LAW1106 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1106 ประวัติศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก
ข้อแนะนํา ข้อสอบนี้เป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. กฎหมายศาสนาอิสลามเกิดจากอะไร และมีอิทธิพลอย่างไรต่อกฎหมายไทยในยุคปัจจุบัน

ธงคําตอบ

ศาสนาอิสลามมีหลักการสอนให้มีความเชื่อว่า อัลลอฮ์ เป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวในสากลจักรวาล เป็นผู้สร้างโลกมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งปวง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมอยู่ใต้อํานาจบันดาลของพระองค์ทั้งสิ้น ท่านนบีมูฮีมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาอิสลามและเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ ให้มาประกาศสั่งสอนหลักธรรมแก่มนุษย์โลก ดังที่ปรากฏข้อความในพระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ซึ่งถือเป็นธรรมนูญสูงสุดและเป็นที่มาอันดับแรกของกฎหมายอิสลาม

กฎหมายอิสลามมีแหล่งกําเนิดที่นครมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในสมัยที่ท่านนบีมูฮ์มัด ได้ทรงประกาศศาสนาและเป็นผู้ปกครองประเทศ ต่อมาได้แพร่หลายไปในประเทศต่าง ๆ ที่มีมุสลิมซึ่งถือหลัก ในการพิจารณากระบวนการยุติธรรม อันเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครอบครัว ผัวเมีย และการแบ่งปันมรดกของ
ชนชาวมุสลิม

ท่านอาจารย์เด่น โต๊ะมีนา ได้อธิบายว่า กฎหมายอิสลามมีที่มาจากหลักฐานทางศาสนาที่สําคัญ
อยู่ 4 ประการ คือ

1) พระมหาคัมภีร์อัล-กุรอาน ถือว่าเป็นพระอธิเทวราชโองการของอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงประทานลงมาให้แก่ท่านนบีมูฮัมัด ต่างกรรมต่างวาระที่พระองค์เห็นสมควร ปรากฏว่าภายหลังจากที่ท่าน นบีมูฮามัดได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว จึงได้มีการรวบรวมจากที่กระจัดกระจายอยู่ตามบันทึกที่มีการจดเป็นตัวอักษร ไว้ในใบปาล์มบ้าง หนังสัตว์บ้าง ตลอดถึงการจดจําของบรรดาผู้ใกล้ชิด และผู้เป็นสาวกนํามาเรียงลําดับก่อนหลัง จนครบถ้วนบริบูรณ์ รวมทั้งสิ้น 30 ภาค มี 114 บท จํานวน 6,000 กว่าโองการ จึงนับได้ว่าเป็นที่มาของกฎหมาย อิสลามอันดับแรกที่สําคัญที่สุด

2) พระคัมภีร์อัล-หะดีษ คือ ข้อบัญญัติจากการกระทําหรือปฏิบัติการต่าง ๆ และพระวัจนพจน์ ตลอดถึงการวินิจฉัยข้อปัญหากฎหมายบางเรื่องบางอย่าง รวมทั้งการดําเนินตามวิถีทางความเป็นอยู่ทุกอิริยาบถ ของท่านนบีมูฮัมัด ซึ่งได้มีการบันทึกและจดจําโดยผู้ใกล้ชิดและบรรดาสาวกทั้งหลาย เก็บรักษาไว้เป็นหลักการ ทางศาสนาและปฏิบัติกันตลอดมาที่เรียกว่า “ซุนนะห์”

3) อัล-อิจญ์มาร์ คือ มติธรรมของปวงปราชญ์ ซึ่งเป็นความเห็นอันเกี่ยวกับปัญหาทางกฎหมาย อิสลามที่สอดคล้องต้องกันของนักนิติศาสตร์ฝ่ายศาสนาอิสลาม ผู้ซึ่งเป็นสาวกของท่านนบีมูฮัมัด ในกรณีที่ไม่มี ข้อความอันใดปรากฏในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน หรืออัล-หะดีษ ที่จะยกมาปรับกับปัญหาที่มีขึ้น

4) อัล-กิยาส คือ การเปรียบเทียบโดยอาศัยเหตุผลที่ต่อเนื่องด้วยหลักการแห่งที่มาของกฎหมาย อิสลามทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้นนั้น แต่ยังไม่เพียงพอแก่ความต้องการของสังคมมุสลิม จึงจําเป็นต้องใช้ วิธีการให้เหตุผลโดยอาศัยการเปรียบเทียบกับตัวบทกฎหมายที่ใกล้เคียง และไม่ขัดกับหลักการอันเป็นที่มาของ กฎหมายอิสลามทั้ง 3 ข้อที่กล่าวแล้วด้วย หรือถ้าหากยังไม่สามารถกระทําได้ก็ให้ดําเนินการวินิจฉัยตามหลักธรรม การปฏิบัติศาสนกิจหรือตามประเพณีนิยม (อัล-อุรฟ) ทั่วไปที่ไม่ขัดกับหลักธรรมหรือจริยธรรมของอิสลาม เช่น หลักกฎหมายอิสลามที่ใช้บังคับกับศาลชั้นต้นในเขต 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ สตูล ยะลา ปัตตานี และ
นราธิวาส โดยคู่กรณีต้องเป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในจังหวัดดังกล่าว และต้องเป็นประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายครอบครัวหรือมรดกเท่านั้น เนื่องจากหากมีการใช้มวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับครอบครัว และมรดกบังคับใช้กับประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามที่อยู่ในเขตจังหวัดสตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับครอบครัวและมรดกนั้น มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับหลักกฎหมายอิสลาม

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงอิทธิพลของการแบ่งชนชั้นของพระเจ้าฮัมมูราบีที่มีต่อกฎหมาย

ธงคําตอบ

ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ซึ่งได้มีการจัดทําในสมัยของพระเจ้า ฮัมมูราบีกษัตริย์บาบิโลเนีย จะมีข้อความที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพของสังคมบาบิโลเนียในสมัยนั้นเป็นอย่างดี ทําให้ ทราบว่าชาวบาบิโลเนียประกอบด้วยชนชั้นต่าง ๆ คือ พวกชนชั้นผู้ดี มีตําแหน่งหน้าที่สูงในทางศาสนาและบ้านเมืองพวกชนชั้นกลางหรือพ่อค้า พวกช่างฝีมือ กรรมกร พวกชนชั้นล่างหรือทาส นอกจากนี้การพิจารณาความหรือตัดสิน ข้อพิพาทต่าง ๆ ไม่ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องของครอบครัวหนึ่งครอบครัวใดโดยเฉพาะ แต่เป็นเรื่องของ บ้านเมืองที่จะบังคับให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย

ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีได้จัดทําขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งแบ่งแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ กฎหมายมหาชน กฎหมายเอกชน และกฎหมายอาญา

ในส่วนของกฎหมายมหาชนนั้น การปกครองสมัยนั้นเป็นการปกครองโดยกษัตริย์ซึ่งถือว่าทําการปกครองบ้านเมืองในนามของเทพเจ้า สมัยของพระเจ้าฮัมมูราบีได้ทําการขยายอาณาเขตไปทางเหนือจนถึง ดินแดนแอสซีเรีย ผู้ซึ่งรับคําสั่งจากกษัตริย์คือข้าราชการ นอกนั้นเป็นพวกประชาชนธรรมดากับพวกทาส ยุคสมัยจักรวรรดิบาบิโลนได้มีการแบ่งวรรณะของประชาชนออกเป็น 3 พวก คือ

1. ชนชั้นสูง (Awellu) หรือชนชั้นปกครอง คือ พวกข้าราชการ

2. ชนชั้นกลาง คือ ประชาชนธรรมดา (Muskinu) หรือพวกเสรีชน (Freeman)

3. ชนชั้นล่าง (Ardu) หรือทาส

เมื่อมีการแบ่งชนชั้นของประชาชนเช่นนี้ การบัญญัติกฎหมายก็ต้องสอดคล้องตามไปด้วย เช่น การกระทําผิดต่อชนชั้นสูงต้องรับโทษหรือถูกปรับสูงกว่าอัตราปกติ นอกจากนี้การทะเลาะวิวาททําร้ายร่างกายกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม หากชนชั้นล่างทําร้ายร่างกายคนชั้นสูง ชนชั้นสูงสามารถ แก้แค้นตอบแทนอย่างเดียวกับที่ตนถูกทําร้ายได้ ในทางตรงข้าม หากชนชั้นสูงทําร้ายร่างกายชนชั้นล่าง ชนชั้นล่าง จะแก้แค้นตอบแทนไม่ได้ แต่ให้ชนชั้นสูงจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ชนชั้นล่าง

การเปลี่ยนสถานะของชนชั้นเกิดขึ้นได้ในกรณีทาสซึ่งเป็นชนชั้นล่างอาจไถ่ตัวเองให้เป็นเสรีชนหรือ
ชนชั้นกลางจากนายเงินซึ่งเป็นเจ้าของทาสนั้นได้ อย่างไรก็ตาม หญิงซึ่งเป็นเสรีชนหากแต่งงานกับชายซึ่งเป็นทาส บุตรที่เกิดมาจะถือว่าเป็นชนชั้นใด ตามประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบีกําหนดให้เป็นเสรีชน และทรัพย์สิน กึ่งหนึ่งตกเป็นของฝ่ายหญิง

 

ข้อ 3. กฎหมาย 16 หลังคาเรือนในกฎหมายพระเจ้ามังรายคืออะไร มีความเหมือนและแตกต่างกับ กฎหมาย 3 เส้น 15 วาในกฎหมายลักษณะโจรของกฎหมายตราสามดวงอย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

กฎหมาย 16 หลังคาเรือนในกฎหมายพระเจ้ามังราย เป็นลักษณะของกฎหมายที่ให้ชุมชนช่วยกัน รับผิดชอบและป้องกันการกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ กฎหมายไม่ยอมรับฟังข้อแก้ตัวการปฏิเสธความรับผิดชอบ
ในผลแห่งการที่มีการกระทําผิดฐานลักทรัพย์ของเพื่อนบ้านที่ตนไม่ได้รู้เห็นด้วย โดยในกฎหมายได้บัญญัติมี ใจความว่า ในหมู่บ้านหนึ่งมี 16 หลังครัวเรือน ทุกบ้านมีความคุ้นเคยสนิทสนมกัน เมื่อมีคนร้ายเข้าไปลักวัวควาย และทรัพย์สินในบ้านหลังหนึ่ง อีก 15 ครัวเรือนต้องร่วมกันชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ถูกลักไป จะแก้ตัวว่าตนเอง ไม่ได้รู้เห็นกับการลักทรัพย์นั้นไม่ได้ โดยกฎหมายให้เหตุผลว่าเพราะอยู่บ้านเดียวกัน ไม่สั่งสอนกัน ปล่อยให้ไป ลักของผู้อื่น และเมื่อได้ตัวคนร้ายในภายหลัง ให้พิจารณาดู หากเป็นคนดีก็ให้ใช้ราคาทรัพย์ 4 เท่า 6 เท่า หรือ 9 เท่า แล้วแต่กรณี แล้วให้ขับออกไปเสียจากบ้านไปอยู่ในระยะไกลขนาดตีกลองไม่ได้ยิน

และในกฎหมายดังกล่าวมีบทบัญญัติเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าหากหมู่บ้านมีเพียง 6 หลังคาเรือน ผู้อาศัย อยู่ในหมู่บ้านนี้ย่อมมีความสนิทสนมกันมากกว่ากรณีแรก เมื่อมีโจรไปลักทรัพย์ในเรือนหลังหนึ่งจนหมดสิ้น รั้วและ ประตูบ้านไม่มีร่องรอยการถูกงัดแงะ ซึ่งแสดงว่าผู้เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านเป็นคนที่รู้จักทางเข้าออกบ้านหลังนี้เป็น อย่างดี หากหาตัวคนร้ายไม่ได้ ให้ชาวบ้านอีก 5 ครัวเรือนเป็นผู้ชดใช้ราคาทรัพย์สินที่ถูกลักไปทั้งหมด ต่อมาภายหลัง ได้ตัวเพื่อนบ้านคนใดเป็นผู้กระทําผิด ให้ปรับไหมผู้นั้น 4 เท่า หรือ 9 เท่า แล้วให้ขับออกไปเสียจากหมู่บ้านนั้น

กฎหมาย 3 เส้น 15 วา ในกฎหมายลักษณะโจรของกฎหมายตราสามดวง เป็นกฎหมายที่กําหนด ความรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมู่เหล่าในชุมชนซึ่งจะเหมือนกับกฎหมาย 16 หลังคาเรือนในกฎหมายพระเจ้ามังราย ที่ให้สมาชิกในหมู่บ้านร่วมกันชดใช้ราคาของที่บ้านหลังหนึ่งถูกลักขโมยไป โดยกฎหมาย 3 เส้น 15 วา จะปรากฏ อยู่ในบทที่ 15, 16, 114 และ 136 ในพระอัยการลักษณะโจร ซึ่งสรุปได้ว่า เมื่อมีการปล้นก็ดี ฆ่าคนตายหรือ ทําร้ายสัตว์ถึงตายก็ดี ถ้าการกระทําความผิดเหล่านี้เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของหมู่บ้านใด ให้สมาชิกทุกคนของ หมู่บ้านนั้นมีหน้าที่ช่วยสืบค้นหาผู้ร้ายให้จงได้ และถ้าการปล้นนั้นเกิดขึ้นในขณะที่เพื่อนบ้านอยู่ด้วย เพื่อนบ้าน มีหน้าที่ช่วยต่อสู้ป้องกันโจรด้วย นอกจากนั้นความรับผิดชอบในความผิดที่เกิดขึ้นยังตกอยู่แก่ผู้อยู่ในระยะทาง 3 เส้น 15 วา วัดโดยรอบจากที่เกิดเหตุที่จะต้องช่วยกันจับโจรด้วย ผู้ใดไม่ช่วยจะต้องถูกลงโทษทวนด้วยลวดหนัง มากน้อยตามแต่ระยะทางที่ตนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้อยู่ในรัศมี 3 เส้น 15 วานี้ จะ พ้นความรับผิดไปเสียทีเดียว ยังต้องทําทัณฑ์บนไว้ว่า ถ้าภายหลังจับตัวผู้กระทําความผิดได้ และผู้กระทําความผิด ซัดทอดถึงผู้ใด ผู้นั้นอาจถูกลงโทษได้อ้า

ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงตรากฎหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง โดยขยายอาณาเขตของบุคคลผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการกระทําความผิดออกไปเป็น 5 เส้น จึงนิยมเรียกกันว่า
“กฎหมายโจรห้าเส้น”

กฎหมาย 16 หลังคาเรือนในกฎหมายพระเจ้ามังรายนั้น แม้จะมีลักษณะที่เหมือนกันกับกฎหมาย
3 เส้น 15 วา ในกฎหมายลักษณะโจรของกฎหมายตราสามดวง ตรงที่เป็นกฎหมายที่กําหนดความรับผิดชอบ ร่วมกันของคนในชุมชน (ในหมู่บ้าน) แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันบางประการ เช่น

1. กฎหมาย 16 หลังคาเรือน จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมาย 3 เส้น 15 ว่า จะเป็น ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย รวมทั้งการทําร้ายสัตว์ถึงตาย

2. โทษของกฎหมาย 16 หลังคาเรือน คือ การร่วมกันชดใช้ราคาของและการเนรเทศหรือขับ ออกจากเมือง แต่โทษของกฎหมาย 3 เส้น 15 วา คือ การทวนด้วยลวดหนังมากน้อยตามแต่ระยะทางที่ตนอยู่ห่าง จากที่เกิดเหตุ

3. ความรับผิดชอบของคนในชุมชนตามกฎหมาย 16 หลังคาเรือน จะเน้นจํานวนครัวเรือนที่ อยู่ในหมู่บ้านโดยไม่คํานึงถึงระยะทาง แต่ความรับผิดชอบของคนในชุมชนตามกฎหมาย 3 เส้น 15 ว่า จะเน้นที่ ระยะทาง คือต้องเป็นคนที่อยู่ในระยะทาง 3 เส้น 15 วาจากที่เกิดเหตุ โดยไม่คํานึงถึงจํานวนครัวเรือนแต่อย่างใด

 

ข้อ 4. คัมภีร์พระธรรมศาสตร์คืออะไร และมีความสัมพันธ์กับกฎหมายตราสามดวงอย่างไร

ธงคําตอบ

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ คือ คัมภีร์ที่ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์หรือผู้มีอํานาจเหนือบุคคลธรรมดาแต่ง เรียบเรียงขึ้น เป็นชุมนุมข้อบังคับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามความยุติธรรม กฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่เหนือกฎหมายทั้งปวง ดังนั้น จึงย่อมใช้แก่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ใต้อํานาจการปกครองของกษัตริย์ และกษัตริย์เองก็อยู่ภายใต้กฎหมาย ของพระธรรมศาสตร์ด้วย โดยลักษณะเช่นนี้คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จึงมีศักดิ์เทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยได้นําเอาคัมภีร์พระธรรมศาสตร์มาจากมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมาย
ที่เรียกว่าพระราชศาสตร์มาตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยแล้ว

คัมภีร์พระธรรมศาสตร์มีความสัมพันธ์กับกฎหมายตราสามดวง ดังนี้คือ

กฎหมายตราสามดวง คือ กฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงให้บัญญัติมา เพื่อใช้ปกครองบ้านเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2347 (จ.ศ. 1166) เหตุที่มีการบัญญัติกฎหมายตราสามดวงขึ้นมาก็เนื่องจาก มีการร้องทุกข์ของนายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ว่าภรรยาของตนเองซึ่งมีชื่อว่าอําแดงป้อม ไปทําชู้กับราชาอรรถ แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรี นายบุญศรีไม่ยอมหย่า แต่ศาลตัดรับให้หย่ากันได้ เพราะตามกฎหมายในขณะนั้น บัญญัติว่า เป็นหญิงหย่าชายหย่าได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่า หญิงนอกใจชายแล้วมา ฟ้องหย่า ลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหายุติธรรมไม่ จึงทรงให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งรวม 11 คน ให้ จัดการชําระบทกฎหมายทั้งหมด ตั้งแต่พระธรรมศาสตร์เป็นต้นมาให้ถูกต้องตามความยุติธรรม และให้อาลักษณ์ เขียนเป็นฉบับหลวงจํานวน 3 ชุด ประทับตราคชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว อันตราของสมุหพระกลาโหม สมุหนายก และเจ้าพระยาพระคลังไว้เป็นสําคัญ จึงได้เรียกในภายหลังว่ากฎหมายตราสามดวง

กฎหมายตราสามดวง จะประกอบด้วย พระอัยการ (กฎหมาย) ลักษณะต่าง ๆ ถึง 29 ลักษณะ มีบทบัญญัติถึง 1,600 บท (มาตรา) เศษ โดยพระอัยการลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะอาศัยมูลคดีวิวาทในคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์มาเป็นหัวข้อในการตรากฎหมาย เพื่อใช้บังคับแก่ประชาชนในกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่ง ได้มีการยกเลิกไปทั้งหมดเมื่อ พ.ศ. 2481

 

LAW3101 (LAW3001) กฎหมายอาญา 3 s/2565

การสอบไล่ภาฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3101 (LAW 3001) กฎหมายอาญา 3
คําแนะนํา ข้อสอบกระบวนวิชานี้เป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายมืดต้องการฆ่านายสว่างจึงพกปืนไปที่บ้านของนายสว่าง ขณะที่นายสว่างเปิดประตูบ้านกําลังเดิน ไปขึ้นรถ นายมืดล้วงเอาปืนเพื่อจะยิง แต่ด้วยความรีบ ปืนหลุดจากมือหล่นลงพื้นโดยที่นายมีด ยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่นายสว่าง ปืนกระทบกับพื้นกระสุนลั่นถูกนายสว่างได้รับอันตรายสาหัส

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายมีดมีความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสี่ “กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดย ปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 300 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสต้องระวางโทษ…….”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300 ประกอบด้วย
1. กระทําด้วยประการใด ๆ
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมีดต้องการฆ่านายสว่างจึงพกปืนไปที่บ้านของนายสว่าง และขณะที่ นายสว่างเปิดประตูบ้านกําลังเดินไปขึ้นรถ นายมืดล้วงเอาปืนเพื่อจะยิง แต่ด้วยความรีบ ปืนหลุดจากมือหล่นลงพื้น โดยที่นายมืดยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่นายสว่างนั้น กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าแม้นายมืดจะมีเจตนาฆ่านายสว่างก็ตามแต่การกระทําของนายมืดที่ล้วงเอาปืนเพื่อจะยิงนายสว่างโดยที่นายมืดยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่นายสว่างเพราะปืน หลุดจากมือหล่นลงพื้นก่อนนั้น ยังไม่ถือว่านายมืดได้ลงมือกระทําความผิด เพียงแต่ยังอยู่ในขั้นเตรียมเท่านั้น เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการลงมือกระทําความผิดนั้น จะต้องเป็นการกระทําขั้นสุดท้ายที่เลยขั้นตระเตรียมที่ ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อให้เกิดผลนั้นแล้ว เมื่อยังไม่ถือว่าเป็นการลงมือกระทํา ดังนั้น จึงยังไม่ถือว่านายมืดได้ ลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอดอันจะเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 นายมืดจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่านายสว่าง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายมืดทําให้ปืนหลุดมือหล่นลงพื้นและปืนกระทบกับพื้นกระสุนลั่นถูก นายสว่างได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น การกระทําของนายมืดถือได้ว่าเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ กล่าวคือ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและ พฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ดังนั้น เมื่อกระสุนลั่นถูก นายสว่างทําให้นายสว่างได้รับอันตรายสาหัส นายมืดจึงมีความผิดต่อร่างกายฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300

สรุป นายมืดมีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300

 

ข้อ 2. นายเพชรมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แต่แยกกันอยู่โดยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า นายเพชร มีความสัมพันธ์อยู่กับนางสาวพลอยอายุ 17 ปี นายเพชรได้ชวนนางสาวพลอยไปอยู่กินกันอย่าง เปิดเผยที่บ้านของนายเพชร ต่อมาเดือนเศษนายเพชรได้จัดพิธีแต่งงานกับนางสาวพลอย และ อยู่ที่บ้านของนางสาวพลอยเป็นเวลา 3 เดือน ก็หนีออกจากบ้านไป ดังนี้ อยากทราบนายเพชร มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 319 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี
2. ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
3. โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย
4. โดยเจตนา
5. เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจาร

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเพชรมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แต่แยกกันอยู่โดยยัง ไม่ได้จดทะเบียนหย่า นายเพชรมีความสัมพันธ์อยู่กับนางสาวพลอยอายุ 17 ปี นายเพชรได้ชวนนางสาวพลอยไป อยู่กินกันอย่างเปิดเผยที่บ้านของนายเพชรนั้น แม้จะฟังได้ว่านางสาวพลอยจะสมัครใจไปกับนายเพชรและได้อยู่กินกันอย่างเปิดเผย และต่อมาอีกเดือนเศษนายเพชรได้จัดพิธีแต่งงานกับนางสาวพลอยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจาก พฤติการณ์ของนายเพชรที่นายเพชรอยู่ที่บ้านของนางสาวพลอยเป็นเวลา 3 เดือน ก็หนีออกจากบ้าน อีกทั้งนายเพชร ก็มีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แม้จะแยกกันอยู่แต่ก็ไม่ได้จดทะเบียนหย่ากันแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่า นายเพชรได้พานางสาวพลอยไปหลับนอนได้เสียกันที่บ้านของนายเพชรโดยไม่มีเจตนาที่จะอยู่กินเลี้ยงดูนางสาวพลอย ฉันสามีภริยา การกระทําของนายเพชรถือได้ว่าเป็นการพรากผู้เยาว์ที่มีอายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสีย จากบิดามารดาเพื่อการอนาจารอันเป็นความผิดตามมาตรา 319 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น นายเพชรจึงมีความผิด ฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง (คําพิพากษาฎีกาที่ 1287/2533)

สรุป นายเพชรมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3. นายกล้าประกอบกิจการร้านค้าวัสดุก่อสร้าง มีนายหนึ่งเป็นลูกจ้างในตําแหน่งผู้จัดการร้าน ทําหน้าที่ ดูแลกิจการในร้าน เมื่อพนักงานในร้านขายสินค้าได้ ต้องนําเงินที่ได้รับจากลูกค้าหย่อนลงในตู้นิรภัย ของร้าน ซึ่งนายหนึ่งเป็นผู้เก็บรักษากุญแจตู้นิรภัย มีหน้าที่ไขตู้นิรภัยในเวลา 17.00 นาฬิกาของทุกวัน และนําเงินออกมานับต่อหน้านายสองลูกจ้างอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีตําแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 15.00 นาฬิกา นายหนึ่งแอบไขตู้นิรภัยและเอาเงินจํานวน 5,000 บาท ไปเป็นของตน ดังนี้ นายหนึ่งมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทํา
ความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 335 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลักทรัพย์
(11) ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1. เอาไป
2. ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
3. โดยเจตนา
4. โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง
ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกล้าประกอบกิจการร้านค้าวัสดุก่อสร้าง มีนายหนึ่งเป็นลูกจ้างใน ตําแหน่งผู้จัดการร้าน ทําหน้าที่ดูแลกิจการในร้าน เมื่อพนักงานในร้านขายสินค้าได้ ต้องนําเงินที่ได้รับจากลูกค้า หย่อนลงในตู้นิรภัยของร้าน ซึ่งนายหนึ่งเป็นผู้เก็บรักษากุญแจตู้นิรภัย มีหน้าที่ไขตู้นิรภัยในเวลา 17.00 น. ของทุกวัน และต้องนําเงินออกมานับต่อหน้านาย สองลูกจ้างอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีตําแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินนั้น ย่อมถือว่า เงินซึ่งอยู่ในตู้นิรภัยนั้นเป็นทรัพย์สินที่ลูกจ้างยึดถือไว้แทนนายจ้างชั่วคราวและจะต้องนําส่งมอบให้แก่นายจ้าง

อํานาจในการครอบครองควบคุมดูแลเงินดังกล่าวยังเป็นของนายจ้าง ดังนั้น การที่นายหนึ่งลูกจ้างได้แอบไข ตู้นิรภัยและเอาเงินจํานวน 5,000 บาท ไปเป็นของตน จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต นายหนึ่งจึงมี ความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 และเมื่อทรัพย์นั้นเป็นของนายจ้าง นายหนึ่งจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ที่ เป็นของนายจ้างตามมาตรา 335 วรรคหนึ่ง (11) (เทียบเคียงคําพิพากษาฎีกาที่ 2387/2564)

สรุป นายหนึ่งมีความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามมาตรา 335 วรรคหนึ่ง (11)

 

LAW3102 (LAW3002) กฏหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3102 (LAW 3002) ป.พ.พ. ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ
คําแนะนํา ข้อสอบกระบวนวิชานี้เป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 นายเอ นายบี และนายซี ได้ตกลงเข้าทุนกันเป็นเงินเพื่อกระทํากิจการ ร้านค้าขายน้ํามันปาล์มในเขตพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้ จากกิจการที่ทํานั้น โดยนายซีได้นําเงินจํานวนหนึ่งล้านบาทซึ่งเป็นสินสมรสของนายซีกับนางดีคู่สมรสไปชําระเพื่อร่วมลงทุนในกิจการดังกล่าวนั้น ปีต่อมานายปีและนายซีต้องการขายน้ํามันปาล์มให้แก่ นางสาวไฮลี่ตามราคาตลาด แต่นายเอได้ทักท้วงเนื่องจากต้องการขายน้ํามันปาล์มส่วนดังกล่าว ให้แก่นางสาวอีกี้ผู้เป็นที่รักของนายเอ ปีต่อมานายเอต้องการขายต้นปาล์มแก่นางสาวอลิซ แต่นายบีและนายซีร่วมกันทักท้วงเป็นเสียงข้างมากเนื่องจากเป็นการขายที่กําหนดราคาสูงกว่าราคาตลาดจึงเกรงว่าจะเสียภาพลักษณ์ของกิจการ ปีต่อมานางดีต้องการขายน้ํามันปาล์มให้กับนางสาวยอร์น ที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นายเอ นายบี และนายซีร่วมกันทักท้วงเนื่องจากนางสาวยอร์นมีกิจการขาย น้ํามันปาล์มด้วย จึงเกรงว่าจะเป็นการกักตุนสินค้าและเป็นการแข่งขันกับกิจการของตนเอง ให้ท่านวินิจฉัยว่า รายการซื้อขายดังกล่าวนั้นบุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิกระทําการซื้อขายนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุผลอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1033 “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนมิได้ตกลงกันไว้ในกระบวนจัดการห้างหุ้นส่วนไซร้ ท่านว่าผู้เป็น หุ้นส่วนย่อมจัดการห้างหุ้นส่วนนั้นได้ทุกคน แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดจะเข้าทําสัญญาอันใดซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วน อีกคนหนึ่งทักท้วงนั้นไม่ได้

ในกรณีเช่นนี้ ท่านให้ถือว่าผู้เป็นหุ้นส่วนย่อมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการทุกคน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอ นายบี และนายซี ได้ตกลงเข้าทุนกันเป็นเงินเพื่อกระทํากิจการ ค้าขายน้ํามันปาล์มในเขตพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ทํานั้น ย่อมถือว่านายเอ นายบี และนายซีได้ตกลงเข้าเป็นหุ้นส่วนเพื่อจัดตั้งห้างหุ้นส่วนกันแล้วตามมาตรา 1012 และ เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญตามมาตรา 1025 และแม้ว่าในการลงหุ้นของนายซีนั้น นายที่จะได้นําเงินจํานวนหนึ่งล้านบาท ซึ่งเป็นสินสมรสของนายซีกับนางดีคู่สมรสไปชําระเพื่อร่วมลงทุนในกิจการดังกล่าว ก็ไม่ทําให้นางดีกลายเป็นหุ้นส่วนด้วยในห้างหุ้นส่วนนั้นแต่อย่างใด เนื่องจากนางดีไม่ได้ตกลงเข้าหุ้นเพื่อร่วมทํากิจการดังกล่าวด้วย

และเมื่อในการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญดังกล่าวของนายเอ นายบี และนายซีนั้น ไม่ได้มีการตกลง กันว่าจะให้ใครเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงมีผลตามมาตรา 1033 กล่าวคือ ให้ถือว่าทั้ง 3 คน ต่างก็เป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการทุกคน และทุกคนย่อมมีสิทธิจัดการงานของห้างหุ้นส่วนได้ทุกคน แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดจะเข้า
ทําสัญญาอันใดซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งทักท้วงนั้นไม่ได้

ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปีและนายซีต้องการขายน้ํามันปาล์ม นายเอต้องการขายต้นปาล์ม และนางดีต้องการขายน้ํามันปาล์มนั้น บุคคลดังกล่าวจะมีสิทธิกระทําการซื้อขายได้หรือไม่ แยกวินิจฉันได้ดังนี้

1. การที่นายปีและนายซีต้องการขายน้ํามันปาล์มให้แก่นางสาวไฮลี่นั้น แม้จะเป็นการทําสัญญา ที่เกี่ยวกับการจัดการตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่านายเอได้ทักท้วงแล้ว นายปีและนายซี จึงไม่อาจที่จะกระทําการซื้อขายน้ํามันปาล์มกับนางสาวไฮลี่ได้ เนื่องจากต้องห้ามตามมาตรา 1033

2. การที่นายเอต้องการขายต้นปาล์มให้แก่นางสาวอลิซนั้น เป็นการทําสัญญาที่ไม่เกี่ยวกับ การจัดการตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด เนื่องจากห้างหุ้นส่วนนั้นมีวัตถุประสงค์ในการทํากิจการ ค้าขายน้ํามันปาล์มไม่เกี่ยวกับการค้าขายต้นปาล์ม ดังนั้น แม้ว่านายปีและนายที่จะได้ร่วมกันทักท้วง ก็ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 1033 นายเอจึงมีสิทธิที่จะกระทําการซื้อขายต้นปาล์มกับนางสาวอลิซได้

3. การที่นางดีต้องการขายน้ำมันปาล์มให้แก่นางสาวยอร์นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางดี ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนนั้นแต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ว่านายเอ นายบี และนายซีจะได้ร่วมกันทักท้วงหรือไม่ ก็ตาม กรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1033 นางดีจึงไม่มีสิทธิที่จะกระทําการซื้อขายน้ำมันปาล์มกับ นางสาวยอร์นได้

สรุป
นายบีและนายซีไม่มีสิทธิกระทําการซื้อขายน้ํามันปาล์มกับนางสาวไฮลี่
นายเอมีสิทธิกระทําการซื้อขายต้นปาล์มกับนางสาวอลิซ
นางดีไม่มีสิทธิกระทําการซื้อขายน้ํามันปาล์มกับนางสาวยอร์น

 

ข้อ 2. ให้ท่านอธิบายหลักกฎหมายเชิงวิเคราะห์เรื่อง “ลักษณะสําคัญของหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด อย่างน้อย 15 รายการ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยห้างหุ้นส่วน

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยห้างหุ้นส่วน ได้บัญญัติถึง “ลักษณะของหุ้นส่วน จํากัดความรับผิด” ไว้หลายประการ ซึ่งในการวิเคราะห์ถึงลักษณะของหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดนั้น จะต้อง พิจารณาถึงลักษณะของหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดประกอบด้วย ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงลักษณะของหุ้นส่วน จํากัดความรับผิดได้เป็นอย่างดี ซึ่งตามกฎหมายนั้นได้บัญญัติถึงความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กับ “หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด” ไว้ดังนี้ คือ

1. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดมีได้ทั้งในห้างหุ้นส่วนสามัญและห้างหุ้นส่วนจํากัด ส่วนหุ้นส่วน จํากัดความรับผิดมีได้เฉพาะในห้างหุ้นส่วนจํากัดเท่านั้น (มาตรา 1025 และมาตรา 1077)

2. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ส่วน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยจํากัดเฉพาะในจํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้นเท่านั้น (มาตรา 1077)

3. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน
ไม่ว่าหนี้นั้นจะเกิดขึ้นก่อนหรือภายหลังที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดจะได้จดทะเบียน ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด
จะต้องรับผิดโดยไม่จํากัดจํานวนก็แต่เฉพาะในหนี้ของห้างหุ้นส่วนที่เกิดขึ้นก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจะได้จดทะเบียนเท่านั้น (มาตรา 1079)

4. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถนําชื่อของตนไปเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เอาชื่อของตน ไปเรียกขานระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน (มาตรา 1081)

5. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นด้วยเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้ (มาตรา 1026 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นได้เฉพาะเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น จะลงหุ้น ด้วยแรงงานไม่ได้ (มาตรา 1083)

6. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดนอกจากจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วนทํามาค้า ได้แล้ว ยังมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยอีกด้วย ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายได้บัญญัติ ห้ามมิให้แบ่งเงินปันผลหรือดอกเบี้ยแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด นอกจากผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วนทํามาค้าได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 1084)

7. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดอาจจะแสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่าตน
ได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ได้เพราะกฎหมายไม่ห้าม ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะแสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่าตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ไม่ได้ ถ้ามีการฝ่าฝืน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนนั้นก็จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามจํานวนที่ตนได้แสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดไว้ด้วย (มาตรา 1085)

8. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด มีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ (มาตรา 1087) ส่วนหุ้นส่วน จํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรวมทั้งห้ามสอดเข้าไปเกี่ยวข้องการจัดการงานของ ห้างหุ้นส่วนด้วย (มารตรา 1087 และมาตรา 1088)

9. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด จะประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนไม่ได้ หรือจะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน (มาตรา 1066 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถประกอบกิจการ ค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนได้ (มาตรา 1090)

10. หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ถ้าจะโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่น จะต้องได้รับความยินยอม จากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ด้วย (มาตรา 1040 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดสามารถ โอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ (มาตรา 1091)

11. ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ห้างหุ้นส่วนนั้นย่อมต้องเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย จะไม่เป็น เหตุให้ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1092)

12. ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งล้มละลาย ห้างหุ้นส่วนนั้นย่อมต้องเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งล้มละลาย จะไม่เป็น เหตุให้ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1092)

13. ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตกเป็นคนไร้ความสามารถ ห้างหุ้นส่วนจํากัด ย่อมต้องเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่ง ตกเป็นคนไร้ความสามารถ จะไม่เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1092)

14. ผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนนั้นคุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นส่วนถือว่าเป็นสาระสําคัญ
แต่ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดนั้นคุณสมบัติของผู้เป็นหุ้นส่วนไม่เป็นสาระสําคัญ

15. เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด คนใดคนหนึ่งชําระหนี้ได้ (มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน แม้ห้างหุ้นส่วนจะผิดนัดชําระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถฟ้องให้หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดชําระหนี้ได้ (มาตรา 1095)

 

ข้อ 3. ให้ท่านอธิบายหลักกฎหมายเชิงวิเคราะห์เรื่อง “กรณีผู้ถือหุ้นบริษัทจํากัดที่ไม่สามารถใช้สิทธิ ลงคะแนนเพื่อกําหนดมติในที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นบริษัท” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัทจํากัด

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบริษัทจํากัดนั้น โดยปกติแล้วผู้ถือหุ้นทุกคนย่อม มีสิทธิที่จะเข้าประชุมในที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นได้เสมอไม่ว่าจะเป็นการประชุมใหญ่สามัญหรือประชุมใหญ่วิสามัญ (มาตรา 1176) หรืออาจทําเป็นหนังสือมอบฉันทะให้ผู้อื่นออกเสียงแทนตนก็ได้ (มาตรา 1187) แต่อย่างไรก็ตาม ในการลงมติออกเสียงในที่ประชุมใหญ่นั้น ผู้ที่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเพื่อกําหนดมติในที่ประชุมใหญ่นั้น กฎหมายได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังนี้ คือ

1. จะต้องมีหุ้นเท่ากับจํานวนที่ข้อบังคับของบริษัทได้กําหนดไว้ ถ้าผู้ถือหุ้นหลายคนมีจํานวนหุ้น ไม่เท่าจํานวนดังกล่าว ย่อมมีสิทธิที่จะนําหุ้นมารวมกันเพื่อให้เท่าจํานวนหุ้นดังกล่าว แล้วตั้งให้ผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่ง
เป็นผู้รับฉันทะในการลงมติออกเสียงแทนในที่ประชุมใหญ่นั้น (มาตรา 1183)

2. จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นซึ่งได้ชําระเงินค่าหุ้นตามที่บริษัทได้เรียกเก็บเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ถือหุ้นคนใด ยังมิได้ชําระเงินค่าหุ้นซึ่งบริษัทได้เรียกเก็บให้เสร็จสิ้น ย่อมไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน (มาตรา 1184)

3. จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่มีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องซึ่งที่ประชุมจะลงมติ ผู้ถือหุ้นคนใด มีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องซึ่งที่ประชุมจะลงมติ ย่อมไม่มีสิทธิออกเสียงลงมติในเรื่องนั้น (มาตรา 1185)

4. จะต้องเป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้ทรงใบหุ้นชนิดระบุชื่อ ถ้าเป็นผู้ถือหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือจะมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนนได้ก็ต่อเมื่อได้นําใบหุ้นของตนมาวางไว้แก่บริษัทก่อนเวลาประชุม (มาตรา 1186)

LAW3104 (LAW 3004) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3104 (LAW3004) พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
ข้อแนะนํา ข้อสอบนี้เป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ฟ้องต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ขอให้ศาลขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 250,000 บาท ต่อมาจําเลยให้การโต้แย้งในเรื่องกรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจําเลยโดยการครอบครองปรปักษ์
ศาลจังหวัดอุดรธานีเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอํานาจของศาลแขวงอุดรธานี จึงมีคําสั่งโอนคดีไปยัง
ศาลแขวงอุดรธานี

คําสั่งโอนคดีของศาลจังหวัดอุดรธานีชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 17 “ศาลแขวงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอํานาจทําการไต่สวน หรือมีคําสั่งใด ๆ ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และมาตรา 25 วรรคหนึ่ง”

มาตรา 18 “ภายใต้บังคับมาตรา 19/1 ศาลจังหวัดมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งและ
คดีอาญาทั้งปวงที่มิได้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรมอื่น”

มาตรา 19/1 วรรคสอง “ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องคดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจศาลแพ่ง ศาลแพ่ง กรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมี พฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวง ก็ให้ศาลดังกล่าวพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป”

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ
ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท
ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งมีราคา 250,000 บาท ต่อศาลจังหวัดอุดรธานี ซึ่งโดยหลักแล้วการฟ้องขับไล่นั้นเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณ เป็นราคาเงินได้ คําฟ้องเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจําเลยให้การโต้แย้งว่ากรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาทเป็นของจําเลย คดีดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็น ราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ โดยทุนทรัพย์ในคดีนี้คือ 250,000 บาท ดังนั้นจึงทําให้คดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในอํานาจ พิจารณาพิพากษาของศาลแขวงอุดรธานีตามมาตรา 25 (4) ประกอบมาตรา 17

อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้นั้น คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลจังหวัดตามมาตรา 18 และแม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทําให้คดีนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์และเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจของศาลแขวงก็ตาม ตามมาตรา 19/1 วรรคสอง ก็ได้บัญญัติให้ ศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวนั้นต่อไป ดังนั้น ศาลจังหวัดอุดรธานีจึงต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ต่อไป จะโอนคดีไปยังศาลแขวงอุดรธานีไม่ได้ การที่ศาลจังหวัดอุดรธานีมีคําสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงอุดรธานีนั้น คําสั่งโอนคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

สรุป คําสั่งโอนคดีดังกล่าวของศาลจังหวัดอุดรธานีไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

หมายเหตุ มาตรา 18 และมาตรา 19/1 ได้มีการแก้ไขและเพิ่มเติมใหม่ โดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พระธรรมนูญศาลยุติธรรม (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 และ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2562

 

ข้อ 2. นายทองแท้ฟ้องว่านางแม้นวาดทําสัญญาเช่ารถยนต์กับนายทองแท้ (รถยนต์ราคา 300,000 บาท) โดยตกลงเช่าเป็นเวลาสามเดือน ค่าเช่า 100,000 บาท เมื่อถึงกําหนดคืนรถยนต์ นางแม้นวาดไม่ยอม
ส่งมอบรถยนต์คืนนายทองแท้ ขอให้ศาลพิพากษาให้นางแม้นวาดส่งมอบรถยนต์คืนนายทองแท้
ต่อมานางแม้นวาดยื่นคําให้การว่ารถยนต์เป็นของนางแม้นวาดโดยนางแม้นวาดได้ซื้อรถยนต์จาก
นายทองแท้แล้ว นางแม้นวาดจึงไม่ต้องคืนรถยนต์ให้นายทองแท้ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ให้วินิจฉัยว่า ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจพิจารณาคดีนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ
ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(4) พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินที่ฟ้องไม่เกินสามแสนบาท
ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจํานวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวง และศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือ
คดีอาญาทั้งปวง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อย 2 คน เป็นองค์คณะเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั้งปวงตามมาตรา 26 แต่อย่างไรก็ดีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ย่อมมีอํานาจตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 24 และผู้พิพากษาคนเดียวย่อมมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจของ ศาลนั้น ตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 25 เว้นแต่ถ้าเป็นผู้พิพากษาประจําศาลจะไม่มีอํานาจตามมาตรา 25 (3) (4) หรือ (5)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทองแท้ฟ้องว่านางแม้นวาดทําสัญญาเช่ารถยนต์กับนายทองแท้ (รถยนต์ราคา 300,000 บาท) เมื่อถึงกําหนดคืนรถยนต์ นางแม้นวาดไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืนนายทองแท้ ขอให้ ศาลพิพากษาให้นางแม้นวาดส่งมอบรถยนต์คืนนายทองแท้นั้น คําฟ้องให้ส่งมอบทรัพย์คืนนั้น โดยหลักแล้วถือว่า เป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณเป็นเงินได้ คําฟ้องเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ ผู้พิพากษาคนเดียวย่อมไม่มีอํานาจในการพิจารณาพิพากษา จะต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่านางแม้นวาดได้ยื่นคําให้การว่ารถยนต์เป็นของนางแม้นวาด โดยนางแม้นวาดได้ซื้อรถยนต์จากนายทองแท้แล้ว นางแม้นวาดจึงไม่ต้องคืนรถยนต์ให้นายทองแท้ การที่นางแม้นวาดได้ให้การโต้แย้งว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทเป็นของนางแม้นวาด คดีดังกล่าวจึงเปลี่ยนเป็นคดี ที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ และเมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาท ไม่เกิน 300,000 บาท ดังนั้น ผู้พิพากษาคนเดียวจึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามมาตรา 25 (4)

สรุป ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจพิจารณาคดีนี้ได้

 

ข้อ 3. ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ นายเอกกับนายหนึ่ง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดและผู้พิพากษาประจําศาล เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีอาญาอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี วันนัดไต่สวนมูลฟ้อง นายเอก ไต่สวนมูลฟ้องลําพังคนเดียว เห็นว่าคดีนี้ไม่มีมูล ดังนี้ ถ้านายเอก

(ก) นําสํานวนไปให้นายหนึ่งตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องร่วมกันกรณีหนึ่ง

(ข) นําสํานวนไปให้นายโทผู้พิพากษาตรวจสํานวนทําคําพิพากษายกฟ้อง แต่นายโทป่วยต้องพัก
รักษาตัวที่โรงพยาบาล นายตรีเป็นผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากนายโทจึงนําสํานวนมาตรวจและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องทั้ง 2 กรณีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

มาตรา 25 “ในศาลชั้นต้น ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอํานาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจ ของศาลนั้น ดังต่อไปนี้

(3) ไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญา

(5) พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกําหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่จะลงโทษจําคุกเกินหกเดือน หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือ ทั้งจําทั้งปรับ ซึ่งโทษจําคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้”

มาตรา 26 “ภายใต้บังคับมาตรา 25 ในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลชั้นต้น นอกจากศาลแขวง และศาลยุติธรรมอื่นซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคน และต้องไม่เป็นผู้พิพากษาประจําศาลเกินหนึ่งคน จึงเป็นองค์คณะที่มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งหรือ
คดีอาญาทั้งปวง”

มาตรา 29 “ในระหว่างการทําคําพิพากษาคดีใด หากมีเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ ทําให้ผู้พิพากษาซึ่งเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนั้นไม่อาจจะทําคําพิพากษาในคดีนั้นต่อไปได้ให้ผู้พิพากษาดังต่อไปนี้มีอํานาจลงลายมือชื่อทําคําพิพากษา และเฉพาะในศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค และ ศาลชั้นต้น มีอํานาจทําความเห็นแย้งได้ด้วย ทั้งนี้ หลังจากได้ตรวจสํานวนคดีนั้นแล้ว

(3) ในศาลชั้นต้น ได้แก่ อธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้น อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษา ศาลชั้นต้น รองอธิบดีผู้พิพากษาภาค หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี”

มาตรา 31 “เหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 28 และมาตรา 29 นอกจากที่กําหนด
ไว้ในมาตรา 30 แล้ว ให้หมายความรวมถึงกรณีดังต่อไปนี้ด้วย

(1) กรณีที่ผู้พิพากษาคนเดียวไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญาแล้วเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง แต่คดีนั้น มีอัตราโทษตามที่กฎหมายกําหนดเกินกว่าอัตราโทษตามมาตรา 25 (5)”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการมีนายเอกกับนายหนึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัด และผู้พิพากษาประจําศาล เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีอาญาอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีนั้น ย่อมถือว่าเป็น องค์คณะที่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 26 และในวันไต่สวนมูลฟ้องนั้น นายเอกได้ไต่สวนมูลฟ้อง เพียงลําพังคนเดียวก็ถือว่าเป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมเช่นเดียวกัน เพราะตามมาตรา 25 (3) ได้กําหนดไว้ว่า ผู้พิพากษาคนเดียวมีอํานาจไต่สวนมูลฟ้องและมีคําสั่งในคดีอาญาเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอํานาจของ ศาลนั้น ไม่ว่าคดีนั้นจะมีอัตราโทษเท่าใดก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเอกผู้พิพากษาคนเดียวได้ไต่สวนมูลฟ้องคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่าคดีนั้น ไม่มีมูลและเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง และคดีดังกล่าวมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเป็นอัตราโทษเกินกว่า อัตราโทษตามมาตรา 25 (5) นั้น กรณีนี้ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจําเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31 (1) ดังนั้น เมื่อนายเอกเห็นว่าควรพิพากษายกฟ้อง นายเอกจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 29 (3) กล่าวคือ นายเอกจะต้องนําสํานวนคดีนั้นไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องด้วยคําพิพากษานั้นจึงจะชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ดังกล่าว ถ้านายเอก

(ก) จะนําสํานวนไปให้นายหนึ่งตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องร่วมกันนั้น ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะแม้ว่านายหนึ่งจะเป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีดังกล่าวก็ตาม แต่
นายหนึ่งไม่ได้ร่วมในการพิจารณาและไต่สวนมูลฟ้องในคดีนั้นแต่อย่างใด นายหนึ่งจึงลงลายมือชื่อเพื่อทําคําพิพากษามายกฟ้องคดีนั้นไม่ได้

(ข) นําสํานวนไปให้นายโทผู้พิพากษาตรวจสํานวนทําคําพิพากษายกฟ้อง หรือเมื่อนายโทป่วย ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล นายตรีผู้พิพากษาที่มีอาวุโสรองลงมาจากนายโทนําสํานวนมาตรวจและลงลายมือชื่อ ทําคําพิพากษายกฟ้อง คําพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อมีเหตุจําเป็นอันมิอาจ ก้าวล่วงได้ตามมาตรา 31 (1) ดังกล่าวนั้น ผู้ที่มีอํานาจตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้อง ร่วมกับนายเอกนั้นจะต้องเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น ตามมาตรา 29 (3) เมื่อนายโท หรือนายตรีมิใช่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จึงไม่มีอํานาจตรวจสํานวนและลงลายมือชื่อทําคําพิพากษายกฟ้องร่วมกับนายเอกได้

สรุป ทั้ง 2 กรณีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3105 (LAW3005) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1 s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3105 (LAW 3005) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 1
ข้อแนะนํา ข้อสอบนี้เป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายชูวิทย์เช่ารถยนต์จากบริษัท ม้าบิน จํากัด มาใช้เพื่อขับรถพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนที่ ภูสอยดาว จังหวัดน่าน ระหว่างทางได้ถูกนายอนุทินที่เพิ่งเสพกัญชามา ทําให้เกิดภาพหลอน ขับรถมาด้วยความเร็วสูงเฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ที่นายชูวิทย์เช่ามาได้รับความเสียหาย นายชูวิทย์จึง ต้องการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายอนุทินเป็นเงิน 500,000 บาท นายอนุทินต่อสู้ว่านายชูวิทย์ ไม่ใช่เจ้าของรถที่แท้จริง ไม่มีอํานาจฟ้อง ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายชูวิทย์จะฟ้องนายอนุทินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 55 “เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอํานาจได้ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 55 บุคคลผู้ที่อ้างว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่และจะเสนอคดีต่อศาล ส่วนแพ่งที่มีเขตอํานาจได้นั้น จะต้องปรากฏว่าบุคคลผู้นั้นได้ถูกโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่อย่างแท้จริงด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชูวิทย์ได้เช่ารถยนต์จากบริษัท ม้าบิน จํากัด มาใช้ เพื่อขับรถ พาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนที่ภูสอยดาว จังหวัดน่าน ระหว่างทางได้ถูกนายอนุทินซึ่งขับรถมาด้วยความเร็วสูง เฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ที่นายชูวิทย์เช่ามาได้รับความเสียหาย นายชูวิทย์จึงต้องการฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก นายอนุทินเป็นเงิน 500,000 บาท แต่นายอนุทินต่อสู้ว่านายชูวิทย์ไม่ใช่เจ้าของรถที่แท้จริง ไม่มีอํานาจฟ้องนั้น กรณีนี้เห็นว่า แม้ในขณะเกิดเหตุนั้นนายชูวิทย์จะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันพิพาทก็ตาม แต่เมื่อนายชูวิทย์ได้เช่า รถยนต์คันพิพาทจากบริษัท ม้าบิน จํากัด นายชูวิทย์ย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่ามา และมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ในลักษณะที่เรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่า เมื่อรถยนต์คันที่นายชูวิทย์เช่ามาถูกเฉี่ยวชน ได้รับความเสียหาย นายชูวิทย์ย่อมเป็นผู้เสียหายและมีอํานาจฟ้องได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 2204/2542) ดังนั้น
กรณีดังกล่าวนายชูวิทย์จึงสามารถฟ้องนายอนุทินได้

สรุป นายชูวิทย์สามารถฟ้องนายอนุทินได้

 

ข้อ 2. นายพิธามีภูมิลําเนาอยู่จังหวัดชลบุรี เป็นเพื่อนกับนางสุดารัตน์ซึ่งมีภูมิลําเนาอยู่จังหวัดระยอง ทั้งสองคนชวนกันไปเที่ยวเกาะช้างในจังหวัดตราด ระหว่างนั่งพักทานอาหารเที่ยงริมชายหาด นายพิธาได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายสวนทุเรียนของนางสุดารัตน์ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี โดย ทําสัญญาจะซื้อจะขายกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาได้มีการชําระราคา ที่ดิน และมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนายพิธาเรียบร้อยแล้ว แต่นางสุดารัตน์ยังไม่ขนย้ายทรัพย์สินและคนงานออกจากสวนทุเรียนแปลงดังกล่าว นายพิธา ต้องการฟ้องขับไล่นางสุดารัตน์ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายพิธาต้องยื่นคําฟ้องต่อศาลใด เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 4 “เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น

(1) คําฟ้อง ให้เสนอต่อศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาล ไม่ว่าจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่”

มาตรา 4 ทวิ “คําฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล ไม่ว่าจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือ ต่อศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาล”

มาตรา 5 “คําฟ้องหรือคําร้องขอซึ่งอาจเสนอต่อศาลได้สองศาลหรือกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ภูมิลําเนาของบุคคลก็ดี เพราะที่ตั้งของทรัพย์สินก็ดี เพราะสถานที่ที่เกิดมูลคดีก็ดี หรือเพราะมีข้อหาหลายข้อก็ดี ถ้ามูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกัน โจทก์หรือผู้ร้องจะเสนอคําฟ้องหรือคําร้องขอต่อศาลใดศาลหนึ่งเช่นว่านั้นก็ได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิ ได้วางหลักไว้ว่า คําฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิหรือ ประโยชน์อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่ จําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาล

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิธามีภูมิลําเนาอยู่จังหวัดชลบุรี เป็นเพื่อนกับนางสุดารัตน์ซึ่งมี ภูมิลําเนาอยู่จังหวัดระยอง ทั้งสองคนชวนกันไปเที่ยวเกาะช้างในจังหวัดตราด และในระหว่างนั่งพักทานอาหารเที่ยง ริมชายหาด นายพิธาได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายสวนทุเรียนของนางสุดารัตน์ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี โดยทํา สัญญาจะซื้อจะขายกันที่สนามบินสุวรรณภูมิจังหวัดสมุทรปราการ และต่อมาได้มีการชําระราคาที่ดิน และมีการ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนายพิธาเรียบร้อยแล้ว แต่นางสุดารัตน์ยังไม่ขนย้าย ทรัพย์สินและคนงานออกไปจากสวนทุเรียนแปลงดังกล่าว นายพิธาจึงต้องการฟ้องขับไล่นางสุดารัตน์ ดังนี้ นายพิธาจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลใดนั้น กรณีนี้เห็นว่าการฟ้องขับไล่ให้บุคคลออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น แม้จะไม่ได้เป็นการขอบังคับเอาแก่ตัวอสังหาริมทรัพย์โดยตรงก็ตาม แต่การฟ้องขับไล่ให้บุคคลออกไปจากอสังหาริมทรัพย์นั้น จําเป็นต้องพิจารณาถึงความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นด้วยว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของใคร คําฟ้องดังกล่าวจึงเป็นคําฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น การที่นายพิธาจะฟ้องขับไล่นางสุดารัตน์ให้ ออกไปจากสวนทุเรียนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้น จึงต้องด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 4 ทวิ นายพิธาจึงต้องยื่นคําฟ้อง ต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตศาล คือศาลจังหวัดจันทบุรี หรือศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาล คือศาลจังหวัดระยองเท่านั้น

และเมื่อคําฟ้องของนายพิธาอาจยื่นฟ้องต่อศาลได้สองศาล คือ ศาลจังหวัดจันทบุรี และศาล
จังหวัดระยอง ดังนั้น นายพิธาจะยื่นคําฟ้องต่อศาลจังหวัดจันทบุรีหรือศาลจังหวัดระยองศาลใดศาลหนึ่งก็ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 5

สรุป นายพิธาจะต้องยื่นคําฟ้องขับไล่นางสุดารัตน์ต่อศาลจังหวัดจันทบุรีหรือศาลจังหวัดระยอง ศาลใดศาลหนึ่ง ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยออกจากบ้านเช่าอ้างว่า จําเลยผิดสัญญาเช่าเนื่องจากต่อเติมบ้านเช่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา สัญญาเช่าได้ครบกําหนด โจทก์มาฟ้อง ขับไล่จําเลยออกจากบ้านเช่าอีก อ้างว่าสัญญาเช่าครบกําหนดแล้ว จําเลยต่อสู้ว่าคดีดังกล่าวเป็น ฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ํา ขอให้ศาลยกฟ้อง ดังนี้ การฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ําหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 148 “คดีที่ได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้ว ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อร้อง
ฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน…”

มาตรา 173 วรรคสอง “นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคําฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้

(1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคําฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น…”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการฟ้องซ้ําตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ
1. คดีนั้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งแล้ว
2. คําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นจะต้องถึงที่สุด
3. ห้ามคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก
4. ห้ามเฉพาะประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว
5. ประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วโดยอาศัยเหตุใด ก็ห้ามฟ้องเฉพาะอ้างเหตุนั้นอีก

กรณีที่จะถือว่าเป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ
1. คดีเดิมอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่ว่าจะเป็นศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกา
2. คู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลังจะต้องเป็นคู่ความเดียวกัน
3. คดีเดิมกับคดีหลังต้องเป็นเรื่องเดียวกัน
4. ห้ามโจทก์ฟ้อง
5. ในศาลเดียวกันหรือศาลอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยออกจากบ้านเช่าโดยอ้างว่าจําเลยผิดสัญญาเช่า เนื่องจากไปต่อเติมบ้านเช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา สัญญาเช่าได้ครบกําหนด โจทก์มาฟ้องขับไล่จําเลยออกจากบ้านเช่าอีก โดยอ้างว่าสัญญาเช่าครบกําหนดแล้ว จําเลยต่อสู้ว่าคดีดังกล่าวเป็น ฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ำ ขอให้ศาลยกฟ้อง ดังนี้ การฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนและฟ้องซ้ำหรือไม่นั้น แยกวินิจฉัย ได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่

ตามอุทาหรณ์ แม้คดีเดิมจะอยู่ในระหว่างพิจารณาและคู่ความทั้งสองฝ่ายในคดีเดิมและคดีหลัง จะเป็นคู่ความเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อคดีเดิมนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยโดยอ้างว่าจําเลยผิดสัญญาเช่า
เนื่องจากต่อเติมบ้านเช่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ แต่ในคดีหลังโจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยโดยอ้างว่าสัญญาเช่า ครบกําหนดแล้ว การฟ้องคดีแรกกับคดีหลังจึงไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์จึงขาดหลักเกณฑ์ของ การเป็นฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ดังนั้น ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน (คําพิพากษาฎีกาที่ 316/2511)

ประเด็นที่ 2 ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่
กรณีที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 นั้น จะมีหลักเกณฑ์ที่สําคัญอยู่ประการหนึ่งคือ ในคดีแรกหรือคดีเดิมนั้นจะต้องได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุดแล้ว และคู่ความเดียวกันได้นําคดีนั้นมาฟ้องร้อง กันอีก แต่กรณีตามอุทาหรณ์นี้นั้น คดีเดิมยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ยังไม่มีคําพิพากษาหรือคําสั่งถึงที่สุด ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยในคดีหลังจึงขาดหลักเกณฑ์ของการเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 148 ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังจึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

สรุป ฟ้องของโจทก์ในคดีหลังไม่เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ําแต่อย่างใด

 

ข้อ 4. โจทก์ฟ้องว่าจําเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ําเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าวออกไป แต่จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ โจทก์จึงยื่นคําขอให้ศาลพิพากษาให้ตนชนะคดี ศาลจึงพิพากษาว่าคดีโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จําเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จริง ให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ําออกไปโดยไม่ได้มีการสืบพยาน ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 198 วรรคหนึ่ง “ถ้าจําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ ให้โจทก์มีคําขอต่อศาลภายในสิบห้าวัน นับแต่ระยะเวลาที่กําหนดให้จําเลยยื่นคําให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดให้ตนเป็น
ฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด”

มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ศาลจะมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็น ฝ่ายชนะคดี โดยจําเลยขาดนัดยื่นคําให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคําฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลําพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้

เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้าง ของโจทก์หรือพยานหลักฐานอื่นไปฝ่ายเดียวตามที่เห็นว่าจําเป็นก็ได้ แต่ในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม”

วินิจฉัย

การที่โจทก์ฟ้องจําเลย แต่จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดให้โจทก์ เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจําเลยขาดนัดยื่นคําให้การนั้น เป็นการดําเนินการตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง และถ้าศาลเห็นว่าคําฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ศาลอาจมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดให้โจทก์ เป็นฝ่ายชนะคดีก็ได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคล สิทธิในครอบครัวหรือคดีพิพาทเกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียวและศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม (ป.วิ.แพ่งมาตรา 198 ทวิ วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องว่าจําเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ําเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปนั้น ถือเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ทั้งนี้เพราะในการพิจารณานั้นจําเป็นต้องพิจารณาถึงความเป็นอยู่ของทรัพย์ด้วยว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ของใคร กรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง แม้ว่าตามข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ และโจทก์ได้ยื่นคําขอให้ศาลพิพากษาให้ตนชนะคดีโดยจําเลยขาดนัดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 วรรคหนึ่ง และศาลเห็นว่าคําฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ศาลจะพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยไม่มีการสืบพยานไม่ได้ เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสอง ได้กําหนดให้ศาลต้องสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่ เห็นว่าจําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ดังนั้น การที่ศาลพิพากษาว่าคดีโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย จ่าเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ําเข้าไปในที่ดินของโจทก์จริง และให้จําเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปโดยไม่มีการสืบพยานนั้น คําพิพากษาของศาลจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําพิพากษาของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW3106 (LAW3006) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1 s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3106 (LAW 3006) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 1
ข้อแนะนํา ข้อสอบนี้เป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. นายทองคํากับนางพิกุลอยู่กินกันฉันสามีภริยาและมีบุตรชายคือนายทองอ้นอายุยี่สิบห้าปี วันหนึ่ง
นายพุ่มลักทรัพย์นายทองคําไป นายทองคําจึงเป็นโจทก์ฟ้องนายพุ่มเป็นจําเลยในข้อหาลักทรัพย์
ต่อมานายทองคําป่วยเป็นโรคไตและเสียชีวิตในระหว่างที่ศาลชั้นต้นกําลังพิจารณาคดีนี้

ให้วินิจฉัยว่า นายทองล้นจะดําเนินคดีแทนนายทองคําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 2 “ในประมวลกฎหมายนี้

(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทําผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอํานาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
(1) พนักงานอัยการ
(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 29 วรรคหนึ่ง “เมื่อผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยา จะดําเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้”

วินิจฉัย

การดําเนินคดีแทนหรือการรับมรดกความในคดีอาญานั้น จะมีได้ก็ต่อเมื่อผู้เสียหายที่แท้จริงตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) ได้ยื่นฟ้องคดีไว้แล้วต่อมาได้ตายลง ดังนี้ ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภรรยา จะดําเนินคดีต่างผู้ตายต่อไปก็ได้ (ป.วิ.อาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง) และผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดานดังกล่าวนั้น ให้หมายความถึง ผู้บุพการีหรือผู้สืบสันดานตามความจริง (คําพิพากษาฎีกาที่ 5119/2530)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพุ่มลักทรัพย์นายทองคําไป นายทองคําย่อมเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 2 (4) และย่อมมีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องนายพุ่มเป็นจําเลยในข้อหาลักทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 28 (2) และเมื่อข้อเท็จริงปรากฏว่า เมื่อนายทองคําได้ยื่นฟ้องนายพุ่มแล้ว ต่อมานายทองคําได้เสียชีวิตลง ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นกําลังพิจารณาคดีนี้อยู่ ดังนี้ นายทองอ้น อายุ 25 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายทองคําที่เกิดกับ นางพิกุลซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยากับนายทองคํา แม้จะเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายทองคํา แต่เมื่อ เป็นบุตรชายตามความจริงของนายทองคํา จึงถือว่านายทองอันเป็นผู้สืบสันดานของนายทองคําตามนัยของ ป.วิ.อาญา มาตรา 29 ดังนั้น นายทองอ้นจึงสามารถที่จะดําเนินคดีแทนนายทองคําได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 29 วรรคหนึ่ง สรุป นายทองอันสามารถที่จะดําเนินคดีแทนนายทองคําได้

 

ข้อ 2. นายหาญร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีอาญากับนายนพในข้อหาชิงทรัพย์ ในระหว่าง สอบสวนนายหาญเป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคําสั่งประทับรับฟ้อง ต่อมาในระหว่างที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นายหาญ ยื่นคําร้องขอถอนฟ้อง และศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้อง

เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบสอบสวนคดีเสร็จ จึงสรุปสํานวนพร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง และส่งสํานวนคดีดังกล่าวให้พนักงานอัยการ ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์

ให้วินิจฉัยว่า พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 28 “บุคคลเหล่านี้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล
(1) พนักงานอัยการ
(2) ผู้เสียหาย”

มาตรา 35 “คําร้องขอถอนฟ้องคดีอาญาจะยื่นเวลาใดก่อนมีคําพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ได้ ศาลจะมีคําสั่งอนุญาตหรือมีอนุญาตให้ถอนก็ได้ แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรประการใด….”

มาตรา 36 “คดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนํามาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าอยู่ใน
ข้อยกเว้นต่อไปนี้

(3) ถ้าผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องคดีอาญาไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย การถอนนี้ไม่ตัดสิทธิพนักงาน อัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ เว้นแต่คดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว”

มาตรา 39 “สิทธินําคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้

(2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคําร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความกัน โดยถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 120 “ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหาญร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดําเนินคดีอาญากับนายนพข้อหาชิงทรัพย์ ในระหว่างการสอบสวนนายหาญได้เป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์ ศาลชั้นต้น ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงมีคําสั่งประทับรับฟ้อง ต่อมาในระหว่างที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดี นายหาญ ยื่นคําร้องขอถอนฟ้อง และศาลมีคําสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 35 นั้น เมื่อคดีดังกล่าว ไม่ใช่เป็นคดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว การที่นายหาญผู้เสียหายซึ่งได้ยื่นฟ้องคดีนั้นไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย การถอนฟ้องจึงไม่ตัดสิทธิของพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 36 (3) และไม่ทําให้สิทธินําคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 39 (2)
และเมื่อข้อเท็จริงปรากฏว่าคดีดังกล่าวนั้น เป็นคดีที่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบได้ทําการ สอบสวนคดีเสร็จแล้ว จึงได้สรุปสํานวนพร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง และส่งสํานวนคดีดังกล่าวให้พนักงานอัยการ ดังนั้น พนักงานอัยการจึงมีอํานาจเป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา
28 (1) และมาตรา 120 ประกอบมาตรา 36 (3)

สรุป พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายนพเป็นจําเลยในข้อหาชิงทรัพย์ได้

 

ข้อ 3. ร.ต.ต.อํานวยได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนขอความช่วยเหลือดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ร.ต.ต.อํานวย
จึงเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวโดยไม่มีหมายค้น เมื่อเข้าไปในบ้าน ร.ต.ต.อํานวยพบนางแม้นวาดถือ ไม้เบสบอลวิ่งไล่ทุบตีนางบัวซึ่งมีบาดแผลเลือดไหลที่ศีรษะ ร.ต.ต.อํานวยจึงจับกุมนางแม้นวาด โดยไม่มีหมายจับและนําตัวส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดีต่อไป

ให้วินิจฉัยว่า การจับชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 78 “พนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคําสั่งของศาลนั้น ไม่ได้ เว้นแต่

(1) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทําความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา 80”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ที่เรียกว่าความผิดซึ่งหน้านั้น ได้แก่ความผิดซึ่งเห็นกําลังกระทํา หรือพบ ในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทําผิดมาแล้วสด ๆ”

มาตรา 81 “ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทําตามบทบัญญัติ ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน”

มาตรา 92 “ห้ามมิให้ค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคําสั่งของศาล เว้นแต่พนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตํารวจเป็นผู้ค้น และในกรณีดังต่อไปนี้

(1) เมื่อมีเสียงร้องให้ช่วยมาจากข้างในที่รโหฐาน หรือมีเสียงหรือพฤติการณ์อื่นใดอันแสดงได้ว่า มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในที่รโหฐานนั้น

(2) เมื่อปรากฏความผิดซึ่งหน้ากําลังกระทําลงในที่รโหฐาน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.ต.อํานวยได้จับกุมนางแม้นวาดในบ้านหลังหนึ่งนั้น ถือเป็นการจับ ในที่รโหฐาน ซึ่งการที่จะเข้าไปจับได้จะต้องมีอํานาจในการจับโดยมีหมายจับหรืออํานาจที่กฎหมายให้ทําการจับได้ โดยไม่ต้องมีหมายและต้องทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการค้นในที่ รโหฐาน คือ มีอํานาจการค้นโดยมีหมายค้นหรือมีอํานาจที่กฎหมายให้ทําการค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย

การที่ ร.ต.ต.อํานวยพบนางแม้นวาดถือไม้เบสบอลวิ่งไล่ทุบตีนางบัวซึ่งมีบาดแผลเลือดไหลที่ศีรษะนั้น การกระทําของนางแม้นวาดถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและเป็นความผิดซึ่งหน้าอย่างแท้จริง ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 78 (1) ประกอบมาตรา 30 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ร.ต.ต.อํานวยจึงมีอํานาจในการจับ นางแม้นวาดแม้จะไม่มีหมายจับ และเมื่อเป็นกรณีที่นางแม้นวาดได้กําลังกระทําความผิดซึ่งหน้าในบ้านซึ่งเป็น ที่รโหฐาน จึงถือว่า ร.ต.ต.อํานวยได้ทําตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการ ค้นในที่รโหฐาน คือมีอํานาจค้นตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 81 ประกอบมาตรา 92 (2) แล้ว อีกทั้งการที่ ร.ต.ต.อํานวย ได้เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวซึ่งเป็นที่รโหฐานอันถือเสมือนเป็นการค้นในที่รโหฐานนั้น ก็เป็นการเข้าไปโดยชอบ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 92 (1) เนื่องจาก ร.ต.ต.อํานวยได้ยินเสียงกรีดร้องและตะโกนขอความช่วยเหลือดังมาจาก บ้านหลังดังกล่าว ร.ต.ต.อํานวยจึงไม่ต้องขอหมายค้นของศาลเพื่อเข้าไปขอค้นในบ้านหลังดังกล่าว ดังนั้น การที่ ร.ต.ต.อํานวยจับนางแม้นวาดในบ้านหลังดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การจับนางแม้นวาดของ ร.ต.ต.อํานวยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นายศุกร์วางแผนจะฆ่านายเสาร์ด้วยการวางยาพิษ วันต่อมานายศุกร์จึงไปที่บ้านนายเสาร์ซึ่งอยู่ในเขต สน.พญาไท และนํายาพิษใส่ในโอเลี้ยงและส่งให้นายเสาร์ดื่ม หลังจากดื่มโอเลี้ยงนายเสาร์หมดสติ และถูกนําตัวส่งโรงพยาบาลในเขต สน.ปทุมวัน ต่อมาอีกสองวันนายเสาร์เสียชีวิตขณะรักษาตัวที่ โรงพยาบาลดังกล่าว หลังจากนั้นตํารวจจับกุมนายศุกร์ได้ที่อําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ก่อนเริ่มถามคําให้การ พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ซึ่งมีระวางโทษประหารชีวิต และแจ้งสิทธิของผู้ต้องหา ให้นายศุกร์ทราบ พร้อมกับถามว่านายศุกร์มีทนายความหรือไม่ นายศุกร์ตอบว่าไม่มีและไม่ต้องการ ทนายความ หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงเริ่มถามคําให้การนายศุกร์โดยไม่มีทนายความ นายศุกร์ ให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนจึงจดบันทึกคําให้การดังกล่าวไว้

ให้วินิจฉัยว่า

(ก) พนักงานสอบสวนท้องที่ใดเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี เพราะเหตุใด

(ข) คําให้การของนายศุกร์ในชั้นสอบสวนรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายศุกร์ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 18 วรรคสองและวรรคสาม “สําหรับในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี ให้ข้าราชการตํารวจ ซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตํารวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตํารวจตรีขึ้นไป มีอํานาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิด หรืออ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดภายในเขตอํานาจของตน หรือผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับภายในเขตอํานาจของตนได้

ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในมาตรา 19 มาตรา 20 และมาตรา 21 ความผิดอาญาได้เกิดในเขต อํานาจพนักงานสอบสวนคนใด โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน ความผิดนั้น ๆ เพื่อดําเนินคดี เว้นแต่เมื่อมีเหตุจําเป็นหรือเพื่อความสะดวก จึงให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ ผู้ต้องหามีที่อยู่หรือถูกจับเป็นผู้รับผิดชอบดําเนินการสอบสวน”
ท้องที่หนึ่งขึ้นไป

มาตรา 19 “ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) เป็นการไม่แน่ว่าการกระทําผิดอาญาได้กระทําในท้องที่ใดในระหว่างหลายท้องที่

(2) เมื่อความผิดส่วนหนึ่งกระทําในท้องที่หนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งในอีกท้องที่หนึ่ง

(3) เมื่อความผิดนั้นเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทําต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่า

(4) เมื่อเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทําลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน……

พนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องมีอํานาจสอบสวนได้
ในกรณีข้างต้นพนักงานสอบสวนต่อไปนี้ เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน

(ก) ถ้าจับผู้ต้องหาได้แล้ว คือพนักงานสอบสวนซึ่งท้องที่ที่จับได้อยู่ในเขตอํานาจ…”

มาตรา 134/1 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหา มีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่า มีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

ในคดีที่มีอัตราโทษจําคุก ก่อนเริ่มถามคําให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความ หรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้”

มาตรา 134/4 “ในการถามคําให้การผู้ต้องหา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคําที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้

(2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคําตนได้

เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคําให้การไว้ ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้

ถ้อยคําใด ๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะ ดําเนินการตามมาตรา 134/1 มาตรา 134/2 และมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิด ของผู้นั้นไม่ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายศุกร์วางแผนจะฆ่านายเสาร์ด้วยการวางยาพิษ วันต่อมานายศุกร์ไปที่บ้านนายเสาร์ ซึ่งอยู่ในเขต สน.พญาไท และนํายาพิษใส่ในโอเลี้ยงและส่งให้นายเสาร์ดื่ม หลังจากดื่มโอเลี้ยงนายเสาร์หมดสติ และถูกนําตัวส่งโรงพยาบาลในเขต สน.ปทุมวัน ต่อมาอีกสองวันนายเสาร์เสียชีวิตขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดังกล่าวนั้น กรณีดังกล่าวถือว่าความผิดอาญาได้เกิดขึ้นในเขตท้องที่ สน.พญาไท (คําพิพากษาฎีกาที่ 3337/2543) ดังนั้นพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ซึ่งความผิดได้เกิดภายในเขตอํานาจจึงเป็นพนักงานสอบสวน ที่มีอํานาจสอบสวนดําเนินคดีกับนายศุกร์ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 18 วรรคสอง แม้ว่านายเสาร์จะเสียชีวิตในเขต ท้องที่ สน.ปทุมวันก็ตาม

การที่นายศุกร์ถูกจับได้ทีอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ในเขตท้องที่สถานีตํารวจภูธร เมืองนครปฐมนั้น เมื่อคดีนี้ไม่ใช่เป็นกรณีความผิดเกี่ยวพันกันตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 19 เพราะนายศุกร์ได้ กระทําความผิดสําเร็จแล้วในเขตท้องที่ สน.พญาไทก่อนถูกจับ ดังนั้น พนักงานสอบสวน สน.พญาไท จึงเป็น พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 18 วรรคสาม

(ข) เมื่อปรากฏว่าคดีนี้เป็นคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ได้แจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิตามมาตรา 134/4 ให้นายศุกร์ทราบ พร้อมกับถามว่านายศุกร์มีทนายความหรือไม่ ซึ่งนายศุกร์ตอบว่าไม่มีและไม่ต้องการทนายความนั้น กรณีนี้ต้องด้วยมาตรา 134/1 ที่ว่าถ้าผู้ต้องหาไม่มี ทนายความให้รัฐจัดหาทนายความให้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อนายศุกร์ตอบว่าไม่มีทนายความ และแม้ นายศุกร์จะไม่ต้องการทนายความ พนักงานสอบสวนไม่จัดหาทนายความให้แก่นายศุกร์ โดยพนักงานสอบสวน เริ่มถามคําให้การนายศุกร์โดยไม่มีทนายความ นายศุกร์ให้การรับสารภาพ และพนักงานสอบสวนได้จดบันทึก คําให้การของนายศุกร์ไว้นั้น ย่อมถือว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้ดําเนินการตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/1 วรรคหนึ่ง ดังนั้น จะมีผลตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 134/4 วรรคสาม กล่าวคือ คําให้การของนายศุกร์ในชั้นสอบสวนจะรับฟัง เป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของนายศุกร์ไม่ได้

สรุป

(ก) พนักงานสอบสวนท้องที่ สน.พญาไท เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดี
ของนายศุกร์ไม่ได้

(ข) คําให้การของนายศุกร์ในชั้นสอบสวนจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิด

LAW3107 (LAW3007) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง2 s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3107 (LAW 3007) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2
คําแนะนํา ข้อสอบกระบวนวิชานี้เป็นอัตนัยล้วน ***LAW 3107 มี 3 ข้อ (ข้อ 1, 3 และ 4)
ส่วน ***LAW 3007 มี 4 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยบุกรุกเข้ามาอยู่ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์สองแปลงโดยไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่ จําเลยออกจากที่ดินทั้งสองแปลงและชดใช้เงินที่โจทก์สามารถนําออกให้เช่าได้เดือนละ 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โดยที่ดินของโจทก์มีราคาที่ดินแปลงละ 100,000 บาท จึงได้
จําเลยยื่นคําให้การว่าที่ดินแปลงที่หนึ่งจําเลยอยู่มาโดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ส่วนที่ดินแปลงที่สองเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่จําเลยออกจากที่ดินทั้งสองแปลง โดยที่ดินแต่ละแปลงสามารถนําออก ให้เช่าได้เพียง 500 บาท ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของ โจทก์ จําเลยเข้ามาอยู่โดยไม่มีสิทธิ ให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดิน และให้จําเลยชดให้เงินอันโจทก์ อาจออกให้เช่าได้เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจําเลยจะออกไปจากที่ดิน จําเลยจึง ยื่นอุทธรณ์ว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่จําเลย ออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์
ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 224 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทําความเห็นแย้งไว้หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควร อุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือจากอธิบดี ผู้พิพากษาชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอํานาจ แล้วแต่กรณี

บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิได้ให้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวและคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ เว้นแต่ในคดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจาก
อสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคําฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทหรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 225 “ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้อง กล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งจะต้องเป็นสาระ
แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย

ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าว ในศาลชั้นต้น หรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด ๆ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์ ไม่เปิดช่องให้กระทําได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์
คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ในการห้ามคู่ความอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดี ดังนี้

1. คดีที่ราคาทรัพย์ที่พิพาทหรือจํานวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท
หรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา

2. คดีฟ้องขับไล่บุคคลใด ๆ ออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท หรือไม่เกินจํานวนที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา

กรณีตามอุทาหรณ์ คําสั่งอุทธรณ์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของที่ดินแปลงที่ 1 การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยบุกรุกเข้ามาอยู่ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์ โดยไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดิน จําเลยยื่นคําให้การว่าที่ดินแปลงนี้จําเลยอยู่มาโดยสงบเปิดเผย และ เจตนาเป็นเจ้าของ จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วนั้น ถือเป็นกรณีที่จําเลยต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ ในที่ดินที่พิพาท จึงมีผลทําให้คดีฟ้องขับไล่ซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ในตอนแรกกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และ เมื่อราคาทรัพย์สินที่พิพาทคือที่ดินมีราคา 100,000 บาท ซึ่งเกินกว่า 50,000 บาท เมื่อศาลได้พิพากษาให้จําเลย แพ้คดีและให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดิน จําเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอํานาจฟ้องขับไล่จําเลยออกไปจากที่ดิน ซึ่งเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลซึ่งถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น โดยหลักแล้วจําเลยย่อมอุทธรณ์ได้ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จําเลยอุทธรณ์นั้น จําเลยอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาท ดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งเป็นประเด็นที่จําเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบใน
ศาลชั้นต้น อีกทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด ดังนั้น จึงต้องห้ามมิให้ อุทธรณ์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 225 การที่จําเลยยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์ คําสั่งรับอุทธรณ์ กรณีนี้ของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

กรณีของที่ดินแปลงที่ 2 การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยบุกรุกเข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์โดย ไม่มีสิทธิ ขอให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดิน จําเลยยื่นคําให้การว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของ แผ่นดินนั้น เมื่อจําเลยไม่ได้ต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงไม่ถือว่าจําเลยต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงเป็นคดี ฟ้องขับไล่บุคคลออกจากอสังหาริมทรัพย์และมิใช่คดีมีทุนทรัพย์

เมื่อปรากฏว่าในขณะฟ้องโจทก์อ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถนําออกให้เช่าได้เดือนละ 5,000 บาท แต่เมื่อศาลชั้นต้นกําหนดค่าเสียหายให้เดือนละ 2,000 บาท และโจทก์มิได้อุทธรณ์ มีเพียงจําเลยยังคงอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่ใช่ของโจทก์ ในกรณีเช่นนี้จึงถือได้ว่าที่ดินพิพาท อาจให้เช่าได้เดือนละ 2,000 บาท ซึ่งเป็นค่าเช่าที่ไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ในขณะยื่นคําฟ้องตามคําพิพากษาของ ศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง (คําพิพากษาฎีกาที่ 8775/2555) การที่จําเลยยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์ คําสั่งรับอุทธรณ์กรณีนี้ของศาลชั้นต้นจึง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น การที่จําเลยยื่นอุทธรณ์ว่าที่ดินทั้งสองแปลงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่มี อํานาจฟ้องขับไล่จําเลยออกไปจากที่ดินทั้งสองแปลง และศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์นั้น คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าว ของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. โจทก์ยื่นคําฟ้องขอให้จําเลยชําระหนี้เงินกู้ 100,000 บาท จําเลยยื่นคําให้การขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาศาลได้นัดสืบพยานโจทก์และจําเลยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 จําเลยได้มายื่นคําร้อง ขอเลื่อนคดี เนื่องจากพยานจําเลยป่วย ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี จําเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน แต่จําเลยได้ยื่นอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวในทันที ศาลชั้นต้นมีคําสั่งไม่รับอุทธรณ์ ต่อมาในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 ศาลได้มีคําพิพากษาให้จําเลยชําระหนี้โจทก์ตามฟ้อง จําเลยยื่นอุทธรณ์คําสั่งที่ ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จําเลยเลื่อนคดีภายใน 1 เดือนนับแต่ศาลพิพากษา ศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์

ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 226 “ก่อนศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดี ถ้าศาลนั้นได้มีคําสั่ง อย่างใดอย่างหนึ่งนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228

(1) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา

(2) ถ้าคู่ความฝ่ายใต้โต้แย้งคําสั่งใด ให้ศาลจดข้อโต้แย้งนั้นลงไว้ในรายงาน คู่ความที่โต้แย้ง ชอบที่จะอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น
เป็นต้นไป

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่งอย่างใด อย่างหนึ่งของศาลนับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 227 และ 228 เป็นคําสั่งระหว่าง
พิจารณา”

วินิจฉัย

คําสั่งของศาลที่จะถือว่าเป็นคําสั่งในระหว่างพิจารณานั้น มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1. จะต้องเป็นคําสั่งของศาลที่สั่งก่อนชี้ขาดตัดสินหรือจําหน่ายคดี

2. เมื่อศาลสั่งไปแล้วไม่ทําให้คดีเสร็จไปจากศาล กล่าวคือ ศาลยังต้องทําคดีนั้นต่อไป

3. ไม่ใช่คําสั่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.แพ่ง มาตรา 227 และมาตรา 228

และเมื่อเป็นคําสั่งระหว่างพิจารณาแล้ว คู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งนั้นทันทีไม่ได้ ต้องโต้แย้งคัดค้าน คําสั่งนั้นไว้ก่อนจึงจะเกิดสิทธิอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษา หรือ คําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 (2)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องขอให้จําเลยชําระหนี้เงินกู้ 100,000 บาท จําเลยยื่น คําให้การขอให้ศาลยกฟ้อง ต่อมาศาลได้นัดสืบพยานโจทก์และจําเลยในวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 จําเลยได้มา ยื่นคําร้องขอเลื่อนคดีเนื่องจากพยานจําเลยป่วย ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีนั้น คําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี ถือเป็นคําสั่งที่ศาลสั่งในระหว่างพิจารณา และไม่ใช่คําสั่งตามมาตรา 227 และมาตรา 228 จึงต้องห้ามมิให้
อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง (1) ถ้าคู่ความจะอุทธรณ์คําสั่งนั้น จะต้องโต้แย้งคัดค้านคําสั่งนั้นไว้ก่อนจึงจะสามารถอุทธรณ์คําสั่งนั้นได้ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้น มีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง (2)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี จําเลยมิได้โต้แย้งคัดค้าน แต่จําเลย ได้ยื่นอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวทันทีนั้น กรณีเช่นนี้แม้ศาลชั้นต้นจะมีคําสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 226 ก็ตาม แต่ถือว่าจําเลยได้โต้แย้งคําสั่งนั้นไว้ในอุทธรณ์แล้ว เพราะแม้อุทธรณ์คําสั่งระหว่างพิจารณา ครั้งแรกจะไม่มีผลเป็นอุทธรณ์เพราะต้องห้ามตามกฎหมาย แต่ก็ย่อมมีผลเป็นการโต้แย้งคําสั่งระหว่างพิจารณา ของศาลชั้นต้นตามมาตรา 226 วรรคหนึ่ง (2) แล้ว (คําพิพากษาฎีกาที่ 6273/2537) ดังนั้น เมื่อคดีดังกล่าว ศาลได้มีคําพิพากษาให้จําเลยชําระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง จําเลยจึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คําสั่งที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต ให้จําเลยเลื่อนคดีได้ และเมื่อจําเลยยื่นอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่มาศาลมีคําพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งรับอุทธรณ์ของจําเลย คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งรับอุทธรณ์ดังกล่าวของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยทําสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จํานวน 5 ล้านบาท หนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ จําเลยไม่ชําระหนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จําเลยชําระหนี้แก่โจทก์ 5 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จําเลยยื่นคําให้การแก้คดีตามกฎหมาย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ย้ายภูมิลําเนาไปอยู่นอก ราชอาณาจักร และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้ในราชอาณาจักร จําเลยจึงยื่นคําร้องขอต่อศาล ขอให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์วางเงินหรือหาประกันเพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย

ศาลชั้นต้นส่งสําเนาให้โจทก์ โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนจําเลยและได้ความจริงตามคําร้อง ของจําเลย ศาลชั้นต้นจึงมีคําสั่งให้โจทก์นําเงินมาวางต่อศาลหรือหาประกันเพื่อการชําระค่าฤชา ธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย

ดังนี้ คําสั่งของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 253 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ถ้าโจทก์มิได้มีภูมิลําเนาหรือสํานักทําการงานอยู่ใน ราชอาณาจักรและไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือถ้าเป็นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดี แล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย จําเลยอาจยื่นคําร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา
ขอให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้

ถ้าศาลไต่สวนแล้วเห็นว่า มีเหตุอันสมควรหรือมีเหตุเป็นที่เชื่อได้ แล้วแต่กรณี ก็ให้ศาลมีคําสั่ง ให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้ตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่กําหนด โดยจะกําหนดเงื่อนไขใด
ตามที่เห็นสมควรก็ได้”

มาตรา 253 ทวิ “ในกรณีที่โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคําพิพากษา ถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่ง ตามมาตรา 253 วรรคหนึ่ง จําเลยอาจยื่นคําร้องต่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา ขอให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้

ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งสํานวนความไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา คําร้องตามวรรคหนึ่ง
ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นทําการไต่สวน แล้วส่งคําร้องนั้นพร้อมด้วยสํานวนความไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาสั่ง

ให้นําความในมาตรา 253 วรรคสองและวรรคสามมาใช้บังคับแก่การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์และฎีกาโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องจําเลยอ้างว่า จําเลยทําสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จํานวน 5 ล้านบาท หนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ จําเลยไม่ชําระหนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จําเลยชําระหนี้แก่โจทก์ 5 ล้านบาท พร้อม ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จําเลยยื่นคําให้การแก้คดีตามกฎหมาย ต่อมาศาลชั้นต้นมีคําพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์ยื่นอุทธรณ์ และในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ย้ายภูมิลําเนาไปอยู่นอกราชอาณาจักร และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้ในราชอาณาจักรนั้น กรณีนี้จึงต้องด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 253 วรรคหนึ่ง ที่จําเลยมีสิทธิยื่นคําร้องต่อศาลอุทธรณ์ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษา เพื่อขอให้ศาล มีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้เพื่อการชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ และ เมื่อศาลไต่สวนแล้วเห็นว่ามีเหตุอันสมควรหรือมีเหตุเป็นที่เชื่อได้ ศาลก็มีอํานาจออกคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาล หรือหาประกันมาให้ตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่กําหนดได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 ทวิ วรรคสามประกอบมาตรา 253 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม ในการยื่นคําร้องดังกล่าวของจําเลยนั้น เมื่อปรากฏว่าจําเลยได้ยื่นคําร้องดังกล่าว ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ และเมื่อศาลชั้นต้นส่งสําเนาคําร้องให้โจทก์ โจทก์ไม่คัดค้าน ดังนี้ ศาลชั้นต้นก็จะต้องส่งคําร้องนั้นไปให้ศาลอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาสั่ง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 253 ทวิ วรรคสอง ศาลชั้นต้นไม่มีอํานาจสั่งตามคําร้องขอของจําเลยแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อจําเลยได้ยื่นคําร้อง ขอคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้โจทก์นําเงินมาวางต่อศาลหรือหาประกันเพื่อ การชําระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย คําสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ศาลมีคําพิพากษาในวันที่ 16 มีนาคม 2556 ให้จําเลยชําระหนี้ตามสัญญาซื้อขาย แก่โจทก์เป็นเงิน 8 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ศาลออกคําบังคับให้จําเลยปฏิบัติ ตามคําพิพากษาภายใน 30 วัน ครบกําหนดเวลาจําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ ต่อมาโจทก์สืบทรัพย์ ทราบว่าจําเลยมีที่ดินอยู่ 1 แปลง และมีเงินในธนาคารจํานวน 2 ล้านบาท โจทก์ขอออกหมาย บังคับคดีขอให้ยึดที่ดินและอายัดเงินในธนาคารของจําเลย เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของ จําเลยในวันที่ 8 มีนาคม 2565 และอายัดเงินในธนาคารในวันที่ 19 มีนาคม 2565 หลังจากนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินของจําเลยในวันที่ 24 มีนาคม 2566 จําเลยยื่นคําร้อง ต่อศาลอ้างว่าเกินกําหนดระยะเวลา 10 ปี เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถขายทอดตลาดที่ดินของจําเลยได้

ดังนี้ ข้ออ้างของจําเลยฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 274 วรรคหนึ่ง “ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษา หรือคําสั่งให้ชําระหนี้ (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับที่ออกโดยคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล ทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ได้รับชําระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดี โดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง และถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้ หรือได้ดําเนินการบังคับคดีโดยวิธีอื่นไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดี โดยวิธีอื่นนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้”

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้ มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นภายในกําหนด 10 ปีนับแต่วันที่ มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง ซึ่งคําว่า “นับแต่วันมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง” ตามมาตรา 274 ดังกล่าว หมายความว่า นับแต่วันที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลในชั้นที่สุดในคดีนั้น และถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้ร้องขอให้
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้
ดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง การที่ศาลมีคําพิพากษาในวันที่ 16 มีนาคม 2556 ให้จําเลย ชําระหนี้ตามสัญญาซื้อขายแก่โจทก์เป็นเงิน 8 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ศาลออกคําบังคับให้จําเลย ปฏิบัติตามคําพิพากษาภายใน 30 วัน ครบกําหนดเวลาจําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ ต่อมาโจทก์ (เจ้าหนี้ตาม คําพิพากษา) สืบทรัพย์ทราบว่าจําเลยมีที่ดินอยู่ 1 แปลง และมีเงินในธนาคารจํานวน 2 ล้านบาท โจทก์จึงขอ ออกหมายบังคับคดีขอให้ยึดที่ดินและอายัดเงินในธนาคารของจําเลย และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไปยึดที่ดิน ของจําเลยในวันที่ 8 มีนาคม 2565 และอายัดเงินในธนาคารในวันที่ 19 มีนาคม 2565 นั้น ย่อมถือว่าโจทก์ ได้ดําเนินการร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินและอายัดสิทธิเรียกร้องภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษาแล้ว ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิที่จะดําเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นต่อไป จนแล้วเสร็จได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้นําที่ดินของจําเลยออกขายทอดตลาด ในวันที่ 24 มีนาคม 2566 จึงสามารถทําได้แม้จะเกินระยะเวลา 10 ปีแล้วก็ตาม การที่จําเลยยื่นคําร้องต่อศาล อ้างว่าเกินกําหนดระยะเวลา 10 ปีแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่สามารถขายทอดตลาดที่ดินของจําเลยได้นั้น ข้ออ้างของจําเลยจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของจําเลยฟังไม่ขึ้น

 

LAW3109 (LAW3009) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมรดก s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3109 (LAW 3009) ป.พ.พ.ว่าด้วยมรดก
คําแนะนํา ข้อสอบกระบวนวิชานี้เป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายพิธามีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย 2 คน คือ นายพิบูลย์และนายพิทักษ์ นายพิธาทําสัญญาจะขาย ที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้แก่นายธราธร และยังให้นายปิยบุตรเช่าบ้าน (โฉนดที่ดินเลขที่ 999) เป็นเวลา 3 ปี ต่อมานายพิธาทําพินัยกรรมตามแบบของกฎหมาย ระบุยกที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้นายพิบูลย์ และยกบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 999 ให้นายพิทักษ์ หลังจากทําพินัยกรรมฉบับ ดังกล่าวได้เพียง 6 เดือน นายพิธาเดินทางไปต่างจังหวัดและประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ดังนี้
(1) นายพิบูลย์จะต้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้แก่นายธราธรหรือไม่ เพราะเหตุใด และ
(2) นายปิยบุตรจะสามารถอยู่ในบ้าน (โฉนดที่ดินเลขที่ 999) ที่เช่าจนกว่าจะครบกําหนดตาม สัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 ได้บัญญัติไว้ว่า มรดกซึ่งจะตกทอดแก่ผู้เป็นทายาทเมื่อเจ้ามรดกตายนั้น ได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ของผู้ตาย เว้นแต่สิทธิ หน้าที่และ ความรับผิดซึ่งตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จะไม่ตกทอดไปยังทายาท

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิธาซึ่งมีบุตรชอบด้วยกฎหมาย 2 คน คือ นายพิบูลย์และนายพิทักษ์ ได้ทําสัญญาจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 838 แก่นายธราธร และทําสัญญาให้นายปิยบุตรเช่าบ้าน (โฉนดที่ดินเลขที่ 999) เป็นเวลา 3 ปี ต่อมานายพิธาทําพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้นายพิบูลย์ และยกบ้านพร้อมที่ดิน โฉนดเลขที่ 999 ให้นายพิทักษ์ หลังจากทําพินัยกรรมได้ 6 เดือน นายพิธาถึงแก่ความตาย ดังนี้ นายพิบูลย์ จะต้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้นายธราธร และนายปิยบุตรจะสามารถอยู่ในบ้าน (โฉนดที่ดินเลขที่ 999) จนครบกําหนดสัญญาเช่าได้หรือไม่นั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายพิบูลย์ได้รับมรดกคือที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ตามพินัยกรรมนั้น เมื่อสิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาจะขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ตามกฎหมายไม่ถือว่าเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ดังนั้น เมื่อนายพิธาตาย หน้าที่ที่จะขายบ้านให้แก่นายธราธรตามสัญญาจะขายจึงเป็นมรดกตกทอดแก่นายพิบูลย์ นายพิบูลย์จึงต้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้แก่นายธราธร

(2) การที่นายพิทักษ์ได้รับมรดกคือบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 999 ตามพินัยกรรม ซึ่งบ้าน หลังดังกล่าวนายพิธาได้ทําสัญญาให้นายปิยบุตรเช่าเป็นเวลา 3 ปีนั้น เมื่อตามกฎหมายสิทธิและหน้าที่ของ ผู้เช่าเท่านั้นที่เป็นการเฉพาะตัวของผู้เช่า แต่ไม่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ให้เช่า ดังนั้น เมื่อนายพิธาผู้ให้เช่าตาย สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าจึงเป็นมรดกตกทอดแก่นายพิทักษ์ซึ่งเป็นทายาท นายพิทักษ์จึงต้องให้นายปิยบุตร
อยู่ในบ้านหลังดังกล่าวต่อไปจนครบกําหนดสัญญาเช่า

สรุป

(1) นายไพบูลย์จะต้องขายที่ดินโฉนดเลขที่ 888 ให้แก่นายธราธร

(2) นายปิยบุตรสามารถที่จะอยู่ในบ้าน (โฉนดที่ดินเลขที่ 999) ที่เช่าจนกว่าจะครบกําหนด ตามสัญญาเช่าได้

 

ข้อ 2. นางบีมีบุตร 2 คน คือ นายหนึ่งและนายสอง นางบีมีน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันชื่อนายซี นายหนึ่งมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายชื่อนางสวย มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายใหญ่ นางบีทําพินัยกรรม ตามแบบของกฎหมาย ระบุยกเงินสด 300,000 บาทให้กับนายหนึ่ง และยกที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาทให้กับนายสอง ต่อมานายหนึ่งถึงแก่ความตาย นางบีเสียใจเป็นอย่างมากและ ตรอมใจตายในที่สุด นางบีมีทรัพย์มรดกคือเงินสด 300,000 บาท และที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาท ตามพินัยกรรม นายสองได้ยักย้ายเงินมรดกไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จํานวน 200,000 บาท ดังนี้ ให้แบ่งมรดกของนางบี

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1605 “ทายาทคนใดยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่านั้น โดยฉ้อฉลหรือรู้อยู่ว่าตนทําให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทคนอื่น ทายาทคนนั้นต้องถูกกําจัดมิให้ได้มรดกเลย แต่ถ้าได้ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกน้อยกว่าส่วนที่ตนจะได้ ทายาทคนนั้นต้องถูกกําจัดมิให้ได้มรดกเฉพาะ
ส่วนที่ได้ยักย้ายหรือปิดบังไว้นั้น

ตรานี้มิให้ใช้บังคับแก่ผู้รับพินัยกรรม ซึ่งผู้ตายได้ทําพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้เฉพาะสิ่งเฉพาะอย่าง
ในอันที่จะได้รับทรัพย์สินนั้น”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน”

มาตรา 1630 วรรคหนึ่ง “ตราบใดที่ทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสาย แล้วแต่กรณีในลําดับหนึ่ง ๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลําดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของ ผู้ตายเลย”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่ ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้
ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1642 “การรับมรดกแทนที่กันนั้น ให้ใช้บังคับแต่ในระหว่างทายาทโดยธรรม”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

มาตรา 1698 “ข้อกําหนดพินัยกรรมนั้น ย่อมตกไป

(1) เมื่อผู้รับพินัยกรรมตายก่อนผู้ทําพินัยกรรม”

มาตรา 1699 “ถ้าพินัยกรรม หรือข้อกําหนดในพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินรายใดเป็นอันไร้ผล ด้วยประการใด ๆ ทรัพย์สินรายนั้นตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมหรือได้แก่แผ่นดินแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนางบีเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย มรดกตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตก ได้แก่ทายาทผู้รับพินัยกรรม กล่าวคือ เงินสด 300,000 บาท ตกได้กับนายหนึ่ง ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาท ตกได้แก่นายสอง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งผู้รับพินัยกรรมได้ตายก่อน นางที่ผู้ทําพินัยกรรม ข้อกําหนดในพินัยกรรมที่ยกเงินสด 300,000 บาท ให้นายหนึ่งจึงตกไปตามมาตรา 1698 (1) จึงต้องนําเงินสดจํานวน 300,000 บาท มาแบ่งให้แก่ทายาทโดยธรรมต่อไป ซึ่งในกรณีนี้จะไม่มีการรับ มรดกแทนที่กัน เพราะการรับมรดกแทนที่กันนั้น จะใช้บังคับกันเฉพาะในกรณีที่เป็นเรื่องทายาทโดยธรรมเท่านั้น ตามมาตรา 1642 และทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกดังกล่าวได้แก่นายหนึ่งและนายสองซึ่งเป็นทายาทโดย ธรรมตามมาตรา 1629 (1) โดยทั้งสองจะได้รับมรดกเป็นเงินสดคนละ 150,000 บาท ส่วนนายซีซึ่งเป็นน้องชาย ร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางบีนั้น ไม่มีสิทธิรับมรดกในส่วนของเงินสดจํานวน 300,000 บาทนั้น ทั้งนี้เพราะ นายซีเป็นทายาทโดยธรรมในลําดับที่ 3 ตามมาตรา 1629 (3) ซึ่งเมื่อผู้ตายมีทายาทในลําดับก่อนและยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่แล้ว ทายาทผู้อยู่ในลําดับถัดลงไปจะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลยตามมาตรา 1630 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนายหนึ่งซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1) ได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกตาย และนายหนึ่งมีผู้สืบสันดานโดยตรงคือนายใหญ่ ดังนั้น นายใหญ่จึงสามารถเข้ามารับมรดกแทนที่นายหนึ่งในการ รับมรดกของนางบีได้ตามมาตรา 1639 และมาตรา 1643 โดยนายใหญ่และนายสองจะได้รับมรดกในส่วนที่เป็น เงินสดของนางบีคนละ 150,000 บาท

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสองได้ยักย้ายเงินมรดกไปเป็นของตนโดยทุจริต จํานวน 200,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการยักย้ายทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้ ดังนั้น นายสองจึงถูกกําจัด มิให้ได้มรดกเลย ตามมาตรา 1605 วรรคหนึ่ง มรดกของนางบีที่เป็นเงินสดจํานวน 300,000 บาท จึงตกได้แก่ นายใหญ่ซึ่งเข้ามารับมรดกแทนที่นายหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาทนั้น ถือเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่งเฉพาะอย่างที่นางบีทําพินัยกรรมยกให้กับนายสองโดยเฉพาะ จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1605 วรรคสอง กล่าวคือ ที่ดินแปลงดังกล่าวยังคงตกได้แก่นายสองในฐานะผู้รับพินัยกรรม โดยนายสองจะไม่ถูก กําจัดไม่ให้รับมรดกในส่วนนี้

สรุป มรดกของนางที่ในส่วนที่เป็นเงินสดจํานวน 300,000 บาท ตกได้แก่นายใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 123 ราคา 500,000 บาท ตกได้แก่นายสองตามพินัยกรรม

 

ข้อ 3. นายดําและนางแดงเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือนายหนึ่งและนายสอง นางแดงล้มป่วยและถึงแก่ความตาย นายดําจดทะเบียนสมรสใหม่กับนางส้ม มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเอกและนายโท นายโทมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายชื่อนางทอง มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ ด.ช.ทิว นายดําและนายโทนั่งรถไปต่างจังหวัดและประสบอุบัติเหตุ ถึงแก่ความตายทั้งสองคน ต่อมานายเอกได้ทะเลาะกับนายหนึ่งอย่างรุนแรงเรื่องมรดกของนายดํา นายเอกเอาปืนมายิงนายหนึ่ง ถึงแก่ความตาย ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่านายเอกฆ่านายหนึ่งตายโดยเจตนา ต่อมานายสอง ถึงแก่ความตาย มีมรดกทั้งสิ้น 800,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านแบ่งมรดกของนายสอง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1604 วรรคหนึ่ง “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลหรือสามารถ มีสิทธิได้ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”

มาตรา 1606 “บุคคลดังต่อไปนี้ต้องถูกกําจัดมิให้รับมรดกฐานเป็นผู้ไม่สมควร คือ
(1) ผู้ที่ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทําหรือพยายามกระทําให้เจ้ามรดกหรือผู้มีสิทธิ
ได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”

มาตรา 1629 “ทายาทโดยธรรมมีหกลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับแห่งมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลําดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้สืบสันดาน
(2) บิดามารดา
(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน”

มาตรา 1639 “ถ้าบุคคลใดซึ่งจะเป็นทายาทตามมาตรา 1629 (1) (3) (4) หรือ (6) ถึงแก่ ความตาย หรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย ถ้าบุคคลนั้นมีผู้สืบสันดานก็ให้ผู้สืบสันดานรับมรดกแทนที่
ถ้าผู้สืบสันดานคนใดของบุคคลนั้นถึงแก่ความตายหรือถูกกําจัดมิให้รับมรดกเช่นเดียวกัน ก็ให้ผู้สืบสันดานของ ผู้สืบสันดานนั้นรับมรดกแทนที่ และให้มีการรับมรดกแทนที่กันเฉพาะส่วนแบ่งของบุคคลเป็นราย ๆ สืบต่อกันเช่นนี้ไปจนหมดสาย”

มาตรา 1643 “สิทธิที่จะรับมรดกแทนที่กันนั้นได้เฉพาะแก่ผู้สืบสันดานโดยตรง ผู้บุพการีหามีสิทธิดังนั้นไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําและนางแดงเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือนายหนึ่งและนายสอง นางแดงถึงแก่ความตาย นายดําจดทะเบียนสมรสใหม่กับนางส้ม มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเอกและนายโทนั้น ย่อมถือว่านายเอกและนายโทเป็นน้องร่วมบิดาเดียวกันกับนายหนึ่งและนายสอง และเมื่อนายสองเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย มรดกของนายสองย่อมตกแก่นายดําและนางแดงซึ่งเป็นบิดามารดา และเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (2) แต่เมื่อปรากฏว่านายดําและนางแดงได้ถึงแก่ความตายก่อนนายสอง นายดําและนางแดงจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายสอง เพราะทั้งสองไม่มีสภาพบุคคลในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง และนางส้มก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายสองเพราะนางส้มไม่ใช่มารดาของนายสอง จึงมิใช่ทายาทโดยธรรมของนายสองตามมาตรา 1629 (2) แต่อย่างใด

ส่วนนายหนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายสองและเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา
1629 (3) นั้น เมื่อปรากฏว่านายหนึ่งได้ถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกตาย นายหนึ่งจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายสอง เพราะนายหนึ่งไม่มีสภาพบุคคลในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ นายดําและนางแดง ดังนั้น โดยหลักแล้วมรดกของนายสองจํานวน 800,000 บาท ย่อมตกได้แก่นายเอกและนายโท ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (4) เพราะทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันกับนายสอง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกได้ทะเลาะกับนายหนึ่งอย่างรุนแรงเรื่องมรดก ของนายดํา นายเอกเอาปืนมายิงนายหนึ่งถึงแก่ความตาย และศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดว่านายเอกฆ่านายหนึ่งตาย โดยเจตนา ดังนั้น นายเอกจึงถูกกําจัดมิให้รับมรดกของนายสองฐานเป็นผู้ไม่สมควรตามมาตรา 1606 (1) เนื่องจากได้เจตนากระทําให้ผู้มีสิทธิได้รับมรดกก่อนตนถึงแก่ความตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น มรดก ทั้งหมดของนายสองจึงตกได้แก่นายโทในฐานะทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (4)

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า นายโทได้ถึงแก่ความตายก่อนนายสองเจ้ามรดกตาย ดังนั้น นายโท จึงไม่อาจรับมรดกของนายสองได้ เพราะนายโทไม่มีสภาพบุคคลอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายโทมีบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย 1 คน คือ ด.ช.ทิว ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน โดยตรง ดังนั้น ด.ช.ทิว จึงเข้ามารับมรดกแทนที่นายโทได้ ตามมาตรา 1639 และมาตรา 1643 มรดกทั้งหมด ของนายสองจึงตกได้แก่ ด.ช.ทิว แต่เพียงผู้เดียว

สรุป มรดกของนายสองจํานวน 800,000 บาท ตกได้แก่ ด.ช.ทิวแต่เพียงผู้เดียว

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมภายใน
(1) นั่งรอรถเมล์ที่หน้ามหาวิทยาลัย
(2) ตัดหญ้าหน้าบ้านพี่สาว
(3) รู้สึกเป็นห่วงลูกเมื่อลูกต้องเดินทางไกลคนเดียว
(4) จ่ายเงินค่าอาหารคํากับบริกร
(5) อ่านหนังสืออย่างหนักเพื่อเตรียมตัวสอบ
ตอบ 3 หน้า 3, (คําบรรยาย) พฤติกรรมที่นักจิตวิทยาสนใจศึกษาแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. พฤติกรรมภายใน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดหรือสังเกตได้โดยตรง ต้องอาศัยวิธีการทางอ้อม โดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัดและการพิสูจน์ทดลองจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่ สังเกตได้ เช่น การคิด การจํา การฝัน การคาดหวัง ทัศนคติ เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก ฯลฯ
2. พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การกิน การนอน การนั่ง การเดิน การวิ่ง การพูด การอ่าน การเขียน การเล่นกีฬา การดูหนัง การฟังเพลง ฯลฯ

2. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของจิตวิทยา
(1) บรรยายพฤติกรรม
(2) ทําความเข้าใจการเกิดขึ้นของพฤติกรรม
(3) ทํานายการเกิดพฤติกรรม
(4) ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน
(5) ประยุกต์ใช้ความรู้กับชีวิตประจําวัน
ตอบ 4 หน้า 3, 5 – 7 จิตวิทยา คือ การศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมของสิ่งมีชี โดยเฉพาะมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย (บรรยาย), ทําความเข้าใจ, ทํานาย (พยากรณ์) และควบคุมพฤติกรรม (โดยการนําความรู้ไปประยุกต์ใช้)

3.“การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด
(1) กลุ่มโครงสร้างของจิต
(2) กลุ่มหน้าที่ของจิต
(3) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์
(4) กลุ่มจิตวิเคราะห์
(5) กลุ่มมนุษยนิยม
ตอบ 2 หน้า 9 – 10 กลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism) โดยกลุ่มนี้มีความสนใจในการทํางานของ จิตสํานึก และการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวัฒนาการ ของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ที่เชื่อว่าอินทรีย์จะมีวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอด และ สัตว์ทั้งหลายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

4.“แบ่งจิตเป็น 3 ระดับ คือ จิตสํานึก จิตกึ่งสํานึก และจิตใต้สํานึก” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด
(1) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ
(2) กลุ่มมนุษยนิยม
(3) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(4) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์
(5) กลุ่มจิตวิเคราะห์
ตอบ 5 หน้า 289 ฟรอยด์ นักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ เชื่อว่ากระบวนการทํางานของจิตมี 3 ระดับ คือ
1. จิตสํานึก (Conscious) เป็นการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เป็นการทํางานอย่างรู้ตัวของ บุคคลในระดับจิตสํานึก ซึ่งพฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์เป็นการทํางานของจิตส่วนนี้
2. จิตใต้สํานึกหรือจิตไร้สํานึก (Unconscious) เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีความขัดแย้งใจ
3. จิตก่อนสํานึกหรือจิตถึงสํานึก (Preconscious) เป็นประสบการณ์บางอย่างที่เราลืมไปแต่ถ้าได้รับการเตือนความจําขึ้นมาเราก็จะจําได้ทันที

5.“เน้นกระบวนการรู้คิดของบุคคล” เป็นแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มใด
(1) กลุ่มโครงสร้างของจิต
(2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(3) กลุ่มมนุษยนิยม
(4) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ
(5) กลุ่มจิตวิทยาเอคเคล็กติก (Eclectic Psychology)
ตอบ 4 หน้า 12, (คําบรรยาย) กลุ่มจิตวิทยาคอกนิทีฟ (Cognitive Psychology) สนใจศึกษาเกี่ยวกับ ความสามารถทางปัญญา โดยเน้นกระบวนการรู้คิดที่อาศัยการทํางานของสมอง รวมทั้งเน้น กระบวนการประมวลผลข้อมูล เช่น ความรู้ ความคิด การใช้ภาษา การแก้ปัญหา จิตสํานึก ความคิดสร้างสรรค์ และกระบวนการภายในจิตอื่น ๆ

6. ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับ Ego ตามแนวคิดของจิตวิเคราะห์
(1) ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความเป็นจริง
(2) ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมตามความพอใจของตน
(3) ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมตามหลักของศีลธรรมของสังคม
(4) ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมตามเป้าหมายของตน
(5) ผลักดันให้แสดงพฤติกรรมตามสัญชาตญาณ
ตอบ 1 หน้า 288 อีโก้ (Ego) จะทํางานร่วมกันไปกับกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลโดยยึดหลักแห่ง ความเป็นจริง ดังนั้น อีโก้จึงเป็นส่วนของจิตที่ทําหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลให้ทําตาม ความเป็นจริง เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม

ข้อ 7. – 8. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ ตอบคําถามว่าเป็นวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาประเภทใด
(1) การสังเกต
(2) การสํารวจ
(3) การทดลอง
(4) การทดสอบทางจิตวิทยา
(5) การศึกษาประวัติรายกรณี

7.ความคิดเห็นของวัยรุ่นที่มีต่อเกม ROV
ตอบ 2 หน้า 14 การสํารวจ (Survey) เป็นวิธีการศึกษาลักษณะบางลักษณะจากกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่ม
ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดที่ต้องการศึกษา โดยการออกแบบสอบถามหรือ โดยการสัมภาษณ์และนําคําตอบที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ ซึ่งวิธีการสํารวจนี้ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น การสํารวจประชามติเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เป็นต้น

8.การศึกษาที่กําหนดให้มีตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
ตอบ 3 หน้า 14 การทดลอง (Experimentation) เป็นการศึกษาที่สําคัญยิ่งในการทําให้วิชาจิตวิทยา ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงเหตุและผล โดยผู้ทดลองเป็นผู้สร้างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมตามที่ต้องการศึกษาซึ่งเรียกว่า “ตัวแปรอิสระ” หรือ “ตัวแปรต้น” (เหตุของพฤติกรรม) แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมหรือศึกษา ผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ซึ่งเรียกว่า “ตัวแปรตาม” (ผลของพฤติกรรม) ทั้งนี้ผู้ทดลองจะต้อง แน่ใจว่าได้ควบคุมอิทธิพลของตัวแปรแทรกซ้อนไว้แล้ว

9.สรีรจิตวิทยา เป็นการศึกษาในเรื่องใด
(1) ศึกษาแบบแผนพฤติกรรมที่ค่อนข้างคงที่ของบุคคลที่แสดงออกให้เห็นในสถานการณ์ต่าง ๆ
(2) ศึกษาการทํางานของสมองและระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมพฤติกรรม
(3) ศึกษากระบวนการที่ประสาทสัมผัสรับสิ่งเร้าจากภายนอก
(4) ศึกษากระบวนการแปลความหมายสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัสต่าง ๆ
(5) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรอันเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต
ตอบ 2 หน้า 25, 27 สรีรจิตวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาการทํางานของสมอง และระบบประสาทที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการควบคุมพฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ที่มีต่อ
สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การแสดงออกทางพฤติกรรมของมนุษย์ต้องอาศัยการทํางานของระบบต่าง ๆ ที่สําคัญภายในร่างกาย ได้แก่ ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบกล้ามเนื้อ

10. กลไกของระบบประสาทใด ที่ทําหน้าที่รับสัมผัสทั้งหลาย แปลงข้อมูลเป็นพลังงานไฟฟ้าหรือสารเคมี และส่งต่อไปยังระบบประสาท
(1) กลไกแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
(2) กลไกการรับรู้
(3) กลไกการรับสิ่งเร้า
(4) กลไกการเชื่อมโยงทางระบบประสาท
(5) วงจรปฏิกิริยาสะท้อน
ตอบ 3 หน้า 31 กลไกการรับสิ่งเร้า (Receptors) คือ อวัยวะรับสัมผัสทั้งหลาย ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง ซึ่งกลไกนี้จะทําหน้าที่รับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมแล้วแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าหรือ สารเคมี และส่งต่อไปยังระบบประสาท

11. กรณีใดไม่ได้เกิดจากวงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex Action)
(1) กระพริบตาเมื่อลมพัด
(2) ชักมือออกเมื่อโดนแก้วที่ร้อน
(3) เปิดพัดลมเมื่อร้อน
(4) ดึงมือออกเมื่อถูกประตูหนีบ
(5) ถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่
ตอบ 3 หน้า 31 วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Simple Reflex Action) เป็นการแสดงออกทางร่างกายโดย อัตโนมัติโดยที่สมองไม่ต้องสั่งงาน แต่ทํางานภายใต้การสั่งการของไขสันหลัง เช่น การกะพริบตา เมื่อถูกลมพัด การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่ ฯลฯ

12. ระบบประสาทใด ทําหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการและศูนย์ควบคุมการทํางานของร่างกาย
(1) ระบบประสาทส่วนกลาง
(2) ระบบประสาทส่วนปลาย
(3) ระบบประสาทนําคําสั่งทั่วไป
(4) ระบบประสาทซิมพาเธติก
(5) ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก
ตอบ 1 หน้า 27, 34, 41 – 43, 52 – 53 ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) ประกอบด้วยสมองและไขสันหลัง ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สําคัญที่สุดของระบบประสาท โดยทําหน้าที่ เป็นศูนย์บัญชาการและศูนย์ควบคุมการทํางานของร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ ทําให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ควบคุมการหายใจและการเต้นของหัวใจ การไหลเวียนของโลหิต การทํางานของ ต่อมไร้ท่อ การปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม การควบคุมอารมณ์ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของความรู้สึก นึกคิด สติปัญญา ความคิดและความรัก ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์

13. ระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic nervous system) ทําหน้าที่อะไร
(1) ควบคุมสมดุลระบบพลังงานของร่างกาย
(2) ผลิตฮอร์โมน
(3) ผลิตของเหลวส่งตามท่อไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
(4) ทําให้ร่างกายกลับคืนสู่ภาวะสงบและพักผ่อนหลังอาการตกใจ
(5) สั่งการให้ร่างกายตื่นตัว เพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ตอบ 5 หน้า 34 ระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic Nervous System) เป็นระบบที่ไปกระตุ้น การทํางานของร่างกายในกรณีฉุกเฉิน ทําให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมรับ สถานการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้น เช่น เมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าที่ทําให้ตกใจกลัวและช็อก ทําให้ ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายมีการทํางานมากขึ้น เกิดการตื่นตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ผนังของลําไส้หดตัวน้อยลง ม่านตาขยายกว้าง เหงื่อออกมาก และขนลุก ฯลฯ

14.เปลือกสมองส่วน Parietal lobe ทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) ประมวลผลเกี่ยวกับการมองเห็น
(2) ประมวลผลพฤติกรรมจากการรู้คิด
(3) ประมวลผลเกี่ยวกับการรับความรู้สึกทั่วไป
(4) ประมวลผลเกี่ยวกับการได้ยิน
(5) ประมวลผลพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความหิว ความกระหาย
ตอบ 3 หน้า 41, (ความรู้ทั่วไป) เปลือกสมอง หรือซีรีบรัล คอร์เทกซ์ (Cerebral Cortex) เป็นที่รวมของ เส้นประสาททั้งหมด และเป็นส่วนของสมองที่ทํางานซับซ้อนมาก แบ่งออกเป็น 4 กลีบ ได้แก่
1. กลีบสมองส่วนหน้า (Frontal lobe) ทําหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว บุคลิก การตัดสินใจ เหตุผล ความสามารถในการพูด ฯลฯ
2. กลีบสมองส่วนกลาง (Parietal lobe) ทําหน้าที่ควบคุมความรู้สึกด้านการสัมผัสต่าง ๆ การรับรส การเข้าใจภาษาในการพูด การอ่าน การเขียน และการคํานวณ
3. กลีบสมองส่วนข้าง (Temporal lobe) เกี่ยวกับความจําทางภาษา ศิลปะ การได้ยิน การดมกลิ่น
4. กลีบสมองส่วนหลัง (Occipital lobe) ทําหน้าที่ควบคุมการมองเห็น

15. ส่วนใดเกี่ยวข้องกับการทํางานของระบบประสาทมากที่สุด
(1) เซลล์ประสาท
(2) สารสื่อประสาท
(3) หัวใจ
(4) ไขสันหลัง
(5) สมอง
ตอบ 5 หน้า 30, 40 สมอง (Brain) เป็นอวัยวะสําคัญของระบบประสาท ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่สําคัญ ในการควบคุมการทํางานของระบบอื่น ๆ ในร่างกาย

16. แอ็กซอน (axon) ในเซลล์ประสาทนิวโรน (Neuron) ทําหน้าที่ในข้อใด
(1) ทําหน้าที่รับและส่งกระแสประสาทได้ในเวลาเดียวกัน
(2) สารนํากระแสประสาทเข้ามาสู่ตัวเซลล์
(3) การนํากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ไปสู่เซลล์ประสาทอีกตัวหนึ่ง
(4) ทําหน้าที่กระตุ้นการทํางานของเซลล์ประสาทตัวถัดไป
(5) ทําหน้าที่ยับยั้งการทํางานของเซลล์ประสาทตัวถัดไป
ตอบ 3 หน้า 37 – 38 แอ็กซอน (Axon) ทําหน้าที่นําคําสั่งหรือนํากระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ ประสาทไปสู่เดนไดรท์ของเซลล์ประสาทตัวอื่น

17. กล้ามเนื้อส่วนใดที่ทํางานภายใต้อํานาจจิตใจ
(1) กล้ามเนื้อเรียบ
(2) กล้ามเนื้อลาย
(3) กล้ามเนื้อหัวใจ
(4) กล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อลาย
(5) กล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อหัวใจ
ตอบ 2 หน้า 30, 32, 52 ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular System) ทําหน้าที่ในการทําให้ร่างกายเคลื่อนไหว ประกอบด้วย กล้ามเนื้อลาย (ทํางานภายใต้อํานาจจิตใจ) กล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อหัวใจ
(ทํางานนอกเหนืออํานาจจิตใจ)

18. การผลิตฮอร์โมนเพื่อควบคุมความสมดุลในร่างกาย เป็นหน้าที่การทํางานของระบบร่างกายระบบใด
(1) เซลล์ประสาท
(2) สารสื่อประสาท
(3) ต่อมมีท่อ
(4) ต่อมไร้ท่อ
(5) กล้ามเนื้อหัวใจ
ตอบ 4 หน้า 45 ต่อมไร้ท่อ เป็นต่อมที่ไม่มีท่อสําหรับให้สารเคมีที่ต่อมผลิตได้ผ่านไปสู่อวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งสารเคมีที่ต่อมนี้ผลิตได้เรียกว่า “ฮอร์โมน” (Hormone) ซึ่งมีความสําคัญต่อร่างกาย และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์เป็นอย่างมาก โดยฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อแต่ละชนิด จะทํางานไปพร้อม ๆ กัน เพื่อควบคุมและรักษาความสมดุลของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ

ข้อ 19. – 21. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ ตอบคําถาม
(1) ความจําระยะสั้น
(2) ความจําระยะยาว
(3) ความจําจากการรับสัมผัส
(4) ความจําขณะปฏิบัติงาน
(5) ความจําคู่

19. เก็บข้อมูลได้มากและไม่สูญหาย
ตอบ 2 หน้า 196 – 197, 199 ความจําระยะยาว (Long-term Memory) จะทําหน้าที่เสมือนคลัง ข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้ โดยมีความสามารถไม่จํากัดในการเก็บ ข้อมูล (เก็บข้อมูลได้มาก) จึงไม่มีข้อมูลสูญหายไปจากความจําระยะยาวนี้ และจะเก็บข้อมูลไว้ บนพื้นฐานของความหมายและความสําคัญของข้อมูล ซึ่งความจําระยะยาวนี้มี 2 ประเภท คือ
1. การจําความหมาย เป็นการจําความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก เช่น ชื่อวัน เดือน ชื่อสิ่งของ ภาษา และทักษะการคํานวณง่าย ๆ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น ๆ ฯลฯ
2. การจําเหตุการณ์ เป็นการจําเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต เช่น จําเรื่องราวในวันแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย จําอุบัติเหตุที่ประสบเมื่อปีที่แล้ว ฯลฯ

20. เก็บภาพติดตาไว้ได้
ตอบ 3 หน้า 196 ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory) คือ ระบบการจําชั้นแรกที่จะเก็บข้อมูล ในลักษณะถอดแบบสิ่งที่ได้เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินทุกอย่างเอาไว้ในช่วงสั้น ๆ เพื่อถ่ายทอดข้อมูล ต่อไปยังระบบการจําอื่น ๆ เช่น ถ้าได้เห็นข้อมูล ภาพติดตาหรือจินตภาพ (Icon) จะคงอยู่ได้ ครึ่งวินาที (2 วินาที) แต่ถ้าเกิดจากการได้ยิน เสียงก้องในหู (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ ประมาณ 2 วินาที ฯลฯ ทั้งนี้หากไม่มีการส่งต่อข้อมูล สิ่งที่จําไว้จะหายไปอย่างรวดเร็วที่สุด

21. เป็นคลังข้อมูลชั่วคราว
ตอบ 1 หน้า 196 ความจําระยะสั้น (Short-term Memory) ทําหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่ เก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด โดยจะเก็บข้อมูลในลักษณะจินตภาพ ทั้งนี้ความจําระยะสั้น จะถูกรบกวนหรือถูกแทรกแซงได้ง่าย เป็นความจําที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราสับสนในการสนทนา เกี่ยวกับชื่อ วันที่ หมายเลขโทรศัพท์ และเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากนี้ยังเป็นความจําในส่วน ที่ปฏิบัติงาน (Working Memory) การคิดเลขในใจ การจํารายการสั่งของที่จะซื้อ ฯลฯ

22. การที่เราจดจําเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยได้ เป็นเพราะเราจัดเก็บข้อมูลไว้ในส่วนใด
(1) ความจําคู่
(2) ความจําขณะปฏิบัติงาน
(3) การจําเหตุการณ์ในความจําระยะยาว
(4) การจําความหมายในความจําระยะยาว
(5) ความจําจากการรับสัมผัส
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

23. การที่เราพยายามนึกชื่อดาราคนหนึ่ง ซึ่งจําชื่อไม่ได้แต่จําหน้าได้ จนกระทั้งมีเพื่อนนํารูปถ่ายมาให้ดู จึง สามารถเรียกชื่อดาราได้อย่างถูกต้อง ลักษณะนี้จัดว่าตรงกับข้อใด
(1) การจําได้
(2) การระลึกได้
(3) การพิจารณาได้
(4) การเรียนซ้ำ
(5) การบูรณการใหม่
ตอบ 1 หน้า 202 การจําได้ (Recognition) เป็นการวัดความจําโดยมีสื่อกระตุ้นหรือชี้แนะให้จําได้ เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบ หรือการเห็นร่มก็จําได้ว่าเป็นร่มที่หายไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว ฯลฯ การจําได้จะได้ผลดีถ้ามีรูปถ่ายหรือการได้เห็นสิ่งอื่น ๆ มาช่วย เช่น การที่ตํารวจนิยมให้พยาน ตัวผู้ต้องสงสัยจากภาพถ่ายหรือสเก็ตภาพให้พยานดู เป็นต้น

24. หนึ่งในสาเหตุของการลืมที่เกิดขึ้นจาการทํางานของจิตใต้สํานึก คือข้อใด
(1) การถูกรบกวนด้วยข้อมูลใหม่ ๆ
(2) การเก็บกด
(3) ข้อมูลเสื่อมสลายตามกาลเวลา
(4) การระงับเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่นึกถึงบางอย่าง
(5) ข้อมูลไม่ได้ถูกบันทึก เพราะไม่ได้เป็นเรื่องราวที่บุคคลเลือกใส่ใจ
ตอบ 2 หน้า 205 การเก็บกด (Repression)
เป็นการจูงใจเพื่อลืมความจําที่เจ็บปวดหรือความอาย จะถูกเก็บกดให้อยู่ในจิตใต้สํานึก ทั้งนี้คนเรามักจะจดจําเหตุการณ์ที่มีความสุขหรือสิ่งดี ๆ
ในชีวิตได้มากกว่าเหตุการณ์ที่ผิดหวังหรือไม่น่ารื่นรมย์และสิ่งที่เลวร้ายหรือสิ่งที่ไม่ดี

25. ข้อใดเป็นหน่วยความคิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้สัญลักษณ์เพื่อเป็นตัวแทนของการคิด
(1) ภาษา
(2) จินตภาพ
(3) มโนทัศน์
(4) การหยั่งเห็นคําตอบทันที
(5) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ
ตอบ 1 หน้า 207 – 208 ภาษาเป็นหน่วยพื้นฐานของความคิดที่เกี่ยวข้องกับการใช้สัญลักษณ์เพื่อ
เป็นตัวแทนของการคิดหรือสิ่งของ โดยภาษาของแต่ละชาติมีผลต่อระบบการคิดของคนในชาติ ที่เป็นเจ้าของภาษานั้น ๆ เช่น การที่ชาวเอสกิโมมีคําเรียกหิมะเกือบ 30 คํา แต่คนไทยมีคําเรียก หิมะเพียงคําเดียว ฯลฯ

26. ข้อใดไม่ใช่หน่วยพื้นฐานของการคิด
(1) ภาษา
(2) จินตภาพ
(3) มโนทัศน์
(4) การหยั่งเห็นคําตอบทันที
(5) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ
ตอบ 4หน้า 206 หน่วยพื้นฐานของความคิด (Basic Units of Thought) ประกอบด้วย จินตภาพ การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ มโนทัศน์ และภาษาหรือสัญลักษณ์

27.การที่ลิงชิมแปนซีที่อยู่ในสถานการณ์ที่มีกล่องกระดาษวางอยู่เกะกะ และมีกล้วยแขวนอยู่ในที่สูงแล้วรู้ว่า ต้องนํากล่องกระดาษมาต่อกันเพื่อไปหยิบกล้วยนั้น จัดว่าลิงชิมแปนซีใช้การแก้ปัญหาแบบใด
(1) แก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ
(2) แก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันที
(3) แก้ปัญหาโดยใช้เครื่องจักร
(4) แก้ปัญหาจากการคิดคุณสมบัติทั่วไปของคําตอบที่ถูก
(5)แก้ปัญหาจากการคิดคําตอบที่เป็นไปได้หลาย ๆ คําตอบ
ตอบ 2 หน้า 210, 218, (คําบรรยาย) จากการทดลองของโคเลอร์ (Kohler) ได้แสดงให้เห็นถึงการ แก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคําตอบในทันทีของลิงชิมแปนซี (เป็นการลองผิดลองถูกภายในจิต) ซึ่งในคนปรากฏการณ์นี้มักเกิดขึ้นหลังจากคิดแก้ปัญหาแต่ไม่ประสบผลสําเร็จ และการหยั่งเห็นคําตอบในทันทีมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

28. การให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ และแตกต่างจากคนอื่น จัดเป็นคุณสมบัติใดของความคิดสร้างสรรค์
(1) ความริเริ่ม
(2) ความมีตรรกะ
(3) การแสวงหาใคร่รู้
(4) ความคล่อง
(5) ความยืดหยุ่น
ตอบ 1 หน้า 211 คุณสมบัติของผู้มีความคิดสร้างสรรค์มีหลายประการ เช่น
1. ความคล่อง คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างหลากหลาย
2. ความยืดหยุ่น คือ สามารถเปลี่ยนวิธีคิดจากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่งได้โดยไม่ยึดติดอยู่กับ ความคิดเดิม
3. ความคิดริเริ่ม คือ สามารถให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ ไม่ธรรมดา และแตกต่างจากคนอื่น

29. ข้อใดคือความแตกต่างระหว่างการสัมผัสและการรับรู้
(1) การสัมผัสจําเป็นต้องอาศัยการรับรู้
(2) การรับรู้ไม่จําเป็นต้องอาศัยการรับสัมผัส
(3) การสัมผัสเป็นกระบวนการแปลความหมายของการรับรู้
(4) การรับรู้เป็นกระบวนการแปลความหมายของการสัมผัส
(5) การสัมผัสคือการที่สิ่งเร้ามากระทบความต้องการ แล้วจึงเกิดพฤติกรรม
ตอบ 4 หน้า 57, 59 การรับรู้ คือ กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัส ต่าง ๆ โดยการแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต การเรียนรู้ สภาพจิตใจในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้น ๆ ซึ่งกระบวนการรับรู้นี้จัดเป็น ขั้นตอนสําคัญอย่างยิ่งก่อนการแสดงพฤติกรรมโต้ตอบของมนุษย์ในทุกรูปแบบ

30. ตาบอดสีแบบ Dichromatism เป็นอาการตาบอดสีแบบใด
(1) เห็นสีผิดปกติเพียงเล็กน้อย
(2) ตาบอดสีแดง
(3) ตาบอดสีเขียว
(4) เห็นได้เพียงสองสี
(5) ตาบอดทุกสี
ตอบ 4หน้า 63 – 64 ตาบอดสีเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของการเห็นสี แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. Monochromatism เป็นอาการตาบอดสีหมดทุกสี โดยจะเห็นสีทุกสีเป็นสีเทา
2. Dichromatism เป็นอาการตาบอดสีชนิดที่สามารถมองเห็นสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น คือ พวกที่เห็นสีแดงเป็นสีดํา และพวกที่ไม่สามารถแยกสีเขียวและสีแดงออกจากกันได้
3. Trichromatism เป็นการเห็นสีครบทุกสีแต่เห็นสีนั้นอ่อนกว่าปกติ (ผิดปกติเพียงเล็กน้อย)

31. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับรอดส์และโคนส์
(1) รอดส์เป็นส่วนประกอบของหูชั้นนอก ส่วนโคนส์เป็นส่วนประกอบของหูชั้นใน
(2) รอดส์และโคนส์ สามารถทําให้การรับรู้รสชาติและกลิ่นเปลี่ยนไปได้
(3) รอดส์และโคนส์ ทําหน้าที่รักษาความสมดุลภายในร่างกาย
(4) รอดส์ทําหน้าที่รับแสงขาวดํา ส่วนโคนส์ทําหน้าที่รับแสงที่เป็นสี
(5) รอดส์ทําหน้าที่รับแสงที่เป็นสี ส่วนโคนส์ทําหน้าที่รับแสงขาวดํา
ตอบ 4 หน้า 61 ที่ผนังของเรตินา (Retina) จะมีเซลล์ประสาทอยู่ 2 ชนิด คือ
1. รอดส์ (Rods) มีลักษณะเป็นแท่งยาว และไวต่อแสงขาวดํา จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงสลัวในเวลากลางคืน
2. โคนส์ (Cones) มีลักษณะสั้น เป็นรูปกรวย และไวต่อแสงที่เป็นสี ช่วยทําให้รับภาพสีได้ดี จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงจ้าในเวลากลางวัน ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่บริเวณเรตินา

32. ความรู้สึกที่มาสัมผัสเรานั้นแยกออกได้เป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
(1) มี 2 ชนิด คือ ความร้อน และเย็น
(2) มี 2 ชนิด คือ ความกด และปล่อย
(3) มี 3 ชนิด คือ ความสบาย ความเจ็บปวด และความทรมาน
(4) มี 4 ชนิด คือ ความกด ความอุ่น ความเย็น และความเจ็บปวด
(5) มี 5 ชนิด คือ ความกด ความร้อน ความเย็น ความเจ็บปวด และความทรมาน
ตอบ 4 หน้า 67 ใต้ผิวหนังของคนเราจะมีจุดรับสัมผัสมากมาย โดยจุดรับสัมผัสแต่ละชนิดจะมีความไว
ต่อความรู้สึกที่มาสัมผัสแตกต่างกัน ซึ่งความรู้สึกที่มาสัมผัสผิวกายของมนุษย์นั้น มีจุดรับสัมผัส พื้นฐาน 4 ชนิด คือ ความกด ความอุ่น ความเย็น และความเจ็บปวด

33. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองเรื่องความลึกและระยะทางคืออะไร
(1) ห้องมายา
(2) ทางสองมิติ
(3) หน้าผามายา
(4) ห้องจําลอง
(5) ภาพเงาสะท้อน
ตอบ 3 หน้า 72 ผู้ที่สนใจศึกษาทดลองในเรื่องเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทาง คือ กิ๊บสัน และวอล์ก (Gibson and Walk) ซึ่งเขาได้ทดลองโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “หน้าผามายา” (Visual Cliff) พบว่า เมื่อเด็กทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใส กับพื้นที่ทาสีตาหมากรุก (ทําให้แลเห็นเป็นพื้นที่ 2 ระดับที่มีความสูงต่ําต่างกัน) เด็กจะไม่กล้า คลานออกไป แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้

34. ข้อใดไม่ใช่รถพื้นฐานของมนุษย์
(1) หวาน
(2) เผ็ด
(3) เค็ม
(4) ขม
(5) เปรี้ยว
ตอบ 2 หน้า 68 รสพื้นฐานที่มนุษย์รับรู้โดยทั่วไปมี 4 รส คือ รสขม รสหวาน รสเปรี้ยว และรสเค็ม ส่วนรสอื่น ๆ เช่น รสเผ็ดนั้น เกิดจากการผสมกันของรสพื้นฐานเหล่านี้

35. ข้อใดคือ แนวโน้มที่จะรับรู้ภาพที่สมบูรณ์ทั้งที่บางส่วนขาดหายไป
(1) Common fate
(2) Closure
(3) Continuity
(4) Similarity
(5) Proximity
ตอบ 2 หน้า 75, (คําบรรยาย) การต่อเติมให้สมบูรณ์ (Closure) คือ แนวโน้มที่จะรับรู้ความสมบูรณ์ ของวัตถุทั้งที่บางส่วนขาดหายไป โดยการมองเป็นลักษณะส่วนรวมหรือความสมบูรณ์ของวัตถุ มากกว่าการมองวัตถุเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพราะถ้าเรามองสิ่งใดที่ยังขาดหรือพร่องอยู่ จิตของมนุษย์ มักจะเติมส่วนที่ขาดหายไปนั้นให้เป็นรูปเต็ม

36. การรับรู้แบบอภิธรรมดาที่เรียกว่า โทรจิต (Telepathy) เป็นการรับรู้อย่างไร
(1) การเห็นโดยไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัสทางตา
(2) การเดินทางไปปรากฏกายในที่อื่นโดยไม่ต้องใช้พาหนะใด ๆ
(3) การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
(4) การทําให้วัตถุหักงอโดยไม่ต้องใช้กายสัมผัส
(5) การล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นโดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น
ตอบ 5 หน้า 79 ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น
2. ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึ่งประสาทสัมผัส
3. การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

37. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของสี
(1) ตัวสี (Hue)
(2) ความสว่าง
(3) ความบริสุทธิ์
(4) ความมืด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 63 ส่วนใหญ่แล้วสีต่าง ๆ มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ
1. ตัวสี (Hue) เช่น สีเขียว แดง ม่วง ฯลฯ
2. ความสว่างของสี (Brightness) หมายถึง สีเดียวกันอาจมีความสว่างต่างกัน
3. ความบริสุทธิ์ของสี (Saturation) หมายถึง สีที่อิ่มตัวเป็นสีบริสุทธิ์จะมีคลื่นแสงเดียว ไม่มีคลื่นแสงอื่นเข้ามาปะปนให้เจือจางลงไป

38. ระดับอุณหภูมิขั้นต่ําเท่าไรที่จะทําให้มนุษย์รับรู้ถึงความรู้สึกร้อน
(1) สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส
(2) สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส
(3) สูงกว่า 50 องศาเซลเซียส
(4) สูงกว่า 60 องศาเซลเซียส
(5) สูงกว่า 70 องศาเซลเซียส

ตอบ 1 หน้า 67 ผิวหนังมีแต่ความรู้สึกอุ่นและเย็นเท่านั้น ส่วนความรู้สึกร้อนเกิดจากการที่ประสาท ผิวหนังอุ่นและเย็นได้รับการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา ถ้าสิ่งที่มากระตุ้นมีอุณหภูมิ สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส จะทําให้เรารู้สึกร้อน แต่ถ้ามีอุณหภูมิต่ํากว่านี้จะทําให้เรารู้สึกเย็น

39. ข้อใดคือความหมายของสัมปชัญญะ
(1) การรู้ว่าผู้อื่นคิดอะไรอยู่
(2) การรู้ว่าตนเองคิดอะไรอยู่
(3) การมีสติ
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูกต้อง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 89 – 90, 115 สัมปชัญญะ หมายถึง การรู้ตัวทั่วพร้อมว่าตนเองกําลังทํา พูด หรือมีพฤติกรรมใดอยู่ โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคล (อินทรีย์) ออกจากสัมปชัญญะหรือ ขาดสัมปชัญญะ ได้แก่ การนอนหลับ การฝัน การหมดสติ การสะกดจิต การใช้สารเสพติด การใช้ยาหรือสารเคมี และการนั่งสมาธิภาวนา

40. ข้อใดคือระยะเวลาที่เหมาะสมในการนอนหลับ
(1) 6 ชั่วโมง
(2) 7 ชั่วโมง
(3) 8 ชั่วโมง
(4) ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 92 โดยทั่ว ๆ ไปคนส่วนใหญ่จะใช้เวลานอนระหว่าง 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่การกําหนด ให้ตายตัวลงไปว่าควรจะเป็นกี่ชั่วโมงอย่างชัดเจนนั้นคงเป็นสิ่งที่ทําได้ยาก เพราะมนุษย์แต่ละคน มีความแตกต่างกันในการนอน สําหรับคนบางคนนอนเพียง 5 ชั่วโมง ก็ดูจะเป็นสิ่งที่พอเพียง สําหรับเขา แต่สําหรับคนอื่น ๆ อาจจะใช้เวลานอนถึง 11 ชั่วโมง จึงจะรู้สึกพอเพียงก็ได้

41. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการสะกดจิต
(1) ช่วยให้ความจําของบุคคลดีขึ้น
(2) ช่วยลดความเจ็บปวด
(3) ทําให้คนธรรมดามีพลังพิเศษได้
(4) ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายทางจิตใจ
(5) ช่วยให้เกิดความมุ่งมั่น
ตอบ 1 , 3 หน้า 105, 116 ประโยชน์ของการสะกดจิต มีดังนี้
1. ช่วยให้บุคคลเกิดความมุ่งมั่นและชักจูงให้มีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น แต่ไม่สามารถ
เปลี่ยนคนธรรมดาให้มีพลังพิเศษได้
2. ช่วยโน้มน้าวจิตใจของบุคคลให้สนใจที่จะจดจํา แต่ไม่สามารถช่วยให้ความจําของบุคคลดีขึ้น
3. ในทางการแพทย์ สามารถช่วยลดความเจ็บปวดของคนไข้ได้
4. ช่วยให้บุคคลเกิดการผ่อนคลายทางจิตใจ

42. สภาวะที่เรียกว่า “Sleep Deprivation Psychosis” คืออะไร
(1) อาการหลับไม่สนิท
(2) สภาพจิตที่ฟุ้งซ่าน ทําให้นอนไม่หลับ
(3) อาการละเมอขณะนอนหลับ
(4) สภาพจิตที่กระหายการนอนหลับ
(5) อาการกระตุกก่อนการนอนหลับ
ตอบ 4 หน้า 91 นักจิตวิทยาได้ทําการศึกษาเกี่ยวกับผู้ที่ไม่มีโอกาสได้นอนติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน พบว่า จะมีสภาพทางจิตที่กระหายการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง (Sleep Deprivation Psychosis) ซึ่งอาจส่งผลทําให้บุคคลนั้นเกิดความอ่อนล้าทางร่างกาย มึนงง และมีสภาพการรับรู้ทางจิตใจ ที่ผิดพลาด รวมทั้งอาจมีอาการประสาทหลอนได้

43. คลื่นใดที่เครื่อง EEG สามารถตรวจพบในขณะที่เราหลับลึกได้
(1) Alpha
(2) Beta
(3) Gamma
(4) Delta
(5) Theta
ตอบ 4 หน้า 93 การนอนหลับในระยะที่ 4 เป็นช่วงแห่งการนอนหลับที่ลึกมาก (Deep Sleep) ซึ่ง มักจะเกิดเมื่อการนอนผ่านไปเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในช่วงนี้คลื่นสมอง (EEG) จะมีลักษณะเป็นคลื่นเดลตา (Delta) ล้วน ๆ ซึ่งผู้หลับจะไม่รู้ตัวและ “หลับไหล” จริง ๆ

44. ข้อใดเป็นสภาพร่างกายในช่วงเวลาที่เกิด REM
(1) ความดันโลหิตนิ่ง
(2) อารมณ์ไม่ปกติ
(3) ผิวหนังเย็นชา
(4) ร่างกายกระตุก
(5) หัวใจเต้นสม่ําเสมอ
ตอบ 2 หน้า 96 สภาพร่างกายในช่วงเวลาที่เกิด REM (ช่วงของการนอนหลับฝัน) คือ อารมณ์จะยัง ไม่ปกตินัก หัวใจเต้นไม่สม่ําเสมอ ความดันโลหิตและการหายใจจะยังไม่เข้าที่ดีนัก ร่างกายจะ มีการเคลื่อนไหวน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย และมักจะไม่เกิดการเปลี่ยนท่านอน

45. สภาวะใดเป็นสภาวะที่บุคคลออกจากสัมปชัญญะ
(1) ถูกสะกดจิต
(2) การใช้ยาเสพติด
(3) การเจริญภาวนา
(4) ผิดทุกข้อ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

46. ยาเสพติดประเภทใดออกฤทธิ์ผสมผสาน
(1) ฝิ่น
(2) เฮโรอีน
(3) กัญชา
(4) ยาบ้า
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 110 กัญชา จัดเป็นยาเสพติดประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน กล่าวคือ อาจจะกดหรือ
กระตุ้นหรือหลอนประสาทร่วมกัน

47. ผู้ใดเชื่อว่าความฝันเกิดจากความคิด ความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงกลางวัน
(1) Freud
(2) Adler
(3) Jung
(4) Hopson & McCarley
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 98, 115, (คําบรรยาย) แอดเลอร์ (Adler) เชื่อว่า ความฝันเป็นเรื่องราวของความคิดคํานึง รวมทั้งความรู้สึกที่ติดค้างมาจากช่วงเวลากลางวันแล้วจึงต่อเนื่องนําไปฝันในช่วงเวลากลางคืน

48. ข้อใดไม่ใช่ชนิดของการสะกดจิตที่กล่าวในบทเรียน
(1) การสะกดจิตตนเอง
(2) การสะกดจิตโดยผู้อื่นยินยอม
(3) การสะกดจิตหมู่
(4) การสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่ยินยอม
(5) การสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่รู้ตัว
ตอบ 3 หน้า 103 – 104 การสะกดจิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้
1. การสะกดจิตตนเอง
2. การสะกดจิตผู้อื่น แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ การสะกดจิตโดยผู้อื่นยินยอม การสะกดจิต โดยผู้อื่นไม่ยินยอม และการสะกดจิตโดยผู้อื่นไม่รู้ตัว

ข้อ 49 – 53. จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
(2) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม
(3) ทฤษฎีมนุษยนิยม
(4) ทฤษฎีโครงสร้างของจิต
(5) ทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง

49. ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะเกิดขึ้นอีก
ตอบ 2 หน้า 289 – 291 วัตสัน (Watson) นักทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Theory) เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม โดยบุคลิกภาพ ของมนุษย์เกิดจากผลแห่งการกระทําของเขา เช่น ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้น จะเกิดขึ้นอีกและจะกระทําบ่อยขึ้น ฯลฯ

50. สัญชาตญาณแห่งความตายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง
ตอบ 1 หน้า 287 – 288 ฟรอยด์ (Freud) นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) กล่าวว่า มนุษย์เรามีสัญชาตญาณ 2 ประเภทที่ติดตัวมาแต่กําเนิด คือ
1. สัญชาตญาณแห่งการดํารงชีวิต เป็นสัญชาตญาณการตอบสนองความต้องการทางร่างกาย
2. สัญชาตญาณแห่งความตาย เกี่ยวข้องกับการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและการทําลายล้าง

51. การศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันจะสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้
ตอบ 5 หน้า 296 อัลฟอร์ท (Atiport) นักทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง (Type and Trait Theory) เชื่อว่า เราสามารถจัดแบ่งกลุ่มลักษณะอุปนิสัยของคนออกเป็นหมวดหมู่ได้ โดยนําเอาลักษณะ ที่คล้าย ๆ กันจัดไว้ในกลุ่มเดียวกัน และจากการศึกษาลักษณะนิสัยใจคอของคนที่อยู่ในสังคม เดียวกัน เราสามารถหาลักษณะร่วมที่คนในสังคมเดียวกันมีคล้ายคลึงกันได้ เรียกลักษณะนี้ว่า ลักษณะสามัญ (Common Trait) เช่น คนเหนือสุภาพ คนใต้รักพวกพ้อง คนไทยใจดี ฯลฯ

52. ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมนําไปสู่การพัฒนาเรื่อง Self-Concept
ตอบ 3 หน้า 292 ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanistic Theory) เชื่อว่า ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม จะนําไปสู่การพัฒนาเรื่องอัตมโนทัศน์ (Self-Concept) โดยพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่ เกิดจากการที่เราพยายามทําพฤติกรรมที่ดํารงรักษาความเชื่อเรื่องอัตมโนทัศน์ของตัวเราเอาไว้

53. พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยการจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

54. นายเอกชอบการขับรถด้วยความเร็วสูงเพราะรู้สึกสนุกทั้งที่รู้ว่าเสี่ยงอันตราย เป็นพฤติกรรมที่เกิดจาก
โครงสร้างของจิตใจส่วนใด
(1) Id
(2) Ego
(3) Superego
(4) Persona
(5) Shadow
ตอบ 1 หน้า 287 – 288, (คําบรรยาย) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ของฟรอยด์ (Freud) ได้แบ่งโครงสร้างของบุคลิกภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. อิด (Id) เป็นสัญชาตญาณของจิตใต้สํานึกที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด โดยเป็นพลังจิตที่ขาดการขัดเกลา ไม่รับรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม มีกระบวนการคิดที่ไม่สมเหตุสมผล ทํางานโดยยึดหลัก ความพึงพอใจหรือทําตามความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจกับความเป็นจริงภายนอก
ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณในเรื่องเพศ ความก้าวร้าว และการทําลายล้าง
2. อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทํางานโดยยึดหลักแห่งความเป็นจริง โดยร่วมกันไปกับ กระบวนคิดอย่างมีเหตุผล จะแสดงออกอย่างไรจึงเป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคม
3. ซูเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทําหน้าที่คล้ายกับมโนธรรมที่คอยตักเตือน ให้บุคคลมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

55. โครงสร้างของจิตใจส่วนใดที่ทํางานโดยยึดหลักจริยธรรม (Moral principle)
(1) Id
(2) Ego
(3) Superego
(4) Persona
(5) Shadow
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

56. ข้อใดถูกต้องตามแนวคิดของวัตสัน (Watson)
(1) บุคลิกภาพเกิดจากการทํางานของ Id, Ego และ Superego
(2) พฤติกรรมของมนุษย์จะถูกควบคุมได้โดยจัดสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
(3) โครงสร้างพลังงานของระบบ จิตสรีระทําให้บุคคลมีเอกลักษณ์ในการปรับตัว
(4) มนุษย์มีธรรมชาติที่จะแสวงหาความงอกงามเติบโต และพัฒนาไปสู่สภาวะที่สมบูรณ์
(5) ระบบจิตสรีระของมนุษย์จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

57. ข้อใดคือความต้องการขั้นที่ 4 ของทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์
(1) ความต้องการความปลอดภัย
(2) ความต้องการทางร่างกาย
(3) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ
(4) ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง
(5) ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง
ตอบ 4 หน้า 229 – 232, 234 – 235 ทฤษฎีลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) ได้แบ่งระดับความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
1. ความต้องการทางด้านร่างกาย เช่น ต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัย รถยนต์ ฯลฯ
2. ความต้องการความมั่นคงและความปลอดภัย เช่น หาวิธีป้องกันตนเองให้ปราศจากโรค และอันตรายต่าง ๆ ไม่ขับรถขณะมึนเมา ฯลฯ
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ เช่น ต้องการความรัก ความสามัคคี ฯลฯ
4. ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น เช่น ต้องการมีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในสังคม ฯลฯ
5. ความต้องการประจักษ์ตน เช่น ต้องการแสวงหาความสุขทางใจ ฯลฯ

58. การประเมินบุคลิกภาพของนักจิตวิทยาในข้อใดเรียกว่า การฉายภาพจิต
(1) ใช้แบบทดสอบ MMPI
(2) ให้ดูภาพหยดหมึกแล้วถามว่าเหมือนอะไร
(3) พูดคุยโดยตั้งคําถามทางอ้อม
(4) แอบสังเกตการณ์ผ่านกล้องวิดีโอ
(5) ให้ผู้รับการทดสอบเข้าไปในสถานการณ์จําลองที่สร้างขึ้น
ตอบ 2 หน้า 308 – 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต เป็นการวัดบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยามี ความประสงค์จะล่วงรู้ถึงความปรารถนาหรือจิตใต้สํานึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตของผู้ตอบ โดย ให้ผู้รับการทดสอบบรรยายความรู้สึกนึกคิดออกมาทางภาพที่ให้ดู ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. แบบทดสอบรอร์ชาย (Rorschach) เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบ ดูภาพแล้วถามว่าเขาเห็นอะไรในภาพนั้นบ้างหรือภาพนั้นเหมือนอะไร
2. แบบทดสอบ TAT เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ โดยให้ผู้รับการทดสอบดูภาพแล้วให้เขา บรรยายหรือแต่งเรื่องหรือเล่าเรื่องจากภาพ

59. “สติปัญญาเป็นความสามารถของแต่ละบุคคลในการที่จะคิดอย่างมีเหตุผล หรือกระทําทุก ๆ สิ่งอย่างมี จุดมุ่งหมาย ตลอดจนมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ตรงกับ
แนวคิดของใคร
(1) อัลเฟรด บิเนต์
(2) เดวิด เวคสเลอร์
(3) จอร์จ สต๊อดดาร์ด
(4) โฮวาร์ด การ์ดเนอร์
(5) ฟรานซิส กัลตัน
ตอบ 2 หน้า 321 เดวิด เวคสเลอร์ (David Wechster) กล่าวว่า “สติปัญญาเป็นความสามารถของ แต่ละบุคคลในการที่จะคิดอย่างมีเหตุผล หรือกระทําทุก ๆ สิ่งอย่างมีจุดมุ่งหมาย ตลอดจนมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

60. ทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย (Multiple Factor Theory) เป็นของนักทฤษฎีท่านใด
(1) ชาร์ล สเปียร์แมน
(2) อัลเฟรด บีเน่ต์
(3) เทอร์สโตน และกิลฟอร์ด
(4) ธีโอฟีล ไซมอน
(5) เดวิด เวคสเลอร์
ตอบ 3 หน้า 325 – 326 เทอร์สโตนและกิลฟอร์ด (Thurstone and Guilford) เป็นผู้ที่แนะนําทฤษฎี ตัวประกอบหลายปัจจัย (Multiple Factor Theory) โดยเทอร์สโตนอธิบายว่า ความสามารถ ขั้นพื้นฐานที่เป็นส่วนประกอบของสติปัญญามี 7 ชนิด คือ ความเข้าใจภาษา, ความสามารถ ใช้คําได้คล่องแคล่ว, ความสามารถในการใช้ตัวเลข, ความสามารถในการมองเห็นภาพมิติ,
ความสามารถในการจํา, ความไวในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ และความสามารถที่จะเข้าใจเหตุผล ส่วนกิลฟอร์ด เชื่อว่า ตัวประกอบของสติปัญญามีถึง 120 ตัวประกอบ ใน 3 มิติ คือ มิติด้าน เนื้อหา วิธีการ และผล โดยเขาเชื่อว่าบุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมักจะมีสติปัญญาสูงด้วย

61. จุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบทดสอบสติปัญญา คือ
(1) ความต้องการจัดชั้นเรียนพิเศษสําหรับเด็กเรียนข้าของกระทรวงศึกษาธิการประเทศฝรั่งเศส
(2) ความต้องการพิจารณางบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการประเทศสหรัฐอเมริกา
(3) การสํารวจระบาดวิทยาของปัญหาสุขภาพจิตในประเทศอังกฤษ
(4) การเตรียมเปิดสถาบันบําบัดสําหรับเด็กพิเศษในประเทศแคนาดา
(5) การร่างนโยบายการศึกษาของประเทศฟินแลนด์
ตอบ 1 หน้า 324 การวัดสติปัญญาริเริ่มขึ้นโดยเซอร์ ฟรานซิส กัลตัน (Sir Francis Gatton) ซึ่งให้ความสนใจศึกษาการสืบทอดทางพันธุกรรมเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญา จนในปีค.ศ. 1905 กระทรวงศึกษาของประเทศฝรั่งเศสได้ให้ความสนใจต่อการศึกษาของเด็กที่มี ปัญหาในการเรียนช้า เพื่อที่จะได้จัดเตรียมโปรแกรมพิเศษสําหรับเด็กกลุ่มนี้ ด้วยเหตุนี้ นักจิตวิทยาจึงได้สร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาใช้เพื่อแยกเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองออกจากเด็กปกติ

62.“คําว่า Mental Age (M.A.)” ในสมการการคํานวณค่า I.Q. = M.A./C.A. × 100 คืออะไร
(1) อายุจริง
(2) อายุปฏิทิน
(3) อายุสมอง
(4) อายุเพดาน
(5) อายุฐาน
ตอบ 3 หน้า 326 ในการวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า I.O. (Intelligence Quotient) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง (Mental Age : M.A.) ซึ่งเป็น คะแนนที่ได้จากการทําแบบทดสอบสติปัญญา และอายุจริงตามปฏิทิน (Chronological Age – C.A.) ซึ่งเป็นอายุที่นับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันทดสอบ คูณด้วย 100

63. เด็กหญิงหนึ่ง ทําแบบทดสอบได้อายุสมอง 40 เดือน อายุจริงตามปฏิทินเท่ากับ 3 ปี เด็กหญิงหนึ่งจะมี คะแนนความสามารถทางสติปัญญา (I.Q.) เท่ากับเท่าไหร่ (หากมีเศษให้ปัดลง)
(1) เท่ากับ 11
(2) เท่ากับ 77
(3) เท่ากับ 88
(4) เท่ากับ 99
(5) เท่ากับ 111
ตอบ 5

64.คะแนน I.Q. ในข้อใดจัดอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ย (High Average)
(1) I.Q. = 90 – 109
(2) 1.O. = 110 – 119
(3) I.Q. = 70 – 79
(4) I.Q. – 60 – 69
(5) I.Q. = 50 – 59
ตอบ 2 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (IQ) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ IQ ต่ํากว่า 70, คาบเส้น (Borderline) มีระดับ IQ 71 – 80, ปัญญาทึบ (Dull) มีระดับ IQ 81 – 90, เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ IQ 91 – 110 เป็นอัตราเฉลี่ย (Average), ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ IQ 111 – 120, ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ IQ 121 – 140 และอัจฉริยะ (Genius) มีระดับ IQ 140 ขึ้นไป

65. ถ้าข้อสอบ PSY 1001 มีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ ข้อสอบนี้ขาดคุณสมบัติข้อใด
(1) ความเป็นปรนัย
(2) ความเชื่อถือได้
(3) ความแม่นยํา
(4) ความเที่ยงตรง
(5) ความเป็นมาตรฐาน
ตอบ 4 หน้า 328 ความเที่ยงตรง (Validity) นับเป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่สุด นั่นคือ แบบทดสอบ จะต้องสามารถวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้ ได้แก่ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหาและทฤษฎีที่ให้ ผู้ทรงคุณวุฒิทําการประเมินแล้ว หรือความเที่ยงตรงที่ได้จากการคํานวณหาค่าสหสัมพันธ์ระหว่างแบบทดสอบกับเกณฑ์ที่ใช้ในการทํานายหรือกับการทดสอบอื่น ๆ หรือระหว่าง แบบทดสอบใหม่กับแบบทดสอบเก่าที่ผู้สร้างเดิมได้หาค่าความเที่ยงตรงไว้แล้ว

66. แบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาแบบใดไม่ใช่การโต้ตอบคําถามด้วยภาษา
(1) WAIS
(2) WISC
(3) WPPSI
(4) Stanford-Binet
(5) Progressive matrices tests
ตอบ 5 หน้า 331 แบบทดสอบโปรเกรสซีพ เมตรซีส (Progressive Matrices Test) เป็นแบบทดสอบ ที่ไม่ใช้ถ้อยคําภาษา (Nonverbal) ที่ J.G. Raven สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคล ในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต

67. แบบทดสอบวัดความสามารถทางสติปัญญาฉบับใดที่สามารถใช้กับเด็กที่มีอายุ 2 ปีได้
(1) SPM
(2) WAIS
(3) WISC
(4) WPPSI
(5) Stanford-Binet
ตอบ 5 หน้า 329 ลักษณะของแบบทดสอบ Stanford-Binet คือ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดระดับ สติปัญญาของเด็กตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึงผู้ใหญ่ที่ฉลาด

68. ข้อใดกล่าวผิด
(1) การใช้แบบทดสอบ I.Q. จะกระทําได้แต่เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอเท่านั้น
(2) ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเพศหญิงและชายที่มีความแตกต่างทางสติปัญญา
(3) ฐานะทางสังคมไม่ใช่ปัจจัยที่ทําให้สติปัญญามีความแตกต่างกัน
(4) ความแตกต่างทางเชื้อชาติไม่ทําให้ความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกัน
(5) ระดับสติปัญญาอาจเพิ่มหรือลดได้ เมื่ออายุล่วงวัย 60 ปีแล้ว
ตอบ 3 หน้า 332 – 334 การขายและใช้แบบทดสอบ I.Q. จะกระทําได้แต่เฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัติ เพียงพอในการใช้แบบทดสอบเท่านั้น เป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าเพศหญิงและชายใครจะมี สติปัญญาดีกว่ากัน, ฐานะทางสังคมเป็นปัจจัยหรือตัวแปรที่ทําให้สติปัญญามีความแตกต่างกัน ความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมไม่ได้ทําให้ความสามารถทางสติปัญญาแตกต่างกันและระดับสติปัญญาของคนเราอาจจะเพิ่มหรือลดก็ได้เมื่ออายุล่วงวัย 60 ปีไปแล้ว

69. ตามแนวคิดของไฟด์แมนและโรเซนแมน คนแบบใดมีความเครียดมากที่สุด
(1) คนที่เก็บกดไม่แสดงอารมณ์
(2) คนที่ไม่ชอบความเร่งรีบ
(3) คนที่ไม่ชอบการแข่งขัน
(4) คนที่ทําอะไรค่อยเป็นค่อยไป
(5) คนที่ไม่ชอบสร้างบรรทัดฐานให้กับตนเอง
ตอบ 1หน้า 348, (คําบรรยาย) ไฟรด์แมนและโรเซนแมน (Friedman & Rosenman) ได้แบ่ง กลุ่มคนตามลักษณะบุคลิกภาพออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่ม A (Type A Personality) เป็นคนใจเร็ว ใจร้อน ชอบความก้าวหน้า การแข่งขันสูง เก็บกดไม่แสดงอารมณ์ มุ่งความสําเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ ชอบสร้างมาตรฐานให้กับตัวเอง มักเป็นคนเข้มงวด ชอบเสี่ยงและชอบความสมบูรณ์แบบ ซึ่งมีผลให้มีความเครียดมากที่สุด
2. กลุ่ม B (Type B Personality) เป็นคนที่ไม่เร่งรีบ ผ่อนคลาย ทําอะไรแบบค่อยเป็นค่อยไป ชอบทํางานทีละอย่าง ซึ่งมีผลให้มีความเครียดน้อยที่สุด และไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

70. “การปรับตัวมาจากการเรียนรู้ว่าดีหรือไม่ หากดีก็สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มาจากแนวคิด
ทางจิตวิทยากลุ่มใด
(1) จิตวิเคราะห์
(2) มนุษยนิยม
(3) กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด
(4) พฤติกรรมนิยม
(5) จิตวิทยาเกสตัลท์
ตอบ 4 หน้า 344 กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorist) เชื่อในเรื่องของพฤติกรรมว่าเป็นสิ่งเรียนรู้ ดังนั้น คนที่จะปรับตัวได้ดีหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของเขา ถ้าเขามีการเรียนรู้ที่ดี เขาก็จะสามารถ มีพฤติกรรมที่โต้ตอบออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขัน

71. ข้อใดเกี่ยวข้องกับการปรับตัวที่ดีมากที่สุด
(1) ช่วยให้มีสติปัญญาสูงขึ้น
(2) ช่วยให้สามารถควบคุมผู้อื่นได้
(3) ช่วยให้มีความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ สูงขึ้น
(4) ช่วยให้เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นได้
(5) ช่วยให้เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตาจากบุคคลอื่นได้
ตอบ 4 หน้า 345 การปรับตัวที่ดีและเหมาะสมเป็นการปรับตัวของบุคคลที่ทําให้ชีวิตของเขาดีขึ้น ทําให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ช่วยให้เชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น และ ช่วยให้สามารถเข้าสังคมที่มีความหลากหลายดีขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ต้องไม่ทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือต้องไม่ไปปิดกั้นสิทธิเสรีภาพและอิสรภาพของผู้อื่น

72. เมื่อบุคคลเครียด พยายามหาเพื่อนเพื่อปรับทุกข์ วิธีนี้ถือเป็นกลยุทธ์ในการลดความเครียดวิธีใด
(1) เรียนรู้การพูดให้ตนเองสบายใจ
(2) แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงพอใจ
(3) การใส่ใจดูแลตนเอง
(4) มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น
(5) การทํากิจกรรมเพื่อผ่อนคลายความเครียด
ตอบ 4 หน้า 351 – 353, (คําบรรยาย) กลยุทธ์ในการลดความเครียด มีหลายวิธี ได้แก่
1. แสวงหาสิ่งแวดล้อมที่พึงพอใจ เช่น เดินเล่นบริเวณสวนสาธารณะ ฯลฯ
2. ใส่ใจดูแลตนเองให้ดี เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ มองหาข้อบกพร่องของตนเอง ฯลฯ
3. รู้จักทํากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่น นั่งสมาธิ ออกกําลังกาย เล่นดนตรี ฯลฯ
4. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ปลา ผัก ผลไม้ ฯลฯ
5. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น เช่น พยายามหาเพื่อนที่จะพูดคุยเพื่อปรับทุกข์ ฯลฯ
6. เรียนรู้วิธีพูดให้ตนเองสบายใจ เช่น ใคร ๆ ก็ผิดกันได้ทั้งนั้น ฯลฯ

73. อาการทางกายใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับความเครียดของบุคคล
(1) ตาบอดสี
(2) ปัญญาอ่อน
(3) ธาลัสซีเมีย
(4) ท้องเสีย
(5) โรคจิต
ตอบ 4 หน้า 349 ไซโคโซมาติก (Psychosomatic Diseases) คือ อาการของความเจ็บป่วยหรือ โรคทางกายที่เกิดจากภาวะความเครียดที่สะสมเอาไว้นาน ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหารท้องร่วง ท้องผูก โรคหัวใจ นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะข้างเดียว (ไมเกรน) ฯลฯ

74. “เอริน่าบอกกับเพื่อนว่าที่ตนทําข้อสอบ PSY 1001 ไม่ได้ เป็นเพราะอาจารย์ออกข้อสอบยากเกินไป”
เป็นกลไกทางจิตชนิดใด
(1) การเก็บกด
(2) การชดเชยสิ่งที่ขาด
(3) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน
(4) การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง
(5) การโยนความผิด
ตอบ 4 หน้า 357 การเข้าข้างตัวเอง (Rationalization) เป็นวิธีการที่บุคคลพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตัวเอง ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาหน้าหรือภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้ ซึ่งเป็นลักษณะคล้าย การปลอบใจตัวเอง เช่น พูดว่าใคร ๆ ก็ทําอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละถ้ามีโอกาส, เหตุที่ตนสอบตกเพราะข้อสอบยากเกินไป หรือไม่สบายเลยขาดสมาธิในการทําข้อสอบ เป็นต้น

75. “จินบอกกับเพื่อนว่าที่สอบวิชา PSY 1001 ไม่ผ่านเพราะต้องช่วยแม่ทํางาน จึงไม่มีเวลาอ่านหนังสือ”
เป็นกลไกทางจิตชนิดใด
(1) การเก็บกด
(2) การชดเชยสิ่งที่ขาด
(3) ปฏิกิริยากลบเกลื่อน
(4) การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง
(5) การโยนความผิด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76.ตามแนวคิดของเซลเย (Selye) “ช่วงที่ร่างกายมีการสร้างระบบป้องกันความเครียด แต่ขณะเดียวกัน ระบบป้องกันทางร่างกายทํางานได้ลดลง” เกิดขึ้นในขั้นตอนใด
(1) ขั้นปฏิเสธ
(2) ขั้นปฏิกิริยาตื่นตระหนก
(3) ขั้นถดถอย
(4) ขั้นระยะเหนื่อยล้า
(5) ขั้นสร้างระบบต้านทานภัย
ตอบ 5 หน้า 351, (คําบรรยาย) เซลเย (Selye) ได้ศึกษาเกี่ยวกับสภาวะของร่างกายเมื่อเกิดความเครียด พบว่า เมื่อบุคคลเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียด 3 ขั้นตอน คือ
1. ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เป็นช่วงที่ร่างกายมีพละกําลังมหาศาล เพื่อรับสภาพการจู่โจม
2. สร้างระบบต้านทานภัย ร่างกายจะสร้างระบบที่ปรับตัวต่อความเครียดในระยะยาวนานขึ้น แต่อาจทําให้ระบบป้องกันภัยด้านอื่นเสื่อมสมรรถภาพ เช่น เมื่อทราบข่าวร้าย ร่างกายก็จะ แสดงปฏิกิริยาตกใจ เสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึ่งถ้าไม่ปรับตัว อาจกลายเป็นคนอ่อนแอ
3. ระยะเหนื่อยล้า ในกรณีที่ความเครียดอยู่กับบุคคลนาน ๆ และไม่หมดสิ้นไป ก็อาจทําให้ร่างกาย เกิดโรคขึ้นหลายชนิด เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ และถ้าเป็นนาน ๆ ร่างกายก็อาจไปถึงจุดที่เรียกว่า Burn-out คือ หมดพลัง ไปต่อไม่ได้

77. ความขัดแย้งแบบใดที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ดังนี้ “จะเลือกทํางานที่ไหนดี? ระหว่างไม่ชอบลักษณะงาน แต่เงินเดือนมาก หรือที่ที่ได้ทํางานตามที่ตัวเองชอบ แต่เงินเดือนน้อย”
(1) อยากได้ทั้งคู่
(2) อยากหนีทั้งคู่
(3) ทั้งรักและชัง
(4) ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 361 – 364 ความขัดแย้งใจ (Conflict) มี 4 ประเภท คือ
1. อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “รักพี่เสียดายน้อง” คือ ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่ แต่หากเข้าใกล้ เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งแล้วจะทําให้อีกเป้าหมายหนึ่งลดความดึงดูดลงไปได้มาก
2. อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “หนีเสือปะจระเข้” คือ เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและทําอะไรไม่ถูก
3. ทั้งรักและซัง (Approach Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกัน จึงทําให้เกิดความลังเลใจ เช่น อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุและกลัวอ้วน ฯลฯ
4. ทั้งชอบและขังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach Avoidance Conflicts) คือ ตัวเลือก ทั้ง 2 มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องเลือกระหว่างงานใหม่ 2 แห่ง แห่งแรกนั้นถูกใจ หมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ํา แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง เราจะเลือกแห่งใด ฯลฯ

78. “ต่อยากไปเที่ยวกับเพื่อน แต่กลัวว่าจะอ่านหนังสือสอบไม่ทัน” เป็นความขัดแย้งใจแบบใด
(1) อยากได้ทั้งคู่
(2) อยากหนีทั้งคู่
(3) ทั้งรักและชัง
(4) ทั้งชอบและขังในตัวเลือกทั้งคู่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79. จากการทดลองของซิมบาร์โดและคณะที่ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสวมบทบาทสมมติเป็นนักโทษและผู้คุมและพบว่าบทบาทที่ได้รับทําให้นักศึกษาแสดงพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามบทบาทสมมติที่ได้รับมากขึ้น จัดเป็นการทดลองที่ได้ข้อสรุปในเรื่องใด
(1) ปทัสถานกลุ่ม
(2) การคล้อยตาม
(3) อิทธิพลของบทบาททางสังคม
(4) อิทธิพลของสถานภาพทางสังคม
(5) การขัดแย้งกันของบทบาท
ตอบ 3 หน้า 377 ซิมบาร์โค (Zimbardo) และคณะ ได้ทดลองให้เห็นว่าบทบาททางสังคมมีผลต่อ พฤติกรรมของบุคคล โดยว่าจ้างนักศึกษาชายแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดที่มีสุขภาพจิตปกติ และสุขภาพกายแข็งแรง ให้สวมบทบาทเป็นนักโทษและผู้คุม ในระหว่างการทดลองนั้นทั้ง 2 ฝ่าย สวมบทบาทเหมือนจริงมาก แสดงให้เห็นว่าบทบาทนักโทษและผู้คุมที่นักศึกษาทั้ง 2 กลุ่ม สวมอยู่นั้นมีผลต่อพฤติกรรมของพวกเขามาก นั่นหมายถึงข้อสรุปที่ว่าการเปลี่ยนบทบาทมีผล หรืออิทธิพลให้พฤติกรรมของบุคคลเปลี่ยนแปลงไป

80. ข้อใดตรงกับการแบ่งระยะห่างระหว่างบุคคลในระยะสาธารณะ
(1) การฟังสุนทรพจน์
(2) การให้คําปรึกษาของนักศึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษา
(3) การพูดคุยกันระหว่างเพื่อน
(4) การพูดคุยของประธานบริษัทสองบริษัทที่ตกลงทําการค้าร่วมกัน
(5) การพูดคุยกันของคู่รัก
ตอบ 1หน้า 378 – 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
1. ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะ กับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว ฯลฯ
2. ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับเพื่อน อาจารย์ ที่ปรึกษา ครูนั่งสอนนักเรียน ฯลฯ มักเอื้อมมือถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ
3. ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยกันทางสังคมและธุรกิจ
4. ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การฟังคําบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

81. การตามผู้นําในสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ํา ๆ โดยปราศจากคําอธิบาย จัดเป็นการตามผู้นําลักษณะใด
(1) สถานการณ์การเสนอแนะ
(2) สถานการณ์การคล้อยตาม
(3) การอภิปรายกลุ่ม
(4) สารชักจูง
(5) การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น
ตอบ 1หน้า 383 สถานการณ์ที่อาจทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น มี 5 สถานการณ์ คือ
1. สถานการณ์การเสนอแนะ เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ํา ๆ โดยปราศจากการอธิบาย
2. สถานการณ์การคล้อยตาม เป็นสถานการณ์ซึ่งมีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลกับ พฤติกรรมของกลุ่ม ปทัสถานของกลุ่ม หรือค่านิยมของกลุ่ม
3. การอภิปรายกลุ่ม เป็นสถานการณ์ที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น
4. สารชักจูง เป็นสารหรือข้อความที่ได้มีการพิจารณาและขัดเกลาคําพูดมาเป็นอย่างดีแล้ว
5. การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น (การล้างสมอง) เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง 4 ลักษณะข้างต้นพร้อมกัน

82. นายกายมีเจตคติว่า “การดูแลพ่อแม่เป็นการแสดงความกตัญญู” แสดงถึงองค์ประกอบเจตคติด้านใด
(1) องค์ประกอบทางความเชื่อ
(2) องค์ประกอบทางการกระทํา
(3) องค์ประกอบทางอารมณ์
(4) องค์ประกอบทางจิตใต้สํานึก
(5) องค์ประกอบทางการรับรู้และสัมปชัญญะ
ตอบ 1 หน้า 389 เจตคติ มีองค์ประกอบสําคัญ 3 อย่าง คือ
1. องค์ประกอบทางความเชื่อ จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ ความคิด/ความเข้าใจที่มีต่อที่หมาย ทางเจตคติ เช่น มีเจตคติว่า “การดูแลพ่อแม่เป็นการแสดงความกตัญญู”, มีเจตคติต่อวัดว่า “วัดเป็นสถานที่ที่ช่วยให้จิตใจสงบ ปลอดโปร่ง”, “วัดเป็นที่พึ่งทางจิตใจ” ฯลฯ
2. องค์ประกอบทางอารมณ์ จะเกี่ยวข้องกับอารมณ์/ความรู้สึกที่มีต่อที่หมายทางเจตคติ
3. องค์ประกอบทางการกระทํา จะเกี่ยวข้องกับการกระทํา/พฤติกรรมที่มีต่อที่หมายทางเจตคติ เช่น มีเจตคติต่อวัดว่า “เราควรไปวัดทุกวันอาทิตย์ เพื่อการฝึกสมาธิและการปฏิบัติธรรม” “วัยรุ่นปัจจุบันมักใช้คอมพิวเตอร์นานกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน” ฯลฯ

83. ขั้นตอนการแสดงพฤติกรรมการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เมื่อเรียงลําดับแล้ว ขั้นตอนที่ขาดหายไปคือข้อใด
“สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ —………..—- รับรู้ว่าตนควรรับผิดชอบ—-รู้วิธีการช่วยเหลือ”
(1) เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือ
(2) หาเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อการช่วยเหลือ
(3) แปลความว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน
(4) ตั้งสติสัมปชัญญะเพื่อการช่วยเหลือ
(5) เตรียมใจให้พร้อมสําหรับการช่วยเหลือ
ตอบ 3 หน้า 395 ลาตาเน่และดาร์เลย์ เห็นว่า พฤติกรรมการช่วยเหลือมีกระบวนการ 4 ขั้นตอน คือ
1. สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ
2. แปลความว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน
3. คิดว่าเป็นสิ่งที่ตนควรรับผิดชอบ
4. รู้วิธีการช่วยเหลือที่เหมาะสม

84. “ประธานบริษัทที่ต้องไล่ลูกสาวออกจากงานเพราะทุจริต” จัดเป็นบริบททางสังคมในลักษณะใด
(1) การเชื่อฟัง
(2) ปทัสถานกลุ่ม
(3) การคล้อยตาม
(4) การขัดแย้งระหว่างบทบาท
(5) ตําแหน่งของบุคคลในกลุ่ม
ตอบ 4 หน้า 377 ถ้าบุคคลมีบทบาทที่ขัดแย้งกัน 2 บทบาทขึ้นไปก็จะเกิดความอึดอัดหรือคับข้องใจขึ้น เช่น ครูฝ่ายปกครองที่ต้องลงโทษลูกชายตนเองเพราะเกเรหนีโรงเรียน หรือตํารวจที่ต้องจับ ลูกชายตนเองที่ค้ายาเสพติด หรือประธานบริษัทที่ต้องไล่ลูกสาวออกจากงานเพราะทุจริต ฯลฯก็จะเกิดความขัดแย้งระหว่างบทบาทของพ่อและบทบาทของผู้รักษากฎหมายหรือกฎระเบียบ

85.ระยะ 12 ฟุตขึ้นไป เหมาะสําหรับกิจกรรมทางสังคมแบบใด
(1) การกล่าวสุนทรพจน์
(2) ความคับข้องใจ
(3) การเรียนรู้ทางสังคม
(4) การรับประทานอาหาร
(5) การสังสรรค์ในหมู่เพื่อน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

86. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของความก้าวร้าว
(1) สัญชาตญาณ
(2) การประชุมงาน
(3) การพูดคุยธุรกิจ
(4) การกระจายความรับผิดชอบ
(5) ชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับสมองและฮอร์โมน
ตอบ 4 หน้า 393 – 395 สาเหตุของความก้าวร้าว มี 4 ประการ ดังนี้
1. สัญชาตญาณ
2. ชีววิทยาที่เกี่ยวข้องกับสมองและฮอร์โมน
3. ความคับข้องใจ
4. การเรียนรู้ทางสังคม

87. การทดลองเรื่องการคล้อยตามของแอช (Asch) ที่ให้กลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบเส้นตรงมาตรฐานกับ เส้นเปรียบเทียบที่เป็นตัวเลือก พบว่าในข้อต่อไปนี้ ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดการคล้อยตาม
(1) มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ํา
(2) กลุ่มที่มีความสําคัญกับตนมาก
(3) ขนาดของกลุ่ม
(4) ขาดความเป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม
(5) ต้องการการยอมรับจากคนอื่นมาก
ตอบ 4 หน้า 383 – 385 จากการทดลองของแอช (Asch) ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดการคล้อยตาม ได้แก่
1. ปัจจัยส่วนบุคคล โดยคนที่คล้อยตามผู้อื่นได้ง่ายมักมีลักษณะดังนี้คือ ต้องการการยอมรับจาก ผู้อื่นมาก มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ ต้องการความแน่นอน และมักมีความกระวนกระวายใจ
2. ปัจจัยด้านกลุ่ม โดยขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ดังนี้คือ กลุ่มมีความสําคัญกับตนมาก ขนาดของกลุ่ม และความเป็นเอกฉันท์ของกลุ่ม

88. นายสตีฟกล้าที่จะบอกเพื่อนที่มาแทรกคิวซื้ออาหารให้ไปต่อคิวท้ายแถว การแสดงพฤติกรรมข้างต้น
ตรงกับพฤติกรรมทางจิตวิทยาในข้อใด
(1) พฤติกรรมก้าวร้าว
(2) การเรียนรู้ทางสังคม
(3) พฤติกรรมรักษาสิทธิ
(4) การกระจายความรับผิดชอบ
(5) พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม
ตอบ 5 หน้า 396 – 397 พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม ได้แก่ การมีอารมณ์ที่เหมาะสม
แน่นอน จริงใจ ถูกต้อง เชื่อมั่นในตนเอง กล้าที่จะแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น ความปรารถนา และความเชื่อของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ต่อกัน ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงสิทธิส่วนบุคคล คือ เคารพทั้งสิทธิของตนเองและผู้อื่นด้วย

89. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมก่อนเกิด
(1) สุขภาพของแม่
(2) สุขภาพจิตของแม่
(3) อายุของมารดา
(4) ทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อลูก
(5) การรับประทานอาหารของแม่
ตอบ 4 หน้า 131 – 133 สภาพแวดล้อมก่อนเกิด มีดังนี้
1. สุขภาพของแม่
2. สุขภาพจิตของแม่
3. การบริโภคของแม่
4. การได้รับรังสี
5. การได้รับเชื้อ AIDS
6. สภาวะของ Rh Factor (ในระบบเลือด)
7. อายุของแม่
8. จํานวนทารกภายในครรภ์

90. ถ้าทารกมีอาการติดเชื้อหรือขาดออกซิเจนจะเกิดอะไรขึ้น ยกเว้นข้อใด
(1) ปากแหว่ง
(2) แขนขาไม่มี
(3) เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด
(4) อายุของมารดา
(5) เซลล์สมองถูกทําลาย
ตอบ 4 หน้า 132 หากมีการติดเชื้อหรือขาดออกซิเจน อาจจะทําให้เด็กเกิดมาจมูกโหว่ ปากแหว่ง
ตาบอด แขนขาไม่มี มีความพิการในระบบอวัยวะรับสัมผัส เป็นมะเร็งในเม็ดเลือด และอาจ ทําให้สติปัญญาต่ํา

91. ถ้าแม่มีความบกพร่องของฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์เด็กจะมีลักษณะดังนี้ ยกเว้นข้อใด
(1) กระดูกอ่อน
(2) ผิวหยาบ
(3) หูหนวก
(4) สติปัญญาต่ำกว่าปกติ
(5) ผมติดกัน
ตอบ 3 หน้า 132 หากแม่มีความบกพร่องของฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ จะทําให้เด็กเกิดมาเป็นโรคกระดูกอ่อน ท้องใหญ่ ผิวหนังหยาบ ผมติดกันเป็นกระจุก และสติปัญญาต่ำกว่าปกติ

92. ข้อใดไม่ใช่สิ่งต้องห้ามสําหรับสตรีมีครรภ์
(1) สูบบุหรี่
(2) การทานวิตามิน
(3) รับประทานยาแก้แพ้
(4) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
(5) ยาเสพติด
ตอบ 2 หน้า 132 สิ่งต้องห้ามสําหรับสตรีมีครรภ์ คือ สารอาหารและยาที่ก่อให้เกิดโทษต่อสุขภาพ ของมารดาและทารกในครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อทารกในครรภ์ ดังนี้
– บุหรี่ จะส่งผลทําให้ทารกเกิดหลอดลมอักเสบ มีผลต่อการเต้นของหัวใจ มีปฏิกิริยาต่อภาวะ
เคมีในเลือดของทารก
– แอลกอฮอล์และเครื่องหมักดอง จะทําลายพัฒนาการทางร่างกายและสมองของทารก และ ทําให้ทารกเป็นโรคขาดสารอาหาร
– ยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ไข้ ยาแก้แพ้ ยาระงับประสาทประเภทควินินหรือทาลิโดไมท์ ฯลฯ) จะมีผลต่อพัฒนาการทางกายและสมองของทารก มารดาไม่ควรบริโภคในช่วง 3 เดือนแรก เพราะจะทําให้คลอดยากและเด็กตัวเล็ก หรือในขณะมีครรภ์ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยา
– สิ่งเสพติด (เช่น มอร์ฟีน เฮโรอีน) ส่งผลให้เด็กตัวเล็ก มีความผิดปกติของระบบหายใจ ฯลฯ

93. ถ้าแม่ติดรับประทานยาประเภททาลิโดไมท์จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กในครรภ์
(1) ทําให้คลอดยาก
(2) มีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น
(3) แขนขาไม่มี
(4) ระดับสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์
(5) มีความผิดปกติของระบบหายใจ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. ข้อใดอธิบายสภาวะของ Rh Factor ผิด
(1) มีอาการแท้ง
(2) สร้างฮอร์โมนที่จําเป็นต่อเด็ก
(3) เลือดมีลักษณะด้อย
(4) เกิดการต่อต้านระหว่างเลือดของมารดา
(5) ระบบเลือดของมารดาเข้าไปทําลายเม็ดเลือดแดงของตัวอ่อน
ตอบ 2 หน้า 133 สภาวะของ Rh Factor หมายถึง การที่ระบบเลือดของมารดามีสารบางอย่างที่เข้าไป ทําลายเม็ดเลือดแดงของตัวอ่อนในครรภ์ ทําให้เกิดอาการแท้งหรือตายหลังคลอดได้ สภาวะนี้ จะมี 2 ประเภท คือ ประเภทบวกและประเภทลบ ซึ่งถ้าลูกมีสภาวะของเลือดตรงข้ามกับมารดา (เลือดบิดาเป็น Rh บวก ซึ่งเป็นลักษณะเด่น แต่เลือดมารดาเป็น Rh ลบ ซึ่งเป็นลักษณะด้อย ลูกจะมี Rh บวก ตามลักษณะเด่นซึ่งตรงข้ามกับมารดา) จะทําให้เกิดการต่อต้านขึ้น โดยเลือด ของมารดาจะก่อปฏิกิริยาทําลายเลือดของลูก

95. ถ้าทารกเกิดการขาดออกซิเจนกี่วินาทีจะมีผลต่อเซลล์สมองของทารก
(1) 16 วินาที
(2) 17 วินาที
(3) 18 วินาที
(4) 19 วินาที
(5) 20 วินาที
ตอบ 3หน้า 134 สภาวะของการขาดออกซิเจนขณะคลอดมีสาเหตุมาจากการที่ทารกคลอดยาก หรือรกไม่เปิด ทําให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสโลหิตของทารกไม่ได้ ซึ่งหากทารกขาดออกซิเจน ประมาณ 18 วินาทีเท่านั้น จะมีผลต่อเซลล์สมองทําให้เซลล์สมองถูกทําลาย และถ้าขาดนาน ๆ อาจทําให้ทารกตายได้

96. จากการศึกษาของโลวิงเจอร์ (Loevinger) พบว่า อิทธิพลของสติปัญญากับสิ่งแวดล้อมมีกี่เปอร์เซ็นต์
(1) สติปัญญา 25% สิ่งแวดล้อม 75%
(2) สติปัญญา 75% สิ่งแวดล้อม 25%
(3) สติปัญญา 40% สิ่งแวดล้อม 60%
(4) สติปัญญา 60% สิ่งแวดล้อม 40%
(5) สติปัญญา 80% สิ่งแวดล้อม 20%
ตอบ 2 หน้า 137 จากการศึกษาของโลวิงเจอร์ (Loevinger) พบว่า พันธุกรรมมีอิทธิพลต่อพัฒนาการ ทางสติปัญญา 75% และสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพล 25% นอกจากนี้ในด้านเกี่ยวกับพัฒนาการด้าน ร่างกาย โดยเฉพาะรูปร่างและหน้าตามีผลมาจากพันธุกรรมมากกว่าสิ่งแวดล้อม

97. กระบวนการเกิดแรงจูงใจ ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
(1) ความต้องการ
(2) เป้าหมาย
(3) แรงขับ
(4) การตอบสนอง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 227 กระบวนการเกิดแรงจูงใจ มีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
1. ความต้องการ (Needs)
2. แรงขับ (Drive)
3. การตอบสนอง (Response)
4. เป้าหมาย (Goal)

98. เครื่องป้องกันอันตราย อยู่ในสิ่งเร้าลําดับขั้นความต้องการตามแนวคิดของมาสโลว์ (Mastow) ขั้นใด
(1) Self-Esteem Needs
(2) Physiological Needs
(3) Safety and Security Needs.
(4) Self-Actualization
(5) Love and Belonging Needs
ตอบ 3 หน้า 229 – 232 ลําดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow) มี 5 ระดับ ดังนี้
1. ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น อาหาร น้ํา เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย เพศตรงข้าม ฯลฯ
2. ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย (Safety and Security Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น ยาและเวชภัณฑ์ เครื่องป้องกันอันตราย อาหารเสริม อุบัติเหตุ ฯลฯ
3. ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Love and Belonging Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ
เช่น บัตรอวยพร ของขวัญ เพลง ภาพยนตร์หรือบทกวีความรักต่าง ๆ ฯลฯ
4. ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น (Self-Esteem Needs) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น ตําแหน่ง ถ้วยรางวัล โล่เกียรติยศ การประกาศเกียรติคุณ ปริญญาบัตร ฯลฯ
5. ความต้องการประจักษ์ตน (Self-Actualization) มีสิ่งเร้าต่าง ๆ เช่น งานหรือกิจกรรม ที่พึงพอใจ สถานที่หรือสถานการณ์ที่สร้างให้บุคคลเกิดความสุขทางใจ ฯลฯ

99. สถานที่หรือสถานการณ์ที่สร้างให้บุคคลเกิดความสุขทางใจ อยู่ในสิ่งเร้าลําดับขั้นความต้องการตาม
แนวคิดของมาสโลว์ (Maslow) ขั้นใด
(1) Self-Esteem Needs
(2) Physiological Needs
(3) Safety and Security Needs
(4) Self-Actualization
(5) Love and Belonging Needs.
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100. ข้อใดเป็นสิ่งเร้าระดับความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น
(1) ตําแหน่ง
(2) ถ้วยรางวัล
(3) เครื่องแบบ
(4) ประกาศนียบัตร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

101. ข้อใดเป็นสิ่งเร้าระดับความต้องการประจักษ์ตน
(1) งาน
(2) ความสงบ
(3) กิจกรรมที่บุคคลพึงพอใจ
(4) สถานที่ทําให้บุคคลสุขใจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

102. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับประเภทของความต้องการของเมอร์เรย์ (Murray)
(1) ความต้องการเอาชนะ
(2) ความต้องการความสนุก
(3) ความต้องการแยกจากผู้อื่น
(4) ความต้องการประจักษ์ตน
(5) ความต้องการหลีกเลี่ยงปมด้อย
ตอบ 4 หน้า 235 – 237 เมอร์เรย์ (Murray) ได้แบ่งประเภทความต้องการไว้ 20 ประการ เช่น ความต้องการเอาชนะด้วยการแสดงความก้าวร้าว (Need for Aggression), ความต้องการ เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ (Need for Counteraction), ความต้องการที่จะยอมแพ้ (Need for
Abasement), ความต้องการที่จะป้องกันตนเอง (Need for Defendance), ความต้องการ ความสําเร็จ (Need for Achievement), ความต้องการความสนุกสนาน (Need for Play), ความต้องการแยกตนเองจากผู้อื่น (Need for Rejection), ความต้องการหลีกเลี่ยงปมด้อย และความล้มเหลว (Need for Avoidance of Inferiority), ความต้องการหลีกเลี่ยงจาก การถูกตําหนิ (Need for Avoidance of Blame) ฯลฯ

103. ข้อใดไม่เกี่ยวกับประเภทความต้องการของเมอร์เรย์ (Murray)
(1) ความต้องการความรัก
(2) ความต้องการความสําเร็จ
(3) ความต้องการหลีกเลี่ยงปมด้อย
(4) ความต้องการที่จะยอมแพ้
(5) ความต้องการหลีกเลี่ยงการถูกตําหนิ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 102. ประกอบ

104. แรงจูงใจประเภทใดที่ทําให้มนุษย์ต้องหาวิธีอยู่รอดของชีวิต
(1) แรงจูงใจพื้นฐาน
(2) แรงจูงใจภายใน
(3) แรงจูงใจภายนอก
(4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
(5) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์
ตอบ 1 หน้า 233, 239 แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. แรงจูงใจทางชีวภาพ ได้แก่ ความหิว ความกระหาย
2. แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์
3. แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย

105. การเรียนรู้คืออะไร
(1) พฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ
(2) พฤติกรรมที่เกิดจากพันธุกรรม
(3) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากพลังดิบ
(4) พฤติกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวก
(5) พฤติกรรมอันเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีตหรือการฝึกหัด
ตอบ 5 หน้า 169, (คําบรรยาย) การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรม อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต เช่น การไม่ชอบกินอาหารที่ทําให้เกิดอาการแพ้ การตบมือเมื่อดีใจ การจําทางเข้าบ้านได้ ฯลฯ แต่ไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของร่างกาย เช่น ท้องเสียเมื่อเกิดความเครียด เมาเหล้าแล้วมักอาละวาด รู้สึกอึดอัดเมื่อขับรถในที่แคบหรือ ขึ้นที่สูง น้ําลายไหลเมื่อเห็นมะม่วงดอง ฯลฯ แต่พฤติกรรมบางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติที่มีมาแต่กําเนิด เช่น การกะพริบตาเมื่อแสงจ้า การไอหรือจาม ฯลฯ และเกิดจากสัญชาตญาณอันเป็นลักษณะเฉพาะ ของเผ่าพันธุ์ เช่น การหายใจของมนุษย์ การร้องไห้ของเด็กแรกเกิด การก้าวเดินได้ครั้งแรก การว่ายน้ําของปลา การชักใยของแมงมุม ฯลฯ

106. ข้อใดไม่ใช่พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
(1) การว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์
(2) การม้วนผมได้สวยงาม
(3) การพูดคุยเสียงดังหลังดื่มเหล้า
(4) การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ
(5) การร้องไห้เสียงดังเพราะเรียกร้องความสนใจ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 105. ประกอบ

107. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการแปลความหมายของสิ่งที่เรารับรู้
(1) การเรียนรู้
(2) ภาษาที่ใช้สื่อสาร
(3) ประสบการณ์ในอดีต
(4) รูปแบบของสิ่งเร้า
(5) สภาพจิตใจและอารมณ์ในขณะนั้น

ตอบ 2 หน้า 57, 59 การรับรู้ คือ กระบวนการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัส ต่าง ๆ โดยการแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้นี้จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต การเรียนรู้ สภาพจิตใจในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้น ๆ ซึ่งกระบวนการรับรู้นี้จัดเป็น ขั้นตอนสําคัญอย่างยิ่งก่อนการแสดงพฤติกรรมโต้ตอบของมนุษย์ในทุกรูปแบบ

108. “นักเรียนได้เลือกทํากิจกรรมที่ชอบตามความสนใจ หลังจากที่ทําแบบฝึกหัดในชั้นเรียนเสร็จ” ตรงกับ
หลักการเรียนรู้ใด
(1) การลดภาระ
(2) การเสริมแรงทางบวก
(3) การเสริมแรงทางลบ
(4) การลงโทษทางบวก
(5) การลงโทษทางลบ
ตอบ 2 หน้า 179 การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง การที่ความพอใจ หรือรางวัลเกิดขึ้นเมื่อกระทําสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไป เช่น การให้ขนมแก่เด็กเมื่อเด็กทําความดี ฯลฯ ส่วนการเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) หมายถึง การทําให้ความไม่สุขสบาย หมดไป เช่น การกินยาแก้ปวดเพื่อให้หายจากอาการปวดศีรษะ ฯลฯ

109. ข้อใดถือเป็นสิ่งเสริมแรงทางลบ
(1) แม่ลูกเมื่อไม่ทําตามคําสั่ง
(2) ครูตัดคะแนนนักเรียนที่คุยกันในห้องเรียน
(3) นักศึกษาหกล้มเพราะพื้นลื่น
(4) แม่พาลูกไปกินไอศกรีมเพราะลูกช่วยเหลืองานบ้าน
(5) ลูกล้างจานเพราะไม่อยากให้แม่บ่น
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 108. ประกอบ

110. ข้อใดเป็นสิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ
(1) อากาศ
(2) ความรัก
(3) อาหาร
(4) แร่ธาตุ
(5) ความร้อน
ตอบ 2 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ (Secondary Reinforcers) เป็นรางวัลที่ได้เรียนรู้มาแล้ว ได้แก่ เงิน เกียรติ ความสนใจ การยอมรับ ความสําเร็จ ความรัก คะแนนสอบ ฯลฯ ซึ่งบางครั้ง สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิอาจมีค่าโดยตรง เพราะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งเสริมแรงปฐมภูมิได้ เช่น เงินหรือธนบัตรสามารถนําไปซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร น้ํา และอื่น ๆ ได้ ฯลฯ

111. การลองทําแบบทดสอบท้ายบท ทําให้รักรามมีความเข้าใจการเรียนวิชานั้นดีขึ้น พฤติกรรมนี้เกิดจาก
สิ่งเสริมแรงประเภทใด
(1) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม
(2) สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ
(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ
(4) การป้อนกลับ
(5) การหยุดยั้ง
ตอบ 4 หน้า 180 – 181 การป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับผลของการตอบสนอง ซึ่งมีความสําคัญต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ เพราะทําให้บุคคลได้พัฒนาการกระทําของตนเอง และทําให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น โดยนักศึกษาสามารถทําการป้อนกลับให้แก่ตนเองได้โดย
การลองทํากิจกรรมในแต่ละบทรวมทั้งแบบทดสอบท้ายบทด้วย ก็จะทําให้ทราบว่าตัวเราเอง สามารถเรียนรู้ได้มากน้อยเพียงใดก่อนที่จะเข้าสอบจริง ๆ

112. ตามทฤษฎีพัฒนาอารมณ์ของบริดจ์ อารมณ์จะพัฒนาอย่างสมบูรณ์เมื่ออายุเท่าไหร่
(1) ตั้งแต่เกิด
(2) 2 ขวบ
(3) 5 ขวบ
(4) 12 ขวบ
(5) วัยรุ่นขึ้นไป
ตอบ 2 หน้า 271 เค.บริดเจส (K.Bridges) พบว่า พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กทารกมีลักษณะดังนี้ อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คืออารมณ์ตื่นเต้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น เมื่ออายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกออกระหว่างอารมณ์ดีใจและเดือดร้อนใจ ต่อจากนั้นอารมณ์โกรธ เกลียดและกลัวก็จะปรากฏขึ้นภายหลังตามระดับวุฒิภาวะและการรับรู้ของเด็ก และเมื่ออายุ 2 ปี (24 เดือน) อารมณ์พื้นฐานก็จะพัฒนาจนครบสมบูรณ์ทั้ง 8 ชนิด

ข้อ 113 – 114. จงตอบคําถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้
(1) Fixed Ratio
(2) Variable Ratio
(3) Fixed Interval
(4) Variable Interval
(5) ไม่มีข้อที่ถูกต้อง

113. พนักงานในโรงงานได้รับค่าจ้างตามจํานวนชิ้น เป็นการเสริมแรงแบบใด
ตอบ 1 หน้า 176 การเสริมแรงแบบอัตราส่วนคงที่ (Fixed Ratio) คือ การให้แรงเสริมตามอัตราส่วนของ การตอบสนองที่คงที่ เช่น การให้รางวัลเมื่อมีการตอบสนองทุกครั้ง ทุก 3 ครั้ง การจ่ายค่าจ้าง เป็นรายชิ้น ค่าคอมมิชชั่น ฯลฯ ซึ่งการเสริมแรงแบบนี้จะทําให้เกิดอัตราการตอบสนองสูงที่สุด

114. การถูกรางวัลลอตเตอรี่ เป็นการเสริมแรงแบบใด
ตอบ 3 หน้า 176 การเสริมแรงแบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (Variable Ratio) คือ การให้แรงเสริมต่อ การตอบสนองในอัตราที่ไม่แน่นอน เช่น การซื้อลอตเตอรี่ การเล่นพนันตู้สล็อตแมชชีน ฯลฯ

115. ข้อใดคือลักษณะที่สําคัญของอารมณ์
(1) อารมณ์เป็นประสบการณ์ร่วมระหว่างบุคคล
(2) อารมณ์มีลักษณะที่ไม่คงที่เปลี่ยนแปลงไปมาได้
(3) อารมณ์เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา
(4) การแสดงทางอารมณ์มีลักษณะใกล้เคียงกับการแสดงพฤติกรรมทั่วไป
(5) การแปลความหมายสถานการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดอารมณ์ของบุคคล
ตอบ 2 หน้า 255 – 256, (คําบรรยาย) อารมณ์ มีลักษณะสําคัญ 4 ประการ คือ
1. อารมณ์ไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกหรือความคิดเฉพาะอย่าง แต่อารมณ์เป็นประสบการณ์ ความรู้สึกส่วนบุคคล และเป็นภาวะที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (ไม่คงที่)
2. อารมณ์เป็นความรู้สึกที่รุนแรงและมีการแสดงออกที่แตกต่างไปจากการกระทําปกติทั่ว ๆ ไป
3. บุคคลจะมีการประเมินหรือแปลความหมายของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องแล้วจึงจะเกิดอารมณ์
4. อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

116. พฤติกรรมใดเกี่ยวข้องกับอารมณ์ “กลัว (Fear Terror)” ตามแนวคิดของคาร์รอล อิซาร์ด
(1) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อประสบพบเจอกับอุปสรรค
(2) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อประสบกับความพลัดพราก
(3) สภาวะของบุคคลที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
(4) สภาพอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อถูกลงโทษ เพราะไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกําหนด
(5) พฤติกรรมเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ตนไม่สามารถเข้าใจได้ หรือไม่แน่ใจภัยอันตรายที่จะมาถึง
ตอบ 5 หน้า 258 คาร์รอส อิซาร์ด (Carroll Izard) ได้จําแนกอารมณ์ออกเป็นชนิดต่าง ๆ ซึ่งอารมณ์ กลัว-สยองขวัญ (Fear Terror) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลกําลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่ตน ไม่สามารถจะเข้าใจได้ หรือเกิดความไม่แน่ใจในภัยอันตรายที่กําลังจะมาถึง

117. อารมณ์ใดที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากที่สุด
(1) อารมณ์กลัว
(2) อารมณ์เกลียด
(3) อารมณ์เศร้า
(4) อารมณ์รัก
(5) อารมณ์ปัจฉา
ตอบ 1 หน้า 262 จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดอารมณ์กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ และพฤติกรรม พบว่า ในบรรดาอารมณ์ทั้งหลายนั้น อารมณ์ที่จัดว่าสามารถก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายได้มากที่สุด ก็คือ อารมณ์กลัวและอารมณ์โกรธ

118. อารมณ์ใดไม่ใช่อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์
(1) คาดหวัง
(2) อิจฉา
(3) หวาดกลัว
(4) ตื่นตระหนก
(5) ความโกรธ
ตอบ 2 หน้า 259 อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์ (Jaak Panksepp) มี 4 ชนิด คือ คาดหวัง เดือดดาล ตื่นตระหนก และหวาดกลัว

119. เมื่อคนเราเกิดอารมณ์กลัว จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในด้านใด
(1) การหายใจถี่ขึ้น
(2) การตึงเครียดของกล้ามเนื้อสูงมาก
(3) ระบบขับถ่ายผิดปกติ
(5) ถูกทุกข้อ
(4) มีความผิดปกติของระบบการย่อยอาหาร
ตอบ 5 หน้า 261 – 262, (คําบรรยาย) เมื่อคนเราเกิดอารมณ์กลัวจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ในด้านต่าง ๆ เช่น การหายใจจะถี่ขึ้น มีความตึงเครียดของกล้ามเนื้อสูงมาก มีความผิดปกติ ของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย (ไม่สามารถกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้) ฯลฯ

120. ข้อใดอธิบายถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีการเกิดอารมณ์ของเจมส์-แลง
(1) อารมณ์เกิดขึ้นก่อน การตอบสนองทางร่างกายจึงเกิดขึ้นตามมา
(2) อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้จากการคิดหาสาเหตุการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น
(3) ร่างกายต้องมีการแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าก่อน จึงเกิดอารมณ์ตามมา
(4) เมื่อตีความสิ่งเร้าว่าควรมีการตอบสนองทางกาย อารมณ์จึงเกิดตามมา
(5) อารมณ์และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้า
ตอบ 3 หน้า 265, 269 ทฤษฎีของเจมส์-แลง (James-Lang Theory) อธิบายว่า ร่างกายของคนเรา จะต้องแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสิ่งเร้าเป็นอันดับแรกก่อน แล้วอารมณ์จึงจะเกิดตามมา ทั้งนี้ ประสบการณ์ทางอารมณ์เป็นผลมาจากการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย โดยหลังจาก ที่เกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรมแล้วจะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ หายใจหอบ หน้าแดง และเหงื่อออก นําไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา PSY 1001 จิตวิทยาทั่วไป
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.เส้นประสาทใดทําหน้าที่รับคําสั่งจากสมองและไขสันหลัง ไปทําหน้าที่ตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ
(1) เส้นประสาทรับความรู้สึก
(2) เส้นประสาทบงการ
(3) เส้นประสาทเชื่อมโยง
(4) จุดประสานประสาท
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 38 เส้นประสาทบงการ (Motor Nerve) เป็นเส้นประสาทซึ่งทําหน้าที่รับคําสั่งจากสมอง หรือไขสันหลังไปยังอวัยวะต่าง ๆ ให้ทํางานตามหน้าที่

2.ศูนย์กลางการทํางานของประสาทบริเวณลําตัวมีหน้าที่รับกระแสประสาทส่งไปที่สมอง คือส่วนใด
(1) ไขสันหลัง
(2) ธาลามัส
(3) ก้านสมอง
(4) ซีรีเบลลัม
(5) ฮิปโปแคมปัส
ตอบ 1 หน้า 43 ไขสันหลัง (Spinal Cord) เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง ทําหน้าที่เป็น ศูนย์กลางที่สําคัญของระบบประสาทที่บริเวณลําตัวและแขนขา และเป็นตัวติดต่อระหว่างสมอง กับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งหมด โดยรับกระแสประสาทจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายส่งไปยัง สมอง และจากสมองก็ส่งกระแสประสาทนั้นกลับมาให้ไขสันหลังเพื่อส่งต่อไปยังอวัยวะต่าง ๆ

3.คําว่า “Psyche” จากคําว่า Psychology มีความหมายตามข้อใด
(1) การกระทํา
(2) สมอง
(3) พฤติกรรม
(4) การรู้คิด
(5) จิต
ตอบ 5 หน้า 3 จิตวิทยามาจากศัพท์ภาษาอังกฤษคือ Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คํา คือ Psyche (mine = จิต) และ Logos (knowledge = ความรู้ หรือการศึกษา) ทั้งนี้ จิตวิทยา คือ การศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์

4. ใครคือ “บิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง”
(1) ซิกมันด์ ฟรอยด์
(2) เคิร์ท คอฟก้า
(3) รูท เบเนดิก
(4) วิลเฮล์ม วันท์
(5) อัลเฟรด แอดเลอร์
ตอบ 4 หน้า 8 – 9, 19 วิลเฮล์ม วันท์ (Wilhelm Wundt) เป็นบุคคลแรกที่เริ่มศึกษางานด้านจิตวิทยา และประกาศแยกจิตวิทยาออกจากวิชาปรัชญา โดยการจัดตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาขึ้นเป็น แห่งแรกที่เมืองไลป์ซิก (Leipzig) ประเทศเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1879 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะ ศึกษาค้นคว้าเรื่องจิตสํานึกด้วยการสังเกตทดลองตามวิธีทางวิทยาศาสตร์ ทําให้วุ้นท์ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาจิตวิทยาและจิตวิทยาการทดลอง

5. ต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย คือต่อมใด
(1) ต่อมโกหนาด
(2) ต่อมหมวกไต
(3) ต่อมใต้สมอง
(4) ต่อมไพเนียล
(5) ต่อมไทรอยด์
ตอบ 5 หน้า 45 – 48 ต่อมไทรอยด์ (Thyroid Gland) เป็นต่อมไร้ท่อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย
โดยจะผลิตฮอร์โมน 2 ชนิด คือ
1. ไทร็อกซิน (Thyroxin) เป็นฮอร์โมนที่ทําหน้าที่ควบคุมอัตราการเผาผลาญอาหารต่าง ๆ ใน ร่างกาย และมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
2. ไทโรแคลซิโทนิน (Thyrocalcitonin) เป็นฮอร์โมนที่ทําหน้าที่รักษาสมดุลของแคลเซียม ในเลือด และมีผลต่อสรีรวิทยาของกระดูก

6.ข้อใดเป็นลักษณะและการทําหน้าที่ของกล้ามเนื้อหัวใจ
(1) มีลักษณะเป็นเส้นใยลายสีดําสลับขาว และทํางานนอกเหนืออํานาจจิตใจ
(2) มีลักษณะเป็นเส้นใยลายสีดําสลับขาว และทํางานภายใต้อํานาจจิตใจ
(3) มีลักษณะเป็นเส้นใยลายสีดําสลับขาว และทํางานทั้งภายใต้และนอกเหนืออํานาจจิตใจ
(4) มีลักษณะคล้ายกระสวยทอผ้า และทํางานนอกเหนืออํานาจจิตใจ
(5) มีลักษณะคล้ายกระสวยทอผ้า และทํางานภายใต้อํานาจจิตใจ
ตอบ 1 หน้า 32 กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle) มีลักษณะเหมือนกับกล้ามเนื้อลาย คือ เซลล์มี ลักษณะเป็นเส้นใยลายสีดําสลับขาว รวมกันเป็นมัด ๆ แต่จะทํางานอยู่นอกเหนืออํานาจจิตใจ เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อเรียบ

7. ข้อใดเป็นส่วนสําคัญของนิยาม “จิตวิทยา”
(1) การศึกษา – วิทยาศาสตร์ – พฤติกรรม
(2) การทํานาย – พฤติกรรม – การรู้คิด
(3) การศึกษา – การทําความเข้าใจ – การทํานาย
(4) การทําความเข้าใจ – พฤติกรรม – การรู้คิด
(5) การทําความเข้าใจ – การทํานาย – การรู้เอง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

8.สารสื่อประสาทใด หากทํางานเสื่อมจะทําให้เกิดอาการของโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease)
(1) โดปามาย
(2) ซีโรโทนิน
(3) กาบา
(4) อิพิเนฟฟริน
(5) นอร์อิพิเนฟฟริน
ตอบ 1 หน้า 40 โดปามาย (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาทที่ทําหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว ถ้าเสื่อมหรือบกพร่องหรือผิดปกติจะเป็นสาเหตุของโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s Disease) คือ มีอาการสั่นของกล้ามเนื้อ และยากลําบากในการเคลื่อนไหว ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ

9. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับระบบประสาทซิมพาเธติก
(1) ทําให้หัวใจเต้นช้าลง
(2) ความดันโลหิตต่ำลง
(3) ม่านตาหดตัวลง
(4) ร่างกายสงบลง
(5) ลําไส้หดตัวน้อยลง
ตอบ 5 หน้า 34 ระบบประสาทซิมพาเธติก (Sympathetic Nervous System) ทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายมีการทํางานมากขึ้น เกิดการตื่นตัว มีการเตรียมพร้อมของชีพจร หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ผนังของลําไส้หดตัวน้อยลง ม่านตาขยายกว้าง เหงื่อออกมาก และขนลุก ฯลฯ

10. ข้อใดเป็นหน้าที่สําคัญของระบบลิมบิก
(1) ควบคุมกล้ามเนื้อและการทรงตัว
(2) ควบคุมความสมดุลในร่างกาย
(3) ควบคุมอารมณ์ ความพึงพอใจ
(4) เป็นศูนย์กลางรับกระแสประสาทสัมผัสไปยังซีรีบรัม
(5) ศูนย์กลางควบคุมอวัยวะสัมผัส มอเตอร์ และเชื่อมต่อประสาท
ตอบ 3 หน้า 42 ระบบลิมบิก (Limbic System) จะมีการทํางานเกี่ยวโยงกับไฮโปธาลามัสมาก และ เมื่อส่วนต่าง ๆ ของระบบนี้ถูกกระตุ้น จะทําให้เกิดอารมณ์ ความพอใจ การเกา การทําความ สะอาดตัว และพฤติกรรมทางเพศ

11. กลุ่มโครงสร้างทางจิต (Structuralism) ให้ความสนใจศึกษาสิ่งใด
(1) องค์ประกอบของจิตสํานึก
(2) องค์ประกอบของจิตถึงสํานึก
(3) องค์ประกอบของจิตไร้สํานึก
(4) องค์ประกอบของบุคลิกภาพ
(5) องค์ประกอบของสมอง
ตอบ 1 หน้า 9 กลุ่มโครงสร้างทางจิต (Structuralism) ให้ความสนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสํานึก 3 ลักษณะ คือ การรับสัมผัส (Sensation) ความรู้สึก (Feeling) และมโนภาพ (Image) ซึ่ง
ระเบียบวิธีวิจัยศึกษาที่ใช้กันอยู่ในกลุ่มนี้ก็คือ วิธีการสังเกตทดลอง และรายงานประสบการณ์ ทางจิตด้วยตนเอง หรือการมองภายในที่เรียกว่า การสํารวจทางจิต (Introspection)

ข้อ 12 – 15 จงจับคู่ตัวเลือกด้านล่างนี้ให้ถูกต้อง
(1) โครงสร้างทางจิต
(2) หน้าที่ของจิต
(3) จิตวิเคราะห์
(4) มนุษยนิยม
(5) พฤติกรรมนิยม

12. จิตวิทยาที่แท้จริงคือการศึกษาพฤติกรรม ไม่ใช่ศึกษาเฉพาะจิตสํานึก เป็นแนวคิดของกลุ่มใด
ตอบ 5 หน้า 10 จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson) นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) กล่าวว่า จิตวิทยาที่แท้จริงคือการศึกษาพฤติกรรม ไม่ใช่ศึกษาเฉพาะจิตสํานึก ดังนั้น เขาจึง ปฏิเสธเรื่องจิตโดยสิ้นเชิง และรับแนวความคิดเรื่องการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข โดยเน้นสังเกต ดูพฤติกรรมการตอบสนองแล้วบันทึกซึ่งจะทําให้ได้หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง

13. จิตมนุษย์เปรียบเสมือนก้อนน้ําแข็ง เป็นแนวคิดของกลุ่มใด
ตอบ 3 หน้า 11 ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นจิตแพทย์และนักจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ได้อธิบายว่า บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สํานึก และ เปรียบจิตมนุษย์เป็นเสมือนก้อนน้ําแข็งซึ่งมีเพียงส่วนน้อยที่ลอยอยู่เหนือน้ํา (จิตสํานึก) แต่ ส่วนที่กว้างใหญ่คือส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ (จิตไร้สํานึก) อันเป็นแหล่งสะสมของความคิด แรงขับ แรงกระตุ้น และความปรารถนาที่ซ่อนเร้น แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ แต่ทว่ามีอิทธิพล อย่างยิ่งต่อพฤติกรรมของบุคคลนั้น

14. จิตทําหน้าที่ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นแนวคิดของกลุ่มใด
ตอบ 2 หน้า 9 – 10 วิลเลียม เจมส์ (William James) นักจิตวิทยากลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism) มีความเห็นว่า จิตทําหน้าที่ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป จิตสํานึกจะทํางานเหมือน กระแสน้ําในลําธาร แต่เป็นกระแสธารของจินตภาพและการรับสัมผัส

15. แนวคิดใดสนใจศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง “สิ่งเร้า และการตอบสนอง
ตอบ 5 หน้า 10 สกินเนอร์ (Skinner) เป็นนักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ที่สนใจ ศึกษาและยึดมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (สิ่งแวดล้อม) กับการตอบสนอง และเพิกเฉย ต่อเรื่องความคิดและประสบการณ์ส่วนบุคคล จึงทําให้นักจิตวิทยาหลายท่านเห็นว่ากลุ่มนี้ ขาดความรู้ในส่วนจิตสํานึก

16. เหตุการณ์ใดที่แยกจิตวิทยาออกจากวิชาปรัชญา
(1) ความชุกที่เพิ่มขึ้นของภาวะป่วยทางจิตในทหารผ่านศึกหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง
(2) กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศสต้องการเครื่องมือคัดแยกเด็กบกพร่องทางสติปัญญา
(3) การจัดตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาแห่งแรกที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมัน
(4) ประเทศอังกฤษต้องการเครื่องมือตรวจวินิจฉัยภาวะจิตเสื่อมของผู้ป่วยนิติจิตเวช
(5) เหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่ในสังคมรัสเซีย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

17. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของระบบประสาทส่วนกลาง
(1) ซีรีเบลลัม
(2) เส้นประสาทสมอง
(3) ไขสันหลัง
(4) ลิมบิกซิสเต็ม
(5) ซีรีบรัม
ตอบ 2 หน้า 34 – 35, 41 – 43 ระบบประสาทส่วนกลาง (C.N.S.) ประกอบด้วย สมองและไขสันหลัง โดยสมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. สมองส่วนหน้า (Forebrain) ประกอบด้วย ซีรีบรัม (Cerebrum), ธาลามัส (Thalamus), ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) และระบบลิมบิก (Limbic System)
2. สมองส่วนกลาง (Midbrain)
3. สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ประกอบด้วย ซีรีเบลลัม (Cerebellum) และก้านสมอง (Brain Stem)
** (ส่วนเส้นประสาทสมองเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทโซมาติกซึ่งเป็นส่วนประกอบของระบบ
ประสาทส่วนปลาย)

18. ฮอร์โมนอินซูลินที่มีหน้าที่ควบคุมน้ําตาลในเลือด สัมพันธ์กับการทํางานของต่อมไร้ท่อใด
(1) ต่อมใต้สมอง
(2) ต่อมโกหนาด
(3) ต่อมพาราไทรอยด์
(4) ต่อมไทรอยด์
(5) ต่อมแพนเครียส
ตอบ 5 หน้า 49 อินซูลิน (Insulin) เป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อนหรือต่อมแพนเครียส (Pancreas) โดยฮอร์โมนอินซูลินจะทําหน้าที่ควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดให้เข้มข้นพอดี ถ้าตับอ่อนผลิต ฮอร์โมนอินซูลินน้อยเกินไปจะทําให้เกิดอาการของโรคเบาหวานขึ้นมาได้

19. การสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ป้องกันการติดเชื้อ เกี่ยวข้องกับต่อมใดมากที่สุด
(1) ต่อมหมวกไต
(2) ต่อมไทมัส
(3) ต่อมไพเนียล
(4) ต่อมแพนเครียส
(5) ต่อมพาราไทรอยด์
ตอบ 2 หน้า 50 ต่อมไทมัส (Thymus Gland) ทําหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทโมซิน (Thymocin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย การไม่รับเนื้อเยื่อแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ช่วยป้องกันการติดเชื้อจากไวรัส เชื้อรา และแบคทีเรียบางจําพวกที่ทําให้เกิดวัณโรค

20.“การคิด” ที่นักจิตวิทยาให้ความสนใจศึกษา ถือเป็นพฤติกรรมตามข้อใด
(1) พฤติกรรมภายใน
(2) พฤติกรรมขั้นสูง
(3) พฤติกรรมทางสมอง
(4) พฤติกรรมภายนอก
(5) พฤติกรรมสืบเนื่อง
ตอบ 1 หน้า 3, (คําบรรยาย) พฤติกรรมที่นักจิตวิทยาสนใจศึกษาแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. พฤติกรรมภายใน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดหรือสังเกตได้โดยตรง ต้องอาศัยวิธีการทางอ้อม
โดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัดและการพิสูจน์ทดลองจากหลักฐานข้อเท็จจริงที่ สังเกตได้ เช่น การคิด การจํา การฝัน การคาดหวัง ทัศนคติ เจตคติ ความเชื่อ ความรู้สึก ฯลฯ
2. พฤติกรรมภายนอก เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น การกิน การนอน การนั่ง การเดิน การวิ่ง การพูด การอ่าน การเขียน การเล่นกีฬา การดูหนัง การฟังเพลง ฯลฯ

21. สภาพทางจิตที่กระหายการนอนหลับ (Sleep Deprivation Psychosis) เกิดจากสาเหตุใด
(1) หลับ ๆ ตื่น ๆ
(2) นอนไม่เป็นเวลา
(3) นอนมากไป
(4) อดหลับอดนอน
(5) สะดุ้งตื่นระหว่างนอน
ตอบ 4 หน้า 91 บุคคลที่ขาดการนอนหลับติดต่อกันหลายวัน (การอดหลับอดนอน) จะมีสภาพทางจิต ที่กระหายการนอนหลับเป็นอย่างยิ่ง (Sleep Deprivation Psychosis) ซึ่งจะทําให้บุคคลนั้น มีความอ่อนล้าทางร่างกาย มึนงง และมีสภาพการรับรู้ทางจิตใจที่ผิดพลาด หรือถ้าต้องอดนอน ติดต่อกันนาน ๆ ก็อาจจะมีอาการทางประสาทหลอนได้

ข้อ 22 – 23 จงจับคู่ตัวเลือกด้านล่างนี้ให้ถูกต้อง
(1) ภาพและพื้น
(2) การต่อเติมให้สมบูรณ์
(3) ความคล้ายคลึงกัน
(4) ความใกล้ชิดกัน
(5) ความต่อเนื่อง

22. การเขียนประโยคที่หากการเว้นวรรคของคํา วางระยะห่างของคําหรือสระผิดไป จะมีผลต่อการอ่านและ ทําความเข้าใจประโยค เป็นการรับรู้แบบใด
ตอบ 5 หน้า 76 ความต่อเนื่อง (Continuity) คือ แนวโน้มที่คนเรามักจะรับรู้ถึงสิ่งที่ต่อเนื่องกันไปใน
ทิศทางเดียวกัน เป็นภาพหรือส่วนประกอบของกันและกัน เพราะความต่อเนื่องทําให้เกิดเป็นภาพ
ได้ง่ายกว่าสิ่งเร้าที่ขาดออกจากกัน บางครั้งจะเกี่ยวโยงกับกฎความใกล้ชิดด้วย ถ้าเว้นวรรคผิด ความต่อเนื่องก็จะขาดไปด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้า วรรค ผิดไปท่านจะอ่านลําบาก

23. การลากเส้นเพื่อเติมเส้นประที่ขาดหายไปเป็นช่วง ๆ ให้สมบูรณ์จนกลายเป็นภาพอะไรบางอย่างที่บุคคล ตีความไว้ เป็นการรับรู้แบบใด
ตอบ 2 หน้า 75, (คําบรรยาย) การต่อเติมให้สมบูรณ์ (Closure) คือ แนวโน้มที่จะรับรู้ความสมบูรณ์ ของวัตถุทั้งที่บางส่วนขาดหายไป โดยการมองเป็นลักษณะส่วนรวมหรือความสมบูรณ์ของวัตถุ มากกว่าการมองวัตถุเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพราะถ้าเรามองสิ่งใดที่ยังขาดหรือพร่องอยู่ จิตของมนุษย์ มักจะเติมส่วนที่ขาดหายไปนั้นให้เป็นรูปเต็ม

24. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของสัมปชัญญะได้ถูกต้องที่สุด
(1) ความรู้จากการเรียน
(2) การมีสติจากการนั่งสมาธิ
(3) ความสามารถในการทํางาน
(4) การรู้ตัวว่ากําาลังทําอะไรอยู่
(5) การเรียนรู้จากประสบการณ์
ตอบ 4 หน้า 89 สัมปชัญญะ หมายถึง การรู้ตัวทั่วพร้อมว่ากําลังทํา พูด คิด หรือมีพฤติกรรมใดอยู่ โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคลออกจากสัมปชัญญะหรือขาดสัมปชัญญะ ได้แก่ การนอนหลับ การหมดสติ การสะกดจิต การใช้ยาเสพติด การดื่มสุรา การนั่งสมาธิภาวนา ฯลฯ

25. เสียงที่มีความดังเกินกี่เดซิเบล ถือว่ามีอันตรายต่อหู
(1) 75 เดซิเบล
(2) 80 เดซิเบล
(3) 90 เดซิเบล
(4) 95 เดซิเบล
(5) 110 เดซิเบล
ตอบ 2 หน้า 65 ความดังของเสียงจะสูงขึ้นตามจํานวนเดซิเบล (Decibles : db) ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งเสียงมี ความสูงของเดซิเบลมากเท่าไร ก็ยิ่งทําอันตรายแก่ผู้ฟังได้มากเท่านั้น ส่วนเสียงที่ดังเกิน 80 db จะเป็นอันตรายต่อหู ถ้าฟังนาน ๆ

26. สิ่งใดต่อไปนี้ทําให้สัมปชัญญะของบุคคลลดลงได้
(1) การดูหนัง
(2) การไปเที่ยว
(3) การเดินทาง
(4) การนอนหลับ
(5) การใช้ยากระตุ้นประสาท
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

27. ตามธรรมชาติ มนุษย์จะมีโครโมโซมจํานวนกี่คู่
(1) 22 คู่
(2) 23 คู่
(3) 44 คู่
(4) 46 คู่
(5) 48 คู่
ตอบ 2 หน้า 125 ยีนส์อันเป็นลักษณะของบรรพบุรุษจะถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานโดยผ่านทางโครโมโซม ซึ่งบุคคลคนหนึ่งจะมีโครโมโซมอยู่ในตัว 46 โครโมโซม หรือ 23 คู่ โดยโครโมโซมเหล่านี้ บุคคลจะได้รับมาจากพ่อ 23 โครโมโซม และจากแม่ 23 โครโมโซม

28. นายเขียวเป็นคนไม่มีระเบียบ วางของเกะกะ ห้องรกรุงรัง เข้าห้องน้ําไม่ชอบกด ตามทฤษฎีพัฒนาการของ ฟรอยด์ นายเขียวน่าจะเกิดภาวะการยึดติด (Fixation) ในขั้นใด
(1) Oral Stage
(2) Anal Stage
(3) Phallic Stage
(4) Latency Stage
(5) Genital Stage
ตอบ 2 หน้า 145, 298 – 299, (คําบรรยาย) ฟรอยด์ (Freud) อธิบายว่า บุคคลจะต้องพยายามหาสิ่ง ตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานทางสรีรวิทยาอยู่เสมอในทุกขั้นของการพัฒนาการนับตั้งแต่ แรกเกิด และหากว่าไม่สามารถทําได้ในขั้นหนึ่งขั้นใดหรือพัฒนาการขั้นต่อไป ก็จะเป็นเหตุให้ บุคคลเกิดการหยุดการพัฒนาการในบางช่วงอายุ หรือมีผลต่อการปรับตัวในวัยต่อมา เรียกว่า การชะงักงัน (Fixation) เช่น หากเป็นคนไม่มีระเบียบ มักจะเกิดจากพัฒนาการขั้นความสุขอยู่ที่ ทวารหนัก (Anal Stage) ในช่วงอายุ 2-3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กพอใจที่จะได้ปลดปล่อย หากพ่อแม่ เคร่งครัดหรือละเลยกับเด็กมากเกินไป จะทําให้เด็กเกิดความขัดแย้งใจ เมื่อโตขึ้นก็จะกลายเป็น คนที่จู้จี้เจ้าระเบียบ/ขาดระเบียบวินัย หรือรักษาความสะอาดจนเกินเหตุ/สกปรก เป็นต้น

29. ข้อใดไม่ใช่ชนิดของกลิ่นตามการศึกษาของเฮนนิ่ง
(1) กลิ่นตัว
(2) กลิ่นดอกไม้
(3) กลิ่นเครื่องเทศ
(4) กลิ่นยาง
(5) กลิ่นเหม็น
ตอบ 1 หน้า 68 เฮนนิ่ง (Henning) นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้ทําการศึกษาและแบ่งกลิ่นออกเป็น 6 ชนิด คือ กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้ กลิ่นยาง กลิ่นเหม็น และกลิ่นไหม้

30. ข้อใดไม่ถือเป็นการรับรู้ปรากฏการณ์อภิธรรมดา
(1) การมองทะลุวัตถุที่บดบังอยู่ได้ และบอกได้ถูกต้องว่าสิ่งนั้นคืออะไร
(2) การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น
(3) การได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ไกลออกไปซึ่งคนทั่วไปไม่ได้ยิน
(4) การอ่านหนังสือและทําความเข้าใจเนื้อหาในหนังสือนั้นได้อย่างรวดเร็ว
(5) การล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุย
ตอบ 4 หน้า 79 การรับรู้โดยการอ่านจิต/ทายใจผู้อื่นได้นั้นเป็นการรับรู้ที่ไม่ต้องอาศัยประสาทสัมผัส เช่น ไม่ต้องใช้ตาในการเห็นหรือใช้หูในการได้ยิน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์อภิธรรมดา (Extrasensory Perception : ESP) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. โทรจิต (Telepathy) เป็นการล่วงรู้ความนึกคิดของผู้อื่นได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับผู้นั้น
2. ประสาททิพย์ (Clairvoyance) เป็นการล่วงรู้โดยไม่ต้องพึ่งประสาทสัมผัส
3. การรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition) เป็นการล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

31. ภาวะสายตาสั้นเกิดจากสาเหตุใดถูกต้องที่สุด
(1) ลักษณะของลูกตาที่สั้นกว่าปกติ ทําให้ระยะจากคอร์เนียถึงเรตินาสั้นกว่าปกติ
(2) ลักษณะของลูกตาที่ยาวกว่าปกติ ทําให้ระยะจากคอร์เนียถึงเรตินาสั้นกว่าปกติ
(3) ลักษณะของลูกตาที่สั้นกว่าปกติ ทําให้ระยะจากคอร์เนียถึงเรตินายาวกว่าปกติ
(4) ลักษณะของลูกตาที่ยาวกว่าปกติ ทําให้ระยะจากคอร์เนียถึงเรตินายาวกว่าปกติ
(5) ลักษณะของลูกตาปกติ แต่ระยะจากคอร์เนียถึงเรตินายาวหรือสั้นกว่าปกติ
ตอบ 4 หน้า 62 คนสายตาสั้น เกิดจากการที่มีลักษณะลูกตายาวกว่าปกติ ระยะจากกระจกตาหรือ คอร์เนีย (Cornea) ถึงจอประสาทตาหรือเรตินา (Retina) ยาวกว่าปกติ ภาพที่เห็นจึงตกลง ก่อนถึงเรตินา ทําให้ไม่สามารถมองวัตถุที่ไกลได้ แต่มองวัตถุที่ใกล้ได้ชัดเจน แก้ไขด้วยการ สวมแว่นเลนส์เว้า

32. ข้อใดต่อไปนี้คือความหมายของความฝันตามทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์
(1) ความฝันเกิดจากความสุขระหว่างวัน
(2) ความฝันเป็นสิ่งที่บุคคลคิดขึ้นมาเอง
(3) ความฝันเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในวัยเด็ก
(4) ความฝันเป็นลางบอกเหตุ
(5) ความฝัน เป็นการแสดงออกของความต้องการของบุคคลในระดับจิตใต้สํานึก
ตอบ 5 หน้า 97 ฟรอยด์ (Freud) เป็นนักทฤษฎีความฝันในยุคแรก โดยเขาได้อธิบายความหมายของ ความฝันไว้ว่า ความฝันก็คือการแสดงออกของความต้องการของบุคคลในระดับจิตใต้สํานึก

33. สารเสพติดใดต่อไปนี้ไม่ได้ออกฤทธิ์กดประสาท
(1) มอร์ฟีน
(2) ฝิ่น
(3) เหล้า
(4) เฮโรอีน
(5) แอมเฟตามีน
ตอบ 5 หน้า 106 – 110 ยาเสพติดแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ และทุกกลุ่มสามารถออกฤทธิ์ ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้ทั้งสิ้น คือ
1. ประเภทกดประสาท ได้แก่ ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน ยาระงับประสาท ยากล่อมประสาท ยานอนหลับ สารระเหย (ทินเนอร์) และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฯลฯ
2. ประเภทกระตุ้นประสาท ได้แก่ แอมเฟตามีน (ยาบ้า) กระท่อม โคเคอีน บุหรี่ นิโคติน กาแฟ คาเฟอีน และยาแก้ปวด ฯลฯ
3. ประเภทหลอนประสาท ได้แก่ แอลเอสดี ดีเอ็มที และเห็ดขี้ควาย ฯลฯ
4. ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน ได้แก่ กัญชา

34. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์คงที่
(1) การรับรู้สีน้ําทะเลว่ามีสีฟ้า แม้จะเห็นน้ําทะเลเป็นสีเขียว
(2) การรับรู้ขนาดจริงของรถไฟได้ แม้จะมองเห็นรถไฟเล็กลงเมื่ออยู่ไกลออกไป
(3) การรับรู้ถึงลักษณะของหนังสือทั้งเล่มได้ แม้จะเห็นเพียงสันหนังสือก็ตาม
(4) การมองเห็นภาพ 3 มิติ และบอกได้ว่าสิ่งที่ซ้อนอยู่ในภาพคืออะไร
(5) การรับรู้ขนาดของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นดินได้ แม้ว่าจะมองจากบนเครื่องบิน
ตอบ 4 หน้า 71 – 72 ปรากฏการณ์คงที่ (Constancy) เป็นธรรมชาติของเรื่องการรับรู้และการเห็น นั่นคือ การที่ตาเห็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ความเข้าใจในการรับรู้ยังอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. การคงที่ของสี เช่น การที่เรามองเห็นน้ําทะเลเป็นสีเขียว แต่เราก็ยังรู้ว่าน้ําทะเลมีสีฟ้า ฯลฯ
2. การคงที่ของขนาด เช่น มองจากตึกสูงเห็นคนตัวเท่ามด แต่เราก็ยังรู้ว่าคนมีขนาดเท่าเดิม ฯลฯ
3. การคงที่ของรูปร่าง เช่น การเห็นเพียงแค่สันหนังสือ แต่เราก็ยังรับรู้ว่าเป็นหนังสือ ฯลฯ

35. ในช่วงเวลาหลับลึกมาก ๆ คลื่นสมองจะเป็นรูปแบบใด
(1) คลื่นไอออน
(2) คลื่นเดลตา
(3) คลื่นอัลฟา
(4) คลื่นแกมมา
(5) คลื่นเบตา
ตอบ 2 หน้า 93 การนอนหลับในระยะที่ 4 เป็นช่วงแห่งการนอนหลับที่ลึกมาก (Deep Sleep) ซึ่ง มักจะเกิดเมื่อการนอนผ่านไปเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง โดยในช่วงนี้คลื่นสมอง (EEG) จะมีลักษณะเป็นคลื่นเดลตา (Delta) ล้วน ๆ ซึ่งผู้หลับจะไม่รู้ตัวและ “หลับไหล” จริง ๆ

36. การนอนหลับที่เหมาะสมในวัยรุ่น ควรนอนวันละกี่ชั่วโมง
(1) 2-3
(2) 4 – 6
(3) 7-8
(4) 8 – 10
(5) 10 – 12
ตอบ 3 หน้า 92 โดยทั่ว ๆ ไปคนส่วนใหญ่จะใช้เวลานอนระหว่าง 7 – 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่การกําหนด ให้ตายตัวลงไปว่าควรจะเป็นกี่ชั่วโมงอย่างชัดเจนนั้นคงเป็นสิ่งที่ทําได้ยาก เพราะบางคนนอนเพียง 5 ชั่วโมง ก็ดูจะเป็นสิ่งที่พอเพียง แต่บางคนอาจนอนถึง 11 ชั่วโมง จึงจะรู้สึกพอเพียงก็ได้

37. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการเกิดการเคลื่อนไหวของลูกตาขณะหลับ (Rapid Eye Movements : REM)
(1) เกิดเมื่อมีความฝัน
(2) เกิดในระยะแรกของการนอนหลับ
(3) ไม่ได้เกิดกับคนทุกคน
(4) คนทั่วไปมักเกิดได้คืนละ 4 – 5 ครั้ง
(5) เกิดหลังจากผ่านช่วงที่สี่ของการนอนหลับไปแล้ว
ตอบ 3 หน้า 95 ในบางช่วงของการนอนหลับนั้น ลูกตาของผู้นอนจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (Rapid Eye Movements : REM) ทั้ง ๆ ที่ยังหลับอยู่ โดยช่วงที่มี REM เกิดขึ้นนี้เอง เป็นช่วง ที่บุคคลกําลังฝัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่บุคคลนอนหลับในระยะที่หนึ่ง (หลังผ่านช่วงที่สี่ไปแล้ว และวกกลับมาระยะที่หนึ่งใหม่) โดยทุกคนเมื่อนอนไปได้สักพักก็จะมี REM เกิดขึ้นทั้งสิ้น และ แต่ละคืนจะฝันประมาณ 4 – 5 ครั้ง ครั้งหนึ่งจะฝันยาวประมาณ 25 นาที

38. ข้อใดไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นจากการทําสมาธิได้ถูกต้อง
(1) ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง
(2) อัตราการเผาผลาญลดลง
(3) การหายใจเข้าออกช้าลง
(4) ร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้น
(5) การหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้น
ตอบ 4หน้า 112 วอลเลสและเบนสัน (Wallace & Benson) ได้ทําการศึกษาสภาวะของร่างกาย ในการฝึกสมาธิ พบว่าการนั่งสมาธิมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอย่างเห็นได้ชัด เช่น อัตราการเผาผลาญในร่างกายลดลง มีการหายใจเข้าออกช้าลง ร่างกายใช้ออกซิเจนหรือใช้พลังงานน้อยลง การถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง และปริมาณสารแลคเทต (Lactate) ในเลือดลดลง ซึ่งมีผลทําให้การหมุนเวียนของโลหิตดีขึ้น

39. พาพิลลา (Papillae) คืออะไร
(1) ตุ่มรับรส
(2) ตุ่มรับสัมผัสใต้ผิวหนัง
(4) ของเหลวในชั้นหูที่ควบคุมการทรงตัว
(3) ของเหลวที่ตอบสนองต่อเสียงในชั้นหู
(5) ชนิดของกลิ่นที่ประสาทการดมกลิ่นรับสัมผัสได้
ตอบ 1 หน้า 68 พาพิลลา (Papillae) คือ ตุ่มรับรส (Taste Bud) มีลักษณะนูนเหนือผิวลิ้นเล็กน้อย
อยู่เป็นกลุ่มคล้ายดอกไม้ตูม

40. ข้อใดเป็นคุณสมบัติของโคนส์ (Cones) ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น
(1) เป็นเซลล์ที่มีความไวต่อแสงต่ํามาก
(2) มีความไวต่อแสงคลื่นสั้นมากกว่าคลื่นยาว
(3) มีความไวต่อแสงขาวและดํา
(4) มีความไวต่อแสงที่เป็นสี
(5) เป็นเซลล์รับแสงในเวลากลางคืน
ตอบ 4 หน้า 61 ที่ผนังของเรตินา (Retina) จะมีเซลล์ประสาทอยู่ 2 ชนิด คือ
1. รอดส์ (Rods) เป็นเซลล์ที่ไวต่อแสงขาวดํา จึงเป็นเซลล์รับแสงสลัวในเวลากลางคืน
2. โคนส์ (Cones) เป็นเซลล์ที่ไวต่อแสงที่เป็นสี ช่วยทําให้รับภาพสีได้ดี จึงเป็นเซลล์รับแสงจ้า ในเวลากลางวัน ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่บริเวณเรตินา

41. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของการลืม
(1) การลืมเพราะระบบความจําไม่ดี
(2) การลืมที่เกิดจากระยะเวลา
(3) การลืมเพราะไม่ได้มีการจําตั้งแต่แรก
(4) การเรียนรู้ใหม่รบกวนการเรียนรู้เก่า
(5) การลืมเพราะไม่ได้ลงรหัส
ตอบ 1 หน้า 204 – 205 สาเหตุของการลืม มีหลายประการ ได้แก่
1. การไม่ได้ลงรหัส เพราะไม่ได้มีการจําตั้งแต่แรก
2. การเสื่อมสลายตามกาลเวลาเพราะการไม่ได้ใช้
3. การลืมเพราะขึ้นอยู่กับสิ่งชี้แนะ
4. การถูกรบกวนด้วยข้อมูลใหม่
5. การเก็บกด

42. ในการทดลองการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคพบว่าอินทรีย์เกิดความกลัวสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียง กับสิ่งเร้าที่ถูกวางเงื่อนไข ตรงกับข้อใด
(1) การคืนสภาพ (Spontaneous Recovery)
(2) การแผ่ขยาย (Generalization)
(3) การแยกแยะ (Discrimination)
(4) การลดภาวะ (Extinction)
(5) การเสริมแรง (Reinforcement)
ตอบ 2 หน้า 173 การแผ่ขยายหรือการสรุปความเหมือน (Generalization) เป็นการตอบสนองต่อ สิ่งเร้าที่คล้ายกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขไว้แล้วหรือสิ่งเร้าที่ได้รับรางวัล ซึ่งเป็นการขยายผลของ การเรียนรู้ไปยังสถานการณ์ใหม่ๆที่คล้ายกัน เช่น เด็กชายป้อมจะกลัวสุนัขทุกตัว เพราะเคย ถูกสุนัขกัดมาก่อนตอนเด็ก ๆ ฯลฯ

43. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้แฝง (Latent Learning)
(1) หากร่างกายมีแรงขับต่ํา การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะแสดงออกมาทันที
(2) เป็นแนวคิดของ Totman and Honzik
(3) การเรียนรู้เกิดขึ้นในช่วงที่ร่างกายมีแรงขับต่ําหรือไม่มีรางวัลจูงใจ
(4) หากร่างกายมีรางวัลจูงใจสูง การเรียนรู้จะแสดงออกมาทันที
(5) การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่แสดงออกมาทันทีทันใด
ตอบ 1 หน้า 183 – 184 Tomland และ Honzik ได้ทําการทดลองหลายครั้ง และแสดงให้เห็นว่า การเรียนรู้แฝง (Latent Learning) คือ การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการเสริมแรงที่ชัดเจน นั่นคือ แม้ไม่มีการเสริมแรง การเรียนรู้ก็ยังเกิดขึ้น แต่เกิดแบบแอบแฝง และจะปรากฏให้เห็นชัดเจน ต่อเมื่อมีการให้แรงเสริม โดยความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นแรงขับที่สําคัญที่ทําให้เกิดการเรียนรู้แม้จะไม่แสดงให้เห็นว่าเกิดการเรียนรู้และไม่ได้รับการเสริมแรง

44. ข้อใดไม่ใช่ขั้นตอนของการเรียนรู้โดยการสังเกต
(1) ผู้เรียนจะต้องมีความใส่ใจ
(2) ผู้เรียนจะต้องเข้ารหัสไว้ในความจําระยะยาว
(3) ผู้เรียนจะต้องลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
(4) ผู้เรียนจะต้องรู้จักประเมินพฤติกรรมของตนเอง
(5) ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) การเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) มี 4 ขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นความสนใจ (Attention) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนให้ความสนใจในพฤติกรรมของตัวแบบ
2. ขั้นการจดจํา (Retention) เป็นขั้นตอนของการจดจํารูปแบบของพฤติกรรมตัวแบบ
3. ขั้นการกระทํา (Production) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนําการจดจํามาเป็นรูปแบบของการ กระทํา โดยอาจจะลองแสดงพฤติกรรมนั้น หรือลองผิดลองถูกด้วยตนเอง
4. ขั้นแรงจูงใจ (Motivation) เป็นขั้นตอนจูงใจให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ถ้า เป็นไปในทางบวกผู้เรียนจะอยากแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ถ้าเป็นในทางลบผู้เรียนก็จะหลีกเลี่ยงแสดงพฤติกรรมนั้นไป

45. การทราบผลการกระทําที่จะช่วยให้การเรียนรู้ดีขึ้นตรงกับข้อใด
(1) การวางเงื่อนไข
(2) การลงโทษ
(3) การป้อนกลับ
(4) การเสริมแรง
(5) การตําหนิ
ตอบ 3หน้า 180 – 181, (คําบรรยาย) การป้อนกลับ (Feedback) หมายถึง การทราบผลการกระทําที่ จะช่วยให้การเรียนรู้ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อให้การป้อนกลับอย่างละเอียดในทันที เช่น เมื่อนักศึกษา เรียนจบบทที่ 6 ก็ลองไปทําแบบฝึกหัด ซึ่งถ้าทําถูกหมดสิ่งที่ป้อนกลับก็คือ นักศึกษาเข้าใจ บทเรียนได้เป็นอย่างดี ฯลฯ

46. ข้อใดเป็นการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
(1) น้องฟางเฟยดีใจเมื่อคุณแม่เดินมา
(2) น้องสกายร้องไห้เมื่อหกล้ม
(3) น้องนิต้าเดินได้เมื่ออายุ 11 เดือน
(4) น้องใจดีเคยถูกสุนัขกัดจึงกลัวสุนัขมาก
(5) น้องพราวดู YouTube แล้วร้องเพลงตาม
ตอบ 5 หน้า 247 การเรียนรู้โดยการเลียนแบบ เป็นการจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ บุคคลรอบข้าง ได้แก่ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อน และบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งที่ตั้งใจเลียนแบบหรือเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว

47. วุฒิภาวะ (Maturity) หมายถึงข้อใด
(1) การเจริญเต็มบริบูรณ์ของร่างกายและพร้อมจะทําหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
(2) สภาพสิ่งแวดล้อมที่มีผลให้การเจริญเติบโตที่สมบูรณ์
(3) ช่วงอายุที่มีการเจริญเติบโตเร็วที่สุด
(4) การเจริญเติบโตในวัยผู้ใหญ่ เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 138 วุฒิภาวะ (Maturation) หรือความพร้อมของบุคคล หมายถึง กระบวนการของ ความเจริญเติบโต หรือการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่าง มีระเบียบโดยไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งเร้าภายนอก อันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ ความพร้อม ของกล้ามเนื้อ ต่อมต่าง ๆ ซึ่งความพร้อมเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเป็นพฤติกรรม

48. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สิ่งแวดล้อมก่อนเกิด
(1) สภาวะของ Rh Factor
(2) การรับประทานอาหารของแม่
(3) สุขภาพของแม่
(4) สุขภาพจิตของแม่
(5) การคลอดโดยการใช้คีมช่วยคลอด
ตอบ 5 หน้า 131 – 133 สภาพแวดล้อมก่อนเกิดเป็นสิ่งแวดล้อมภายในครรภ์และการปฏิบัติตัว ของแม่ที่มีผลต่อตัวอ่อนในครรภ์เป็นอย่างมาก ถ้าได้รับการบํารุงและทะนุถนอมอย่างดี ถือเป็น การปูพื้นฐานของการพัฒนาในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาการทางสมอง ซึ่งมีดังนี้
1. สุขภาพของแม่
2. สุขภาพจิตของแม่
3. การบริโภคของแม่
4. การได้รับรังสี
5. การได้รับเชื้อ HIV
6. สภาวะของ Rh Factor
7. อายุของมารดา
8. จํานวนทารกภายในครรภ์

49. หลักการให้สิ่งเสริมแรงที่ถูกต้อง คือข้อใด
(1) หลังจากอินทรีย์เกิดการเรียนรู้ แล้วควรให้สิ่งเสริมแรงแก่อินทรีย์ทุกครั้ง
(2) เมื่ออินทรีย์ทําพฤติกรรมที่ต้องการ ควรเว้นช่วงแล้วจึงค่อยให้รางวัล
(3) การให้สิ่งเสริมแรงต้องให้สิ่งที่มีค่าราคาแพง
(4) เพื่อให้พฤติกรรมสม่ําเสมอ ควรให้สิ่งเสริมแรงแบบช่วงเวลาแน่นอน
(5) ในระยะแรก ๆ ควรให้สิ่งเสริมแรงแก่อินทรีย์ทุกครั้ง
ตอบ 5 หน้า 176 – 177, (คําบรรยาย) การเสริมแรง (Reinforcement) มี 2 แบบด้วยกัน คือ
1. แบบต่อเนื่อง (Continuous) คือ การวางเงื่อนไขที่ให้รางวัลทุกครั้งที่แสดงพฤติกรรมที่ ปรารถนาออกมา ควรให้ทันที และจะได้ผลดีในช่วงแรกของการเรียนรู้
2. แบบบางครั้งบางคราว (Partial) มี 4 ประเภท ได้แก่ แบบอัตราส่วนคงที่ (เช่น การให้ค่า คอมมิชชั่น) ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ดีที่สุด, แบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน (เช่น การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ฯลฯ), แบบช่วงเวลาที่คงที่ (การได้ขึ้นเงินเดือนประจําปี ฯลฯ) และแบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน (เช่น นั่งตกปลา ไม่รู้ว่าปลาจะกินเบ็ดเมื่อใด ฯลฯ) จะได้ผลดี ในช่วงหลังจากเกิดการเรียนรู้แล้ว

50. ข้อใดคือการเกิดการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
(1) ความชํานาญ
(2) ความจํา
(3) ทักษะ
(4) ความรู้สึก
(5) ความสนใจ
ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นกลุ่มพฤติกรรมทาง การศึกษาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้านสติปัญญาหรือความคิด แบ่งได้ 6 ระดับ ดังนี้
1. ความรู้ความจํา (Knowledge)
2. ความเข้าใจ (Comprehension)
3. การนําไปใช้ (Application)
4. การวิเคราะห์ (Analysis)
5. การสังเคราะห์ (Synthesis)
6. การประเมินค่า (Evaluation)

51. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะของพัฒนาการมนุษย์
(1) เกิดอย่างต่อเนื่องทุกช่วงวัย
(2) เกิดขึ้นอย่างมีแบบแผน
(3) เกิดเป็นอัตราที่ไม่คงที่
(4) เกิดเป็นทิศทางจากบนลงล่าง
(5) แต่ละช่วงวัยเกิดเป็นอัตราเดียวกัน
ตอบ 5 หน้า 121, 140 – 141, (คําบรรยาย) พัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ กล่าวคือ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เป็นไปตามแบบฉบับของตนเอง เป็นไปในทิศทางเฉพาะ ค่อยเป็นค่อยไป และเป็นไปในอัตราที่ไม่เท่ากันในแต่ละช่วงอายุ

52. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความจําระยะยาว
(1) เก็บข้อมูลความจําได้นานและไม่จํากัด
(2) เก็บข้อมูลในลักษณะของเหตุการณ์
(3) เก็บข้อมูลในลักษณะของความหมาย
(4) เก็บข้อมูลในลักษณะของทักษะ
(5) หากไม่มีการส่งต่อข้อมูล สิ่งที่จําได้จะค่อยๆหายไป
ตอบ 5 หน้า 196 – 199, (คําบรรยาย) ความจําระยะยาว (Long-term Memory) เป็นระบบความจํา ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ จะทําหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้ มีความสามารถไม่จํากัดในการเก็บข้อมูล และไม่มีข้อมูลสูญหายไปจากความจําระยะยาวนี้ โดย จะเก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความหมายและความสําคัญของข้อมูล จึงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ ได้มาก ซึ่งความจําระยะยาวนี้มี 2 ประเภท คือ
1. การจําความหมาย เป็นการจําความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก เช่น ชื่อวัน เดือน ชื่อสิ่งของ ภาษา และทักษะการคํานวณง่าย ๆ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่น ๆ ฯลฯ
2. การจําเหตุการณ์ เป็นการจําเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต เช่น จําวันแรกที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย อุบัติเหตุที่ประสบเมื่อปีที่แล้ว ฯลฯ

53. ระบบความจําที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ และสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้มาก
(1) ความจําระยะสั้น (Short-term Memory)
(2) ความจําระยะยาว (Long-term Memory)
(3) ความจําปฏิบัติการ (Working Memory)
(4) ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory)
(5) ความจําเชิงกระบวนวิธี (Procedural Memory)
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

54. ระบบความจําที่ทําหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวในจํานวนจํากัด
(1) ความจําระยะสั้น (Short-term Memory)
(2) ความจําระยะยาว (Long-term Memory)
(3) ความจําเหตุการณ์ (Episodic Memory)
(4) ความจําจากการรับสัมผัส (Sensory Memory)
(5) ความจําเชิงความหมาย (Semantic Memory)
ตอบ 1 หน้า 196 ความจําระยะสั้น (Short-term Memory) เป็นระบบความจําที่ทําหน้าที่คล้าย คลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจํานวนจํากัด เป็นระบบความจําที่ถูกรบกวนหรือถูกแทรก ได้ง่าย หากไม่ทบทวนจะมีข้อมูลใหม่เข้ามาแทนที่ข้อมูลเก่า

55. ตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget) ระยะใดที่เด็กสามารถจัดหมวดหมู่สิ่งของได้
(1) Period of Concrete
(2) Sensorimotor Period
(3) Thought Period
(4) Intuition Phase
(5) Period of formal Operations
ตอบ 4 หน้า 143 – 144 พัฒนาการความคิดความเข้าใจ (Cognitive Development) ของ Piaget ในขั้น Preoperation แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1. Thought Period เป็นระยะที่เด็กถือตนเอง เป็นจุดศูนย์กลาง ไม่สามารถรับรู้ความคิดเห็นของคนอื่น 2. Intuitive Phase เป็นระยะที่เด็ก เกิดความคิดรวบยอดมากขึ้น สามารถจัดประเภท/กลุ่มวัตถุเข้าเป็นหมวดหมู่และจัดลําดับวัตถุได้

56. ตามทฤษฎีพัฒนาการทางศีลธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg) ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
(1) วัยรุ่นมักทําความดีตามที่ตนคิดว่าดีตามที่สังคมกําหนด
(2) วัยผู้ใหญ่มักทําความดีตามที่ตนคิดว่าดี
(3) การเป็นคนดีตามความหมายของเด็กเล็กคือการทําแล้วไม่ถูกลงโทษ
(4) ขั้นที่ 1 เด็กทําความดีเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
(5) รางวัลเป็นเครื่องล่อใจให้ผู้ใหญ่ทําความดี
ตอบ 3 หน้า 148 – 149, 161 โคลเบิร์ก (Kohlberg) ได้แบ่งพัฒนาการทางศีลธรรมออกเป็น 3 ระดับ (6 ขั้น) และศึกษาระหว่างช่วงอายุ 7 – 16 ปี ดังนี้
(1) ก่อนมีจริยธรรม (Premoral)
ขั้นที่ 1 ยอมทําตามสิ่งที่สังคมกําหนดว่าดีหรือไม่ดี (เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ)
ขั้นที่ 2 มองความถูกผิดอยู่ที่ความสามารถจะได้ในสิ่งที่ต้องการ (เพื่อหวังสิ่งตอบแทน)
(2) มีจริยธรรมตามสังคม (Morality of Conventional Role-conformity)
ขั้นที่ 3 พยายามทําตามกฎเกณฑ์ ประพฤติตนเป็นคนดี (เพื่อให้ผู้อื่นยอมรับ)
ขั้นที่ 4 ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างเคร่งครัด ถ้าใครไม่ปฏิบัติตามสังคมนั้น จะอยู่ไม่ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกประณามจากสังคม)
(3) มีจริยธรรมเหนือกว่าเกณฑ์ของสังคม (Morality of Self-accepted Moral Principles)
ขั้นที่ 5 ยอมรับกฎเกณฑ์ที่เป็นประชาธิปไตย (เพื่อประโยชน์ของชุมชน)
ขั้นที่ 6 สร้างคุณธรรมประจําใจ (เพื่อหลีกเลี่ยงการตําหนิตัวเอง)

57. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “การเรียนรู้”
(1) เป็นผลมาจากประสบการณ์และการฝึก
(2) เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชั่วคราว
(3) เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ
(4) เป็นการตอบสนองตามวุฒิภาวะ
(5) เป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณ
ตอบ 1 หน้า 160, 167, 169 การเรียนรู้ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมหรือการ แสดงออกซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์หรือการฝึกหัด และเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับการปรับตัว ของมนุษย์ นอกจากนี้การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร (แต่พฤติกรรม บางอย่างไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ หากเกิดจากสัญชาตญาณ และเกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติที่มีมาแต่กําเนิด)

58. “นายแดงชอบทํางานคนเดียว เพราะไม่ชอบให้ใครสั่งงาน และทนรับการถูกตําหนิไม่ได้” นายแดงมี พัฒนาการล้มเหลวในขั้นใดของอีริคสัน
(1) ขั้นที่ 2 ความต้องการอิสระและความละอายใจไม่แน่นอน
(2) ขั้นที่ 3 ความคิดริเริ่มและความรู้สึกผิด
(3) ขั้นที่ 4 ความขยันหมั่นเพียรและความรู้สึกต่ำต้อย
(4) ขั้นที่ 5 ทําความเข้าใจและสับสนในตนเอง
(5) ขั้นที่ 6 ใกล้ชิดสนิทสนมและโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ตอบ 3 หน้า 147, 160 – 161 ขั้นพัฒนาการทางสังคมของอีริคสัน (Erikson) ในขั้นที่ 4 ของชีวิต (ช่วงปีที่หกถึงระยะก่อนวัยรุ่น) จะมีพัฒนาการทางจิตใจที่สําคัญ คือ มีความขยันหมั่นเพียร – ความรู้สึกด้อย (Industry VS Inferiority) และใช้ความสามารถทํางานร่วมกับผู้อื่น

59. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการเกิดลูกแฝด
(1) ฝาแฝดมี 2 ชนิดคือ แฝดเหมือนและแฝดคล้าย
(2) แฝดเหมือนเกิดจากไข่ 1 ใบ กับอสุจิ 2 ตัว
(3) แฝดคล้ายเกิดจากไข่ 2 ใบ กับอสุจิ 2 ตัว
(4) แฝดเหมือนมักมีเพศเหมือนกัน
(5) แฝดคล้ายมักมีเพศต่างกัน
ตอบ 2 หน้า 125 (คําบรรยาย) ฝาแฝด (Twins) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ฝาแฝดเหมือนแฝดแท้ (Identical Twins) เกิดจากไข่ (Egg) 1 ใบ ผสมกับอสุจิหรือสเปิร์ม (Sperm) 1 ตัว แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน 2 ตัว (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิ ผิดพลาด) ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน โดยมียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันทุกประการ
2. ฝาแฝดคล้าย/แฝดเทียม (Fraternal Twins) เกิดจากไข่มากกว่า 1 ใบ ผสมกับอสุจิหรือสเปิร์ม มากกว่า 1 ตัว เซลล์แบ่งตัวเป็นอิสระจากกัน (เกิดเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า 1 เซลล์) ฝาแฝดคล้ายจึงอาจมีเพศเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ (เหมือนกับพี่น้องท้องเดียวกัน) โดยอาจ มียีนส์และโครโมโซมเหมือนกันหรือแตกต่างกันก็ได้

60. ข้อใดไม่ใช่ตัวเสริมแรงปฐมภูมิ (Primary Reinforcer)
(1) อากาศ
(2) ยารักษาโรค
(3) ที่อยู่อาศัย
(4) เงิน
(5) อาหาร
ตอบ 4 หน้า 180 สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ เป็นรางวัลตามธรรมชาติที่ไม่ต้องเรียนรู้ มักเป็นลักษณะทางชีววิทยาที่เพิ่มความพอใจและลดความไม่พึงพอใจลง หรือสนองความต้องการทางกายภาพได้ เช่น น้ํา อาหาร อากาศ ความต้องการทางเพศ ฯลฯ (ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ เป็นรางวัลที่ได้เรียนรู้มาแล้ว เช่น เงิน เกียรติ ความสนใจ การยอมรับ ความสําเร็จ ความรัก คะแนนสอบ ฯลฯ

61. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข
(1) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
(2) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นที่เป็นเรื่องสําคัญจะเหมือนกันในทุกคน
(3) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นและสิ่งเสริมแรงในกระบวนการเรียนรู้
(4) สิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นที่แปรเปลี่ยนไปตามค่านิยมของสังคม
(5) ส่วนใหญ่จะเป็นทฤษฎีการเรียนรู้แบบการกระทํา
ตอบ 2 หน้า 247, (คําบรรยาย) แรงจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขส่วนใหญ่จะเป็นการ เรียนรู้แบบการกระทํา โดยที่บุคคลได้เรียนรู้จากสังคมและคนรอบข้างว่าปัจจัยใดบ้างควรเป็นสิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้นและส่งเสริมแรงในกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะแปรเปลี่ยนไปตามค่านิยมของแต่ละสังคม นอกจากนี้สิ่งเร้าที่เป็นตัวกระตุ้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลด้วย

62. อารมณ์ใดเป็นอารมณ์ผสมระหว่างอารมณ์กลัวและอารมณ์ประหลาดใจ
(1) อารมณ์รัก
(2) อารมณ์ก้าวร้าว
(3) อารมณ์ผิดหวัง
(4) อารมณ์เกรงขาม
(5) อารมณ์ยอมจํานน
ตอบ 4 หน้า 258, (รูปที่ 9.1) พลูทชิค (Plutchik) เชื่อว่า อารมณ์พื้นฐานของมนุษย์มีอยู่ 8 ชนิด คือ กลัว ประหลาดใจ เศร้าเสียใจ รังเกียจ โกรธ คาดหวัง รื่นเริง และยอมรับ ซึ่งอารมณ์พื้นฐานทั้ง 8 ชนิด ยังแปรเปลี่ยนไปตามระดับความเข้มของอารมณ์และยังอาจผสมผสานกันเป็นอารมณ์ที่ ซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น อารมณ์เกรงขามเป็นอารมณ์ผสมกันระหว่างกลัวและประหลาดใจ ฯลฯ

63. อารมณ์ใดตามแนวคิดของอิซาร์ดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าในระบบประสาทอย่างฉับพลัน
เพื่อเตรียมบุคคลที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
(1) โกรธ
(2) ขยะแขยง
(3) สนุกสนาน
(4) กลัว
(5) ประหลาดใจ
ตอบ 5 หน้า 257 – 258 คาร์รอล อิซาร์ด (Carrott Izard) ได้จําแนกอารมณ์ออกเป็น 10 ประเภท คือ
1. Interest-Excitement (สนใจ ตื่นเต้น) เป็นอารมณ์ที่ช่วยทําให้บุคคลเกิดแรงจูงใจในการ ที่จะเรียนรู้และต้องใช้ความพยายามในเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น เช่น อยากเรียนสูง ๆ
2. Joy (รื่นเริง) เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดสภาวะของความเชื่อมั่น มองว่าโลกนี้ช่างน่าอยู่เหลือเกิน
3. Surprise (ประหลาดใจ) เป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าในระบบประสาท
อย่างฉับพลันเพื่อตระเตรียมบุคคลที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
4. Distress-Anguish (เสียใจ-เจ็บปวด) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องประสบกับความ พลัดพราก หรือเผชิญกับความล้มเหลวในชีวิต
5. Anger-Rage (โกรธ เดือดดาล) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลพบกับการขัดขวางหรืออุปสรรค
6. Disqust (รังเกียจ) เป็นอารมณ์อันเกิดจากการกระทบกับสัมผัสที่ไม่พึงปรารถนา
7. Contempt Scorn (ดูถูกเหยียดหยาม) เป็นอารมณ์ที่อาจเกิดผสมระหว่างอารมณ์โกรธ กับอารมณ์ขยะแขยง จัดเป็นอารมณ์ที่มีลักษณะที่เย็นชา
8. Fear-Terror (กลัว-สยองขวัญ) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลกําลังเผชิญอยู่กับสิ่งที่ตน ไม่สามารถจะเข้าใจได้ หรือเกิดความไม่แน่ใจในภัยอันตรายที่กําลังจะมาถึง
9. Shame Sin Shyness-Humiliation (อับอายขายหน้า) เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคล ถูกลงโทษ เพราะไม่ประพฤติตามกฎเกณฑ์ของสังคม
10. Guilt (รู้สึกผิด) เป็นอารมณ์ที่มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับความวิตกกังวลและความอาย

64. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับความต้องการตามลําดับขั้นของมาสโลว์
(1) ชีวิตของบุคคลจะมีความต้องการแตกต่างกัน
(2) บุคคลแต่ละคนจะมีความต้องการสูงสุดคือความสุข
(3) สิ่งเร้าที่มากระตุ้นให้บุคคลเกิดความต้องการเหมือนกันทุกคน
(4) บุคคลจะมีความต้องการเป็นลําดับขั้น
(5) บุคคลจะมีความต้องการข้ามขั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน
ตอบ 4 หน้า 229 – 230 มาสโลว์ (Maslow) เชื่อว่า “ชีวิตของบุคคลจะมีความต้องการตามลําดับขั้น โดยจะมีความต้องการขั้นพื้นฐานเป็นลําดับแรก ต่อมาเมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการ ขั้นพื้นฐานแล้ว จึงมีความต้องการขั้นสูงต่อ ๆ ไปตามลําดับโดยไม่ข้ามขั้น

65. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับปัจจัยทางสรีระวิทยาที่ทําให้เกิดอารมณ์
(1) ระบบพาราซิมพาเธติกในร่ายกายจะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่กระตุ้นให้ต่อสู้หรือถอยหนี
(2) สมองส่วนไฮโปธาลามัสเมื่อถูกกระตุ้นจะทําให้เกิดอารมณ์เศร้า ซึม เฉื่อยชา
(3) อารมณ์ที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรมมากที่สุดคือ อารมณ์ตื่นเต้น
(4) อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนจากต่อมหมวกไต
(5) การเกิดอารมณ์ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสรีระวิทยา
ตอบ 4 หน้า 262 – 263 อารมณ์กลัวจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระตามบริเวณต่าง ๆ ดังนี้ การหายใจจะถี่ขึ้น ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง มีความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อสูงมาก และจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนจากต่อมหมวกไต

66. ข้อใดเป็นการแก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ
(1) การเลียนแบบ
(2) การหยั่งเห็นคําตอบในทันที
(3) การท่องจําคําตอบ
(4) การใช้ปัญญาแก้ปัญหา
(5) การลองผิดลองถูก
ตอบ 4 หน้า 209 การแก้ปัญหาโดยทําความเข้าใจ (Solution by Understanding) เป็นการใช้ ความคิดระดับสูงในการแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากการค้นหาคุณสมบัติทั่วไปของคําตอบ และมา สู่ขั้นคิดคําตอบที่เป็นไปได้หลายคําตอบ จากนั้นก็จะเลือกคําตอบให้เหลือเพียงคําตอบเดียว

67. ข้อใดไม่ใช่เป็นลักษณะสําคัญของอารมณ์
(1) อารมณ์ไม่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ส่วนบุคคล
(2) การแปลความหมายของสถานการณ์สามารถเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาทางอารมณ์ได้
(3) อารมณ์ไม่ใช่พฤติกรรมที่แสดงออกภายนอกหรือความคิดเฉพาะอย่าง
(4) การแสดงออกทางอารมณ์แตกต่างจากการกระทําโดยทั่วไป
(5) อารมณ์เกิดขึ้นร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ
ตอบ 1 หน้า 255 – 256, (คําบรรยาย) อารมณ์ มีลักษณะสําคัญ 4 ประการ คือ
1. อารมณ์ไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกหรือความคิดเฉพาะอย่าง แต่อารมณ์เป็นประสบการณ์ ความรู้สึกส่วนบุคคล และเป็นภาวะที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (ไม่คงที่)
2. อารมณ์เป็นความรู้สึกที่รุนแรงและมีการแสดงออกที่แตกต่างไปจากการกระทําปกติทั่ว ๆ ไป
3. บุคคลจะมีการประเมินหรือแปลความหมายของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องแล้วจึงจะเกิดอารมณ์
4. อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

68. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของเครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph)
(1) วัดการเปลี่ยนแปลงของหัวใจได้
(2) วัดการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตได้
(3) วัดการทํางานของสมองได้
(4) วัดการเปลี่ยนแปลงของการหายใจได้
(5) วัดระดับความชื้นของฝ่ามือได้
ตอบ 3 หน้า 262 – 263 เครื่อง “โพลีกราฟ” (Polygraph) เป็นเครื่องมือจับเท็จที่ใช้วัดและบันทึก การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต อัตราการหายใจ และอุณหภูมิหรือความชื้นหรือแรงต้านทานกระแสไฟฟ้าบนฝ่ามือ (GSR)

69. หน่วยพื้นฐานของการคิด คือข้อใด
(1) ประสบการณ์
(2) สติปัญญา
(3) ทักษะ
(4) จินตภาพ
(5) วุฒิภาวะ
ตอบ 4 หน้า 206 หน่วยพื้นฐานของความคิด ประกอบด้วย จินตภาพ การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ มโนทัศน์ และภาษาหรือสัญลักษณ์

70. ข้อใดไม่ใช่อารมณ์พื้นฐานที่สัมพันธ์กับการทํางานในตําแหน่งสมองของแพงค์เซปป์
(1) ตื่นตระหนก
(2) ประหลาดใจ
(3) เดือดดาล
(4) หวาดกลัว
(5) คาดหวัง
ตอบ 2 หน้า 259 อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของจาค แพงค์เซปป์ (Jaak Panksepp) มี 4 ชนิด คือ คาดหวัง เดือดดาล ตื่นตระหนก และหวาดกลัว

71. “แรงจูงใจ” มีลักษณะตรงกับข้อใดมากที่สุด
(1) เป้าหมายที่ได้เลือกไว้แล้ว
(2) การเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรม
(3) สัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด
(4) แรงขับเคลื่อนที่อยู่ภายนอกของบุคคล
(5) บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในตัวของบุคคลที่มีผลทําให้บุคคลต้องกระทํา
ตอบ 2 หน้า 223, 225 แรงจูงใจ (Motive) หมายถึง สภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นหรือเป็นกระบวนการ ที่สร้างและกระตุ้นหรือผลักดันให้บุคคลเกิดหรือแสดงพฤติกรรมออกมา ทั้งที่เป็นพฤติกรรมโดยสัญชาตญาณและพฤติกรรมจากการเรียนรู้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

72. ข้อใดคือทฤษฎีลําดับขั้นตอนความต้องการของเมอร์เรย์
(1) ความต้องการที่จะเข้าใจคนอื่น
(2) ความต้องการความปลอดภัย
(3) ความต้องการทางร่างกาย
(5) ความต้องการที่จะยอมแพ้
(4) ความต้องการสืบทอดเผ่าพันธุ์
ตอบ 5 หน้า 235 – 237 เมอร์เรย์ (Murray) ได้แบ่งประเภทของความต้องการไว้ 20 ประการ เช่น ความต้องการที่จะเอาชนะด้วยการแสดงความก้าวร้าว, ความต้องการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ความต้องการที่จะยอมแพ้, ความต้องการที่จะป้องกันตนเอง, ความต้องการความสนุกสนาน, ความต้องการความสําเร็จ, ความต้องการแยกตนเองออกจากผู้อื่น ฯลฯ

73. ข้อใดไม่ใช่การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
(1) นิยามปัญหาให้กว้าง
(2) นิยามปัญหาให้เฉพาะเจาะจง
(3) สร้างบรรยากาศที่ถูกต้อง
(4) หาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ให้พร้อม
(5) ให้เวลาสําหรับขั้นพัก
ตอบ 2 หน้า 215 – 216 การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ มีดังนี้
1. สร้างบรรยากาศที่ถูกต้อง
2. นิยามปัญหาให้กว้าง
3. ให้เวลาสําหรับขั้นพัก
4. หาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ให้พร้อม ฯลฯ

74. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับโค้งการลืมของเอบทิ้งเฮาส์
(1) การจําได้จะมีมากในช่วงแรก และน้อยลงในช่วงหลัง
(2) บุคคลจะจําได้ 0 – 100% ในช่วงเริ่มต้นจนช่วงหลัง ๆ
(3) เมื่อเวลาผ่านไป 1 วัน ความจําจะเหลือประมาณ 0%
(4) เมื่อบุคคลจําได้ 100% จะไม่เกิดการลืม
(5) ผู้สูงอายุจะเกิดการลืมมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว
ตอบ 1 หน้า 203, 218 เฮอร์แมน เอบทิ้งเฮาส์ (Herman Ebbinghaus) ได้กล่าวว่า การลืมส่วนใหญ่ เกิดขึ้นทันทีภายหลังการจํา โดยเขาได้ทําการทดสอบความจําหลังการเรียนรู้คําที่ไม่มีความหมาย ในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน และได้สร้างโค้งการลืมออกมา ซึ่งพบว่า เราจะจําได้ 100% ในช่วงเริ่มต้น เมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที ความจําจะเหลือ 60%, 1 ชั่วโมงผ่านไปจะจําได้ 50%, 9 ชั่วโมงผ่านไป จะจําได้ 40% และภายใน 1 วัน ความจําจะเหลือประมาณ 30%

75. แรงจูงใจมีที่มาจากองค์ประกอบใด
(1) ความมีเหตุผล
(2) ความสมบูรณ์
(3) ความต้องการ
(4) ความฉลาดต
(5) สติปัญญา
ตอบ 3 หน้า 227 กระบวนการของการเกิดแรงจูงใจ ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้
1. ความต้องการ (Needs)
2. แรงขับ (Drive)
3. การตอบสนอง (Response) หรือการแสดงพฤติกรรม
4. เป้าหมาย (Goal)

76. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความต้องการของบุคคลที่เกิดจากสิ่งเร้า
(1) สิ่งเร้าเดียวกันมีอิทธิพลต่อบุคคลทุกคน
(2) สิ่งเร้านั้นต้องมีอิทธิพลต่อบุคคล
(3) สิ่งเร้าเดียวกันทําให้คนต้องการต่างกัน
(4) สิ่งเร้าต่างกันอาจทําให้คนต้องการเหมือนกัน
(5) เวลาเปลี่ยนไป สิ่งเร้าเดิมอาจไม่ส่งผลต่อบุคคลแล้ว
ตอบ 1 หน้า 229 เกี่ยวกับความต้องการที่เกิดจากสิ่งเร้า คือ สิ่งเร้านั้นจะต้องมีอิทธิพลต่อการรับรู้ ของบุคคล สิ่งเร้าเดียวกันอาจจะทําให้คนมีความต้องการที่แตกต่างกันได้ สิ่งเร้าที่แตกต่างกันอาจจะทําให้คนมีความต้องการที่เหมือนกันได้ สิ่งเร้าเดิมที่เคยจูงใจบุคคลอาจจะจูงใจไม่ได้อีก เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งเร้าที่เร้าไม่ได้ในอดีตอาจจะจูงใจได้ในปัจจุบัน

77. การลืมเกิดขึ้นจากการที่มีแรงจูงใจพิเศษที่ต้องการจะลืมบางสิ่งบางอย่าง
(1) การเก็บกด (Repression)
(2) การทดแทน (Sublimation)
(3) การถดถอย (Regression)
(4) การหาเหตุผล (Rationalization)
(5) การกล่าวโทษผู้อื่น (Projection)
ตอบ 1 หน้า 205, (คําบรรยาย) การเก็บกด (Repression) เป็นการลืมที่เกิดขึ้นจากการที่มีแรงจูงใจ พิเศษที่ต้องการจะลืมบางสิ่งบางอย่างในอดีต เช่น ความผิดหวัง ความล้มเหลว ความเจ็บปวดความอาย สิ่งที่ไม่ชอบไม่น่ารื่นรมย์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บกดให้อยู่ในระดับจิตใต้สํานึก

78. ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจทางสังคมหรือแรงจูงใจเพื่อพัฒนาตน
(1) แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด
(2) แรงจูงใจเพื่อการเรียนรู้
(3) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
(4) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์
(5) แรงจูงใจใฝ่อํานาจ
ตอบ 2 หน้า 225, 233 – 234, 239, (คําบรรยาย) การแบ่งประเภทของแรงจูงใจตามสิ่งเร้าอันเป็น แรงจูงใจทางสังคมหรือแรงจูงใจเพื่อพัฒนาตน มี 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. แรงจูงใจพื้นฐาน เป็นแรงจูงใจพื้นฐานในการกระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อความอยู่รอด ของชีวิต ได้แก่ แรงจูงใจทางชีวภาพ แรงจูงใจเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ และแรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย หรือแรงจูงใจเพื่อหลีกหนีความเจ็บปวด
2. แรงจูงใจภายใน เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเองภายในตัวบุคคลโดยไม่ต้องมีสิ่งเร้าจากภายนอก
3. แรงจูงใจภายนอก หรือแรงจูงใจเฉพาะบุคคล ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ และแรงจูงใจใฝ่อํานาจ ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่บุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก

79. สาโรจน์ไม่ได้รับการเลื่อนขั้นและถูกมองข้ามจากเจ้านาย ตรงกับข้อใด
(1) ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ
(2) ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง
(3) ความต้องการความปลอดภัย
(4) ความต้องการทางร่างกาย
(5) ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง
ตอบ 5หน้า 229 – 230, 234 – 235 มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยาที่แบ่งลําดับขั้น ความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้น 2 ระดับ ดังนี้คือ
1. ระดับความต้องพื้นฐาน (Basic Needs) ได้แก่ ความต้องการทางด้านร่างกาย และความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง
2. ระดับความต้องการขั้นสูง (Growth Needs) ได้แก่ ความต้องการความรักและความเป็น เจ้าของความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น และความต้องการประจักษ์ตน

80. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการเกิดแรงจูงใจ
(1) ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล
(2) ร่างกายลดแรงขับ
(3) ร่างกายเกิดความต้องการ
(4) ร่างกายแสดงพฤติกรรม
(5) ร่างกายเกิดแรงขับ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

81. แบบทดสอบที่มีชื่อว่า Stanford Binet Intelligence Test สร้างขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถใด
(1) พัฒนาการทางร่างกาย
(2) พฤติกรรม
(3) สติปัญญา
(4) ความเจ็บป่วยทางจิต
(5) อารมณ์
ตอบ 3 หน้า 324, 336 อัลเฟรด บิเนต์ (Alfred Binet) และธีโอฟิล ไซมอน (Theophile Simon) ได้สร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1905 เพื่อแยกเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองออกจากเด็กปกติ ต่อมาเทอร์แมน (Terman) ได้นํามา ปรับปรุงใช้ในสหรัฐอเมริกา และเรียกแบบทดสอบนี้ว่า Stanford Binet Intelligence Test

82. วัตถุประสงค์ของการสร้างแบบทดสอบสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาในครั้งแรก เพราะสาเหตุใด
(1) แยกเด็กที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรม
(2) แยกเด็กที่มีความผิดปกติทางความคิด
(3) แยกเด็กที่มีความผิดปกติทางอารมณ์
(4) แยกเด็กที่มีความผิดปกติทางการอ่าน
(5) แยกเด็กที่มีความผิดปกติทางสมอง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

83.จากนิยาม “โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัว ต่อสิ่งแวดล้อม” คํา “นิยาม” ดังกล่าวหมายถึงข้อใด
(1) บุคลิกภาพ
(2) วิถีชีวิต
(3) กลไกทางจิต
(4) การปรับตัว
(5) โครงสร้างทางจิต
ตอบ 1 หน้า 284 อัลพอร์ท (Allport) กล่าวว่า บุคลิกภาพ คือ โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระ ของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบจิตสรีระของมนุษย์นี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม จึงเป็นสาเหตุที่ทําให้บุคคลต้องปรับตัว และการปรับตัวที่ต่างกันของบุคคลแต่ละคนจะทําให้บุคลิกภาพต่างกันด้วย

84. บุคลิกภาพแบบจี้จี้เจ้าระเบียบ เกิดขึ้นจากการชะงักงันในพัฒนาการขั้นใด ตามแนวคิดของฟรอยด์
(1) ขั้นปาก
(2) ขั้นทวารหนัก
(3) ขั้นแอบแฝง
(4) ขั้นอวัยวะเพศ
(5) ขั้นมีเพศสัมพันธ์
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ

85. มโนธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และตัวตนในอุดมคติ เข้ากับนิยามของข้อใด
(1) Id
(2) Ego
(3) Superego
(4) Shadow
(5) Reinforcement
ตอบ 3 หน้า 287 – 288, (คําบรรยาย) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ของฟรอยด์ (Freud) ได้แบ่งโครงสร้างของบุคลิกภาพออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. อิด (Id) เป็นสัญชาตญาณของจิตใต้สํานึกที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด โดยเป็นพลังจิตที่ขาดการขัดเกลา ไม่รับรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม มีกระบวนการคิดที่ไม่สมเหตุสมผล ทํางานโดยยึดหลัก ความพึงพอใจหรือทําตามความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจกับความเป็นจริงภายนอกส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณในเรื่องเพศ ความก้าวร้าว และการทําลายล้าง
2. อีโก้ (Ego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทํางานโดยยึดหลักแห่งความเป็นจริง โดยร่วมกันไปกับ กระบวนคิดอย่างมีเหตุผล จะแสดงออกอย่างไรจึงเป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคม
3. ซูเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนของจิตใจที่ทําหน้าที่คล้ายกับมโนธรรมที่คอยตักเตือน ให้บุคคลมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

86. เมื่อซื้อลอตเตอรี่แล้วถูกรางวัล ทําให้บุคคลนั้น ๆ มีแนวโน้มจะซื้อล็อตเตอรี่อีกเป็นไปตามข้อใด
(1) กฎแห่งพฤติกรรม
(2) กฎแห่งการทําซ้ำ
(3) กฎแห่งจิตสํานึก
(4) กฎแห่งการฝึก
(5) กฎแห่งผล
ตอบ 5 หน้า 289 – 290 ธอร์นไดค์ (Thorndike) มีความเชื่อในเรื่อง “กฎแห่งผล” กล่าวคือ ถ้าทําพฤติกรรมใดแล้วมีผลดี พฤติกรรมนั้นจะปรากฏขึ้นอีก แต่ถ้าพฤติกรรมใดถูกลงโทษ พฤติกรรมนั้นก็จะหมดไป

87. ทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัย ประกอบไปด้วยปัจจัยใด
(1) A และ B factor
(2) P และ Q factor
(3) C และ K factor
(4) T และ M factor
(5) G และ S factor
ตอบ 5 หน้า 325 ชาร์ล สเปียร์แมน (Charles Spearman) เป็นผู้ที่คิดทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัย โดยอธิบายว่า สติปัญญาของคนเรานั้นจะมีองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
1. ตัวประกอบทั่วไป (General factor : G-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผล ทั่ว ๆ ไปของบุคคล และทุกคนมีเหมือนกันหมด
2. ตัวประกอบเฉพาะ (Specific factor : S-factor) เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถ เฉพาะตัวของบุคคล เช่น ความสามารถพิเศษด้านศิลปะและดนตรี ความสามารถในการจํา ความเข้าใจภาษา การคํานวณ การใช้มือ การสังเกต การออกแบบ (Design) ฯลฯ

88. จากนิยาม “โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของเอกัตบุคคลที่ทําให้เขามีเอกลักษณ์ในการปรับตัว ต่อสิ่งแวดล้อม” คําว่า “จิตสรีระ” หมายถึงข้อใด
(1) ระบบของการรู้คิด
(2) ระบบของสมอง
(3) ระบบของพฤติกรรม
(4) ระบบรักษาสมดุลของบุคลิกภาพ
(5) ระบบของร่างกายและจิตใจ
ตอบ 5 หน้า 284 ระบบจิตสรีระ คือ ระบบของจิตใจและร่างกาย เช่น อารมณ์ (Temperament) เป็นระบบของจิตใจที่มีพื้นฐานมาจากร่างกาย ไม่ใช่เป็นสิ่งเรียนรู้ เช่น เด็กบางคนงอแงและขี้อ้อน มาตั้งแต่แรกเกิด ในขณะที่เด็กบางคนเลี้ยงง่ายผิดพี่ผิดน้อง ซึ่งอัลพอร์ทเชื่อว่า ลักษณะอารมณ์ ดังกล่าวจะติดตัวเด็กไปจนโต และทําให้บุคคล 2 คนมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน

89. คําว่า สติปัญญา หมายความว่าอย่างไร
(1) ความสามารถในการคิด แก้ไขปัญหา
(2) ความสามารถในการยับยั้งชั่งใจ
(3) ความสามารถในการรับรู้สิ่งแวดล้อม
(4) ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น
(5) ความสามารถในการอดทนรอคอย
ตอบ 1 หน้า 319 สติปัญญา (Intelligence) เป็นความสามารถของแต่ละบุคคลในการที่จะคิด กระทํา หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

90. ตามเกณฑ์ความสามารถทางสติปัญญาของบิเนต์ หากทําคะแนนได้ 130 จะถือว่าอยู่ในระดับใด
(1) อัจฉริยะ
(2) ฉลาดมาก
(3) เกณฑ์ปกติ
(4) คาบเส้น
(5) ค่อนข้างฉลาด
ตอบ 2 หน้า 327 บิเนต์ (Binet) ได้จําแนกระดับสติปัญญา (IQ) ของบุคคลออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้ ปัญญาอ่อน (Retarded) มีระดับ IQ ต่ํากว่า 70, คาบเส้น (Borderline) มีระดับ IQ 71 – 80, ปัญญาทึบ (Dult) มีระดับ IQ 81 – 90, เกณฑ์ปกติ (Normal) มีระดับ IQ 91 – 110 ซึ่ง เป็นอัตราเฉลี่ย (Average), ค่อนข้างฉลาด (Superior) มีระดับ IQ 111 – 120, ฉลาดมาก (Very Superior) มีระดับ IQ 121 – 140 และอัจฉริยะ (Genius) มีระดับ IQ 140 ขึ้นไป

91. สัญชาตญาณของจิตไร้สํานึกที่แสวงหาความพึงพอใจ เข้ากับนิยามของข้อใด
(1) Ego
(2) Superego
(3) Id
(4) Psyche
(5) Persona
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 85. ประกอบ

92. ข้อใดเกี่ยวข้องกับแนวทางควบคุมอารมณ์ในการดําเนินชีวิตประจําวันน้อยที่สุด
(1) จัดการให้อารมณ์อยู่ในรูปของการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม
(2) เมื่อมีอารมณ์ไม่เหมาะสมเกิดขึ้น ให้วิเคราะห์ว่าทําไมเราถึงมีอารมณ์เช่นนั้น
(3) พยายามหาสาเหตุของความวิตกกังวล เพื่อนํามาใช้ในการแสดงออกที่เหมาะสม
(4) เมื่อมีอารมณ์ทางลบเกิดขึ้น ให้รีบปลดปล่อยอารมณ์ของตนเองให้เร็วที่สุด
(5) เมื่อเกิดอารมณ์ทางลบ พยายามคิดทบทวนว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงทําผิดพลาด
ตอบ 5 หน้า 276 มุกดา สุขสมาน ได้ให้แนวทางในการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติ ดังนี้
1.พยายามเข้าใจอารมณ์ต่าง ๆ หาความรู้และความจริงที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และหาสาเหตุ ของอารมณ์นั้น ๆ เพื่อจะได้หาทางขจัดอารมณ์เหล่านั้นออกไป
2. ต้องยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น และจําเป็นที่จะต้องควบคุมอารมณ์ไม่ให้มีอิทธิพลเหนือตัวเอง
3. กระตุ้นอารมณ์ให้เกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาใหญ่หรือเกิดเป็นปมด้อย
4. เลิกกังวลกับสิ่งที่ทําผิดพลาดมาแล้ว เน้นการอยู่กับปัจจุบันด้วยความเชื่อมั่น
5. ใช้ปฏิกิริยาโดยตรงต่อการควบคุมอารมณ์ ขจัดความขัดแย้งทันทีทันใด

93. การที่เด็กเกิดมาแล้วมีสติปัญญาในระดับใกล้เคียงกับบิดามารดา เป็นอิทธิพลจากสิ่งใด
(1) อิทธิพลของการรู้คิด
(2) อิทธิพลของพันธุกรรม
(3) อิทธิพลของสภาพจิตใจ
(4) อิทธิพลของครอบครัว
(5) อิทธิพลของบุคลิกภาพ
ตอบ 2 หน้า 129 – 130 พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของมนุษย์ได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมและ สิ่งแวดล้อม โดยมีพันธุกรรมเป็นตัวปูพื้นฐานของระดับสติปัญญา กล่าวคือ บุคคลจะมีระดับ สติปัญญาที่ใกล้เคียงกับบรรพบุรุษของตน และพันธุกรรมมีอิทธิพลอย่างมากต่อระดับสติปัญญาเพราะโครโมโซมที่เกี่ยวกับความคิดและสติปัญญาจะถูกถ่ายทอดไปสู่ลูกนั่นเอง

94. ข้อใดคือความหมายของความเชื่อถือได้ของแบบทดสอบ
(1) มีแบบแผนดําเนินการทดสอบ
(2) ให้ผลแบบเดิมไม่ว่าใครจะทดสอบ
(3) ให้ความคงที่ของคะแนน
(4) วัดได้ในสิ่งที่ต้องการวัด
(5) มีเกณฑ์ในการแปลความหมาย
ตอบ 3 หน้า 327 – 328 แบบทดสอบที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติที่สําคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. ความเป็นปรนัย (Objectivity) จะต้องให้ผลเหมือนเดิมไม่ว่าใครเป็นคนตรวจให้คะแนน
2. ความเชื่อถือได้ (Reliability) จะต้องให้ความคงที่ของคะแนนในการวัดแต่ละครั้ง
3. ความเที่ยงตรง (Validity) จะต้องวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัด (เป็นคุณสมบัติที่สําคัญที่สุด)
4. ความเป็นมาตรฐาน (Standardization) จะต้องมีแบบแผนในการดําเนินการทดสอบ

95. ตามทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัย ความสามารถเฉพาะบุคคลคือข้อใด
(1) ชีสชอบร้องเพลงในห้องน้ำคนเดียว
(2) เซนร้องเพลงได้ เค้าชอบไปร้องคาราโอเกะ
(3) เซฟมักร้องเพลงไป ทํากับข้าวไป
(4) เชียร์ร้องเพลงได้ดี จนประกวดได้รางวัลที่ 1 เสมอ
(5) เซลลี่เป็นตัวแทนร้องเพลงชาติ เพราะเป็นประธานนักเรียน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

96. การพัฒนาทางอารมณ์ของมนุษย์จะสมบูรณ์ช่วงอายุประมาณเท่าใด
(1) 12 เดือน
(2) 18 เดือน
(3) 20 เดือน
(4) 24 เดือน
(5) 28 เดือน
ตอบ 4 หน้า 271 เค.บริดเจส (K.Bridges) พบว่า พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กทารกมีลักษณะดังนี้ อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คืออารมณ์ตื่นเต้น แล้วจึงพัฒนาไปสู่อารมณ์ที่มีลักษณะเฉพาะมากขึ้น เมื่ออายุครบ 3 เดือน ก็จะแยกออกระหว่างอารมณ์ดีใจและเดือดร้อนใจ ต่อจากนั้นอารมณ์โกรธ เกลียดและกลัวก็จะปรากฏขึ้นภายหลังตามระดับวุฒิภาวะและการรับรู้ของเด็ก และเมื่ออายุ 2 ปี (24 เดือน) อารมณ์พื้นฐานก็จะพัฒนาจนครบสมบูรณ์ทั้ง 8 ชนิด

ข้อ 97 – 99 จงจับคู่ตัวเลือกด้านล่างนี้ให้ถูกต้อง
(1) การสัมภาษณ์
(2) การสังเกตโดยตรง
(3) การกําหนดสถานการณ์
(4) การฉายภาพจิต
(5) การใช้แบบสอบถาม

97. วิธีการใดที่ต้องระมัดระวังเรื่อง Halo Effect
ตอบ 1 หน้า 305 การสัมภาษณ์ เป็นการใช้คําถามเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ โดยผู้สัมภาษณ์สามารถ เห็นหน้าและสังเกตกิริยาท่าทางทั้งภาษากายและภาษาพูดของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อย่างชัดเจน แต่ผู้สัมภาษณ์จะต้องระมัดระวังในเรื่องอคติและ Halo Effect คือ แนวโน้มที่จะประเมินผู้อื่น สูงหรือต่ํากว่าความเป็นจริง

98. วิธีการใดมีความเป็นปรนัย และไม่มีอคติเข้ามาเกี่ยวข้อง
ตอบ 5 หน้า 307 การใช้แบบสอบถาม เป็นวิธีการศึกษาบุคลิกภาพที่เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากที่สุด เพราะทําได้ง่าย สะดวก และไม่ซับซ้อนเหมือนวิธีการอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีความเป็นปรนัย คือ ไม่มีอคติของผู้ตรวจเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด และเป็นวิธีที่เหมาะสําหรับการประเมินบุคลิกภาพ ในกรณีผู้รับการทดสอบมีจํานวนมาก

99. วิธีการใดเป็นวิธีการที่ใช้สิ่งเร้าที่คลุมเครือทําความเข้าใจจิตไร้สํานึก
ตอบ 4 หน้า 308 – 309, 315 แบบทดสอบการฉายภาพจิต เป็นการวัดบุคลิกภาพที่นักจิตวิทยามี ความประสงค์จะล่วงรู้ถึงความปรารถนาหรือจิตใต้สํานึกลึก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตของผู้ตอบ โดย ให้ผู้รับการทดสอบบรรยายความรู้สึกนึกคิดออกมาทางภาพที่ให้ดู ซึ่งภาพส่วนใหญ่จะมีลักษณะ คลุมเครือ มองได้หลายแง่มุม โดยแบ่งแบบทดสอบออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. แบบทดสอบรอ ชาค เป็นภาพหยดหมึก 10 ภาพ แล้วถามว่าเหมือนอะไร
2. แบบทดสอบ TAT” เป็นภาพเรื่องราว 20 ภาพ แล้วให้บรรยายหรือแต่งเรื่องจากภาพ

100. อาการเหนื่อยล้าไปต่อไม่ได้ที่เรียกว่า Burn-out มักเกิดขึ้นในขั้นตอนใดของปฏิกิริยาความเครียด
(1) ระยะตื่นตระหนก
(2) ระยะต้านทานภัย
(3) ระยะเหนื่อยล้า
(4) ระยะคับขัน
(5) ระยะพักผ่อน
ตอบ 3 หน้า 351 เซลเย (Setye) ได้ศึกษาพบว่า เมื่อบุคคลเกิดความเครียด ร่างกายจะมีปฏิกิริยา ต่อความเครียด 3 ขั้นตอน คือ
1. ปฏิกิริยาตื่นตระหนก
2. สร้างระบบต้านทานภัย
3. ระยะเหนื่อยล้า เป็นการปรับตัวของร่างกายเมื่อเกิดความเครียดระยะสุดท้าย ซึ่งในระยะนี้ หากความเครียดอยู่กับบุคคลนาน ๆ และไม่หมดสิ้นไป ก็อาจทําให้ร่างกายเกิดโรคขึ้นหลายชนิด เช่น โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ และถ้าเป็นนาน ๆ ร่างกายก็อาจจะไปถึง จุดที่เรียกว่า Burn-out คือ ไปต่อไม่ได้

101. ข้อใดคือสูตรในการคํานวณความสามารถทางสติปัญญา
(1) (CA / 100) + MA
(2) (MA / 100) + CA
(3) 100 / (CA + MA)
(4) (CA / MA) x 100
(5) (MA / CA) x 100
ตอบ 5 หน้า 326 ในการวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า IQ (Intelligence Quctient) ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง (Mental Age = MA) และ อายุจริงตามปฏิทิน (Chronological Age = CA) คูณ 100 ดังสมการ (MA / CA) × 100

102. ระบบประสาทใดที่ควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนเมื่อเกิดภาวะเครียด
(1) ระบบประสาทอัตโนมัติ
(2) ระบบประสาทนอนซิมพาเธติก
(3) ระบบประสาทโซมาติก
(4) ระบบประสาทนิวรอน
(5) ระบบประสาทส่วนกลาง
ตอบ 1 หน้า 349 – 350 เมื่อมนุษย์เผชิญกับความเครียด จะส่งผลให้ร่างกายเกิดการตอบสนอง ทางสรีรจิตวิทยา ในยามปกติเมื่อร่างกายปลอดจากความเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติ จะควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด เพื่อรักษาให้ระบบการทํางานต่าง ๆ มีความสมดุล แต่เมื่อร่างกายได้รับตัวกระตุ้นที่ทําให้เครียด ตัวกระตุ้นนี้จะมีผลต่อการทํางานของระบบ ประสาทอัตโนมัติ ทําให้ทําหน้าที่ผิดไปจากสภาวะปกติ เช่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว เหงื่อออก มีการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลิน ฯลฯ

103. ปรางเลือกอาหารเย็น เธอลังเลว่าจะเลือกอะไรดีระหว่างของชอบทั้งคู่ คือ ข้าวต้มและข้าวมันไก่
(1) อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflict)
(2) อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflict)
(3) อยากชนะทั้งคู่ (Overcome-Overcome Conflict)
(4) ทั้งรักทั้งชัง (Approach-Avoidance Conflict)
(5) ทั้งรักทั้งชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflict)
ตอบ 1 หน้า 361 – 364 ความขัดแย้งใจ (Conflict) มี 4 ประเภท คือ
1. อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “รักพี่เสียดายน้อง” คือ ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่ แต่หากเข้าใกล้ เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งแล้วจะทําให้อีกเป้าหมายหนึ่งลดความดึงดูดลงไปได้มาก
2. อยากหนีทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “หนีเสือปะจระเข้” คือ เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่ ก่อให้เกิดพฤติกรรม “นิ่งเฉย ไม่ตัดสินใจ” เนื่องจากไม่กล้าตัดสินใจและทําอะไรไม่ถูก
3. ทั้งรักและชัง (Approach Avoidance Conflicts) เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกัน จึงทําให้เกิดความลังเลใจ เช่น อยากจะเปิดดูซีรีส์ที่ชอบ แต่ก็กลัวท่องหนังสือไม่ทัน ฯลฯ
4. ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflicts) คือ ตัวเลือก ทั้ง 2 มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เช่น ต้องเลือกระหว่างงานใหม่ 2 แห่ง แห่งแรกนั้นถูกใจ หมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ํา แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง เราจะเลือกแห่งใด ฯลฯ

104. ภาวะที่ร่างกายและจิตใจเตรียมพร้อมรับมือต่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉินหรือสิ่งเร้าที่จู่โจมเข้ามา เป็นความหมายของสิ่งใด
(1) ความหวั่นไหว
(2) ความกดดัน
(3) ความพยายาม
(4) ความเครียด
(5) ความคับข้องใจ
ตอบ 4 ความเครียด เป็นสภาวะที่บุคคลเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นอันตราย ความเครียดมักมีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ เช่น มีโรคหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากความเครียด ดังนั้นการลดความเครียดจึงเป็นสิ่งจําเป็น ในชีวิตประจําวันของมนุษย์

105. ข้อใดไม่ใช่ระยะห่างระหว่างบุคคล
(1) ระยะสนิทสนม
(2) ระยะส่วนตัว
(3) ระยะใกล้ชิด
(4) ระยะสาธารณะ
(5) ระยะสังคม
ตอบ 3 หน้า 378 – 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล แบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ
1. ระยะสนิทสนม (Intimate Distance) 0 – 18 นิ้ว เป็นระยะใกล้ชิดที่มักใช้สื่อสารเฉพาะ กับคนพิเศษ เช่น ใช้ระหว่างคู่รัก คนในครอบครัว ฯลฯ
2. ระยะส่วนตัว (Personal Distance) 1 – 4 ฟุต เป็นระยะที่ใช้เมื่ออยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อน ครูนั่งสอนนักเรียน ฯลฯ มักเอื้อมมือถึงกันได้ และใช้ระดับเสียงพูดปกติ
3. ระยะสังคม (Social Distance) 4 – 12 ฟุต เป็นระยะที่ใช้พูดคุยกันทางสังคมและธุรกิจ
4. ระยะสาธารณะ (Public Distance) 12 ฟุตขึ้นไป เป็นระยะที่เป็นทางการมากขึ้น เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การฟังคําบรรยาย การหาเสียงเลือกตั้ง การแสดงคอนเสิร์ต ฯลฯ

106. นายเอเป็นหัวหน้างานได้ออกประกาศให้พนักงานมาร่วมทําบุญปีใหม่ของบริษัท หากใครมาจะได้รับโบนัสเพิ่มเติม เป็นการใช้อํานาจในข้อใด
(1) อํานาจตามกฎหมาย
(2) อํานาจในการให้รางวัล
(3) อํานาจตามความเชี่ยวชาญ
(4) อํานาจในการบังคับ
(5) อํานาจตามการอ้างอิง
ตอบ 2 หน้า 385 – 386 อํานาจ (Power) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสังคม อํานาจทางสังคมมี 5 ประเภท คือ 1. อํานาจในการให้รางวัล คือ การให้รางวัลแก่บุคคลที่แสดงพฤติกรรมตามที่ปรารถนาได้ 2. อํานาจในการบังคับ โดยใช้การจําคุกและการปรับสินไหมเป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรม 3. อํานาจตามกฎหมาย เกิดจากการยอมรับให้บุคคลเป็นตัวแทนของระเบียบทางสังคม 4. อํานาจตามการอ้างอิง เป็นอํานาจที่มาจากการที่บุคคลนั้นได้รับการเคารพนับถือ 5. อํานาจตามความเชี่ยวชาญ เป็นการยอมรับนับถือผู้ที่มีความสามารถและเชี่ยวชาญ

107. ข้อใดต่อไปนี้เป็นกระบวนการคิดก่อนที่บุคคลจะทําการช่วยเหลือผู้อื่น
(1) ผู้ที่ต้องการการช่วยเหลือนั้นไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
(2) ได้รับการตอบแทนเมื่อช่วยเหลือ
(3) เป็นเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่ให้การช่วยเหลือ
(4) บุคคลนั้นร้องขอให้ช่วยเหลือ
(5) เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ
ตอบ 1 หน้า 395 สาตาเน่และดาร์เลย์ กล่าวว่า ก่อนที่บุคคลจะลงมือให้ความช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ต้องผ่านกระบวนการคิด 4 ขั้นตอน คือ
1. ต้องสังเกตเห็นบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ต้องการการช่วยเหลือ
2. ต้องแปลความว่าเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน
3. ต้องคิดว่าเป็นสิ่งที่ตนควรรับผิดชอบ
4. ต้องรู้วิธีการช่วยเหลือที่เหมาะสม

108. ระยะเมื่ออยู่กับเพื่อน มักเอื้อมมือถึงกันได้ เป็นระยะห่างระหว่างบุคคลในข้อใด
(1) ระยะสนิทสนม
(2) ระยะส่วนตัว
(3) ระยะใกล้ชิด
(4) ระยะสาธารณะ
(5) ระยะสังคม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 105. ประกอบ

109. ทฤษฎีใดกล่าวว่าการปรับตัวคือการเรียนรู้
(1) กลุ่มสติปัญญา
(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์
(3) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(4) กลุ่มมนุษยนิยม
(5) กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด
ตอบ 3 หน้า 343 – 344 นักจิตวิทยาทั้งหลายมีทัศนะในเรื่องการปรับตัวต่างกัน ดังนี้
1. กลุ่มจิตวิเคราะห์ เชื่อว่า ผู้ที่ปรับตัวดีคือผู้ที่มีการพัฒนาอย่างสมดุลของอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้
2. กลุ่มพฤติกรรมนิยม เชื่อว่า การปรับตัวที่ดีขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ที่ดีของแต่ละบุคคล
3. กลุ่มมนุษยนิยม เชื่อว่า การปรับตัวที่ดีคือการพัฒนาตนเองไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตนเอง
4. กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด เชื่อว่า การปรับตัวที่ดีคือการที่บุคคลสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ อย่างมีความสุข

110. น.ส.สุดสวย ยกมือกอดอกเมื่อเพื่อนผู้ชายเดินเข้ามาใกล้ ๆ เป็นการแสดงออกในเรื่องระยะห่างระหว่างบุคคล
ในข้อใด
(1) รู้สึกว่ากําลังถูกรุกล้ำพื้นที่ของตนเอง
(2) น.ส.สุดสวยเกิดความรู้สึกประหม่า
(3) รู้สึกเขินอาย
(4) เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของบุคคล
(5) เป็นการส่งสัญญาณว่ากําลังให้ความสนใจ
ตอบ 1 หน้า 378 – 379 ระยะห่างระหว่างบุคคล หมายถึง อาณาเขตที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราซึ่งมองไม่เห็น มีผลโดยตรงต่อการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพราะอาณาเขตนี้เราจะอนุญาตให้คนบางคนเข้ามา ใกล้เราในบางระยะและไม่ให้เข้าใกล้ในบางระยะได้ หรือหากถูกรุกล้ํา อาจมีการปกป้องด้วย วิธีการต่าง ๆ เช่น กอดอก หันข้างให้ ถอยจากจุดเดิม หรือเดินออกไปจากตรงนั้นเลย ฯลฯ

111. เปรี้ยวลังเลใจว่าจะเปิดซีรีส์ที่ชอบดูดีหรือไม่ แต่ก็กลัวท่องหนังสือไม่ทัน
(1) อยากได้ทั้งคู่ (Approach-Approach Conflict)
(2) อยากหนี้ทั้งคู่ (Avoidance-Avoidance Conflict)
(3) อยากชนะทั้งคู่ (Overcome-Overcome Conflict)
(4) ทั้งรักทั้งซัง (Approach Avoidance Conflict)
(5) ทั้งรักทั้งชังในตัวเลือกทั้งคู่ (Double Approach-Avoidance Conflict)
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 103. ประกอบ

112. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “กลุ่ม”
(1) เป็นการรวมกันของคน 2 คนขึ้นไป และมีปฏิสัมพันธ์กัน
(2) ความสามัคคีในกลุ่มเป็นตัวชี้ให้เห็นระดับของอํานาจระหว่างกัน
(3) บรรทัดฐานของกลุ่มเป็นตัวกําหนดพฤติกรรมของคนในกลุ่ม
(4) กลุ่มทําให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
(5) กลุ่มมีอิทธิพลต่อความเชื่อ เจตคติ และพฤติกรรมของบุคคล
ตอบ 4 หน้า 377 – 378 กลุ่มประกอบด้วยคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ตามความหมาย
ของจิตวิทยา ประกอบด้วย
1. โครงสร้างของกลุ่ม หมายถึง การจัดระบบ บทบาท วิธีการสื่อสาร และอํานาจภายในกลุ่ม
2. ความสามัคคีในกลุ่ม จะเป็นตัวชี้ให้เห็นระดับของความดึงดูดใจระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม และเป็นพื้นฐานอํานาจต่าง ๆ ที่กลุ่มจะมีเหนือสมาชิก
3. ปทัสถานหรือบรรทัดฐานของกลุ่ม เป็นมาตรฐานของความประพฤติที่ชี้แนะหรือกําหนดพฤติกรรมของคนในกลุ่ม และมีอิทธิพลต่อเจตคติ/ความเชื่อและพฤติกรรมของบุคคล

113. ข้อใดคือความหมายของการปรับตัว
(1) ความพยายามรักษาสมดุลทางจิตใจ
(2) ความพยายามรักษาสมดุลทางการเรียนรู้
(3) ความพยายามรักษาสมดุลทางพฤติกรรม
(4) ความพยายามรักษาสมดุลทางความคิด
(5) ความพยายามรักษาสมดุลทางสิ่งแวดล้อม
ตอบ 1 หน้า 341 – 342, 313 การปรับตัว (Adjustment) เป็นกระบวนการที่บุคคลพยายามสร้าง ความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อลดความเครียด ความวิตกกังวล และ เพื่อให้มีพลังไปสู่จุดมุ่งหมายของชีวิตต่อไป

114. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน
(1) ความสามารถ
(2) ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย
(3) ความไม่แสแสร้ง
(4) ความคล้ายคลึงกัน
(5) ความใกล้ชิดทางกาย
ตอบ 3 หน้า 380 – 381 ปัจจัยที่ดึงดูดใจให้คนเป็นมิตรกัน มีดังนี้
1. ความใกล้ชิดทางกาย
2. ความมีเสน่ห์ดึงดูดทางกาย
3. ความสามารถ
4. ความคล้ายคลึงกัน

115. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปัจจัยในการเกลี้ยกล่อมให้บุคคลเปลี่ยนเจตคติได้
(1) ผู้รับสาร
(2) ช่องทางการสื่อสาร
(3) ข่าวสาร
(4) ผู้ส่งสาร
(5) ความรวดเร็วของการสื่อสาร
ตอบ 5 หน้า 390, (คําบรรยาย) การเกลี้ยกล่อมชักจูง (Persuasion) เป็นการพยายามเปลี่ยนเจตคติ โดยการให้ข้อมูล ซึ่งจะต้องพิจารณาหรือคํานึงถึงคุณสมบัติของผู้ส่งสาร (Communicator), ข่าวสาร (Message), ผู้รับสาร (Audience) และช่องทางการสื่อสาร (Channel)

116. ข้อใดเป็นสาเหตุของความเครียดด้านสิ่งแวดล้อมและมลพิษ
(1) อากาศ
(2) การสอบ
(3) เศรษฐกิจ
(4) รายได้
(5) นิสัยส่วนตัว
ตอบ 1 หน้า 347 – 348 สาเหตุของความเครียด มีดังนี้
1. สภาพแวดล้อมและมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศ น้ำ ดิน รวมทั้งเสียง
2. สภาพเศรษฐกิจตกต่ำ มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย
3. สิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น การแข่งขันกันในการทํางาน การเรียน รวมไปถึงการสอบ
4. การใช้ชีวิตประจําวัน เช่น ชอบดื่มชาและกาแฟ ซึ่งมีสารที่กระตุ้นการเต้นของหัวใจ
5. อุปนิสัยส่วนตัว เช่น ชอบคิดว่าตัวเองต่ําต้อย สู้คนอื่นไม่ได้ ทําให้เกิดความหดหู่ใจ

117. ทฤษฎีใดกล่าวว่าการปรับตัวคือการพัฒนาตนเองไปจนสุดศักยภาพ
(1) กลุ่มสติปัญญา
(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์
(3) กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด
(4) กลุ่มมนุษยนิยม
(5) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 109. ประกอบ

118. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่อาจเกิดอิทธิพลในสังคม
(1) นายเอทะเลาะกับนายบีเรื่องการการลงทุนร่วมกัน
(2) นายเอกล่อมนายปีให้ไปเที่ยวเพราะเพื่อนในกลุ่มไปทุกคน
(3) นายเอสั่งให้นายบีทํางานให้เสร็จทันเวลา
(4) นายเอส่งจดหมายชวนเชื่อให้นายปีทุกวัน
(5) นายเอชี้แจงให้นายบีเห็นข้อดีข้อเสียของการลงทุน
ตอบ 5 หน้า 383 สถานการณ์ที่อาจทําให้เกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น มี 5 สถานการณ์ คือ
1. สถานการณ์การเสนอแนะ เป็นสถานการณ์ที่มีการสื่อสารซ้ำ ๆ โดยปราศจากการอธิบาย
2. สถานการณ์การคล้อยตาม เป็นสถานการณ์ซึ่งมีการสื่อสารที่แตกต่างกันระหว่างบุคคลกับ พฤติกรรมของกลุ่ม ปทัสถานของกลุ่ม หรือค่านิยมของกลุ่ม
3. การอภิปรายกลุ่ม เป็นสถานการณ์ที่มีการโต้แย้งเกิดขึ้น
4. สารชักจูง เป็นสารหรือข้อความที่ได้มีการพิจารณาและขัดเกลาคําพูดมาเป็นอย่างดีแล้ว
5. การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น (การล้างสมอง) เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง 4 ลักษณะข้างต้นพร้อมกัน

119. ทฤษฎีใดกล่าวว่าการปรับตัวคือการแสดงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ
(1) กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด
(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์
(3) กลุ่มสติปัญญา
(4) กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(5) กลุ่มมนุษยนิยม
ตอบ 1 หน้า 344 กลุ่มนักทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด (Existentialist) มองว่า มนุษย์มีเสรีภาพอย่างเต็มที่ ดังนั้น มนุษย์จึงต้องรับผิดชอบในการกระทําทุกอย่างของตนเอง ไม่ควรโทษผู้อื่น และเชื่อว่า ใครก็ตามที่ก้าวพ้นออกมาจากความกลัวต่าง ๆ และสามารถแสดงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ในชีวิตของเขาเอง รับผิดชอบต่อชีวิตที่เขาเป็นผู้เลือก ยืนหยัดอยู่กับความเชื่อและเผชิญกับ ความเป็นจริงแห่งชีวิตได้ เขาเหล่านี้จะพบความหมายที่แท้จริงของชีวิตและเป็นผู้ที่ปรับตัวได้

120. ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนเจคติของบุคคล
(1) สมาชิกภายในกลุ่ม
(2) การอบรมเลี้ยงดู
(3) ประสบการณ์
(4) สื่อมวลชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 389 สาเหตุของการเกิดเจตคติ ได้แก่ การมีประสบการณ์ตรง การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ที่มีเจตคติเหมือนกัน การอบรมเลี้ยงดู อิทธิพลของสมาชิกกลุ่ม และสื่อมวลชน

WordPress Ads
error: Content is protected !!