การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. “คือการตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ และใครเป็นคนทำ” ข้อความดังกล่าว คือความหมายของอะไร
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Leading
(4) Controlling
(5) Staffing
ตอบ 1 (คำบรรยาย) Koontz and O’Donnell กล่าวว่า การวางแผน (Planning) คือ การตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ และใครเป็นคนทำ
2. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการวางแผน
(1) ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(2) ต้องเป็นความลับ
(3) ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต
(4) ต้องมีสายการบังคับบัญชา
(5) ต้องมีช่วงการควบคุมไม่กว้างเกินไป
ตอบ 3 หน้า 219 การวางแผนมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต (Involve The Future)
2. ต้องเกี่ยวข้องกับการที่จะมีการดำเนินการใด ๆ เฉพาะ (Involve The Action)
3. ต้องมีผลต่อบุคคลหรือองค์การหรือต่อสังคม (Personal or Organizational Causation)
ตั้งแต่ข้อ 3. – 8. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Strengths
(2) Weaknesses
(3) Opportunities
(4) Threats
(5) Problems
3. “เป็นการพิจารณาสภาพทางสังคมที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำเนินงานขององค์การ” ข้อความดังกล่าวเป็นการพิจารณาในประเด็นใด
ตอบ 4 หน้า 220, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นั้น จะประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่
– S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจำนวนมาก การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน การมีวัฒนธรรมที่ดีภายในองค์การ การมีการวางแผนในระดับหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การมีประสบการณ์ในการดำเนินงาน การมีสถานที่รองรับการจัดกิจกรรม เป็นต้น
– W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากรขาดความรู้ความสามารถ บุคลากรมีจำนวนน้อยไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่การงาน งบประมาณมีไม่เพียงพอ มีการจัดทำแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนับสนุนให้มีการทำงานเป็นทีม เป็นต้น
2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่
– O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้สำนักงานนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานสากลจากหน่วยงานภายนอกส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาวะทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มทรงตัวและหนี้สินในครัวเรือนสูงทำให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นทางเลือกที่ดี เป็นต้น
– T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การที่คู่แข่งขันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ลูกค้าขาดความรู้และทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ต รัฐบาลไม่สนับสนุนเงินลงทุน เป็นต้น
4. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร “รางวัลที่ได้รับจากกระทรวงการคลัง หน่วยงานภายนอกและการรับรองมาตรฐานสากลจากภายนอก ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
5. จังหวัดเชียงใหม่ “มีสถานที่ที่รองรับการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
6. มหาวิทยาลัยรามคำแหง “ภาวะทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มทรงตัว หนี้สินในครัวเรือนสูง มหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงเป็นทางเลือกที่ดี” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
7. เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ “บุคลากรไม่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ด้านภารกิจต่าง ๆ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
8. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา “วัฒนธรรมการเรียนรู้ในโรงเรียนมีระบบการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระทางความคิด กล้าแสดงออก” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ
9. “ในการกำหนดเป้าประสงค์นั้นควรยึดหลัก SMART” ตัวอักษร “R” หมายถึง
(1) เฉพาะเจาะจง
(2) สามารถวัดผลได้
(3) สะท้อนความเป็นจริง
(4) มีความเหมาะสม
(5) มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
ตอบ 3 (คำบรรยาย) ในการกำหนดเป้าประสงค์ (Goals/Objectives) นั้น ควรยึดหลัก SMART ซึ่งหลัก SMART ประกอบด้วย
1. S = Specific คือ เฉพาะเจาะจง 2. M = Measurable คือ สามารถวัดผลได้
3. A = Appropriate คือ มีความเหมาะสม 4. R = Realistic คือ สะท้อนความเป็นจริง
5. T = Time Bound คือ มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
10. “การตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อยกเว้นโดยให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว” ข้อความดังกล่าวคือ นิยามของสิ่งใด
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Decision Making
(4) Controlling
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 228 การตัดสินใจ (Decision Making) หมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไปในอันที่จะก่อให้มีการกระทำในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึงการตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อยกเว้นโดยให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว
11. ข้อใดหมายถึงการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 229 – 230, (คำบรรยาย) การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบให้กลายเป็นสินค้าและบริการตามเป้าหมายขององค์การ การตัดสินใจในระดับนี้เป็นไปในช่วงระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิคประกอบการตัดสินใจ เช่น อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดำเนินงานโดยจัดให้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า (Programmed Decision) และเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบปิด ดังนั้นการตัดสินใจในระดับนี้จึงเหมาะกับงานในโรงงานอุตสาหกรรม หัวหน้างาน (Supervisor) หัวหน้าคนงาน (Foreman) เป็นต้น
12 หากเปรียบเทียบการตัดสินใจกับการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ลักษณะของการปฏิบัติงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีลักษณะการตัดสินใจในระดับใด
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ
13 การตัดสินใจในระดับใดที่มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างมาก
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกำหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การหรือระดับของการกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าองค์การจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด มีการรับเอาอิทธิพลและทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือกรับเอาสิ่งใดและต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจจึงไม่สามารถจัดทำไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable) ต้องใช้วิจารณญาณและความคิดเห็นของผู้ทำการตัดสินใจ (Judgmental)
14 ข้อใดเป็นมุมมอง (Viewpoint) ต่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ
(1) Smiling
(2) Stressing
(3) Meaning
(4) Optimizing
(5) Satisficing
ตอบ 4 หน้า 230, (คำบรรยาย) มุมมอง (Viewpoint) ต่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ขององค์การ มีดังนี้
1 การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจโดยการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Optimizing)
2 การตัดสินใจในระดับการกำหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับของการกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategic Level) เน้นความพอใจ (Satisficing) จากการตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้น
3 การตัดสินใจระดับประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่อยู่ระหว่างการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Optimizing) และความพึงพอใจ (Satisficing)
15 ข้อใดเป็นเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจ (Decision Making Techniques) ในระดับกำหนดนโยบาย
(1) Judgmental
(2) Computational
(3) Elite
(4) Validity
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ
16 “พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ xxx โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา” จากข้อความดังกล่าว “xxx” หมายถึงสิ่งใด
(1) IT
(2) Data
(3) Information
(4) MIS
(5) Technology
ตอบ 3 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ ข่าวสารข้อมูล (Information) โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา
17 ข้อใดเป็นตัวเชื่อมโยงที่จะทำให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล
(1) ข้อมูล
(2) สารสนเทศ
(3) ความขัดแย้ง
(4) สารนิเทศ
(5) การสื่อความเข้าใจ
ตอบ 5 หน้า 243 การสื่อข้อความหรือการสื่อความเข้าใจ (Communication) เป็นตัวเชื่อมโยงที่จะทำให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล โดยอาจเป็นไปในรูปของคำพูด จดหมาย หรือวิธีการอื่นใดซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของผู้รับคนอื่นได้
18 การที่ปัจเจกบุคคลเกิดภาวะ Information Overload นั้นเกิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างไร
(1) ข้อมูลข่าวสารเล็ก ๆ น้อย ๆ
(2) ข้อมูลข่าวสารคลุมเครือ
(3) ขาดข้อมูลข่าวสาร
(4) ข้อมูลข่าวสารมากเกินไป
(5) ข้อมูลข่าวสารรวมศูนย์มาจาก ก.
ตอบ 4 หน้า 244, (คำบรรยาย) นักจิตวิทยาบางคนเสนอว่า ความเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลมาจากการที่ปัจเจกบุคคลได้รับข้อมูลข่าวสารจากภายนอกจำนวนมากเกินไป หรือเรียกว่า Information Overload ดังนั้นถ้าบุคคลสามารถจะสร้างความสมดุลระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมอื่นได้ บุคคลนั้น ๆ จะมีสุขภาพดี สามารถที่จะเข้ากันได้กับเงื่อนไขภายนอกและมีบทบาทที่เป็นปกติในสังคม
19 นักวิชาการคนใดให้เห็นพื้นฐานของการสื่อความเข้าใจว่า “เมื่อตัวอักษรใดไม่สามารถสื่อใจความที่ไม่ดีของผู้ส่งข่าวสาร คุณสมบัติของภาษาจะถูกเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับสิ่งที่มันสื่ออยู่ในกระบวนการสื่อข้อความ อาจจะโดยการละเลยเนื้อหาที่สำคัญ หรือโดยการเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือออกไป”
(1) Guetzkow
(2) Weber
(3) Wilson
(4) Fayol
(5) Simon
ตอบ 1 หน้า 246 Guetzkow ได้ให้เห็นพื้นฐานของการสื่อความเข้าใจว่า “เมื่อตัวอักษรใดไม่สามารถสื่อใจความที่ไม่ดีของผู้ส่งข่าวสาร คุณสมบัติของภาษาจะถูกเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับสิ่งที่มันสื่ออยู่ในกระบวนการสื่อข้อความ อาจจะโดยการละเลยเนื้อหาที่สำคัญ หรือโดยการเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือออกไป”
20 ข้อใดเป็นตัวอย่างของกลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis)
(1) องค์การได้รับคำชมจากลูกค้า
(2) องค์การกำหนดโปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า
(3) องค์การมีการควบคุมให้ปัจจัยต่าง ๆ ได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
(4) องค์การได้รับการตอบสนองข้อมูลต่างทางจากลูกค้า
(5) องค์การได้รับการตอบสนองข้อมูลทางลบจากลูกค้า
ตอบ 2 หน้า 259 กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis) เป็นกลไกที่ปรากฏอยู่ในระบบของสิ่งมีชีวิตต้องการที่จะรักษาสภาพของตนเองให้อยู่รอดอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อร่างกายของมนุษย์ได้รับความร้อนเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในร่างกายจะมีการปรับตัวให้อยู่ในสภาพปกติโดยอัตโนมัติซึ่งมีอุณหภูมิคงที่ในเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อม ซึ่งในองค์การเองก็มีลักษณะของ Homeostasis เช่นกัน เช่น การควบคุมคุณภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง องค์การมีการกำหนดโปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า (Programmed Control) ผู้ควบคุมไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการควบคุม การดำเนินงานขององค์การจะเป็นไปตามโปรแกรมที่วางเอาไว้
21 ข้อใดไม่ใช่ของการพิจารณาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การเชิงคุณภาพ
(1) ความรู้
(2) ความชำนาญ
(3) การกระจายในหน่วยงานต่าง ๆ
(4) การจูงใจ
(5) ความถนัด
ตอบ 3 หน้า 269 การพิจารณาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การเชิงปริมาณ คือ การพิจารณาจำนวนและการกระจายของพนักงานในหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนในเชิงคุณภาพ คือ การพิจารณาความรู้ ความถนัด ความสามารถ และแรงจูงใจของทรัพยากรมนุษย์
22 ข้อใดเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
(1) Needs
(2) Motivation
(3) Leader
(4) Follower
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 271 เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ มี 3 ประการ คือ
1 ความต้องการ (Needs) เกิดจากความขาดแคลนในบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์
2 แรงขับ (Drives) หมายถึง ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์
3 สิ่งล่อใจ (Incentives) หมายถึง สิ่งของหรือเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทำการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์
23 บุคคลใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักจิตวิทยาอเมริกัน
(1) Max Weber
(2) Frederick Taylor
(3) Henri Fayol
(4) William James
(5) Frederick Herzberg
ตอบ 4 หน้า 272 William James เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาของนักจิตวิทยาอเมริกัน” ได้สนใจศึกษาและให้ความสำคัญกับเรื่ององค์ประกอบของการจูงใจที่เป็นสัญชาตญาณ (Instinct) และการจูงใจจากจิตไร้สำนึก (Unconscious Motivation)
24 ทฤษฎีการลดแรงขับ (Drive-Reduction Theory) เกี่ยวข้องกับนักวิชาการคนใด
(1) William James
(2) Frederick Taylor
(3) Frederick Herzberg
(4) Herbert Simon
(5) Clark Hull
ตอบ 5 หน้า 272, (คำบรรยาย) รากฐานของแนวความคิดในการศึกษาเรื่องแรงจูงใจ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Clark Hull เกี่ยวกับทฤษฎีการลดแรงขับ (Drive-Reduction Theory) และพัฒนามาเป็นทฤษฎีการจูงใจจากความคาดหวัง (Expectancy Theory Motivation) ของ Victor H. Vroom ในสมัยต่อมา
25 ทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom ได้อธิบายแรงจูงใจในรูปสมการ “Motivation = E x I x V” จากสมการดังกล่าว “V” หมายถึงอะไร
(1) แรงจูงใจ
(2) ความคาดหวัง
(3) ความเป็นเครื่องมือ
(4) คุณค่าของรางวัล
(5) แรงขับ
ตอบ 4 (คำบรรยาย) “Motivation = E x I x V” เป็นคำอธิบายของทฤษฎีความคาดหวัง (Expectation Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom โดย
E (Expectation) = ความคาดหวัง คือ การเชื่อว่าความพยายามจะนำไปสู่ผลงาน
I (Instrumentality) = ความเป็นเครื่องมือ คือ การเชื่อว่าผลงานจะนำไปสู่การได้รับรางวัล
V (Valance) = คุณค่าของรางวัล คือ รางวัลนั้นมีคุณค่ากับเรา
26 “1. การเสริมแรงทางบวก 2. การเสริมแรงทางลบ 3. การลงโทษ 4. การยกเลิก/การดับสูญ” ข้อความดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด
(1) Expectation Theory
(2) Equity Theory
(3) Law of Effect Theory
(4) Reinforcement Theory
(5) Hierarchy of Needs Theory
ตอบ 4 (คำบรรยาย) B. F. Skinner ได้เสนอทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ซึ่งมี 4 ประการ คือ 1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) 2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) 3. การลงโทษ (Punishment) 4. การยกเลิก/การดับสูญ (Extinction)
27 หากเชื่อตามทฤษฎี Equity Theory ของ J. Stacy Adams แล้ว หากผลของการเปรียบเทียบปัจเจกบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงบวก ตัวเลือกใดเป็นการแสดงพฤติกรรมที่เป็นไปได้ตามทฤษฎีดังกล่าว
(1) เพิ่มความพยายามในการทำงาน
(2) คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตน
(3) ไปพบเจ้านายเพื่อขอเพิ่ม Outcomes
(4) ลาออกจากงาน
(5) หยุดงานบ่อยขึ้น
ตอบ 1 (คำบรรยาย) ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory) ของ J. Stacy Adams อธิบายว่า บุคคลจะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมหรือไม่ ดังนั้นในการทำงานบุคคลจึงเปรียบเทียบตนเองกับพนักงานคนอื่นที่ทำงานประเภทเดียวกันโดยพิจารณาจากปัจจัยนำเข้า (Input) อันได้แก่ ความรู้ความสามารถ ความพยายาม ประสบการณ์ เป็นต้น กับผลลัพธ์ (Outcomes) ที่ได้รับ อันได้แก่ ค่าจ้าง ค่าตอบแทน การยกย่องชมเชย การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น หากเปรียบเทียบแล้วบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค ไม่เป็นธรรมในเชิงบวกก็จะปรับพฤติกรรม เช่น เพิ่มความพยายามในการทำงานไปจนกว่าจะรู้สึกถึงความเสมอภาค Outcomes เป็นต้น แต่หากบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงลบก็จะปรับพฤติกรรม เช่น ลดความพยายามในการทำงาน ไปจนกว่าจะรู้สึกเป็นธรรม หรือขอเพิ่ม Outcomes คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตน หยุกงานบ่อยขึ้น ลาออกจากงาน เป็นต้น
28 นางสาวทับทิมต้องการศึกษาว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง นางสาวทับทิมควรใช้แนวคิดการศึกษาภาวะผู้นำกลุ่มใด
(1) Trait Theories
(2) Behavioral Theories
(3) Contingency Theories
(4) Transformational Leader
(5) Reinforcement Theories
ตอบ 1 หน้า 287 – 288 ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ (Trait Theories) คือ ทฤษฎีที่ศึกษาคุณลักษณะและคุณสมบัติของผู้นำ ซึ่งการศึกษาทฤษฎีดังกล่าวจะทำให้เราทราบประเภทของผู้นำที่ประสบความสำเร็จว่ามีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง ทั้งนี้หากผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมีคุณลักษณะเหมือนผู้นำที่ประสบความสำเร็จก็อาจจะทำให้ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ซึ่งผู้นำที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่ทั้งสองประเภทมักมีลักษณะเด่นที่เป็นปัจจัยให้เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ โดยนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ T. Carlyle, R.M. Stogdill, Edwin Ghiselli และ Keith Davis
29 ข้อใดเป็นลักษณะผู้นำแบบ Autocratic Leadership
(1) ตัดสินใจด้วยตนเองไม่รับฟังความคิดเห็น
(2) รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย
(3) มอบหมายงานให้ลูกน้อง
(4) บริหารงานโดยไม่เน้นงาน
(5) ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำของตนเองตามความพร้อมของผู้ตาม
ตอบ 1 หน้า 287, 289 การศึกษาค้นคว้าเรื่องภาวะผู้นำที่มหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa Studies) โดย Ronald Lippitt และ Ralph White ที่ใช้วิธีการแบบ Experimental Approach และควบคุมโดย Kurt Lewin ในปี ค.ศ. 1940 เป็นการศึกษาของกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ (Leadership Behavior) หรือทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories) ซึ่งผลจากการศึกษาได้ค้นพบแนวทางการแสดงออกของผู้นำ 3 แบบ คือ
1 ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) คือ ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับตนเองมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นผู้นำในลักษณะนี้จึงตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจด้วย
2 ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) คือ ผู้นำที่ไว้วางใจลูกน้อง เปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ บริหารแบบมีส่วนร่วม
3 ผู้นำแบบปล่อยเสรี (Laissez-Faire Leadership) คือ ผู้นำที่ปล่อยให้ลูกน้องปฏิบัติงานตามสบายด้วยวิถีทางของเขาเอง ผู้นำจะดูแลห่าง ๆ ไม่ค่อยควบคุมดูแลแนะนำตัดสินใจซึ่งผู้นำในลักษณะนี้บางทีอาจเรียกว่า ผู้นำแบบจอมปลอม (Pseudo-Leaders)
30 บุคคลใดมีสไตล์การบริหารงานที่สอดคล้องกับแนวคิดแบบ Contingency Theories
(1) ใหม่เป็นเจ้านายที่ดีที่สุดที่เคยมีมา
(2) แดงเป็นเจ้านายที่บริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ
(3) ทองเป็นเจ้านายที่บริหารงานแบบกระจายอำนาจ
(4) ทองเป็นเจ้านายที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกน้องมีความสุขในการทำงาน
(5) เล็กบริหารงานแบบมอบหมายงานเรื่องจากลูกน้องมีความพร้อมในการทำงานสูง
ตอบ 5 หน้า 287, (คำบรรยาย) สไตล์การบริหารของนายเล็กนั้นสอดคล้องกับทฤษฎีภาวะผู้นำทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) โดยเฉพาะแนวความคิดของ Hersey & Blanchard ซึ่งมองว่า ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นำแบบใดดีที่สุด การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพหรือประสบความสำเร็จนั้นต้องมีแบบของพฤติกรรมผู้นำที่สอดคล้องกับความพร้อมของผู้ตาม (ลูกน้อง) ใน 2 ด้าน คือ ความสามารถ (Ability) และความเต็มใจในการทำงาน (Willing) ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวสามารถจำแนกได้
1 ผู้ตามไม่มีความสามารถและไม่เต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบสั่งการ (Telling)
2 ผู้ตามไม่มีความสามารถแต่มีความเต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบขายความคิด (Selling)
3 ผู้ตามมีความสามารถ แต่ไม่เต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participating)
4 ผู้ตามมีความสามารถและมีความเต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบมอบหมายงาน (Delegating)
31 ทฤษฎีภาวะผู้นำของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Situational Theories)
(1) Rensis Likert
(2) Kert Lewin
(3) Blake & Mouton
(4) Hersey & Blanchard
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 294, (คำบรรยาย) ทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) คือ ทฤษฎีที่ศึกษาภาวะผู้นำโดยมองความสำคัญของสถานการณ์เป็นหลัก ทฤษฎีนี้เชื่อว่า สถานการณ์เป็นตัวกำหนดว่าผู้นำแบบใดจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ R.M. Stogdill, B.M. Bass, A.C. Pilley, R.J. House, Fred E. Fiedler และ Hersey & Blanchard
32 จากข้อ 31. ทฤษฎีของนักวิชาการคนดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับนักวิชาการคนใด
(1) Aristotle
(2) Max Weber
(3) Fred E. Fiedler
(4) Herbert Simon
(5) Bartal & Martin
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
33 ข้อใดเป็นปัจจัยที่ Fiedler นำมาใช้ในการพิจารณาว่าผู้นำมุ่งเน้นงานหรือมุ่งเน้นความสัมพันธ์
(1) รายได้
(2) อำนาจในตำแหน่ง
(3) ความขัดแย้ง
(4) ความต้องการของผู้ตาม
(5) การรวมหรือกระจายอำนาจ
ตอบ 2 หน้า 295, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ Fred E. Fiedler นำมาใช้ในการพิจารณาว่าผู้นำควรจะมุ่งเน้นงานหรือมุ่งเน้นความสัมพันธ์ มี 3 ประการ คือ
1 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและสมาชิก (Leader-Member Relationship)
2 โครงสร้างของงาน (Task Structure)
3 อำนาจในตำแหน่งของผู้นำ (Position Power)
34 การที่บุคคลทุกคนภายในองค์กรจะต้องรับคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) กฎและระเบียบ
(2) เอกภาพในการบังคับบัญชา
(3) การแบ่งแยกหน้าที่กันทำ
(4) การรวมอำนาจที่เหมาะสม
(5) เอกภาพขององค์การ
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, 58, 186 – 187 หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานในองค์การเดียวและจะต้องรับคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือต่อนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารที่ต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานโดยตรงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ำซ้อนหรือเกิดความยุ่งยากในการทำงาน ตลอดจนสามารถลดความรับผิดชอบส่วนข้อเสีย คือ ทำให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ
35 “การกระจายอำนาจ” คือ
(1) Span of Control
(2) Chain of Command
(3) Division of Work
(4) Centralization
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 168 – 169 การกระจายอำนาจ (Decentralization) หมายถึง ถึงความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ขององค์การโดยให้การตัดสินใจกระทำโดยผู้บริหารระดับต่ำมากขึ้น หรือให้ผู้บริหารระดับรอง ๆ ในองค์การได้มีโอกาสในการตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความสำคัญต่อบทบาทของผู้บริหารระดับรอง ๆ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา
36 Chain of Command คือ
(1) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน
(2) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีหน่วยงานที่ต้องกำกับดูแลกี่หน่วยงาน
(3) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า องค์การแห่งหนึ่งมีองค์การอื่นที่อยู่ในบังคับบัญชาระดับ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 139, (คำบรรยาย) สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลำดับชั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การ เพื่อแสดงให้ทราบว่าในองค์การของการติดต่อสื่อข้อความจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การนั้นจะดำเนินไปอย่างเป็นทางการอย่างไร มีการควบคุมและการรับผิดชอบอย่างไร และมีการบังคับบัญชาระดับ
37 Span of Control คือ
(1) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน
(2) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีหน่วยงานที่ต้องกำกับดูแลกี่หน่วยงาน
(3) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า องค์การแห่งหนึ่งมีองค์การอื่นที่อยู่ในบังคับบัญชาระดับ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงของการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่าผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกำกับดูแลหรือการบังคับบัญชาเพียงใด ทั้งนี้เพื่อการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบกี่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทำให้การกำกับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
38. Centralization หมายถึง
(1) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนในองค์การต้องมีเจ้านายเพียงคนเดียว
(2) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่สนับสนุนกันและกัน
(3) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้บริหารสูงสุดเท่านั้นเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 168 การรวมอำนาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอำนาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทำจากระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอำนาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้วจะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจได้
ตั้งแต่ข้อ 39. – 43. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Division of Work
(2) Departmentation
(3) Line Agency
(4) Staff Agency
(5) Auxiliary Agency
39. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คำบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงานภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและหน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองอำนวยการนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หน่วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. หน่วยงานธุรการ (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น
40. หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ
41. หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ
42. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน
43. การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 189 การแบ่งงานกันทำหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้ ซึ่งการแบ่งงานกันทำนี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการทำงานซ้ำซ้อนหรือการเหลื่อมล้ำในการทำงานในหน้าที่
ตั้งแต่ข้อ 44. – 48. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Span of Control
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Specialization
44. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน
45. การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง
46. การแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถ เรียกว่าอะไร
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ
47. จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ
48. พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติงาน เรียกว่าอะไร
ตอบ 3 หน้า 150 ความรับผิดชอบ (Responsibility) มองในแง่ของการบริหารงาน หมายถึง พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาในการปฏิบัติงาน โดยความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเท่านั้น จะไม่เกิดขึ้นกับสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องจักร หรือสัตว์ ทั้งนี้ความรับผิดชอบอาจมีลักษณะของพันธะที่ต่อเนื่อง หรือสิ้นสุดลงเป็นครั้งคราวไปหลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นลงแล้วก็ได้
ตั้งแต่ข้อ 49. – 53. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Chain of Command
(2) Delegation of Authority
(3) Power to Command
(4) Limits of Authority
(5) Decentralization of Authority
49. Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 36. และ 45. ประกอบ
50. การให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 146 อำนาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อำนาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อำนาจหน้าที่นี้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของบังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตำแหน่งที่เป็นทางการ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นผลบังคับได้ก็ต่อเมื่อมีขอบข่ายในขอบเขตของตำแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อำนาจหน้าที่ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่าอำนาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น
51. การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 153 – 154 การมอบหมายอำนาจหน้าที่ (Delegation of Authority) หมายถึง การกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่โดยผู้บังคับบัญชาที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือหมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในทางปฏิบัติผู้บังคับบัญชามักจะมอบหมายอำนาจหน้าที่แก่หัวหน้างานระดับรองลงไป การมอบอำนาจหน้าที่นี้อาจจะมอบแก่บุคคลคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
52. ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 หน้า 169 การกระจายอำนาจ (Decentralization of Authority) หมายถึง ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นอำนาจหน้าที่บางอย่างซึ่งจำเป็นจะต้องสงวนไว้ที่ส่วนกลาง
53. ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการอาจหาายไปเมื่อได้สั่งการให้ปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมาจากพฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 149 – 150 ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชา มักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการให้ปฏิบัติจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดของอำนาจหน้าที่ (Limits of Authority) ในด้านต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมีศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมายนโยบาย ความด้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น
54. หน่วยงานใดเป็น Line Agency
(1) หน่วยนโยบายและแผน
(2) หน่วยการเงินและพัสดุ
(3) หน่วยการเจ้าหน้าที่
(4) หน่วยงบประมาณ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ
55. ข้อใดเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา
(1) Responsibility
(2) Line Agency
(3) Delegation of Authority
(4) Formal Authority
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ
56. การกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่โดยตัวผู้บังคับบัญชาที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เรียกว่า
(1) Responsibility
(2) Line Agency
(3) Delegation of Authority
(4) Formal Authority
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ
57. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี
(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป
(2) แต่ละสายต้องชัดเจน
(3) การดำเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จำนวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้พอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอำนาจในการสั่งงาน ผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน
58. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตการมอบหมายอำนาจหน้าที่
(1) บรรยากาศองค์การ
(2) จำนวนชั้นของสายการบังคับบัญชา
(3) ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
(4) ตัวผู้บริหาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 157 – 159 การกำหนดขอบเขตของการมอบหมายอำนาจหน้าที่ พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. บรรยากาศขององค์การ
2. ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
3. ตัวผู้บริหารที่จะมอบหมายอำนาจหน้าที่
4. ความเต็มใจที่จะมอบหมายความไว้วางใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความเต็มใจในการที่จะกำหนดให้มีการควบคุมอย่างกว้าง
ตั้งแต่ข้อ 59. – 63. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) Responsibility
59. Chester I. Barnard เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 148 Chester I. Barnard ได้ให้ความหมายของอำนาจตามทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) โดยกล่าวว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะยอมรับอำนาจของผู้บังคับบัญชาเหนือตนก็ต่อเมื่อเขาสามารถเข้าใจในคำสั่งและเชื่อว่าการใช้อำนาจนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ การใช้อำนาจดังกล่าวไม่ขัดกับผลประโยชน์ของตน และคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่เขาสามารถนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งทั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาจะพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้เสียก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังหรือไม่
60. ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 147 ทฤษฎีว่าด้วย “อำนาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้นั้นเพราะผู้บังคับบัญชามีอำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อำนาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตำแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Formal Position) แต่อำนาจหน้าที่นี้ก็มิใช่มีอำนาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีขอบเขตใด ๆ เพราะการใช้อำนาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นอำนาจอำนาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนำไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป
61. อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงในการบริหารนั้นจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับในผู้บังคับบัญชามิใช่สิทธิหรืออำนาจเหนือตน และอำนาจหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำ หรือเจรจาโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการหรือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ โดยมีเหตุผลที่กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon
62. ผู้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียง มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการยอมรับนับถือ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 149 ทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่า อำนาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือได้ เช่น ผู้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียง มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น ดังนั้นอำนาจหน้าที่นี้จึงเป็นอำนาจหน้าที่ที่ได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มาจากตำแหน่งที่เป็นทางการ แต่สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งมิได้มีอำนาจมาโดยปริยาย
63. พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาให้ปฏิบัติงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ
64. ทุกข้อเป็นปัจจัยที่กำหนดขอบเขตของการกระจายอำนาจ ยกเว้น
(1) ความต้องการเป็นแบบเดียวกับด้านนโยบาย
(2) ปรัชญาการบริหาร
(3) เทคนิคในการควบคุม
(4) ประวัติความเป็นมา
(5) งบประมาณ
ตอบ 5 หน้า 170 – 174, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดขอบเขตของการกระจายอำนาจ และการรวมอำนาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสำคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
5. ปรัชญาของการบริหาร
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดำเนินงาน
7. จำนวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ
8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานมีการแบ่งแยกงานไปตามสถานที่ต่างที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ
65. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการรวมอำนาจ
(1) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
(2) ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
(3) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง
(4) เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร
(5) เป็นประโยชน์ของการรวมอำนาจทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอำนาจ มีดังนี้
1. ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
2. ทำให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน
3. เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
66. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการกระจายอำนาจ
(1) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง
(2) เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร
(3) ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
(4) มีโอกาสตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เป็นประโยชน์ของการกระจายอำนาจทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอำนาจ มีดังนี้
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง ทำให้มีเวลาทำงานสำคัญจำเป็นได้มากขึ้น
2. เป็นการสนองบริการหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว
3. ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
4. มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝนการตัดสินใจด้วย
5. โอกาสของการเปรียบเทียบผลของการทำงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
67. ตามทัศนะของ Munsterberg “การกำหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความรู้ความสามารถ
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ความต้องการ
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 67 – 68, (คำบรรยาย) Hugo Munsterberg เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก ที่เสนอให้มีการนำเอาแบบทดสอบทางจิตวิทยาเข้ามาช่วยคัดเลือกคนเข้าทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ โดยเน้นว่า การคัดเลือกคนหรือการกำหนดคนให้เหมาะสมกับงานนั้น ไม่ควรพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาที่บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลให้เหมาะสมกับลักษณะของงานด้วย จึงจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
68. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก “การกำหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความรู้ความสามารถ
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 (คำบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Frederick W. Taylor, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ หรือการกำหนดคนให้เหมาะสมกับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System) โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก
69. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ
(1) บุคลิกภาพ
(2) คุณวุฒิ
(3) อายุงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ
70. แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นการเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) The Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่พึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจที่ต่างเข้ามาทำงานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสำคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”
71. “สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ….การติดต่อเป็นไปโดยมีเหตุให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก” ตัวอย่างได้แก่
(1) สังคมเด็กวัยประถมศึกษา
(2) สังคมคนชรา
(3) สังคมเด็กวัยรุ่น
(4) สังคมเศรษฐกิจไทย
(5) สังคมชาวเขาเร่ร่อน
ตอบ 5 หน้า 18, (คำบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทำให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาเผ่าโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนยุ่งยาก ผลของการติดต่อเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น
72. ใครที่เชื่อว่า อำนาจหน้าที่ควรมีการกระจายอำนาจ ใช้การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ
(1) Fayol
(2) Weber
(3) Barnard
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 71 – 72, (คำบรรยาย) Chester I. Barnard ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” ดังนี้
1. องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดำเนินการกิจให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเปิดเผย
2. อำนาจหน้าที่ควรกำหนดในรูปของความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็นการกำหนดตายตัวจากบนลงล่าง รวมทั้งควรมีการกระจายอำนาจ และใช้การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ
3. บทบาทขององค์การจะจูงใจหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การและการบริหารองค์การ
4. บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายามในการทำงานอย่างเต็มที่
5. ผลตอบแทนทางวัตถุไม่จูงใจ สิ่งเดียวที่สำคัญในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ
73. “นำเอาหลักการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปใช้ในองค์การด้านการศึกษาและหน่วยงานรัฐบาล…….” ผู้ริเริ่มได้แก่
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3) Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 43 Morris L. Cooke ได้นำเอาหลักการและความรู้ทางการจัดการแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปศึกษาการบริหารงานในองค์การหน่วยงานของรัฐบาล เช่น องค์การด้านการศึกษา โดยพบว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์การดังกล่าวได้ และในเรื่องการสร้างประสิทธิภาพให้กับงานนั้น เขาเห็นว่าทุกคนควรช่วยกันค้นหา One Best Way ไม่ควรจำกัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะแต่ผู้ชำนาญหรือผู้บริหารเท่านั้น
74. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Participative Management
(2) Management by Objectives
(3) Adhocracy
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 78, (คำบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหารที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอำนาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอำนาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ
75. Operation Research หมายถึง
(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม
(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดหมายพฤติกรรมการทำงานในองค์การ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดำเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดหมายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทำงานในองค์การ
76. ในการบริหารงาน คำว่า Red Tape หมายถึง
(1) การทำงานไปตามตัวบทโดยขาดหนึ่ง
(2) ปัญหาการประสานงาน
(3) เส้นทางลัดในโครงสร้าง
(4) ความล่าช้าในการสื่อสาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ
77. องค์ประกอบใน “ระบบโครงสร้างองค์การ” ได้แก่
(1) Positions and Authority
(2) Technology
(3) Span of Control
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 121, (คำบรรยาย) โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) หมายถึง การสร้างแบบ (Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ (Components) ต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ (Positions and Authority) ช่วงการบังคับบัญชา (Span of Control) เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน (Division of Work) เป็นต้น โดยโครงสร้างขององค์การจะแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมและความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ ของหน่วยงานในองค์การ
78. “……ระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell
(1) External Environment
(2) Outer Environment
(3) Secondary Environment
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell
79. “……พยายามที่จะจำกัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้ขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ…….” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีกลุ่มใด
(1) A System Approach
(2) Contingency Theory
(3) Quantitative Science
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย
1. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model) และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)
2. นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎีกลุ่มการวิจัยดำเนินงาน (Operation Research)
80. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Rules
(2) Participative Management
(3) Management by Objectives
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 77 – 78, (คำบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X (มนุษย์ไม่ชอบทำงานและพยายามหลีกเลี่ยงงานเมื่อมีโอกาส) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังต่อไปนี้เพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่อง
1. การบริหารแบบเผด็จการ
2. การบริหารโดยยึดกฎระเบียบ (Management by Rules) คือ การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด หรือใช้กฎระเบียบที่ได้มาตรฐาน
3. การบริหารโดยยึดกระบวนการ (Management by Procedure)
4. การบริหารแบบองค์การแบบเครื่องจักรกล (Mechanistic Organization)
5. การบริหารงานในลักษณะของพวกคลาสสิก เช่น ตัวแบบระบบราชการ (Bureaucracy) หรือ Bureaucratic Model) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
6. การรวมอำนาจ (Centralization)
7. การใช้อำนาจหน้าที่มากกว่าความรู้ (Authority than Knowledge) ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ)
81. “ความสามารถของผู้ควบคุมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Psychosocial
(5) Managerial
ตอบ 5 หน้า 96 – 97, (คำบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้
1. ระบบเทคโนโลยี (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเทคนิคและวิธีการทำงานต่าง ๆ ที่องค์การต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรหรือปัจจัยนำเข้าให้ออกมาในรูปของผลผลิต
2. ระบบเชิงจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและความต้องการ เช่น ความต้องการตามลำดับขั้น (Hierarchy of Needs) ตามทฤษฎีของ Maslow เช่น ความต้องการทางกายภาพ ความปลอดภัยในชีวิต ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
3. ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) กฎระเบียบและข้อบังคับ ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น
4. ระบบย่อยของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ประสานงาน ฯลฯ
82. “Chain of Command” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Managerial
(5) Psychosocial
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ
83. “Hierarchy of Needs” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Managerial
(5) Psychosocial
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ
84. ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น
(1) มีการวางแผน
(2) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร
(3) มีความเจริญเติบโตภายใน
(4) มีเสถียรภาพแบบพลวัต
(5) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
ตอบ 5 หน้า 98 – 106, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาสภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกการปรับตัวและรักษาสภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)
85. แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และทำความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น… แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คำบรรยาย) ทฤษฎีการกระทำ (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริงหรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทำความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข
86. การที่ผู้ปฏิบัติงานทำงานเพียงเท่าเกณฑ์ขั้นต่ำในการทำงาน ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำนั้น Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า
(1) การหลีกเลี่ยงงานตามธรรมชาติ
(2) การค้นหามาตรฐานของงาน
(3) ความล้มเหลวในการบังคับบัญชา
(4) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 41, (คำบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนีงานโดยอาศัยระบบ (Systematic Soldiering) ตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือเพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทำให้เห็นว่าตนมีเนื้องานมีอยู่แล้ว หรือพยายามทำงานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของงาน โดยไม่ได้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทำงานเท่าที่ระเบียบกำหนด หรือทำงานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่สนใจมาตรฐานขององค์การ เช่น การไปสายกลับก่อนเลิกงาน การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น
87. ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg
(1) สภาพการทำงาน
(2) เทคนิคและการควบคุมงาน
(3) ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
(4) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา
(5) นโยบายและการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 81 – 82, (คำบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ
1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทำงาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เนื่องมาจากในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน ซึ่งเรียกอีกด้านว่างานในเนื้องาน ได้แก่ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากผู้อื่น ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน
2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนขยันทำงาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทำให้พนักงานไม่ยอมทำงาน ซึ่งเรียกด้านที่ว่างานจากเบื้องนอก ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทำงาน
88. Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างแบบยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้ความรู้
(3) เน้นเอกภาพในการบังคับบัญชา
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 72, (คำบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy” (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การที่มีลักษณะดังนี้
1. มีการจัดโครงสร้างองค์การให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การที่มีการทำงานแบบเฉพาะกิจ
2. เน้นการกระจายอำนาจและเป็นประชาธิปไตย
3. มีโครงสร้างยืดหยุ่น
4. เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญมากกว่าการใช้อำนาจหน้าที่ (Authority)
5. เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ
89. “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจที่ต่างเข้ามาทำงานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปองค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเหล่านี้” ที่กล่าวมาเป็นแนวคิดของ
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ
90. พัฒนาการของทฤษฎีองค์การที่ Robbins นำเสนอไว้ในช่วง ค.ศ. 1900 – 1930 เป็นยุคของนักทฤษฎีกลุ่มใด
(1) Industrial Humanism
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5
91. Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วย สังคม…….ที่หายไปคือ
(1) เทคโนโลยีและการศึกษา
(2) เศรษฐกิจและการเมือง
(3) การเมืองและเทคโนโลยี
(4) สื่อมวลชนและเทคโนโลยี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ 1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี
2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม
92. “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ……” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด
(1) Action Theory
(2) Administrative Theorists
(3) Human Relation Theory
(4) Contingency Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 110 – 111, (คำบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่าเป็นสิ่งที่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทำให้การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย
93. ถ้าสมมติฐานมีว่า “มนุษย์มีความเฉื่อยชาโดยกำเนิด” วิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้บริหารที่ยึดสมมติฐานนี้ ได้แก่
(1) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด
(2) ใช้คู่มือการทำงาน
(3) ใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วม
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91 – 92) Knowles และ Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมติฐานว่า “มนุษย์มีความเฉื่อยชาโดยกำเนิด” เราสามารถทำงานได้โดยมีพฤติกรรมที่บกพร่องของเขาเป็นผลมาจากธรรมชาติในตัวเขาซึ่งเราอาจจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้โดยตรง การแก้ไขจำเป็นต้องใช้มาตรการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในการที่จะแสดงพฤติกรรมส่วนตัว เช่น การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด การใช้คู่มือการกำกับการทำงาน เป็นต้น
94. ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่ Herbert Kaufman เห็นว่าเป็น External Management
(1) การตัดสินใจ
(2) การจูงใจ
(3) การกำหนดนโยบาย
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14, (คำบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ
1. Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดำเนินงานตามภาระหน้าที่
2. External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและการกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด
95. Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ
96. ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Motivator Factors สูงที่สุด
(1) นโยบายและการบริหาร
(2) ความก้าวหน้าในงาน
(3) ลักษณะของงาน
(4) ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
(5) ความรับผิดชอบ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ
97. การแบ่งประเภทขององค์การโดย “พิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน” จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์ใด
(1) วัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน
(2) ความเปิดองค์การ
(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร
(4) ความเป็นเจ้าของ
(5) ความเป็นทางการ
ตอบ 5 หน้า 9, (คำบรรยาย) การแบ่งประเภทองค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การ เป็นการพิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Formal Organization) 2. องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)
98. ข้อใดเป็นผลการศึกษาที่สำคัญที่สุดจาก “Hawthorne Experiments”
(1) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(2) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับทรัพยากรนำเข้า
(3) พบผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความเอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา
(4) พบอิทธิพลของภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อการทำงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 68 – 70, (คำบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทำการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งขณะผลการทดลองที่สำคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไปยอมรับและเห็นพ้องกับงานนั้น ผลผลิตของทั้งสองกลุ่มโดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่ดีมากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง
99. ตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า
(1) Self-Realization Needs
(2) Safety Needs
(3) Social Needs
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลำดับ จากต่ำสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน
2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)
3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)
4. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)
5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-Realization Needs)
100. ทุกข้อเป็นทฤษฎีในการศึกษาองค์การแบบ “ระบบเปิด” ยกเว้น
(1) ยึดมนุษย์ไม่ตายตัว
(2) ประสิทธิภาพสูงสุด
(3) สมดุลที่เป็นพลวัต
(4) ความเป็นสถาบัน
(5) ธรรมชาติของมนุษย์
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ