้นจากนายสาย  โดยอ้างว่าตนได้ครอบครองที่ดินแปลงนั้นมาก่อนและได้เรียกคืนในระยะเวลาภายในหนึ่งปี  ท่านคิดว่าข้ออ้างของนายสีรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1375  ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่า  ซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น  ท่านว่าต้องฟ้องภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง 

วินิจฉัย

นายสีครอบครองที่ดินแปลงหนึ่งโดยได้ปลูกไม้เบญจพรรณทิ้งไว้  เพื่อตนจะได้ขอเอกสารสิทธิในภายหลัง  ซึ่งความจริงแล้ว  ที่ดินแปลงนั้นอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินแต่นายสีไม่ทราบ  นายสีปลูกต้นไม้บนที่ดินแปลงนั้นมาได้สองปี  เจ้าหน้าที่ของสำนักปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้นำที่ดินแปลงนั้นไปจัดให้นายสายซึ่งเป็นเกษตรกรเข้าทำประโยชน์  นายสายจึงได้ครอบครองที่แปลงนั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย  นายสีจะฟ้องขับไล่และเรียกคืนที่ดินแปลงนั้นจากนายสายไม่ได้  แม้นายสีจะครอบครองก่อน  และเรียกคืนในระยะเวลาภายในหนึ่งปีก็ตาม  แต่การเรียกคืนตามมาตรา 1375  ต้องเป็นการที่ผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  และถ้าอีกฝ่ายมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าผู้ครอบครอง  ผู้ครอบครองก็จะเรียกคืนไม่ได้  ข้ออ้างของนายสีจึงรับฟังไม่ได้ 

 

ข้อ  4   นายปลามีอาชีพปลูกผักขาย  ที่ดินของนายปลาที่นายปลาปลูกบ้านอยู่  และใช้ทำสวนผักได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความในการเข้าไปตักน้ำในบ่อซึ่งอยู่ในที่ดินของนายปูเพื่อใช้รดน้ำผักและใช้ในครัวเรือนของนายปลา  นอกจากนั้นที่ดินของนายปลาแปลงนั้นยังได้สิทธิใช้ทางภารจำยอมโดยทางนิติกรรมเป็นทางเดินผ่านที่ดินของนายกุ้งเพื่อออกสู่ทางสาธารณะอีก  ต่อมาชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันทำประปาหมู่บ้านเพื่อนำน้ำมาใช้ในหมู่บ้าน  แต่เป็นข้อตกลงของหมู่บ้านว่าน้ำประปาใช้ในครัวเรือนรดน้ำต้นไม้ในบริเวณบ้านได้เท่านั้น  ห้ามไปใช้ประกอบการเกษตรเพราะจะทำให้น้ำไม่พอใช้ทั่วถึง  นายปลาจึงยังคงใช้น้ำในบ่อในที่ดินของนายปูเพื่อรดน้ำผัก  แต่ทางเดินนายปลาก็ไม่ได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของนายกุ้งอีกเลย  เพราะทางเดินใช้เดินไม่สะดวก  ให้ท่านอธิบายว่าภารจำยอมในการใช้น้ำและทางเดินนั้นจะสิ้นไปได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  1399  ภาระจำยอมนั้น  ถ้ามิได้ใช้สิบปี  ท่านว่าย่อมสิ้นไป

มาตรา  1400  ถ้าภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ไซร้  ท่านว่าภาระจำยอมนั้นสิ้นไป  แต่ถ้าความเป็นไปมีทางให้กลับใช้ภาระจำยอมได้ไซร้  ท่านว่าภาระจำยอมนั้นกลับมีขึ้นอีก  แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ในมาตราก่อน

ถ้าภารจำยอมยังเป็นประโยชน์แก่สามยทรัพย์อยู่บ้าง  แต่เมื่อเทียบกับภาระอันตกอยู่แก่ภารยทรัพย์แล้ว  ประโยชน์นั้นน้อยนักไซร้  ท่านว่าเจ้าของภารยทรัพย์จะขอให้พ้นจากภารจำยอมทั้งหมด  หรือแต่บางส่วนก็ได้แต่ต้องใช้ค่าทดแทน

วินิจฉัย

นายปลามีอาชีพปลูกผักขาย  ที่ดินของนายปลาปลูกบ้านอยู่และใช้ทำสวนผักได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความในการเข้าไปตักน้ำในบ่อซึ่งอยู่ในที่ดินของนายปูเพื่อใช้รดน้ำผักและใช้ในครัวเรือนของนายปลา  นอกจากนั้นที่ดินของนายปลาแปลงนั้นยังได้สิทธิใช้ทางภารจำยอมโดยทางนิติกรรมเป็นทางเดินผ่านที่ดินของนายกุ้งเพื่อออกสู่สาธารณะ  ต่อมาชาวบ้านได้รวมกลุ่มกันทำประปาหมู่บ้านเพื่อนำน้ำมาใช้ในหมู่บ้าน  แต่เป็นข้อตกลงของหมู่บ้านว่าน้ำประปาใช้ในครัวเรือนรดต้นไม้ได้เท่านั้น  ห้ามไปใช้ประกอบการเกษตรเพราะจะทำให้น้ำไม่พอใช้ทั่วถึง  นายปลาจึงยังคงใช้น้ำในบ่อที่ดินของนายปูเพื่อรดน้ำผัก  แต่ทางเดินนายปลาก็ไม่ได้ใช้ทางเดินผ่านที่ดินของนายกุ้งอีกเลย  เพราะทางเดินใช้เดินไม่สะดวก  ภารจำยอมในการใช้น้ำยังคงมีอยู่ยังไม่หมดประโยชน์แม้จะมีประปาหมู่บ้าน  แต่ยังจำเป็นในที่ดินเพื่อประโยชน์ในการทำสวนผักยังไม่หมดประโยชน์  ตามมาตรา  1400  และประโยชน์ยังมีอยู่มาก  การลดประโยชน์ในการใช้น้ำเป็นเพียงเล็กน้อย  สิทธิภารจำยอมในการใช้น้ำยังมีอยู่  และสิทธิในการขอให้พ้นตาม  มาตรา  1400  วรรคสอง  ก็ยังไม่เกิดขึ้น  ส่วนทางเดินนั้นจะสิ้นไปได้  ถ้านายปลาไม่ได้ใช้ทางเดินภารจำยอมนั้นติดต่อกันสิบปีตามมาตรา  1399

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายคงทำสัญญาเช่าตึกแถวของนายมั่นเพื่ออยู่อาศัยเป็นเวลา  5  ปี  โดยสัญญาเช่าระบุว่าทรัพย์ใดๆที่นายคงผู้เช่าดัดแปลงหรือต่อเติมลงในตึกแถวที่เช่าให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของนายมั่นผู้ให้เช่าทันที  หลังจากที่นายคงเข้าไปอยู่ในตึกแถวดังกล่าวได้  2  ปี  นายคงได้ทำฝากั้นห้องที่บริเวณชั้น  3  ของตึก  และติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้เป็นห้องนอนเพิ่มอีกห้องหนึ่ง  เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า  นายคงจะรื้อถอนเอาไม้ที่ทำเป็นฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศออกไป

นายมั่นไม่ยอมโดยอ้างว่าทั้งไม้และเครื่องปรับอากาศเป็นกรรมสิทธิ์ของนายมั่นแล้วตามสัญญาเช่าดังกล่าว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายคงจะรื้อถอนไม้ฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศออกไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  144  ส่วนควบของทรัพย์  หมายความว่า  ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่แห่งทรัพย์นั้น  และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย  ทำให้บุบสลาย  หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น

วินิจฉัย

นายคงทำสัญญาเช่าตึกแถวของนายมั่นเพื่ออยู่อาศัยเป็นเวลา  5  ปี  หลังจากนายคงเข้าไปอยู่ในตึกแถวได้  2  ปี  นายคงได้ทำฝากั้นห้องที่บริเวณชั้น  3  ของตึก  และติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพื่อใช้เป็นห้องนอนนั้น  ทั้งฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศไม่เป็นส่วนควบของตึก เพราะไม่เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของตึกอันไม่อาจแยกออกได้นอกจากทำให้ตัวตึกเสียรูปทรง  จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายมั่นผู้ให้เช่าตามมาตรา  144

ดังนั้นเมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า  นายคงสามารถรื้อถอนเอาไม้ที่ทำเป็นฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศออกไปได้  แม้ในสัญญาเช่าระบุว่าทรัพย์ใดๆที่นายคงผู้เช่าดัดแปลงหรือต่อเติมลงในตึกแถวที่เช่า  ให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของนายมั่นผู้ให้เช่าทันทีก็ตาม  แต่ทั้งนี้ทรัพย์ที่ต่อเติมนั้นหมายความถึงการกระทำที่มาเป็นส่วนควบของตึก  เมื่อฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศไม่เป็นส่วนควบของตึกดังกล่าวแล้ว  นายคงจึงสามารถรื้อถอนออกไปได้

สรุป  นายคงสามารถรื้อถอนไม้ฝากั้นห้องและเครื่องปรับอากาศออกไปได้

 

ข้อ  2  นายก้องได้เข้าครอบครองทำไร่ในที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม  แต่ทางราชการยังไม่ออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ  หลังจากที่นายก้องทำไร่ในที่ดินดังกล่าวได้  5  ปี  นายก้องได้ไปพบนายขำเพื่อนของตน  และขอให้นายขำซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินช่วยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)  ให้  ทั้งที่กรมที่ดินยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนเช้าจับจองเป็นเจ้าของหรือออกเอกสารสิทธิแต่อย่างใด

เมื่อนายก้องได้หนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3)  มาแล้ว  นายก้องได้ทำหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ขายที่ดินดังกล่าวให้กับนายแก้ว  ต่อมาทางราชการได้แจ้งให้นายแก้วออกไปจากที่ดินดังกล่าว  แต่นายแก้วไม่ยอมย้ายออกจากที่ดินแปลงนั้น  โดยต่อสู้ว่าตนซื้อที่ดินมาโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายแก้วรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1304  สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้น  รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดิน  ซึ่งใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์  หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน  เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า  และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้งหรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน

มาตรา  1305  ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้  เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา

มาตรา  1306  ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

วินิจฉัย

ป่าเสื่อมโทรมที่ทางราชการยังไม่ออกพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้นยังมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา  1304(1)  ดังนั้นแม้นายก้องจะเข้าไปครอบครองทำไร่ในที่ดินดังกล่าวนานเท่าใด  นายก้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้น  เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่สามารถยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินตามมาตรา  1306

ส่วนการที่นายก้องไปพบนายขำเพื่อนของตน  และขอให้นายขำเป็นเจ้าพนักงานที่ดินช่วยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์  (น.ส.3) ให้  ทั้งที่กรมที่ดินยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนเข้าจับจองเป็นเจ้าของหรือออกเอกสารสิทธิแต่อย่างใด  จึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)  โดยมิชอบด้วยกฎหมาย  กรมที่ดินสามารถเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)  นั้นได้  และนายก้องไม่สามารถทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินนั้นให้กับนายแก้ว  เพราะมาตรา  1305  มีหลักกฎหมายความว่า    ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้  เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา  ดังนั้นเมื่อทางราชการได้แจ้งให้นายแก้วออกไปจากที่ดินดังกล่าว  นายแก้วจึงต้องย้ายออกไปจากที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น  ข้อต่อสู้ของนายแก้วที่ว่าตนซื้อที่ดินมาโดยสุจริต  และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายแก้งฟังไม่ขึ้น  เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

 

ข้อ  3  นายชุ่มทำไร่ในที่ดินมือเปล่าแห่งหนึ่ง  ต่อมานายชุ่มได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายชม  และนายชมได้ให้นายชุ่มอยู่ทำไร่ดูแลที่ดินแปลงนี้ต่อให้  เมื่อนายชุ่มครอบครองที่ดินแปลงนี้ต่อมาได้เจ็ดปี  นายชุ่มได้นำที่ดินแปลงนี้ไปขายให้นายชิตส่งมอบการครอบครองให้นายชิต  โดยนายชิตไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของนายชม  นายชิตซื้อที่ดินแปลงนี้จากนายชุ่มมาได้สามเดือน

เมื่อเจ้าพนักงานรังวัดสำรวจเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่นายชิตได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงนี้ว่าเป็นของตนต่อเจ้าพนักงาน  นายชมได้ไปร้องคัดค้าน  และฟ้องขับไล่นายชิตให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ระหว่างนายชมและนายชิตใครมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนี้ดีกว่ากัน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1368  บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้

มาตรา  1380  การโอนไปซึ่งการครอบครองย่อมเป็นผลแม้  ผู้โอนยังยึดถือทรัพย์สินอยู่  ถ้าผู้โอนแสดงเจตนาว่าต่อไปจะยึดถือทรัพย์สินนั้นแทนผู้รับโอน 

ถ้าทรัพย์สินนั้นผู้แทนของผู้โอนยึดถืออยู่  การโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำโดยผู้โอนสั่งผู้แทนว่า  ต่อไปให้ยึดถือทรัพย์สินไว้แทนผู้รับโอนก็ได้

วินิจฉัย

นายชุ่มได้ทำไร่ในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่ง  ต่อมานายชุ่มได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายชมและนายชมได้ให้นายชุ่มอยู่ทำไร่ดูแลที่ดินแปลงนั้นให้ตน  นายชุ่มจึงยึดถือที่ดินแปลงนั้นแทนนายชมตามมาตรา  1380  นายชมจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงนั้นดีกว่านายชุ่มตามมาตรา  1368  เมื่อนายชุ่มครอบครองที่ดินแปลงนั้นต่อมาได้เจ็ดปี  นายชุ่มได้นำที่ดินแปลงนั้นไปขายให้นายชิตส่งมอบการครอบครองให้นายชิต  โดยนายชิตไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นของนายชม  เมื่อนายชิตรับโอนจากนายชุ่มซึ่งไม่มีสิทธิดีกว่านายชม  นายชิตจึงไม่มีสิทธิในที่ดินมือเปล่าแปลงนั้นดีกว่านายชม  ดังนั้นระหว่างนายชมและนายชิตนายชมย่อมมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นดีกว่านายชิต

สรุป  นายชมย่อมมีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนั้นดีกว่านายชิต

 

ข้อ  4  นายแสงครอบครองปลูกบ้านและทำนารุกเข้าไปบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนายเสียง  โดยนายแสงก็ไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของนายเสียงคิดว่าเป็นของตนเพราะหมุดเขตที่ดินหายไป  และนายเสียงก็ไม่เคยทราบมาก่อนเลย  นายแสงครอบครองทำนาในส่วนที่อยู่บนที่ดินของนายเสียงและของตนมาได้  6  ปี  นายแสงตาย  นายสีบุตรชายนายแสงได้ครอบครองทำนาบนที่ดินแปลงนั้นต่อจากนายแสง  นายสีทำนาต่อมาได้  5  ปี  นายเสียงเพิ่งมาทราบว่าที่ดินแปลงนั้นของตนบางส่วนถูกนายสีครอบครองทำประโยชน์อยู่  นายเสียงจึงกั้นรั้วและห้ามมิให้นายสีทำนารุกเข้ามาในที่ดินแปลงนั้น  แต่นายสีไม่ยอมอ้างว่าตนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายเสียงส่วนนั้นแล้ว  และให้นายเสียงรื้อรั้วออกไป  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของนายสีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  1382  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

มาตรา  1385  ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน  ผู้รับโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้  ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น  และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้  ท่านว่าข้อบกพร่องนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้

วินิจฉัย

นายแสงครอบครองปลูกบ้านและทำนารุกเข้าไปบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนายเสียง  โดยนายแสงก็ไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของนายเสียงคิดว่าเป็นของตนเพราะหมุดที่ดินหายไป  และนายเสียงก็ไม่เคยทราบมาก่อนเลย  นายแสงครอบครองทำนาในส่วนที่อยู่บนที่ดินของนายเสียงและของตนมาได้  6  ปี  นายแสงตาย  นายสีบุตรชายของนายแสงได้ครอบครองทำนาบนที่ดินแปลงนั้นต่อจากนายแสง  นายสีทำนาต่อมาได้  5  ปี  นายสีได้กรรมสิทธิ์บนที่ดินแปลงนั้น  โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วตามมาตรา  1382  โดยได้รับโอนสิทธิการครอบครองจากนายแสงบิดาตามมาตรา  1385  นายเสียงจึงกั้นรั้วและห้ามมิให้นายสีทำนารุกเข้ามาในที่ดินของตน  แต่นายสีไม่ยอมอ้างว่าตนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายเสียงส่วนนั้นแล้ว  และให้นายเสียงรื้อรั้วออกไป  ข้ออ้างของนายสีชอบด้วยกฎหมาย  นายเสียงต้องรื้อรั้วที่รุกเข้ามาในส่วนที่นายสีครอบครองปรปักษ์เพราะนายสีได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนั้นแล้ว

WordPress Ads
error: Content is protected !!