LAW2006 กฎหมายอาญา 1 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  วันรบขัยรถยนต์ไปเที่ยว  มีเอกชัยและสุดสวยเพื่อนกันนั่งอยู่ในรถยนต์ด้วย  ระหว่างที่รถยนต์แล่นอยู่นั้น  เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วได้เปิดกระจกโยนกระป๋องน้ำอัดลมออกนอกรถ  กระป๋องน้ำอัดลมถูกหัววรชัยที่เดินอยู่บนทางเท้าแตก  วรชัยชักอาวุธปืนยิงไปที่ยางล้อรถยนต์ของวันรบ  กระสุนปืนถูกล้อรถยนต์ทะลุตัวถังรถยนต์ไปถูกสุดสวยตาย

ดังนี้  เอกชัยและวรชัยต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของเอกชัย

การที่เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วในขณะที่รถกำลังวิ่งเอกชัยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมไปถูกหัววรชัยแตก  การกระทำของเอกชัยเช่นนี้ถือว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำต่อวรชัย  แต่การกระทำดังกล่าวถือเป็นกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของเอกชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  เอกชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของวรชัย

การที่วรชัยใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์และกระสุนทะลุตัวถังไปถูกสุดสวยตาย  การกระทำของวรชัยเช่นนี้ถือว่ามิได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำต่อสุดสวย  วรชัยจึงไม่มีเจตนากระทำต่อสุดสวย  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การกระทำของวรชัยดังกล่าวเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของวรชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  วรชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  เทียบฎีกาที่  1086/2521  และกรณีนี้วรชัยจะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้

เพราเหตุว่าแม้วรชัยจะใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์เพราะเหตุที่สุดสวยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมถูกหัวตนก็ตาม  แต่เมื่อวรชัยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะกระทำต่อสุดสวยแล้ว  วรชัยจึงอ้างบันดาลโทสะไม่ได้  เพราะการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น  ต้องเป็นการกระทำโดยมีเจตนาธรรมดา  กล่าวคือ  ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลและมีเจตนาพิเศษคือมีเหตุจูงใจในการกระทำความผิด  เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  เท่านั้น

สำหรับล้อรถยนต์ของวันรบที่เสียหายนั้น  วรชัยต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะวรชัยกระทำไปโดยเจตนาต่อตัวทรัพย์  แต่กรณีนี้วรชัยสามารถอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  72

สรุป

เอกชัยจะต้องรับผิดในทางอาญาเพราะกระทำโดยประมาท

วรชัยต้องรับผิดในทางอาญาต่อวันรบฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะได้กระทำโดยมีเจตนาแต่รับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  และวรชัยต้องรับผิดต่อสุดสวยเพราะได้กระทำโดยประมาทและอ้างบันดาลโทสะเพื่อจะรับโทษน้อยลงไม่ได้

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  แต่เห็นนายขาวเดินมาคิดว่าเป็นนายดำ  จึงยิงนายขาวถึงแก่ความตาย  ความจริงปรากฏว่านายขาวเป็นบิดาของนายแดง  นอกจากนี้กระสุนยังเลยไปถูกนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคท้าย  บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามข้อเท็จจริง  แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายดำ  แต่เพราะความเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้  เพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิด  ทั้งองค์ประกอบภายนอก  (คือผู้กระทำ  การกระทำ  และวัตถุแห่งการกระทำ  รวมทั้งองค์ประกอบภายใน  คือเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นั้นคือ  นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย  ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง

ดังนั้น  เมื่อนายขาวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายขาวฐานฆ่าคนตายโดยสำคัญผิด  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  61  แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี  เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี  ทั้งนี้ตามที่มาตรา  62  วรรคท้าย  วางหลักไว้ว่า  การจะให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น  โดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น  เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี  จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้

ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง

ตามข้อเท็จจริง  นายม่วงเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ  จากการกระทำของตน  แต่อย่างไรก็ตาม  นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนายม่วงในความผิดที่กระทำโดยพลาด  นั่นคือ  นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง  มาตรา  60  จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังนายม่วง  คือเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  แต่ข้อเท็จจริงนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายเท่านั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายม่วงฐานพยายามฆ่าโดยพลาด  ตามมาตรา  0  ประกอบมาตรา  80

สรุป  นายแดงรับผิดฐานฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด

 

ข้อ  3  แก้วถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านของกำจัด  เพื่อจะได้พ้นจากถูกสุนัขกัด  พอดีหน้าประตูบ้านของกำจัด  มีก้อยยืนขวางอยู่  แล้วจึงผลักก้อยล้มลง  เพื่อเปิดประตูเข้าบ้านกำจัด  กำจัดเห็นแก้วซึ่งตนไม่รู้จักเข้ามาในบ้านเข้าใจว่าเป็นคนร้าย  กำจัดต่อยแก้วล้มลง  ก้อยซึ่งถูกแก้วผลักล้มลงลุกขึ้นมาได้ใช้ไม้ตีแก้วได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  แก้ว  กำจัด  และก้อย  ต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของแก้ว

การที่แก้วผลักก้อยล้มลงนั้น  ถือว่าแก้วมีเจตนาทำร้ายร่างกายก้อย  โดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  แก้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อก้อยโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่แก้วไม่ต้องรับโทษเพราะแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  กล่าวคือ  เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  คือการที่ถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน  และการกระทำนั้นก็ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ  ตามมาตรา  67(2)

และการที่แก้วเข้าไปในบ้านกำจัด  แก้วก็ต้องรับผิดทางอาญาเช่นกัน  เพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสอง แต่เมื่อแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายอันใกล้จะถึง  กรณีเช่นนี้แก้วก็ไม่ต้องรับโทษทางอาญา  ตามมาตรา  67(2)  เช่นกัน

ความรับผิดของก้อย

การที่ก้อยใช้ไม้ตีไปที่แก้วถือว่าก้อยมีเจตนาทำร้ายร่างกายแก้วโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ก้อยจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้วโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ก้อยรับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  เพราะแก้วได้ผลักก้อยล้มลงก่อน  อันเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และก้อยได้กระทำต่อแก้วในขณะนั้น

ความรับผิดของกำจัด

กำจัดเป็นเจ้าของบ้าน  แก้วซึ่งกำจัดไม่รู้จักเข้ามาในบ้าน  แม้แก้วจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นก็ตาม  แต่การกระทำของแก้วถือเป็นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมาย  คือการบุกรุก  และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง  กำจัดจึงต้องป้องกันสิทธิของตน  เพื่อให้พ้นจากภยันตรายนั้น    การกระทำของกำจัดจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป 

แก้วต้องรับผิดทางอาญา  เพราะกระทำโดยเจตนาต่อก้อย  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะทำไปโดยความจำเป็น

ก้อยต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาต่อแก้ว  แต่ได้รับโทษน้อยลงเพราะกระทำไปโดยบันดาลโทสะ

กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้ว  เพราะกระทำไปโดยป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  เสกสมมาหาคมศรที่บ้าน  แล้วได้เล่าถึงเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  คมศรได้ทราบเรื่องเสกสมดังกล่าว  และเห็นว่า  เสกสมเป็นผู้มีพระคุณต่อตน  จึงตอบแทนบุญคุณเสกสมด้วยการไปฆ่าหมูหิน  คมศรได้ไปดักรอยิงหมูหิน  ขณะที่คมศรเอาปืนออกมาตรวจความเรียบร้อย  เคนผ่านมาพบคมศร  และทราบจากคมศรว่ามาดักยิงหมูหิน  เคนซึ่งมีความโกรธแค้นหมูหินอยู่แล้วได้บอกกับคมศรว่าตนจะอยู่ด้วย  หากคมศรยิงหมูหินไม่ถูก  หรือยิงถูกแต่ไม่ตาย  จะช่วยยิงซ้ำให้ตาย  สาครอยู่บริเวณนั้นได้ยินคมศรกับเคนคุยกัน  สาครอยากให้หมูหินตายเช่นกัน  สาครได้ไปที่บ้านหมูหิน  แล้วหลอกให้หมูหินเดินผ่านมาทางที่คมศรดักรออยู่  โดยที่คมศรไม่ทราบถึงเจตนาของสาคร  คมศรยิงหมูหินตาย  โดยเคนไม่ได้ยิงซ้ำ  ดังนี้  เสกสม  เคน  และสาคร  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของเสกสม

การที่เสกสมมาเล่าเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  กรณีเช่นนี้  ยังถือไม่ได้ว่าเสกสมมีเจตนาก่อให้คมศรกระทำความผิด  เสกสมจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  ตามมาตรา  84

ความรับผิดของเคน

เคนได้ทราบถึงเจตนาของคมศร  และเคนก็ได้อยู่ด้วยกับคมศรในขณะกระทำความผิด  กรณีเช่นนี้ถือว่าเคนได้ร่วมกันกระทำความผิดและเจตนาร่วมกันในขณะกระทำความผิด  เคนจึงรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ความรับผิดของสาคร

การที่สาครไปหลอกหมูหินให้เดินผ่านไปที่คมศรดักยิง  กรณีเช่นนี้ถือว่าสาครได้ช่วยเหลือหรือได้ให้ความสะดวกในการให้ผู้อื่นกระทำความผิด  ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  แม้คมศรจะไม่รู้ถึงเจตนาของสาครก็ตาม  สาครต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86  ต้องรับโทษ  2  ใน  3  ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น  และในกรณีดังกล่าวนี้  ก็ไม่ถือว่าสาครเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83  เพราะเคนและคมศรไม่ได้ทราบถึงเจตนาของสาครจึงไม่ถือว่ามีเจตนาร่วมในขณะกระทำความผิด

สรุป

เสกสมไม่มีความผิดทางอาญา

เคนรับผิดฐานเป็นตัวการร่วม

สาครรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน 

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก๋า  หลังจากแยกย้ายกันไปล่าสัตว์ได้พักใหญ่  นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหว  นายโก๋คิดว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่าเป็นนายเก๋า  ทั้งๆที่ปกตินายเก๋ามักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ  ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี  นายโก๋ตัดสินใจใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น  ปรากฏว่าหลังพุ่มไม้เป็นนายเก๋า  นายเก๋าถูกกระสุนปืนของนายโก๋ถึงแก่ความตาย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโก๋

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำโดยเจตนา  ยกเว้นการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิดได้  ถ้ามีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด  เช่น การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  หรือประมาทเป็นเหตุให้เพลิงไหม้  ตามมาตรา  291  หรือมาตรา  225  นอกจากนั้น  มาตรา  59  ยังบัญญัติว่าการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนา  ไม่ประมาท  แต่ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้ตองรับผิดก็มีความผิดทางอาญาได้  เช่น  ความผิดลหุโทษบางมาตรา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว  ถือว่านายโก๋มีการกระทำทางอาญา  แต่การที่นายโก๋ยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นโดยเข้าใจว่าเป็นหมูป่า  จึงเป็นกรณีที่นายโก๋ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด (ความผิดฐานฆ่าคนตายมีองค์ประกอบของความผิดคือ  1  ฆ่า  2  ผู้อื่น  (ต้องมีบุคคลมารองรับการกระทำ)  ซึ่งนายโก๋มิได้ประสงค์ต่อผล  คือ  ให้นายเก๋าถึงแก่ความตาย  และก็ไม่ได้เล็งเห็นผลว่าจะเกิดผลเช่นว่านั้นกับนายเก๋า  เช่นนี้  จึงถือว่านายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม  หากความไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว  เกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้กระทำ  ตามมาตรา  62  วรรคสอง  บัญญัติให้ผู้กระทำต้องรับผิดในฐานประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้จะได้กระทำโดยประมาท  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายโก๋ยิงไปด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี  หากเดินเข้าไปใกล้ๆหรือหากดูให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้เป็นเก๋า  มิใช่หมูป่า  จึงเป็นกรณีที่ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดของนายโก๋ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาท  ปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  แต่นายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  เพราะการกระทำนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้จะได้กระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  62  วรรคสอง

สรุป  นายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า  จึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยเจตนา  แต่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสี่ประกอบมาตรา  62  วรรคสอง

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  วันหนึ่งนายแดงเห็นนายดำนั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาว  นายแดงจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ  กระสุนถูกนายดำได้รับบาดเจ็บ  และบางส่วนของกระสุนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย  นอกจากนั้นกระสุนยังแผ่ไปถูกนายม่วงซึ่งเป็นบิดาของนายแดงที่นั่งอยู่ห่างไกลออกไปได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  อีกทั้งเศษกระสุนบางส่วนยังเลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่ไกลออกไปแตกเสียหายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายดำ

การที่นายแดงต้องการฆ่านายดำจึงยกปืนขึ้นยิงนายดำนั้น  การกระทำดังกล่าวของนายแดงถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตสำนึกและมีการประสงค์ต่อตัวนายดำ  กรณีเช่นนี้  จึงถือว่านายแดงได้กระทำโดยมีเจตนาฆ่านายดำแล้ว  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  เมื่อได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล  คือ  นายดำไม่ถึงแก่ความตาย  กรณีนี้นายแดงจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายดำ  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

ความรับผิดของนายแดงต่อนางขาว

นายแดงต้องการฆ่านายดำไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลต่อตัวนางขาว  แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำโดยที่มีนางขาวนั่งรับประทานอาหารอยู่ใกล้ๆนั้น  นายแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนลูกซองอาจถูกนางขาวได้  เมื่อกระสุนปืนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย  จึงถือเป็นการกระทำโดยเจตนาเล็งเห็นผลต่อนางขาว  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นายแดงจึงต้องรับผิดฐานฆ่านางขาวตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง

การที่นายแดงยิงไปที่นายดำ  แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายม่วงตายด้วยนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงกระทำโดยเจตนาต่อนายดำแต่ผลร้ายไปเกิดแก่นายม่วงโดยพลาดไป  เช่นนี้  ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายม่วงบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย  ตามมาตรา  60  และกรณีนี้แม้ว่านายม่วงจะเป็นบิดาตามกฎหมายของนายแดงก็ตาม  แต่ตามมาตรา  60  ตอนท้าย  กำหนดมิให้นำความสัมพันธ์ของบุคคลมาใช้บังคับแก่การกระทำโดยพลาด  ดังนั้น  กรณีนี้เมื่อนายม่วงไม่ถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาคือ  นายม่วงตายโดยเจตนาโดยพลาดเท่านั้น  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  60  และมารา  80  ไม่ต้องรับผิดฐานฆ่าบุพการี

ความรับผิดของนายแดงต่อนายฟ้า

การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ  เศษกระสุนบางส่วนได้เลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่  กรณีเช่นนี้  นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า  เพราะการกระทำของนายแดงไม่ใช่การกระทำโดยพลาด  เนื่องจากการกระทำโดยพลาดต้องเป็นเจตนาประเภทเดียวกัน  ซึ่งในกรณีนี้  เจตนาแรกของนายแดงเป็นเจตนาประสงค์ต่อชีวิตไม่ใช่เจตนาทำให้เสียทรัพย์  จึงไม่ต้องด้วยมาตรา  60  เทียบฎีกาที่  1086/2521

และแม้นายแดงจะยิงนายดำโดยไม่ดูให้ดีว่ามีรถยนต์จอดอยู่  อันเป็นกรณีของการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่ก็ตาม  นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้าตามมาตรา  59  วรรคแรกเช่นกัน  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีที่ประมาททำให้เสียทรัพย์

สรุป

นายแดงต้องรับผิดต่อนายดำฐานพยายามฆ่านายดำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล

นายแดงต้องรับผิดต่อนางขาวฐานเจตนาฆ่านางขาวโดยเจนาเล็งเห็นผล

นายแดงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด  แต่ไม่ต้องรับโทษฐานฆ่าบุพการี

นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า  เพราะไม่ใช่การกระทำโดยพลาด  แม้จะประมาทก็ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีประมาททำให้เสียทรัพย์

 

ข้อ  3  บุญจงต้องการทำร้ายสมหมาย  บุญจงได้บอกสุทินให้ตีหัวสมหมาย  ถ้าไม่ตีจะระเบิดตึกราคา  10  ล้านบาทของสมหมาย  ซึ่งบุญจงได้วางระเบิดไว้แล้ว  สุทินกลัวบุญจงระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีไปที่หัวของสมหมาย  สมหมายหลบและล้มลง  สุทินเงื้อไม้ขึ้นตีซ้ำ  แมนบุตรของสมหมายเห็นจึงผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บ  สมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน  ดังนี้  บุญจง  สุทิน  สมหมาย และแมนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของบุญจง

บุญจงต้องการฆ่าสมหมาย  บุญจงได้บอกให้สุทินตีหัวสมหมายหากไม่ตีจะระเบิดตึกของสุทิน  กรณีเช่นนี้ถือว่าบุญจงได้มีเจตนาก่อให้สุทินกระทำความผิดด้วยวิธีการบังคับ  และเมื่อสุทินได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  บุญจงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

ความรับผิดของสุทิน

การที่สุทินกลัวบุญจงจะระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีหัวของสมหมาย  การกระทำของสุทินดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล  คือ  ความตายของสมหมาย  กรณีเช่นนี้ถือว่าสุทินกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  และต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่สุทินไม่ต้องรับโทษเพราะขณะกระทำสุทินอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของบุญจง  สุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  เมื่อได้กระทำโดยไม่เกินสมควรแก่เหตุ  การกระทำของสุทินจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  ตามมาตรา  67(1)  สุทินจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย  แต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของสมหมาย

การที่สมหมายถูกสุทินใช้ไม้ตีและล้มลงแล้วสมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน  การกระทำของสมหมายดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล  คือ  อาการบาดเจ็บของสุทิน  กรณีเช่นนี้จึงถือว่า  สมหมายได้กระทำต่อสุทินโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  และวรรคสาม  และต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่อย่างไรก็ตาม  การที่สมหมายทำร้ายสุทินดังกล่าว  เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  อันถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  สมหมายย่อมสามารถอ้างเหตุดังกล่าวนี้มาเป็นเหตุลดโทษได้

ความรับผิดของแมน 

เมื่อแมนบุตรของสมหมายเห็นว่าสุทินเงื้อไม้ขึ้นจะตีสมหมาย  จึงได้ผลักสุทินล้มลง  กรณีถือว่า  แมนได้กระทำโดยเจตนาต่อสุทิน  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  แต่การกระทำดังกล่าวของสุทินได้กระทำไปเพื่อให้นายสมหมายหลุดพ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  เมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุการณ์กระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  แมนย่อมไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย

สรุป

บุญจงรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

สุทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ  เพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

สมหมายต้องรับผิดทางอาญา  แต่รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้  เพราะกระทำโดยบันดาลโทสะ

แมนไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  4  ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล  โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกจากบ้านมาให้สมเดชยิง  อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน  อรสาได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช  โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของอรสา  ระหว่างที่ประชาเดินทางไปที่บ้านชุมพล  สมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญจึงยิงชุมพลตายเสียก่อนที่ประชาจะพบชุมพล  ดังนี้  ประชา  และอรสาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของประชา

ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล  โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกมาจากบ้านให้สมเดชเป็นคนยิง  ต่อมาเมื่อสมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญเสียก่อนจึงได้ยิงชุมพลตาย  กรณีเช่นนี้  สมเดชย่อมมีความรับผิดทางอาญาฐานเจตนาฆ่า  ตามมาตรา  59  แต่ในส่วนของประชานั้น  ในขณะที่สมเดชยิงชุมพลประชายังไม่ได้เข้าร่วมในขณะหรือระหว่างที่กระทำความผิดด้วย  ทั้งมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือพรรคพวกได้ทันท่วงที  ประชาจึงไม่ใช่ตัวการร่วม  ตามมาตรา  83

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ประชาได้ร่วมกับสมเดชวางแผนมาแล้วตั้งแต่ต้น  กรณีจึงถือว่าประชาได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สมเดชผู้กระทำความผิดแล้ว  ประชาจึงเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

ความรับผิดของอรสา

การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน  อรสาจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช  กรณีเช่นนี้  แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา  แต่เมื่ออรสามีเจตนาที่จะช่วยเหลือสมเดชก่อนที่จะกระทำความผิดแล้ว  อรสาจึงเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

สรุป  ประชาและอรสาต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายเต้ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  ในขณะที่ฝนตกถนนลื่น  ช่วงที่นายเต้เลี้ยวตรงถนนนั้นเอง  นายยิ้มซึ่งหาบตะโก้ขายกำลังเดินข้ามถนนจะพ้นแล้ว  นายเต้จึงเบรกทันที  แต่รถก็ได้ลื่นไถลไปชนหาบตะโก้ของนายยิ้มเสียหาย  โดยที่นายยิ้มไม่ได้เป็นอะไรเลย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายเต้

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเต้มิได้มีเจตนาจะกระทำต่อนายยิ้ม  เนื่องจากไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับนายยิ้มตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่อย่างไรก็ตามการขับรถด้วยความเร็วสูงขณะฝนตกถนนลื่นนั้น  เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามภาวะและวิสัยของตนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น  (พฤติการณ์ฝนตกถนนลื่น)  ซึ่งนายเต้อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  (คือ  ขับรถให้ช้าลงกว่ายามปกติที่ฝนไม่ตก  ไม่ใช่ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด)  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ตามมาตรา  59  วรรคสี่  การกระทำของนายเต้จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนหาบตะโก้อันเป็นทรัพย์สินของนายยิ้มเสียหาย  แต่เนื่องจากการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยระมาทนี้  ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  นายเต้จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ของนายยิ้ม  ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา  59  วรรคแรก  ที่ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทำโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

สรุป  นายเต้ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียมรัพย์

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  เมื่อนายขาวบิดาของนายแดงเดินผ่านมา  นายแดงเข้าใจว่าเป็นนายดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่นายขาว กระสุนปืนถูกหัวไหล่ของนายขาวได้รับบาดเจ็บ  นอกจากนี้กระสุนยังเลยไปถูกนายเขียวมารดาของนายแดงได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคท้าย  บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา  80  วรรคแรก  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

จากข้อเท็จจริง  แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายขาว  แต่เพราะความเข้าใจผิดว่านายขาวเป็นนายดำ  และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่า  ไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้  เหตุผลเพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิดทั้งองค์ประกอบภายนอก  (ผู้กระทำ  การกระทำ  วัตถุแห่งการกระทำ)  และองค์ประกอบภายใน  (เจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และวรรคสาม)  นั่นคือ นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย  (ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง)  ดังนั้น  เมื่อนายขาวผู้ที่นายแดงลงมือกระทำต่อนายแดงจึงต้องรับผิดเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดา  โดยสำคัญผิดตามมาตรา  59  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก  ได้รับบาดเจ็บเพียงที่หัวไหล่  แต่ไม่ถึงแก่ความตายจึงเป็นการกระทำที่ได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผลตามมาตรา  80 แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี  เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี  ทั้งนี้ตามมาตรา  62 วรรคท้ายวางหลักไว้ว่า  การจะให้ผู้กระทำรับโทษหนักขึ้น  โดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น  เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี  จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้

ความรับผิดของนายแดงต่อนางเขียว

ตามข้อเท็จจริง  นางเขียวเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ  จากการกระทำของตน  แต่อย่างไรก็ตาม  นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนางเขียวในความผิดที่กระทำโดยพลาด  นั่นคือ  นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งด้วย  มาตรา  60  จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังนางเขียว  คือ  เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  แต่จากข้อเท็จจริงนางเขียวได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายเท่านั้น  ไม่ถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนางเขียวฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาโดยพลาดตามมาตรา  60  ประกอบกับมาตรา  80  วรรคแรก  แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่าบุพการีโดยพลาด  เพราะมาตรา  60  ตอนท้าย  วางหลักว่า  ไม่ให้ลงโทษผู้กระทำหนักขึ้น  เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำ  (นายแดง)  กับผู้ได้รับผลร้าย  (นางเขียวซึ่งเป็นมารดา)

สรุป  นายแดงรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านางเขียวโดยพลาด

 

ข้อ  3  วันรบนำระเบิดไปวางไว้ที่บ้านของสมเดช  ซึ่งมีภริยาและลูกอยู่ในบ้าน  วันรบบอกให้สมเดชใช้มีดแทงสามารถให้ตาย  หากไม่แทงจะระเบิดบ้านสมเดช  สมเดชกลัวว่าภริยาและลูกจะได้รับอันตราย  จึงชัดมีดแทงไปที่สามารถในระยะกระชั้นชิด  สามารถเห็นเข้าพอดีจึงหลบทัน  ขณะสมเดชแทงซ้ำสามารถได้ใช้อาวุธปืนไม่มีทะเบียนที่บันลือฝากไว้ยิงสวนถูกสมเดชได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  วันรบ  สมเดช  และสามารถ  ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาอย่างไรหรือไม่  และศาลจะสั่งริบอาวุธปืนที่สามารถใช้ยิงสมเดชได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  32  ทรัพย์สินใดที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า  ผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิด  ให้ริบเสียทั้งสิ้นไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  วรรคแรก  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

วินิจฉัย

ความรับผิดของสมเดช

จากข้อเท็จจริง  สมเดชใช้มีดแทงสามารถ  สมเดชได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการกระทำ  ขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล  คือ  ความตายของสามารถ  การกระทำของสมเดชจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เมื่อได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลเพราะสามารถหลบทัน  จึงไม่ถึงแก่ความตาย  สมเดชต้องรับผิดฐานพยายามกระทำความผิด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80  วรรคแรก  แต่อย่างไรก็ดีสมเดชไม่ต้องรับโทษในความผิดที่ได้พยายามนั้น  เพราะขณะกระทำสมเดชอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของวันรบ  โดยที่สมเดชไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  นอกจากการกระทำความผิดตามที่ถูกบังคับนั้น  กล่าวคือ  ถ้าสมเดชขัดขืนไม่แทงสามารถตามคำขู่ของวันรบแล้ว  วันรบอาจระเบิดบ้านสมเดช  ภริยาและลุกอาจจะได้รับอันตราย  ทั้งการกระทำของสมเดชก็ไม่เกินสมควรแก่เหตุ  ดังนั้น  สมเดชจึงกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(1)  สมเดชมีความผิด  แต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของสามารถ

จากข้อเท็จจริง  การกระทำของสามารถที่ได้ใช้อาวุธปืนไม่มีทะเบียนยิงสวนถูกสมเดชได้รับบาดเจ็บ  สามารถได้กระทำต่อสมเดชโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและขณะเดียวกันประสงค์ต่อผล  สามารถได้กระทำต่อสมเดชโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง แต่สามารถกระทำไปเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่สมเดชก่อขึ้น  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  สามารถจำต้องป้องกันสิทธิของตนเอง 

และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของสามารถเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  สามารถไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าสมเดชตามมาตรา  68

แต่อย่างไรก็ตาม  แม้สามารถจะไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าสมเดชเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม  แต่อาวุธปืนที่ใช้ยิงไม่มีทะเบียนเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า  ผู้ใดมีไว้เป็นความผิดให้ริบทั้งสิ้น  ไม่ว่าเป็นของผู้กระทำความผิดและมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่  ศาลจึงสั่งริบอาวุธปืนนั้นได้ตามมาตรา  32  เทียบฎีกาที่  570/2521  และฎีกาที่  111/2504  (ประชุมใหญ่)

ความรับผิดของวันรบ

จากข้อเท็จจริง

การที่วันรบได้นำระเบิดไปวางไว้ที่บ้านของสมเดช  เพื่อให้สมเดชใช้มีดแทงสามารถ  อันถือว่าวันรบมีเจตนาก่อให้สมเดชกระทำความผิดด้วยวิธีบังคับตามมาตรา  84  วรรคแรก  และคามผิดได้กระทำลงโดยเจตนาตามที่ก่อไว้นั้น  วันรบต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง

สรุป 

1       สมเดช  มีความผิดฐานพยายามกระทำความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

2       สามรถ  กระทำการเพื่อป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย  ไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า  และศาลสามารถสั่งริบอาวุธปืนได้

3       วันรบ  เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและรับโทษเสมือนตัวการ

 

ข้อ  4  เฮง  อยู่ที่ฮ่องกงทราบว่าที่เมืองทองธานี  ประเทศไทยมีงานแสดงโชว์เครื่องเพชร  เฮงต้องการเพชร  เมื่อเจซิงชาวปากีสถานมาหาเฮง  เฮงได้พูดหว่านล้อมเจซิง  จนเจซิงตกลงใจไปลักเครื่องเพชรในงานดังกล่าว  เจซิงได้ชวนอุสมานซึ่งเป็นเพื่อนกันไปด้วย  ขณะเดียวกันเจซิงได้โทรศัพท์ถึงสมคาดที่อยู่ในประเทศไทยให้ทราบถึงความประสงค์ของตน  สมคาดจึงเขียนแผนที่ตั้งของร้านทางเข้าออกพร้อมถ่ายรูปส่งให้เจซิง  เจซิงและอุสมานเข้ามาที่ประเทศไทย  และเข้าไปในงานแสดงโชว์เครื่องเพชรตามแผนที่และรูปถ่ายที่สมคาดส่งมาให้  อุสมานทำทีเข้าไปขอซื้อเพชร  เจ้าของร้านเพชรได้วางกระเป๋าที่มีเพชรราคา  50  ล้านอยู่ข้างในไว้ด้านล่าง  เจซิงเดินอ้อมเข้าด้านหลังแล้วเอากระเป๋าที่มีเพชรอยู่ข้างในไป  อุสมานเห็นเจซิงเอากระเป๋าไปแล้วจึงเดินตามไปห่างๆ  ดังนี้  เฮง  อุสมาน  และสมคาด  ต้องรับผิดทางอาญาในการกระทำของเจซิงอย่างไร  และศาลไทยจะลงโทษเฮง  เจซิง  และอุสมานในราชอาณาจักรไทยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  4  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร  ต้องรับโทษตามกฎหมาย

มาตรา  6  ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักร  หรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน  ของผู้สนับสนุนหรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  ก็ให้ถือว่าตัวการ  ผู้สนับสนุน  หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

 มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เจซิงตกลงใจไปลักเครื่องเพชรตามที่เฮงหว่านล้อม  ขณะที่อุสมานทำทีเข้าไปขอซื้อเพชร  เจซิงเดินอ้อมไปด้านหลังแล้วเอากระเป๋าที่มีเพชรอยู่ข้างในไป  จะเห็นได้ว่า  เจซิงมีเจตนาลักกระเป๋าใส่เครื่องเพชรนั้น  เพราะได้กระทำการลักทรัพย์โดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  คือ  รู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่นและในขณะเดียวกันเจซิงก็ประสงค์ต่อผล  คือ  กระเป๋าที่ใส่เครื่องเพชรตามมาตรา  59  วรรคสอง  ดังนั้นจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

การกระทำของอุสมาน  ในขณะเกิดเหตุอุสมานทำทีไปขอซื้อเพชร  เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้เจซิงลักทรัพย์อันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ  เมื่ออุสมานอยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะที่พร้อมจะช่วยเหลือเจซิงผู้กระทำความผิดทุกเมื่อ  กรณีจึงถือว่าอุสมานได้ร่วมกระทำความผิดกับเจซิงตามที่ได้ตกลงหรือคบคิดกัน  อุสมานเป็นตัวการร่วมต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติตามมาตรา  83

เจซิงและอุสมานได้ร่วมกันกระทำความผิดในราชอาณาจักร  ต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติตามมาตรา  4  วรรคแรก  ศาลไทยสามารถลงโทษทั้งสองในราชอาณาจักรไทยได้

การกระทำของเฮง  การที่เฮงหว่านล้อมเจซิงให้ไปลักเครื่องเพชร  กรณีถือว่าเฮงมีเจตนาก่อให้เจซิงกระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด  โดยที่เจซิงมิได้มีเจตนาจะกระทำความผิดอยู่ก่อน  เฮงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา  84 วรรคแรก  เมื่อเจซิงได้กระทำความผิดตามที่ได้ก่อแล้ว  เฮงจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง  แม้การกระทำของเฮงผู้ใช้จะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  แต่เมื่อความผิดได้กระทำขึ้นในราชอาณาจักร  ศาลไทยก็มีอำนาจลงโทษเฮงได้ตามมาตรา  6 เพราะบทบัญญัติดังกล่าวให้ถือว่าผู้ใช้ให้กระทำผิดได้กระทำในราชอาณาจักรไทย

การกระทำของสมคาด  การที่สมคาดได้เขียนแผนที่ตั้งของร้าน  ทางเข้าออกพร้อมถ่ายรูปส่งให้เจซิง  กรณีนี้ถือว่าสมคาดได้ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่เจซิงกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  สมคาดจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป

เฮงเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและรับโทษเสมือนตัวการ

อุสมานเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด

สมคาดต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

และศาลไทยสามารถลงโทษเจซิง  เฮง  อุสมานในราชอาณาจักรไทยได้

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด  จงอธิบายหลักกฎหมาย  ข้อยกเว้น  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

อธิบาย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ  ซึ่งการกระทำ  หมายถึง  การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  กล่าวคือ  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง  และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกด้วย  ดังจะเห็นได้จากมาตรา  59  วรรคห้า  ซึ่งบัญญัติว่า  การกระทำให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

และโดยหลักทั่วไป  การกระทำซึ่งจะทำให้บุคคลผู้กระทำต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา  คือ  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง

การกระทำโดยเจตนา  แบ่งออกเป็น  2  กรณี  คือ

1       การกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการคือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  หมายถึง  การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือการไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง  และ

(2) ในขณะกระทำ  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  ในขณะกระทำ  นอกจากจะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกแล้ว ผู้กระทำยังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นๆตามที่ผู้กระทำมุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง  แดงต้องการฆ่าดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดำถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  และความตายของดำถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

2       การกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล  ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  คือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และ

(2) ในขณะกระทำผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  เป็นการกระทำที่ผู้กระทำมิได้ประสงค์ต่อผล  กล่าวคือ  มิได้มุ่งหมายให้เกิดผลขึ้น  แต่ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลว่าผลนั้นจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง  แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า  จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้  การที่แดงใช้ปืนยิงดำ  แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดำตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น  แต่การกระทำของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า  ถ้ากระสุนถูกดำย่อมทำให้ดำตายได้  จึงถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าดำโดยย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มีข้อยกเว้นว่า  บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา  แม้จะมิได้กระทำโดยเจตนาก็ได้  ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยประมาท  เช่น  กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  หรือ

(2) เป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง  ให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  (ความผิดเด็ดขาด)  เช่น  การกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากร  เป็นต้น  หรือ

(3) เป็นการกระทำความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้  แม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  ก็เป็นความผิด  เว้นแต่  ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น  (มาตรา  104)

 

ข้อ  2  อย่างไร  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  จงอธิบายหลักกฎหมาย  และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

อธิบาย

ตามบทบัญญัติมาตรา  68  การกระทำที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันจะมีผลทำให้ผู้กระทำไม่มีความผิด  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังต่อไปนี้  คือ

1       ต้องมีภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย  หมายความถึง  ภยันตรายนั้นจะต้องเกิดจากการประทุษร้ายและการประทุษร้ายจะมีได้เฉพาะแต่การกระทำของบุคคลเท่านั้น

ภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย  หมายความว่า  เป็นภัยอันเกิดจากการกระทำของบุคคลโดยไม่มีอำนาจอันถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย  ซึ่งอาจจะเป็นกฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่งก็ได้

2       ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

ภยันตรายที่ใกล้จะถึงนี้  มีความหมายอยู่ในตัวว่าไม่จำเป็นที่จะต้องให้ภัยนั้นเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ที่จะต้องประสบเสียก่อน  การป้องกันเป็นการกระทำเพื่อมิให้ภัยนั้นเกิดขึ้นจริงแก่ผู้ต้องประสบภัยตามที่ผู้ก่อภัยประสงค์จะกระทำ  กล่าวคือ  ถ้าไม่กระทำการป้องกันเสียแต่ขณะใดภัยอาจเกิดขึ้นแล้ว  ก็ย่อมป้องกันได้ตั้งแต่ขณะนั้น

3       ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน  หรือของผู้อื่น  ให้พ้นภยันตรายนั้น

จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่น  คำว่า  สิทธิ  หมายความถึงประโยชน์อันบุคคลมีอยู่โดยกฎหมายรับรองและคุ้มครองให้  สิทธินี้อาจจะเกี่ยวกับชีวิต  ร่างกาย  ทรัพย์สิน  เสรีภาพ  หรือเกียรติยศชื่อเสียงก็ได้  เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิในอันจะไม่ให้ผู้ใดมาละเมิดในสิ่งดังกล่าวของตน 

พ้นจากภยันตราย  หมายความว่า  เมื่อมีผู้ก่อภัยขึ้น  ผู้ประสบภัยชอบที่จะกระทำการป้องกันเพื่อให้ภัยนั้นพ้นจากตัวผู้ประสบภัย  เช่น  ดำเงื้อมีดจะฟันแดง  แดงจึงใช้ไม้ตีข้อมือดำ  เพื่อให้มีดหลุดจากมือ  ดังนี้  การที่แดงใช้ไม้ตีข้อมือดำ  ก็เพื่อให้ภัยที่ดำก่อขึ้นพ้นไปจากตัวแดง

อย่างไรก็ดี  ตามหลักเกณฑ์ข้อ  3  ดังกล่าว  มีข้อยกเว้นอยู่  3  ประการที่ผู้กระทำอ้างป้องกันไม่ได้  คือ

1)    ผู้ที่เป็นต้นเหตุของภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย

2)    ผู้ที่สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน

3)    ผู้ที่สมัครใจยินยอมให้ผู้อื่นกระทำความผิดต่อตน  และอ้างว่าจำเป็นต้องกระทำต่อผู้อื่นเพื่อป้องกันตนเองไม่ได้

4       ต้องได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ

การกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการคือ

1)    ผู้ป้องกันได้ป้องกันสิทธิของตน  หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายนั้นด้วยวิถีทางที่น้อยที่สุดเท่าที่จำต้องกระทำ  เช่น  ดำเป็นง่อยไปไหนไม่ได้  แดงจึงเขกหัวดำเล่น  โดยเห็นว่าดำไม่มีทางกระทำตอบได้  ดำห้ามปรามเท่าใดแดงก็ไม่เชื่อฟัง  ถ้าการที่ดำจะป้องกันมิให้แดงเขกหัวมีวิธีเดียวคือ  ใช้มีดแทงแดงต้องถือว่า  การที่ดำใช้มีดแทงแดงนี้เป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุเพราะเป็นวิธีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันได้

2)    ผู้ป้องกันได้กระทำการป้องกันโดยได้สัดส่วนกับภยันตราย  ให้พิจารณาว่าอันตรายที่จะบังเกิดขึ้นถ้าหากไม่ป้องกันจะได้สัดส่วนกับอันตรายที่ผู้กระทำได้กระทำเนื่องจากการป้องกันนั้นหรือไม่  เช่น  คนเขาจะตบหน้าเราเราจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้  เพราะความเจ็บอันเนื่องจากการถูกตบหน้า  เมื่อมาเทียบกับความตายแล้วไม่ได้สัดส่วนกัน  ฉะนั้นจึงถือว่าการเอามีดแทงเขาตายนี้เป็นการกระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ  จึงไม่มีอำนาจทำได้

 

ข้อ  3  วรชัยต้องการฆ่าเสรี  วรชัยทราบว่าบิดาของพลรถถูกฆ่าตาย  วรชัยจึงหลอกพลรบว่าเสรีเป็นคนฆ่าบิดาของพลรบเพื่อให้พลรบไปฆ่าเสรี  พลรบเชื่อตามที่วรชัยบอกจึงตกลงใจที่จะฆ่าเสรี

ปริสนาแอบได้ยินวรชัยกับพลรบคุยกัน  ปริสนาต้องการให้เสรีตายเช่นกัน  ปริสนาจึงฝากอาวุธปืนของตนกับธงชัยเพื่อนของพลรบเพื่อนำมาให้พลรบใช้ยิงเสรี  พลรบได้อาวุธของปริสนาจากธงชัยแล้วได้ไปซุ่มดักยิงเสรี  สมชาติเพื่อนของเสรีเดินผ่านมาพบพลรบได้ถามพลรบและทราบความประสงค์ของพลรบ

สมชาติจึงรับอาสาคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  สมชาติเห็นเสรีขับขี่รถจักรยานยนต์มาทางที่พลรบดักยิงอยู่จึงให้สัญญาณแก่พลรบ

พลรบเอื้อมมือไปหยิบอาวุธที่วางอยู่ข้างตัวเพื่อยิงเสรีบังเอิญนิ้วของพลรบไปถูกไกปืน  ปืนจึงลั่นกระสุนไปถูกเสรีตาย  และกระสุนยังเลยไปถูกบัวผันที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามเสรีมาตายด้วย

ดังนี้  พลรบ  วรชัย  ปริสนา  และสมชาติต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

 มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  พลรบยังมิได้ลงมือกระทำต่อเสรีโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การที่พลรบเอื้อมมือไปหยิบอาวุธปืนที่วางอยู่ข้างตัวบังเอิญนิ้วของพลรบไปถูกไกปืน  ปืนจึงลั่นกระสุนไปถูกเสรีตาย  และกระสุนยังเลยไปถูกบัวผันตายด้วย  การกระทำของพลรบดังกล่าวเป็นการกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  พลรบจึงต้องรับผิดทางอาญา  เพราะได้กระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสี่

การที่วรชัยหลอกพลรบว่าเสรีเป็นคนฆ่าบิดาของพลรบเพื่อให้พลรบไปฆ่าเสรี  ถือว่าวรชัยได้ก่อให้พลรบกระทำความผิดแล้ว  วรชัยจึงเป็นผู้ใช้ให้พลรบกระทำความผิด  และต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่พลรบกระทำได้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของพลรบมิได้เกิดจากการกระทำโดยเจตนา  จึงถือว่าความผิดที่ใช้ยังมิได้กระทำลง  ดังนั้นวรชัยจึงต้องรับโทษหนึ่งในสามตามมาตรา  84  วรรคสอง

การที่ปริสนาฝากอาวุธปืนของตนไปให้พลรบ  ถือว่าปริสนาได้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือพลรบกระทำความผิด  แต่เนื่องจากพลรบมิได้กระทำความผิดโดยเจตนา  ปริสนาจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

และการที่สมชาติอาสาคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  ถือว่าสมชาติเป็นตัวการ  เพราะได้ร่วมกระทำโดยแบ่งหน้าที่กันทำ  แต่เนื่องจากเสรีตายเพราะปืนลั่นซึ่งเกิดจากการกระทำโดยประมาทของพลรบ  ดังนั้นเมื่อพลรบมิได้กระทำโดยเจตนา  สมชาติจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

สรุป

พลรบ ต้องรับผิดทางอาญาเพราะได้กระทำโดยประมาท

วรชัย  ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ได้รับโทษหนึ่งในสาม

ปริสนา  ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

สมชาติ  ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ 

 

ข้อ  4  บัญชาวิ่งหนีสุนัขบ้าไล่กัดบัญชา  บัญชาเห็นบ้านสดใสเปิดประตูไว้  บัญชาต้องการเข้าไปหลบซ่อนในบ้านสดใส  แต่มีบุญคำยืนขวางประตูอยู่  บัญชาจึงผลักบุญคำล้มลงศีรษะแตก  บัญชาเห็นบุญคำศีรษะแตก  บัญชาตกใจจึงวิ่งหนี  คงมั่นบุตรชายบุญคำเห็นบิดาศีรษะแตกเพราะถูกบัญชาผลัก  คงมั่นวิ่งไล่ตามพอทันกัน  คงมั่นชักมีดแทงบัญชา  บัญชาหลบทัน  คงมั่นแทงซ้ำ  บัญชาหยิบไม้ที่มีอยู่ที่นั้นขึ้นตีถูกคงมั่นได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  บัญชา และคงมั่นต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  บัญชาผลักบุญคำล้มลงหัวแตก  บัญชาได้กระทำไปโดยรู้สำนึกในการกระทำ  ขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผลคือการที่บุญคำได้รับอันตราย  จึงถือว่าบัญชากระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่การที่บัญชากระทำความผิดก็เพราะต้องการให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ถูกสุนัขบ้าไล่กัด  จึงถือว่าบัญชากระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(2)  ดังนั้น  บัญชามีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

และการที่บัญชาหยิบไม้ตีถกคงมั่นได้รับบาดเจ็บ  ถือว่าบัญชาเจตนากระทำต่อคงมั่นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และบัญชาจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนเองไม่ได้  เพราะบัญชาได้ก่อภยันตรายขึ้นก่อน  ตามมาตรา  68

ส่วนการที่คงมั่นชักมีดแทงบัญชา  ถือว่าคงมั่นเจตนากระทำต่อบัญชาตามมาตรา  59วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  คงมั่นจึงต้องรับโทษทางอาญาสำหรับความผิดนั้น  แต่เนื่องจากคงมั่นกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  เพราะเห็นบิดาหัวแตกเนื่องจากถูกบัญชาผลัก  ดังนั้นศาลจะลงโทษคงมั่นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้  ตามมาตรา  72

สรุป 

บัญชาต้องรับผิดทางอาญาต่อบุญคำแต่อ้างเหตุยกเว้นโทษได้  บัญชาต้องรับผิดทางอาญาต่อมั่นคงและอ้างเหตุยกเว้นความผิดไม่ได้

คงมั่นต้องรับผิดทางอาญาต่อบัญชาแต่อ้างเหตุลดหย่อนผ่อนโทษได้

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  สมภพขับรถจักรยานยนต์ไปส่งของ  สมเดชขับรถยนต์ตามมาเห็นสมภพขับช้า  สมเดชขับรถยนต์แซงรถจักรยานยนต์ของสมภพ รถยนต์ของสมเดชชนถูกรถจักรยานยนต์ของสมภพล้มลง  สมเดชไม่ได้หยุดรถ  สมภพลุกขึ้นได้ใช้ปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์ของสมเดชเพื่อให้หยุดรถ  กระสุนปืนถูกล้อรถยนต์แล้วทะลุตัวถังไปถูกคนนั่งอยู่ในรถยนต์ของสมเดชตาย

ดังนี้  สมภพต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของสมภพจะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่สมภพได้ใช้ปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์ของสมเดชเพื่อให้รถหยุดนั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันสมภพได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  จึงถือว่าการกระทำของสมภพที่ได้กระทำต่อทรัพย์ของสมเดชเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาเพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อการกระทำของสมภพนั้นได้กระทำไปเพราะเหตุบันดาลโทสะ  เนื่องจากการที่ถูกสมเดชแซงรถจักรยานยนต์ของสมภพ  และชนถูกรถจักรยานยนต์ของสมภพล้มลงโดยสมเดชไม่ได้หยุดรถ  ทำให้สมภพเกิดบันดาลโทสะ  และได้ใช้ปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์ของสมเดชในขณะนั้น  ดังนั้นศาลจะลงโทษสมภพน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้  ตามมาตรา  72

ส่วนกรณีที่กระสุนปืนที่สมภพยิง  ได้ทะลุตัวถังไปถูกคนที่นั่งอยู่ในรถยนต์ของสมเดชตายนั้น  ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำโดยเจตนา  เพราะสมภพไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่าจะเกิดผลให้มีคนตาย  แต่การกระทำของสมภพถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท  คือ  เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  ดังนั้นสมภพจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  59  วรรคสี่

สรุป  สมภพต้องรับผิดทางอาญา  เพราะได้กระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์  แต่จะได้รับโทษน้อยลงเพราะได้กระทำไปโดยบันดาลโทสะ  และต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย

 

ข้อ  2  อาจหาญต้องการฆ่าบุญยัง  อาจหาญเข้าไปในห้องนอนของบุญยังแล้วใช้อาวุธปืนยิงไปที่ที่นอน  โดยเข้าใจว่าบุญยังนอนอยู่ กระสุนปืนถูกหมอนข้างเพราะบุญยังนอนค้างบ้านเพื่อนไม่ได้กลับบ้าน  และกระสุนปืนทะลุฝาห้องไปถูกสำรวยที่นอนอยู่ข้างห้องนอนบุญยังตาย  ดังนี้  อาจหาญต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  81  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด  แต่การกระทำนั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ  ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทำความผิด  แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่อาจหาญต้องการฆ่าบุญยัง  และได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ที่นอนโดยเข้าใจว่าบุญยังนอนอยู่  กระสุนปืนถูกหมอนข้างไม่ถูกบุญยัง  เพราะบุญยังไปนอนค้างบ้านเพื่อนไม่ได้กลับบ้านนั้น  การกระทำของอาจหาญถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  ดังนั้นอาจหาญจึงต้องรับผิดทางอาญาที่กระทำต่อบุญยังโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสอง

และเมื่อการกระทำของอาจหาญที่ได้กระทำโดยมุ่งต่อผลคือความตายของบุญยัง  แต่อาจหาญได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ที่นอนและหมอนข้าง โดยเข้าใจว่าเป็นบุญยังคนที่ตนต้องการฆ่าหรือวัตถุที่ตนมุ่งหมายจะกระทำ  ดังนั้นถือว่าการกระทำของอาจหาญเป็นการกระทำที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้  เพราะเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ  อาจหาญจึงมีความผิดฐานพยายามกระทำความผิดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา  81  วรรคแรก

และตามอุทาหรณ์  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  กระสุนปืนที่อาจหาญยิงนั้นได้ทะลุฝาห้องไปถูกสำรวยที่นอนอยู่ข้างห้องนอนบุญยังตาย  ความตายของสำรวยต้องถือว่าเกิดจากการกระทำโดยเจตนาของอาจหาญด้วย  เพราะเมื่ออาจหาญมีเจตนาที่จะกระทำต่อบุญยัง  แต่ผลของการกระทำของเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่งคือ  สำรวยโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ให้ถือว่าอาจหาญได้กระทำโดยเจตนาต่อสำรวยซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย

สรุป

อาจหาญต้องรับผิดทางอาญา  เพราะได้กระทำความผิดต่อบุญยังและสำรวยโดยเจตนา

 

ข้อ  3  สมรขับรถยนต์กลับบ้านตามปกติ  ระหว่างทางมีเหตุการณ์ทหารใช้อาวุธปืนยิงผู้ชุมนุมเพื่อสลายการชุมนุม  สมรเร่งเครื่องเพื่อให้ผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นโดยเร็ว  ปรากฏว่ามีสอนและสินผู้ชุมนุมวิ่งหนีมาทางที่สมรขับรถยนต์อยู่  ซึ่งสมรก็เห็นและสอนถูกรถยนต์ของสมรชนตาย  สินเห็นสอนเพื่อนที่ชุมนุมด้วยกันถูกรถยนต์ชนจึงใช้ไม้ตีไปที่รถยนต์ของสมรถูกกระจกหน้ารถยนต์แตก  และกระจกได้ถูกแขนสมรได้รับบาดเจ็บ

ดังนี้  สมรและสินต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิด  ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงได้บ้าง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

การกระทำของสมรและสินจะต้องรับโทษทางอาญาหรือไม่  อย่างไร  วินิจฉัยได้ดังนี้

ตามอุทาหรณ์  การกระทำของสมรที่ขับรถยนต์ชนสอนตายนั้น  แม้สมรจะไม่ได้ระสงค์ต่อผล  คือความตายของสอนก็ตาม  แต่เป็นการกระทำที่สมรย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า  ถ้ารถยนต์ชนสอนอาจทำให้สอนตายได้  ดังนั้น  การกระทำของสมรจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  สมรจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยเจตนาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อการกระทำของสมรนั้นได้กระทำไปเพราะต้องการให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใด  และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน  และได้กระทำไปไม่สมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  ตามมาตรา  67(2)  ดังนั้นสมรจึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำนั้น

ส่วนกรณีที่สินเห็นเพื่อนถูกรถยนต์ชนจึงได้ใช้ไม้ตีไปที่รถยนต์ของสมรถูกกระจกหน้ารถยนต์แตก  และกระจกได้ถูกแขนสมรได้รับบาดเจ็บนั้น  การกระทำของสินเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของสินจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

และการกระทำของสินนั้น  จะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน  หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  เพื่อให้ตนเองพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  68  หรือจะอ้างว่าได้กระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(2)  เพื่อไม่ต้องรับโทษนั้นไม่ได้  เพราะภยันตรายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว  ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และจะอ้างว่าได้กระทำความผิดเพราะบันดาลโทสะเพื่อให้ได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  ก็ไม่ได้  เพราะไม่ใช่กรณีที่นายสอนได้ถูกข่มเหงด้วยเหตุร้ายแรงอันไม่เป็นธรรม

สรุป  สมรต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อสอนโดยเจตนา  แต่เป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นจึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำนั้น

สินต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อสมรโดยเจตนา  จะอ้างเหตุใดๆเพื่อให้ตนไม่ต้องรับผิดหรือไม่ต้องรับโทษ  หรือรับโทษน้อยลงไม่ได้ 

 

ข้อ  4  เนวินบอกพลรบลูกน้องให้หามือปืนไปยิงวิทยาให้ตาย  พลรบปรึกษาการุณเรื่องมือปืน  การุณได้แนะนำให้พลรบไปจ้างยอด  พลรบได้จ้างยอดให้ไปยิงวิทยาตามคำแนะนำของการุณ  ยอดตกลงแต่พลรบต้องหาอาวุธปืนมาให้  สดใสทราบว่ายอดจะไปยิงวิทยา  สดใสอยากให้วิทยาตายอยู่แล้ว  จึงนำอาวุธปืนไปให้พลรบเพื่อพลรบจะได้นำไปให้ยอด  พลรบได้อาวุธปืนจากสดใสแล้วนำไปให้ยอด  ยอดใช้ปืนนั้นยิงวิทยาตาย  ดังนี้  เนวิน  พลรบ  การุณ  และสดใส  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของเนวิน

การที่เนวินบอกพลรบให้หามือปืนไปยิงวิทยาให้ตายนั้น  แม้ว่าจะเป็นการใช้คนหลายคนต่อๆกันไป  ก็ถือว่าเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด  ดังนั้นเนวินจึงเป็นผู้ใช้ในความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน  เพราะผู้ใช้ของผู้ใช้ก็เท่ากับเป็นผู้ใช้ของผู้ลงมือกระทำความผิดด้วย  ตามมาตรา  84  วรรคแรก  เมื่อยอดยิงวิทยาตาย  เนวินผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง

ความรับผิดของพลรบ

การที่พลรบว่าจ้างยอดให้ไปยิงวิทยา  ถือเป็นการ ก่อ  ให้ผู้อื่นกระทำความผิด  พลรบจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก เมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  พลรบผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง  แต่ไม่ต้องรับผิดฐานผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ในกรณีที่นำอาวุธปืนไปให้ยอดอีกเพราะการเป็น  ผู้ใช้”  ได้กลืนการเป็น  ผู้สนับสนุน  แล้วนั่นเอง

ความรับผิดของการุณ

การที่การุณแนะนำให้พลรบไปจ้างยอดให้ไปยิงวิทยา  กรณีนี้ถือว่าการุณได้ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  การุณจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  โดยการุณไม่ผิดฐานเป็นผู้ใช้  เพราะการแนะนำไม่ถือเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามมาตรา 84

 ความรับผิดของสดใส

สดใสทราบว่ายอดยิ่งจะไปยิงวิทยา  จึงนำอาวุธปืนไปให้พลรบเพื่อพลรบจะได้นำไปให้ยอดยิ่ง  จึงถือเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  สดใสจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ถึงแม้ว่ายอดผู้กระทำผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกของสดใสก็ตาม

สรุป

เนวินต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84

พลรบต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84

การุณต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สดใสต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  บุคคลจักต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด  มีข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง  จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

อธิบาย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ  ซึ่งการกระทำ  หมายถึง  การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  กล่าวคือ  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง  และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกด้วย  ดังจะเห็นได้จากมาตรา  59  วรรคห้า  ซึ่งบัญญัติว่า  การกระทำให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

และโดยหลักทั่วไป  การกระทำซึ่งจะทำให้บุคคลผู้กระทำต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา  คือ  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  มาตรา  59  วรรคสอง

การกระทำโดยเจตนา  แบ่งออกเป็น  2  กรณี  คือ

1       การกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการคือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  หมายถึง  การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือการไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง  และ

(2) ในขณะกระทำ  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  ในขณะกระทำ  นอกจากจะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกแล้ว ผู้กระทำยังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นๆตามที่ผู้กระทำมุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง  แดงต้องการฆ่าดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดำถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  และความตายของดำถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

2       การกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล  ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  คือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และ

(2) ในขณะกระทำผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  เป็นการกระทำที่ผู้กระทำมิได้ประสงค์ต่อผล  กล่าวคือ  มิได้มุ่งหมายให้เกิดผลขึ้น  แต่ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลว่าผลนั้นจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง  แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า  จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้  การที่แดงใช้ปืนยิงดำ  แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดำตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น  แต่การกระทำของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า  ถ้ากระสุนถูกดำย่อมทำให้ดำตายได้  จึงถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าดำโดยย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มีข้อยกเว้นว่า  บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา  แม้จะมิได้กระทำโดยเจตนาก็ได้  ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยประมาท  เช่น  กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  หรือ

(2) เป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง  ให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  (ความผิดเด็ดขาด)  เช่น  การกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากร  เป็นต้น  หรือ

(3) เป็นการกระทำความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้  แม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  ก็เป็นความผิด  เว้นแต่  ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น  (มาตรา  104)

 

ข้อ  2  นายหนึ่ง  นางสองเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย  ต่อมานางสองนอกใจนายหนึ่งคบนายสามเป็นแฟนใหม่  วันเกิดเหตุ  นายหนึ่งกลับมาที่บ้านของตนเองพบนางสองกับนายสามกำลังเป็นชู้กัน  นายหนึ่งโกรธจึงชักปืนยิงนายสามตายคาที่  ส่วนนางสองวิ่งหนีออกจากบ้านไป  ดังนี้  นายหนึ่งจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

วินิจฉัย

การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  อันจะมีผลทำให้ผู้กระทำไม่มีความผิดตามมาตรา  68  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้  คือ

1       มีภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

2       เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

3       ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน  หรือของผู้อื่น  ให้พ้นจากภยันตรายนั้น

4       ได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ

ตามอุทาหรณ์  การที่นายสามได้เป็นชู้กับนางสองซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหนึ่ง  และนายหนึ่งได้มาพบขณะที่ทั้งสองกำลังเป็นชู้กันอยู่นั้น  ถือว่าเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ซึ่งนายหนึ่งสามีที่ชอบด้วยกฎหมายของนางสองจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิในชื่อเสียงเกียรติยศของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น  ดังนั้นการที่นายหนึ่งชักปืนยิงนายสามตายนั้น  ถือว่าเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำดังกล่าวของนายหนึ่งจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  นายหนึ่งจึงไม่มีความผิดตามมาตรา  68

สรุป  นายหนึ่งไม่มีความผิดอาญาฐานฆ่านายสาม

 

ข้อ  3  เจริญเลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านหลายตัว  ทุกเช้าเจริญจะปล่อยสุนัขของตนออกนอกบ้าน  สุนัขของเจริญจะถ่ายมูลหน้าบ้านของผู้อื่นเป็นประจำ  สุนัขของเจริญตัวหนึ่งได้มาถ่ายมูลหน้าประตูบ้านของจินดา

จินดาเห็นจึงออกไปไล่สุนัขตัวนั้น  สุนัขกระโดดกัดจินดา  จินดาใช้ไม้ตีสุนัข  1  ที  ถูกสุนัขตาย  เจริญออกมาหน้าบ้าน  เห็นสุนัขของตนถูกจินดาตีตายจึงตรงเข้าชกจินดา   จินดาล้มลง  เจริญจะชกซ้ำ

จินดาลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าบ้านของตน  ปรากฏว่า  มีรถจักรยานของเปิ้ลจอดขว้างอยู่  จินดาจึงผลักรถจักรยานนั้นล้มลงเสียหาย  ดังนี้  เจริญและจินดาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การกระทำของเจริญและจินดาจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีการกระทำของเจริญที่เข้าชกจินดานั้น  ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือ  การบาดเจ็บของจินดา  ดังนั้นการกระทำของเจริญจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  เจริญจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

และกรณีดังกล่าว  เจริญจะอ้างว่าได้กระทำเพื่อป้องกันสิทธิในทรัพย์ของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย  เพื่อไม่ต้องรับผิดตามมาตรา  68 ไม่ได้  เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์คือสุนัขของเจริญนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว  และการที่จินดาตีสุนัขของเจริญตายนั้น  ก็มิได้เป็นการข่มเหงต่อตัวผู้กระทำผิดคือเจริญโดยตรง  หรือต่อผู้ที่มีความสัมพันธ์บางประการกับตัวผู้กระทำผิดแต่อย่างใด  เพียงแต่กระทำต่อทรัพย์ของเจริญเท่านั้น  ดังนั้นเจริญจะอ้างว่ากระทำไปโดยบันดาลโทสะเพื่อรับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  ไม่ได้เช่นกัน

ส่วนกรณีของจินดา  การที่จินดาใช้ไม้ตีสุนัขของเจริญตายนั้น  ถือเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายคือให้พ้นจากการถูกสุนัขกัด  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  เมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุการกระทำดังกล่าวของจินดาจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  จินดาจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจริญ

และการที่จินดาผลักรถจักรยานของเปิ้ลล้มลงเสียหายนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการประทำ  คือ  เพื่อให้รถจักรยานล้มลง  ดังนั้นการกระทำของจินดาจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  จินดาจึงต้องรับผิดในทางอาญาฐานทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายตามมาตรา  59  วรรคแรก 

แต่เมื่อจินดาได้กระทำไปเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  คือ  เพื่อให้พ้นจากการถูกเจริญทำร้าย  ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้  และภยันตรายดังกล่าวจินดาก็มิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนแต่อย่างใด  เมื่อได้กระทำไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำดังกล่าวของจินดาจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(2)  จินดาจึงไม่ต้องรับโทษ

สรุป

เจริญต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อจินดาโดยเจตนา  จะอ้างเหตุป้องกัน  หรือบันดาลโทสะเพื่อให้ตนไม่ต้องรับผิด  หรือรับโทษน้อยลงไม่ได้

ส่วนจินดาไม่ต้องรับผิดต่อเจริญ  เพราะได้กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่จะต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อทรัพย์ของเปิ้ลโดยเจตนา  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น 

 

ข้อ  4  ธงรบจ้างกล้าหาญไปฆ่าสุเทพ  กล้าหาญตกลงแต่กล้าหาญไม่มีอาวุธปืน  พอดีพบรักมาหาธงรบเพื่อปรึกษาเรื่องที่ตนอยากให้สุเทพตาย  ธงรบจึงบอกพบรักว่ากล้าหาญกำลังจะไปฆ่าสุเทพ  แต่กล้าหาญไม่มีอาวุธปืน  พบรักเสนอให้ยืมอาวุธปืนของตนให้ธงรบนำไปให้กล้าหาญ  กล้าหาญได้รับอาวุธปืนจากธงรบโดยไม่ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของพบรัก  กล้าหาญได้ไปดักยิงสุเทพ  ขณะที่กล้าหาญนำอาวุธปืนมาตรวจดูความเรียบร้อย  ปักษาเดินผ่านมาเห็นกล้าหาญ  และทราบความประสงค์ของกล้าหาญ  ปักษาจึงรับอาสาคอยดูต้นทางให้  ปักษาเห็นนาวีเดินมาเข้าใจว่าเป็นสุเทพ  จึงให้สัญญาณแก่กล้าหาญ  กล้าหาญยิงไปที่นาวีโดยเข้าใจว่าเป็นสุเทพคนที่ตนจะฆ่า  กระสุนปืนถูกนาวีตาย  แล้วยังเลยไปถูกเฉลิมตายด้วย  ดังนี้  กล้าหาญ  ธงรบ  พบรัก  และปักษาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ความรับผิดของกล้าหาญ

การที่กล้าหาญใช้ปืนยิงนาวีนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือ  ความตายของผู้ที่ตนยิง  ดังนั้น  การกระทำของกล้าหาญจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งกรณีนี้กล้าหาญจะยกเอาความสำนึกผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนาวีไม่ได้ตามมาตรา  61  กล้าหาญจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อนาวีฐานกระทำโดยเจตนาเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  59  วรรคแรก

และการที่กระสุนปืนยังได้เลยไปถูกเฉลิมตายด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่กล้าหาญเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดอีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่ากล้าหาญกระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  ดังนั้นกล้าหาญจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเฉลิมเพราะได้กระทำต่อเฉลิมโดยเจตนาพลาดไปตามมาตรา  60

ความรับผิดของธงรบ

การที่ธงรบว่าจ้างกล้าหาญให้ไปฆ่าสุเทพนั้น  ถือเป็นการ  ก่อ  ให้ผู้อื่นกระทำความผิด  ธงรบจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84 วรรคแรก  เมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง  แม้จะเป็นการยิงผิดตัว  ธงรบผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง  แต่ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ในกรณีที่นำอาวุธปืนไปให้กล้าหาญอีก  เพราะการเป็น  ผู้ใช้  ได้กลืนการเป็น  ผู้สนับสนุน  แล้วนั่นเอง

ความรับผิดของพบรัก

การที่พบรักทราบว่ากล้าหาญกำลังจะไปฆ่าสุเทพ  จึงนำอาวุธปืนของตนฝากธงรบเพื่อนำไปให้กล้าหาญยืมนั้น  ถือเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด  ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  พบรักจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  แม้ว่ากล้าหาญผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกของพบรักก็ตาม

ความรับผิดของปักษา 

การที่ปักษาทราบความประสงค์ของกล้าหาญผู้กระทำผิด  จึงรับอาสาคอยดูต้นทางให้นั้น  ถือว่าปักษามีเจตนาร่วมกระทำผิดและได้กระทำความผิดร่วมกันกับกล้าหาญผู้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  ปักษาจึงต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

สรุป

กล้าหาญต้องรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อนาวีโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และรับผิดทางอาญาที่ได้กระทำต่อเฉลิมโดยเจตนาพลาดไปตามมาตรา  60

ธงรบต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา  84  วรรคสอง

พบรักต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

ปักษาต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

LAW2006 ฎหมายอาญา 1 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  เก่งและก้อน  ออกไล่ล่าเสือที่เข้ามากัดกินสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน  เสือวิ่งหลบหนีเข้าไปในแนวป่ามีพุ่มไม้หนาทึบ  เก่งและก้อนแยกกันเดินอ้อมพุ่มไม้เพื่อยิงเสือ  เก่งเห็นพุ่มไม่ไหวๆไม่พิจารณาให้ดี  เข้าใจว่าเป็นเสือจึงยิงไปที่หลังพุ่มไม้  ปรากฏว่าไม่ใช่เสือ  แต่เป็นก้อนซึ่งเดินแหวกพุ่มไม้หาเสือ  กระสุนได้ถูกก้อนบาดเจ็บ  และยิงเลยไปถูกกลมที่กำลังเดินหาของป่าอยู่บริเวณนั้นตายด้วย

ดังนี้  เก่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

 ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เก่งใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น  ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว  จึงถือว่าเก่งมีการกระทำทางอาญา  แต่การที่เก่งยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นเสือแต่ปรากฏว่าไม่ใช่เสือแต่เป็นก้อนนั้น  เป็นกรณีที่เก่งได้กระทำไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิงนั้นเป็นคน  ดังนั้นจะถือว่าเก่งได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำคือการที่ก้อนถูกกระสุนได้รับบาดเจ็บนั้นไม่ได้  กล่าวคือ  จะถือว่าเก่งได้กระทำโดยเจตนาต่อก้อนไม่ได้นั่นเอง  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี  เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดของเก่งได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  เพราะตามข้อเท็จจริงนั้น  ถ้าเก่งได้ใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และเก่งอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่  กล่าวคือ  ถ้าเก่งได้ใช้ความระมัดระวังโดยพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นก้อนไม่ใช่เสือ  ดังนั้นเก่งจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย  ตามมาตรา  62  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  59  วรรคแรก

ส่วนกรณีที่กระสุนปืนที่เก่งยิงไปนั้นได้เลยไปถูกกลมที่กำลังเดินหาของป่าอยู่ในบริเวณนั้นตาย  จะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาของเก่งตามมาตรา  59  วรรคสองไม่ได้  เพราะแม้เก่งจะได้กระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  แต่เก่งไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลว่ากระสุนจะเลยไปถูกกลมตาย  และจะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ไม่ได้  เพราะการกระทำตอนแรกของเก่งต่อก้อนนั้นเป็นการกระทำโดยประมาทมิใช่การกระทำโดยเจตนา  ดังนั้นเมื่อผลไปเกิดกับกลม  จึงใช้หลักเจตนาโดยพลาดตามมาตรา  60  ไม่ได้  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อการกระทำของเก่งเป็นการกระทำโดยประมาท  และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้กลมตาย  ดังนั้น  เก่งจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสี่

สรุป  เก่งต้องรับผิดต่อก้อนฐานกระทำโดยประมาท  และเก่งต้องรับผิดต่อกลมฐานกระทำโดยประมาทเช่นเดียวกัน

 

ข้อ  2  เอกต้องการฆ่าหนึ่ง  เอกไปขอยืมอาวุธปืนจากยอดเพื่อเป็นตัวอย่างในการซื้ออาวุธปืนใช้ยิงหนึ่ง  ยอดทราบดีว่าเอกจะไปฆ่าหนึ่ง  จึงให้เอกยืมอาวุธปืน  เอกได้ใช้อาวุธปืนที่ซื้อมายิงกล้าโดยเข้าใจว่าเป็นหนึ่งบุคคลที่ตนต้องการฆ่า  ดังนี้  เอกและยอดต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เอกและยอดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

ความรับผิดของเอก 

การที่เอกได้ใช้อาวุธปืนยิงกล้าโดยเข้าใจว่าเป็นหนึ่งบุคคลที่ตนต้องการฆ่านั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือความตายของผู้ที่ตนยิง  ดังนั้นการกระทำของเอก  จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และกรณีนี้เอกจะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทำต่อกล้าไม่ได้ตามมาตรา  61  ดังนั้นเอกจึงต้องรับผิดทางอาญา  ต่อกล้าฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของยอด

การที่ยอดทราบว่าเอกจะไปฆ่าหนึ่ง  จึงได้ให้เอกยืมอาวุธปืนเพื่อเป็นตัวอย่างในการที่เอกจะไปซื้ออาวุธปืนใช้ยิงหนึ่ง  ดังนี้แม้เอกได้ใช้อาวุธปืนที่ซื้อมายิงกล้าเพราะเข้าใจว่าเป็นหนึ่ง  โดยไม่ได้ใช้อาวุธปืนที่ยอดให้เอกยืมไปก็ตาม  การกระทำของยอดถือว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด  ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  ดังนั้นยอดจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป

เอกต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำต่อกล้าโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก

ยอดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

 

ข้อ  3  แดงจะยิงนก  ดำและดอกเข้าใจว่า  แดงจะยิงเด่นเพื่อนของดำ  ดำจึงยิงแดงเพื่อช่วยเด่น  ดอนผลักเด่นล้มลงเพื่อให้พ้นวิถีกระสุน เด่นเข้าใจว่าดอนแกล้งผลักตนจึงชักมีดแทงดอนบาดเจ็บ  ดังนี้  ดำ  ดอน  และเด่น  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่  และจะอ้างเหตุอะไรได้บ้างเพื่อไม่ต้องรับผิด  ไม่ต้องรับโทษ  และรับโทษน้อยลง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ดำ  ดอน  และเด่น  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และจะอ้างเหตุเพื่อไม่ต้องรับผิด  ไม่ต้องรับโทษ  หรือรับโทษน้อยลงได้อย่างไรหรือไม่นั้น  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ 

กรณีของดำ

การที่ดำได้ยิงแดง  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของดำจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และดำต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ดำได้ยิงแดงนั้น  ดำได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่น  คือ  เด่น  ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของดำจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้นดำจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา  68

กรณีของดอน

การที่ดอนได้ผลักเด่นล้มลง  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของดอนจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และดอนต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ดอนได้ผลักเด่นล้มลงนั้น  ดอนได้กระทำไปเพื่อให้เด่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น  การกระทำของดอนจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  และไม่เกินสมควรแก่เหตุ  ดอนจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67

กรณีของเด่น

การที่เด่นชักมีดแทงดอนบาดเจ็บ  การกระทำของเด่น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของเด่นจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และเด่นต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เด่นได้ชักมีดแทงดอนนั้น  เป็นเพราะเด่นเข้าใจว่าดอนแกล้งผลักตนจึงได้กระทำไปเพราะบันดาลโทสะ  และได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ดังนั้นเด่นจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อดอน  แต่ศาลจะลงโทษเด่นน้อยกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้  ตามมาตรา  72

สรุป 

ดำไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  68  เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

ดอนไม่ต้องรับผิดตามมาตรา  67  เพราะเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

เด่นต้องรับผิดทางอาญา  เพียงแต่จะได้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  เพราะเป็นการกระทำเพราะบันดาลโทสะ

 

ข้อ  4  สอนและแสงร่วมเดินทางไปกับนพ  เพื่อไปยิงแก้แค้นโก๋  ซึ่งเคยยิงนพมาก่อน  โดยสอนและแสงทราบดีว่านพนำอาวุธปืนไปด้วย พอเจอก้อง  นพใช้อาวุธปืนยิงก้องโดยเข้าใจว่าเป็นโก๋   ดังนี้  สอน  แสง  และนพ  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สอน  แสง  และนพ  จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนพ 

การที่นพได้ใช้อาวุธปืนยิงก้องโดยเข้าใจว่าเป็นโก๋นั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือความตายของผู้ที่ตนยิง  ดังนั้นการกระทำของนพจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และกรณีดังกล่าวนี้นพจะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทำต่อก้องไม่ได้ตามมาตรา  61  ดังนั้น  นพจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อก้องฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของสอนและแสง

การที่สอนและแสงได้ร่วมเดินทางไปกับนพเพื่อไปยิงโก๋นั้น  ถือว่าสอนและแสงมีเจตนาร่วมกับนพในการฆ่าก้องแล้ว  สอนและแสงจะยกเอาความสำคัญผิดของนพมาเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้มีเจตนาฆ่าก้องไม่ได้  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  และมาตรา  61

และการที่สอนและแสงได้ร่วมเดินทางไปกับนพเพื่อยิงแก้แค้นก้องโดยเข้าใจว่าเป็นโก๋ซึ่งเคยยิงนพมาก่อน  อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าสอนและแสงทราบดีว่านพได้นำอาวุธปืนไปด้วย  จึงถือว่าสอนและแสงได้ร่วมกันกระทำและมีเจตนาร่วมกันกับนพแล้ว  ดังนั้นเมื่อนพได้กระทำความผิดโดยการใช้อาวุธปืนยิงก้อง  สอนและแสงจึงต้องรับผิดในทางอาญาต่อก้องในฐานะเป็นตัวการตามมาตรา  8

สรุป  นพต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำต่อก้องโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  สอนและแสงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1 

ก.      เป็นเจ้าพนักงานไทยได้รับแต่งตั้งให้เดินทางไปซื้อเรือดำน้ำที่ประเทศเยอรมนี  เมื่อ  ก  เดินทางไปถึงประเทศเยอรมนี  ก  ได้ร่วมกันกับ  ข  นักธุรกิจไทยซึ่งเดินทางไปทำธุรกิจที่ประเทศเยอรมนี  โดยให้  ข  ไปเรียกเงินจากบริษัทขายเรือดำน้ำ  5  แสนมาร์ค  ถ้าได้จากบริษัทใดก็จะซื้อจากบริษัทนั้น  บริษัทหนึ่งได้ตกลงตามที่  ข  เรียกร้อง  ก  จึงซื้อเรือดำน้ำจากบริษัทนั้นและแบ่งเงินให้  ข  1  แสนมาร์ค  ดังนี้  ก  และ  ข  จะต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

 ธงคำตอบ

มาตรา  7  ผู้ใดกระทำความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้นอกราชอาณาจักรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(1) ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  107  ถึงมาตรา  129

(1/1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  135/1  มาตรา  135/2  มาตรา  135/3  และมาตรา  135/4

(2) ความผิดเกี่ยวกับการปลอมและการแปลง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  240  ถึงมาตรา  249  มาตรา  254  มาตรา  256  มาตรา  257  และมาตรา  266(3) และ (4)

(2 ทวิ)  ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  282  และมาตรา  283

(3) ความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  339  และความผิดฐานปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  340  ซึ่งได้กระทำในทะเลหลวง

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ  หรือ

(ข)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว  และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหาย  และผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร  คือ 

(1) ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  217  มาตรา  218  มาตรา  221  ถึงมาตรา  223  ทั้งนี้  เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับมาตรา  220  วรรคแรก  และมาตรา  224  มาตรา  226  มาตรา  228  ถึงมาตรา  232  มาตรา  237  และมาตรา  233  ถึงมาตรา  236  ทั้งนี้  เฉพาะเมื่อเป็นกรณีต้องระวางโทษตามมาตรา  238

(2) ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  264  มาตรา  265  มาตรา  266(1)  และ  (2)  มาตรา  268  ทั้งนี้ เว้นแต่กรณีเกี่ยวกับมาตรา  267  และมาตรา  269

(2/1)  ความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  269/1  ถึงมาตรา  269/7

(2/2)  ความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  269/8  ถึงมาตรา  269/15

(3) ความผิดเกี่ยวกับเพศ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  276  มาตรา  280  และมาตรา  285  ทั้งนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับมาตรา  276

(4) ความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  ถึงมาตรา  290

(5) ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  295  ถึงมาตรา  298

(6) ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก  คนป่วยเจ็บ  หรือคนชรา  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  306  ถึงมาตรา  308

(7) ความผิดต่อเสรีภาพ  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  309  มาตรา  310  มาตรา  312  ถึงมาตรา  315  และมาตรา  317  ถึงมาตรา  320

(8) ความผิดฐานลักทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  334  ถึงมาตรา  336

(9) ความผิดฐานกรรโชก  รีดเอาทรัพย์  ชิงทรัพย์  และปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  337  ถึงมาตรา  340

(10)                    ความผิดฐานฉ้อโกง  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  341  ถึงมาตรา  344  มาตรา  346  และมาตรา  347

(11)                    ความผิดฐานยักยอก  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  352  ถึงมาตรา  354

(12)                    ความผดฐานรับของโจร  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  357

(13)                    ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  358  ถึงมาตรา  360

มาตรา  9  เจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  147  ถึงมาตรา  166  และมาตรา  200  ถึงมาตรา  205 นอกราชอาณาจักร  จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร

วินิจฉัย

โดยหลักทั่วไป  กฎหมายของรัฐใดย่อมใช้บังคับแก่การกระทำความผิดที่เกิดขึ้นภายในเขตของรัฐนั้น  แต่ประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติยกเว้นหลักดังกล่าวไว้ว่า  ถึงแม้ผู้กระทำจะกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  แต่จะต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรหากเป็นกรณีตามมาตรา  7  มาตรา  8  และมาตรา  9

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก เป็นเจ้าพนักงานไทยซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เดินทางไปซื้อเรือดำน้ำที่ประเทศเยอรมนีได้ร่วมกันกับ  ข  โดยให้  ข  ไปเรียกเงินจากบริษัทขายเรือดำน้ำ  ถ้าได้จากบริษัทใดก็จะซื้อจากบริษัทนั้น  และบริษัทหนึ่งได้ตกลงตามที่  ข  เรียกร้อง  และ  ก  จึงซื้อเรือดำน้ำจากบริษัทหนึ่ง  ดังนั้น  เมื่อ  ก  เป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย  ก  จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม  ป.อ.  มาตรา  149  และ  เมื่อเป็นกรณีที่  ก  ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทยได้กระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ใน  ป.อ.  มาตรา  147  ถึงมาตรา  166  นอกราชอาณาจักร  ดังนั้น  ก  จึงต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักรตาม  ป.อ.  มาตรา  9

ส่วนกรณีของ  ข  นั้น  เมื่อ  ข  ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐบาลไทย  จึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม  ป.อ. มาตรา  149  เพราะบุคคลธรรมดาไม่อาจจะมีความผิดตามมาตรานี้ได้  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.อ.  มาตรา  9  และการกระทำของ  ข  ดังกล่าว  ก็ไม่ต้องด้วยกรณีตาม  ป.อ.  มาตรา  7  และมาตรา  8  แต่อย่างใด  ดังนั้น  ข  จึงไม่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร

สรุป  ก  ต้องรับผิดและรับโทษในราชอาณาจักร  ส่วน  ข  ไม่ต้องรับผิดและไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักร

 

ข้อ  2 

ก  ใช้ปืนขู่บังคับ  ข  ให้ตีหัว  ค  หากไม่ตี  ก  จะยิง  ข  ให้ตาย  ข  กลัว  ก  ยิงตน  ข  จึงใช้ไม้ตีไปที่  ค  ค  เห็น  ข  เงื้อไม้ขึ้นตีตน  ค  จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่  ข  และไม้ได้หลุดจากมือ  ค  เลยไปถูก  ก  ด้วย  ดังนี้  ก  ข  และ  ค  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  89  ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ  ลดโทษ  หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดคนใด  จะนำเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทำความผิดคนอื่นในการกระทำความผิดนั้นด้วยไม่ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ก  ข  และ  ค  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของ  ก

การที่  ก  ใช้ปืนขู่บังคับ  ข  ให้ตีหัว  ค  นั้น  ถือเป็นการ  ก่อ  ให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว  ก  จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  วรรคแรก  และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลงคือ  ข  ได้ใช้ไม้ตีไปที่  ค  ก  ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84  วรรคสอง  และกรณีนี้  ก  ไม่ได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา  89  เพราะถึงแม้การที่  ข  ใช้ไม้ตี  ค  จะกระทำด้วยความจำเป็นและได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา  67  ก็ตาม  แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของ  ข  จะนำมาใช้กับ  ก  ด้วยไม่ได้

ความรับผิดของ  ข

การที่  ข  ใช้ไม้ตีไปที่  ค  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  การกระทำของ  ข  จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ข  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่  ข  ใช้ไม้ตีไปที่  ค  นั้น  ข  ได้กระทำไปเพราะอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของ ก  ซึ่ง  ข  ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  เมื่อ  ข  ได้กระทำไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ  การกระทำของ  ข  จึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(1)  ดังนั้น  ข  จึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของ  ค

การที่  ค  ใช้ไม้ตีไปที่  ข  ถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกัน  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของ  ค  จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  ค  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ ค  ได้ใช้ไม้ตีไปที่  ข  นั้น  ค  ได้กระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน  ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ  ข  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  เมื่อ  ค  ได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  การกระทำของ  ค  จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้น  ค  จึงไม่ต้องรับผิดต่อ  ข

และเมื่อการกระทำของ  ค  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือ  ค  เลยไปถูก  ก  ด้วย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่  ค เจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่า  ค  เจตนากระทำต่อ  ก  โดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของ  ค  เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ด้วย  ดังนั้น  ค  จึงไม่ต้องรับผิดต่อ  ก  เช่นเดียวกัน

สรุป

ก  ตองรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา  84  และรับโทษเสมือนตัวการ

ข  ต้องรับผิดทางอาญา  แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67  เพราะเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

ค  ไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  68  เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายแดงกับนายดำเป็นเพื่อรักกัน  ทั้งสองคนเข้าป่าล่าสัตว์เป็นงานอดิเรกด้วยกันเป็นประจำ  วันหนึ่ง  ทั้งคู่ได้นัดกันไปล่าสัตว์ตามปกติ  โดยนัดเจอกันเวลาบ่ายโมงตรงใต้ต้นไม้ใหญ่  นายแดงล่าสัตว์ไม่ได้เลยจึงรู้สึกเบื่อหน่ายมานั่งรอนายดำก่อนเวลานัดเจอจนเผลอหลับไป

เมื่อใกล้เวลาบ่ายโมง  นายแดงได้ยินเสียงดังอยู่หลังพุ่มไม้ที่ตนนอนอยู่  ด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีเสียก่อน  จึงชักปืนจากเอวขึ้นยิงไปทันที  ปรากฏว่าเป็นนายดำที่จะเข้ามาหยอกล้อเล่นเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ  กระสุนถูกอวัยวะสำคัญทำให้นายดำถึงแก่ความตายทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น  ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว  จึงถือว่านายแดงมีการกระทำทางอาญา  แต่การที่นายแดงยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์แต่ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายดำนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทำไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิงนั้นเป็นคน  ดังนั้น  จะถือว่านายแดงได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำคือการที่นายดำถึงแก่ความตายไม่ได้  กล่าวคือ  จะถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาต่อนายดำไม่ได้นั่นเอง  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี  เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา  59  วรรคสามของนายแดงได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทำของนายแดงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และนายแดงอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  กล่าวคือ  ถ้านายแดงใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายดำไม่ใช่สัตว์  เพราะนายดำมักจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจำ  ดังนั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา  62  วรรคสองประกอบมาตรา  59  วรรคสี่

สรุป  นายแดงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาทตามมาตรา  62  วรรคสองประกอบมาตรา  59  วรรคสี่

 

ข้อ  4  เรยาเกลียดณฤดีที่ได้รับความรักจากคุณใหญ่เพียงคนเดียว  เรยาจึงคิดฆ่าณฤดี  แต่กลับเห็นเด่นจันทร์เป็นณฤดี  เมื่อใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ถึงแก่ความตายไปแล้ว  กระสุนที่ใช้ยิงเด่นจันทร์นั้น  ยังเลยไปถูกสินธรที่เดินอยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส  นอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรที่เด่นจันทร์ซื้อให้ราคา  20  ล้านบาท  ได้รับความเสียหายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของเรยา  

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ความรับผิดทางอาญาของเรยา  แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเรยาต่อเด่นจันทร์

การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์โดยเข้าใจว่าเป็นณฤดีนั้น  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำ  คือ  ความตายของผู้ที่ตนยิง  ดังนั้น  การกระทำของเรยาจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และกรณีดังกล่าวนี้เรยาจะยกเอาความสำคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทำต่อเด่นจันทร์ไม่ได้ตามมาตรา  61  ดังนั้น  เรยาจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของเรยาต่อสินธร

การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์  และกระสุนยังได้เลยไปถูกสินธรบาดเจ็บด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่เรยาเจตนาจะกระทำความผิดต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเรยากระทำโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย  ดังนั้น  เมื่อเรยามีเจตนาฆ่ามาตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังสินธรก็คือ  เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  เมื่อปรากฏว่าสินธรเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น  ไม่ถึงแก่ความตาย  เรยาจึงต้องรับผิดต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา  60  ประกอบมาตรา  80

ส่วนกรณีที่กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรได้รับความเสียหายด้วยนั้น  ถือเป็นกรณีที่เรยากระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  แต่เนื่องจากการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  เรยาจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์องสินธร  ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา  59  วรรคแรกที่ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทำโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

สรุป  เรยาต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทำต่อเด่นจันทร์โดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรกประกอบมาตรา  61  และรับผิดทางอาญาต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา  60  ระกอบมาตรา  80  แต่เรยาไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร    

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด  มีหลักกฎหมายและข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง  จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

อธิบาย

ตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ  ซึ่งการกระทำ  หมายถึง  การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  กล่าวคือ  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง  และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกด้วย  ดังจะเห็นได้จากมาตรา  59  วรรคห้า  ซึ่งบัญญัติว่า  การกระทำให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

และโดยหลักทั่วไป  การกระทำซึ่งจะทำให้บุคคลผู้กระทำต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา  คือ  เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง

การกระทำโดยเจตนา  แบ่งออกเป็น  2  กรณี  คือ

1       การกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการคือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  หมายถึง  การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือการไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง  และ

(2) ในขณะกระทำ  ผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  ในขณะกระทำ  นอกจากจะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกแล้ว ผู้กระทำยังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นๆตามที่ผู้กระทำมุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง  แดงต้องการฆ่าดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดำถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  และความตายของดำถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

 2       การกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล  ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  คือ

(1) เป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และ

(2) ในขณะกระทำผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  หมายถึง  เป็นการกระทำที่ผู้กระทำมิได้ประสงค์ต่อผล  กล่าวคือ  มิได้มุ่งหมายให้เกิดผลขึ้น  แต่ผู้กระทำย่อมเล็งเห็นผลว่าผลนั้นจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง  แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า  จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดำและถูกดำตาย  ดังนี้  การที่แดงใช้ปืนยิงดำ  แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดำตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น  แต่การกระทำของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า  ถ้ากระสุนถูกดำย่อมทำให้ดำตายได้  จึงถือว่าแดงมีเจตนาฆ่าดำโดยย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มีข้อยกเว้นว่า  บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา  แม้จะมิได้กระทำโดยเจตนาก็ได้  ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง  ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยประมาท  เช่น  กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย  เป็นต้น  หรือ

(2) เป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้ง  ให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  (ความผิดเด็ดขาด)  เช่น  การกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากร  เป็นต้น  หรือ

(3) เป็นการกระทำความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้  แม้กระทำโดยไม่มีเจตนา  ก็เป็นความผิด  เว้นแต่  ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น  (มาตรา  104)

 

ข้อ  2  อย่างไรเป็นพยายามกระทำความผิด  มีโทษอย่างไรบ้าง  (อธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

อธิบาย

ตามมาตรา  80  กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทำความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  3  ประการ  คือ

(1) ผู้กระทำจะต้องมีเจตนากระทำความผิด

(2) ผู้กระทำจะต้องลงมือกระทำความผิดแล้ว  กล่าวคือ  ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว  จนถึงขั้นลงมือกระทำการเพื่อให้บรรลุผลตามเจตนา

(3) ผู้กระทำกระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ  (3)  นี้  จะเห็นได้ว่า  การพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80  อาจแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1       พยายามกระทำความผิดที่กระทำไปไม่ตลอด  ซึ่งมีองค์ประกอบ  ดังนี้

(1) ผู้กระทำจะต้องได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  หมายถึง  ได้กระทำที่พ้นจากขั้นตระเตรียมไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทำ

(2) กระทำไปไม่ตลอด  หมายความว่า  เมื่อผู้กระทำได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทำไปได้ตลอด

ตัวอย่าง  ก  ตั้งใจยิง  ข  จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่  ข  พร้อมกับขึ้นนกในขณะที่กำลังจะลั่นไก  ค  ได้มาจับมือ  ก  เสียก่อน  ทำให้  ก  กระทำไปไม่ตลอด  คือไม่สามารถยิง  ข  ได้

2       พยายามกระทำความผิดที่กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ซึ่งมีองค์ประกอบ  ดังนี้

(1) ผู้กระทำได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว

(2) การกระทำนั้นได้กระทำไปโดยตลอดแล้ว  แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  เหตุที่ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง  ก  เจตนาฆ่า  ข  และได้ยิงปืนไปที่  ข  แต่ลูกปืนไม่ถูก  ข  หรือถูก  ข  แต่  ข  ไม่ตาย  ดังนี้ถือว่า  ก  ได้ลงมือกระทำความผิด และได้กระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  คือ  ข  ไม่ตายตามที่  ก  ประสงค์

โทษของการพยายามกระทำความผิด

โดยปกติ  การพยายามกระทำความผิดนั้น  ผู้กระทำจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น  (มาตรา  80  วรรคสอง)  เว้นแต่  การพยายามกระทำความผิดบางกรณี  ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้น  ได้แก่

1       การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำต้องรับโทษเท่าความผิดสำเร็จ  เช่น  การพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  107  มาตรา  108  เป็นต้น

2       การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  เช่น  การพยายามกระทำความผิดที่ผู้กระทำยับยั้งเสียงเองไม่กระทำการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลตามมาตรา  82  หรือ  การพยายามกระทำความผิดลหุโทษตามมาตรา 105  เป็นต้น

3       การพยายามกระทำความผิดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา  81  ที่ผู้กระทำต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

 

ข้อ  3  อาคมคนไทยทำร้ายร่างกายหลี่หมิงคนสิงคโปร์ที่สิงคโปร์  แล้วอาคมได้หนีเข้ามาในประเทศไทย  หลี่หมิงได้โทรศัพท์ไปหาเจียงชาวจีนอยู่ที่ฮ่องกง  จ้างเจียงให้ฆ่าอาคมในประเทศไทย

เจียงเดินทางเข้ามาในประเทศไทยพบอาคมที่จังหวัดสระแก้ว  ขณะที่อาคมเตรียมตัวเข้าไปในประเทศกัมพูชา  เจียงเข้าไปตีสนิทกับอาคม  โดยอาคมไม่ทราบว่าเจียงจะมาฆ่าคน  เจียงซื้อเครื่องดื่มและใส่ยาพิษลงไปในเครื่องดื่มให้แก่อาคม  อาคมได้รับเครื่องดื่มจากเจียงแล้วได้นั่งรถยนต์ไปกับสมชาย  ขณะรถยนต์แล่นเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา  สมชายกระหายน้ำ  อาคมได้ส่งเครื่องดื่มที่รับมาจากเจียงให้สมชายดื่ม  สมชายดื่มแล้วถึงแก่ความตาย

ดังนี้  อาคม  หลี่หมิง  และเจียงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ 

มาตรา  4  วรรคแรก  ผู้ใดกระทำความผิดในราชอาณาจักร  ต้องรับโทษตามกฎหมาย

มาตรา  5  วรรคแรก  ความผิดใดที่การกระทำแม้แต่ส่วนหนึ่งส่วนใดได้กระทำในราชอาณาจักรก็ดี  ให้ถือว่าความผิดนั้นได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  6  ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักร  หรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน  ของผู้สนับสนุนหรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้น  จะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  ก็ให้ถือว่าตัวการ  ผู้สนับสนุน  หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(5) ความผิดต่อร่างกาย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  295  ถึงมาตรา  298

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น 

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้างวานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  อาคม  หลี่หมิง  และเจียง  จะต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรอย่างไร  หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของอาคม 

การที่อาคมเป็นคนไทยได้ทำร้ายร่างกายหลี่หมิงคนสิงคโปร์ที่ประเทศสิงคโปร์นั้น  แม้จะเป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  แต่อาคมจะต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักร  เพราะเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  8(ก)(5)  คือ  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และเป็นความผิดต่อร่างกาย

กรณีของหลี่หมิง

การที่หลี่หมิงได้จ้างเจียงให้ฆ่าอาคมในประเทศไทย  หลี่หมิงต้องรับผิดต่ออาคมฐานเป็นผู้ใช้  ตาม  ป.อาญา  มาตรา  84  และการกระทำของหลี่หมิงแม้จะได้กระทำนอกราชอาณาจักรแต่ตามมาตรา  6  ให้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  ดังนั้น  หลี่หมิงจึงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

กรณีของเจียง

การที่เจียงได้ซื้อเครื่องดื่มและใส่ยาพิษลงไปในเครื่องดื่มให้แก่อาคมนั้น  ถือว่าเจียงได้ลงมือกระทำความผิดต่ออาคมแล้ว  และเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  เพียงแต่ได้กระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  จึงต้องรับผิดฐานพยายามตามมาตรา  80  และการกระทำความผิดของเจียงต่ออาคมนั้นเป็นความผิดที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา  4  วรรคแรก  ดังนั้นเจียงจึงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

ส่วนการกระทำที่เจียงกระทำต่อสมชายนั้น  เมื่อเจียงมีเจตนากระทำต่ออาคม  แต่ผลของการกระทำไปเกิดขึ้นแก่สมชายตามมาตรา  60 ให้ถือว่าเจียงมีเจตนากระทำต่อสมชายด้วย  ซึ่งเป็นการกระทำโดยพลาด  และแม้ว่าสมชายจะดื่มเครื่องดื่มและถึงแก่ความตายนอกราชอาณาจักร  แต่เมื่อการกระทำความผิดของเจียงส่วนหนึ่งได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรตามมาตรา  5  วรรคแรก  ให้ถือว่าเจียงได้กระทำความผิดในราชอาณาจักร  ดังนั้นในกรณีนี้เจียงต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรด้วย

สรุป  อาคม  หลี่หมิง  และเจียง  ต้องรับผิดทางอาญาและรับโทษในราชอาณาจักรตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  4  ร.ต.ต.หาญ  กับ  จ.ส.ต.กล้า  ออกตรวจท้องที่บริเวณที่บ้านราษฎรถูกน้ำท่วมในเวลากลางคืน  พบจ้อยยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งมีท่าทางพิรุธ  ทั้งสองเดินไปหาจ้อย  จ้อยเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงร้องบอกเก่งและยอดพวกของตนที่เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านหลังนั้น  เก่งและยอดได้ออกมาจากบ้านและมาหาจ้อยที่หน้าบ้าน  ร.ต.ต.หาญ  และ  จ.ส.ต.กล้าจึงแสดงตนและขอจับกุมทั้งสามคน  จ้อย  เก่ง  และยอดได้ใช้ไม้และมีดตีและแทงเจ้าหน้าที่ทั้งสองล้มลง  เก่งเงื้อมีดขึ้นแทงซ้ำ  ร.ต.ต.หาญชักปืนออกยิงเก่งหนึ่งนัดถูกเก่งล้มลง  จ้อยและยอดวิ่งหนี  จ.ส.ส.กล้าลุกขึ้นได้ใช้ปืนยิงไปที่จ้อยและยอดหนึ่งนัด  กรุสุนปืนถูกจ้อยได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  จ้อย  ร.ต.ต.หาญ และ  จ.ส.ต.กล้า ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่  และศาลจะพิพากษาริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญ  และ  จ.ส.ต.กล้า  ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  33  ในการริบทรัพย์สิน  นอกจากศาลจะมีอำนาจริบตามกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว  ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ริบทรัพย์สินดังต่อไปนี้อีกด้วย  คือ

(1) ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้  หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  จ้อย  ร.ต.ต.หาญ  และจ.ส.ต.กล้า  จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของจ้อย

การที่เก่งและยอดพวกของจ้อยเข้าไปลักทรัพย์ในบ้าน  โดยมีจ้อยยืนอยู่หน้าบ้านหลังนั้น  เพื่อรับหน้าที่คอยแจ้งสัญญาณให้พวกของตนทราบ  การกระทำของจ้อยนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การลักทรัพย์บรรลุผลสำเร็จ  จึงถือว่าจ้อยเป็นตัวการในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์  ตามมาตรา  83  และเมื่อจ้อย  เก่ง  และยอดได้ใช้ไม้และมีดตีและแทง  ร.ต.ตหาญ  และ  จ.ส.ต.กล้า  เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งสองแสดงตนและขอจับกุมจึงถือว่าจ้อยเป็นตัวการในการร่วมกันกระทำความผิดฐานต่อสู่ขัดขวางเจ้าพนักงานด้วยตามมาตรา  83

กรณีของ  ร.ต.ต.หาญ

หารที่  ร.ต.ต.หาญนั้น  ได้ชักปืนออกมายิงเก่งหนึ่งนัด  ถือว่า  ร.ต.ต.หาญได้กระทำต่อเก่งโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของร.ต.ต.หาญนั้น เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้น  ร.ต.ต.หาญจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา

และเมื่อการกระทำของ  ร.ต.ต.หาญไม่มีความผิด  อาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญที่ใช้ยิงนั้นจึงมิใช่เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด  ดังนั้นศาลจะพิพากษาให้ริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญตามมาตรา  33(1)  ไม่ได้

กรณีของ  จ.ส.ต.กล้า

การที่จ.ส.ต.กล้า  ได้ใช้ปืนยิงไปที่จ้อยและยอดหนึ่งนัด  ในขณะที่จ้อยและยอดได้วิ่งหนีไปแล้ว  ถือว่า  จ.ส.ต.กล้าได้กระทำต่อจ้อยและยอดยิ่งโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำ  และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59 วรรคสอง  จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และการกระทำของ  จ.ส.ต.กล้าจะอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้  เพราะภยันตรายดังกล่าวนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม  การกระทำของ  จ.ส.ต.กล้าถือว่าเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะตามมาตรา  72  เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และได้กระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ดังนั้น  ศาลจะลงโทษ  จ.ส.ต.กล้ากล้าน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้  ส่วนอาวุธปืนของ  จ.ส.ต.กล้านั้น  ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิด  ศาลย่อมพิพากษาให้ริบปืนตามมาตรา  33(1) ได้

สรุป  จ้อยต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ร.ต.ต.หาญไม่ต้องรับผิดทางอาญา  เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและศาลจะพิพากษาริบอาวุธปืนของ  ร.ต.ต.หาญไม่ได้

จ.ส.ต.กล้าต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยเจตนาแต่อ้างเหตุบันดาลโทสะได้  และศาลจะพิพากษาให้ริบอาวุธปืนของ  จ.ส.ต.กล้าได้

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  โมหะกลับบ้านตอนดึก  ได้ทราบจากโมรีภริยาว่า  มอคค่าสุนัขที่เลี้ยงไว้กัด  ด.ญ.โมจิ  ลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  โมหะโกรธมากจึงตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับมอคค่าอีกต่อไป  จึงยืนดักรอให้มอคค่ากลับบ้าน

หลังจากที่มอคค่าหนีออกจากบ้านไปหลังกัดโมจิ  สักครู่ใหญ่โมหะเห็นน้องหมาตัวหนึ่งวิ่งเข้าบ้านมาคุ้ยขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย  โมหะเข้าใจว่าเป็นมอคค่า  จึงจะทุบให้ตาย  เมื่อน้องหมาก้มลงกินด้วยความอร่อย  โมหะใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมาตายคากองอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ความจริงแล้วน้องหมาที่ตายนั้นคือ  ช็อกโกแลตลาวา  น้องหมาของโทโสเพื่อนบ้านที่มีรูปร่างคล้ายกัน  โมหะทุบน้องหมาตัวนั้นด้วยความรีบร้อน  ไม่ทันดูให้ดี  จึงทำให้ช็อกโกแลตลาวาตาย 

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโมหะ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

การกระทำโดยเจตนา  ได้แก่การกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น  แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้  คือจะถือว่าผู้กระทำได้กระทำโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่โมหะได้ใช้ไม้กอล์ฟทุบน้องหมา  คือ  ช็อกโกแลตลาวาตายนั้น  เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก  จึงถือว่าเป็นการกระทำทางอาญาแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวของโมหะจะถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาหาได้ไม่  เพราะโมหะได้กระทำโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  ตามมาตรา  59  วรรคสาม  คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟทุบจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตนเอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์  (องค์ประกอบของความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  ตาม  ป.อาญา  มาตรา  358  คือ  1  ทำให้เสียหาย  ทำลาย  ทำให้เสื่อมค่า  หรือทำให้ไร้ประโยชน์  2  ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  3  โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น  ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของโมหะ  เนื่องจากโมหะได้ทุบช็อกโกแลตลาวาซึ่งเป็นสุนัขของโทโสตายนั้น  ได้กระทำด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่มอคค่าสุนัขของตน  แต่โมหะก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททำให้เสียทรัพย์  ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทำโดยประมาททำให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  ประกอบกับมาตรา  62  วรรคสอง  ดังนั้นโมหะจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป  โมหะไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  เมื่อนายแดงเห็นนายขาวเดินมา  คิดว่าเป็นนายดำ  นายแดงจึงใช้ปืนยิงนายขาว  นายขาวมองเห็นก่อนจึงหลบกระสุนได้ทัน  กระสุนจึงไม่ถูกที่สำคัญ  ทำให้นายขาวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  ในการนั้นนายเขียวที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปได้รับกระสุนไปด้วย  แต่กระสุนถูกที่สำคัญทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายในทันที

จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดงต่อนายขาว  และต่อนายเขียว

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงใช้ปืนยิงนายขาวนั้น  ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาเพราะนายแดงได้กระทำโดยรู้สำนึก  และในขณะเดียวกันนายแดงได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  และนายแดงได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา  59  วรรคสาม

และแม้ว่าข้อเท็จจริงนายแดงมีเจตนาฆ่านายดำ  แต่ได้ลงมือกระทำต่อนายขาวเพราะเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวไม่ได้  ดังนั้นจึงต้องถือว่านายแดงมีเจตนาฆ่านายขาวด้วยตามมาตรา  61  และเมื่อนายขาวไม่ถึงแก่ความตายเพราะกระสุนไม่ถูกที่สำคัญ  จึงถือว่านายแดงได้ลงมือกระทำและกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80  วรรคแรก

ความรับผิดของนายแดงต่อนายเขียว

การที่นายแดงได้ใช้ปืนยิงนายขาว  แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายเขียวที่ยืนอยู่ไกลออกไป  ทำให้นายเขียวถึงแก่ความตายนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทำโดยเจตนาต่อนายขาว  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่นายเขียวโดยพลาดไป  เช่นนี้ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายเขียวบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำด้วย  ตามมาตรา  60  ดังนั้นเมื่อนายเขียวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  60

สรุป  นายแดงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  มาตรา  61  ประกอบมาตรา  80  และต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเขียวตายโดยเจตนาโดยพลาด  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  60

 

ข้อ  3  หนึ่งและสองเป็นบุตรของสาม  สามถูกฆ่าตาย  หนึ่งสืบทราบมาว่าสี่เป็นคนฆ่าสาม  หนึ่งและสองปรึกษาวางแผนฆ่าสี่เพื่อแก้แค้น  หนึ่งจึงไปขอยืมอาวุธปืนจากห้า  ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะนำอาวุธปืนไปยิงสี่

ด้วยความเห็นใจหนึ่งที่ต้องสูญเสียบิดาจึงให้ยืม  หนึ่งได้อาวุธปืนจากห้า  แล้วได้กลับไปหาสอง  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่

เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  พอสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  หนึ่งยกปืนเล็งไปที่สี่  ก่อนหนึ่งลั่นไก  สองได้ร้องตะโกนบอกหนึ่งว่าอย่ายิง  และวิ่งมาปัดปืน  แต่หนึ่งยังยืนยันฆ่าสี่  และได้ลั่นไกปืน  กระสุนปืนถูกสี่ตาย

ดังนี้  สองและห้าต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของสอง

การที่หนึ่งและสองได้ร่วมกันปรึกษาวางแผนฆ่าสี่  และทั้งสองได้เดินทางไปดักยิงสี่  เมื่อไปถึงจุดที่สี่ต้องผ่านมา  หนึ่งให้สองไปคอยดูต้นทางและให้สัญญาณ  และเมื่อสี่เดินมาสองได้ให้สัญญาณแก่หนึ่ง  การกระทำของสองนับว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าสี่บรรลุผลสำเร็จ  ดังนั้นเมื่อหนึ่งได้ใช้ปืนยิงสี่กระสุนปืนถูกสี่ตาย  จึงถือว่าสองร่วมกันกระทำความผิดกับหนึ่งฐานฆ่าสี่ตายโดยเจตนา  สองจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83 

ความรับผิดของห้า

การที่ห้าทราบดีว่าหนึ่งจะไปฆ่าสี่  จึงได้ให้หนึ่งยืมอาวุธปืนเพื่อไปฆ่าสี่  การกระทำของห้าถือเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด  เมื่อหนึ่งฆ่าสี่ตาย  ห้าจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

สรุป  สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ห้าต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86

 

ข้อ  4  หาญพบโหนคู่อริ  หาญชักมีดออกแทงโหนในระยะกระชั้นชิด  โหนเห็นจวนตัวไม่อาจหลีกหนี  จึงชักปืนออกยิงไปที่หาญ  กระสุนปืนถูกหาญบาดเจ็บแล้วเลยไปถูกห้อยตาย  แห้วบุตรของห้อยเห็นห้อยบิดาถูกยิงล้มลง  และโหนถือปืนวิ่งหนีไป  แห้ววิ่งไล่ตามพอทันแห้วใช้มีดแทงไปที่โหนได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  โหนและแห้วต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  62  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

กรณีของโหน

การที่โหนได้ชักปืนออกยิงไปที่หาญ  ถือว่าโหนได้กระทำต่อหาญโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่เมื่อการกระทำของโหนนั้น  เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ดังนั้นโหนจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญาฐานพยายามฆ่าหาญ

และเมื่อการกระทำของโหน  เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้กระสุนปืนจะเลยไปถูกห้อยตาย  ซึ่งถือเป็นกรณีที่โหนกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  และกฎหมายให้ถือว่าโหนเจตนากระทำต่อห้อยโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ก็ตาม  แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดโดยพลาดไปก็ถือว่าเป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ด้วย  ดังนั้นโหนจึงไม่ต้องรับผิดต่อห้อย

กรณีของแห้ว

การที่แห้วใช้มีดแทงไปที่โหนจนโหนได้รับบาดเจ็บ  ถือว่าแห้วได้กระทำโดยเจตนา  เพราะเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา  59  วรรคสอง  แห้วจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72  ไม่ได้  เพราะการกระทำของโหนเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  จึงไม่ถือว่าโหนได้ข่มเหงแห้วด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  แห้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อโหนฐานพยายามฆ่าโหนตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  80

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่แห้วได้ใช้มีดแทงไปที่โหนนั้น  เป็นเพราะเข้าใจผิดว่าโหนมีเจตนาฆ่าบิดาของตน  แม้ตามข้อเท็จจริงจะไม่มีอยู่จริง  แต่แห้วสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ดังนี้แห้วย่อมสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบกับมาตรา  72  และมาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  โหนไม่ต้องรับผิดทางอาญา

แห้วต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าโหน  แต่แห้วสามารถอ้างความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!