LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก ซ่อม 1/2563

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1106 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. พระอัยการลักษณะตัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง มีบทบัญญัติในลักษณะทํานองใด

ธงคําตอบ

ตามพระอัยการลักษณะตัวเมีย ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน สังคมไทยจึง เป็นสังคมแบบ Polygamy แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายก็ไม่อนุญาตให้หญิงมีสามีได้หลายคนในเวลาเดียวกัน หากหญิงมีสามีอยู่ก่อนแล้วจะสมรสกับชายอื่นอีกไม่ได้ จนกว่าสามีจะตายและเผาศพสามีเรียบร้อยแล้ว หรือ
หย่าขาดจากสามีแล้ว

เมื่อชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ในพระอัยการลักษณะตัวเมียจึงจัดลําดับชั้น
ของภรรยาไว้ดังนี้

1. เมียกลางเมือง หญิงอันบิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย ได้ชื่อว่าเป็นเมียกลางเมือง

2. เมียกลางนอก ชายขอหญิงมาเลี้ยงเป็นอนุภรรยาหลั่นเมียหลวงลงมา

3. เมียกลางทาสี หญิงใดมีทุกข์ยาก ชายช่วยไถ่มาเห็นหมดหน้าเลี้ยงเป็นเมีย ได้ชื่อว่าเมียกลางทาสีหรือเมียทาส

คําว่า เมียกลางเมือง เมียกลางนอก และเมียกลางทาสี เป็นคําในกฎหมาย โดยคนทั่วไปมักเรียก เมียกลางเมืองว่า เมียหลวง เมียกลางนอกว่า เมียน้อย และเมียกลางทาสีว่า ทาสภรรยา ซึ่งการที่กฎหมายกําหนด ลําดับชั้นของภรรยาไว้ เพื่อเหตุดังนี้

1. เพื่อกําหนดส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของภรรยาเมื่อผู้เป็นสามีถึงแก่ความตาย

2. เพื่อกําหนดเบี้ยปรับชายชู้

3. เพื่อกําหนดความรับผิดชอบของสามีทางหนี้สิน

ในพระอัยการลักษณะมรดกยังมีภรรยาอีก 2 ชั้น ได้แก่

1. ภรรยาอันทรงพระกรุณาพระราชทานให้

2. ภรรยาอันทูลขอพระราชทานให้

สําหรับภรรยาอันทรงพระราชทานให้นั้นจะเป็นใหญ่กว่าภรรยาทั้งปวง ส่วนภรรยาอันทูลขอ
พระราชทานให้นั้นมีศักดิ์เท่ากับภรรยาน้อย

อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายทุกคนจะต้องมีภรรยาหลายคน บางคนอาจจะมีภรรยาเพียงคนเดียวก็ได้

เงื่อนไขการสมรส

เงื่อนไขการสมรส หมายความถึง คุณสมบัติที่ผู้จะสมรสต้องมีหรือต้องไม่มี เพื่อให้การสมรสมีผล สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ในพระอัยการลักษณะตัวเมียจะไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรส ทํานองเดียวกันกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาแล้ว บทบัญญัติดังต่อไปนี้น่าจะถือ ว่าเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามพระอัยการลักษณะตัวเมียได้

1. หญิงต้องไม่ใช่ภรรยาของชายอื่นอยู่ก่อนแล้ว จริงอยู่กฎหมายยินยอมให้ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้อนุญาตให้ผู้หญิงมีสามีได้หลายคนในเวลาเดียวกัน หากหญิงมีสามีอยู่ก่อนแล้ว และไปได้เสียกับชายอื่น กฎหมายถือว่าชายนั้นเป็นเพียงชายชู้เท่านั้น จะต้องเอาหญิงนั้นส่งคืนสามีของเขา

2. ชายต้องไม่เป็นพระภิกษุ กฎหมายห้ามไว้โดยชัดแจ้งไม่ให้พระภิกษุสามเณรมีภรรยา ถ้าพระภิกษุสามเณรผิดเมียผู้อื่นถึงชําเรา ได้ชื่อว่าปาราชิกให้สึกออก และให้ปรับไหมด้วย

3. ชายหญิงต้องไม่เป็นญาติกัน ทั้งนี้เชื่อกันว่าหากชายหญิงที่เป็นญาติกันสมรสกัน จะทําให้เกิดสิ่งอัปมงคลแก่บ้านเมือง

4. หญิงหม้ายที่สามีตายจะสมรสใหม่ได้จะต้องเผาศพสามีเดิมให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้ กฎหมายบัญญัติไว้ในลักษณะที่ทําให้เห็นว่า หากหญิงยังไม่เผาศพสามีที่ตายไปแล้ว การสมรสยังไม่ขาดจากกัน หากหญิงชักนําเอาชายอื่นมาหลับนอนด้วย ชายนั้นมีฐานะเป็นชายชู้ กฎหมายให้ปรับไหมชายนั้นฐานทําด้วยภรรยาของผู้อื่น

5. กําหนดอายุ พระอัยการลักษณะตัวเมียไม่ได้กําหนดอายุขั้นต่ําของชายหญิงที่จะทําการสมรสได้ไว้ แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่าฝ่ายชายต้องได้บวชเรียนเรียบร้อยแล้ว และฝ่ายหญิงก็คงจะต้องเติบโตพอจนออก เรือนได้แล้ว จึงจะทําการสมรสกัน

การสมรส

การสมรสตามพระอัยการลักษณะผัวเมียนั้น จะไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันดังเช่นในปัจจุบัน แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าชายหญิงได้เสียกันแล้วจะเป็นสามีภริยากันเสมอไปก็หาไม่ การที่ชายหญิงจะมีสามีภรรยา โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1. ชายหญิงทั้งสองฝ่ายได้กินอยู่หลับนอนด้วยกันโดยมีเจตนาเป็นสามีภรรยากัน

2. บิดามารดาหรือผู้เป็นอิสระแก่หญิง (ผู้มีอํานาจปกครอง) ยินยอมยกหญิงให้เป็นภรรยาชาย
โดยหญิงนั้นยินยอมด้วย

 

ข้อ 2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 6 บัญญัติว่า “องค์พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้…” แสดงให้เห็นถึงการแสดงหลักการที่สําคัญทาง ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานว่าด้วยหลักการ “The King Can Do No Wrong” หรือหลักการที่ องค์พระมหากษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ฉะนั้น ในฐานะที่ท่านได้ศึกษา วิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย ขอให้ท่านอธิบายหลักการดังกล่าวว่ามีภูมิหลังของหลักการอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

หลักการว่าด้วยกษัตริย์ทรงอยู่เหนือกฎหมาย (The King Can Do No Wrong) ดังที่ปรากฏใน รัฐธรรมนูญนั้น มีวิวัฒนาการและภูมิหลังมาจากแนวคิดแบบ “เทวสิทธิ์” หรือ “เทวราชา” (Divine Right of King) ซึ่งเป็นหลักความเชื่อทางการเมืองและทางศาสนาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แนวคิดตามทฤษฎีเทวสิทธิ์ เชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างรัฐหรือเป็นผู้ก่อให้เกิดชาติขึ้นมา ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงมีความชอบธรรมที่จะปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ เพราะได้รับมอบอํานาจมาจากพระเจ้า
โดยตรง

ส่วนแนวคิดตามทฤษฎีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เชื่อว่า อํานาจเด็ดขาดในองค์กรเดียวจะก่อให้เกิดความมั่นคงและสันติภาพ ซึ่งนักทฤษฎีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สําคัญ คือ โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) สนับสนุนให้ผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาด เป็นแนวอธิบายใหม่ของศักดินานิยมที่ยังคงสนับสนุนให้อํานาจเด็ดขาด อยู่กับพระมหากษัตริย์ แต่เปลี่ยนข้ออ้างจากพระเจ้ามาเป็นความมั่นคงและสันติภาพของชุมชน ซึ่งทฤษฎี สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น นอกจากจะให้ความชอบธรรมแก่ระบบกษัตริย์แล้ว ยังเน้นการรวมศูนย์ยิ่งกว่าทฤษฎี เทวสิทธิ์ ซึ่งโทมัส ฮอบส์ ยังได้กล่าวว่า สภาพธรรมชาติที่ปราศจากอํานาจศูนย์กลางที่ทําให้ทุกคนเกรงกลัว เป็น สภาพสงครามที่ทุกคนต้องต่อสู้กันเอง คนทุกคนเป็นศัตรูกัน ไม่มีความมั่นคง มนุษย์จึงแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย ทําสัญญาตั้งองค์อธิปัตย์ที่มีอํานาจเด็ดขาดบังคับให้มีการปฏิบัติตามสัญญา องค์อธิปัตย์จึงทําหน้าที่ตรวจตรา ดูแลและลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสังคม โดยองค์อธิปัตย์จะอยู่เหนือสัญญา ประชาชนไม่มีสิทธิเรียกร้องใดต่อองค์อธิปัตย์ อํานาจขององค์อธิปัตย์จึงเด็ดขาดสูงสุด

แนวคิดและหลักความเชื่อดังกล่าวที่ว่าพระเจ้าทรงมอบอํานาจทางโลกให้แก่พระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับที่ทรงมอบอํานาจทางธรรมให้แก่สถาบันศาสนาโดยมีประมุขเป็นพระสันตะปาปา และเมื่อมีการ ขยายตัวของรัฐอิสระต่าง ๆ และการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์มีอิทธิพลมากขึ้น ทฤษฎี “เทวสิทธิ์” ก็ กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนในการให้เหตุผลในเอกสิทธิ์ในการปกครองของพระมหากษัตริย์ทั้งในด้านการเมืองและทางด้านศาสนา

และความเชื่อดังกล่าวนี้ได้แพร่หลายในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ของราชวงศ์ทิวดอร์และต้นราชวงศ์สจ๊วตในบริเตน และคริสต์ศาสนาปรัชญาของกลุ่มนักปรัชญาคาโรไลน์ ผู้มีอิทธิพลและมีตําแหน่งหน้าที่สูงในรัชสมัยของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 พระเจ้าชาร์ลที่ 1 และสมเด็จพระเจ้าชาร์ลที่ 2 แห่งอังกฤษ

ในยุคสมัยของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อํานาจในการบริหารราชการ ทุกประเภทรวมศูนย์อยู่ที่สถาบันกษัตริย์ผู้ดํารงฐานะเป็นประมุขของรัฐ จึงทําให้เข้าใจว่ากษัตริย์เป็นแหล่งกําเนิด อํานาจอธิปไตย อํานาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์ กษัตริย์เป็นผู้ตรากฎหมายและบังคับใช้กฎหมายโดยพระองค์เอง อํานาจต่าง ๆ ในทางการปกครองรวมทั้งการชําระคดีความล้วนมีที่มาหรือได้รับมอบหมายมาจากกษัตริย์ทั้งสิ้น ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงไม่อาจมีความรับผิดใด ๆ ได้ เพราะกษัตริย์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและผู้ใช้อํานาจอธิปไตย เสียเอง จะถูกบังคับให้อยู่ภายใต้อํานาจของตนเองได้อย่างไร จึงมีหลักความคุ้มครองไม่ให้ฟ้องร้องดําเนินคดีใด ๆ ต่อกษัตริย์ที่เรียกว่า “The King Can Do No Wrong” เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย Common Law ของอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับในหลาย ๆ ประเทศในทวีปยุโรป

ภายหลังจากที่หลายประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย แต่ละประเทศอาจจะเลือกการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์เป็น ประมุขของรัฐที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีเป็น ประมุขโดยตรง ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ประวัติศาสตร์ความผูกพันและทัศนคติหรือมุมมองที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

สําหรับประเทศไทย ได้เลือกระบอบประชาธิปไตยที่คงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ได้บัญญัติรับรองหลักการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้ว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจ อธิปไตย จึงเท่ากับว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจอธิปไตยแทนประชาชน แต่เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ บริหารราชการแผ่นดิน เพียงแต่พระองค์ทรงทําตามคําแนะนําของรัฐบาลจึงไม่ต้องมีความรับผิดชอบใด ๆ อัน เกิดจากการกระทําของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงต้องนําหลัก “The King Can Do No Wrong มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ซึ่งหลักการนี้ได้รับการยอมรับ ในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก เบลเยี่ยม และนอร์เวย์

 

ข้อ 3. ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนเกิดขึ้นเมื่อใด เพราะเหตุใด และประกอบไปด้วยเรื่อง
ใดบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

เนื่องจากกฎหมายสิบสองโต๊ะได้มีการพัฒนาโดยพวกเพรเตอร์และนักกฎหมายหลายสํานัก ต่างคนก็ต่างความเห็น และมีจักรพรรดิหลายพระองค์ทรงกําหนดให้อ้างอิงความเห็นของนักกฎหมาย 5 คน จึงจะเป็นความเห็นที่เชื่อถือได้ ถ้าความเห็นของนักกฎหมายเป็นไปในทางเดียวกันทั้ง 5 คน ศาลหรือผู้พิพากษา จะต้องตัดสินความตามนั้น แต่ถ้าความเห็นของนักกฎหมายไม่ตรงกัน ผู้พิพากษาจะพิจารณาตามความเห็น ของใครก็ได้ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นการแก้ไขปัญหาชั่วคราว ถ้าเห็นพ้องต้องกันก็จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าความเห็นของ นักกฎหมายไม่ตรงกันทั้ง 5 คน การใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษาในการตัดสินย่อมเป็นไปตามความคิดเห็นของใครก็ได้ จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

ความเป็นมาของประมวลกฎหมายจัสติเนียน (The Justinian Code) จากความไม่แน่นอนดังกล่าว ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 528 ภายหลังที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันได้เพียง 1 ปี จัสติเนียนได้แต่งตั้ง กรรมการขึ้นคณะหนึ่งจํานวน 10 คน มีทริโบเนียน (Tribonian) ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงในขณะนั้นเป็น ประธานให้มีหน้าที่รวบรวมและจัดทํากฎหมายขึ้นใหม่ จนในที่สุดสามารถประกาศใช้เป็นกฎหมายได้เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 529

ในปี ค.ศ. 530 จัสติเนียนได้มอบหมายให้ทริโบเนียนจัดทํากฎหมายขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งให้มี ลักษณะกว้างขวางสามารถใช้บังคับได้ทั่วไป ในครั้งนี้ทริโบเนียนได้เลือกบุคคลอื่น ๆ มาร่วมงานด้วย 16 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น และในจํานวนนั้น มี 4 คน ที่เป็นศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ซึ่งกรรมการชุดนี้ใช้เวลา 3 ปี ในการจัดทํากฎหมาย และได้ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 533

ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียน มีชื่อเรียกโดยรวมว่า Corpus Juris Civilis ประกอบด้วย

1. Institutes : คําอธิบายกฎหมายเบื้องต้น

จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วย ทริโบเนียน และ
ศาสตราจารย์ทางกฎหมายอีก 2 คน ให้เรียบเรียงตํารากฎหมายขึ้นมาเล่มหนึ่งไว้เพื่อที่จะแนะนําให้ผู้ศึกษา กฎหมาย และเนื้อหาสาระของกฎหมายชีวิลลอว์ โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของกฎหมายทั้งหมดให้เป็นระบบ เพื่อสะดวกแก่การศึกษา ตํารากฎหมายฉบับนี้เรียบเรียงมาจากตําราของไกอุส (Gaius) โดยให้ตัดทอนสิ่งที่ ล้าสมัยในตําราของไกอุสออก และให้จัดทําเป็นตําราคําอธิบายกฎหมายเบื้องต้นซึ่งจัดพิมพ์ในปี
ค.ศ. 533

2. Digest หรือ Pandest : วรรณกรรมทางกฎหมาย

ในปี ค.ศ. 530 จักรพรรดิจัสติเนียนได้แต่งตั้งทริโบเนียนเป็นหัวหน้าคณะกรรมการชุดหนึ่ง จํานวน 16 คน ซึ่งประกอบด้วยศาสตราจารย์ทางกฎหมายและทนายความ หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ คือ การศึกษาข้อเขียนของเหล่าบรรดานักกฎหมายที่ทรงคุณวุฒิจากหนังสือจํานวน 2,000 เล่ม คณะกรรมการนี้ได้ ตัดทอนเอาเฉพาะสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องที่สุดไว้ และให้ตัดสิ่งที่ซ้ําซ้อนหรือขัดแย้งกันทิ้งเสีย และให้ดัดแปลงข้อความ ต่าง ๆ ให้เข้ากับกฎหมายของยุคจักรพรรดิจัสติเนียน โดยผลงานชิ้นนี้ตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือจํานวน 50 เล่ม จัดเรียงเป็นลักษณะต่าง ๆ และผลงานนี้ทําสําเร็จภายใน 3 ปี ประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อปี ค.ศ. 533

จักรพรรดิจัสติเนียนให้ถือเอา Digest ใช้แทนหนังสือเก่า ๆ ทั้งหมด และห้ามมิให้ค้นคว้าหรืออ้างอิงกฎหมายตามหนังสือเก่าโดยเด็ดขาด

3. Code : ตัวบทกฎหมาย

จักรพรรดิจัสติเนียนได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งจํานวน 10 คน ซึ่งประกอบด้วย นักกฎหมายชั้นนําและศาสตราจารย์ทางกฎหมายจัดการรวบรวมกฤษฎีกาของจักรพรรดิต่าง ๆ โดยให้ตัดทอน สิ่งที่เห็นว่าล้าสมัยและเลิกใช้ไปแล้ว ตลอดจนสิ่งที่เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องก็ให้ตัดทิ้งไป ผลงานนี้เรียกว่า Code หรือ ประมวลพระราชบัญญัติ ทําสําเร็จภายในเวลาเพียง 1 ปี และประกาศใช้เป็นกฎหมายในปี ค.ศ. 529 หลังจาก ประกาศใช้ไปได้เพียง 5 ปี ก็มีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขใหม่เพราะว่าล้าสมัย ประมวลกฎหมายฉบับที่ 2 นี้ มีชื่อเรียกว่า Justinian Code of The Resumed Reading

4. Novels : การแก้ไขเพิ่มเติม ที่มาที่ไปของประมวลกฎหมายนี้

หลังจากที่มีการจัดทําประมวลกฎหมายในข้อ 1, 2 และ 3 แล้ว จักรพรรดิจัสติเนียนยังให้ รวบรวมกฎหมายใหม่ ๆ ที่จักรพรรดิตราขึ้นมา รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย แต่ทําไม่สําเร็จก็เสียชีวิตเสียก่อน ต่อมาก็มีเอกชนผู้อื่นได้จัดการรวบรวมสืบต่อมา เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่จักรพรรดิจัสติเนียน จึงให้นับเนื่องส่วนที่ 4 นี้ เป็นส่วนหนึ่งของผลงานของจักรพรรดิจัสติเนียนด้วย

 

ข้อ 4. จงอธิบายกฎหมายอาญาสมัยบาบิโลน

ธงคําตอบ

กฎหมายอาญาในสมัยบาบิโลน คือ ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบียึดหลักการแก้แค้น ตอบแทนที่รุนแรงมาก หลักการดังกล่าวนี้เป็นหลักการของกฎหมายดั้งเดิมที่เรียกว่า “Lex Tationis” หรือ ที่มีคํากล่าวกันว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (An eye for an eye, and a tooth for a tooth) เห็นได้จากข้อความ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ดังนี้คือ

(1) ถ้าบุคคลใดทําลายดวงตาของอีกผู้หนึ่ง ดวงตาของบุคคลนั้นจะถูกทําลายเช่นกัน

(2) ถ้าชายคนหนึ่งเป็นเหตุให้ขายอีกคนสูญเสียลูกนัยน์ตา ลูกนัยน์ตาของชายคนนั้นต้องถูกควักออกมา

(3) บุคคลใดทําให้บุตรสาวของผู้อื่นถึงแก่ความตาย บุตรสาวของตนก็จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วย

(4) ถ้าบ้านพังตกลงมาทับเจ้าของบ้านตาย ผู้สร้างต้องรับผิดชดใช้ด้วยชีวิต

(5) ช่างก่อสร้างบ้านเรือนที่ทําให้บุตรของเจ้าของบ้านถึงแก่ความตายโดยประมาท บุตรของตนจะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายเช่นกัน

(6) เจ้าหนี้ทําให้บุตรของลูกหนี้ซึ่งมาอยู่กับตนในฐานะเป็นผู้ขัดหนี้ (Mancipium) ถึงแก่ความตาย บุตรของเจ้าหนี้จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วย

เมื่อพิจารณาหลักการลงโทษดังกล่าว จะเห็นว่าเป็นการลงโทษแก่บุตรหรือธิดาของผู้กระทําผิด ซึ่งบุคคลดังกล่าวไม่ได้กระทําความผิด อันเป็นวิธีการลงโทษที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้แค้นหรือตอบแทนผู้ที่กระทําความผิด วิธีการลงโทษดังกล่าวจึงแตกต่างกับกฎหมายอาญาในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในประมวลกฎหมายนี้ไม่มีการลงโทษจําคุกแก่ผู้กระทําผิด เพราะโทษที่ลงแก่ ผู้กระทําผิดร้ายแรงที่ผู้กระทําผิดมีเจตนา เช่น ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ลักทรัพย์ คือ โทษประหารชีวิต แต่ความผิด อื่น ๆ ที่ไม่ร้ายแรง โทษที่ผู้กระทําความผิดได้รับ คือ โทษปรับ เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนาต้องถูกลงโทษ ประหารชีวิต แต่ถ้าจําเลยสาบานว่าฆ่าคนจริงแต่ไม่เจตนา โทษที่จําเลยได้รับ คือ โทษปรับ โดยคํานึงถึงชั้น
วรรณะของผู้ซึ่งถึงแก่ความตายเป็นหลัก

นอกจากนี้ลูกทําร้ายร่างกายพ่อ จะถูกลงโทษให้ตัดมือทิ้งเสีย

วิธีพิสูจน์ความผิดฐานมีชู้ ให้นําภรรยาไปโยนลงในแม่น้ํา ถ้าลอยน้ำถือว่าบริสุทธิ์ ถ้าจมน้ำถือว่ามีความผิด

 

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1106 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. หลักการ “The King Can Do No Wrong” ซึ่งปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 6 แสดงให้เห็นถึงหลักการที่สําคัญว่า “พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือ กฎหมาย แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ในฐานะที่ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ด้านกฎหมาย ขอให้ อธิบายหลักการดังกล่าวมีภูมิหลัง บ่อเกิด และความหมายอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักการว่าด้วยกษัตริย์ทรงอยู่เหนือกฎหมาย (The King Can Do No Wrong) ดังที่ปรากฏใน รัฐธรรมนูญนั้น มีวิวัฒนาการและภูมิหลังมาจากแนวคิดแบบ “เทวสิทธิ์” หรือ “เทวราชา” (Divine Right of King) ซึ่งเป็นหลักความเชื่อทางการเมืองและทางศาสนาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แนวคิดตามทฤษฎีเทวสิทธิ์ เชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างรัฐหรือเป็นผู้ก่อให้เกิดชาติขึ้นมา ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงมีความชอบธรรมที่จะปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ เพราะได้รับมอบอํานาจมาจากพระเจ้า
โดยตรง

ส่วนแนวคิดตามทฤษฎีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เชื่อว่า อํานาจเด็ดขาดในองค์กรเดียวจะก่อให้เกิด ความมั่นคงและสันติภาพ ซึ่งนักทฤษฎีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สําคัญ คือ โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) สนับสนุนให้ผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาด เป็นแนวอธิบายใหม่ของศักดินานิยมที่ยังคงสนับสนุนให้อํานาจเด็ดขาด อยู่กับพระมหากษัตริย์ แต่เปลี่ยนข้ออ้างจากพระเจ้ามาเป็นความมั่นคงและสันติภาพของชุมชน ซึ่งทฤษฎี สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น นอกจากจะให้ความชอบธรรมแก่ระบบกษัตริย์แล้ว ยังเน้นการรวมศูนย์ยิ่งกว่าทฤษฎี เทวสิทธิ์ ซึ่งโทมัส ฮอบส์ ยังได้กล่าวว่า สภาพธรรมชาติที่ปราศจากอํานาจศูนย์กลางที่ทําให้ทุกคนเกรงกลัว เป็น สภาพสงครามที่ทุกคนต้องต่อสู้กันเอง คนทุกคนเป็นศัตรูกัน ไม่มีความมั่นคง มนุษย์จึงแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดย ทําสัญญาตั้งองค์อธิปัตย์ที่มีอํานาจเด็ดขาดบังคับให้มีการปฏิบัติตามสัญญา องค์อธิปัตย์จึงทําหน้าที่ตรวจตรา ดูแลและลงโทษผู้ไม่ปฏิบัติตามสัญญาสังคม โดยองค์อธิปัตย์จะอยู่เหนือสัญญา ประชาชนไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆต่อองค์อธิปัตย์ อํานาจขององค์อธิปัตย์จึงเด็ดขาดสูงสุด

แนวคิดและหลักความเชื่อดังกล่าวที่ว่าพระเจ้าทรงมอบอํานาจทางโลกให้แก่พระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับที่ทรงมอบอํานาจทางธรรมให้แก่สถาบันศาสนาโดยมีประมุขเป็นพระสันตะปาปา และเมื่อมีการ ขยายตัวของรัฐอิสระต่าง ๆ และการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์มีอิทธิพลมากขึ้น ทฤษฎี “เทวสิทธิ์” ก็ กลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสนับสนุนในการให้เหตุผลในเอกสิทธิ์ในการปกครองของพระมหากษัตริย์ทั้งใน
ด้านการเมืองและทางด้านศาสนา

และความเชื่อดังกล่าวนี้ได้แพร่หลายในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับการปกครองของราชวงศ์ทิวดอร์และต้นราชวงศ์สจ๊วตในบริเตน และคริสต์ศาสนาปรัชญาของกลุ่มนักปรัชญาคาโรไลน์ ผู้มีอิทธิพลและมีตําแหน่งหน้าที่สูงในรัชสมัยของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 พระเจ้าชาร์ลที่ 1 และสมเด็จพระเจ้าชาร์ลที่ 2 แห่งอังกฤษ

ในยุคสมัยของการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อํานาจในการบริหารราชการ ทุกประเภทรวมศูนย์อยู่ที่สถาบันกษัตริย์ผู้ดํารงฐานะเป็นประมุขของรัฐ จึงทําให้เข้าใจว่ากษัตริย์เป็นแหล่งกําเนิด อํานาจอธิปไตย อํานาจอธิปไตยเป็นของกษัตริย์ กษัตริย์เป็นผู้ตรากฎหมายและบังคับใช้กฎหมายโดยพระองค์เอง อํานาจต่าง ๆ ในทางการปกครองรวมทั้งการชําระคดีความล้วนมีที่มาหรือได้รับมอบหมายมาจากกษัตริย์ทั้งสิ้น ดังนั้นองค์กษัตริย์จึงไม่อาจมีความรับผิดใด ๆ ได้ เพราะกษัตริย์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและผู้ใช้อํานาจอธิปไตย เสียเอง จะถูกบังคับให้อยู่ภายใต้อํานาจของตนเองได้อย่างไร จึงมีหลักความคุ้มครองไม่ให้ฟ้องร้องดําเนินคดีใด ๆ ต่อกษัตริย์ที่เรียกว่า “The King Can Do No Wrong” เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย Common Law ของอังกฤษ และเป็นที่ยอมรับในหลาย ๆ ประเทศในทวีปยุโรป

ภายหลังจากที่หลายประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น ระบอบประชาธิปไตย แต่ละประเทศอาจจะเลือกการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์เป็น ประมุขของรัฐที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีเป็น ประมุขโดยตรง ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ประวัติศาสตร์ความผูกพันและทัศนคติหรือมุมมองที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ ที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

สําหรับประเทศไทย ได้เลือกระบอบประชาธิปไตยที่คงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 3 ได้บัญญัติรับรองหลักการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้ว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อํานาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจ อธิปไตย จึงเท่ากับว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจอธิปไตยแทนประชาชน แต่เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ บริหารราชการแผ่นดิน เพียงแต่พระองค์ทรงทําตามคําแนะนําของรัฐบาลจึงไม่ต้องมีความรับผิดชอบใด ๆ อัน เกิดจากการกระทําของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงต้องนําหลัก “The King Can Do No Wrong มาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ซึ่งหลักการนี้ได้รับการยอมรับ ในรัฐธรรมนูญของหลายประเทศ เช่น เดนมาร์ก เบลเยี่ยม และนอร์เวย์

 

ข้อ 2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อํานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤๅษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤๅษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแต่งจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 3. จงอธิบายถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่างกฎหมายของ Draco กับกฎหมายของ Solon และจงอธิบายว่ากฎหมายดังกล่าวของทั้งสองมีอิทธิพลต่อกฎหมายโรมันอย่างไร

ธงคําตอบ

สืบเนื่องจากในตอนกลางของศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสต์ศักราช เอเธนส์ (Athens) ปกครองโดยกษัตริย์ ประชาชนในสมัยนั้นแบ่งออกเป็น 2 พวกคือ ขุนนางกับพ่อค้า ได้แก่ เจ้าของที่ดินหรือพ่อค้าชาวเมืองที่เป็น ชนชั้นกลาง หรือชาวนาที่มีที่ดินแปลงเล็ก ๆ เป็นของตนเอง ต่อมาสมัยศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช สภาขุนนาง ได้ลดอํานาจของกษัตริย์ลง เนื่องจากเจ้าของที่ดินที่มั่งคั่งจากการทําเกษตรเริ่มมีอํานาจมากขึ้น แต่ชาวนารายย่อย ที่ทําการเกษตรไม่ได้ผล ต้องกู้ยืมเงินจากผู้มั่งคั่งจนดอกเบี้ยเพิ่มพูนมากขึ้น เมื่อไม่สามารถชําระดอกเบี้ยได้ก็ต้อง ยอมเอาที่ดินของตนไปจํานอง โดยหวังว่าจะไถ่คืนได้ในอนาคต แต่ก็ไม่สามารถไถ่คืนได้ พวกนี้จึงได้กลายเป็นทาส ในที่สุด นอกจากนี้เกษตรกรที่ไม่มีที่นาเป็นของตนเอง แต่รับจ้างแรงงานในที่นาของผู้อื่นโดยได้รับค่าจ้างเพียง หนึ่งส่วนหกของผลผลิตที่ได้จากแรงงานของตน มีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง ทําให้ปัญหาระหว่างพวกคนยากจน กับพวกคนรวยทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งได้มีการจํากัดสิทธิผู้ซึ่งเข้าประจําการในกองทหารอาวุธหนักคือ พลเมืองที่มั่งคั่งเท่านั้น เพราะทหารเหล่านี้ต้องจัดหาอาวุธด้วยตนเอง สามัญชนจึงเรียกร้องให้มีการสร้างกฎหมายลายลักษณ์อักษรขึ้นเพื่อให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน

ผู้ซึ่งมีบทบาทในการร่างประมวลกฎหมาย และพัฒนารูปแบบการปกครองประชาธิปไตย คือ

1. ดราโค (Draco)

ดราโคเป็นผู้ซึ่งมีบทบาทอยู่ในช่วงราวปีที่ 620 ก่อนคริสต์ศักราช ดราโคได้ทําการรวบรวม กฎหมายและตราให้เป็นระเบียบหมวดหมู่ เขาเป็นเจ้าของประมวลกฎหมายที่เข้มงวดมาก จนทําให้เกิดคําว่า “Draconic” หมายความว่า รุนแรงหรือเข้มงวด จนมีคํากล่าวว่ากฎหมายของเขาเขียนด้วยเลือด ไม่ใช่ด้วยหมึก เช่น ผู้ซึ่งเป็นหนี้คนอื่นแล้วไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนดจะต้องตกเป็นทาสของเจ้าหนี้ หรือใครขโมย กะหล่ําปลีจะต้องถูกลงโทษประหารชีวิต กฎหมายฉบับนี้แม้จะให้ความยุติธรรม แต่การลงโทษที่รุนแรงเกินไป ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ ผู้มั่งคั่งยังร่ํารวยจนเหลือล้น ในขณะที่คนจนก็ยังยากจนอย่าง แสนสาหัส พวกขุนนางยังคงตัดสินคดีเข้าข้างตนเอง ความเข้มงวดของกฎหมายนี้เองเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยาก จนถึงขั้นจลาจลวุ่นวายขึ้นในปี 600 ก่อนคริสต์ศักราช อนึ่งประมวลกฎหมายของตราโคนั้นถือว่าเป็นกฎหมาย ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของกรีก ผลดีของกฎหมายฉบับนี้มีเพียงประการเดียว คือ ทําให้ประชาชนมีโอกาส รู้กฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่ปล่อยให้ขุนนางเป็นผู้ตัดสินคดีตามใจตั้งแ

2. โซลอน (Solon)

โซลอนเป็นพ่อค้า ซึ่งเป็นชนชั้นที่มั่งคั่งที่สุดในนครรัฐเอเธนส์ โซลอนได้เข้ามาปฏิรูป การปกครอง ในราวปี 584 ก่อนคริสต์ศักราช เขาได้รับแต่งตั้งเป็นอาร์คอน มีอํานาจพิเศษในการตรากฎหมาย เมื่อเข้ามารับตําแหน่งแล้ว ได้ยกเลิกกฎหมายของดราโค โซลอนได้พยายามเลิกทาส และยกฐานะของบุคคลให้ เสมอภาคกัน ผลงานที่สําคัญ คือ

(ก) ประกาศยกเลิกบรรดาทรัพย์สินที่จํานอง และห้ามการจํานองที่ดิน

(ข) ยกเลิกหนี้สินต่าง ๆ ที่ลูกหนี้มีอยู่ รวมทั้งให้อิสรภาพแก่ผู้ที่ต้องกลายเป็นทาส เนื่องมาจากการติดหนี้สิน และห้ามการขายตัวเพื่อชดใช้หนี้สิน

(ค) จัดตั้งสภาสี่ร้อย (The Council of Four Hundred) เพื่อเตรียมงานด้านนิติบัญญัติ มีสมาชิก 400 คน เลือกมาจากพลเมืองทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่ประกอบเป็นชาวนครรัฐเอเธนส์ เผ่าพันธุ์ละ 100 คน โดย ให้สิทธิชนชั้นกลางและชนชั้นต่ําเข้าเป็นสมาชิกด้วย จุดมุ่งหมายของการจัดตั้งสภานี้ ก็เพื่อให้เกิดความสมดุล ทางการเมือง กล่าวคือ คนทั้ง 4 เผ่าพันธุ์ ต่างก็มีส่วนในการปกครองเท่า ๆ กัน ประชาชนทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ในทางนิติบัญญัติและในสภา

(ง) จัดตั้งศาลยุติธรรม มีคณะผู้พิพากษาเรียกว่า เฮเลีย (Heliaca) เรียกศาลนี้ว่าศาลเฮเลีย ในระยะแรกศาลนี้ทําหน้าที่พิจารณาคดีเบื้องต้น โดยที่อํานาจผู้พิพากษาสูงสุดยังคงอยู่กับอาร์คอน ต่อมาภายหลัง ศาลเฮเลียทําหน้าที่เป็นทั้งศาลเบื้องต้นและศาลสูงสุด คณะผู้พิพากษาประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป นอกจาก อํานาจในการพิจารณาคดีแล้ว ศาลนี้ยังมีอํานาจซักฟอกผู้บริหารงานที่ถูกกล่าวหาและถูกเชิญตัวมาในศาลด้วย

(จ) จัดให้มีการควบคุมเกี่ยวกับการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เอกชนคนใดมีที่ดินมากเกินไป

 

ข้อ 4. คอมมอนลอว์เกิดขึ้นได้อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

คอมมอนลอว์ (Common Law) นั้นเกิดจากเกาะอังกฤษแต่เดิมจะมีชนเผ่าดั้งเดิม ซึ่งทําไร่ ไถนา เพาะปลูก เรียกว่า Briton แต่ถูกรุกรานจากชนเผ่าต่าง ๆ เช่น พวกไอบีเรียน (Iberian), พวกกาล (Gael) และ พวกเซลท์ (Celt) ที่มาจากสเปน โปรตุเกส และเยอรมัน เช่น เผ่าที่มีชื่อเรียกว่า แองโกลหรือแองเจิล (Anglo หรือ Angles) เป็นนักรบ ได้ยกกองทัพเรือขึ้นไปบนเกาะอังกฤษ เมื่อชนเผ่าดั้งเดิมสู้ไม่ได้จึงถูกยึดครอง อีกพวก คือพวกแซกซอน (Saxons) และมีอีกเผ่าหนึ่งที่เรียกว่า พวกจุ๊ทส์ (Jutes) ที่เข้าไปยึดครองเกาะอังกฤษ จะเห็น ได้ว่าเดิมนั้นเกาะอังกฤษจะหลากหลายด้วยชนเผ่า แต่ละชนเผ่าก็จะมีจารีตประเพณีของตนเองจนมีผู้กล่าวว่า

“ถ้าขี่ม้าข้ามทุ่งนาต้องผ่านจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นนับเป็นสิบ ๆ อย่าง” และชนเผ่าสุดท้ายที่เป็นบรรพบุรุษ ของคนอังกฤษคือ ชาวนอร์แมน (Norman) นอกจากนี้ในสมัยที่กรุงโรมเรืองอํานาจ กรุงโรมได้ส่งกองทัพเรือ ยึดเกาะอังกฤษหลายร้อยปี จน ค.ศ. 1066 ชาวนอร์แมนมาจากแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ ยุโรปคือ ประเทศนอร์เวย์ บุกขึ้นเกาะอังกฤษแล้วตั้งราชวงศ์ มีกษัตริย์ปกครองทรงพระนามว่าพระเจ้าวิลเลียม แต่พระองค์ก็ประสบปัญหาในการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคดีความเนื่องจากศาลท้องถิ่นได้ ตัดสินคดีโดยใช้จารีตประเพณีที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงทําให้ผลของคําพิพากษาตรงกันข้ามกันในแต่ละศาล

อีกทั้งจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นของบางชนเผ่าเป็นจารีตประเพณีที่ล้าสมัย คําพิพากษาของศาลท้องถิ่นที่ตัดสินตาม จารีตประเพณีนั้นเป็นเหตุให้ฝ่ายที่แพ้คดีเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งวิธีการพิสูจน์ความจริงก็ใช้ วิธีการดั้งเดิม เช่น การพิสูจน์น้ํา พิสูจน์ไฟ หรือให้คู่ความต่อสู้กันเอง ดังนั้นราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงมาร้องเรียนต่อ พระเจ้าวิลเลียม พระองค์จึงได้จัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์ (King’s Court) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศาลหลวง (Royal Court) ส่งผู้พิพากษานั่งรถม้าจากส่วนกลางเป็นศาลเคลื่อนที่หมุนเวียนออกไปพิจารณาคดี โดยศาลหลวง ไม่ใช้วิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างศาลท้องถิ่น แต่ใช้วิธีการไต่สวนจากบุคคลที่รู้เหตุการณ์แทนการพิจารณาแบบดั้งเดิม ทําให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่าศาลหลวงให้ความเป็นธรรมแก่ตนได้ จนในที่สุดศาลหลวงได้วางหลักเกณฑ์ที่ มีลักษณะเป็นสามัญ (Common) และใช้กันทั่วไป ทําให้กฎหมาย Common Law เริ่มเกิดขึ้นในประเทศ อังกฤษนับแต่นั้นเป็นต้นมา

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1106 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. จงอธิบายกฎหมายบาบิโลนในเรื่องราวความรับผิดชอบทางอาญา และกฎหมายว่าด้วยโทษ

ธงคําตอบ

ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบี (กฎหมายบาบิโลน) ซึ่งได้จัดทําขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรในส่วน ที่เกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาและกฎหมายว่าด้วยโทษนั้น ยึดหลักการแก้แค้นตอบแทนที่รุนแรงมาก หลักการ ดังกล่าวนี้เป็นหลักการของกฎหมายดั้งเดิมที่เรียกว่า “Lex Tationis” หรือที่มีคํากล่าวกันว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (An eye for an eye, and a tooth for a tooth) จะเห็นได้จากข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ดังนี้คือ

(1) ถ้าบุคคลใดทําลายดวงตาของอีกผู้หนึ่ง ดวงตาของบุคคลนั้นจะถูกทําลายเช่นกัน
(2) ถ้าชายคนหนึ่งเป็นเหตุให้ชายอีกคนสูญเสียลูกนัยน์ตา ลูกนัยน์ตาของชายคนนั้นต้องถูกควักออกมา
(3) บุคคลใดทําให้บุตรสาวของผู้อื่นถึงแก่ความตาย บุตรสาวของตนก็จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ ความตายด้วย
(4) ถ้าบ้านพังตกลงมาทับเจ้าของบ้านตาย ผู้สร้างต้องรับผิดชดใช้ด้วยชีวิต
(5) ช่างก่อสร้างบ้านเรือนที่ทําให้บุตรของเจ้าของบ้านถึงแก่ความตายโดยประมาท บุตรของตน จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายเช่นกัน
(6) เจ้าหนี้ทําให้บุตรของลูกหนี้ซึ่งมาอยู่กับตนในฐานะเป็นผู้จัดหนี้ (Mancipium) ถึงแก่ความตาย บุตรของเจ้าหนี้จะถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วย

เมื่อพิจารณาหลักการลงโทษดังกล่าว จะเห็นว่าเป็นการลงโทษแก่บุตรหรือธิดาของผู้กระทําผิด ซึ่งบุคคลดังกล่าวไม่ได้กระทําความผิด อันเป็นวิธีการลงโทษที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้แค้นหรือตอบแทนผู้ที่กระทําความผิด วิธีการลงโทษดังกล่าวจึงแตกต่างกับกฎหมายอาญาในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในประมวลกฎหมายนี้ไม่มีการลงโทษจําคุกแก่ผู้กระทําผิด เพราะโทษที่ลงแก่ ผู้กระทําผิดร้ายแรงที่ผู้กระทําผิดมีเจตนา เช่น ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ลักทรัพย์ คือ โทษประหารชีวิต แต่ความผิด อื่น ๆ ที่ไม่ร้ายแรง โทษที่ผู้กระทําความผิดได้รับ คือ โทษปรับ เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนาต้องถูกลงโทษ ประหารชีวิต แต่ถ้าจําเลยสาบานว่าฆ่าคนจริงแต่ไม่เจตนา โทษที่จําเลยได้รับ คือ โทษปรับ โดยคํานึงถึงชั้น
วรรณะของผู้ซึ่งถึงแก่ความตายเป็นหลัก

นอกจากนี้ลูกทําร้ายร่างกายพ่อ จะถูกลงโทษให้ติดมือทิ้งเสีย

วิธีพิสูจน์ความผิดฐานมีชู้ ให้นําภรรยาไปโยนลงในแม่น้ํา ถ้าลอยน้ําถือว่าบริสุทธิ์ ถ้าจมน้ำถือว่ามีความผิด

 

ข้อ 2. อธิบายความแตกต่างหรือคล้ายคลึงกันระหว่างกฎหมาย ดังต่อไปนี้

กฎหมาย 12 โต๊ะ กับศาลพระมหากษัตริย์

Civil Law กับกฎหมายลายลักษณ์อักษร

ธงคําตอบ

กฎหมาย 12 โต๊ะ กับศาลพระมหากษัตริย์

กฎหมาย 12 โต๊ะ มีต้นกําเนิดมาจากความไม่เสมอภาคทางสังคมและทางการเมืองในยุคนั้น ซึ่ง กรุงโรมได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นสูงหรือแพทริเชียน (Patricians) และชนชั้นกลางหรือเพลเบียน (Plebeians) เนื่องจากกฎหมายในสมัยนั้น ยังไม่มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อมีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาล พวกแพทริเซียนซึ่งรู้กฎหมายก็มักเป็นฝ่ายชนะคดี ส่วนพวกเพลเบียนที่ไม่มีทางทราบได้เลยว่ากฎหมายที่ใช้มีอยู่อย่างไรก็ต้องแพ้คดีไป จึงได้มีการเรียกร้องให้นํากฎหมายมาเขียนให้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร รวมทั้งสิทธิ ในการเข้าถึงความยุติธรรมก็ไม่เท่าเทียมกัน การออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย หรือการชี้ขาดตัดสินคดี ล้วนแต่เป็นอํานาจของพวกแพทริเซียนทั้งสิ้น เช่น คดีที่พวกเพลเบียนเป็นลูกหนี้พวกแพทริเซียนแล้วไม่ยอม ชําระหนี้ การบังคับชําระหนี้อาจนําไปสู่การเป็นทาสหรือความตายของลูกหนี้และครอบครัวได้ เพราะผู้พิพากษา ซึ่งทําหน้าที่บังคับชําระหนี้นั้นเป็นพวกเดียวกันกับพวกแพทริเซียน ความยุติธรรมจึงยากที่จะเกิดขึ้นมาได้

และยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งพวกแพทริเชียนมีสิทธิเหนือกว่าพวกเพลเบียน เช่น พวกเพลเบียนไม่มีสิทธิแต่งงาน การแต่งงานระหว่างพวกเพลเบียนและแพทริเซียนนั้นเป็นเรื่องต้องห้ามอย่าง
เด็ดขาด โดยบุตรที่เกิดจากการอยู่กินระหว่างพวกแพทริเซียนกับเพลเบียนจะอยู่ในอํานาจปกครองของครอบครัว เพลเบียนนั้นต่อไป ไม่เปลี่ยนสภาพไปเป็นแพทริเซียนแต่อย่างใด นอกจากนี้สิทธิทางการเมืองในการดํารงตําแหน่ง ต่าง ๆ เช่น ประมุขในการบริหารที่เรียกว่า “กงสุล” ซึ่งถือว่าเป็นผู้มีอํานาจสูงสุดก็จํากัดเฉพาะพวกแพทริเซียน ๆ ส่วนตําแหน่งอื่น ๆ รองลงไป ก็จํากัดเฉพาะพวกชนชั้นสูงเช่นกัน โดยที่พวกเพลเบียนไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งต่าง ๆในทางการเมืองแต่อย่างใด

จากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้ ทําให้เกิดความไม่พอใจแก่พวกเพลเบียนเป็นอย่างมาก จึงได้มีการตั้ง คณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่เป็นผู้จัดทํากฎหมายขึ้น โดยจารึกไว้บนแผ่นทองบรอนซ์ รูปร่างคล้ายโต๊ะจํานวน 12 แผ่น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อว่า “กฎหมาย 12 โต๊ะ” นั่นเอง

ศาลพระมหากษัตริย์ (King Court) เป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นในยุคเริ่มแรกของระบบกฎหมาย Common Law ที่กําเนิดขึ้นบนเกาะอังกฤษ โดยสืบเนื่องจากปัญหาในการปกครอง เนื่องจากอังกฤษนั้น หลากหลายด้วยจารีตประเพณี และศาลท้องถิ่นก็ได้นําเอาจารีตประเพณีมาใช้ตัดสินคดี โดยแต่ละท้องถิ่นต่างมี จารีตประเพณีของตนเอง ทําให้ผลของคําพิพากษาแตกต่างกันไปในแต่ละศาล อีกทั้งจารีตประเพณีของบางชนเผ่า ยังเป็นจารีตประเพณีที่ล้าสมัย ราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งวิธีการพิสูจน์ความจริง ก็ยังใช้วิธีการแบบดั้งเดิมคือ การพิสูจน์ด้วยไฟหรือน้ํา รวมทั้งการให้คู่ความต่อสู้กันเอง ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการเข้า ร้องเรียนต่อพระเจ้าวิลเลียม พระองค์จึงได้จัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์ (King Court) ขึ้นเพื่อเป็นศาลส่วนกลาง ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศาลหลวง (Royal Court) และมีผู้พิพากษานั่งรถม้าจากส่วนกลางเป็นศาลเคลื่อนที่หมุนเวียน ออกไปพิจารณาคดี โดยจะไม่ใช้วิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างในศาลท้องถิ่น แต่จะใช้วิธีการไต่สวนจากบุคคลที่รู้เห็น เหตุการณ์แทนการพิจารณาแบบดั้งเดิม ซึ่งทําให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่าศาลหลวงสามารถให้ความเป็นธรรม แก่ตนได้ และในที่สุดศาลหลวงก็ได้วางหลักเกณฑ์อันมีลักษณะเป็นสามัญ (Common) และใช้กันทั่วประเทศ จึงทําให้ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) ได้เริ่มเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษนับแต่นั้นเป็นต้นมา

Civil Law กับกฎหมายลายลักษณ์อักษร

Civil Law คือ ระบบกฎหมายที่มีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร มีต้นกําเนิดจากอาณาจักรโรมัน โดยระบบกฎหมายนี้จะมีการรวบรวมเอาจารีตประเพณีหรือกฎหมายต่าง ๆ มาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และ
จัดไว้เป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งอยู่ในรูปประมวลกฎหมาย

เหตุที่เรียกชื่อระบบกฎหมายนี้ว่า Civil Law เพราะต้องการที่จะยกย่องและให้เกียรติกฎหมาย โรมัน ซึ่งมีคุณค่าสูงกว่ากฎหมายของชนชาติใด ๆ ในสมัยนั้น เนื่องจากคําว่า “Jus Civile” หรือ “Civil Law หมายถึง กฎหมายที่ใช้กับชาวโรมัน หรือต้นกําเนิดของกฎหมายโรมันแท้ ๆ และคําว่า “Civil Law” นี้ ต่อมาก็ ได้กลายเป็นชื่อระบบกฎหมายซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลาย และเมื่อพิจารณากฎหมายโรมันซึ่งได้มีการบัญญัติไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร จึงมีผู้เรียกระบบกฎหมายนี้อีกชื่อหนึ่งว่า กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Written Law) นั่นเอง

 

ข้อ 3. การพิจารณาคดีที่กษัตริย์นอร์แมนนํามาใช้มีหลายวิธี จงอธิบายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ

การพิจารณาคดีที่กษัตริย์นอร์แมนนํามาใช้มีหลายวิธี ดังนี้คือ

1. การสาบานตัวว่าจําเลยเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ (Compurgation) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เวลเจอร์ออฟลอว์ (Wager of Law) เป็นวิธีที่จําเลยจะต้องนําบุคคลฝ่ายตนมาศาล (โดยทั่วไปจะมีจํานวน 12 คน หรือจํานวนมากน้อยกว่านั้นแล้วแต่ศาลกําหนดตามแต่พฤติการณ์ความหนักเบาแห่งคดี แต่อย่างมากที่สุดไม่เกิน 48 คน) และเป็นผู้สาบานตัวต่อศาลว่าจําเลยเป็นผู้บริสุทธิ์หรือจําเลยเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้นั่นเอง ไม่ได้สาบานว่าข้อเท็จจริงในคดีนั้นเป็นไปตามที่จําเลยกล่าวอ้าง หากจําเลยไม่สามารถหาตัวบุคคลที่จะมาสาบานตัวต่อศาล ในฐานะเป็นคอมเพอร์เกเตอร์ (Compurgators) หรือโอชเฮลเปอร์ (Oath Helpers) ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จําเลยก็ต้องแพ้คดีไป

ในบางกรณี ศาลอาจจะกําหนดให้จําเลยเป็นผู้สาบานว่าตนไม่ผิดแต่ผู้เดียว ถ้าหากจําเลย สาบานได้ก็จะชนะคดีพ้นข้อหาไป แต่อย่างไรก็ตามสําหรับคนสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเชื่อคําสาบาน เชื่อถือ
อย่างจริงจังว่า หากสาบานว่าอย่างไรแล้วจะต้องเป็นไปอย่างนั้น ฉะนั้นโดยทั่วไปแล้วถ้าจําเลยผิดจริงจะไม่กล้า สาบานว่าตนไม่ผิดเป็นอันขาด และเหตุผลอีกประการหนึ่งคือ คําสาบานนั้นต้องว่าตามแบบฉบับของศาล ผู้สาบาน ต้องว่าให้ถูกต้องและไม่ติดขัด ถ้าคําสาบานที่กล่าวนั้นผิดพลาดในถ้อยคําแม้เพียงคําเดียว หรือออกเสียงเป็นวิบัติไป ตลอดจนกล่าวตะกุกตะกักไม่ชัดเจน ก็ถือว่าผู้สาบานนั้นไม่สามารถสาบานได้ก็ต้องแพ้คดีไป

2. การพิสูจน์ด้วยไฟหรือน้ำโดยวิธีทรมาน (Ordeal of fire or water) ซึ่งใช้สําหรับคดี อุฉกรรจ์มหันตโทษ เป็นการพิสูจน์ความจริงโดยอาศัยผีสางเทวดาเป็นผู้วินิจฉัย เพราะเกินกําลังความเข้าใจ ของมนุษย์ เป็นการยกให้เป็นภาระของพระผู้เป็นเจ้าที่จะต้องแสดงความผิดหรือความบริสุทธิ์ของคนให้ประจักษ์ ซึ่งมีหลายแบบด้วยกันคือ

(ก) วิธีการใช้เหล็กเผาไฟร้อนแดง แล้วให้จําเลยถือเหล็กที่เผาไฟร้อนแดงนั้นเดินหรือวิ่งเป็นระยะทาง 9 ฟุต เมื่อวางเหล็กนั้นแล้วจะมีการเอาผ้าพันมือของจําเลยที่ได้ถือเหล็กนั้น แล้วประทับตราไว้ เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน หลังจากนั้นก็จะแก้เอาผ้าที่พ้นออก หากปรากฏว่ามือจําเลยไม่มีบาดแผลที่ถูกไฟลวก แต่ประการใดก็ถือว่าพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ได้ปกป้องจําเลยผู้บริสุทธิ์แล้ว ตรงกันข้ามหากว่ามือจําเลยมีบาดแผล หรือว่ามีร่องรอยของการที่ถือเหล็กไฟแดงนั้นก็ถือว่าจําเลยได้กระทําความผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้น

(ข) วิธีการเอามือจําเลยจุ่มลงไปในกระทะน้ําเดือดเพื่อเอาหินที่อยู่ก้นกระทะนั้นขึ้นมา หลังจากที่จําเลยได้เอามือจุ่มลงไปในน้ําเดือดมาแล้ว 3 วัน ถ้าหากปรากฏว่าไม่มีร่องรอยของการถูกน้ําเดือดลวก แต่ประการใด จําเลยก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าหากว่ามีร่องรอยของการถูกน้ําเดือดลวก ก็ถือว่าจําเลยเป็น ผู้กระทําผิดจริงตามฟ้อง

(ค) วิธีน้ำเย็น โดยเอาตัวจําเลยโยนลงไปในน้ํา ถ้าจมก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าลอยก็มีความผิด เพราะมีเทวดามาอุ้มไว้ไม่ให้จม จึงเห็นได้ประจักษ์ว่าจําเลยผิดจริง

(ง) วิธีกลืนอาหาร โดยเอาขนมปังหรือเนยแข็งมีน้ําหนักหนึ่งเอานซ์ให้แก่จําเลย แล้ว สาปแช่งให้ขนมปังหรือเนยแข็งชิ้นนั้นติดคอ ถ้าหากจําเลยผิดอย่าให้กลืนลงคอได้ แล้วให้จําเลยกลืนอาหารชิ้นนั้น เข้าไป ถ้าหากกลืนคล่องคอไม่ติดขัด แสดงว่าบริสุทธิ์

3. การให้โจทก์จําเลยต่อสู้กันด้วยกําลังกาย วิธีการนี้เป็นวิธีการพิสูจน์ความจริงทั้งในคดีแพ่ง และคดีอาญา ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมกันมากในยุโรปประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 10 และพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ได้นําเอา วิธีการพิสูจน์แบบนี้มาใช้ในเกาะอังกฤษด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 2 ได้ทรงกําหนดให้คู่ความ มีสิทธิปฏิเสธวิธีการพิสูจน์ความผิดโดยการต่อสู้กันด้วยกําลังกาย หากคู่ความไม่มีความชํานาญในการใช้อาวุธ และให้ใช้วิธีพิจารณาโดยวิธีการหาคนมาร่วมสาบานแทนวิธีการต่อสู้ได้

 

ข้อ 4. ในฐานะที่ท่านได้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย ท่านคิดว่าประเทศไทยในยุคปัจจุบันควร กลับไปใช้วิธีการลงโทษเหมือนในยุคกรุงสุโขทัยของพ่อขุนรามคําแหงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

ในฐานะที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย ข้าพเจ้าคิดว่าประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ไม่ควรกลับไปใช้วิธีการลงโทษเหมือนในยุคกรุงสุโขทัยของพ่อขุนรามคําแหง ทั้งนี้เพราะ

ในสมัยกรุงสุโขทัยของพ่อขุนรามคําแหงนั้น วิธีการลงโทษตามที่ปรากฏในกฎหมายซึ่งเรียกกันว่า “กฎหมายลักษณะโจร” ที่จารึกไว้ในแผ่นศิลาเป็นหินชนวนสีเขียว ซึ่งพบที่ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมือง จังหวัด สุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 2473 และที่เรียกว่ากฎหมายลักษณะโจร เพราะเหตุว่า เป็นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับการ กระทําความผิดทางอาญา ซึ่งในสมัยโบราณนั้นผู้กระทําความผิดอาญาล้วนเรียกว่าโจร เช่น โจรปล้น โจรฆ่าคน
เป็นต้น

กฎหมายลักษณะโจรในสมัยสุโขทัย (ศิลาจารึกหลักที่ 38) ถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่แท้จริง เพราะเป็นบทบัญญัติที่มาจากองค์อธิปัตย์ คือเป็นกฎหมายที่พระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระบรมราชโองการให้บัญญัติขึ้นมา เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการที่ข้าคนรับใช้หรือภรรยาของผู้อื่นหนีมาอยู่ด้วย แล้วไม่ส่งคืนเจ้าของภายใน 3 วัน มีความผิดต้องถูกปรับไหมตามที่กําหนดไว้ในพระราชศาสตร์ พระธรรมศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีบทบัญญัติการให้ รางวัลแก่ผู้จับขโมย หรือนําของที่ถูกลักขโมยไปคืนให้แก่เจ้าของ การไม่ช่วยจับโจรเพราะโจรเป็นญาติพี่น้องก็ดี โจรเป็นข้าของผู้ใหญ่หรือรับเงินจากโจรแล้วปล่อยตัวไปก็ดี ต้องรับโทษเสมือนกับลักคนหรือลักทรัพย์ของผู้อื่น ผู้ช่วยจับกุมผู้กระทําความผิดให้ได้รับรางวัลจากเงินค่าปรับไหม กับทั้งของถูกโจรแย่งชิงไปเท่าใดให้ผู้นั้นใช้จนครบ

จะเห็นได้ว่า ในส่วนที่เป็นบทบังคับของกฎหมายฉบับนี้ คือการปรับไหมผู้กระทําความผิด เป็นสินไหมให้แก่ผู้เสียหาย และการปรับไหมก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในพระราชศาสตร์ พระธรรมศาสตร์ และ แม้ว่าโทษที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 38 กล่าวกันว่า นอกจากจะมีโทษปรับไหมแล้ว ยังมีโทษสัก และโทษโบย แต่ก็ถือว่าเป็นโทษที่ไม่หนักเท่าใดเมื่อเปรียบเทียบกับโทษทางอาญาที่มีในยุคปัจจุบัน ที่นอกจากจะมีโทษปรับแล้ว ยังมีโทษกักขัง จําคุก และโทษประหารชีวิต

เมื่อโทษในสมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งมีเพียงโทษปรับไหม รวมทั้งโทษสักและโทษโบย ซึ่งถือว่าเป็นโทษที่ ไม่หนัก รวมทั้งเป็นโทษที่ใช้ในสมัยโบราณที่ไม่นิยมวิธีการลงโทษที่รุนแรง หากนํามาใช้กับประเทศไทยในยุค ปัจจุบันที่มีประชาชนจํานวนมาก มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจตลอดเวลา มีการกระทําความผิด ในลักษณะร้ายแรงเป็นประจําและเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามไม่ให้มีการกระทํา ความผิดโดยเฉพาะความผิดที่ร้ายแรงที่เป็นภยันตรายทั้งต่อประชาชน ต่อสังคม และต่อเศรษฐกิจของประเทศ จึงจําเป็นต้องใช้บทลงโทษที่หนักแก่ผู้กระทําความผิด เพราะหากใช้บทลงโทษที่ไม่หนักหรือโทษที่ค่อนข้างเบาเหมือนในยุคสุโขทัยแล้ว ย่อมไม่อาจจะทําให้ประสิทธิภาพในการป้องกันและการปราบปรามการกระทําความผิด บรรลุผลสําเร็จลงอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้จะมีการลงโทษผู้กระทําความผิดด้วยบทลงโทษตามกฎหมายปัจจุบัน เช่น การประหารชีวิต การจําคุก (ทั้งตลอดชีวิตหรือมีกําหนดเวลา) รวมทั้งการกักขัง หรือปรับ การกระทําความผิด ทางอาญาก็หาได้ลดลงแต่อย่างใดไม่

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก ซ่อม1/2558

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายตราสามดวงคืออะไร เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ. 1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าขายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อําานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย
ที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤๅษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 3. การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศมีประโยชน์อย่างไร จงยกมาให้ดูเป็นข้อ ๆ

ธงคําตอบ

ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศ มีดังนี้

(1) ทําให้สามารถล่วงรู้ถึงกฎหมายและหลักการในกฎหมายเก่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการศึกษา หรือการจัดทําและแก้ไขปรับปรุงกฎหมายใหม่

(2) ทําให้มีความเข้าใจกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ดีขึ้นว่ากฎหมายดังกล่าวนี้มีที่มาอย่างไร มีความหมายและขอบเขตเพียงใด โดยเปรียบเทียบกับบทบัญญัติในกฎหมายเก่า

(3) ทําให้เข้าใจความเป็นมาและระบบกฎหมายของประเทศต่างๆ และอาจนํามาเปรียบเทียบ กับความเป็นมาและระบบกฎหมายของประเทศตน

(4) ทําให้มีความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมทางกฎหมายของประเทศต่าง ๆ ในอดีต และในระยะต่อมา

 

ข้อ 4. ระบบกฎหมายสังคมนิยม และระบบกฎหมายซีวิลลอว์ แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

ระบบกฎหมายสังคมนิยมและระบบกฎหมายซีวิลลอว์ มีความแตกต่างกัน 4 ประการ คือ

(1) กฎหมายอาญา

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม การตีความกฎหมายอาญาไม่เคร่งครัด อาจจะ
ลงโทษผู้กระทําความผิดโดยอาศัยเทียบเคียงความผิด (Crime by Analogy) แต่ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมาย ซีวิลลอว์ การตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด

(2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมคํานึงถึงเป้าหมาย คือ การสร้างความเท่าเทียมกัน
ในสังคมมากกว่าวิธีการ ดังนั้นแม้จะต้องออกกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ได้ผ่านขั้นตอนของรัฐสภาก็อาจ ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ แต่ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การออกกฎหมายใด ๆ จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

(3) กรรมสิทธิ์

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมถือว่ารัฐมีอํานาจในการจํากัดการมีกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินของเอกชนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ แต่ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ จะให้
เสรีภาพแต่เอกชนในการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

(4) ความสําคัญของกฎหมาย

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม จะให้ความสําคัญกับกฎหมายมหาชนมากกว่า กฎหมายเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องการได้มาและสิ้นไปของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ในระบบกฎหมายชีวิลลอว์ จะอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเอกชน

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อํานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤๅษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแต่งขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 2. ในพระอัยการลักษณะตัวเมีย ในกฎหมายตราสามดวง มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นเงื่อนไขการ
สมรสในกรณีใดบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

ตามพระอัยการลักษณะตัวเมียในกฎหมายตราสามดวงนั้น ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นสังคมไทยจึงเป็นสังคมแบบ Polygamy แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายก็ไม่อนุญาตให้หญิง มีสามีได้หลายคนในเวลาเดียวกัน หากหญิงมีสามีอยู่ก่อนแล้วจะสมรสกับชายอื่นอีกไม่ได้ จนกว่าสามีจะตายและ
เผาศพสามีเรียบร้อยแล้ว หรือหย่าขาดจากสามีแล้ว

เมื่อชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ในพระอัยการลักษณะตัวเมียจึงมีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นเงื่อนไขการสมรสไว้ดังนี้

เงื่อนไขการสมรส

เงื่อนไขการสมรส หมายความถึง คุณสมบัติที่ผู้จะสมรสต้องมีหรือต้องไม่มี เพื่อให้การสมรสมีผล สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ในพระอัยการลักษณะตัวเมียจะไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรส ทํานองเดียวกันกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาแล้ว บทบัญญัติดังต่อไปนี้น่าจะถือว่า เป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามพระอัยการลักษณะตัวเมียได้

1. หญิงต้องไม่ใช่ภรรยาของชายอื่นอยู่ก่อนแล้ว จริงอยู่กฎหมายยินยอมให้ผู้ชายมีภรรยาได้ หลายคนในเวลาเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้อนุญาตให้ผู้หญิงมีสามีได้หลายคนในเวลาเดียวกัน หากหญิงมีสามีอยู่ก่อนแล้ว และไปได้เสียกับชายอื่น กฎหมายถือว่าชายนั้นเป็นเพียงชายชู้เท่านั้น จะต้องเอาหญิงนั้นส่งคืนสามีของเขา

2. ชายต้องไม่เป็นพระภิกษุ กฎหมายห้ามไว้โดยชัดแจ้งไม่ให้พระภิกษุสามเณรมีภรรยา ถ้าพระภิกษุสามเณรผิดเมียผู้อื่นถึงชําเรา ได้ชื่อว่าปาราชิกให้สึกออก และให้ปรับไหมด้วย

3. ชายหญิงต้องไม่เป็นญาติกัน ทั้งนี้เชื่อกันว่าหากชายหญิงที่เป็นญาติกันสมรสกัน จะทําให้ เกิดสิ่งอัปมงคลแก่บ้านเมือง

4. หญิงหม้ายที่สามีตายจะสมรสใหม่ได้จะต้องเผาศพสามีเดิมให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งนี้ กฎหมายบัญญัติไว้ในลักษณะที่ทําให้เห็นว่า หากหญิงยังไม่เผาศพสามีที่ตายไปแล้ว การสมรสยังไม่ขาดจากกัน หากหญิงชักนําเอาชายอื่นมาหลับนอนด้วย ชายนั้นมีฐานะเป็นชายชู้ กฎหมายให้ปรับไหมชายนั้นฐานทําด้วย
ภรรยาของผู้อื่น

5. กําหนดอายุ พระอัยการลักษณะตัวเมียไม่ได้กําหนดอายุขั้นต่ําของชายหญิงที่จะทําการสมรสได้ไว้ แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่าฝ่ายชายต้องได้บวชเรียนเรียบร้อยแล้ว และฝ่ายหญิงก็คงจะต้องเติบโตพอจนออก เรือนได้แล้ว จึงจะทําการสมรสกัน

การสมรส

การสมรสตามพระอัยการลักษณะผัวเมียนั้น จะไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันดังเช่นในปัจจุบัน แต่ ก็ไม่ได้หมายความว่าชายหญิงได้เสียกันแล้วจะเป็นสามีภริยากันเสมอไปก็หาไม่ การที่ชายหญิงจะมีสามีภรรยา โดยชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1. ชายหญิงทั้งสองฝ่ายได้กินอยู่หลับนอนด้วยกันโดยมีเจตนาเป็นสามีภรรยากัน

2. บิดามารดาหรือผู้เป็นอิสระแก่หญิง (ผู้มีอํานาจปกครอง) ยินยอมยกหญิงให้เป็นภรรยาชาย
โดยหญิงนั้นยินยอมด้วย

 

ข้อ 3. จงอธิบายระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม

ธงคําตอบ

ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม ปัจจุบันมีบางประเทศที่นําเอาคําสอนของพระผู้เป็นเจ้า มาบัญญัติเป็นกฎหมาย จึงกล่าวกันว่าศาสนาเป็นที่มาของบ่อเกิดของกฎหมาย มี 3 กลุ่ม คือ

(1) ศาสนาอิสลาม ต้นกําเนิดประเทศแรกคือ ซาอุดิอาระเบีย คําสอนของพระเจ้า คือ อัลลอฮ์ ปรากฏอยู่ในกฎหมาย เช่น กฎหมายครอบครัวและมรดก เป็นต้น

(2) ศาสนาคริสต์ แนวความคิดของศาสนาคริสต์ ใช้เป็นแนวทางในการร่างกฎหมายของประเทศ ที่นับถือคริสต์ศาสนา เช่น ข้อกําหนดห้ามหย่า การห้ามคุมกําเนิด การห้ามทําแท้ง และการห้ามสมรสซ้อน (Bigamy) เป็นต้น

(3) ศาสนาฮินดู ต้นกําเนิดประเทศแรกอยู่ในประเทศอินเดีย ตัวอย่างปรากฏอยู่ในตํารากฎหมาย
คือ พระธรรมศาสตร์ หรือของไทยเรียกคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของมโนสาราจารย์

ส่วนประเพณีนิยม เกิดจากคําสอนของนักปราชญ์ มิใช่พระผู้เป็นเจ้า เช่น ชาวจีนในสมัยขงจื้อ ที่นําเอาความเชื่อของนักปราชญ์ท่านนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายในชีวิตประจําวัน หรือลัทธิชินโตของประเทศญี่ปุ่นก็มีอิทธิพลต่อการจัดทํากฎหมายของญี่ปุ่นเช่นกัน

 

ข้อ 4. ข้อแตกต่างระหว่างระบบกฎหมายสังคมนิยม กับระบบกฎหมายชีวิลลอว์ มีกี่ประการ อะไรบ้าง จงอธิบายโดยยกมาให้ดูเป็นข้อ ๆ

ธงคําตอบ

ข้อแตกต่างระหว่างระบบกฎหมายสังคมนิยม กับระบบกฎหมายชีวิลลอว์ มี 4 ประการ คือ

(1) ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ พัฒนามาเป็นระยะเวลานานหลายศตวรรษ การออกกฎหมายต้อง อาศัยหลักการ เหตุผลและเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นพื้นฐานรองรับ แต่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมอาศัยการเมือง เป็นจักรกลสําคัญในการออกกฎหมาย ดังนั้นจึงมีผลให้หลักการสําคัญของกฎหมายหลายเรื่องแตกต่างกัน เช่น กฎหมายอาญาของประเทศสังคมนิยม ไม่ต้องตีความโดยเคร่งครัด โดยอาจจะลงโทษผู้กระทําความผิดโดยอาศัย การเทียบเคียงความผิด (Crime by Aralogy) และออกกฎหมายย้อนหลังลงโทษผู้กระทําความผิดได้

(2) ระบบกฎหมายชีวิลลอว์ มักถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การออกกฎหมายใด ๆ จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมจะคํานึงถึงเป้าหมาย นั่นคือ การสร้างความ เท่าเทียมกันในสังคมมากกว่าวิธีการ ดังนั้นแม้จะต้องออกกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ได้ผ่านขั้นตอน ของรัฐสภาก็อาจจะใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

(3) ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ ให้เสรีภาพแก่เอกชนในการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ในระบบ กฎหมายสังคมนิยมถือว่ารัฐมีอํานาจในการจํากัดการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์

(4) ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ ให้ความสําคัญแก่กฎหมายเอกชนมากกว่ากฎหมายมหาชน แต่ ในระบบกฎหมายสังคมนิยมจะให้ความสําคัญแก่กฎหมายมหาชนมากกว่ากฎหมายเอกชน เนื่องจากความจําเป็น ทางด้านการเมือง และถือว่านิติสัมพันธ์ของประชาชนอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายมหาชน เช่น การได้มาหรือ สิ้นไปของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัว

 

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายตราสามดวงคืออะไร เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ. 1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจชายแล้วมา ฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

ข้อ 2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของ
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อํานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤาษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤๅษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแดง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

ข้อ 3. ระบบกฎหมายหลักมีระบบ อะไรบ้าง จงอธิบายแต่ละระบบโดยย่อ

ธงคําตอบ

ระบบกฎหมายหลักของโลก มี 4 ระบบ คือ

(1) ระบบกฎหมายโรมาโน-เยอรมันนิค โรมาโนเป็นภาษาของชนเผ่าอีทรัสคัน หมายความว่า กรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นต้นกําเนิดของประมวลกฎหมายแพ่ง

เยอรมันนิค หมายความว่า ชื่อชนเผ่าหนึ่ง ปัจจุบันคือชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นชนเผ่าที่นําเอา ประมวลกฎหมายแพ่งไปใช้กับชนเผ่าของตน

เนื่องจากกฎหมายโรมันเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Written Law การที่กฎหมายโรมันจัดทําเป็นประมวลกฎหมาย จึงมีผู้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Code Law ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายนี้คือ อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน สวิส ญี่ปุ่น ไทย ฯลฯ

(2) ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ คือ ระบบกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ศาลนําเอา จารีตประเพณีมาใช้ในการตัดสินคดี ต้นกําเนิดหรือแม่แบบเกิดขึ้นในประเทศแรกคือ อังกฤษ ระยะแรกมีชนเผ่า ต่าง ๆ ที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานบนเกาะอังกฤษ ศาลท้องถิ่นได้นําเอาจารีตประเพณีของชนเผ่ามาตัดสิน ทําให้ผล ของคําพิพากษาแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน จนกระทั่งชนเผ่าสุดท้ายคือพวกนอร์แมนพิชิตเกาะอังกฤษ ในสมัย พระเจ้าวิลเลียมที่ 1 จึงส่งศาลเคลื่อนที่ออกไปวางหลักเกณฑ์ ทําให้จารีตประเพณีเหมือนกันทุกท้องถิ่น มีลักษณะ เป็นสามัญ (Common) และใช้กันทั่วไป จึงเรียกว่า คอมมอนลอว์ ตัวอย่างเช่น แคนาดา อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพแอฟริกาใต้ เป็นต้น

(3) ระบบกฎหมายสังคมนิยม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าระบบกฎหมายคอมมิวนิสต์ เกิดขึ้นใน ประเทศแรกคือ รัสเซีย หลังจากมีการปฏิวัติเมื่อ ค.ศ. 1917 โดยนําเอาแนวความคิดของนักปราชญ์ 2 ท่าน คือ คาร์ล มาร์กซ์ และเลนิน ซึ่งถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อให้การปกครองของประเทศยึดหลักผลประโยชน์ ของส่วนรวมหรือของชุมชนหรือสังคม ประเทศใดที่มีการปกครองในระบอบสังคมนิยมตามแนวคิดของนักปราชญ์ ทั้งสอง ประเทศนั้นจัดอยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม เช่น เวียดนาม ลาว เกาหลีเหนือ จีนแผ่นดินใหญ่ เป็นต้น

(4) ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนิยม ในปัจจุบันมีบางประเทศที่ได้นําเอาคําสอนของ พระผู้เป็นเจ้ามาบัญญัติเป็นกฎหมาย จึงกล่าวกันว่าศาสนาเป็นที่มาของบ่อเกิดของกฎหมาย มี 3 กลุ่ม คือ

(ก) ศาสนาอิสลาม ต้นกําเนิดประเทศแรกคือ ประเทศซาอุดิอาระเบีย คําสอนของพระเจ้า
คือ อัลลอฮ์ ปรากฏอยู่ในกฎหมาย เช่น กฎหมายครอบครัวและมรดก เป็นต้น

(ข) ศาสนาคริสต์ แนวความคิดของศาสนาคริสต์ ใช้เป็นแนวทางในการร่างกฎหมายของ ประเทศที่นับถือคริสต์ศาสนา เช่น ข้อกําหนดห้ามหย่า การห้ามคุมกําเนิด การห้ามทําแท้ง และการห้ามสมรสซ้อน Bigamy) เป็นต้น

(ค) ศาสนาฮินดู ต้นกําเนิดประเทศแรกคือ ประเทศอินเดีย ตัวอย่างปรากฏอยู่ในตํารา กฎหมาย คือ พระธรรมศาสตร์ หรือของไทยเรียกคัมภีร์ธรรมศาสตร์ของมโนสาราจารย์

ส่วนประเพณีนิยม เกิดจากคําสอนของนักปราชญ์ ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า เช่น ชาวจีนในสมัย ขงจื้อที่นําเอาความเชื่อของนักปราชญ์ท่านนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายในชีวิตประจําวัน หรือลัทธิชินโตของประเทศญี่ปุ่นก็มีอิทธิพลต่อการจัดทํากฎหมายของญี่ปุ่นเช่นกัน

หมายเหตุ คําตอบของนักศึกษาถ้าอยู่ในหน้า 91 ถึง 101 ก็ให้คะแนน

ข้อ 4. คอมมอนลอว์ และชีวิลลอว์ แตกต่างในเรื่องผลของคําพิพากษาอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์นั้น เป็นการพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดี และผู้พิพากษาได้กําหนดหลักเกณฑ์อันเป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่าง (Precedent) ขึ้นจากข้อเท็จจริงในคดีนั้น เป็นการพิจารณาคดีจากข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่องมาสู่หลักเกณฑ์ทั่วไป

เมื่อศาลได้พิพากษาและกําหนดแบบอย่างอันเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นกฎหมายแล้ว
ศาลต่อ ๆ มาต้องผูกพันที่จะพิพากษาไปในแนวทางเดียวกัน

แต่ในระบบกฎหมายซีวิวลอว์นั้น คํานึงถึงตัวบทกฎหมายเป็นสําคัญ การพิจารณาคดีของศาลเป็น การนําเอาตัวบทกฎหมายที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปมาปรับกับคดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป เมื่อศาลได้มีคําพิพากษา
ไปแล้ว คําพิพากษาของศาลไม่ถือว่าเป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อมาจําเป็นต้องพิพากษาไปในแนว เดียวกัน ศาลต่อ ๆ มา ไม่จําต้องผูกพันที่จะพิพากษาตามคําพิพากษาของศาลก่อน ๆ แม้ศาลล่าง เช่น ศาลชั้นต้น ก็ไม่จําต้องยึดแนวคําพิพากษาของศาลสูง เช่น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลของตน แต่อย่างไรก็ตาม คําพิพากษาของศาลสูงแม้จะไม่ใช่กฎหมาย แต่ก็ได้รับความเคารพเชื่อถือในแง่ที่ว่า ศาลสูงได้ ใคร่ครวญและกลั่นกรองคําพิพากษาของศาลชั้นต้นมาแล้ว อีกทั้งถ้าศาลล่างมีคําพิพากษาแตกต่างไปจากศาลสูง คําพิพากษานั้นอาจจะถูกกลับได้ แนวคําวินิจฉัยของศาลสูงจึงมีบทบาทสําคัญในการพัฒนากฎหมาย นักศึกษากฎหมายจําเป็นต้องเอาใจใส่ศึกษาไม่น้อยกว่าตัวบทกฎหมาย

 

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก 1/2558

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายตราสามดวงคืออะไร เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ. 1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าขายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อําานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย
ที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤๅษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทระดาบสจึงได้ละเพศฤาษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 3. การศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศมีประโยชน์อย่างไร จงยกมาให้ดูเป็นข้อ ๆ

ธงคําตอบ

ประโยชน์ของการศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายต่างประเทศ มีดังนี้

(1) ทําให้สามารถล่วงรู้ถึงกฎหมายและหลักการในกฎหมายเก่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการศึกษา หรือการจัดทําและแก้ไขปรับปรุงกฎหมายใหม่

(2) ทําให้มีความเข้าใจกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้ดีขึ้นว่ากฎหมายดังกล่าวนี้มีที่มาอย่างไร มีความหมายและขอบเขตเพียงใด โดยเปรียบเทียบกับบทบัญญัติในกฎหมายเก่า

(3) ทําให้เข้าใจความเป็นมาและระบบกฎหมายของประเทศต่างๆ และอาจนํามาเปรียบเทียบ กับความเป็นมาและระบบกฎหมายของประเทศตน

(4) ทําให้มีความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมทางกฎหมายของประเทศต่าง ๆ ในอดีต และในระยะต่อมา

 

ข้อ 4. ระบบกฎหมายสังคมนิยม และระบบกฎหมายซีวิลลอว์ แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

ระบบกฎหมายสังคมนิยมและระบบกฎหมายซีวิลลอว์ มีความแตกต่างกัน 4 ประการ คือ

(1) กฎหมายอาญา

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม การตีความกฎหมายอาญาไม่เคร่งครัด อาจจะ
ลงโทษผู้กระทําความผิดโดยอาศัยเทียบเคียงความผิด (Crime by Analogy) แต่ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมาย ซีวิลลอว์ การตีความกฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด

(2) กฎหมายรัฐธรรมนูญ

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมคํานึงถึงเป้าหมาย คือ การสร้างความเท่าเทียมกัน
ในสังคมมากกว่าวิธีการ ดังนั้นแม้จะต้องออกกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ได้ผ่านขั้นตอนของรัฐสภาก็อาจ ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ แต่ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การออกกฎหมายใด ๆ จะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้

(3) กรรมสิทธิ์

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยมถือว่ารัฐมีอํานาจในการจํากัดการมีกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินของเอกชนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ แต่ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ จะให้
เสรีภาพแต่เอกชนในการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

(4) ความสําคัญของกฎหมาย

ประเทศที่อยู่ในระบบกฎหมายสังคมนิยม จะให้ความสําคัญกับกฎหมายมหาชนมากกว่า กฎหมายเอกชน โดยเฉพาะในเรื่องการได้มาและสิ้นไปของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่ในระบบกฎหมายชีวิลลอว์ จะอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายเอกชน

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายตราสามดวงคืออะไร เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ.1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจชายแล้วมา ฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 2. ในพระอัยการลักษณะโจร และพระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน มีการบัญญัติกฎหมายที่มีการ ยกเว้นโทษแก่ผู้กระทําความผิดอาญากรณีใดบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

พระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน มีการยกเว้นโทษให้แก่ผู้กระทําความผิดในกรณี ดังนี้
1. ลักทรัพย์ระหว่างเครือญาติ
2. ทําร้ายร่างกายไม่ถึงอันตรายสาหัสระหว่างเครือญาติ
3. เด็กอายุไม่เกิน 7 ขวบ และคนแก่เกินกว่า 70 ปีขึ้นไป ที่กระทําความผิด ไม่ต้องรับโทษ
4. ยกเว้นโทษให้แก่คนวิกลจริต
5. หมิ่นประมาท ว่า พ่อ แม่ ลูก ทําชู้กัน และเป็นจริงตามที่หมิ่นประมาท

 

ข้อ 3. กฎหมายของต่างประเทศมีอิทธิพลต่อกฎหมายไทยในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 บรรพ จํานวน 1,755 มาตรา เมื่อ พิจารณาถึงมาตราต่าง ๆ ในแต่ละบรรพ (Books) จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการร่างกฎหมายได้อาศัยกฎหมายของ ประเทศทางตะวันตกเป็นส่วนมากในการจัดทําประมวลกฎหมายฉบับนี้ ดังจะเห็นได้จากบรรพ 1 หลักทั่วไป และบรรพ 2 ได้ลอกเลียนแบบมาจากกฎหมายแพ่งของเยอรมันและกฎหมายแพ่งของญี่ปุ่น ซึ่งมีรากฐานมาจาก กฎหมายโรมัน โดยเฉพาะในบรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ในเรื่องวางทรัพย์ บางมาตราเมื่อเทียบตัวบทแล้วแทบจะเรียกได้ว่า เหมือนกันแทบทุกคําก็ว่าได้

ส่วนในบรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา ได้นํากฎหมายหลายประเทศมาพิจารณา เช่น กฎหมายแพ่ง ของฝรั่งเศส กฎหมายแพ่งของสวิส นอกเหนือจากกฎหมายแพ่งของเยอรมันและญี่ปุ่น แต่เมื่อพิจารณาอย่าง ละเอียดรอบคอบแล้ว ได้ยึดถือพระราชบัญญัติซื้อขายสินค้า (The Sale of Goods Act, 1893) ของประเทศ อังกฤษเป็นหลัก ดังปรากฏในมาตราต่าง ๆ ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 1 ว่าด้วย ซื้อขายซึ่งมีบทบัญญัติที่คล้ายคลึงกับกฎหมายซื้อขายของประเทศอังกฤษ

สําหรับกฎหมายตั๋วเงินในบรรพ 3 ลักษณะ 21 ก็ได้นําเอาบทบัญญัติส่วนใหญ่ของ เดอะบิลล์ ออฟเอ็กซ์เชนจ์แอคท์ ค.ศ. 1882 (The Bill of Exchange Act, 1882) ของอังกฤษมาเป็นรากฐานในการร่าง นอกจากนี้กฎหมายอังกฤษก็ยังเป็นต้นแบบแนวความคิดในการร่างกฎหมายลักษณะบริษัทจํากัดอีกด้วย

ในกฎหมายล้มละลายคือพระราชบัญญัติล้มละลาย ร.ศ. 127 ก็เป็นกฎหมายที่ได้รับอิทธิพลมาจาก กฎหมายของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายของอังกฤษ ซึ่งต่อมาได้มีการตรากฎหมายฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และฉบับปัจจุบันคือ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2542

ส่วนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย ก็เป็นกฎหมายอีกฉบับหนึ่งที่ผู้ร่างได้ นําเอาหลักกฎหมายอังกฤษมาบัญญัติไว้คือ เรื่องเฮบีอัสคอร์พัส (Habeas Corpus) ซึ่งเป็นกฎหมายสําคัญใน การให้หลักกฎหมายทางเสรีภาพแก่ประชาชนอังกฤษมาใช้ ตามกฎหมายอังกฤษถ้าบุคคลใดฝ่าฝืนหมายเรียก เฮบีอัสคอร์พัส ย่อมมีความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล ผลคือศาลลงโทษได้ทันที หลักกฎหมายนี้ได้นํามาบัญญัติไว้ ในมาตรา 90 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนชาวไทยได้รับความ คุ้มครองเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างในอังกฤษ

 

ข้อ 4. การเรียนกฎหมายในระบบคอมมอนลอว์ มีความแตกต่างจากระบบซีวิลลอว์ อย่างไร

ธงคําตอบ

การศึกษากฎหมายในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์นั้น นักศึกษากฎหมายจําเป็นต้องศึกษาจาก คําพิพากษาที่ศาลได้ตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐาน ดังนั้น นักศึกษาจึงได้รับการฝึกหัดให้วิเคราะห์คําพิพากษาจาก ข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้นเพื่อแยกเอาหลักเกณฑ์ที่ถือเป็นบรรทัดฐานของคําพิพากษาที่จะนําไปใช้เป็นแบบอย่าง สําหรับคดีต่อ ๆ มา ตํารากฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์จึงมีลักษณะเป็นการรวบรวม เอาคําพิพากษาที่สําคัญ ๆ ที่ได้ตัดสินไปแล้ว นํามาวิเคราะห์ (Analyse) โดยจะมุ่งแสดงให้เห็นถึงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏในคําพิพากษาเหล่านั้น มีการจําแนกออกเป็นเรื่อง ๆ เพื่อสะดวกแก่การศึกษา

ส่วนประเทศที่ใช้ระบบชีวิลลอว์ ความสําคัญอยู่ที่ตัวบทกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้แก่ ประมวล กฎหมายต่าง ๆ นั่นเอง นักศึกษาจึงต้องศึกษาจากตัวบทกฎหมายเหล่านั้น หรือค้นคว้าจากคําอธิบาย เพื่อให้ เข้าใจความหมายของตัวบทกฎหมายดังกล่าว ตํารากฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายซีวิลลอว์ จึงมีลักษณะ ที่เป็นการอธิบายความหมายของตัวบทกฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นแนวคิดของนักนิติศาสตร์ หรือนักปราชญ์ทางกฎหมาย ตลอดจนคําพิพากษาของศาลสูง ซึ่งถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กฎหมายอีกด้วย

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก s/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายตราสามดวงคืออะไร เพราะเหตุใดจึงมีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ. 1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจขายแล้วมา ฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

 

ข้อ 2. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของ
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อําานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤๅษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤาษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤๅษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 3. กฎหมายไทยในปัจจุบันมีรากเหง้ามาจากแหล่งต่าง ๆ จงอธิบายแหล่งที่มาของกฎหมายไทย

ธงคําตอบ

กฎหมายไทยในปัจจุบันมีรากเหง้ามาจากแหล่งต่าง ๆ 3 แหล่ง ดังนี้คือ

1. กฎหมายไทยดั้งเดิม เช่น คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ กฎหมายไทยในสมัยต่าง ๆ และกฎหมาย
ตราสามดวง

2. กฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย เช่น กฎหมายแพ่งเยอรมัน ฝรั่งเศส สวิส บราซิล ญี่ปุ่น เป็นต้น

3. กฎหมายอังกฤษ

 

ข้อ 4. จงอธิบายกําเนิดของกฎหมายสิบสองโต๊ะว่ามีสาเหตุเกิดจากอะไร

ธงคําตอบ

การแบ่งชนชั้นออกเป็น 2 พวก คือ แพทริเชียน (Patricians) และเพลเบียน (Plebeians) ทําให้ เกิดความเหลื่อมล้ําและไม่เสมอภาคทางสังคมและทางการเมือง พวกชนชั้นสูงหรือแพทริเซียนมีสิทธิเหนือกว่า ชนชั้นกลางหรือสามัญชนคือพวกเพลเบียน เช่น พวกเพลเบียนไม่มีสิทธิแต่งงาน (Conubium) การแต่งงานที่ ชอบด้วยกฎหมายระหว่างชนชั้นสูง จะมีผลทําให้บุตรที่เกิดจากคู่สมรสอยู่ในอํานาจปกครองของครอบครัวที่บิดา
สังกัดอยู่ การแต่งงานระหว่างพวกเพลเบียนและแพทริเซียนจึงเป็นของต้องห้ามอย่างเด็ดขาด ส่วนบุตรที่เกิดจาก การอยู่กินกันระหว่างพวกแพทริเซียนกับเพลเบียนจะอยู่ในอํานาจปกครองของครอบครัวของเพลเบียนนั้นต่อไปไม่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นแพทริเชียน

สิทธิทางการเมืองในการดํารงตําแหน่ง เช่น ประมุขในการบริหารหรือปกครองที่เรียกว่ากงสุล ซึ่ง ถือว่าเป็นผู้มีอํานาจสูงสุด (Imperiurn) จํากัดเฉพาะพวกแพทริเซียน ส่วนตําแหน่งต่าง ๆ รองลงไปก็จํากัด เฉพาะพวกชนชั้นสูงเท่านั้น พวกเพลเบียนไม่มีสิทธิดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ทางการเมืองแต่อย่างใด

นอกจากนี้ในการออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย หรือการชี้ขาดตัดสินคดี เป็นอํานาจของ พวกแพทริเขียนทั้งสิ้น เช่น พวกเพลเบียนที่เป็นลูกหนี้พวกแพทริเซียน แล้วไม่ยอมชําระหนี้ การบังคับชําระหนี้ อาจนําไปสู่ความเป็นทาส หรือความตายของลูกหนี้และครอบครัวได้ เพราะผู้พิพากษาซึ่งทําหน้าที่บังคับชําระหนี้ ก็เป็นพวกเดียวกันกับพวกแพทริเชียน ความยุติธรรมจึงยากที่จะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เองทําให้เกิดความไม่พอใจ แก่พวกเพลเบียนเป็นอย่างมาก เพราะพวกนี้ไม่มีทางทราบได้เลยว่ากฎหมายที่ใช้มีอยู่อย่างไร จึงได้มีการเรียกร้องให้นํากฎหมายเหล่านั้นมาเขียนให้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร

สรุป กําเนิดของกฎหมายสิบสองโต๊ะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนชั้น 2 พวก คือ แพทริเชียน และเพลเบียนนั่นเอง

LAW1106 (LAW4062) ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก ซ่อม 1/2257

การสอบซ่อมภาค 1 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2032 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร ในประมวลกฎหมายตราสามดวงได้มีการกล่าวถึงการกําเนิดของ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อํานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วยโดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้กล่าวถึงกําเนิดของพระคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ไว้ว่า เกิดจากการที่มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งชื่อ พรหมเทวะ จุติจากพรหมโลกแล้วมาปฏิสนธิกําเนิดในตระกูลมหาอํามาตย์ซึ่งเป็นข้าบาท พระเจ้ามหาสมมุติราช ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็เข้าแทนที่บิดา ต่อมาเห็นสัตว์โลกทั้งหลายได้รับความทุกข์ยากต่าง ๆ จึงมีความปรารถนาที่จะให้พระเจ้าสมมุติราชตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงถวายบังคมลาออกไปบวชเป็นฤาษีอยู่ใน ป่าหิมพานต์ ต่อมาพระเทวฤๅษีได้เสียเป็นผัวเมียกับกินรีนางหนึ่งจนเกิดบุตร 2 คน คนแรกชื่อ ภัทธระกุมาร คนที่ 2 ชื่อ มโนสารกุมาร เมื่อบุตรทั้ง 2 เจริญเติบโต บิดาก็ให้บวชเป็นฤๅษีจําศีลภาวนา และรับใช้ปรนนิบัติบิดามารดา จนกระทั่งบิดามารดาได้ตายจากไป ภัทธระดาบสจึงได้ละเพศฤๅษีไปรับราชการเป็นปุโรหิตสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช ส่วนมโนสารฤๅษีก็ตามพี่ชายออกไปทําราชการด้วย พระเจ้าสมมุติราชจึงตั้งมโนสารให้เป็นผู้พิพากษา

ครั้นอยู่มาวันหนึ่งมีชาย 2 คน ทําไร่แตงใกล้กัน เมื่อปลูกแล้วเอาดินมาปูเป็นถนนกั้นกลาง เถาแตง จึงเลื้อยพาดผ่านข้ามถนนพันจนเป็นต้นเดียวกัน เมื่อแตงเป็นผล ชายทั้งสองต่างก็มาเก็บแตงจึงเกิดการทะเลาะวิวาท ด้วยต่างอ้างเป็นเจ้าของผลแตง ชายทั้งสองจึงพากันมาหาพระมโนสารให้เป็นผู้ชี้ขาด พระมโนสารตัดสินว่า แตงอยู่ในไร่ผู้ใดผู้นั้นเป็นเจ้าของผลแตง ชายผู้หนึ่งไม่พอใจในคําตัดสินของพระมโนสาร จึงอุทธรณ์คําตัดสิน ไปยังพระเจ้าสมมุติราช พระองค์จึงตรัสใช้อํามาตย์ผู้หนึ่งให้ไปพิจารณาคดีใหม่ อํามาตย์ผู้นั้นจึงเลิกต้นแตงขึ้นดู ตามปลายยอด เอายอดแตงกลับมาไว้ตามต้น ชายทั้งสองต่างพอใจในคําตัดสินของอํามาตย์ผู้นี้ และประชาชน ทั้งหลายต่างพากันตําหนิว่าพระมโนสารตัดสินคดีไม่เป็นธรรม พระมโนสารมีความเสียใจจึงหนีไปออกบวชเป็น ฤๅษีจําเริญภาวนาได้อภิญญา 5 และอรรฐสมบัติ 8 แล้วมีความประสงค์จะให้พระเจ้าสมมุติราชทรงไว้ด้วย ทศพิธราชธรรม 10 ประการ จึงเหาะไปยังกําแพงจักรวาลเห็นบาลีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏอยู่ในกําแพงจักรวาลมีปริมณฑลเท่ากายคชสาร พระมโนสารก็จดจําและนํามาแต่งเรียบเรียงขึ้นเป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ เพื่อมาสั่งสอนพระเจ้าสมมุติราช

 

ข้อ 2. ตามประมวลกฎหมายตราสามดวง ความเป็นญาติมีผลทางอาญาและทางแพ่งอย่างไรบ้าง ให้ นักศึกษาอธิบายผลทางอาญามา 2 กรณี และผลในทางแพ่งมา 2 กรณี

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายตราสามดวง ความเป็นญาติมีผลทางอาญาและทางแพ่งตามพระอัยการ
ลักษณะต่าง ๆ ในประมวลกฎหมายตราสามดวง ในกรณีต่าง ๆ ดังนี้

1. ทางแพ่ง
(1) ห้ามมิให้มีการสมรสกันในระหว่างเครือญาติ (พระอัยการลักษณะตัวเมีย)
(2) มีสิทธิรับมรดก (พระอัยการลักษณะมรดก)

2. ทางอาญา
(1) ไม่ต้องรับโทษทางอาญาในความผิดฐานลักทรัพย์ (พระอัยการลักษณะโจร)
(2) ไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานทําร้ายร่างกาย มีถึงอันตรายสาหัส (พระอัยการลักษณะวิวาทด่าตีกัน)

 

ข้อ 3. คอมมอนลอว์เกิดขึ้นได้อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

คอมมอนลอว์ (Common Law) นั้นเกิดจากเกาะอังกฤษแต่เดิมจะมีชนเผ่าดั้งเดิม ซึ่งทําไร่ ไถนา เพาะปลูก เรียกว่า Briton แต่ถูกรุกรานจากชนเผ่าต่าง ๆ เช่น พวกไอบีเรียน (Iberian), พวกกาล (Gael) และ พวกเซลท์ (Celt) ที่มาจากสเปน โปรตุเกส และเยอรมัน เช่น เผ่าที่มีชื่อเรียกว่า แองโกลหรือแองเจิล (Anglo หรือ Angles) เป็นนักรบ ได้ยกกองทัพเรือขึ้นไปบนเกาะอังกฤษ เมื่อชนเผ่าดั้งเดิมสู้ไม่ได้จึงถูกยึดครอง อีกพวก คือพวกแซกซอน (Saxons) และมีอีกเผ่าหนึ่งที่เรียกว่า พวกจุ๊ทส์ (Jutes) ที่เข้าไปยึดครองเกาะอังกฤษ จะเห็น ได้ว่าเดิมนั้นเกาะอังกฤษจะหลากหลายด้วยชนเผ่า แต่ละชนเผ่าก็จะมีจารีตประเพณีของตนเองจนมีผู้กล่าวว่า “ถ้าขี่ม้าข้ามทุ่งนาต้องผ่านจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นนับเป็นสิบ ๆ อย่าง” และชนเผ่าสุดท้ายที่เป็นบรรพบุรุษ ของคนอังกฤษคือ ชาวนอร์แมน (Norman) นอกจากนี้ในสมัยที่กรุงโรมเรืองอํานาจ กรุงโรมได้ส่งกองทัพเรือ ยึดเกาะอังกฤษหลายร้อยปี จน ค.ศ. 1066 ชาวนอร์แมนมาจากแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของ ยุโรปคือ ประเทศนอร์เวย์ บุกขึ้นเกาะอังกฤษแล้วตั้งราชวงศ์ มีกษัตริย์ปกครองทรงพระนามว่าพระเจ้าวิลเลียม แต่พระองค์ก็ประสบปัญหาในการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของคดีความ เนื่องจากศาลท้องถิ่นได้ ตัดสินคดีโดยใช้จารีตประเพณีที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงทําให้ผลของคําพิพากษาตรงกันข้ามกันในแต่ละศาล อีกทั้งจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นของบางชนเผ่าเป็นจารีตประเพณีที่ล้าสมัย คําพิพากษาของศาลท้องถิ่นที่ตัดสินตาม จารีตประเพณีนั้นเป็นเหตุให้ฝ่ายที่แพ้คดีเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม รวมทั้งวิธีการพิสูจน์ความจริงก็ใช้ วิธีการดั้งเดิม เช่น การพิสูจน์น้ํา พิสูจน์ไฟ หรือให้คู่ความต่อสู้กันเอง ดังนั้นราษฎรฝ่ายที่แพ้คดีจึงมาร้องเรียนต่อ

พระเจ้าวิลเลียม พระองค์จึงได้จัดตั้งศาลพระมหากษัตริย์ (King’s Court) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศาลหลวง (Royal Court) ส่งผู้พิพากษานั่งรถม้าจากส่วนกลางเป็นศาลเคลื่อนที่หมุนเวียนออกไปพิจารณาคดี โดยศาลหลวง ไม่ใช้วิธีพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างศาลท้องถิ่น แต่ใช้วิธีการไต่สวนจากบุคคลที่รู้เหตุการณ์แทนการพิจารณาแบบดั้งเดิม ทําให้ประชาชนทั่วไปเห็นว่าศาลหลวงให้ความเป็นธรรมแก่ตนได้ จนในที่สุดศาลหลวงได้วางหลักเกณฑ์ที่ มีลักษณะเป็นสามัญ (Common) และใช้กันทั่วไป ทําให้กฎหมาย Common Law เริ่มเกิดขึ้นในประเทศ อังกฤษนับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ข้อ 4. คอมมอนลอว์ และซีวิลลอว์ แตกต่างกันอย่างไร จงอธิบายรายละเอียดพอสังเขป และยกมาให้ดู มาเป็นข้อ ๆ

ธงคําตอบ

ข้อแตกต่างระหว่างคอมมอนลอว์ และชีวิลลอว์ มี 5 ประการ ดังนี้คือ
(1) ที่มาของกฎหมาย
(2) วิธีพิจารณาคดี
(3) การจําแนกประเภทกฎหมาย
(4) ผลของคําพิพากษา
(5) การศึกษากฎหมาย

หมายเหตุ นักศึกษาต้องตอบรายละเอียดแต่ละข้อในตําราหน้า 175 ถึง 178 พอสังเขปด้วย

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!