LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายดำไปเที่ยวทะเลเห็นที่ดินริมทะเลของนายแดงประกาศขาย  นายดำจึงได้ติดต่อนายแดงเจรจาขอซื้อ  นายแดงตกลงขายให้ในราคาสามล้านบาท  เมื่อตกลงแล้วนายดำได้ชำระราคาล่วงหน้าให้นายแดงไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท

นายแดงก็ได้เขียนใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นให้นายดำไว้ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายทั้งคู่นัดกันอีกสองอาทิตย์  จะทำในวันที่ไปดำเนินการทางโอนจดทะเบียน  เนื่องจากนายดำจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ  ในเย็นวันนั้น

ต่อมาเมื่อถึงวันนัดทำสัญญาและโอนทะเบียนนายดำไปหานายแดงที่บ้านเพื่อจะรับนายแดงไปที่สำนักงานที่ดินด้วยกันจะดำเนินการจดทะเบียนโอนให้เรียบร้อย  แต่นายแดงกลับไม่ยอมโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายดำ  ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินแปลงนี้กับนายดำแต่อย่างใด

นายดำจะฟ้องร้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และสัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน

 ธงคำตอบ

มาตรา  456  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท  หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์  ตามมาตรา  456  วรรคสองนั้น  จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด  หรือวางมัดจำ  หรือชำระหนี้บางส่วน  จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

หลักเกณฑ์การพิจารณา  ต้องดูว่าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่  ถ้าไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  สัญญาซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะ  คู่สัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้  แต่ถ้าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำหนังสือและจดทะเบียนกันในภายหลังก็เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  ผู้ซื้อสามารถฟ้องบังคับให้ผู้จะขายไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนได้

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงตกลงขายที่ดินริมทะเลให้ในราคาสามล้านบาท  เมื่อตกลงแล้วนายดำได้ชำระราคาล่วงหน้าให้นายแดงไว้ก่อนหนึ่งแสนบาท  นายแดงก็ได้เขียนใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นให้นายดำไว้  ส่วนหนังสือสัญญาซื้อขายทั้งคู่นัดกันอีกสองอาทิตย์  จะทำในวันที่ไปดำเนินการทางโอนจดทะเบียน  เนื่องจากนายดำจะต้องรีบกลับกรุงเทพฯ  ในเย็นวันนั้น  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขายแต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลัง

ส่วนประเด็นที่ว่าจะฟ้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  เห็นว่า  กรณีดังกล่าวนั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว  ทั้งมีใบรับเงินค่าซื้อขายที่ดินแปลงนั้นเป็นหลักฐานที่เป็นหนังสือ  จึงใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้  ดังนั้นเมื่อนายแดงผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนที่ดินแปลงนั้นให้นายดำ  และปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาขายที่ดินนี้กับนายดำแต่อย่างใด  นายดำจึงฟ้องร้องให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง

สรุป  นายดำจะฟ้องร้องบังคับให้นายแดงไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง  สัญญาซื้อขายระหว่างนายดำและนายแดงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย

 

ข้อ  2  นายพันซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายเครื่องไฟฟ้าแห่งหนึ่ง  เมื่อปีใหม่ร้านของนายพันจัดเทศกาลลดราคาประจำปี  นายพูนได้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องหนึ่งจากร้านของนายพันในเทศกาลปีใหม่นั้น  จากราคาป้ายของใหม่หนึ่งหมื่นบาทในเทศกาลนี้ร้านจะลดให้เหลือเพียงแปดพันบาท

เมื่อคนงานของนายพันนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องนั้นมาส่งที่บ้าน  นายพูนพบว่ามีรอยขีดข่วนอยู่ภายนอกและยังพบรอยบุบสองแห่งสภาพก็ดูเก่าเก็บเหมือนเอาเครื่องที่มีตำหนิมาขาย  แต่ระบบของเครื่องก็สามารถใช้งานได้ตามปกติ  นายพูนจึงไม่ยอมรับนั้นและต้องการให้นายพันนำเครื่องใหม่มาให้ตน

แต่นายพันปฏิเสธนายพูนจะเรียกให้นายพันรับผิดและส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใหม่ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขาย  ตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิด  ถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุขึ้น  ดังนี้

1       เสื่อมราคา

2       เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ

3       เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งหมายโดยสัญญา

ความชำรุดบกพร่องที่ผู้ขายต้องรับผิดนั้นต้องมีอยู่ก่อนหรือขณะทำสัญญาซื้อขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขายโดยผู้ซื้อไม่รู้ (ฎ. 459/2514)  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขาย  ตามมาตรา  473

กรณีตามอุทาหรณ์  ความชำรุดบกพร่องดังกล่าวนายพูนผู้ซื้อพบเห็นเมื่อคนงานของนายพันนำเครื่องใช้ไฟฟ้ามาส่งที่บ้าน  ซึ่งมีรอยบุบสองแห่ง  สภาพดูเก่าเหมือนเอาเครื่องที่มีตำหนิมาขาย  แม้ระบบของเครื่องจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติก็ตาม  นายพันผู้ขายก็ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าว  ตามมาตรา  472  วรรคแรก  เพราะความชำรุดบกพร่องดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาส่งมอบทรัพย์สินที่ขายโดยผู้ซื้อไม่รู้ว่ามีความชำรุดบกพร่องดังกล่าวในเวลาซื้อขาย  หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชนเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติหรือที่มุ่งหมายโดยสัญญา  แม้ผู้ขายจะรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่  ตามมาตรา  472  วรรคท้าย  ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดของผู้ขายตามมาตรา  473  แต่อย่างใด

สรุป  นายพูนสามารถเรียกให้นายพันรับผิด  และส่งมอบเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องใหม่ได้  ตามมาตรา  472

 

ข้อ  3  นายไก่นำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต่อปี  หลังจากขายฝากไปได้  6  เดือน  นายไก่ได้โทรศัพท์มาขอขยายระยะเวลาในการไถ่ถอนออกไปเป็น  2  ปี

นายไข่ไม่ตอบตกลงในทันทีแต่ขอเวลาไตร่ตรองสักระยะหนึ่งก่อน  ต่อมาอีกหนึ่งอาทิตย์นายไก่ก็ได้รับจดหมายจากนายไข่ตอบตกลงให้ขยายระยะเวลาในการไถ่เป็น  2  ปี  ตามคำขอ  เมื่อใกล้จะครบกำหนด  2  ปี  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่  พร้อมนำเงิน  1  ล้าน  1  แสน  5  หมื่นบาท  นายไข่ปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่โดยอ้างว่า (1)  กำหนดระยะเวลาตามสัญญาคือ  1  ปี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  และ  (2)  ถ้าว่ามีการซื้อขายเป็น  2  ปีจริง  สินไถ่ก็ไม่ครบ

(1) ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่  และ

(2) นายไก่จะฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่คืนเพราะมีการตกลงขยายระยะเวลาแล้วได้หรือไม่  และนายไก่จะต้องปฏิบัติอย่างไร  จึงจะได้ไถ่บ้านและที่ดินของตนคืน

ธงคำตอบ

มาตรา  492  ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด  หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์สินที่ได้วางไว้  ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  496  กำหนดเวลาไถ่นั้น  อาจทำสัญญาขยายกำหนดเวลาไถ่ได้  แต่กำหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมด  ถ้าเกินกำหนดเวลาตามมาตรา  494  ให้ลดลงมาเป็นเวลาตามมาตรา  494

การขยายกำหนดเวลาไถ่ตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ถ้าเป็นทรัพย์สินซึ่งการซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ห้ามมิให้ยกการขยายเวลาขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต  และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว  เว้นแต่จะได้นำหนังสือหรือหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวไปจดทะเบียนหรือจดแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา  497  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ขายเดิม  หรือทายาทของผู้ขายเดิม  หรือ

มาตรา  498  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ขายเดิม  หรือทายาทของผู้ขายเดิม  หรือ

มาตรา  499  สินไถ่นั้น  ถ้าไม่ได้กำหนดกันว่าเท่าใดไซร้  ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย 

การขยายกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ที่ขายฝาก  คู่สัญญาอาจตกลงกันก่อนถึงกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนได้  แต่ทั้งนี้กำหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสิบปี  ถ้าเกินกำหนดสิบปี  ให้ใช้บังคับได้เพียงสิบปีเท่านั้น  ตามมาตรา  494 (1)  และมาตรา  496  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ากำหนดระยะเวลาไถ่ตามสัญญาคือ  1  ปีได้สิ้นสุดแล้ว รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  หลังจากนายไก่จดทะเบียนขายฝากไปได้  6  เดือน  นายไก่ได้โทรศัพท์มาขอขยายระยะเวลาในการไถ่ออกเป็น  2  ปี  และนายไข่ก็ตอบจดหมายตกลงให้ขยายระยะเวลาไถ่ได้  ดังนี้จะเห็นว่านายไก่และนายไข่คู่สัญญาได้ตกลงขยายกำหนดเวลาไถ่ก่อนกำหนดเวลาไถ่เดิมโดยขยายเวลาไถ่ไปอีก  1  ปี  รวมเป็น  2  ปี  ซึ่งไม่เกิน  10  ปี  ตามมาตรา  494  (1)  ทั้งนี้มีจดหมายของนายไข่เป็นหลักฐานที่เป็นหนังสือชื่อนายไข่ผู้รับไถ่  การขยายกำหนดเวลาไถ่เป็น  2  ปี  จึงใช้บังคับตามกฎหมายได้  ตามมาตรา  496  ข้ออ้างของนายไข่ในประเด็นนี้จึงรับฟังไม่ได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าถ้ามีการขยายเวลาไถ่เป็น  2  ปีจริง  สนไถ่ก็ไม่ครบ  รับฟังได้หรือไม่  ข้อเท็จจริงมีว่า  นายไก่จดทะเบียนขายฝากบ้านและที่ดินในราคา  1  ล้านบาทมีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกร้อยละ  15  ต่อปี  ซึ่งไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในมาตรา  499  วรรคสอง  ดังนั้นหากนายไก่ต้องการไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากภายใน  1  ปี  นายไก่จะต้องนำเงินสินไถ่มาไถ่ทรัพย์คืน  1,150,000  บาท  อย่างไรก็ดีเมื่อมีการขยายระยะเวลาในการไถ่เป็น  2  ปี  และการขยายเวลาไถ่ดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายได้  หากนายไก่ต้องการไถ่ทรัพย์คืนต้องนำประโยชน์ตอบแทนอีกร้อยละ  15  ต่อปี  มาไถ่คืน  ดังนั้นนายไก่ต้องนำสินไถ่รวมทั้งสิ้น  1,300,000  บาท  มาไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากคืน  หากไม่ครบ  นายไข่มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่ทรัพย์คืนได้  ข้ออ้างในประเด็นดังกล่าวจึงรับฟังได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายไก่จะฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่คืนเพราะมีการตกลงขยายเวลาไถ่แล้วได้หรือไม่  เห็นว่า เมื่อผู้ขายฝากได้ใช้สิทธิไถ่โดยชอบแล้ว  ผู้ซื้อฝากต้องรับการไถ่  ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ยอมให้ไถ่ถอน  หรือไม่ยอมรับสินไถ่  ผู้ขายฝากมีสิทธิฟ้องร้องให้ผู้ซื้อฝากจดทะเบียนไถ่การขายฝากโอนที่ดินคืนให้ผู้ขายฝากได้  และถือว่าเป็นการใช้สิทธิไถ่โดยชอบแล้ว  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  นายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิในการไถ่พร้อมนำเงิน  1,150,000  [ท  มาขอไถ่  ดังนี้แม้นายไก่ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา  497 (1)  จะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์คืนต่อนายไข่ผู้รับไถ่ตามมาตรา  498  (1)  ภายในกำหนดเวลาไถ่ที่ขยายเป็น  2  ปีก็ตาม  แต่สินไถ่ที่นำมาไถ่คืนนั้นไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงกันไว้  คือ  1,300,000  บาท  ถือว่ายังไม่เป็นการใช้สิทธิไถ่ทรัพย์โดยชอบ  จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่ทรัพย์คืนได้  (ฏ. 407/2540)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า  นายไก่จะต้องปฏิบัติอย่างไร  จึงจะได้ไถ่บ้านและที่ดินของตนคืน  เห็นว่า  นายไก่จะต้องนำสินไถ่  1,300,000  บาท  ไปแสดงเจตนาขอไถ่ทรัพย์คืนต่อนายไข่ผู้รับไถ่  ตามมาตรา  498  (1)  ภายในกำหนดเวลา  2  ปี  นับแต่เวลาขายฝาก  จึงจะเป็นการใช้สิทธิไถ่โดยชอบ  อย่างไรก็ตามหากนายไข่ผู้รับไถ่ไม่ยอมให้ไถ่ถอนหรือไม่ยอมรับสินไถ่  นายไก่ผู้ไถ่ก็มีสิทธิที่จะวางสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้  ในกรณีเช่นนี้ให้ทรัพย์สินที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

สรุป

1)    ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ากำหนดระยะเวลาตามสัญญาคือ  1  ปีนั้นสิ้นสุดลงแล้วรับฟังไม่ได้  แต่ข้ออ้างว่าสินไถ่ไม่ครบรับฟังได้

2)    นายไก่ไม่สามารถฟ้องให้นายไข่ยอมให้ตนไถ่ทรัพย์คืนเพราะมีการขยายระยะเวลาไถ่คืนได้และนายไก่ต้องนำสินไถ่  1,300,000  [ท  ไปขอไถ่กับนายไข่ภายในกำหนดเวลาไถ่  หรือวางสินไถ่  ณ  สำนักงานวางทรัพย์

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ สอบซ่อมภาค 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1.       นายจันทร์ขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) ของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 1 ล้านบาท  และนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารพร้อมกับรับชำระราคา  นายอังคารอยู่ในที่แปลงนี้มาได้ 1 ปี นายจันทร์นำที่ดินแปลงนี้ไปออกโฉนดที่ดินเป็นชื่อนายจันทร์  และนายจันทร์ได้จดทะเบียนโอนขายให้นายพุธในราคา 3 ล้านบาท  นายพุธซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต นายพุธจะเข้าไปอยู่ในที่แปลงนี้แต่ถูกนายอังคารขัดขวาง  นายพุธขอให้นายอังคารออกไป มิฉะนั้นจะฟ้องขับไล่ นายอังคารไม่ยอมออก ทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้  และมาขอให้ท่านชี้ขาดตัดสินข้อพิพาท

ดังนี้  ตามข้อเท็จจริงนี้ ท่านจะตัดสินข้อพิพาทระหว่างนายอังคารกับนายพุธอย่างไร  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย 

มาตรา 456 วรรค 1 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรื่อมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย 

มาตรา 1378  การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง

วินิจฉัย

สัญญาระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรค 1  แต่ที่ดิน นส.3 เป็นที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครอง นายจันทร์ส่งมอบให้นายอังคารถือว่านายจันทร์สละสิทธิครอบครอง และนายอังคารได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1378  นายจันทร์หาได้นำที่ดินของตนไปออกโฉนดที่ดินแต่นำที่ดินของนายอังคารไปออกโฉนดเป็นชื่อตน  

นายจันทร์ย่อมไม่มีสิทธิในที่แปลงนี้  แม้นายพุธจะซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต นายพุธก็มีสิทธิเพียงเท่าที่นายจันทร์มีอยู่ ตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน นายพุธย่อมไม่มีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ดีกว่านายอังคาร  นายพุธต้องออกไปจากที่ดินแปลงนี้

 

ข้อ 2.       จันทร์กับอังคารจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงหนึ่งของจันทร์ให้อังคารในราคา 100,000 บาท  ตอนที่ตกลงเจรจาซื้อขายก่อนที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้กัน อังคารบอกกับจันทร์ว่า ตนรับซื้อที่ดินแปลงนี้เป็นการชั่วคราวเพื่อช่วยจันทร์เรื่องเงินทองที่จันทร์กำลังมีปัญหาอยู่เท่านั้น

เมื่อขายให้ตนแล้วถ้าจันทร์มีเงินตามราคาที่ขายให้ตนเมื่อใดตนก็ยินดีที่จะให้จันทร์ไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนได้ แต่ตอนที่โอนจดทะเบียนไม่ได้จดทะเบียนข้อตกลงนี้ด้วย  ต่อมาเมื่อจันทร์ขายที่ดินแปลงนี้ไปให้อังคารได้ห้าปี จันทร์ได้นำเงิน 100,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากอังคาร  อังคารจะไม่ยอมให้นายจันทร์ไถ่ที่ดินแปลงนี้กลับคืนไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

มาตรา 456  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท  หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

วินิจฉัย

จันทร์กับอังคารจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงหนึ่งของจันทร์ให้อังคารในราคา 100,000 บาท ตอนที่   ตกลงเจรจาซื้อขายก่อนที่จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้กัน อังคารบอกกับจันทร์ว่า ตนยินดีรับซื้อที่ดินแปลงนี้ชั่วคราง เพื่อช่วยจันทร์เรื่องเงินทองที่จันทร์กำลังมีปัญหาอยู่เท่านั้น เมื่อขายให้ตนแล้วถ้าจันทร์มีเงินตามราคาที่ขายให้ตนเมื่อใด ตนก็ยินดีที่จะให้จันทร์ไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนได้ แต่ตอนที่โอนจดทะเบียนไม่ได้จดทะเบียนข้อตกลงนี้ด้วย ต่อมาเมื่อจันทร์ขายที่ดินแปลงนี้ไปให้อังคารได้ห้าปี นายจันทร์ได้นำเงิน 100,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคาร นายอังคารจะไม่ยอมให้นายจันทร์ไถ่ที่ดินแปลงนี้กลับคืนไปได้ เพราะสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้เป็นสัญญาซื้อขาย (สำเร็จบริบูรณ์) เสร็จเด็ดขาดที่สมบูรณ์ ตามมาตรา 456 วรรค 1 และไม่ใช่สัญญาขายฝาก เพราะข้อตกลงซื้อคืนนั้นไม่ได้จดไว้ในทะเบียนด้วย การให้สัญญาด้วยวาขาว่าจะขายคืนให้นั้นไม่เป็นคำมั่นที่จะใช้บังคับได้ตามมาตรา 456 วรรค 2

 

ข้อ 3.       บริษัทแห่งหนึ่ง ต้องการนำรถยนต์ของบริษัทบางคันที่เก่าแล้วออกประมูลขายทอดตลาด  จึงได้จ้างบริษัทขายทอดตลาดที่ได้รับใบอนุญาตถูกต้อง ให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลขายทอดตลาด  โดยบริษัทก็ทราบว่ารถยนต์ของบริษัททุกคันที่นำมาประมูลขายทอดตลาดนั้นเป็นรถที่เก่าและชำรุด ดำประมูลซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดครั้งนั้นได้คันหนึ่ง

เมื่อนำรถยนต์คันนั้นออกใช้จึงรู้ว่ารถยนต์มีความชำรุดมากถ้าจะซ่อมต้องเสียค่าซ่อมมาก  จึงได้นำรถยนต์คันนั้นออกขายต่อให้แดง  ดังนี้ อยากทราบว่าดำจะเรียกร้องให้บริษัทเจ้าของรถยนต์ที่นำออกขายรับผิดได้หรือไม่ และแดงจะเรียกร้องให้ดำให้รับผิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด อายุความเท่าใด

แนวคำตอบ 

มาตรา 472  ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

บริษัทแห่งหนึ่ง ต้องการนำรถยนต์ของบริษัทบางคันที่เก่าแล้วออกประมูลขายทอดตลาด จึงได้จ้างบริษัทขายทอดตลาดโดยได้รับใบอนุญาตถูกต้องให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลขายทอดตลาด โดยบริษัทก็ทราบว่ารถยนต์ของบริษัททุกคันนั้นที่นำมาประมูลขายทอดตลาดนั้นเป็นรถที่เก่าและชำรุด ดำประมูลซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดครั้งนั้นได้คันหนึ่ง ดำจะเรียกร้องให้บริษัทเจ้าของรถยนต์ที่นำออกขายรับผิดไม่ได้ ตามมาตรา 473(3) แม้ทรัพย์ที่ซื้อจะชำรุดบกพร่องก็ตาม แต่เมื่อดำนำรถยนต์คันนั้นออกขายต่อให้แดง ถ้าแดงไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นชำรุดบกพร่อง และแดงได้ใช้ความระมัดระวังในการรับมอบทรัพย์สินในระดับวิญญูชน และเป็นความชำรุดบกพร่องที่ไม่สามารถเห็นประจักษ์ในเวลาส่งมอบและผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยไม่ได้อิดเอื้อน และสัญญาซื้อขายระหว่างแดงและดำไม่ใช้เป็นการขายทอดตลาด แดงจะเรียกร้องให้ดำให้รับผิดได้ตามมาตรา 472 และไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 แดงจึงฟ้องให้ดำรับผิดเพื่อการชำรุดบกพร่องได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2551

การสอบไล่ภาคฤดู  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

 ข้อ 1.       นายจันทร์ขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส.3) ของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคาร ในราคา 8 แสนบาท และนายจันทร์ได้ส่งมอบให้นายอังคารพร้อมกับรับชำระราคา นายอังคารอยู่ในที่แปลงนี้มาได้ 6 เดือน นายจันทร์ยังนำที่แปลงนี้ไปจดทะเบียนโอนขายให้นายพุธในราคา 1 ล้านบาทอีก นายพุธซื้อโดยสุจริต และจดทะเบียนโดยสุจริต หลังจากนั้นอีก 2 วัน นายอังคารถูกนายพุธฟ้องขับไล่

ดังนี้ ถ้านายอังคารมาถามท่านว่า นายอังคารมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้หรือไม่ ท่านจะให้คำตอบนายอังคารอย่างไร เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ            

หลักกฎหมาย  

มาตรา 456 วรรค 1  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรื่อมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย 

มาตรา 1378  การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง

สัญญาระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  คู่สัญญาหาได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะ  ถือว่าสัญญาเป็นอันไม่มีไม่เกิด และคู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามมาตรา 456 วรรค 1   แต่ที่ดิน นส.3 เป็นที่ดินที่มีเพียงสิทธิครอบครอง  นายจันทร์ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารเป็นการโอนไปซึ่งการครอบครอง  นายอังคารย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง  นายอังคารย่อมมีสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ตามมาตรา 1378   

 

ข้อ 2.       แสงประมูลซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของเสียง จากการทอดตลาดจำนวนสี่เครื่อง ราคาเครื่องละ 50,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่านายเสียงผู้ขายไม่รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิในเครื่องถ่ายเอกสารทั้งหมด

เมื่อประมูลได้แล้วเสียงจึงจัดการส่งเครื่องถ่ายเอกสารทั้งหมดไปให้แสง แต่ขณะส่งของคนงานของเสียงได้ทำเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องหนึ่งชำรุด อีกเครื่องหนึ่งสี่ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจมายึดคืนไปโดยเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าเป็นของที่ถูกขโมยมาจากร้านของสี่ แล้วนำมาขายต่อให้เสียงโดยเสียงเองก็ไม่รู้

และเสียงได้นำมาทอดตลาด แสงจึงได้รับเฉพาะเครื่องถ่ายเอกสารเพียงสองเครื่อง ส่วนเครื่องที่ชำรุด แสงจะให้คนงานของเสียงกลับไปเปลี่ยนเอาเครื่องใหม่มาแทนได้หรือไม่ และแสงจะเรียกร้องเสียงในเครื่องที่ถูก   เจ้าพนักงานตำรวจยึดคืนไปได้เพียงใด

แนวคำตอบ            

มาตรา 483  คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา 484  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ย่อมไม่คุ้มผู้ขายให้พ้นจากการต้องส่งเงินคืนตามราคา  เว้นแต่จะได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 485  ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น  ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง  หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้

ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

 มาตรา 473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(3)  ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

แสงประมูลซื้อเครื่องถ่ายเอกสารของเสียง  จากการทอดตลาดจำนวนสี่เครื่อง ราคาเครื่องละ 50,000 บาท โดยมีข้อตกลงว่านายเสียงผู้ขายไม่รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิในเครื่องถ่ายเอกสารทั้งหมด  เมื่อประมูลได้แล้วจึงจัดการส่งไปให้แสง  แต่ขณะส่งของ คนงานของเสียงได้ทำเครื่องถ่ายเอกสารเครื่องหนึ่งชำรุด  ในกรณีความชำรุดบกพร่องแม้มีข้อตกลงยกเว้นความรับผิด แต่เป็นการที่ผู้ขายหรือตัวแทนของผู้ขายได้กระทำไปเองซึ่งยังต้องรับผิดตามมาตรา 485  แต่เนื่องจากเป็นการขายทอดตลาด  ผู้ขายจึงไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง แต่เรียกร้องให้รับผิดในการส่งมอบทรัพย์ไม่เป็นไปตามสภาพในเวลาที่จะส่งมอบตาม ม. 32391  ถ้าทรัพย์สินนั้นขายทอดตลาด ตามมาตรา 473 (3) 

ส่วนเครื่องถ่ายเอกสารอีกเครื่องหนึ่ง  สี่ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจมายึดคืนไปโดยเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าเป็นของที่ถูกขโมยมาจากร้านของสี่  นายแสงจึงถูกรอนสิทธิ เมื่อมีข้อตกลงยกเว้นความรับผิดไว้ตามมาตรา 483  และไม่เข้าตามมาตรา 485   เสียงจึงไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิต่อนายแสง  ดังนั้น แสงให้คนงานของเสียงกลับไปเปลี่ยนเอาเครื่องใหม่มาแทนไม่ได้  จะเรียกร้องให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์ไม่ได้ตาม 473 (3) แต่เรียกร้องให้รับผิดตาม ม. 323 ว.1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  และจะเรียกร้องให้เสียงรับผิดในเครื่องที่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดคืนไปก็ไม่ได้เช่นกัน  เพราะสัญญาซื้อขายมีข้อตกลงให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และเสียงผู้ขายก็ไม่ทราบถึงการรอนสิทธินั้นๆ  แต่ไม่คุ้มผู้ขายให้ส่งเงินคืนตามราคา  มาตรา 1484  

 


ข้อ 3.       อาทิตย์ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่งของอาทิตย์ไว้กับจันทร์ ในทะเบียนได้ระบุให้พุธเป็นผู้มีสิทธิไถ่คืน

ต่อมาทั้งจันทร์และพุธตาย ศุกร์ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของพุธได้นำเงินสินไถ่ทั้งหมดมาไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนกับพฤหัส ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของจันทร์เช่นกัน ในขณะที่กำหนดเวลาไถ่คืนยังไม่สิ้นสุด แต่พฤหัสไม่ยอมรับอ้างว่าศุกร์ไม่มีสิทธิไถ่ทรัพย์คืน

ศุกร์จึงได้นำเงินค่าสินไถ่ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ ก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่วางไว้ ศุกร์จะไถ่ที่ดินแปลงนี้คืนได้หรือไม่ กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ได้โอนมายังศุกร์แล้วหรือยัง

แนวคำตอบ            

 มาตรา 492  ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด  หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์สินที่ได้วางไว้  ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

มาตรา 497  สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้  คือ

(3)  บุคคลซึ่งในสัญญายอมไว้โดยเฉพาะว่าให้เป็นผู้ไถ่ได้

มาตรา 498สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น  จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้  คือ

(1) ผู้ขายเดิม  หรือทายาทของผู้ขายเดิม  หรือ

                อาทิตย์ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่งของอาทิตย์ไว้กับจันทร์  ในทะเบียนได้ระบุให้พุธเป็นผู้มีสิทธิไถ่คืน  พุธจึงเป็นผู้มีสิทธิไถ่คืนมาตรา 497 (3)  เมื่อพุธตาย สิทธิไถ่จึงตกไปยังทายาทของพุธคือศุกร์  ตามกฎหมายมรดกเพราะสิทธิไถ่เป็นสิทธิที่ตกทอดมรดกได้  เมื่อศุกร์นำสินไถ่ทั้งหมดมาไถ่ที่ดินคืนภายในกำหนดเวลาไถ่  ศุกร์จึงมีสิทธิไถ่ต่อพฤหัสซึ่งเป็นทายาทของจันทร์ตามมาตรา 478 (1)  พฤหัสจึงต้องยอมให้ศุกร์ไถ่ที่ดินแปลงนั้นคืน  พฤหัสจะไม่ยอมรับไถ่โดยอ้างว่าศุกร์ไม่มีสิทธิไถ่ทรัพย์คืนไม่ได้  และเมื่อศุกร์ได้นำเงินค่าสินไถ่ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ก่อนที่จะพ้นกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่วาง  กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ได้โอนมายังศุกร์แล้วโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 492

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2551

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายจันทร์ขายแม่หมูท้องแก่ของตนตัวหนึ่งให้นายอังคารในราคา 15,000 บาท นายอังคารตกลงซื้อและขอให้นายจันทร์นำหมูไปให้ที่บ้านพร้อมกับชำระราคา 
ในวันนัด นายจันทร์ได้นำหมูไปที่บ้านนายอังคารและขอให้นายอังคารชำระค่าหมู แต่นายอังคารกลับไม่ยอมชำระ นายจันทร์จึงไม่ส่งมอบหมูให้นายอังคาร อีก 5 วันต่อมา เกิดโรคระบาดเป็นเหตุให้แม่หมูตัวนี้ตาย นายจันทร์ขอให้นายอังคารชำระราคาค่าหมูอีก นายอังคารก็ไม่ยอมชำระ 

นายจันทร์มาถามท่านว่าแม่หมูที่ตายตกเป็นพับแก่นายจันทร์หรือนายอังคาร และนายจันทร์มีสิทธิเรียกร้องให้นายอังคารชำระราคาค่าหมูได้หรือไม่ ดังนี้ ท่านจะให้คำตอบนายจันทร์อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 370 วรรคแรก ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิใน ทรัพย์เฉพาะสิ่ง และทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิ ได้ไซร้ ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้

มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรค หนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่น บาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

มาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

วินิจฉัย

โดย หลักแล้ว เมื่อได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้กำหนดไว้แน่นอนแล้วว่าเป็นทรัพย์ชนิดใด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้นย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำ สัญญาซื้อขายกัน ตามมาตรา 458 กล่าวคือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อนั้นโอนไปยังผู้ซื้อทันที แม้จะยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ขายหรือยังไม่ได้ชำระราคาก็ตาม เพราะการส่งมอบและการชำระราคานั้นเป็นหนี้ที่คู่สัญญาต้องชำระกันในภายหลัง (ฎ. 1700/2527)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ขายแม่หมูท้องแก่ของตนตัวหนึ่งให้นายอังคารในราคา 15,000 บาท และนายอังคารก็ตกลงซื้อ เช่นนี้สัญญาซื้อขายย่อมเกิดขึ้น เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในทรัพย์เฉพาะสิ่ง กรรมสิทธิ์ในแม่หมูย่อมโอนไปยังนายอังคารผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญา ซื้อขายกัน ตามมาตรา 458 แม้จะมีข้อตกลงให้นายจันทร์ไปส่งมอบหมูให้ที่บ้านพร้อมกับรับชำระราคาในวัน หลัง ก็หาทำให้เป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขตามมาตรา 459 ที่จะทำให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อไม่

เมื่อข้อเท็จจริงใน วันนัด นายจันทร์ได้นำหมูไปส่งมอบให้นายอังคาร แต่นายอังคารกลับไม่ยอมชำระราคาค่าหมู เช่นนี้นายอังคารย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา และการที่หมูตายในระหว่างที่นายอังคารผิดสัญญานั้นเกิดจากโรคระบาด มิใช่เกิดขึ้นเพราะความผิดของนายจันทร์ กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 370 วรรคแรก ที่ว่าสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอน ทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง และทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปโดยโทษผู้ขายมิได้ การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่ผู้ซื้อ กรณีนี้บาปเคราะห์ย่อมตกเป็นพับแก่นายอังคารผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดรแม้นาย อังคารจะไม่ได้รับส่งมอบแม่หมู เพราะการสูญหรือเสียหายตกเป็นพับแก่ตน แต่นายอังคารก็ยังมีหน้าที่ชำระราคาค่าหมูตามสัญญาซื้อขาย เพราะกรรมสิทธิ์ในแม่หมูตกเป็นของนายอังคารแล้ว ทั้งแม่หมูตัวนี้ก็มีราคาเพียง 15,000 บาท แม้การซื้อขายจะมิได้มีหลักฐานในการฟ้องร้องให้บังคับคดี กล่าวคือไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด หรือมีการวางมัดจำ หรือชำระหนี้บางส่วน ก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เพราะบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคสามประกอบวรรคสองไม่ใช้บังคับกับการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาต่ำ กว่า 20,000 บาท

สรุป การที่แม่หมูตายย่อมตกเป็นพับแก่นายอังคาร ตามมาตรา 370 วรรคแรก และนายจันทร์มีสิทธิเรียกร้องให้นายอังคารชำระราคาค่าหมูได้

 

ข้อ 2 นายไก่นำที่ดินมีโฉนดของตนไปตกลงขายให้แก่นายไข่ในราคา 2 ล้านบาท โดยมีการส่งมอบที่ดินและชำระเงินกันครึ่งหนึ่งคือ 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลือตกลงกันว่าอีก 1 เดือนจะชำระ แต่ครบเดือนแล้วนายไข่ก็ไม่ยอมชำระ นายไก่โมโหจึงนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายให้แก่นาย ห่านในราคา 3 ล้านบาท เมื่อทำสัญญากันแล้วนายห่านจึงมาขับไล่นายไข่ออกจากที่ดินดังกล่าว

สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่ นายไก่และนายห่าน เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน และมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
นายไข่จะฟ้องนายไก่ว่าตนถูกนายห่านรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดหรือ สำเร็จบริบูรณ์ เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะไปโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลังโดยทำเป็นหนังสือและจด ทะเบียนต่อหน้าที่ ส่วนการที่คู่สัญญาตกลงจะชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 1 ล้านบาทในอีก 1 เดือนข้างหน้า เป็นการตกลงเรื่องการชำระราคา มิใช่การตกลงเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ อันจะทำให้เป็นสัญญาจะซื้อขายไม่

เมื่อ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ แต่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก กรรมสิทธิ์ยังเป็นของนายไก่เช่นเดิม นายไก่จึงมีสิทธิที่จะขายต่อไปได้

ส่วนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง นายไก่และนายห่านก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะต้องทำกันต่อไปแล้ว เนื่องจากการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้กระทำเสร็จสิ้นแล้วในขณะทำสัญญาซื้อขายกัน และเป็นสัญญาที่มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ตามมาตรา 456 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นโมฆะ นายไข่ย่อมไม่มีสิทธิใดๆในที่ดินแปลงนี้เลย แม้นายห่านจะมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันมาก่อการรบกวนขัดสิทธิ ของนายไข่ในอันจะครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข นายไข่ก็ไม่อาจฟ้องให้นายไก่รับผิดในการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ได้ เพราะไม่อยู่ในฐานะผู้ซื้อที่ถูกรอนสิทธิตามสัญญาซื้อขายนั่นเอง

สรุป
สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและเป็นโมฆะ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายไก่และนายห่าน เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

นายไข่ฟ้องให้นายไก่รับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้

 

ข้อ 3 นายทองนำแหวนทับทิมล้อมเพชรมูลค่า 5 ล้านบาท ไปขายฝากไว้กับเงินในราคาเพียง 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี โดยกำหนดสินไถ่ไว้คือ 1 ล้านบาทบวกประโยชน์อีก 15% และมีข้อกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้นายเงินนำแหวนวงดังกล่าวไปจำหน่ายจ่ายโอนในระหว่างติดสัญญาขายฝาก

หลังจากทำสัญญากันแล้วนายเพชรเห็นแหวนวงดังกล่าวเกิดอยากได้จึงขอซื้อจากนาย เงิน นายเงินเสนอขายราคา 2 ล้านบาท นายเพชรตกลงซื้อโดยมีการชำระราคาและส่งมอบแหวนกันเรียบร้อยแล้ว

หลัง จากนั้นหนึ่งเดือน นายทองเห็นนายเพชรใส่แหวนจึงไปแจ้งให้นายเพชรทราบว่าเป็นแหวนซึ่งตนนำมาขาย ฝากไว้กับนายเงิน และมีข้อห้ามมิให้จำหน่ายด้วย จึงขอไถ่แหวนคือ พร้อมเงิน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาทถ้วน

แต่นายเพชรปฏิเสธไม่ให้ไถ่ ถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา 3 ล้านบาท คำปฏิเสธและคำเสนอของนายเพชรรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 493 ในการขายฝาก คู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้ ถ้าและผู้ซื้อจำหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้ ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใดๆ อันเกิดแต่การนั้น

มาตรา 497 สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้ คือ
(1) ผู้ขายเดิม หรือทายาทของผู้ขายเดิม หรือ

มาตรา 498 สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้ คือ
(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ใน เวลาโอน ว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายทองนำแหวนทับทิมล้อมเพชรมูลค่า 5 ล้านบาทไปขายฝากไว้กับนายเงิน โดยมีข้อกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้นายเงินนำแหวนวงดังกล่าวไปจำหน่ายจ่ายโอนใน ระหว่างติดสัญญาขายฝาก ดังนี้นายเงินย่อมไม่อาจนำไปขายต่อให้บุคคลใดอีกได้ แต่ถึงแม้นายเงินจะฝ่าฝืนข้อสัญญาห้ามโอนดังกล่าว ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การซื้อขายดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์แต่อย่าง ใด กำหนดแต่เพียงว่าหากผู้รับซื้อฝากฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว ผู้ขายฝากก็อาจเรียกค่าเสียหายได้เท่านั้น ตามมาตรา 493 การซื้อขายแหวนวงดังกล่าวระหว่างนายเงินและนายเพชร จึงมีผลสมบูรณ์ ตามมาตรา 453 และกรรมสิทธิ์ในแหวนย่อมโอนไปยังนายเพชรตามมาตรา 458

ดัง นั้นหากนายทองผู้ขายฝากซึ่งเป็นบุคคลผู้มีสิทธิไถ่ ตามมาตรา 497(1) จะใช้สิทธิไถ่แหวนคืนนายทองจะต้องนำเงิน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาท อันเป็นสินไถ่ที่ตกลงกันไว้ในสัญญามาไถ่กับนายเพชรซึ่งเป็นผู้รับโอนที่มี หน้าที่รับไถ่ทรัพย์คืน ตามมาตรา 498(2) อย่างไรก็ตามถึงแม้นายทองจะนำสินไถ่มาครบตามที่ตกลงกันก็ตาม นายเพชรก็มีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมให้ไถ่คืนได้ โดยอ้างว่าตนไม่รู้ในเวลาซื้อขายว่าแหวนซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมา นั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืนตามสัญญาขายฝาก คำปฏิเสธของนายเพชรที่ไม่ยอมให้ไถ่นั้นรับฟังได้

ส่วนข้อเสนอของนาย เพชรที่ว่า ถ้าอยากได้คืนก็ต้องไถ่คืนในราคา 3 ล้านบาทรับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อนายเพชรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในแหวนดังกล่าว ก็ย่อมมีสิทธิใดๆในทรัพย์ของตน การที่นายเพชรเสนอให้ไถ่คืนในราคา 3 ล้านบาทนั้น เป็นการเสนอขายในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ มิใช่กรณีของการไถ่คืน ตามสัญญาขายฝาก ผู้ขายจึงเสนอราคาขายเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องกำหนดราคาหรือสินไถ่ในราคาขายฝากที่แท้จริงรวมผล ประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 แต่อย่างใด ข้อเสนอของนายเพชรดังกล่าวจึงรับฟังได้เช่นกันสรุป คำปฏิเสธและคำเสนอของนายเพชรรับฟังได้ทั้งสองกรณี

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

 ข้อ 1 นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้แก่นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท แต่นายไข่ไม่มีเงินก้อนจึงตกลงให้นายไข่ผ่อนได้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อจ่ายครบนายไก่จึงจะไปโอนทางทะเบียนให้ ต่อมาเมื่อนายไข่ผ่อนชำระจนครบ 1 ล้านบาท นายไก่ไม่ยอมไปโอนทางทะเบียน และไม่ยอมส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายไข่

(1) สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน
(2) นายไข่จะฟ้องนายไก่ให้โอนบ้านและที่ดิน และส่งมอบบ้านและที่ดินให้ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่วินิจฉัยจาก บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 456 วรรคแรกแต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ตามมาตรา 456 วรรคสองนั้น จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำ หรือชำระหนี้บางส่วนจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

หลักเกณฑ์การ พิจารณา ต้องดูว่าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่กันในภายหลังหรือไม่ ถ้าไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายก็ตกเป็นโมฆะ คู่สัญญาจะฟ้องร้องให้บังคับตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้ แต่ถ้าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำหนังสือและจดทะเบียนกันในภายหลังก็เป็นสัญญาจะ ซื้อจะขาย ผู้ซื้อสามารถฟ้องบังคับให้ผู้ขายไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนได้(1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท แต่นายไข่ไม่มีเงินก้อนจึงตกลงให้นายไข่ผ่อนได้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อจ่ายครบจึงจะไปโอนทางทะเบียนให้ กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่เป็น สัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะให้กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินโอนไปในขณะทำ สัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กันในภายหลัง

(2) ประเด็นที่ว่านายไข่จะฟ้องบังคับให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ ได้หรือไม่ เห็นว่า กรณีดังกล่าวนั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีการชำระหนี้บาง ส่วนแล้ว แม้นายไข่จะผ่อนชำระราคาบ้านและที่ดินครบ 1 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนด้วย (ฎ. 4796/2537) จึงใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ แม้สัญญาจะซื้อจะขายจะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายไก่ซึ่งเป็น ฝ่ายจะต้องรับผิดเป็นสำคัญก็ตาม ดังนั้นเมื่อนายไก่ผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนทางทะเบียนและไม่ยอมส่งมอบที่ดินแปลง นั้นให้นายไข่ นายไข่จึงฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ได้ ตามมาตรา 456 วรรคสอง

สรุป สัญญาซื้อขายระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และนายไข่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนขายบ้านและที่ดินแปลง นี้พร้อมทั้งส่งมอบให้แก่ตนได้ ตามมาตรา456 วรรคสอง

ข้อ 2 นายดินตกลงขายรถยนต์ซึ่งตนขโมยมาให้แก่นายน้ำในราคา 5 แสนบาท โดยนายน้ำไม่ทราบว่าเป็นรถยนต์ที่นายดินขโมยมาแต่งและปลอมแปลงขาย ในสัญญาซื้อขายได้ตกลงกันไว้ว่าถ้าเกิดการรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้นนายดินผู้ขายไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด หลังจากซื้อและส่งมอบรถไปได้เพียง 1 เดือน เจ้าของที่แท้จริงก็มาติดตามเอารถยนต์คืนไป นายน้ำจะฟ้องให้นายดินผู้ขายรับผิดในเหตุรอนสิทธิที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใดธงคำตอบหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้นมาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้มาตรา 485 ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

การ รอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขาย มาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขายอาจทำความตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการ รอนสิทธิก็ได้ ตามมาตรา 483

อย่างไรก็ตามข้อสัญญาว่าจะไม่ต้อง รับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายได้ หากการรอนสิทธินั้นเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง หรือผู้ขายรู้ความจริงแหง่การรอนสิทธิแล้วปกปิดเสีย ตามมาตรา 485

กรณี ตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายน้ำจะฟ้องนายดินให้รับผิดในเหตุรอนสิทธิที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อเจ้าของที่แท้จริงมาติดตามเอารถยนต์คืนไปจากนายน้ำผู้ซื้อ จึงเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลา ซื้อขาย แล้วมาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ จึงต้องถือว่านายน้ำผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ ตามมาตรา 475 ซึ่งโดยปกติแล้วนายดินผู้ขายไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 475 เนื่องจากนายดินและนายน้ำได้ทำข้อสัญญาว่าไม่ต้องรับผิดในเหตุรอนสิทธิใน สัญญาซื้อขายตามมาตรา 483

แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายดินผู้ขายทราบว่ารถยนต์ที่ขายนั้นเป็นรถยนต์ ที่ตนได้ขโมยมาขายให้นายน้ำ แล้วปกปิดมิแจ้งให้ผู้ซื้อทราบ แล้วยังมาทำข้อตกลงยกเว้นว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิอีก ถือว่านายดินผู้ขายไม่สุจริต จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ตามมาตรา 485 ทั้งนี้เพราะข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองความรับผิดของผู้ขายในผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่ แล้ว และปกปิดเสียนั่นเอง

สรุป นายน้ำฟ้องนายดินผู้ขายให้รับผิดในเหตุรอนสิทธิได้



ข้อ 3 นายลมนำช้างของตนไปขายฝากไว้กับนายไฟในราคา 1 แสนบาท โดยทำสัญญาเป็นหนังสือระหว่างกันเองขึ้นไว้ 2 ฉบับ และเก็บไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี กำหนดราคาไถ่คืน 2 แสนบาท เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน นายลมมาขอไถ่ช้างคืนพร้อมเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วน นายไฟปฏิเสธโดยอ้างว่าสินไถ่ไม่ครบ และยังไม่ถึงกำหนดระยะเวลาไถ่คืน

สัญญาขายฝากระหว่างนายลมและนายไฟมีผลในทางกฎหมายอย่างไร และคำปฏิเสธของนายไฟตามกฎหมายรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา 499 วรรคสอง ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่ แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

สัญญา ขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า สัญญาขายฝากระหว่างนายลมและนายไฟมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เห็นว่า นายลมนำช้างของตนไปขายฝากไว้กับนายไฟในราคา 1 แสนบาท โดยทำสัญญาเป็นหนังสือระหว่างกันเองขึ้นไว้ 2 ฉบับ และเก็บไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า คู่สัญญาได้จดทะเบียนการขายฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากช้างอันเป็นสัตว์พาหนะซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ย่อมมีผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก
ประเด็นที่ ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า คำปฏิเสธของนายไฟที่ว่าสินไถ่ไม่ครบ รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า โดยหลักแล้ว ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่ แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งนี้ตามมาตรา 499 วรรคสอง เมื่อกรณีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คู่สัญญากำหนดสินไถ่สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 499 วรรคสอง นายลมจึงมีสิทธิไถ่ช้างคืนในราคา 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาขายฝากย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ประเด็นนี้จึงไม่ต้องพิจารณาคำปฏิเสธของนายไฟในกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

ประเด็น ที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า คำปฏิเสธของนายไฟที่ว่ายังไม่ถึงกำหนดระยะเวลาไถ่คืนรับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า ถ้าสัญญาขายฝากเกิดขึ้น การไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากคืน ย่อมเป็นสิทธิของผู้ขายฝาก ซึ่งจะใช้สิทธิของตนเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องก่อนครบกำหนดระยะเวลาไถ่คืนตามสัญญาขายฝาก หรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ (มาตรา 494(2)) หรือจะไม่ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากคืนเลยก็ย่อมทำได้ ผู้ซื้อฝากไม่อาจบังคับให้ผู้ขายฝากต้องไถ่ทรัพย์สินคืนได้แต่อย่างใด แต่กรณีนี้เมื่อสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาขายฝากย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ ประเด็นนี้จึงไม่ต้องพิจารณา คำปฏิเสธของนายไฟในกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน

ดังนี้เมื่อ สัญญาขายฝากเป็นโมฆะ ผลของการเป็นโมฆะของสัญญา ย่อทำให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม เสมือนว่ามิได้ทำนิติกรรมสัญญาใดๆต่อกัน ดังนั้นนายไฟจึงต้องส่งมอบช้างคืนให้แก่นายลมผู้ขายฝาก ส่วนนายลมก็ต้องคืนเงินค่าขายฝากช้าง 1 แสนบาท ให้แก่นายไฟ ทั้งนี้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้
สรุป สัญญาขายฝากระหว่างนายลมและนายไฟเป็นโมฆะ และคำปฏิเสธของนายไฟรับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2552

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายจันทร์ซื้อที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งจากนายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายจันทร์ชำระราคาค่าที่ดินให้นายอังคาร 1 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะชำระให้นายอังคารในวันที่นายอังคารกลับจากต่างประเทศ และไปจดทะเบียนโอนให้นายจันทร์ นายอังคารได้ส่งมอบที่ดินให้นายจันทร์พร้อมกับรับเงิน 1 ล้านบาทในวันทำสัญญา 
นายจันทร์อยู่ในที่ดินแปลงนี้มาได้ 8 ปี นายอังคารกลับจากต่างประเทศ นายอังคารหาได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคาร หลังจากนั้นอีก 3 ปี ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมาก นายอังคารได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ให้นายพุธอีกในราคา 10 ล้านบาท นายพุธซื้อแล้วจะเข้าไปอยู่ในที่แปลงนี้ แต่ถูกนายจันทร์ขัดขวาง นายพุธขอให้นายจันทร์ออกไป

 นายจันทร์ไม่ยอมออก นายพุธฟ้องขอให้ศาลบังคับขับไล่นายจันทร์ออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายจันทร์ต่อสู้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และนายจันทร์มาถามท่านว่าข้อต่อสู้ของนายจันทร์จะมีทางชนะคดีหรือไม่ดังนี้ ตามข้อเท็จจริงนี้ ท่านจะให้คำตอบนายจันทร์อย่างไร เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายที่ดินมีโฉนดระหว่างนายจันทร์และนายอังคารเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ตามมาตรา 456 วรรคสอง เพราะนายจันทร์และนายอังคารคู่สัญญามีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลัง เมื่อเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย แม้นายอังคารจะได้ส่งมอบที่ดินให้นายจันทร์ครอบครองก็ตาม ก็ไม่ทำให้นายจันทร์ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครองตามมาตรา 1367 เพราะนายจันทร์รู้อยู่แล้วว่าที่ดินแปลงนี้ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอังคาร ถือว่านายจันทร์ผู้จะซื้อครอบครองแทนนายอังคาร ผู้จะขายตามมาตรา1368 เท่านั้น มิใช่ยึดถือในฐานะเจ้าของ กรณีเช่นนี้แม้นายจันทร์จะครอบครองติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 (ฎ. 7422 – 7426/2549)

เมื่อนายจันทร์ผู้จะซื้อยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน กรรมสิทธิ์ยังเป็นของนายอังคาร นายอังคารผู้จะขายจึงมีสิทธิขายที่ดินให้บุคคลอื่นได้ การที่นายพุธซื้อที่ดินแปลงนี้จากนายอังคารเจ้าของที่ดินโดยได้จดทะเบียนการ ซื้อขายถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคแรก ที่ดินแปลงนี้ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายพุธทันทีและถือว่านายพุธผู้ซื้อคน หลังนี้ย่อมมีสิทธิดีกว่านายจันทร์

อนึ่งการที่นายจันทร์ยังคงครอบ ครองที่ดินอยู่ภายหลังจากที่นายอังคารขายที่ดินให้นายพุธแล้วนั้น ถือว่านายจันทร์ครอบครองที่ดินแทนนายพุธตามมาตรา 1368 ด้วยเช่นกัน ดังนั้นแม้จะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่อาจยกการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต้อสู้เจ้า ของที่ดินได้ กรณีนี้นายพุธสามารถฟ้องขอให้ศาลบังคับขับไล่นายจันทร์ออกไปจากที่ดินดัง กล่าวได้ ส่วนข้อต่อสู้ของนายจันทร์ว่าได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้นไม่มี ทางจะชนะคดีได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำตอบแก่นายจันทร์ว่าข้อต่อสู้ของนายจันทร์ไม่มีทางชนะคดีได้

 

ข้อ 2 อาทิตย์เป็นเจ้าของกกรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่ง อาทิตย์ได้ขายฝากที่ดินแปลงนี้ของอาทิตย์ไว้กับจันทร์ ราคาขายฝาก 300,000 บาท และอาทิตย์รับเงินราคาขายฝาก 300,000 บาท แต่ไม่ได้กำหนดสินไถ่และไม่ได้กำหนดเวลาไถ่คืน อาทิตย์ได้ส่งมอบที่ดินให้จันทร์ จันทร์จึงจ่ายเงิน 300,000 บาทให้อาทิตย์

เมื่อขายฝากไปได้สี่เดือน อาทิตย์ตาย พุธบุตรชายซึ่งเป็นผู้รับมรดกคนเดียวของอาทิตย์ได้มาติดต่อจันทร์เพื่อขอไถ่ ที่ดินแปลงนี้คืน จันทร์ปฏิเสธ พุธจะฟ้องเรียกคืนที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

วินิจฉัย

ใน เรื่องแบบของสัญญาขายฝากนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ แต่เมื่อสัญญาขายฝากเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดประเภทหนึ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบังคับว่าการซื้อขายต้องทำตามแบบตามมาตรา 456 วรรคแรก การขายฝากทรัพย์สินนั้นต้องทำตามแบบดังนั้นด้วย มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ (ฎ. 3970/2548) ส่วนทรัพย์สินใดจะต้องมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี การขายฝากก็ต้องมีหลักฐานดังนั้นด้วย ทั้งนี้เพราะการขายฝากต้องอยู่ในบังคับของบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายนั่นเอง

กรณี ตามอุทาหรณ์ พุธจะเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากจันทร์ได้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า อาทิตย์และจันทร์ทำสัญญาขายฝากที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์โดยทำเป็น หนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด กำหนดเพียงราคาขายฝากและได้ส่งมอบที่ดินให้จันทร์เท่านั้น สัญญาขายฝากดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรกประกอบมาตรา 491 (ฎ. 810/2546)

เมื่อสัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะ คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนมิได้มีการทำสัญญากัน ดังนั้นพุธจึงต้องคืนเงินราคาขายฝาก300,000 บาท ให้แก่นายจันทร์โดยนำหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ ส่วนพุธเองก็มีสิทธิเรียกที่ดินแปลงดังกล่าวคืนจากจันทร์ได้โดยอาศัยหลัก กฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้และหลักกฎหมายมรดกเช่นเดียวกัน (ฎ. 165/2527)

กรณี มิใช่เรื่องทายาทของผู้ขายฝากเดิมมาใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากตามมาตรา 497(1) เนื่องจากสัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะเสียเปล่าแล้ว จึงไม่อาจนำบทบัญญัติว่าด้วยขายฝากมาใช้ปรับแก่ข้อเท็จจริงได้ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในเรื่องกำหนดเวลาไถ่และสินไถ่อีก

สรุป พุธเรียกที่ดินคืนจากจันทร์ได้

 

ข้อ 3 นายทองได้ตกลงจะให้บ้านพร้อมที่ดินแปลงหนึ่ง และรถยนต์คันหนึ่งของนายทองให้นายเงินโดยเสน่หา บ้านพร้อมที่ดินนายทองได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนยกบ้านพร้อมที่ดินให้นาย เงินไปแล้ว แต่กลับไม่ยอมออกจากบ้านหลังนั้น ส่วนรถยนต์นายทองได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือมอบให้นายเงินไว้ แต่ยังไม่ได้ส่งมอบตัวรถยนต์และทะเบียนให้

นายเงินจึงต้องการที่จะให้นายทองออกไปจากบ้านและที่ดินแปลงนั้น และให้ส่งมอบรถยนต์พร้อมทะเบียนรถยนต์ให้กับตน ถ้านายเงินมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำแนะนำกับนายเงินอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 523 การให้นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้

มาตรา 525 การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ ในกรณีเช่นนี้การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ

มาตรา 526 ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้ ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้น ได้ แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยอีกได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้คือ

บ้านพร้อมที่ดิน นายทองได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนยกบ้านพร้อมที่ดินแปลงหนึ่งให้นายเงินไป แล้ว แต่กลับไม่ยอมออกจากบ้านหลังนั้น กรณีเช่นนี้เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนให้แล้ว การให้เป็นอันสมบูรณ์โดยมิต้องส่งมอบบ้านและที่ดินนั้นให้แก่กันตามมาตรา525

อนึ่งเมื่อการให้บ้านพร้อมที่ดินได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว การที่นายทองผู้ให้ไม่ส่งมอบบ้านและที่ดินนั้นให้แก่นายเงินผู้รับ นายเงินผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์ได้ แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยไม่ได้ตามมาตรา526

รถยนต์ แม้นายทองจะได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือมอบให้นายเงินไว้ก็ตาม แต่เมื่อรถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา การที่นายทองยังไม่ได้ส่งมอบตัวรถยนต์และทะเบียนให้ การให้ย่อมไม่สมบูรณ์ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของนายทองอยู่ เพราะการให้สังหาริมทรัพย์ธรรมดาย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ ตามมาตรา 523

สรุป นายเงินสามารถเรียกให้นายทองส่งมอบบ้านและที่ดินให้กับตนได้เท่านั้น ส่วนรถยนต์ไม่อาจเรียกให้ส่งมอบพร้อมกับทะเบียนได้

หมายเหตุ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น การให้รถยนต์อันเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาย่อมสมบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สิน ที่ให้ตามมาตรา523 ไม่มีกฎหมายบังคับว่าการให้ทรัพย์สินดังกล่าวต้องทำตามแบบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปยังผู้รับแล้ว หาจำต้องจดทะเบียนโอนกันตามมาตรา 525 เสียก่อนไม่ เพรากฎหมายเกี่ยวกับทะเบียนรถยนต์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่จะ ควบคุมยานพาหนะและภาษีรถยนต์ ไม่ใช่แบบของนิติกรรมแต่อย่างใด ดังนั้น แม้ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อในทะเบียนรถยนต์เป็นชื่อผู้รับ ผู้รับก็เป็นเจ้าของรถยนต์คันที่ยกให้แล้ว (ฎ. 5212/2537 ฎ. 3104/2536)

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2552

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายจันทร์อยากได้บ้านและที่ดินมีโฉนดของนายอังคาร นายจันทร์ได้ติดต่อขอซื้อบ้านและที่ดินแปลงนี้จากนายอังคารในราคา 10 ล้านบาท นายอังคารขอให้นายจันทร์ไปพบที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนสิทธินิติกรรม ซื้อขายบ้านและที่ดินแปลงนี้

ทั้งคู่ได้มาที่สำนักงานที่ดินและได้ทำหนังสือสัญญาซ้อขายบ้านและที่ดินใน ราคา 10 ล้านบาท พร้อมกับยื่นคำขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าโฉนดฉบับสำนักงานที่ดินสูญหายขอทั้งคู่มาจด ทะเบียนกันใหม่หลังจากนี้อีก 15 วัน ต่อมาอีก 1 เดือน

นายจันทร์ได้ขอให้นายอังคารไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินแปลงนี้ นายอังคารกลับปฏิเสธและไม่ขาย เพราะเห็นว่าบ้านและที่ดินมีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมาก นายจันทร์มาถามท่านว่า นายจันทร์จะมีสิทธิเรียกร้องบ้านและที่ดินแปลงนี้จากนายอังคารได้หรือไม่
ดังนี้ ตามข้อเท็จจริงนี้ ท่านจะให้คำตอบแก่นายจันทร์อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัยกรณี ตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีเจตนาที่จะไปโอน หรือไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังแต่อย่างใดและ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์นั้น กฎหมายบัญญัติให้คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่เมื่อได้ความว่านายจันทร์กับนายอังคารทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อบ้านและ ที่ดินเพียงอย่างเดียว โดยยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้นสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินยังไม่ถือว่าทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมาย บังคับไว้ตามมาตรา456 วรรคแรก สัญญานี้ย่อมตกเป็นโมฆะ ถือว่าไม่มีสัญญาซื้อขายที่ดินต่อกัน นายจันทร์จะเรียกร้องบ้านและที่ดินแปลงนี้จากนายอังคารไม่ได้สรุป นายจันทร์จะเรียกร้องบ้านและที่ดินแปลงนี้จากนายอังคารไม่ได้

ข้อ 2 นายสดไปซื้อของใช้สำนักงานจากการขายทอดตลาดของนายใส ได้เครื่องคอมพิวเตอร์มา 5 เครื่อง เครื่องถ่ายเอกสารรุ่นสามารถมหัศจรรย์มา 2 เครื่อง หลังจากนั้นปรากฏว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 ใน 5 เครื่อง ทำงานเชื่องช้าขาดตกบกพร่องไม่เป็นไปตามความสามารถของคอมฯรุ่นนี้พึงจะทำได้ และ 1 ใน 2 ของเครื่องถ่ายเอกสาร นายแสงมาขอคืน โดยมีเอกสารยืนยันว่าเป้นของตนซึ่งถูกขโมยมา นายสดก็คืนให้ไปนายสดจะฟ้องนายใสให้รับผิดในความชำรุดบกพร่อง และการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใดธงคำตอบหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้เครื่องคอมพิวเตอร์ 3 ใน 5 เครื่องที่นายสดซื้อมาจะชำรุดบกพร่อง แต่นายสดจะฟ้องร้องให้นายใสผู้ขายรับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ เพราะเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดตามมาตรา 473(3) ประกอบมาตรา 472 ซึ่งถือว่าเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อได้ตรวจดูทรัพย์สินก่อนซื้อขาย

ส่วน กรณีการรอนสิทธินั้นตามมาตรา 475 วางหลักไว้ว่า ผู้ขายจะต้องรับผิดในการรอนสิทธิ ถ้าผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อมาได้โดยปกติสุข เพราะมีบุคคลอื่นที่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ ซึ่งความรับผิดในการรอนสิทธิของผู้ขายนี้เกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ไม่ใช่โดยสัญญา เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายใสได้ขายเครื่องถ่ายเอกสาร 2 เครื่องให้นายสดไปแล้ว แต่นายสดไม่สามารถครอบครองเครื่องถ่ายเอกสารโดยปกติสุข เพราะนายแสงเจ้าของที่แท้จริงมาขอคืนเครื่องถ่ายเอกสาร 1 ใน 2 เครื่องคืน กรณีจึงเป็นการรบกวนขัดสิทธิของนายสดที่จะครอบครองเครื่องถ่ายเอกสารนี้โดย ปกติสุข จึงถือว่านายสดถูกรอนสิทธิ ดังนั้น นายสดจึงฟ้องให้นายใสรับผิดกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้

สรุป นายสดจะฟ้องนายใสให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ แต่ฟ้องเพราะเหตุที่ถูกรอนสิทธิได้

 

 

ข้อ 3 นายไก่นำลูกช้าง 4 เชือก ไปขายฝากไว้กับนายไข่โดยทำสัญญากันเองในราคาเชือกละ 1 แสนบาท ไถ่คืนภายในกำหนด 3 ปี ในราคาเชือกละ 2 แสนบาท เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปี นายไก่ไปขอใช้สิทธิไถ่คืนพร้อมเงิน 5 แสน 8 หมื่นบาทถ้วน นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่า สัญญาขายฝากเป็นโมฆะ ตนมีสิทธิครอบครองถึงจะไถ่ก็ไถ่ไม่ได้เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลา สินไถ่ไม่ครบ คำปฏิเสธของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

 

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ ลูกช้างเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา การขายฝากจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้นคู่กรณีสามารถทำสัญญากันเองได้และมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก

ส่วนการที่นายไก่ไปขอสิทธิไถ่นั้น นายไข่จะปฏิเสธไม่ได้ เพราะเหตุว่านายไก่ได้ขอใช้สิทธิในการไถ่ภายในกำหนดระยะเวลา 3 ปีตามมาตรา 494(2) และในส่วนเงินสินไถ่นั้นตามมาตรา 499 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่ แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ดังนั้นเมื่อนายไก่นำเงิน 5 แสน 8 หมื่นบาท เป็นสินไถ่นั้นจึงเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้อง กล่าวคือ ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี เท่ากับ 5 แสน 8 หมื่นบาทตามมาตรา 499

ดังนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปขอใช้สิทธิภายในกำหนดเวลา และเงินสินไถ่ก็ครบตามที่กฎหมายกำหนด คำปฏิเสธของนายไข่จึงรับฟังไม่ได้

สรุป คำปฏิเสธของนายไข่รับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท แต่นายไข่มีเงินไม่ครบจึงมีข้อตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระค่าที่ดินเป็น 5 งวดๆละ 2 แสนบาท เป็นเวลา 5 เดือน เมื่อชำระเงินครบนายไก่ก็จะไปโอนบ้านและที่ดินให้ ต่อมาเมื่อนายไข่ชำระเงินครบ 1 ล้านบาท นายไก่ไม่ยอมไปโอนที่ดินให้เพราะนายนกมาขอซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าวในราคา 2 ล้านบาท
(1) สัญญาระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน
(2) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่ไปโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัยโดย หลัก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิด พิเศษ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้ว ก็สามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์(1) การที่นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท โดยมีข้อตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระค่าที่ดินเป็น 5 งวดๆละ 2 แสนบาท เป็นเวลา 5 เดือน เมื่อชำระเงินครบนายไก่ก็จะไปโอนบ้านและที่ดินให้ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า คู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะให้กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อ ขาย แต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กันในภายหลัง ดังนั้น สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ตามมาตรา 456 วรรคสอง(2) ส่วนประเด็นที่ว่านายไข่จะฟ้องให้นายไก่ไปโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้หรือไม่ นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายไข่ได้ชำระเงินให้นายไก่ครบ 1 ล้านบาทแล้ว จึงถือว่า สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีคือได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว ดังนั้นเมื่อนายไก่ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้นายไข่ นายไข่จึงสามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้ตาม มาตรา 456 วรรคสอง

สรุป
(1) สัญญาซื้อบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
(2) นายไข่สามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้

 


ข้อ
 2 นายนกซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายมา 1 คัน ในราคา 1 แสนบาท ก่อนขายนายหนูทราบดีว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก หลังซื้อขายและส่งมอบ นายนกจึงพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับสาบเบรก นายนกจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

โดย หลัก ผู้ขายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่ขายนั้นเสื่อมราคา เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือเสื่อมประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ไม่ว่าผู้ขายจะรู้หรือไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความชำรุดบกพร่องอยู่ (มาตรา 472)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายนกซื้อรถยนต์ของนายหนูมา 1 คัน หลังจากซื้อขายและส่งมอบแล้ว นายนกได้พบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับสายเบรก ซึ่งโดยหลักแล้ว นายนกสามารถจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้ตามมาตรา 472 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายนกซื้อรถยนต์มาจากนายหนูนั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดของนาย หนู ซึ่งตามมาตรา 473(3) ถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง ดังนั้น กรณีดังกล่าวเมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ซื้อขาย นายนกจะฟ้องให้นายหนูผู้ขายรับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ตามมาตรา 472 ประกอบมาตรา 473(3) แม้นายหนูผู้ขายจะไม่สุจริตก็ตาม

สรุป นายนกจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

ข้อ 3 นายช้างนำความ 2 ตัวไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายม้า ในราคาตัวละ 4 หมื่นบาท ไถ่คืนในราคาเดิมบวกประโยชน์15 เปอร์เซ็นต์ หลังรับซื้อฝากไว้แล้วนายม้าก็นำความ 1 ตัวที่รับซื้อฝากไปฆ่าเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานขึ้นบ้านใหม่ เมื่อนายช้างมาขอไถ่ความคืน จึงเหลือความเพียง 1 ตัว นายช้างจะฟ้องเรียกราคาความที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาท และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ความคืนไม่ได้อีก 5 พันบาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

โดย หลัก ผู้ซื้อฝากจะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวน รักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย ทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝากก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน (มาตรา 501)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายช้างนำควาย 2 ตัวไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายม้าในราคาตัวละ 4 หมื่นบาท โดยหลักแล้ว นายม้าซึ่งเป็นผู้ซื้อฝากก็มีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาควาย 2 ตัวที่รับซื้อฝากอย่างเช่นวิญญูชนทั่วไปจะพึงกระทำ แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังรับซื้อฝากไว้แล้วนายม้าได้นำควาย 1 ตัวที่รับซื้อฝากไปฆ่าเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานขึ้นบ้านใหม่ กรณีนี้จึงถือได้ว่าทรัพย์สินที่ขายฝากถูกทำลายไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก เมื่อนายช้างมาขอไถ่ควายคืนแต่เหลือควายเพียงตัวเดียว นายช้างจึงสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ควายคืนไม่ได้เป็นจำนวน 5 พันบาทได้ตามมาตรา 501 แต่จะฟ้องเรียกราคาควายที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาทไม่ได้ เพราะราคาควายที่ขายฝากนายช้างได้รับไปแล้วตั้งแต่เวลาขายฝาก

สรุป นายช้างจะฟ้องเรียกราคาควายที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาทไม่ได้ แต่ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ควายคืนไม่ได้จำนวน 5 พันบาทได้ 

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายจันทร์ได้บอกขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารตกลงซื้อ 
นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารพร้องกับรับชำระราคา นายอังคารอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาได้ 6 เดือน นายพุธอยากได้ที่แปลงนี้และได้ติดต่อขอซื้อจากนายจันทร์ในราคา 10 ล้านบาท นายจันทร์ขอให้นายพุธไปพบที่สำนักงานที่ดินทั้งคู่ได้มาที่สำนักงานที่ดิน และทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้ในราคา 10 ล้านบาท 
พร้อมกับยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธินิติกรรมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน นายอังคารทราบข่าวและมายื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าตนได้ซื้อไว้ อยู่ก่อน ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอย่ารับจดทะเบียน นายพุธขอให้นายจันทร์ไปตกลงกับนายอังคารให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาจด ทะเบียนกันให้และทั้งคู่ยื่นคำขอถอนคำขอจดทะเบียนจากเจ้าพนักงานที่ดิน ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมากถึง 20 ล้านบาท 

นายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคาร และมาขอให้นายอังคารคืนที่แปลงนี้ นายอังคารไม่ยอมคืน นายจันทร์ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่แปลงนี้ ส่วนนายพุธก็มาขอให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่แปลงนี้ แต่นายจันทร์ก็ไม่ยอมดังนี้ ถ้านายอังคารมาถามท่านว่า คดีนี้ตนจะมีทางต่อสู้ให้ชนะคดีได้หรือไม่ และนายพุธก็มาถามท่านเช่นเดียวกันว่า นายพุธจะเรียกร้องให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้ตนได้หรือไม่ ท่านจะให้คำตอบนายอังคารกับนายพุธอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

โดย หลัก การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายได้บัญญัติให้คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ด ขาดในอสังหาริมทรัพย์ เพราะคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกันในภายหน้า เมื่อได้ความว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตามที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้นมีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารแล้ว ถือว่านายจันทร์สละสิทธิครอบครองด้วยการส่งมอบตามมาตรา 1377 ประกอบมาตรา 1378 นายอังคารจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้น การที่นายจันทร์ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่แปลงนี้ นายอังคารย่อมสามารถยกข้อต่อสู้กับนายจันทร์ได้ว่าตนได้ที่ดินแปลงนี้โดยทาง สิทธิครอบครองแล้ว

ส่วนในกรณีสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับ นายพุธก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เพราะคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีเจตนาจะไปจด ทะเบียนโอนกันในภายหน้า เมื่อได้ความว่าคู่สัญญาได้ทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ได้ รับจดทะเบียนให้ ดังนั้นสัญญาซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ซึ่งถือว่าไม่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน ดังนั้น นายพุธจะเรียกร้องให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่ตนไม่ได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำตอบแก่นายอังคารกับนายพุธตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 กันยาได้เช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งมาจากบริษัทค้ารถยนต์ และขายต่อไปให้สิงหา โดยยังไม่ได้โอนทะเบียนรถยนต์คันนั้นให้เป็นชื่อของสิงหา โดยสิงหาไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นกันยาเช่าซื้อมาและยังจ่ายค่าเช่าซื้อไม่ครบ

ต่อมาสิงหาได้ขายต่อไปให้ตุลา โดยสิงหาบอกกับตุลาว่าทะเบียนยังอยู่กับกันยาขอผลัดวันที่จะนำทะเบียนมาสลัก หลังโอนให้ตุลาภายหลัง

และตกลงในสัญญาซื้อขายว่าสิงหาจะไม่รับผิดในการรอนสิทธิในรถยนต์คันนั้น ตุลาจึงชำระราคาค่ารถยนต์ให้สิงหาเพียงครึ่งเดียวก่อน ถ้านำทะเบียนมาให้เรียบร้อยจึงจะชำระราคาที่เหลือให้ ต่อมากันยาไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทค้ารถยนต์เกินกว่าสองงวดเป็นการ ผิดสัญญา พนักงานบริษัทจึงได้มายึดรถคันนั้นไปจากตุลา ตุลาจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา 485 ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

การ รอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขาย ได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขายอาจทำความตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการ รอนสิทธิก็ได้ตามมาตรา 483

อย่างไรก็ตามข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิด นั้น ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายได้ หากการรอนสิทธินั้นเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง หรือผู้ขายรู้ความจริงแหง่การรอนสิทธิแล้วปกปิดเสียตามมาตรา 485

ตาม อุทาหรณ์ การที่พนักงานบริษัทได้มายึดรถคันดังกล่าวไปจากตุลานั้น ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทำให้ผู้ซื้อ คือตุลา ไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด และตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างสิงหากับตุลานั้นได้มี การตกลงกันว่าสิงหาผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิในรถยนต์คันนั้นแล้ว ดังนั้นตกลงจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้ตามมาตรา 483

ทั้ง กรณีดังกล่าว การรอนสิทธิก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง หรือผู้ขายรู้ความจริงแห่งการรอนสิทธิแล้วปกปิดเสียแต่อย่างใด เพราะสิงหาไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นกันยาเช่าซื้อมาและยังจ่ายค่าเช่าซื้อไม่ ครบ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายจะต้องรับผิดตามมาตรา485

สรุป ตุลาจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

ข้อ 3 สุดขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้สวย สุดส่งมอบที่ดินให้สวยครอบครอง และสุดจะมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนในภายหลังในราคาที่ขายไป สุดและสวยได้ทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และ ที่ดินให้สวยครอบครองอย่างเจ้าของ หลังจากนั้นผ่านมาหกเดือน สดมีเงินแต่ไม่ครบตามราคาที่ขายไป จึงมาขอซื้อที่ดินแปลงนั้นคืนโดยการขอผ่อนชำระเป็นงวด เป็นเวลาสี่งวด แต่สวยปฏิเสธไม่ยอมคืนที่ดินแปลงนี้ให้สุด สุดจะมาฟ้องร้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

วินิจฉัย

สัญญา ขายฝากนั้นถือเป็นสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องทำตามแบบตามมาตรา 456 วรรคแรก คือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ

ตามอุทาหรณ์ การที่สุดขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้สวย โดยตกลงกันว่าสุดผู้ขายจะมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนในภายหลังในราคาที่ขายไป จึงถือว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 491

แต่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สุดและสวยเพียงทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และที่ดินให้สวยครอบครองเท่านั้น เมื่อไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 491

เมื่อสัญญา ขายฝากตกเป็นโมฆะ คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนมิได้มีการทำสัญญากัน ดังนั้นสุดจึงมาฟ้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากสวยได้ในฐานะลาภมิควรได้

สรุป สุดฟ้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนได้ในฐานะลาภมิควรได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้


คำแนะนำ
 ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1
(ก) หากท่านต้องการซื้อแม่หมู 1 ตัว จากฟาร์มเลี้ยงหมูของนายแดงและประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในแม่หมูตั้งแต่ขณะทำ สัญญา ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างไร

(ข) นายจันทร์ขายรถยนต์ของตนคันหนึ่งให้นายอังคารในราคา 300,000 บาท นายอังคารตอบตกลงซื้อ นายจันทร์ส่งมอบรถยนต์ให้นายอังคารแล้ว แต่นายอังคารไม่ยอมชำระราคา นายจันทร์ขอให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารไม่ยอมคืน นายจันทร์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายอังคารให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารได้รับสำเนาฟ้องแล้ว นายอังคารมาถามท่านว่า คดีนี้นายอังคารจะมีทางชนะคดีหรือไม่

ดังนี้ ท่านจะให้คำตอบแก่นายอังคารอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน


มาตรา 460 ในการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมิได้กำหนดลงไว้แน่นอนนั้น ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้หมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก หรือทำโดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนแล้ว
ใน การซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัด หรือทำการอย่างอื่นหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินเพื่อให้รู้ กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำแล้วจาก หลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ถ้าข้าพเจ้าต้องการซื้อแม่หมู 1 ตัว จากฟาร์มเลี้ยงหมูของนายแดง และประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในแม่หมูตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 นั้น สัญญาซื้อขายแม่หมูซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น จะต้องได้กระทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 460 ด้วย ได้แก่(1) ทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันจะต้องเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง หรือทรัพย์ซึ่งได้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอนแล้ว และ
(2) มีการกำหนดราคาทรัพย์สินนั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายมาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ขายรถยนต์ให้นายอังคารในราคา 300,000 บาท และนายอังคารตอบตกลงซื้อนั้น ถือว่านายจันทร์และนายอังคารได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว และโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายกัน ย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อคือนายอังคารแล้วตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขาย กัน และเมื่อนายจันทร์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้นายอังคารแล้ว แต่นายอังคารไม่ยอมชำระราคาซึ่งเป็นการผิดสัญญานั้น นายจันทร์ก็ชอบที่จะฟ้องให้นายอังคารชำระราคาค่ารถยนต์ได้ตามมาตรา 453 แต่จะฟ้องให้นายอังคารคืนรถยนต์ให้แก่ตนไม่ได้ เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นได้ตกเป็นของนายอังคารผู้ซื้อแล้ว หาใช่ของนายจันทร์ไม่ ดังนั้นเมื่อนายจันทร์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารย่อมมีทางชนะคดีโดยการต่อสู้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเป้นของนาย อังคารแล้วตามมาตรา 458

สรุป คดีนี้นายอังคารมีสิทธิชนะคดีโดยการต่อสู้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเป็นของนายอังคารแล้ว

ข้อ 2 นายไก่นำรถยนต์โบราณซึ่งตนสะสมไว้ออกขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดครั้งนี้นายไก่ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ถ้าเกิดชำรุดบกพร่องหรือรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น นายไก่จะไม่รับผิดชอบอย่างใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่นายไก่ทราบดีว่ารยนต์คันไหนชำรุดบกพร่อง คันไหนอาจจะถูกรอนสิทธิเพราะเป็นรถยนต์ที่ขโมยมาขายแก่ตน นายไข่และนายขวดประมูลรถได้คนละคัน หลังส่งมอบรถยนต์ซึ่งนายไข่ได้ไป เครื่องยนต์บกพร่องติดๆดับๆ ส่วนรถยนต์ซึ่งนายขวดซื้อทอดตลาดไปนายดำเจ้าของแท้จริงมาติดตามเอาคืนเพราะ เป็นรถยนต์ของตนที่ถูกขโมยไปนายข่ นายขวด จะฟ้องให้นายไก่รับผิดกรณีชำรุดบกพร่องรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใดธงคำตอบหลักฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิดมาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะ ได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน
(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา 485 ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

ความ รับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุ ให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อน ที่กรรมสิทธิ์จะตกเป้นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตาม อุทาหรณ์ การที่นายไข่ได้รับมอบรถยนต์ซึ่งได้ซื้อจากนายไก่ และปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าว เครื่องยนต์บกพร่องติดๆดับๆ ซึ่งถือว่ารถยนต์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักนายไก่ผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายไข่ผู้ซื้อตามมาตรา 472 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้นายไข่จะฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ เนื่องจากรถยนต์ที่นายไข่ซื้อจากนายไก่นั้นเป็นการซื้อขายจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473(3)

ส่วนความรับผิดในการรอนสิทธิตามมาตรา 475 นั้น เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขาย ได้เข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข ซึ่งโดยหลักแล้วผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่ผู้ขายและผู้ซื้อจะได้ตกลงกันไว้ว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการรอน สิทธินั้นตามมาตรา 483

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงที่ว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายถ้าการรอนสิทธินั้นได้เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ขาย หรือในกรณีที่ผู้ขายได้รู้ถึงการรอนสิทธินั้น แต่ได้ปกปิดไม่บอกให้ผู้ซื้อได้รู้ตามมาตรา 485

ดังนั้นกรณีตาม อุทาหรณ์ การที่นายขวดผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ คือได้ถูกนายดำเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์คันที่นายขวดซื้อมาจากนายไก่ได้ ติดตามเอาคืนไป ดังนี้นายขวดย่อมสามารถฟ้องนายไก่ให้รับผิดกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้ ทั้งนี้เพราะแม้จะมีข้อตกลงกันไว้ว่า นายไก่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดก็ตาม แต่เมื่อนายไก่ผู้ขายได้ทราบดีอยู่แล้วว่ารถยนต์คันที่ขายให้แก่นายขวดนั้น เป็นรถยนต์ที่ถูกขโมยมา แต่ได้ปกปิดไม่แจ้งให้นายขวดทราบ ถือได้ว่านายไก่ไม่สุจริตจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ดังนั้นนายไก่จึงต้องรับผิดตามมาตรา 475 483 และ485

สรุป
นายไข่ฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้
นายขวดฟ้องให้นายไก่รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้

 

ข้อ 3 นายจันทร์นำช้าง 2 เชือกไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากนายอังคารไว้ในราคาเชือกละ 5 แสนบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี กำหนดสินไถ่ในราคา 6 แสนบาทต่อเชือก ก่อนครบ 1 ปี ช้างเชือกหนึ่งตกมันวิ่งออกนอกถนนถูกรถบรรทุกชนตาย เหลือเพียง 1 เชือก

(1) นายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างตาย 1 แสนบาท จากนายอังคารได้หรือไม่ โดยอ้างว่าตนไม่สามารถไถ่ช้างคืนได้
(2) ส่วนอีกเชือกนายจันทร์นำเงิน 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ไปขอไถ่ช้างคืน นายอังคารปฏิเสธ คำปฏิเสธของนายอังคารรับฟังได้หรือไม่ว่าสินไถ่ไม่ครบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) การที่ช้างเชือกหนึ่งตกมันวิ่งออกไปนอกถนนและถูกรถบรรทุกชนตายนั้น เป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งมิใช่ความผิดของนายอังคารผู้รับซื้อฝากตามมาตรา 501 ดังนั้นนายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างถูกรถบรรทุกชนตายจากนาย อังคารไม่ได้

(2) การที่นายจันทร์ได้นำเงินสินไถ่ 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วนไปขอไถ่ช้างอีกเชือกหนึ่งคืน แต่นายอังคารปฏิเสธนั้น คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่าสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะตอนที่มีการทำสัญญาขายฝากและได้กำหนดสินไถ่ไว้ในราคา 6 แสนบาทนั้น ถือว่าสินไถ่ที่กำหนดไว้นั้นสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งมาตรา 499 ได้กำหนดให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้นการที่นายจันทร์ได้นำเงินสินไถ่ 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วนไปขอไถ่ ถือว่าสินไถ่นั้นครบถ้วนแล้วสรุป
(1) นายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างตาย 1 แสนบาทจากนายอังคารไม่ได้
(2) คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่าสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!