หน้าแรก บล็อก

POL2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ 1/2567

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2567
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2301 องค์การและการจัดการในภาครัฐ

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว

1. “คือการตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ และใครเป็นคนทำ” ข้อความดังกล่าว คือความหมายของอะไร
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Leading
(4) Controlling
(5) Staffing
ตอบ 1 (คำบรรยาย) Koontz and O’Donnell กล่าวว่า การวางแผน (Planning) คือ การตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ และใครเป็นคนทำ

2. ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการวางแผน
(1) ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
(2) ต้องเป็นความลับ
(3) ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต
(4) ต้องมีสายการบังคับบัญชา
(5) ต้องมีช่วงการควบคุมไม่กว้างเกินไป
ตอบ 3 หน้า 219 การวางแผนมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1. ต้องเกี่ยวข้องกับอนาคต (Involve The Future)
2. ต้องเกี่ยวข้องกับการที่จะมีการดำเนินการใด ๆ เฉพาะ (Involve The Action)
3. ต้องมีผลต่อบุคคลหรือองค์การหรือต่อสังคม (Personal or Organizational Causation)

ตั้งแต่ข้อ 3. – 8. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Strengths
(2) Weaknesses
(3) Opportunities
(4) Threats
(5) Problems

3. “เป็นการพิจารณาสภาพทางสังคมที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำเนินงานขององค์การ” ข้อความดังกล่าวเป็นการพิจารณาในประเด็นใด
ตอบ 4 หน้า 220, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์องค์การโดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นั้น จะประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์ปัจจัยภายในองค์การ (Internal Factor) ได้แก่
– S = Strengths คือ จุดแข็ง ศักยภาพ หรือความสามารถขององค์การที่มีอยู่จริง เช่น การมีงบประมาณจำนวนมาก การมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย การมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มีความสามัคคีในการปฏิบัติงาน การมีวัฒนธรรมที่ดีภายในองค์การ การมีการวางแผนในระดับหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การมีประสบการณ์ในการดำเนินงาน การมีสถานที่รองรับการจัดกิจกรรม เป็นต้น
– W = Weaknesses คือ จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ขององค์การ เช่น บุคลากรขาดความรู้ความสามารถ บุคลากรมีจำนวนน้อยไม่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่การงาน งบประมาณมีไม่เพียงพอ มีการจัดทำแผนแต่ขาดการขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนับสนุนให้มีการทำงานเป็นทีม เป็นต้น

2. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกองค์การ (External Factor) ได้แก่
– O = Opportunities คือ โอกาสขององค์การ เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้สำนักงานนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การได้รับรางวัลและการรับรองมาตรฐานสากลจากหน่วยงานภายนอกส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภาวะทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มทรงตัวและหนี้สินในครัวเรือนสูงทำให้มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นทางเลือกที่ดี เป็นต้น
– T = Threats คือ ภัยคุกคามที่มีผลต่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การที่คู่แข่งขันนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ลูกค้าขาดความรู้และทักษะในการใช้งานอินเทอร์เน็ต รัฐบาลไม่สนับสนุนเงินลงทุน เป็นต้น

4. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร “รางวัลที่ได้รับจากกระทรวงการคลัง หน่วยงานภายนอกและการรับรองมาตรฐานสากลจากภายนอก ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5. จังหวัดเชียงใหม่ “มีสถานที่ที่รองรับการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

6. มหาวิทยาลัยรามคำแหง “ภาวะทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มทรงตัว หนี้สินในครัวเรือนสูง มหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงเป็นทางเลือกที่ดี” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

7. เรือนจำจังหวัดบุรีรัมย์ “บุคลากรไม่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ด้านภารกิจต่าง ๆ” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

8. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา “วัฒนธรรมการเรียนรู้ในโรงเรียนมีระบบการจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระทางความคิด กล้าแสดงออก” ข้อความดังกล่าวถือเป็นสิ่งใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

9. “ในการกำหนดเป้าประสงค์นั้นควรยึดหลัก SMART” ตัวอักษร “R” หมายถึง
(1) เฉพาะเจาะจง
(2) สามารถวัดผลได้
(3) สะท้อนความเป็นจริง
(4) มีความเหมาะสม
(5) มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน
ตอบ 3 (คำบรรยาย) ในการกำหนดเป้าประสงค์ (Goals/Objectives) นั้น ควรยึดหลัก SMART ซึ่งหลัก SMART ประกอบด้วย
1. S = Specific คือ เฉพาะเจาะจง 2. M = Measurable คือ สามารถวัดผลได้
3. A = Appropriate คือ มีความเหมาะสม 4. R = Realistic คือ สะท้อนความเป็นจริง
5. T = Time Bound คือ มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน

10. “การตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อยกเว้นโดยให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว” ข้อความดังกล่าวคือ นิยามของสิ่งใด
(1) Planning
(2) Organizing
(3) Decision Making
(4) Controlling
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 228 การตัดสินใจ (Decision Making) หมายถึง การพิจารณาตกลงใจชี้ขาดจากทางเลือกที่มีอยู่มากกว่าหนึ่งทางเลือกขึ้นไปในอันที่จะก่อให้มีการกระทำในลักษณะเฉพาะใด ๆ หรือหมายถึงการตกลงใจที่จะยุติข้อขัดแย้ง ข้อยกเว้นโดยให้มีการกระทำไปในทางหนึ่งทางใดที่ได้มีการพิจารณาและตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว

11. ข้อใดหมายถึงการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 229 – 230, (คำบรรยาย) การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจในการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานโดยตรง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรและวัตถุดิบให้กลายเป็นสินค้าและบริการตามเป้าหมายขององค์การ การตัดสินใจในระดับนี้เป็นไปในช่วงระยะเวลาอันสั้น มีการใช้เทคนิคประกอบการตัดสินใจ เช่น อาจใช้ระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการควบคุมการดำเนินงานโดยจัดให้มีการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า (Programmed Decision) และเป็นการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมแบบปิด ดังนั้นการตัดสินใจในระดับนี้จึงเหมาะกับงานในโรงงานอุตสาหกรรม หัวหน้างาน (Supervisor) หัวหน้าคนงาน (Foreman) เป็นต้น

12 หากเปรียบเทียบการตัดสินใจกับการทำงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว ลักษณะของการปฏิบัติงานของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีลักษณะการตัดสินใจในระดับใด
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

13 การตัดสินใจในระดับใดที่มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างมาก
(1) Global Level
(2) Strategic Level
(3) Coordinative Level
(4) Operational Level
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 229, 236 การตัดสินใจในระดับการกำหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การหรือระดับของการกำหนดกลยุทธ์ (Strategic Level) จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดลักษณะขอบเขตขององค์การกับสภาพแวดล้อมว่าองค์การจะยอมให้มีความสัมพันธ์กันในระดับใด มีการรับเอาอิทธิพลและทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในองค์การมากน้อยเพียงใด จะเลือกรับเอาสิ่งใดและต้องการให้องค์การตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมในลักษณะใด การตัดสินใจระดับนี้มักเป็นการตัดสินใจในระยะยาวและมีลักษณะที่ไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ มีเหตุผล และมีความรับผิดชอบต่อการกระทำอย่างมาก ดังนั้นการตัดสินใจจึงไม่สามารถจัดทำไว้ล่วงหน้าได้ (Non-Programmable) ต้องใช้วิจารณญาณและความคิดเห็นของผู้ทำการตัดสินใจ (Judgmental)

14 ข้อใดเป็นมุมมอง (Viewpoint) ต่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ
(1) Smiling
(2) Stressing
(3) Meaning
(4) Optimizing
(5) Satisficing
ตอบ 4 หน้า 230, (คำบรรยาย) มุมมอง (Viewpoint) ต่อผลลัพธ์ของการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ ขององค์การ มีดังนี้

1 การตัดสินใจในระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เป็นการตัดสินใจโดยการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Optimizing)

2 การตัดสินใจในระดับการกำหนดนโยบายและเป้าหมายขององค์การ หรือระดับของการกำหนดยุทธศาสตร์ (Strategic Level) เน้นความพอใจ (Satisficing) จากการตัดสินใจเลือกทางเลือกนั้น

3 การตัดสินใจระดับประสานงาน (Coordinative Level) เป็นการตัดสินใจที่อยู่ระหว่างการเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด (Optimizing) และความพึงพอใจ (Satisficing)

15 ข้อใดเป็นเทคนิคที่ใช้ในการตัดสินใจ (Decision Making Techniques) ในระดับกำหนดนโยบาย
(1) Judgmental
(2) Computational
(3) Elite
(4) Validity
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

16 “พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ xxx โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา” จากข้อความดังกล่าว “xxx” หมายถึงสิ่งใด
(1) IT
(2) Data
(3) Information
(4) MIS
(5) Technology
ตอบ 3 หน้า 233 นักทฤษฎีการรับรู้ (Cognitive Theorists) อธิบายว่า พฤติกรรมในการตัดสินใจของมนุษย์ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น ซึ่งได้แก่ ข่าวสารข้อมูล (Information) โดยผ่านกระบวนการรับรู้ภายใต้จินตนาการหรือมโนภาพของมนุษย์ก่อนที่จะถูกส่งกลับเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะขึ้นมา

17 ข้อใดเป็นตัวเชื่อมโยงที่จะทำให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล
(1) ข้อมูล
(2) สารสนเทศ
(3) ความขัดแย้ง
(4) สารนิเทศ
(5) การสื่อความเข้าใจ
ตอบ 5 หน้า 243 การสื่อข้อความหรือการสื่อความเข้าใจ (Communication) เป็นตัวเชื่อมโยงที่จะทำให้ได้มาซึ่งข่าวสารข้อมูล โดยอาจเป็นไปในรูปของคำพูด จดหมาย หรือวิธีการอื่นใดซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวความคิด ความเห็น หรือประสบการณ์ของผู้รับคนอื่นได้

18 การที่ปัจเจกบุคคลเกิดภาวะ Information Overload นั้นเกิดจากการได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างไร
(1) ข้อมูลข่าวสารเล็ก ๆ น้อย ๆ
(2) ข้อมูลข่าวสารคลุมเครือ
(3) ขาดข้อมูลข่าวสาร
(4) ข้อมูลข่าวสารมากเกินไป
(5) ข้อมูลข่าวสารรวมศูนย์มาจาก ก.
ตอบ 4 หน้า 244, (คำบรรยาย) นักจิตวิทยาบางคนเสนอว่า ความเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลมาจากการที่ปัจเจกบุคคลได้รับข้อมูลข่าวสารจากภายนอกจำนวนมากเกินไป หรือเรียกว่า Information Overload ดังนั้นถ้าบุคคลสามารถจะสร้างความสมดุลระหว่างตนเองกับสภาพแวดล้อมอื่นได้ บุคคลนั้น ๆ จะมีสุขภาพดี สามารถที่จะเข้ากันได้กับเงื่อนไขภายนอกและมีบทบาทที่เป็นปกติในสังคม

19 นักวิชาการคนใดให้เห็นพื้นฐานของการสื่อความเข้าใจว่า “เมื่อตัวอักษรใดไม่สามารถสื่อใจความที่ไม่ดีของผู้ส่งข่าวสาร คุณสมบัติของภาษาจะถูกเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับสิ่งที่มันสื่ออยู่ในกระบวนการสื่อข้อความ อาจจะโดยการละเลยเนื้อหาที่สำคัญ หรือโดยการเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือออกไป”
(1) Guetzkow
(2) Weber
(3) Wilson
(4) Fayol
(5) Simon
ตอบ 1 หน้า 246 Guetzkow ได้ให้เห็นพื้นฐานของการสื่อความเข้าใจว่า “เมื่อตัวอักษรใดไม่สามารถสื่อใจความที่ไม่ดีของผู้ส่งข่าวสาร คุณสมบัติของภาษาจะถูกเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับสิ่งที่มันสื่ออยู่ในกระบวนการสื่อข้อความ อาจจะโดยการละเลยเนื้อหาที่สำคัญ หรือโดยการเพิ่มเติมสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นอกเหนือออกไป”

20 ข้อใดเป็นตัวอย่างของกลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis)
(1) องค์การได้รับคำชมจากลูกค้า
(2) องค์การกำหนดโปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า
(3) องค์การมีการควบคุมให้ปัจจัยต่าง ๆ ได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
(4) องค์การได้รับการตอบสนองข้อมูลต่างทางจากลูกค้า
(5) องค์การได้รับการตอบสนองข้อมูลทางลบจากลูกค้า
ตอบ 2 หน้า 259 กลไกการควบคุมโดยอัตโนมัติ (Homeostasis) เป็นกลไกที่ปรากฏอยู่ในระบบของสิ่งมีชีวิตต้องการที่จะรักษาสภาพของตนเองให้อยู่รอดอยู่ตลอดเวลา เช่น เมื่อร่างกายของมนุษย์ได้รับความร้อนเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในร่างกายจะมีการปรับตัวให้อยู่ในสภาพปกติโดยอัตโนมัติซึ่งมีอุณหภูมิคงที่ในเปรียบเทียบกับสภาพแวดล้อม ซึ่งในองค์การเองก็มีลักษณะของ Homeostasis เช่นกัน เช่น การควบคุมคุณภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง องค์การมีการกำหนดโปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า (Programmed Control) ผู้ควบคุมไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการควบคุม การดำเนินงานขององค์การจะเป็นไปตามโปรแกรมที่วางเอาไว้

21 ข้อใดไม่ใช่ของการพิจารณาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การเชิงคุณภาพ
(1) ความรู้
(2) ความชำนาญ
(3) การกระจายในหน่วยงานต่าง ๆ
(4) การจูงใจ
(5) ความถนัด
ตอบ 3 หน้า 269 การพิจารณาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การเชิงปริมาณ คือ การพิจารณาจำนวนและการกระจายของพนักงานในหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนในเชิงคุณภาพ คือ การพิจารณาความรู้ ความถนัด ความสามารถ และแรงจูงใจของทรัพยากรมนุษย์

22 ข้อใดเป็นเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ
(1) Needs
(2) Motivation
(3) Leader
(4) Follower
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 271 เงื่อนไขที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ มี 3 ประการ คือ

1 ความต้องการ (Needs) เกิดจากความขาดแคลนในบางสิ่งบางอย่างของมนุษย์

2 แรงขับ (Drives) หมายถึง ภาวะความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์

3 สิ่งล่อใจ (Incentives) หมายถึง สิ่งของหรือเงื่อนไขภายนอกที่กระตุ้นให้มนุษย์กระทำการเพื่อให้เป็นไปตามเป้าประสงค์

23 บุคคลใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของนักจิตวิทยาอเมริกัน
(1) Max Weber
(2) Frederick Taylor
(3) Henri Fayol
(4) William James
(5) Frederick Herzberg
ตอบ 4 หน้า 272 William James เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาของนักจิตวิทยาอเมริกัน” ได้สนใจศึกษาและให้ความสำคัญกับเรื่ององค์ประกอบของการจูงใจที่เป็นสัญชาตญาณ (Instinct) และการจูงใจจากจิตไร้สำนึก (Unconscious Motivation)

24 ทฤษฎีการลดแรงขับ (Drive-Reduction Theory) เกี่ยวข้องกับนักวิชาการคนใด
(1) William James
(2) Frederick Taylor
(3) Frederick Herzberg
(4) Herbert Simon
(5) Clark Hull
ตอบ 5 หน้า 272, (คำบรรยาย) รากฐานของแนวความคิดในการศึกษาเรื่องแรงจูงใจ ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Clark Hull เกี่ยวกับทฤษฎีการลดแรงขับ (Drive-Reduction Theory) และพัฒนามาเป็นทฤษฎีการจูงใจจากความคาดหวัง (Expectancy Theory Motivation) ของ Victor H. Vroom ในสมัยต่อมา

25 ทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom ได้อธิบายแรงจูงใจในรูปสมการ “Motivation = E x I x V” จากสมการดังกล่าว “V” หมายถึงอะไร
(1) แรงจูงใจ
(2) ความคาดหวัง
(3) ความเป็นเครื่องมือ
(4) คุณค่าของรางวัล
(5) แรงขับ
ตอบ 4 (คำบรรยาย) “Motivation = E x I x V” เป็นคำอธิบายของทฤษฎีความคาดหวัง (Expectation Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีการจูงใจของ Victor H. Vroom โดย

E (Expectation) = ความคาดหวัง คือ การเชื่อว่าความพยายามจะนำไปสู่ผลงาน

I (Instrumentality) = ความเป็นเครื่องมือ คือ การเชื่อว่าผลงานจะนำไปสู่การได้รับรางวัล

V (Valance) = คุณค่าของรางวัล คือ รางวัลนั้นมีคุณค่ากับเรา

26 “1. การเสริมแรงทางบวก 2. การเสริมแรงทางลบ 3. การลงโทษ 4. การยกเลิก/การดับสูญ” ข้อความดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทฤษฎีใดมากที่สุด
(1) Expectation Theory
(2) Equity Theory
(3) Law of Effect Theory
(4) Reinforcement Theory
(5) Hierarchy of Needs Theory
ตอบ 4 (คำบรรยาย) B. F. Skinner ได้เสนอทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ซึ่งมี 4 ประการ คือ 1. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) 2. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) 3. การลงโทษ (Punishment) 4. การยกเลิก/การดับสูญ (Extinction)

27 หากเชื่อตามทฤษฎี Equity Theory ของ J. Stacy Adams แล้ว หากผลของการเปรียบเทียบปัจเจกบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงบวก ตัวเลือกใดเป็นการแสดงพฤติกรรมที่เป็นไปได้ตามทฤษฎีดังกล่าว
(1) เพิ่มความพยายามในการทำงาน
(2) คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตน
(3) ไปพบเจ้านายเพื่อขอเพิ่ม Outcomes
(4) ลาออกจากงาน
(5) หยุดงานบ่อยขึ้น
ตอบ 1 (คำบรรยาย) ทฤษฎีความเสมอภาค (Equity Theory) ของ J. Stacy Adams อธิบายว่า บุคคลจะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นว่ามีความเสมอภาคเท่าเทียมหรือไม่ ดังนั้นในการทำงานบุคคลจึงเปรียบเทียบตนเองกับพนักงานคนอื่นที่ทำงานประเภทเดียวกันโดยพิจารณาจากปัจจัยนำเข้า (Input) อันได้แก่ ความรู้ความสามารถ ความพยายาม ประสบการณ์ เป็นต้น กับผลลัพธ์ (Outcomes) ที่ได้รับ อันได้แก่ ค่าจ้าง ค่าตอบแทน การยกย่องชมเชย การเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น หากเปรียบเทียบแล้วบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค ไม่เป็นธรรมในเชิงบวกก็จะปรับพฤติกรรม เช่น เพิ่มความพยายามในการทำงานไปจนกว่าจะรู้สึกถึงความเสมอภาค Outcomes เป็นต้น แต่หากบุคคลรู้สึกถึงความไม่เสมอภาค/ไม่เป็นธรรมในเชิงลบก็จะปรับพฤติกรรม เช่น ลดความพยายามในการทำงาน ไปจนกว่าจะรู้สึกเป็นธรรม หรือขอเพิ่ม Outcomes คิดว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตน หยุกงานบ่อยขึ้น ลาออกจากงาน เป็นต้น

28 นางสาวทับทิมต้องการศึกษาว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง นางสาวทับทิมควรใช้แนวคิดการศึกษาภาวะผู้นำกลุ่มใด
(1) Trait Theories
(2) Behavioral Theories
(3) Contingency Theories
(4) Transformational Leader
(5) Reinforcement Theories
ตอบ 1 หน้า 287 – 288 ทฤษฎีเชิงคุณลักษณะ (Trait Theories) คือ ทฤษฎีที่ศึกษาคุณลักษณะและคุณสมบัติของผู้นำ ซึ่งการศึกษาทฤษฎีดังกล่าวจะทำให้เราทราบประเภทของผู้นำที่ประสบความสำเร็จว่ามีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง ทั้งนี้หากผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จมีคุณลักษณะเหมือนผู้นำที่ประสบความสำเร็จก็อาจจะทำให้ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน ซึ่งผู้นำที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่ทั้งสองประเภทมักมีลักษณะเด่นที่เป็นปัจจัยให้เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ โดยนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ T. Carlyle, R.M. Stogdill, Edwin Ghiselli และ Keith Davis

29 ข้อใดเป็นลักษณะผู้นำแบบ Autocratic Leadership
(1) ตัดสินใจด้วยตนเองไม่รับฟังความคิดเห็น
(2) รับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย
(3) มอบหมายงานให้ลูกน้อง
(4) บริหารงานโดยไม่เน้นงาน
(5) ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำของตนเองตามความพร้อมของผู้ตาม
ตอบ 1 หน้า 287, 289 การศึกษาค้นคว้าเรื่องภาวะผู้นำที่มหาวิทยาลัยไอโอวา (University of Iowa Studies) โดย Ronald Lippitt และ Ralph White ที่ใช้วิธีการแบบ Experimental Approach และควบคุมโดย Kurt Lewin ในปี ค.ศ. 1940 เป็นการศึกษาของกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมของผู้นำ (Leadership Behavior) หรือทฤษฎีเชิงพฤติกรรม (Behavioral Theories) ซึ่งผลจากการศึกษาได้ค้นพบแนวทางการแสดงออกของผู้นำ 3 แบบ คือ

1 ผู้นำแบบเผด็จการ (Autocratic Leadership) คือ ผู้นำที่ให้ความสำคัญกับตนเองมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นผู้นำในลักษณะนี้จึงตัดสินใจด้วยตนเอง ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นหรือตัดสินใจด้วย

2 ผู้นำแบบประชาธิปไตย (Democratic Leadership) คือ ผู้นำที่ไว้วางใจลูกน้อง เปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ บริหารแบบมีส่วนร่วม

3 ผู้นำแบบปล่อยเสรี (Laissez-Faire Leadership) คือ ผู้นำที่ปล่อยให้ลูกน้องปฏิบัติงานตามสบายด้วยวิถีทางของเขาเอง ผู้นำจะดูแลห่าง ๆ ไม่ค่อยควบคุมดูแลแนะนำตัดสินใจซึ่งผู้นำในลักษณะนี้บางทีอาจเรียกว่า ผู้นำแบบจอมปลอม (Pseudo-Leaders)

30 บุคคลใดมีสไตล์การบริหารงานที่สอดคล้องกับแนวคิดแบบ Contingency Theories
(1) ใหม่เป็นเจ้านายที่ดีที่สุดที่เคยมีมา
(2) แดงเป็นเจ้านายที่บริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจ
(3) ทองเป็นเจ้านายที่บริหารงานแบบกระจายอำนาจ
(4) ทองเป็นเจ้านายที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกน้องมีความสุขในการทำงาน
(5) เล็กบริหารงานแบบมอบหมายงานเรื่องจากลูกน้องมีความพร้อมในการทำงานสูง
ตอบ 5 หน้า 287, (คำบรรยาย) สไตล์การบริหารของนายเล็กนั้นสอดคล้องกับทฤษฎีภาวะผู้นำทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) โดยเฉพาะแนวความคิดของ Hersey & Blanchard ซึ่งมองว่า ไม่มีแบบของพฤติกรรมผู้นำแบบใดดีที่สุด การเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพหรือประสบความสำเร็จนั้นต้องมีแบบของพฤติกรรมผู้นำที่สอดคล้องกับความพร้อมของผู้ตาม (ลูกน้อง) ใน 2 ด้าน คือ ความสามารถ (Ability) และความเต็มใจในการทำงาน (Willing) ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวสามารถจำแนกได้

1 ผู้ตามไม่มีความสามารถและไม่เต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบสั่งการ (Telling)

2 ผู้ตามไม่มีความสามารถแต่มีความเต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบขายความคิด (Selling)

3 ผู้ตามมีความสามารถ แต่ไม่เต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบมีส่วนร่วม (Participating)

4 ผู้ตามมีความสามารถและมีความเต็มใจในการทำงาน ต้องเป็นผู้นำแบบมอบหมายงาน (Delegating)

31 ทฤษฎีภาวะผู้นำของนักวิชาการท่านใดจัดอยู่ในกลุ่มทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Situational Theories)
(1) Rensis Likert
(2) Kert Lewin
(3) Blake & Mouton
(4) Hersey & Blanchard
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 294, (คำบรรยาย) ทฤษฎีทางด้านสถานการณ์ (Contingency Theories หรือ Situational Theories) คือ ทฤษฎีที่ศึกษาภาวะผู้นำโดยมองความสำคัญของสถานการณ์เป็นหลัก ทฤษฎีนี้เชื่อว่า สถานการณ์เป็นตัวกำหนดว่าผู้นำแบบใดจึงจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งนักทฤษฎีในกลุ่มนี้ ได้แก่ R.M. Stogdill, B.M. Bass, A.C. Pilley, R.J. House, Fred E. Fiedler และ Hersey & Blanchard

32 จากข้อ 31. ทฤษฎีของนักวิชาการคนดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับนักวิชาการคนใด
(1) Aristotle
(2) Max Weber
(3) Fred E. Fiedler
(4) Herbert Simon
(5) Bartal & Martin
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33 ข้อใดเป็นปัจจัยที่ Fiedler นำมาใช้ในการพิจารณาว่าผู้นำมุ่งเน้นงานหรือมุ่งเน้นความสัมพันธ์
(1) รายได้
(2) อำนาจในตำแหน่ง
(3) ความขัดแย้ง
(4) ความต้องการของผู้ตาม
(5) การรวมหรือกระจายอำนาจ
ตอบ 2 หน้า 295, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ Fred E. Fiedler นำมาใช้ในการพิจารณาว่าผู้นำควรจะมุ่งเน้นงานหรือมุ่งเน้นความสัมพันธ์ มี 3 ประการ คือ

1 ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและสมาชิก (Leader-Member Relationship)

2 โครงสร้างของงาน (Task Structure)

3 อำนาจในตำแหน่งของผู้นำ (Position Power)

34 การที่บุคคลทุกคนภายในองค์กรจะต้องรับคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
(1) กฎและระเบียบ
(2) เอกภาพในการบังคับบัญชา
(3) การแบ่งแยกหน้าที่กันทำ
(4) การรวมอำนาจที่เหมาะสม
(5) เอกภาพขององค์การ
ตอบ 2 หน้า 50 – 51, 58, 186 – 187 หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง หลักการที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานในองค์การเดียวและจะต้องรับคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียวหรือต่อนายเพียงคนเดียว หรือเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารที่ต้องระบุไว้ให้ชัดแจ้งเสมอว่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ มีผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานโดยตรงได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยป้องกันมิให้เกิดการสั่งงานซ้ำซ้อนหรือเกิดความยุ่งยากในการทำงาน ตลอดจนสามารถลดความรับผิดชอบส่วนข้อเสีย คือ ทำให้สิ้นเปลืองบุคลากรและประสิทธิภาพการทำงานต่ำ

35 “การกระจายอำนาจ” คือ
(1) Span of Control
(2) Chain of Command
(3) Division of Work
(4) Centralization
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 168 – 169 การกระจายอำนาจ (Decentralization) หมายถึง ถึงความพยายามที่จะมอบหมายหน้าที่ไปยังผู้บริหารในระดับต่าง ๆ ขององค์การโดยให้การตัดสินใจกระทำโดยผู้บริหารระดับต่ำมากขึ้น หรือให้ผู้บริหารระดับรอง ๆ ในองค์การได้มีโอกาสในการตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ ที่มีความสำคัญมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความสำคัญต่อบทบาทของผู้บริหารระดับรอง ๆ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา

36 Chain of Command คือ
(1) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน
(2) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีหน่วยงานที่ต้องกำกับดูแลกี่หน่วยงาน
(3) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า องค์การแห่งหนึ่งมีองค์การอื่นที่อยู่ในบังคับบัญชาระดับ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 139, (คำบรรยาย) สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง ความสัมพันธ์ตามลำดับชั้นระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การ เพื่อแสดงให้ทราบว่าในองค์การของการติดต่อสื่อข้อความจากผู้บังคับบัญชาไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาในแต่ละองค์การนั้นจะดำเนินไปอย่างเป็นทางการอย่างไร มีการควบคุมและการรับผิดชอบอย่างไร และมีการบังคับบัญชาระดับ

37 Span of Control คือ
(1) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน
(2) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีหน่วยงานที่ต้องกำกับดูแลกี่หน่วยงาน
(3) จำนวนที่บอกให้รู้ว่า องค์การแห่งหนึ่งมีองค์การอื่นที่อยู่ในบังคับบัญชาระดับ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 179 ช่วงของการบังคับบัญชา หรือช่วงของการควบคุม (Span of Control, Span of Management หรือ Span of Supervision) หมายถึง จำนวนผู้ใต้บังคับบัญชา (ลูกน้อง) ที่ผู้บังคับบัญชา (หัวหน้า) คนหนึ่ง ๆ จะสามารถควบคุมได้ ซึ่งช่วงของการควบคุมนี้เป็นสิ่งที่จะแสดงให้รู้ว่าผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ๆ จะมีขอบเขตของการกำกับดูแลหรือการบังคับบัญชาเพียงใด ทั้งนี้เพื่อการพิจารณาว่าควรจะมีผู้ใต้บังคับบัญชากี่คน หรือมีหน่วยงานภายในความรับผิดชอบกี่หน่วยงาน จึงเป็นการเหมาะสมที่จะทำให้การกำกับดูแลการปฏิบัติงานเป็นไปได้โดยเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

38. Centralization หมายถึง
(1) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนในองค์การต้องมีเจ้านายเพียงคนเดียว
(2) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่สนับสนุนกันและกัน
(3) หลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ผู้บริหารสูงสุดเท่านั้นเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจ
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 168 การรวมอำนาจ (Centralization) หมายถึง สภาวะขององค์การ ซึ่งในระดับสูง ๆ ของสายการบังคับบัญชาได้รวมอำนาจหน้าที่ไว้ ทั้งนี้เพื่อการตัดสินใจส่วนใหญ่จะได้กระทำจากระดับสูงนั้น ดังนั้นตามหลักการรวมอำนาจ การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในองค์การส่วนมากแล้วจะมิได้มอบให้ผู้ปฏิบัติงานตัดสินใจเอง หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงเป็นผู้ตัดสินใจได้

ตั้งแต่ข้อ 39. – 43. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Division of Work
(2) Departmentation
(3) Line Agency
(4) Staff Agency
(5) Auxiliary Agency

39. หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 197 – 201, (คำบรรยาย) ประเภทของหน่วยงานซึ่งแบ่งตามลักษณะของการปฏิบัติงานภายในองค์การ มี 3 ประเภท คือ
1. หน่วยงานหลัก (Line Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับวัตถุประสงค์หลักขององค์การ หรือเป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานหลักขององค์การ เช่น กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศของกระทรวงกลาโหม คณะต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย หน่วยโยธาและหน่วยสาธารณสุขของเทศบาล เป็นต้น
2. หน่วยงานที่ปรึกษาหรือหน่วยงานสนับสนุน (Staff Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เช่น กองอำนวยการนโยบายและแผน หน่วยการเงิน/งบประมาณ หน่วยการเจ้าหน้าที่ หน่วยโฆษณาและประชาสัมพันธ์ หน่วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
3. หน่วยงานธุรการ (Auxiliary Agency) หรือหน่วยงานแม่บ้าน (House-Keeping Agency)** หมายถึง หน่วยงานที่ช่วยบริการหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เช่น หน่วยพัสดุ หน่วยอาคารสถานที่ หน่วยสารบรรณ หน่วยสวัสดิการ หน่วยงานด้านความสะอาดหรืองานเทศกิจ เป็นต้น

40. หน่วยงานที่มิได้ดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การโดยตรง แต่เป็นหน่วยงานช่วยเหลือสนับสนุนให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานหลัก เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. หน่วยงานที่ช่วยบริการแก่หน่วยงานหลักและหน่วยงานที่ปรึกษาในกิจกรรมลักษณะของแม่บ้าน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 191 การจัดแผนกงาน (Departmentation) หมายถึง การพิจารณารวมกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การแบ่งหน้าที่การงาน เพื่อแบ่งแยกกิจกรรมอันมีอยู่มากมายในองค์การ มอบหมายให้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้แยกกันปฏิบัติตามความสามารถของตนตามหลักเกณฑ์ของความสามารถเฉพาะด้าน

43. การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 189 การแบ่งงานกันทำหรือการแบ่งหน้าที่ (Division of Work) หรือการแบ่งแยกแรงงาน (Division of Labor) หรือการแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถหรือความชำนาญเฉพาะด้าน (Specialization) หมายถึง การแบ่งแยกภารกิจต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นส่วน ๆ และมอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งตามเป้าหมายที่องค์การได้วางไว้ ซึ่งการแบ่งงานกันทำนี้จะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการทำงานซ้ำซ้อนหรือการเหลื่อมล้ำในการทำงานในหน้าที่

ตั้งแต่ข้อ 44. – 48. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Span of Control
(2) Unity of Command
(3) Responsibility
(4) Hierarchy
(5) Specialization

44. การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 186 เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) หมายถึง การจัดการที่ไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบต่อผู้บริหารมากกว่า 1 คน

45. การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 139 สายการบังคับบัญชา (Chain of Command, Line of Authority หรือ Hierarchy) หมายถึง การกำหนดลำดับชั้นในการบังคับบัญชาเพื่อจะบ่งชี้ว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดอยู่ในลำดับอำนาจหน้าที่ชั้นใดหรือสูงกว่าหรือต่ำกว่าตำแหน่งใดหรือหน่วยงานใดบ้าง

46. การแบ่งงานกันทำโดยยึดถือหลักความถนัดและความสามารถ เรียกว่าอะไร
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

47. จำนวนที่บอกให้รู้ว่า หัวหน้าคนหนึ่งมีลูกน้องที่ต้องกำกับดูแลกี่คน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

48. พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติงาน เรียกว่าอะไร
ตอบ 3 หน้า 150 ความรับผิดชอบ (Responsibility) มองในแง่ของการบริหารงาน หมายถึง พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาในการปฏิบัติงาน โดยความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเท่านั้น จะไม่เกิดขึ้นกับสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องจักร หรือสัตว์ ทั้งนี้ความรับผิดชอบอาจมีลักษณะของพันธะที่ต่อเนื่อง หรือสิ้นสุดลงเป็นครั้งคราวไปหลังจากผู้ใต้บังคับบัญชาได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นลงแล้วก็ได้

ตั้งแต่ข้อ 49. – 53. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) Chain of Command
(2) Delegation of Authority
(3) Power to Command
(4) Limits of Authority
(5) Decentralization of Authority

49. Hierarchy หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 36. และ 45. ประกอบ

50. การให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจเห็นสมควร เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 146 อำนาจหน้าที่ (Authority) หมายถึง อำนาจในการสั่งการ (Power to Command) เพื่อให้บุคคลอื่นกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้มีอำนาจจะเห็นสมควร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การที่ได้ตั้งไว้ อำนาจหน้าที่นี้จะเป็นอำนาจหน้าที่ของบังคับบัญชาซึ่งได้มาโดยตำแหน่งที่เป็นทางการ ทำให้ผู้บังคับบัญชาสามารถสั่งการได้ แต่ทั้งนี้จะเป็นผลบังคับได้ก็ต่อเมื่อมีขอบข่ายในขอบเขตของตำแหน่งหน้าที่ด้วย นอกจากนี้อำนาจหน้าที่ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความรับผิดชอบ (Responsibility) หรืออาจกล่าวได้ว่าอำนาจหน้าที่มีฐานะเป็นตัวกำหนดความรับผิดชอบ เช่น ผู้บริหารระดับสูงมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจหน้าที่มาก จึงต้องมีความรับผิดชอบมากไปด้วย เป็นต้น

51. การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 153 – 154 การมอบหมายอำนาจหน้าที่ (Delegation of Authority) หมายถึง การกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่โดยผู้บังคับบัญชาที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือหมายถึง การที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบบางประการให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในทางปฏิบัติผู้บังคับบัญชามักจะมอบหมายอำนาจหน้าที่แก่หัวหน้างานระดับรองลงไป การมอบอำนาจหน้าที่นี้อาจจะมอบแก่บุคคลคนเดียวหรือหลายคนก็ได้

52. ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 หน้า 169 การกระจายอำนาจ (Decentralization of Authority) หมายถึง ความพยายามที่จะให้ผู้บริหารระดับล่างมีอำนาจในการตัดสินใจและอำนาจเหล่านั้นได้ถูกมอบหมายไปยังผู้บริหารระดับต่าง ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยกเว้นอำนาจหน้าที่บางอย่างซึ่งจำเป็นจะต้องสงวนไว้ที่ส่วนกลาง

53. ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการอาจหาายไปเมื่อได้สั่งการให้ปฏิบัติจริง ซึ่งอาจจะมาจากพฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณี เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

ตอบ 4 หน้า 149 – 150 ในความเป็นจริงอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นทางการของผู้บังคับบัญชา มักจะขาดหายไปเมื่อได้มีการสั่งการให้ปฏิบัติจริง เพราะมีสาเหตุมาจากข้อจำกัดของอำนาจหน้าที่ (Limits of Authority) ในด้านต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมของกลุ่ม ขนบธรรมเนียมประเพณีและศีลธรรมในสังคม สภาพทางภูมิศาสตร์ หลักชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมีศาสตร์ เศรษฐกิจ กฎหมายนโยบาย ความด้อยความสามารถของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น

54. หน่วยงานใดเป็น Line Agency
(1) หน่วยนโยบายและแผน
(2) หน่วยการเงินและพัสดุ
(3) หน่วยการเจ้าหน้าที่
(4) หน่วยงบประมาณ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

55. ข้อใดเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา
(1) Responsibility
(2) Line Agency
(3) Delegation of Authority
(4) Formal Authority
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

56. การกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่โดยตัวผู้บังคับบัญชาที่ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เรียกว่า
(1) Responsibility
(2) Line Agency
(3) Delegation of Authority
(4) Formal Authority
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

57. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี
(1) ระดับชั้นไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป
(2) แต่ละสายต้องชัดเจน
(3) การดำเนินการต่าง ๆ ต้องให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ข้อ 1 และ 3 ถูก
ตอบ 3 หน้า 143 หลักเกณฑ์ในการจัดสายการบังคับบัญชาที่ดี มีดังนี้
1. จำนวนระดับชั้นของสายการบังคับบัญชาควรจัดให้พอสมควรไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
2. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายควรจะชัดเจนว่าใครเป็นผู้ที่มีอำนาจในการสั่งงาน ผ่านไปยังผู้ใด และใครเป็นผู้รับผิดชอบ
3. สายการบังคับบัญชาแต่ละสายจะต้องไม่สับสนก้าวก่ายหรือซ้อนกัน

58. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการกำหนดขอบเขตการมอบหมายอำนาจหน้าที่
(1) บรรยากาศองค์การ
(2) จำนวนชั้นของสายการบังคับบัญชา
(3) ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
(4) ตัวผู้บริหาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 157 – 159 การกำหนดขอบเขตของการมอบหมายอำนาจหน้าที่ พิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. บรรยากาศขององค์การ
2. ลักษณะของงานที่จะมอบหมาย
3. ตัวผู้บริหารที่จะมอบหมายอำนาจหน้าที่
4. ความเต็มใจที่จะมอบหมายความไว้วางใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
5. ความเต็มใจในการที่จะกำหนดให้มีการควบคุมอย่างกว้าง

ตั้งแต่ข้อ 59. – 63. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) Formal Authority
(2) Acceptance Theory
(3) Competence Theory
(4) Formal Position
(5) Responsibility

59. Chester I. Barnard เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 2 หน้า 148 Chester I. Barnard ได้ให้ความหมายของอำนาจตามทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) โดยกล่าวว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะยอมรับอำนาจของผู้บังคับบัญชาเหนือตนก็ต่อเมื่อเขาสามารถเข้าใจในคำสั่งและเชื่อว่าการใช้อำนาจนั้น ๆ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์การ การใช้อำนาจดังกล่าวไม่ขัดกับผลประโยชน์ของตน และคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่เขาสามารถนำไปปฏิบัติได้ ซึ่งทั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาจะพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้เสียก่อนแล้วจึงตัดสินใจว่าจะเชื่อฟังหรือไม่

60. ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 1 หน้า 147 ทฤษฎีว่าด้วย “อำนาจอย่างเป็นทางการ” (Formal Authority Theory) มีความเชื่อว่า การที่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้นั้นเพราะผู้บังคับบัญชามีอำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการ (Formal Authority หรือ Legal Authority) หรือเรียกว่า อำนาจที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องในลักษณะสถาบัน (Institutionalized Authority) ซึ่งเป็นอำนาจที่ผู้บังคับบัญชาได้รับมาควบคู่กับตำแหน่งหน้าที่การงานที่เป็นทางการ (Formal Position) แต่อำนาจหน้าที่นี้ก็มิใช่มีอำนาจที่จะใช้บังคับได้โดยเด็ดขาดอย่างไม่มีขอบเขตใด ๆ เพราะการใช้อำนาจยังขึ้นอยู่กับลักษณะของความถูกต้องของความเป็นอำนาจอำนาจนั้น ๆ ด้วย ทั้งนี้อำนาจหน้าที่อย่างเป็นทางการสามารถนำไปใช้ได้ในองค์การบริหารทุกประเภท เพราะเป็นหลักเกณฑ์ทางการบริหารโดยทั่ว ๆ ไป

61. อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงมาจากการยอมรับจากผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 2 หน้า 148 ทฤษฎีว่าด้วยการยอมรับ (Acceptance Theory) อธิบายว่า อำนาจหน้าที่ที่แท้จริงในการบริหารนั้นจะมาจากการที่ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับในผู้บังคับบัญชามิใช่สิทธิหรืออำนาจเหนือตน และอำนาจหน้าที่นี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้บังคับบัญชาสามารถชักจูง แนะนำ หรือเจรจาโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาต้องการหรือปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้วยความเต็มใจ โดยมีเหตุผลที่กล่าวถึงอำนาจหน้าที่ในลักษณะนี้ ได้แก่ Chester I. Barnard และ Herbert A. Simon

62. ผู้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียง มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญ ได้รับการยอมรับนับถือ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 3 หน้า 149 ทฤษฎีว่าด้วย “ความสามารถ” (Competence Theory) มีความเชื่อว่า อำนาจหน้าที่นั้นจะเกิดขึ้นได้โดยความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชาในด้านความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ที่จะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือได้ เช่น ผู้บังคับบัญชาที่มีชื่อเสียง มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น ดังนั้นอำนาจหน้าที่นี้จึงเป็นอำนาจหน้าที่ที่ได้มาจากความสามารถพิเศษของผู้บังคับบัญชา ไม่ได้มาจากตำแหน่งที่เป็นทางการ แต่สามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังยอมรับนับถือจนเป็นเสมือนหนึ่งมิได้มีอำนาจมาโดยปริยาย

63. พันธะหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับมอบหมายมาให้ปฏิบัติงาน เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

64. ทุกข้อเป็นปัจจัยที่กำหนดขอบเขตของการกระจายอำนาจ ยกเว้น
(1) ความต้องการเป็นแบบเดียวกับด้านนโยบาย
(2) ปรัชญาการบริหาร
(3) เทคนิคในการควบคุม
(4) ประวัติความเป็นมา
(5) งบประมาณ
ตอบ 5 หน้า 170 – 174, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดขอบเขตของการกระจายอำนาจ และการรวมอำนาจในองค์การ มีดังนี้
1. ความสำคัญของเรื่องที่ตัดสินใจ
2. ความต้องการเป็นแบบเดียวกันทางด้านนโยบาย
3. ขนาดขององค์การ
4. ประวัติความเป็นมาของกิจการ
5. ปรัชญาของการบริหาร
6. ความต้องการความเป็นอิสระในการดำเนินงาน
7. จำนวนของผู้บริหารที่มีอยู่ในองค์การ
8. เทคนิคในการควบคุม
9. การกระจายของการปฏิบัติงานมีการแบ่งแยกงานไปตามสถานที่ต่างที่ต่างออกไป
10. การเปลี่ยนแปลงขององค์การ
11. อิทธิพลของสภาพแวดล้อมองค์การ

65. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการรวมอำนาจ
(1) ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
(2) ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
(3) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง
(4) เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร
(5) เป็นประโยชน์ของการรวมอำนาจทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 175 ประโยชน์ของการรวมอำนาจ มีดังนี้
1. ก่อให้เกิดเอกภาพในการปกครองและการบริหาร
2. ทำให้ทรัพยากรการบริหารรวมอยู่ในที่เดียวกัน
3. เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร รวมทั้งประหยัดเวลา
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

66. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการกระจายอำนาจ
(1) ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง
(2) เกิดความรวดเร็วและสะดวกในการบริหาร
(3) ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
(4) มีโอกาสตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เป็นประโยชน์ของการกระจายอำนาจทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 175 ประโยชน์ของการกระจายอำนาจ มีดังนี้
1. ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้บริหารระดับสูง ทำให้มีเวลาทำงานสำคัญจำเป็นได้มากขึ้น
2. เป็นการสนองบริการหรือความต้องการของแต่ละภูมิภาคได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว
3. ปฏิบัติงานได้ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของท้องถิ่น
4. มีโอกาสในการฝึกฝนผู้บังคับบัญชาระดับรองลงมาให้มีความสามารถ ทักษะ และฝึกฝนการตัดสินใจด้วย
5. โอกาสของการเปรียบเทียบผลของการทำงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

67. ตามทัศนะของ Munsterberg “การกำหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความรู้ความสามารถ
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ความต้องการ
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 67 – 68, (คำบรรยาย) Hugo Munsterberg เป็นนักทฤษฎีองค์การกลุ่มนีโอคลาสสิก ที่เสนอให้มีการนำเอาแบบทดสอบทางจิตวิทยาเข้ามาช่วยคัดเลือกคนเข้าทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ ขององค์การ โดยเน้นว่า การคัดเลือกคนหรือการกำหนดคนให้เหมาะสมกับงานนั้น ไม่ควรพิจารณาเฉพาะความรู้ความสามารถของบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาที่บุคลิกภาพหรือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลให้เหมาะสมกับลักษณะของงานด้วย จึงจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ

68. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก “การกำหนดคนให้เหมาะกับงาน” ให้พิจารณาที่
(1) ความรู้ความสามารถ
(2) แรงจูงใจ
(3) บุคลิกภาพ
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 1 (คำบรรยาย) นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เช่น Max Weber, Frederick W. Taylor, Henri Fayol ได้เสนอหลักการบริหารองค์การในการคัดเลือกคนเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ หรือการกำหนดคนให้เหมาะสมกับงานตามหลัก “Put the Right Man on the Right Job” ในระบบคุณธรรม (Merit System) โดยให้พิจารณาที่คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก

69. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก เสนอให้พิจารณาปัจจัยด้านใดในการบริหารองค์การ
(1) บุคลิกภาพ
(2) คุณวุฒิ
(3) อายุงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. แนวคิดใดที่เชื่อว่า “การควบคุมองค์การเป็นการเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่นำไปสู่เป้าหมาย”
(1) Scientific Management
(2) Contingency Theory
(3) Industrial Humanism
(4) The Action Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 112 – 113 Jeffrey Pfeffer เป็นนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การตามแนวทางของ The Action Theory หรือ The Action Approach เสนอว่า “องค์การเป็นที่พึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจที่ต่างเข้ามาทำงานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปขององค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเหล่านี้” และ “การควบคุมองค์การเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย การจะเข้าใจองค์การต้องศึกษาความต้องการและความสนใจของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจขององค์การในขณะนั้น ๆ โดยให้ความสำคัญไปที่บรรยากาศทางการเมืองในองค์การ”

71. “สภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ….การติดต่อเป็นไปโดยมีเหตุให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก” ตัวอย่างได้แก่
(1) สังคมเด็กวัยประถมศึกษา
(2) สังคมคนชรา
(3) สังคมเด็กวัยรุ่น
(4) สังคมเศรษฐกิจไทย
(5) สังคมชาวเขาเร่ร่อน
ตอบ 5 หน้า 18, (คำบรรยาย) Emery และ Trist ได้แบ่งระดับของความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมออกเป็น 4 ระดับ คือ
1. Placid Randomized Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่สงบราบเรียบ การติดต่อกับสังคมภายนอกเป็นไปโดยบังเอิญ ทำให้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นน้อยมาก เช่น สภาพแวดล้อมของชาวเขาเผ่าโบราณ ชาวเขาเร่ร่อน ทารกในครรภ์ เป็นต้น
2. Placid Clustered Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ราบเรียบแต่มีการติดต่อกับสังคมภายนอกมากขึ้น เช่น สภาพแวดล้อมของเด็กวัยประถมศึกษา เป็นต้น
3. Disturbed-Reactive Environment เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนยุ่งยาก ผลของการติดต่อเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้นได้ เช่น สภาพแวดล้อมของกลุ่มวัยรุ่น เป็นต้น
4. Turbulent Field เป็นสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน ยุ่งเหยิง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น สภาพของระบบสังคมและเศรษฐกิจของไทย เป็นต้น

72. ใครที่เชื่อว่า อำนาจหน้าที่ควรมีการกระจายอำนาจ ใช้การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ
(1) Fayol
(2) Weber
(3) Barnard
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 71 – 72, (คำบรรยาย) Chester I. Barnard ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับองค์การไว้ในหนังสือชื่อ “The Functions of the Executive” ดังนี้
1. องค์การเป็นระบบของความร่วมมือระหว่างบุคคลที่จะต้องร่วมกันดำเนินการกิจให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเปิดเผย
2. อำนาจหน้าที่ควรกำหนดในรูปของความรับผิดชอบของผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่เป็นการกำหนดตายตัวจากบนลงล่าง รวมทั้งควรมีการกระจายอำนาจ และใช้การสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ
3. บทบาทขององค์การจะจูงใจหรือองค์การที่ไม่เป็นทางการเข้ามาใช้ในทฤษฎีองค์การและการบริหารองค์การ
4. บทบาทหลักของผู้บริหารคือการสื่อความเข้าใจและกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานใช้ความพยายามในการทำงานอย่างเต็มที่
5. ผลตอบแทนทางวัตถุไม่จูงใจ สิ่งเดียวที่สำคัญในการจูงใจหรือเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องการ

73. “นำเอาหลักการบริหารงานแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปใช้ในองค์การด้านการศึกษาและหน่วยงานรัฐบาล…….” ผู้ริเริ่มได้แก่
(1) Gilbreths
(2) Emerson
(3) Cooke
(4) Taylor
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 43 Morris L. Cooke ได้นำเอาหลักการและความรู้ทางการจัดการแบบวิทยาศาสตร์เข้าไปศึกษาการบริหารงานในองค์การหน่วยงานของรัฐบาล เช่น องค์การด้านการศึกษา โดยพบว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์การดังกล่าวได้ และในเรื่องการสร้างประสิทธิภาพให้กับงานนั้น เขาเห็นว่าทุกคนควรช่วยกันค้นหา One Best Way ไม่ควรจำกัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะแต่ผู้ชำนาญหรือผู้บริหารเท่านั้น

74. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Participative Management
(2) Management by Objectives
(3) Adhocracy
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 78, (คำบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y (มองคนในแง่ดี) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังนี้
1. การบริหารแบบประชาธิปไตย
2. การบริหารแบบเน้นการมีส่วนร่วม (Participative Management)
3. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by Objectives) หรือการบริหารที่เหมาะกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ (Adhocracy)
4. การทำงานเป็นทีม (Teamwork)
5. การบริหารแบบโครงการ (Project Management)
6. การบริหารแบบ Organic Organization
7. การกระจายอำนาจ (Decentralization)
8. การใช้ความรู้มากกว่าอำนาจหน้าที่ (Knowledge than Authority) ฯลฯ

75. Operation Research หมายถึง
(1) วิชาที่เน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคุณลักษณะของสังคม
(2) วิชาที่มุ่งค้นคว้าเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
(3) วิชาที่เน้นการทดลองประยุกต์ เพื่อคาดหมายพฤติกรรมการทำงานในองค์การ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 83 – 84 การบริหารเชิงปริมาณ (Quantitative Science) แบ่งออกเป็น 2 สาขา คือ
1. วิทยาการบริหาร (Management Science : MS) เป็นวิชาที่มุ่งค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการบริหารงาน
2. การวิจัยดำเนินงาน (Operation Research : OR) เป็นวิชาที่เน้นการทดลองและประยุกต์เพื่อให้เราสามารถสังเกต เข้าใจ และคาดหมายพฤติกรรมอันเนื่องมาจากการทำงานในองค์การ

76. ในการบริหารงาน คำว่า Red Tape หมายถึง
(1) การทำงานไปตามตัวบทโดยขาดหนึ่ง
(2) ปัญหาการประสานงาน
(3) เส้นทางลัดในโครงสร้าง
(4) ความล่าช้าในการสื่อสาร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 49 Red Tape หมายถึง ความล่าช้าในการปฏิบัติงาน ซึ่งเกิดจากความล่าช้าของการติดต่อสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ ในโครงสร้างขององค์การที่จะต้องเป็นไปตามสายการบังคับบัญชาที่ยาวและระบบความสัมพันธ์ที่เป็นทางการ

77. องค์ประกอบใน “ระบบโครงสร้างองค์การ” ได้แก่
(1) Positions and Authority
(2) Technology
(3) Span of Control
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 121, (คำบรรยาย) โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) หมายถึง การสร้างแบบ (Pattern) ของความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ (Components) ต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ (Positions and Authority) ช่วงการบังคับบัญชา (Span of Control) เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญเฉพาะด้าน (Division of Work) เป็นต้น โดยโครงสร้างขององค์การจะแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมและความสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ ของหน่วยงานในองค์การ

78. “……ระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนด้วยกันเองและระหว่างรัฐกับประชาชน” จัดเป็นสภาพแวดล้อมประเภทใดตามทัศนะ Barton และ Chappell
(1) External Environment
(2) Outer Environment
(3) Secondary Environment
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 กระบวนการยุติธรรม (Judiciary) เป็นระบบของสังคมที่ทำหน้าที่สร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทั้งในระหว่างประชาชนด้วยกันเอง และระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ประเภทหนึ่งตามทัศนะของ Barton และ Chappell

79. “……พยายามที่จะจำกัดขอบเขตของการศึกษาเพื่อให้ขอบเขตที่จะสามารถใช้หลักเหตุผลและระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ…….” ที่กล่าวมาเป็นวิธีการของนักทฤษฎีกลุ่มใด
(1) A System Approach
(2) Contingency Theory
(3) Quantitative Science
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 26 – 27, 33 – 34, 83 – 85 วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการของนักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวของ “ระบบปิด” ซึ่งประกอบด้วย
1. นักทฤษฎีองค์การกลุ่มคลาสสิก (Classical Organization Theory หรือ Classical Theory of Organization) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management), นักทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucratic Model) และนักทฤษฎีการบริหาร (Administrative Theorists)
2. นักทฤษฎีที่ศึกษาองค์การและการบริหารในเชิงปริมาณ (Quantitative Science) ได้แก่ นักทฤษฎีกลุ่มวิทยาการบริหาร (Management Science) และนักทฤษฎีกลุ่มการวิจัยดำเนินงาน (Operation Research)

80. ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X จะต้องใช้การบริหารแบบใด
(1) Management by Rules
(2) Participative Management
(3) Management by Objectives
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 77 – 78, (คำบรรยาย) ถ้าเชื่อในธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X (มนุษย์ไม่ชอบทำงานและพยายามหลีกเลี่ยงงานเมื่อมีโอกาส) จะต้องใช้รูปแบบการบริหารดังต่อไปนี้เพื่อแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่อง
1. การบริหารแบบเผด็จการ
2. การบริหารโดยยึดกฎระเบียบ (Management by Rules) คือ การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด หรือใช้กฎระเบียบที่ได้มาตรฐาน
3. การบริหารโดยยึดกระบวนการ (Management by Procedure)
4. การบริหารแบบองค์การแบบเครื่องจักรกล (Mechanistic Organization)
5. การบริหารงานในลักษณะของพวกคลาสสิก เช่น ตัวแบบระบบราชการ (Bureaucracy) หรือ Bureaucratic Model) การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Management)
6. การรวมอำนาจ (Centralization)
7. การใช้อำนาจหน้าที่มากกว่าความรู้ (Authority than Knowledge) ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ)

81. “ความสามารถของผู้ควบคุมงาน” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Psychosocial
(5) Managerial
ตอบ 5 หน้า 96 – 97, (คำบรรยาย) ระบบย่อยต่าง ๆ ภายในระบบขององค์การ มีดังนี้
1. ระบบเทคโนโลยี (Technical) หมายถึง ความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน รวมทั้งเทคนิคและวิธีการทำงานต่าง ๆ ที่องค์การต้องใช้ในการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรหรือปัจจัยนำเข้าให้ออกมาในรูปของผลผลิต
2. ระบบเชิงจิตวิทยา (Psychosocial) เป็นระบบที่รวมความต้องการของบุคคลและความต้องการ เช่น ความต้องการตามลำดับขั้น (Hierarchy of Needs) ตามทฤษฎีของ Maslow เช่น ความต้องการทางกายภาพ ความปลอดภัยในชีวิต ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ความผูกพันกับเพื่อนร่วมงาน เป็นต้น
3. ระบบโครงสร้างขององค์การ (Structural) เป็นระบบที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์การ เช่น สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) กฎระเบียบและข้อบังคับ ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่ แผนกงาน เป็นต้น
4. ระบบย่อยของศิลปะและทักษะในการบริหารองค์การ (Managerial) หมายถึง ความสามารถในการบริหารจัดการของผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ประสานงาน ฯลฯ

82. “Chain of Command” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Managerial
(5) Psychosocial
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

83. “Hierarchy of Needs” จัดอยู่ในระบบย่อยใดของระบบขององค์การ
(1) Goals and Values
(2) Technical
(3) Structural
(4) Managerial
(5) Psychosocial
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

84. ทุกข้อเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การในลักษณะของระบบ ยกเว้น
(1) มีการวางแผน
(2) มีกลไกให้ข้อมูลข่าวสาร
(3) มีความเจริญเติบโตภายใน
(4) มีเสถียรภาพแบบพลวัต
(5) มุ่งประสิทธิภาพสูงสุด
ตอบ 5 หน้า 98 – 106, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบ (ระบบเปิด)” ได้แก่
1. การวางแผนและจัดการ (Contrived)
2. ความยืดหยุ่นของขอบเขต (Flexible Boundaries)
3. การอยู่รอด (Negative Entropy)
4. การรักษาสภาพของระบบให้มีความสมดุลแบบพลวัตหรือมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา (Dynamic Equilibrium)
5. กลไกการให้ข้อมูลข่าวสาร (Feedback Mechanism)
6. กลไกการปรับตัวและรักษาสภาพของระบบ (Adaptive and Maintenance Mechanism)
7. การเจริญเติบโตภายในองค์การ (Growth Through Internal Elaboration)
8. การแบ่งงานในลักษณะยืดหยุ่น ฯลฯ (ส่วนการมุ่งประสิทธิภาพสูงสุด (Maximized Efficiency) เป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดจากการศึกษาองค์การและการจัดการตามแนวทางของ “ระบบปิด”)

85. แนวคิดที่ต้องการให้ผู้บริหารศึกษความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ และทำความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น… แนวคิดดังกล่าวเรียกว่า
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 112 – 113, (คำบรรยาย) ทฤษฎีการกระทำ (The Action Theory หรือ The Action Approach) เป็นแนวคิดที่เน้นการอธิบายเหตุผลและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เป็นจริงหรือตามสภาวะทางการเมืองในองค์การ (Political Nature of Organization) โดยแนวคิดนี้จะเน้นให้ผู้บริหารศึกษาความหมายของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ ทำความเข้าใจให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น และหามาตรการปรับปรุงแก้ไข

86. การที่ผู้ปฏิบัติงานทำงานเพียงเท่าเกณฑ์ขั้นต่ำในการทำงาน ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำนั้น Taylor เรียกพฤติกรรมนี้ว่า
(1) การหลีกเลี่ยงงานตามธรรมชาติ
(2) การค้นหามาตรฐานของงาน
(3) ความล้มเหลวในการบังคับบัญชา
(4) การหลีกเลี่ยงงานโดยอาศัยระบบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 41, (คำบรรยาย) พฤติกรรมการหลีกเลี่ยงงานหรือหนีงานโดยอาศัยระบบ (Systematic Soldiering) ตามแนวคิดของ Frederick W. Taylor นั้น เป็นพฤติกรรมที่อาศัยระบบของงานในองค์การเป็นเครื่องมือเพื่อปิดบังไม่ให้ผู้บังคับบัญชาล่วงรู้ถึงปริมาณงานที่แท้จริงของตน โดยพยายามทำให้เห็นว่าตนมีเนื้องานมีอยู่แล้ว หรือพยายามทำงานเพียงให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำของงาน โดยไม่ได้ใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถมากกว่าเกณฑ์ หรือพยายามทำงานเท่าที่ระเบียบกำหนด หรือทำงานให้น้อยที่สุดเท่าที่ไม่ผิดระเบียบ ไม่สนใจมาตรฐานขององค์การ เช่น การไปสายกลับก่อนเลิกงาน การใช้สิทธิลาหยุดงานให้ครบวันลาตามสิทธิ เป็นต้น

87. ข้อใดเป็น “ปัจจัยจูงใจ” ตามทฤษฎีของ Herzberg
(1) สภาพการทำงาน
(2) เทคนิคและการควบคุมงาน
(3) ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
(4) ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา
(5) นโยบายและการบริหาร
ตอบ 3 หน้า 81 – 82, (คำบรรยาย) ตามทฤษฎีการจูงใจ (Hygiene Theory) ของ Frederick Herzberg นั้น สามารถแบ่งปัจจัยที่มีส่วนช่วยสร้างความพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจให้กับพนักงานได้ 2 ประการ คือ
1. ปัจจัยจูงใจ หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงจูงใจ หรือปัจจัยกระตุ้นให้คนขยันทำงาน (Motivator Factors) เป็นปัจจัยที่เนื่องมาจากในองค์การได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงาน ซึ่งเรียกอีกด้านว่างานในเนื้องาน ได้แก่ ความสำเร็จในหน้าที่การงาน การยอมรับนับถือจากผู้อื่น ลักษณะของงาน ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในการงาน
2. ปัจจัยอนามัย หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรือปัจจัยค้ำจุนให้คนขยันทำงาน (Hygiene Factors) เป็นปัจจัยที่เมื่อพนักงานในองค์การไม่ได้รับการตอบสนองแล้วจะสร้างให้เกิดความไม่พึงพอใจกับพนักงาน หรือทำให้พนักงานไม่ยอมทำงาน ซึ่งเรียกด้านที่ว่างานจากเบื้องนอก ได้แก่ นโยบายและการบริหารงาน เทคนิคและการควบคุมงาน เงินเดือน ความสัมพันธ์ภายในต่อผู้บังคับบัญชา และสภาพการทำงาน

88. Warren Bennis เสนอให้เปลี่ยน “ตัวแบบระบบราชการ” เป็น
(1) ระบบบริหารที่มีโครงสร้างแบบยืดหยุ่น
(2) เน้นการใช้ความรู้
(3) เน้นเอกภาพในการบังคับบัญชา
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 72, (คำบรรยาย) Warren Bennis ได้เสนอให้เปลี่ยน “Ideal Bureaucracy” (ตัวแบบระบบราชการ) ของ Max Weber เป็น “Flexible Adhocracies” ซึ่งเป็นองค์การที่มีลักษณะดังนี้
1. มีการจัดโครงสร้างองค์การให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ หรือเป็นองค์การที่มีการทำงานแบบเฉพาะกิจ
2. เน้นการกระจายอำนาจและเป็นประชาธิปไตย
3. มีโครงสร้างยืดหยุ่น
4. เน้นการใช้ความรู้ (Knowledge) หรือระบบผู้เชี่ยวชาญมากกว่าการใช้อำนาจหน้าที่ (Authority)
5. เน้นการใช้ความสัมพันธ์ในแนวนอนและไม่เป็นทางการ ฯลฯ

89. “องค์การเป็นที่ซึ่งประกอบด้วยผู้มีอำนาจที่ต่างเข้ามาทำงานร่วมกัน อาจมีความขัดแย้งในเป้าหมายขององค์การ การจัดรูปองค์การจะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจเหล่านี้” ที่กล่าวมาเป็นแนวคิดของ
(1) Adhocracies
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

90. พัฒนาการของทฤษฎีองค์การที่ Robbins นำเสนอไว้ในช่วง ค.ศ. 1900 – 1930 เป็นยุคของนักทฤษฎีกลุ่มใด
(1) Industrial Humanism
(2) Contingency Theory
(3) Action Theory
(4) Systems Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5

91. Secondary Environment หรือ External Environment ที่ Barton และ Chappell แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ประกอบด้วย สังคม…….ที่หายไปคือ
(1) เทคโนโลยีและการศึกษา
(2) เศรษฐกิจและการเมือง
(3) การเมืองและเทคโนโลยี
(4) สื่อมวลชนและเทคโนโลยี
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14 – 17 Barton และ Chappell ได้แบ่งสภาพแวดล้อมขององค์การสาธารณะออกเป็น 2 ระดับ คือ 1. สภาพแวดล้อมภายนอก (Outer/Secondary/External Environment) ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี

2. สภาพแวดล้อมทางการเมือง (Political/Primary/Inner Environment) ได้แก่ สาธารณชนโดยทั่วไป ผู้รับบริการและกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ สื่อมวลชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้บริหารระดับสูง และกระบวนการยุติธรรม

92. “เป็นทฤษฎีองค์การที่ให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ ……” เรียกว่าเป็นการศึกษาตามแนวใด
(1) Action Theory
(2) Administrative Theorists
(3) Human Relation Theory
(4) Contingency Theory
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 110 – 111, (คำบรรยาย) การศึกษาองค์การและการบริหารตามสถานการณ์ (Contingency Theory หรือ Situational Approach) เป็นการศึกษาที่ปฏิเสธหลัก One Best Way โดยแนวคิดนี้มีแนวคิดพื้นฐานมาจากแนวคิดเชิงระบบ ซึ่งจะให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของสภาพแวดล้อม (เช่น ระบบเทคโนโลยี) และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมขององค์การภายใต้เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมหนึ่ง ๆ นักวิชาการในกลุ่มนี้จะมองการบริหารว่าเป็นสิ่งที่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงตามเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ ตัวแปรที่สนใจศึกษาจะแตกต่างกันไปตามแนวคิดของนักทฤษฎีแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่า ไม่มีรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับองค์การทุก ๆ ประเภท วิธีการจัดสรรทรัพยากรที่แตกต่างกันจะทำให้การจัดรูปโครงสร้างมีความแตกต่างกันด้วย

93. ถ้าสมมติฐานมีว่า “มนุษย์มีความเฉื่อยชาโดยกำเนิด” วิธีการแก้ไขพฤติกรรมที่บกพร่องของผู้บริหารที่ยึดสมมติฐานนี้ ได้แก่
(1) ใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด
(2) ใช้คู่มือการทำงาน
(3) ใช้การบริหารแบบมีส่วนร่วม
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 (PS 252 เลขพิมพ์ 39270 หน้า 91 – 92) Knowles และ Saxberg เสนอว่า ถ้าเรามีสมมติฐานว่า “มนุษย์มีความเฉื่อยชาโดยกำเนิด” เราสามารถทำงานได้โดยมีพฤติกรรมที่บกพร่องของเขาเป็นผลมาจากธรรมชาติในตัวเขาซึ่งเราอาจจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้โดยตรง การแก้ไขจำเป็นต้องใช้มาตรการเกี่ยวกับการจำกัดเสรีภาพในการที่จะแสดงพฤติกรรมส่วนตัว เช่น การใช้ระเบียบวินัยและบทลงโทษที่เข้มงวด การใช้คู่มือการกำกับการทำงาน เป็นต้น

94. ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่ Herbert Kaufman เห็นว่าเป็น External Management
(1) การตัดสินใจ
(2) การจูงใจ
(3) การกำหนดนโยบาย
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 14, (คำบรรยาย) Herbert Kaufman เห็นว่า ผู้บริหารจะใช้เวลาของตนให้กับภารกิจ 2 ลักษณะ คือ
1. Pure Internal Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารใช้เวลาน้อยเพียงร้อยละ 10 – 20 ของเวลาทั้งหมด ได้แก่ ภารกิจด้านการวินิจฉัยสั่งการหรือการตัดสินใจ และภารกิจในด้านการจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์การเกิดการดำเนินงานตามภาระหน้าที่
2. External Management เป็นภารกิจที่ผู้บริหารต้องใช้เวลามากถึงร้อยละ 85 – 90 ของเวลาทั้งหมด โดยแบ่งเป็นภารกิจด้านการเป็นตัวแทนขององค์การในการติดต่อกับหน่วยงานอื่น ๆ ประมาณร้อยละ 25 – 30 ของเวลาทั้งหมด และภารกิจด้านการรับและการกรองข้อมูลข่าวสาร หรือการแสวงหาข้อมูลข่าวสารจากสังคมประมาณร้อยละ 50 – 60 ของเวลาทั้งหมด

95. Barton และ Chappell เรียกสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจว่าเป็น
(1) Political Environment
(2) Primary Environment
(3) Inner Environment
(4) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

96. ตามทฤษฎีของ Herzberg ปัจจัยใดต่อไปนี้ที่เป็น Motivator Factors สูงที่สุด
(1) นโยบายและการบริหาร
(2) ความก้าวหน้าในงาน
(3) ลักษณะของงาน
(4) ความสำเร็จในหน้าที่การงาน
(5) ความรับผิดชอบ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

97. การแบ่งประเภทขององค์การโดย “พิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายใน” จัดเป็นการแบ่งประเภทขององค์การโดยยึดเกณฑ์ใด
(1) วัตถุประสงค์ในการดำเนินงาน
(2) ความเปิดองค์การ
(3) หน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากร
(4) ความเป็นเจ้าของ
(5) ความเป็นทางการ
ตอบ 5 หน้า 9, (คำบรรยาย) การแบ่งประเภทองค์การโดยพิจารณาจากโครงสร้างขององค์การ เป็นการพิจารณาที่สภาพความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ ภายในองค์การ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. องค์การที่เป็นทางการหรือองค์การรูปนัย (Formal Organization) 2. องค์การที่ไม่เป็นทางการหรือองค์การอรูปนัย (Informal Organization)

98. ข้อใดเป็นผลการศึกษาที่สำคัญที่สุดจาก “Hawthorne Experiments”
(1) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
(2) พบความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภาพในการทำงานกับทรัพยากรนำเข้า
(3) พบผลทางลบที่เกิดเนื่องมาจากความเอาใจใส่ของผู้บังคับบัญชา
(4) พบอิทธิพลของภาวะผู้นำที่ส่งผลต่อการทำงาน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 68 – 70, (คำบรรยาย) George Elton Mayo ได้ทำการวิจัยแบบทดลองที่เรียกว่า Hawthorne Study หรือ Hawthorne Experiments โดยการให้กลุ่มทดลองได้รับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และกลุ่มควบคุมได้รับสภาพแวดล้อมที่คงที่ ซึ่งขณะผลการทดลองที่สำคัญ คือ การเกิดปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นเป็นผลกระทบจากการทดลอง ซึ่งส่งผลให้กลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมต่างไปยอมรับและเห็นพ้องกับงานนั้น ผลผลิตของทั้งสองกลุ่มโดยปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นที่รู้จักและเรียกกันต่อมาว่า “Hawthorne Effect” หมายถึง ผลทางบวกที่เกิดกับผู้ปฏิบัติงานอันเนื่องมาจากผู้ปฏิบัติงานได้รับความสนใจและเอาใจใส่ดูแลที่ดีมากขึ้นจากผู้บังคับบัญชานั่นเอง

99. ตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการ “ความต้องการที่จะได้รับชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงาน” เรียกว่า
(1) Self-Realization Needs
(2) Safety Needs
(3) Social Needs
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 75 – 76 A.H. Maslow ได้เสนอทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ (Hierarchy of Needs Theory) ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ลำดับ จากต่ำสุดไปถึงสูงสุด ดังนี้
1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) เช่น อาหาร อากาศ การพักผ่อน
2. ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต (Safety Needs)
3. ความต้องการที่จะเข้าร่วมในสังคม (Social Needs)
4. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้รับเกียรติ ชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับนับถือของผู้ร่วมงาน (Esteem Needs, Ego Needs หรือ Status Needs)
5. ความต้องการที่จะได้รับความสำเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ (Self-Realization Needs)

100. ทุกข้อเป็นทฤษฎีในการศึกษาองค์การแบบ “ระบบเปิด” ยกเว้น
(1) ยึดมนุษย์ไม่ตายตัว
(2) ประสิทธิภาพสูงสุด
(3) สมดุลที่เป็นพลวัต
(4) ความเป็นสถาบัน
(5) ธรรมชาติของมนุษย์
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

 

POL3311 การเมืองและระบบราชการ 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทำทุกข้อ

ข้อ 1. ข้าราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยมาตลอด ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิถุนายน 2475) จนถึงปัจจุบันนี้ ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบายและยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม

แนวคำตอบ (หนังสือพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 29 – 34)

ระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้

นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยเป็นระบบอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) คือ ถูกครอบงำโดยข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนมาโดยตลอด ประเทศไทยจึงตกอยู่ในภาวะขาดแคลนนักการเมืองอาชีพ และอุดมไปด้วยข้าราชการที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองทั้งในด้านนิติบัญญัติ ด้านตุลาการ ด้านการเมือง และด้านการสร้างสรรค์พรรคการเมือง โดยข้าราชการประจำมักเข้าไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เป็นต้น ดังจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ. 2475 – 2518 คณะรัฐมนตรีเกือบทุกชุดของไทยมีข้าราชการเป็นรัฐมนตรีครึ่งหนึ่ง นักการเมืองอาชีพ เพราะระบบราชการมีอำนาจและมั่นคงกว่าระบบการเมือง และระบบการเมืองยังขาดเสถียรภาพทำให้นักการเมืองอาชีพน้อย

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบบการเมืองไทย มีผลทำให้ทหารและข้าราชการพลเรือนมีบทบาทสำคัญทางการเมือง ทหารกลายเป็นสถาบันที่ครอบงำการเมือง ทยอยเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเศรษฐกิจตกต่ำในสมัยรัตนโกสินทร์และสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อำมาตยาธิปไตยของทหาร แต่ภายหลังสงครามไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาของประเทศ และการล่มสลายทางการเมือง

หลังจากนั้นในระยะต่อมาเมื่อนักการเมืองเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง และเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย และข้าราชการประจำมีบทบาทในการควบคุมดูแลระบบการเมือง ข้าราชการประจำไม่ได้ทำหน้าที่ทำงานไปตามนโยบายเท่านั้น แต่เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย เนื่องจากข้าราชการประจำปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง จึงมีความรู้และประสบการณ์ในการทำงานของตน แต่การเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เพราะฉะนั้นนักการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งจึงต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารและความเห็นต่าง ๆ จากข้าราชการประจำในการกำหนดนโยบาย

สถาบันการเมืองมีลักษณะอ่อนแอ ในขณะที่ระบบราชการมีความเข้มแข็ง นักการเมืองมักจะอ่อนแอในการพัฒนานโยบายและความต่อเนื่อง และความสัมพันธ์กับประชาชน เพราะฉะนั้นอำนาจต่อรองทางการเมือง และมีการสรรหาทรัพยากรทางการเมืองอย่างเต็มที่เห็นได้ชัดเจน ข้าราชการจึงเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบาย

ในการกำหนดนโยบาย และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานราชการมีส่วนสำคัญกว่านักการเมืองและพรรคการเมือง โดยข้าราชการประจำมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย และแผนพัฒนาในทุกระดับตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย

ข้าราชการประจำมีบทบาทในการชี้ขาดทางด้านนโยบาย เพราะมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ข้าราชการประจำมีความรู้และประสบการณ์ และถูกจำกัดด้วยพลวัตรและเวลา จึงไม่สามารถ
ทำการเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้ยากนัก แม้ว่าจะมีการแก้ไขให้ตำแหน่งผู้ชำนวยการสำนักงบประมาณเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งทำให้อิทธิพลการเมืองจากภายนอกในการจัดทำงบประมาณลดลง และอาศัยหลักวิชาการและเหตุผล (Rationality) มากขึ้นก็ตาม แต่ในแง่อำนาจให้กับข้าราชการประจำในการจัดทำงบประมาณ

การที่ข้าราชการมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายสำคัญจนเคยชิน และการไม่ยอมรับอำนาจของนักการเมือง ทำให้นักการเมืองพยายามเข้ามาควบคุมบุคคลที่เป็นข้าราชการ โดยการเปลี่ยนตัวปลัดกระทรวงเพื่อควบคุมปลัดกระทรวงได้ก็ดี จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำเสมอมาในอดีตระบบการเมืองไทยถูกครอบงำโดยระบบราชการ ดังต่อไปนี้

1 ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงำการเมืองไทยมาตลอด

2 ระบบราชการไทยทำหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มิ กฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง

3 ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ทางการเมือง

4 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย

5 ระบบราชการไทยควบคุมการดำเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด

6 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกำหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภา-นิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง

7 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน

8 ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงำต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว

 

ข้อ 2. การเมือง (Politics) คืออะไร จงอธิบาย และแนวทางการศึกษาการเมือง (Approach) มีอย่างไรบ้าง จงอธิบายเป็นข้อ ๆ

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 7 – 8)

David Popence กล่าวว่า การเมือง (Politics) เป็นกระบวนการที่ประชาชนและกลุ่มแสวงหาอำนาจและใช้อำนาจเหนือผู้อื่น อำนาจเป็นความสามารถในการควบคุมการกระทำของคนอื่น ไม่ว่าจะได้รับการยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยมีกลไก 3 อย่าง คือ 1. การให้รางวัล 2. การลงโทษ 3. การควบคุมข่าวสาร ทัศนคติและความรู้สึก ส่วนสิทธิอำนาจ (Authority) เป็นอำนาจที่ได้มาโดยชอบธรรมถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นอำนาจตามตำแหน่งที่ได้รับ

การศึกษาและการวิเคราะห์ทางการเมือง มีดังนี้

1 แนวเน้นเรื่องปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการแสวงหารูปแบบที่ดีของรัฐและชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม โดยเน้นในเรื่องคุณค่า คุณธรรม จริยธรรม จริยศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค โครงสร้างของรัฐ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ สิทธิการเมือง และการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

2 แนวเน้นเรื่องสถาบันทางการเมือง (Political Institution Approach) หรือแนวสถาบันนิยม (Institutionlism) เป็นแนวเน้นการศึกษากระบวนการที่ทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) ซึ่งหมายถึง กระบวนการรวบรวมระเบียบกฎเกณฑ์ของกิจกรรมขึ้นเป็นแม่แบบขององค์การ เป็นแนวเน้นการศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎเกณฑ์ รัฐธรรมนูญ แหล่งที่มา…โครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันตุลาการ สถาบันบริหารราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผู้นำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

3 แนวเน้นเรื่องอำนาจ (Power Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการใช้อำนาจของผู้ปกครองอย่างเหมาะสม โดยทำให้สังคมมีเสถียรภาพและผู้ใต้ปกครองมีความผาสุก นับว่าอำนาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเมืองการปกครองสามารถรักษาระเบียบกฎเกณฑ์ของสถาบันไว้ได้ อำนาจเป็นความสามารถของบุคคลในการควบคุมความคิดจิตใจและความประพฤติของคนอื่น อำนาจจะเป็นวิธีการ (Mean) ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ และอำนาจก็เป็นเป้าหมาย (End) ที่บุคคลแสวงหามาด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยมองว่าการเมืองก็คือการต่อสู้เพื่อการมีอำนาจ

4 แนวเน้นเรื่องการกำหนดนโยบายสาธารณะและการตัดสินใจ (Public Policy and Decision Making Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจการตัดสินใจมีลักษณะประยุกต์ใช้ในสิ่งที่คาดไม่ถึง ไม่ได้เน้นในเรื่องผลของการนำนโยบายไปปฏิบัติ เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ

5 แนวเน้นเรื่องระบบการเมือง (Political System Approach) เป็นแนวที่มุ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างและกระบวนการต่าง ๆ ของระบบการเมือง เป็นว่ากระบวนการเมืองเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับหน้าที่ ระบบการเมืองมีหน้าที่เกี่ยวกับการปรับตัวและการอนุรักษ์ การเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ และการเปลี่ยนแปลงปัจจัยนำเข้า (Input) ไปเป็นผลผลิต (Output)

6 แนวเน้นเรื่องพฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมการเมืองของมนุษย์โดยเน้นจิตวิทยากลุ่ม พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้มีอำนาจการเมือง เช่น หาเหตุผล พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

7 แนวเน้นเรื่องการพัฒนาทางการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมมีผลต่อมิติด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้อธิบายนิยามการเมืองจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น อำนาจการเมืองมีการนำไปสู่ระบบการเมืองใหม่ จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว เป็นต้น

 

ข้อ 3. นักการเมืองมีหน้าที่กำหนดนโยบาย ข้าราชการประจำมีหน้าที่หลักคือ นำนโยบายไปปฏิบัติ หมายถึงอะไร จงอธิบายให้ละเอียดและยกตัวอย่างประกอบ

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข P-3311 หน้า 18 – 20)

การเมืองกับการกำหนดนโยบาย

การกำหนดนโยบายสาธารณะเป็นการกำหนดกรอบแนวทางในการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาของส่วนรวม ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองฝ่ายบริหาร ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายก็คือผู้นำ กลุ่มผลประโยชน์ รัฐบาล ความต้องการของประชาชน การสนับสนุนจากกลุ่มต่าง ๆ และการตัดสินใจ

ในสังคมประชาธิปไตยหรือโครงสร้างทางการเมืองแบบประชาธิปไตยนั้น การแข่งขันเพื่ออำนาจและการแสดงอำนาจเกิดขึ้นตาม “กฎแห่งเกม” (Rules of Game) การจัดระเบียบทางสถานะจะมีกลุ่มหรือพรรคต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป เข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันกันเพื่อให้ได้อำนาจหรือตำแหน่งผู้นำ โดยอาศัยความเข้มแข็งของนโยบายหรือการสร้างภาพพจน์หรืออาศัยทั้งสองอย่าง และมีประชาชนที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดทำการเลือกตั้งได้อย่างอิสระ (Free Election)

การนำนโยบายไปปฏิบัติกับระบบราชการ

เมื่อมีการกำหนดนโยบายสาธารณะแล้ว จะต้องมีการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติโดยการวางแผน (Planning) ซึ่งอาจจะมีลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ แต่การวางแผนจะต้องคำนึงถึงเนื้อหาสาระของแผนเป็นอย่างมาก โดยมุ่งเน้นรายละเอียดของปัญหาที่จะนำมาจัดทำแผน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาแรงงาน ปัญหาการศึกษา เป็นต้น

การกำหนดนโยบายสาธารณะ (Policy Formulation) เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือนักการเมืองฝ่ายบริหาร ส่วนการนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการประจำในหน่วยงานต่าง ๆ ดังนั้นการนำนโยบายไปปฏิบัติจึงเกี่ยวข้องกับระบบราชการโดยตรง และความสำเร็จของนโยบายหรือแผนที่วางไว้ก็ขึ้นอยู่กับระบบราชการเป็นสำคัญ

 

ข้อ 4. ปัญหาระบบราชการไทยมีอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และให้เสนอแนวทางปฏิรูประบบราชการไทยจงวิเคราะห์ และอธิบายให้ละเอียด

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 87 – 90, 108 – 109), (คำบรรยาย)

ปัญหาของระบบราชการไทยที่สำคัญ ได้แก่

1 ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทำให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยด้อยคุณค่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นขยายวงกว้างออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยแก้ไขภาพปัญหาหนี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด

2 ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการมีโครงสร้างของกลุ่มข้าราชการที่ใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากำลังข้าราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบราชการมีภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องคนสูง ปัญหางบประมาณของบุคคลที่สูง ทำให้ค่าใช้จ่ายในงบประมาณมีไม่เพียงพอที่จะนำไปพัฒนาประเทศในด้านอื่น ๆ อย่างเพียงพอ งบประมาณไม่สมดุล และมีผลกระทบต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของรัฐในการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ

3 ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารราชการไทยยุควิกฤตการณ์ ประสิทธิภาพการบริหารราชการไทยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภาคพื้นเอเชีย แต่ในส่วนราชการส่วนใหญ่ยังไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัดในการดำเนินงาน ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของราชการได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐจึงมีการประเมินคุณภาพ รวมทั้งความคาดหวังของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทย ในแนวทางดังกล่าว จึงจำเป็นต้องมีปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะต้องทำให้เห็นถึงเหตุผล และความจำเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน

4 ปัญหาการรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาค แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาคยังไม่สามารถสนองตอบความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ได้มากนัก ยิ่งต้องอาศัยนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก หลักการบริหารราชการส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง

5 ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบันมีลักษณะที่เป็นเหลี่ยม ขาดความคล่องตัว การบริหารจัดการขึ้นอยู่กับอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ฝ่ายบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรทำได้ยาก ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์การมีขนาดใหญ่ ทำให้การรับเรื่องร้องเรียนต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการดำเนินการ

6 ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐเป็นการบริหารโดยยึดถือกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อการบริหารภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัยเมื่อเทียบกับภาคธุรกิจของเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระเบียบราชการที่ต้องปฏิบัติงานตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้สำคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทำให้การบริหารงานขาดความคล่องตัว

7 ปัญหากำลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กำลังคนภาครัฐที่อยู่ในระบบราชการปัจจุบันส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กำลังคนส่วนใหญ่ยังขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และยึดติดกับการทำงานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ระบบราชการที่ทำให้กำลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของข้าราชการที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงก้าวหน้า

8 ปัญหาค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการเป็นองค์การขนาดใหญ่ ทำให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทำงานได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากภาครัฐต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการเป็นจำนวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้ของข้าราชการอยู่ในระดับต่ำและไม่สัมพันธ์กับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา

9 ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นของการบังคับบัญชา ปัญหาข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควรต่อการพิจารณาในระบบราชการของข้าราชการ การทำงานขาดการจูงใจ ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิมในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่ความรู้และความสามารถได้มีโอกาสในการแสดงศักยภาพการทำงานได้อย่างเท่าที่ควร ข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคำสั่งและนำมาปฏิบัติงานมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ

แนวทางการแก้ไขเพื่อนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1 การมอบอำนาจและการกระจายอำนาจ

2 การให้เอกชนเข้ามามีบทบาทของภาครัฐในด้านการเป็นผู้ควบคุม

3 การลดจำนวนข้าราชการด้านกำลังคน

4 การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จำเป็น

5 ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร

6 ทำให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย

7 การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศตามเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้ไขกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพภาคราชการไปให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงานและสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างองค์การบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคล (เพิ่มค่าตอบแทนกลาง ปรับปรุงงานบุคคลที่มีศักยภาพของข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่ดีมีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่สนองตอบความมั่นคง

4 การบริหารราชการมองการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

POL3311 การเมืองและระบบราชการ 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 4 ข้อ ให้ทำทุกข้อ

ข้อ 1. ให้นักศึกษาอธิบายถึงการพัฒนาระบบราชการของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 90, 107 – 109), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 67 – 79), (คำบรรยาย)

การพัฒนาระบบราชการไทย ซึ่งแบ่งการบริหารราชการออกเป็น 4 ยุค ดังนี้

1 ยุคเจ้าขุนมูลนายสุโขทัย (พ.ศ. 1870 – 1893) ลักษณะสำคัญของการปกครองยุคนี้คือ การปกครองแบบพ่อปกครองลูก ผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นผู้มีอำนาจมากในสังคม ทหารกับพลเรือนมีความแตกต่างกันน้อย ทุกคนทำหน้าที่ทั้งทางการทหารและพลเรือน

2 ยุคระบบราชการอุปถัมภ์อยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310) การปกครองในยุคนี้ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราชา มีลักษณะของนายจ้างกับลูกจ้าง นอกจากนี้ยังมีการสร้างระบบราชการขึ้น โดยไม่เพียงเป็นแค่เครื่องมือของการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการจัดระเบียบทางสังคมอีกด้วย

3 ยุคปฏิรูปของราชวงศ์จักรี (พ.ศ. 2310 – 2475) ยุคนี้เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางวัตถุเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงกรมต่าง ๆ แบบเก่าให้เป็นกระทรวงแบบยุโรป เปลี่ยนขุนนางมาเป็นข้าราชการพลเรือน มีเงินเดือนประจำ มีการส่งคนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการ

4 ยุครัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา) เป็นยุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยพยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิในการปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา สาธารณสุข และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสาธารณะ รวมทั้งแรงงานและประกันสังคม

ปัญหาที่สำคัญของระบบราชการไทย มีดังนี้

1 ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตและอุ้ยอ้ายเกินไป

2 มีการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจเกินไป

3 กฎ ระเบียบมีมาก เทคโนโลยีไม่ทันสมัย

4 โครงสร้างส่วนราชการไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว

5 ระบบราชการไทยขาดเอกภาพ ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและขาดประสิทธิภาพ

6 มีการยึดถือคตินิยมและทัศนคติที่ไม่ดีงาม กล่าวคือ มักใช้อคติ ระบบพรรคพวก ขาดความกระตือรือร้น และความคิดริเริ่มในการทำงาน

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทย

จากปัญหาระบบราชการไทยดังกล่าว จึงมีแนวคิดที่จะปฏิรูประบบราชการไทยเกิดขึ้น เพราะประชาชนส่วนรวมต้องการให้มีการปฏิบัติงานบริการที่มีประสิทธิภาพ ภาพพจน์ของระบบราชการที่ดีงาม มาตรฐานในการทำงาน มีความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และทำงานร่วมมือกัน จุดร่วมของแนวคิดในการปฏิรูป ก็คือ

1 เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบบริหารในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน

2 อาจปฏิรูปเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบราชการหรือทั้งระบบก็ได้

3 เป็นการปรับปรุงปรับปรุงส่วนต่าง ๆ วิธีปฏิบัติงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมของบุคคล

4 มีแนวโน้มไปในปัจจุบันว่าจะมุ่งพัฒนาศักยภาพและกิจกรรมของรัฐในด้านมากกว่าในส่วนใดส่วนหนึ่งเฉพาะ

เหตุผลที่ต้องมีการปรับปรุงและปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1 เพื่อให้การบริหารราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2 เพื่อให้เกิดความประหยัดโดยมีการทำงานที่ซ้ำซ้อน และมีการใช้คนงาน

3 เพื่อบ่งส่วนราชการให้ถูกต้องตามหลักการแบ่งงานและการจัดองค์การ

4 มีการปฏิรูปราชการให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

5 เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล

6 ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตเกินไป

7 กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทำให้ระบบราชการจะต้องปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

ตัวอย่างการปฏิรูประบบราชการไทยของรัฐบาลต่าง ๆ มีดังนี้

1 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เช่น การกำหนดมาตรการจำกัดการขยายตัวของข้าราชการและลูกจ้างในส่วนราชการให้เหลือร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น

2 รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เช่น การแปรสภาพกิจกรรมของรัฐให้เป็นกิจกรรมของเอกชน (Privatization) เป็นต้น

3 รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เช่น การเสนอให้มีการเกษียณราชการในวันสิ้นสุดครบ 60 ปี เสนอให้ค่าตอบแทนกิจการในการดูแลกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

4 รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เช่น กำหนดแผนแม่บทและแนวทางในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อวางหลักการสำคัญเกี่ยวกับการบริหารงานภาครัฐ การบริการ และแนวทางการปฏิรูประบบการทำงานของรัฐ เป็นต้น

5 รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เช่น การเสนอให้มีการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) โดยกำหนดให้มีคุณสมบัติครบที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 20 ปี และบรรจุข้าราชการทดแทนได้ไม่เกินร้อยละ 20 เป็นต้น

6 รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เช่น การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม เป็น 20 กระทรวง ปรับปรุงโครงสร้างข้าราชการ ระบบงบประมาณ กฎหมาย พัฒนาคติของข้าราชการ และวิธีการทำงาน เป็นต้น

7 รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เช่น ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เป็นต้น

ข้อ 2. ให้นักศึกษาอธิบายถึงแนวคิดเชิงระบบการเมืองของไทยมาโดยละเอียด
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 3 – 5)

ทฤษฎีระบบ (Systems Theory)
ทฤษฎีระบบการเมืองตามแนวคิดของ David Easton เริ่มต้นด้วยปัจจัยนำเข้า (Input) อันได้แก่ ความต้องการ และการให้ความสนับสนุน นำเข้าสู่ระบบการเมือง ซึ่งกระทำหน้าที่เป็นกระบวนการแปรรูป (Process) ผลที่ออกมาจากกระบวนการนี้เรียกว่า ปัจจัยนำออก (Output) อันได้แก่ นโยบายหรือการตัดสินใจของรัฐบาล และเมื่อนโยบายถูกนำไปปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ (Feedback) ไปสู่ปัจจัยนำเข้าเพื่อนำไปเป็นปัจจัยแก้ไขหรือพัฒนาต่อไปอีกครั้ง ซึ่งความต้องการดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากการรับรู้สภาวะแวดล้อมของบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ความต้องการเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อทำให้เกิดนโยบายสาธารณะที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่บุคคลและกลุ่มที่เรียกร้องเมื่อมีการนำนโยบายไปปฏิบัติ

นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่เกิดจากการที่ระบบการเมืองแปรเปลี่ยนความต้องการของประชาชนไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม ข้อเรียกร้องของประชาชน ซึ่งตามทฤษฎีนี้ความต้องการและการสนับสนุนจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะโดยผ่านกระบวนการในระบบการเมือง

เราจะเห็นได้ว่า David Easton มองระบบการเมืองเป็นการดำเนินงานทางการเมืองเนื่องในฐานะที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปจากกระบวนการดำเนินงานในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น การวิเคราะห์การเมืองในรูปแบบนี้เป็นเพียงการยอมรับว่าในสถาบันการเมือง เราสามารถแยกแยะกระบวนการเมืองออกจากกระบวนการอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างชัดเจน มีขอบข่ายแน่นอน โดยเราจะต้องคัดค้านการดำเนินงานในกิจกรรมอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างชัดเจน มีขอบข่ายแน่นอน โดยเราจะต้องคัดค้านการดำเนินงานในระบบอื่น ๆ และสิ้นสุดลงที่จุดไหน โดยเราจะต้องเลือกตัวจักรสำคัญที่เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมในสังคมที่ใหญ่โต โดยกำหนดว่ากิจกรรมอยู่ในขอบเขตของระบบการเมือง จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ในระบบ โดยมีนโยบายโดยตรงบังคับให้ปฏิบัติตามการแบ่งสรร

 

ข้อ 3. ให้นักศึกษาอธิบายถึงขั้นตอนของการพัฒนาระบบราชการไทย
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 47 – 49, 59 – 61)

ระบบราชการไทย
ระบบราชการไทยเป็นกลไกอย่างหนึ่งต่อการบริหารกิจการบ้านเมืองภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล รวมถึงการดำเนินการบังคับใช้ให้เป็นไปตามกฎหมาย อันมีจุดหมายปลายทางเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ระบบราชการไทยที่พึงประสงค์ในยุคปัจจุบันและในอนาคตนั้นจะต้องมีคุณลักษณะและแนวทาง ดังต่อไปนี้

1 ต้องให้ประชาชนเป็น “ศูนย์กลาง” ในการทำงาน โดยต้องรับฟังความคิดเห็น ตอบสนองความต้องการและอำนวยประโยชน์ให้ตกแก่ประชาชน ลดขั้นตอนและภาระในการติดต่อของประชาชน มีระบบการรับเรื่องราวร้องทุกข์ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเป็นที่พึ่งของประชาชนในยามมีปัญหาและความเดือดร้อน

2 ปรับเปลี่ยนบทบาทให้เป็นผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก ไม่เป็นผู้ดำเนินการเสียเองหรือมีอำนาจมากจนเกินไป รวมทั้งต้องดึงภาคเอกชนและทรัพยากรภายนอกเข้ามาสมทบ ไม่พยายามเข้าแทรกแซงและขยายตัวเกินไปจนเป็นการผูกขาดประเทศ หรือมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นและสิทธิเสรีภาพของประชาชน

3 ประเมินการทำงานงานกับผู้รับบริการรายอื่นเพื่อเพิ่มประโยชน์สุขต่อประชาชน สามารถให้ความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายอย่างมีเหตุผล ดังนั้นความถูกต้อง เป็นกลาง ปราศจากอคติ และอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรมาภิบาลวิชาชีพ นอกจากนี้ยังควรต้องให้การยอมรับและเข้าไปแทรกแซงบทบาทและอำนาจหน้าที่ซึ่งกันและกัน

ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยในช่วงระยะปี พ.ศ. 2551 – 2555 สามารถแยกออกได้เป็น 4 ประการ ดังนี้

1 ยกระดับการให้บริการและการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สลับซับซ้อน หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

2 ปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ เกิดการประสานความร่วมมือ และสร้างเครือข่ายกับฝ่ายต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

3 มุ่งสู่องค์การที่มีขีดสมรรถนะสูง บุคลากรมีความพร้อมและความสามารถในการเรียนรู้ คิดริเริ่ม เปลี่ยนแปลง และปรับตัวได้อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ

4 สร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม

แนวคิดในการปฏิรูป พ.ศ. 2511 ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ดังต่อไปนี้

1 หลักคุณธรรม โดยยึดมั่นในความดี ความสามารถ ความเสมอภาค ความเป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

2 หลักความรับผิดชอบที่จำเป็นและเหมาะสมกับการปฏิบัติราชการ

3 หลักความมีประสิทธิภาพให้ทุกคนได้พิจารณาจากผลการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

4 หลักการกระจายอำนาจเพื่อให้เกิดความสร้างสรรค์และแข่งขันกับส่วนราชการในการปฏิบัติงานด้านการบริหาร ทรัพยากรบุคคลภาครัฐ

5 หลักความสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตและการทำงาน

การจัดระเบียบบริหารราชการไทย แบ่งอำนาจบริหารออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1 อำนาจบริหารส่วนกลาง ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงหรือทบวง

2 อำนาจบริหารส่วนภูมิภาค โดยการใช้อำนาจคณะรัฐมนตรี มหาดไทย กระทรวง ทบวง กรม และการปกครองส่วนท้องถิ่นระดับต่าง ๆ เป็นเครื่องมือ

3 อำนาจตุลาการ โดยการใช้อำนาจทางศาลยุติธรรม

หลักการทั่วไปในการจัดระเบียบการปกครอง มี 3 หลักการสำคัญ คือ

1 หลักการรวมอำนาจปกครอง (Centralization) หมายถึง หลักการจัดระเบียบราชการแผ่นดิน โดยรวมอำนาจการปกครองไว้ให้แก่ราชการบริหารส่วนกลาง อันได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม หรือทบวงการเมืองของรัฐ มีลักษณะสำคัญ 3 ประการ คือ การรวมอำนาจทางด้านการคลัง และการให้ขึ้นตรงส่วนกลาง ส่วนการบริหารราชการส่วนภูมิภาคมีบัญชาเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางไปประจำการ

2 หลักการแบ่งอำนาจปกครอง (Deconcentration) หมายถึง หลักการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางที่ได้แบ่งแยกอำนาจไปให้ราชการบริหารส่วนกลางที่เป็นตัวแทนไปประจำยังพื้นที่ส่วนภูมิภาค ซึ่งส่วนภูมิภาคดังกล่าวต้องปฏิบัติตามนโยบายและระเบียบแบบแผนที่ส่วนกลางกำหนดไว้

3 หลักการกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization) หมายถึง หลักการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลางได้กระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นเป็นนิติบุคคลที่เป็นอิสระจากส่วนกลาง หน่วยการบริหารราชการส่วนกลางจะไม่ต้องขึ้นบังคับบัญชา เพียงแต่มีหน้าที่กำกับดูแลการบริหารราชการส่วนกลางเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ รัฐมอบอำนาจในการปกครองส่วนกลางบางอย่างไปให้ประชาชนในท้องถิ่นจัดตั้งองค์กรขึ้นปกครองท้องถิ่นของตนเอง

การกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่น มีลักษณะที่สำคัญ คือ

1 มีการจัดตั้งองค์การขึ้นเป็นนิติบุคคลเพิ่มขึ้นจากส่วนกลาง มีงบประมาณและทรัพย์สินเป็นของตนเองและไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยบริหารราชการส่วนกลาง ส่วนกลางจะเพียงดูแลให้ปฏิบัติหน้าที่ไปตามกฎหมายเท่านั้น

2 มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมดหรือบางส่วน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองอย่างใกล้ชิด

3 มีอำนาจอิสระในการปกครองตนเองได้ตามสมควร

4 มีงบประมาณและรายได้เป็นของตนเอง

5 มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เป็นของท้องถิ่นของตนเอง

 

ข้อ 4. ระบบการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบันมีผลกระทบอย่างไรต่อระบบราชการของไทย จงอธิบาย
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 26 – 28)

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการ
โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ระบบราชการ หมายถึง หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่บริหารราชการของประเทศ รวมทั้งองค์กรของรัฐในรูปของรัฐวิสาหกิจ

ส่วนข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ทำงานประจำในระบบราชการตามกระทรวง ทบวง กรม สำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐวิสาหกิจ

ส่วนบุคคลที่ทางกฎหมายเรียกว่าข้าราชการการเมืองนั้น ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ไม่เรียกเป็นข้าราชการ แต่เรียกว่านักการเมือง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักการเมืองกับข้าราชการจะมีความแตกต่างกันในหลายด้าน แต่ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในทางประสานและขัดแย้งกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองนี้เองทำให้นักการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อข้าราชการ ขณะเดียวกับข้าราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง

การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทย ดังนี้

1 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีกดขี่ข่มเหงบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของพรรคพวก มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม

2 นักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวไม่มีความชำนาญการและระเบียบแบบแผน การตัดสินใจจึงสั่งการไม่รอบคอบ และในบางกรณีไม่มีความสันทัดจัดเจนในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน

3 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวสั่งการโดยขัดกับคณะรัฐมนตรีหรือกฎระเบียบ ข้าราชการประจำจำเป็นต้องปฏิบัติตามความเดือดร้อนคือข้าราชการเพราะเป็นผู้ดำเนินการ

4 นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางครั้งบางคราวสร้างความหวาดกลัวให้แก่ข้าราชการและใช้อำนาจในการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระ

5 นักการเมืองทำผิดต่อมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎเกณฑ์ ข้อกฎหมายไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าข้าราชการถูกตรวจสอบและหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะถูกโยกย้ายหรือให้ออกได้

6 นักการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจในปัญหาของชาติที่มีความสลับซับซ้อนและมีแง่มุมทางด้านเทคนิคสูง นักการเมืองมักให้ความรู้สึกส่วนตัวโดยขาดข้อมูลทางวิชาการ

7 นักการเมืองที่เข้าไปในรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ มักมีพฤติกรรมในระบบปฏิบัติงาน 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ทำงานสานต่อปลัดกระทรวงอีกคนหนึ่งไม่มีแนวการบริหารงานที่ต่างไปจากข้าราชการที่ปฏิบัติอยู่ แบบที่ 2 พยายามเข้าไปก้าวก่ายกิจการของข้าราชการประจำมากเกินไป

กล่าวโดยสรุป ระบบราชการกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ผลของการบริหารเป็นผลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทางการเมืองด้วย และเริ่มศึกษาระบบพร้อมกับสิ่งแวดล้อมทางการเมือง โดยเฉพาะการศึกษาเป็นกรณีเฉพาะเรื่องไป (Case Studies)

นักวิชาการได้มีความเชื่อว่าระบบการปกครองและการบริหารนั้น มีลักษณะที่เป็นในเรื่องของการประสานผลประโยชน์ของกลุ่มหลากหลายในสังคมซึ่งเป็นลักษณะของสังคมประชาธิปไตย แนวคิดการบริหารให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าการบริหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง โดยพิจารณาในด้านการให้สิทธิแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน เช่น การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ สนใจนโยบายมาจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม สนใจในเรื่องการต่อรองบนฐานแห่งเหตุผล การเมืองนั้นเป็นเรื่องของนโยบายในบางครั้งระบบราชการช่วยแก้ปัญหาในการวางนโยบาย และปัญหาสั้น ๆ ทางการเมืองได้

POL3311 การเมืองและระบบราชการ s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 3 หน้า ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
ข้อ 1. ให้นักศึกษาวิเคราะห์การเมืองไทย (ยุคใดก็ได้) ที่ท่านเข้าใจมากที่สุด โดยใช้ทฤษฎีระบบ (System Theory) ของเดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นแนวทางในการวิเคราะห์

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 3 – 5)
ทฤษฎีระบบ (Systems Theory)
ทฤษฎีระบบการเมืองตามแนวคิดของ David Easton เริ่มต้นด้วยปัจจัยนำเข้า (Input) อันได้แก่ ความต้องการ และการให้ความสนับสนุน นำเข้าสู่ระบบการเมือง ซึ่งกระทำหน้าที่เป็นกระบวนการแปรรูป (Process) ผลที่ออกมาจากกระบวนการนี้เรียกว่า ปัจจัยนำออก (Output) อันได้แก่ นโยบายหรือการตัดสินใจของรัฐบาล และเมื่อนโยบายถูกนำไปปฏิบัติก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ (Feedback) ไปสู่ปัจจัยนำเข้าเพื่อนำไปเป็นปัจจัยแก้ไขหรือพัฒนาต่อไปอีกครั้ง ซึ่งความต้องการดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากการรับรู้สภาวะแวดล้อมของบุคคลหรือกลุ่มต่าง ๆ ความต้องการเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ระบบการเมืองเพื่อทำให้เกิดนโยบายสาธารณะที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่บุคคลและกลุ่มที่เรียกร้องเมื่อมีการนำนโยบายไปปฏิบัติ

นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตที่เกิดจากการที่ระบบการเมืองแปรเปลี่ยนความต้องการของประชาชนไปสู่การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมตามทฤษฎีนี้มีความต้องการและการสนับสนุนจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะโดยผ่านกระบวนการในระบบการเมือง

เราจะเห็นได้ว่า David Easton มองระบบการเมืองเป็นการดำเนินงานทางการเมืองเนื่องในฐานะที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปจากระบบการดำเนินงานในกิจกรรมอื่น ๆ เช่น ระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น การวิเคราะห์ระบบการเมืองในรูปแบบนี้เป็นเพียงการยอมรับว่าในสถาบันการเมือง เราสามารถแยกแยะกระบวนการเมืองออกจากกระบวนการอื่น ๆ ในสังคมได้อย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น เราจะต้องต้องเลือกตัวจักรสำคัญที่เป็นผลมาจากปัจจัยแวดล้อมในสังคมที่ใหญ่โต โดยกำหนดว่ากิจกรรมอยู่ในขอบเขตของระบบการเมือง จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ในระบบ โดยมีนโยบายโดยตรงบังคับให้ปฏิบัติตามการแบ่งสรร

ข้อ 2. ท่านคิดว่าหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 คืออะไร มีรายละเอียดอะไรบ้าง นำมาใช้ในการพัฒนาระบบราชการอย่างไรบ้าง จงอธิบาย

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 39 – 40, 145 – 146)

หลักธรรมาภิบาลหรือระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี เป็นการสร้างเงื่อนไขในการใช้อำนาจ เพื่อให้การปกครองบ้านเมืองเป็นไปเพื่อความสุขของประชาชนและตามความมั่นคงของประเทศ
หลักการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 ประกอบด้วย 6 หลัก คือ

1 หลักนิติธรรม ได้แก่ การตรากฎหมาย กฎข้อบังคับต่าง ๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม

2 หลักคุณธรรม ได้แก่ การยึดมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยึดถือหลักการนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นตัวอย่างแก่สังคม และส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนพัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กัน

3 หลักความโปร่งใส ได้แก่ การสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในชาติ โดยปรับปรุงกลไกการทำงานขององค์การทุกภาคส่วนให้มีความโปร่งใส ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้

4 หลักความมีส่วนร่วม ได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้และเสนอความเห็นในการตัดสินใจปัญหาสำคัญของประเทศ

5 หลักความรับผิดชอบ ได้แก่ การตระหนักในสิทธิหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม การใส่ใจปัญหาสาธารณะ และกระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา

6 หลักความคุ้มค่า ได้แก่ การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม รณรงค์ให้คนไทยมีความประหยัด ใช้ของอย่างคุ้มค่าสร้างสรรค์

พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
เป็นการนำแนวคิดเกี่ยวกับระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีมาเป็นแนวทางในการบริหารราชการ เป็นการนำไปสู่การปฏิบัติในทางกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับใช้ เป็นการกำหนดขอบเขตแบบแผน วิธีปฏิบัติราชการเพื่อการบริหารราชการบรรลุเป้าหมาย เป็นการสร้างหลักประกันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานรวมไปถึงการสร้างแรงจูงใจเพื่อเสริมสร้างกิจการบ้านเมืองที่ดี

การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ได้แก่ การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมายดังต่อไปนี้

1 เกิดประโยชน์สุขของประชาชน

2 เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ

3 มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ

4 ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น

5 มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์

6 ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ

7 มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ

ข้อ 3. ท่านคิดว่าระบบราชการควรจะต้องปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง อย่างไร และจากการศึกษาเปรียบเทียบในต่างประเทศ ประเทศใดบ้างที่มีส่วนเหมือนและ/หรือคล้ายกับประเทศไทย จงอธิบายให้เห็นเป็นรูปธรรมเป็นข้อ ๆ

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 108 – 109), (คำบรรยาย)

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพสาธารณูปโภคให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงาน และสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพของข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใส ทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่แน่นอนคาดค้นคว้า

4 การบริหารราชการทันต่อการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

ตัวอย่างแนวคิดในการปฏิรูประบบราชการของประเทศญี่ปุ่น มีดังนี้

1 การปฏิรูประบบการคลัง โดยการตัดทอนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยกเลิกการดำเนินนโยบายการคลังที่ใช้จ่ายเงินเกินรายได้ และพยายามจัดระบบการให้เงินอุดหนุนมีความสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น

2 การแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ โดยการให้เป็นบริษัทมหาชนที่มีผู้ถือหุ้นร่วม จัดระบบการจ้างงานที่เสมอภาคและผลักดันการจัดการที่มีเหตุผลจากมาตรการของรัฐบาล

3 การลดกฎระเบียบของทางราชการ โดยปฏิรูประบบการออกใบอนุญาตผูกขาดหลาย และลดจำนวนกฎระเบียบของรัฐด้านการโทรคมนาคมและการธนาคาร

4 การปรับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น โดยจัดระบบการมอบอำนาจจากส่วนกลางสู่ส่วนท้องถิ่น ยกเลิกการแทรกแซงของรัฐบาลกลางต่อรัฐบาลส่วนท้องถิ่นในด้านการเงินและการบริหารงานส่วนท้องถิ่น

5 การปฏิรูปทางด้านนโยบาย โดยการรวมระบบบำเหน็จบำนาญที่มีอยู่หลายระบบ กระจายอำนาจให้ศูนย์การจ้างงานศูนย์เดียว และการจัดระบบการประกันสุขภาพ

6 การปรับโครงสร้างระบบบริหารและการควบคุมอัตรากำลัง โดยจัดระบบโครงสร้างให้หน่วยงานกลางทำหน้าที่ด้านการประสานงานที่มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น และปรับโครงสร้างสำนักงานของกระทรวงต่าง ๆ และหน่วยงานพิเศษหลายแห่ง

7 การปรับปรุงหน่วยงานของรัฐบาลในลักษณะเป็นคณะกรรมการอิสระเชิงบริการ เช่น โรงพยาบาลของรัฐ กรมไปรษณีย์ และกรมป่าไม้

8 ดำเนินการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจทั้ง 19 แห่ง ทบทวนความจำเป็นของรัฐวิสาหกิจทั้ง 50 แห่ง และปรับปรุงระบบการทำงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ

9 การปรับปรุงกระบวนการบริหาร โดยนำเสนอหลักเกณฑ์ที่จะช่วยให้ระบบ เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร และออกกฎหมายป้องกันการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์

ยุทธศาสตร์ที่ทำให้การปฏิรูประบบราชการประสบความสำเร็จ มีดังนี้

1 มีการกำหนดจำนวนส่วนราชการไว้ในกฎหมาย และหากจะจัดตั้งส่วนราชการขึ้นมาใหม่ให้ยุบส่วนราชการที่มีอยู่เดิมในจำนวนเท่ากัน

2 เน้นการปฏิรูปเรื่อง

1 การลดขนาดของภาคราชการ

2 การลดกฎระเบียบและการควบคุมของภาคราชการ

3 การแปรสภาพงานภาคราชการให้เอกชนทำ

4 การให้ภาคเอกชนและประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารและการจัดการของภาคราชการมากขึ้น

3. ยุทธศาสตร์ที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือ

1 รัฐบาลให้ความสำคัญและความสนใจในการปฏิรูประบบราชการ

2 แต่งตั้งให้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในสังคมเป็นคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ

3 มีการให้คำมั่นสัญญาเป็นการล่วงหน้าว่าจะนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการไปดำเนินการอย่างจริงจัง

4 จัดตั้งสำนักงานของคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการโดยมีข้าราชการระดับปลัดทบวงเป็นหัวหน้าสำนักงานและมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเต็มเวลา

POL3311 การเมืองและระบบราชการ 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 2 หน้า (ข้อ 1 ให้ทำในข้อสอบ, ข้อ 2 ให้ทำในสมุดคำตอบ)

ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป ฃ

1.1 กระบวนการทำให้เป็นสถาบัน
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 34 หน้า 7), (คำบรรยาย)
แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการที่ทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.2 การขัดกันแห่งผลประโยชน์
แนวคำตอบ (คำบรรยาย)
การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกำหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือ ข้อทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตัวอย่างการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น

1 นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญา หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ

2 การใช้สถานะหรือตำแหน่งเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตน ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ฯลฯ

1.3 แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7)
แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) เป็นแนวคิดที่มุ่งสนใจการแสวงหารูปแบบที่ดีของรัฐและชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม โดยเน้นในเรื่องคุณค่า คุณธรรม จริยศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค โครงสร้างของรัฐ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ลัทธิการเมือง และการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

1.4 ลัทธิอำนาจตามเหตุผลทางกฎหมาย
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 15)
ลัทธิอำนาจตามเหตุผลทางกฎหมาย (Legal-Rational Authority) หมายถึง ลัทธิอำนาจที่ได้มาจากระเบียบกฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งลัทธิอำนาจแบบนี้ถือว่าเป็นรากฐานของระบบราชการ
ลัทธิอำนาจตามบารมี (Charismatic Authority) หมายถึง ลัทธิอำนาจที่ได้มาจากลักษณะความเป็นผู้นำที่โดดเด่นของบุคคล ทำให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตามผู้มีบารมี

1.5 แนวคิดเชิงระบบ
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)
แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)
David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมืองแล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกับอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ

1 สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)

2 กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)

3 ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)

4 ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทำข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2 (ทำในสมุดคำตอบ ส่ง รศ.ดร.วิทยา เลิศพนัส) (50 คะแนน)

2.1 Merle Fainsod อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองไว้กี่รูปแบบอย่างไรบ้าง จงอธิบายเป็นข้อ ๆ ?
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 23 – 24)
Merle Fainsod แบ่งรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับการเมืองเป็น 5 แบบ ดังนี้

1 ระบบราชการที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของประชาชน (Representative Bureaucracies) เป็นระบบที่ระบบการเมืองมีอิทธิพลเหนือระบบราชการ โดยระบบราชการจะเป็นเพียงเครื่องมือของระบบการเมือง เพราะนักการเมืองเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองจึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะพบได้ในประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย

2 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง (Party-State Bureaucracies) เป็นระบบที่ถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ซึ่งมีผลต่อการกลางของพรรคเป็นผู้ควบคุมนโยบายและการปฏิบัติงานของข้าราชการทุกระดับ โดยระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ เช่น ประเทศที่มีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือพรรคสังคมนิยม ซึ่งได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองหรือผู้นำพรรคการเมืองคณะผู้ชำนาญงานสาขาต่าง ๆ เป็นผู้ช่วยพิเศษของรัฐบาล เช่น คณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดีและคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

3 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยคณะทหาร (Military-Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่คณะทหารควบคุมตำแหน่งสำคัญทางราชการไว้แทนข้าราชการซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศพม่า อินโดนีเซีย เป็นต้น

4 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยผู้ปกครองคนเดียว (Ruler-Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่พระมหากษัตริย์ควบคุมระบบราชการไว้อย่างเด็ดขาด ซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น สมเด็จพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน เป็นต้น

5 ระบบราชการที่ทำหน้าที่ทางการเมือง (Ruling Bureaucracies) เป็นระบบที่ข้าราชการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองและทำหน้าที่ทางการเมืองแทนนักการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นในระบบที่สถาบันการเมืองอ่อนแอและระบบการเมืองขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่ระบบราชการมีความแข็งแกร่งและยาวนานกว่าระบบการเมือง โดย Fred W. Riggs เรียกระบบนี้ว่าอำนาจอธิปไตย (Bureaucratic Polity)

2.2 ท่านคิดว่าระบบราชการไทยมีปัญหาอย่างไรจงอธิบาย และรัฐบาลไทยควรมีรูปแบบการปฏิรูประบบราชการในเรื่องใดบ้าง อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้อธิบายเป็นข้อ ๆ ?
แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 87 – 90, 108 – 109), (คำบรรยาย)
ปัญหาระบบราชการของไทยที่สำคัญ ได้แก่

1 ปัญหาเรื่องจริยธรรมและภาพลักษณ์ในเชิงลบของข้าราชการ เป็นปัญหาที่เรื้อรังและสั่งสมมานาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาดจิตสำนึก ขาดความรับผิดชอบและเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน การใช้ช่องทางแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง การเลือกปฏิบัติ และการที่ข้าราชการจำนวนมากถูกครอบงำโดยระบบอุปถัมภ์ทำให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยดูตกต่ำลงในที่สุด

2 ปัญหาเนื่องจากระบบราชการไทยมีโครงสร้างของกลุ่มคนที่ขนาดใหญ่ซับซ้อน มีอัตรากำลังข้าราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบราชการขาดความคล่องตัว และประสบปัญหางบประมาณด้านบุคคลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างไม่มีสิ้นสุด และมีผลกระทบต่อประชาชนในภาพรวมในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของรัฐในการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ

3 ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการบริหารงานในระบบราชการไทยในยุคโลกาภิวัตน์และวิกฤตการณ์ ประสิทธิภาพการบริหารงานในส่วนราชการส่วนใหญ่มักจะมีการปฏิบัติงานเป็นกิจวัตร ไม่มีการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ขาดวิสัยทัศน์ ขาดการวางแผนที่ดีและมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัดในการดำเนินงาน ทำให้ไม่สามารถวัดระดับความสำเร็จและความล้มเหลวของรัฐได้ การดำเนินงานของส่วนราชการได้อย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่แล้วการปรับเปลี่ยนสาขาของรัฐจะกระทำเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นปัญหาสำคัญของระบบราชการไทยในปัจจุบันจึงอยู่ที่ต้องหาทางแก้ไขและหาสาเหตุของปัญหาของการปฏิบัติราชการเพื่อแก้ไขปัญหาประสิทธิภาพของการบริหารให้แก่ประชาชน

4 ปัญหาการบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การตัดสินใจสั่งการขั้นสุดท้ายจะถูกสงวนอำนาจทั้งหมดแม้ว่าจะมีส่วนราชการบริหารส่วนภูมิภาคก็ตาม แต่การบริหารงานส่วนภูมิภาคก็ยังไม่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ยังต้องขึ้นตรงต่อส่วนกลาง ภายใต้การบังคับบัญชาตามสายการปกครองยังเป็นกลไกสำคัญในการบริหารงานราชการส่วนภูมิภาค ยังต้องขึ้นต่อส่วนกลาง ยังต้องรอรับนโยบายจากส่วนกลาง ทรัพยากรการบริหารส่วนใหญ่จึงอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง

5 ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบันมักจะยึดติดอยู่กับกรอบความคิดเดิม ขาดความยืดหยุ่น การบริหารจัดการองค์กรตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายเป็นหลัก ทำให้การบริหารไม่สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปของสังคมได้อย่างทันต่อเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรทำได้ช้า และเนื่องจากโครงสร้างองค์กรมีขนาดใหญ่ ทำให้การปรับรื้อต้องใช้ระยะเวลากอปรกับความไม่คล่องตัวในการดำเนินการ

6 กฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารราชการเป็นการบริหารโดยยึดถือกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก กฎระเบียบเป็นเครื่องมือที่มุ่งไปสู่การควบคุมการบริหารราชการรัฐและทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีที่นำมาใช้ยังไม่ทันสมัยเพียงพอ ระบบราชการจึงมีความทันสมัยเมื่อเทียบกับการดำเนินงานของภาคเอกชน ตลอดจน ราชการส่วนภูมิภาคเองยังต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด การบริหารงานราชการจึงขาดความคล่องตัว

7 ปัญหาความกังวลด้านการรับรู้ไม่ดี กำลังคนภาครัฐที่อยู่ในระบบราชการปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน ส่วนกำลังคนภาครัฐส่วนใหญ่ยังขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยึดติดกับการทำงานแบบเดิม ทั้งที่อาจจะเป็นผลเนื่องมาจากความเฉื่อยชาในสถานะของกำลังคนภาครัฐส่วนใหญ่ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และความมั่นคงค่อนข้างสูง

8 ปัญหาค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับภาคเอกชนอื่น ๆ ที่มีคุณวุฒิการศึกษาในตลาดต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากการขาดการปรับปรุงค่าตอบแทนให้ทันต่อสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนมากน้อยเพียงใด ส่วนมากจากการที่รัฐต้องใช้งบประมาณในด้านอื่นเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการปรับขึ้นเงินเดือนที่ทำได้ในอัตราที่จำกัดมากเมื่อเทียบกับภาคเอกชน ไม่ก่อให้เกิดกลไกตลาด รายได้ของข้าราชการอยู่ในระดับต่ำและไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงตลอดเวลา

9 ปัญหาวินัยและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นของการบังคับบัญชา ทำให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รวมทั้งต้องการหลีกเลี่ยงอุปสรรคใด ๆ ของการทำงาน ทำให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทำงานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิมในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่มีความรู้และความสามารถได้ใช้โอกาสในการแสดงศักยภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร ตลอดจนข้าราชการมักจะเคยชินกับการรับคำสั่งและนำมาปฏิบัติมากกว่าการจะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเมื่อเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องหรือปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ

แนวทางการแก้ไขอันนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1 การมอบอำนาจและการกระจายอำนาจ

2 การให้เอกชนเข้ามามีบทบาทของภาครัฐไปดำเนินการโดยรัฐเป็นผู้ควบคุม

3 การลดจำนวนข้าราชการลงในด้านกำลังคน

4 การลดระเบียบให้เหลือน้อยเท่าที่จำเป็น

5 ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร

6 ทำให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย

7 การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพราชการไปให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงาน และสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่แน่นอนคาดค้นคว้า

4 การบริหารราชการทันต่อการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

 

POL3311 การเมืองและระบบราชการ s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง ข้อสอบมี 2 ข้อ

ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป

1.1 แนวคิดเชิงระบบ
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)

แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)

David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกับอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ

1 สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2 กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3 ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4 ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

1.2 แนวคิดเชิงพฤติกรรมทางการเมือง

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)

แนวคิดเชิงพฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวคิดในพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยายุคเทค พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มุ่งหาทฤษฎีพฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

1.3 แนวคิดเชิงสถาบันนิยม

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)

แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการที่ทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่างๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.4 แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7)

แนวคิดเชิงปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach) เป็นแนวคิดที่มุ่งสนใจการแสวงหารูปแบบที่ดีของรัฐและชีวิตที่ดีของมนุษย์ในสังคม โดยเน้นในเรื่องคุณค่า คุณธรรม จริยธรรม จริยศาสตร์ ธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค โครงสร้างของรัฐ กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ลัทธิการเมือง และการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ

1.5 ลัทธิอำนาจตามบารมี
แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 15)

ลัทธิอำนาจตามบารมี (Charismatic Authority) หมายถึง ลัทธิอำนาจที่ได้มาจากลักษณะความเป็นผู้นำที่โดดเด่นของบุคคล ทำให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่าง ๆ ตามผู้มีบารมี

 

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทำข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2

2.1 รัฐบาลไทยควรปฏิรูประบบราชการเรื่องใดบ้าง อย่างไรจึงจะสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้อธิบายเป็นข้อ ๆ ?

แนวคำตอบ (หนังสือและซีดีซีดี 53288 หน้า 108 – 109), (คำบรรยาย)

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีดังนี้

1 ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)

2 ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ที่ล้าสมัย (Deregulation)

3 ให้มีการแปรสภาพสาธารณูปโภคให้ภาคเอกชนดำเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)

4 ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีสิทธิภาพมากขึ้น

5 ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทำงาน และสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน)

6 การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน

7 การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์

8 ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)

9 ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน

10 ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสำนึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร

11 เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1 นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง

2 เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส

3 เป็นระบบราชการที่แน่นอนคาดค้นคว้า

4 การบริหารราชการทันต่อการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์

5 ได้ระบบและราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน

6 การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม

7 ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

2.2

2.2.1 ให้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองมาพอสังเขป ?

แนวคำตอบ (หนังสือเล่มพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 26)

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมือง

โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ ระบบราชการ หมายถึง หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่บริหารราชการของประเทศ รวมทั้งองค์กรของรัฐในรูปของรัฐวิสาหกิจ

ส่วนข้าราชการ หมายถึง บุคคลที่ทำงานประจำในระบบราชการ ตามกระทรวง ทบวง กรม สำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐวิสาหกิจ

ส่วนบุคคลที่ทางกฎหมายเรียกว่าข้าราชการการเมืองนั้น ในวิชารัฐประศาสนศาสตร์ไม่เรียกเป็นข้าราชการ แต่เรียกว่าการเมือง

นักการเมืองกับข้าราชการมีความแตกต่างกันหลายประการ คือ

1 นักการเมืองเข้าดำรงตำแหน่งโดยผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน ส่วนข้าราชการเข้าดำรงตำแหน่งหรือทำงานโดยผ่านการสอบตามระบบคุณธรรม

2 นักการเมืองมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ และพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่น การยุบสภา การปฏิวัติ รัฐประหาร การปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ส่วนข้าราชการมีระยะเวลาทำงานไปจนปลดเกษียณอายุราชการถ้าไม่มีความผิดตามระเบียบราชการ

3 นักการเมืองมีความมั่นคงในอาชีพน้อยกว่าข้าราชการ ต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ เพราะอาจไม่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ ส่วนระบบราชการนั้นมีความแข็งแกร่งกว่าระบบการเมืองมาก เพราะมีความต่อเนื่องและมีการปรับปรุงทั้งในด้านการจัดองค์การ เทคนิคการทำงานตลอดจนสามารถรับและเลือกบุคคลที่มีความสามารถจำนวนมากเข้ามาทำงาน

4 ระบบการเมืองมีโอกาสคัดเลือกนักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถสูงมาทำงานน้อยกว่าระบบราชการที่คัดเลือกข้าราชการเข้ามาทำงาน

5 นักการเมืองส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ชำนาญการเฉพาะอย่าง แต่ข้าราชการส่วนใหญ่เป็นผู้ชำนาญการเฉพาะอย่างเพราะเป็นนักปฏิบัติการ

6 นักการเมืองย่อมไม่มีความเป็นกลางทางการเมืองเพราะจะต้องสนับสนุนพรรคการเมืองเดียวทัน แต่ข้าราชการจะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

7 นักการเมืองจะต้องทำตนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ออกเสียงเลือกตั้งจึงมีพฤติกรรมที่ผันแปรตามสันทามติ แต่ข้าราชการจะต้องปฏิบัติตนตามกรอบกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของราชการ และต้องฟังมติมหาชนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานที่กระทำ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่านักการเมืองกับข้าราชการจะมีความแตกต่างกันในหลายด้าน แต่ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งในทางประสานและขัดแย้งกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองนี้เองที่ทำให้นักการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อข้าราชการ ขณะเดียวกับข้าราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อนักการเมือง

กล่าวโดยสรุป ระบบราชการกับการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ผลของการบริหารเป็นผลที่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมทางการเมืองด้วย และเริ่มศึกษาะระบบพร้อมกับสิ่งแวดล้อมทางการเมือง โดยเฉพาะการศึกษาเป็นกรณีเฉพาะเรื่องไป (Case Studies)

นักวิชาการได้มีความเชื่อว่าระบบการปกครองและการบริหารนั้น มีลักษณะที่เป็นในเรื่องของการประสานผลประโยชน์ของกลุ่มหลากหลายในสังคมซึ่งเป็นลักษณะของสังคมประชาธิปไตย แนวคิดการบริหารให้สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าการบริหารเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมือง โดยพิจารณาในด้านการให้สิทธิแก่ประชาชนในการมีส่วนร่วมในการบริหารงาน เช่น การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ สนใจนโยบายมาจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ในสังคม สนใจในเรื่องการต่อรองบนฐานแห่งเหตุผล การเมืองนั้นเป็นเรื่องของนโยบายในบางครั้งระบบราชการช่วยแก้ปัญหาในการวางนโยบาย และปัญหาสั้น ๆ ทางการเมืองได้

2.2.2 Merle Fainsod ได้แบ่งรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับระบบการเมืองไว้กี่รูปแบบอะไรบ้าง จงอธิบาย ?

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 23 – 24)

Merle Fainsod แบ่งรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างระบบราชการกับการเมืองเป็น 5 แบบ ดังนี้

1 ระบบราชการที่มีลักษณะเป็นตัวแทนของประชาชน (Representative Bureaucracies) เป็นระบบที่ระบบการเมืองมีอิทธิพลเหนือระบบราชการ โดยระบบราชการจะเป็นเพียงเครื่องมือของระบบการเมือง เพราะนักการเมืองเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองจึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายให้ข้าราชการนำไปปฏิบัติ ซึ่งจะพบได้ในประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย

2 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง (Party – State Bureaucracies) เป็นระบบที่ถูกควบคุมโดยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ซึ่งมีผลต่อการกลางของพรรคเป็นผู้ควบคุมนโยบายและการปฏิบัติงานของข้าราชการทุกระดับ โดยระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ เช่น ประเทศที่มีการปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือพรรคสังคมนิยม ซึ่งได้แก่ จีน เกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังพบได้ในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พรรคการเมืองหรือผู้นำพรรคการเมืองคณะผู้ชำนาญงานสาขาต่าง ๆ เป็นผู้ช่วยพิเศษของรัฐบาล เช่น คณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดีและคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

3 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยคณะทหาร (Military – Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่คณะทหารควบคุมตำแหน่งสำคัญทางราชการไว้แทนข้าราชการซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศพม่า อินโดนีเซีย เป็นต้น

4 ระบบราชการที่ถูกครอบงำโดยผู้ปกครองคนเดียว (Ruler – Dominated Bureaucracies) เป็นระบบที่พระมหากษัตริย์ควบคุมระบบราชการไว้ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งระบบราชการประเภทนี้จะพบได้ในประเทศที่มีระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น สมเด็จพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน เป็นต้น

5 ระบบราชการที่ทำหน้าที่ทางการเมือง (Ruling – Bureaucracies) เป็นระบบที่ข้าราชการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองและทำหน้าที่ทางการเมืองแทนนักการเมือง ซึ่งจะเกิดขึ้นในระบบที่สถาบันการเมืองอ่อนแอและระบบการเมืองขาดความต่อเนื่อง ในขณะที่ระบบราชการมีความแข็งแกร่งและยาวนานกว่าระบบการเมือง โดย Fred W. Riggs เรียกระบบนี้ว่าอำนาอธิปไตย (Bureaucratic Polity)

POL3300 การบริหารการคลัง s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566 ข้อสอบกระบวนวิชา POL3300 การบริหารการคลัง

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว

1. ลักษณะของระบบ PPBS
(1) มีการจัดทำบันทึกโครงการ
(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ
(3) มีการจัดทำแผนงานและแผนเงิน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 93 – 94, 97, 101 – 102, (คำบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณตามแต่ละแผนงาน มีการกำหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลักเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงานหรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่จัดทำว่ามีความสัมพันธ์กับโครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการวางแผนวางโครงการของหน่วยงาน มีการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จหรือผลสัมฤทธิ์ของแผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล รวมทั้งมีการจัดทำบันทึกโครงการ แผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทำโครงการด้วย

2. ลักษณะของ Performance Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบโครงการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 92 – 93, (คำบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณแบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี มีการจัดทำงบประมาณเป็นรายโครงการและมีการแบ่งเงินงบประมาณออกตามโครงการหรือตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงินโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ เช่น Cost and Effectiveness Analysis, Cost and Benefit Analysis และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณโดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสำคัญ

3. ลักษณะของ Program Budget
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

4. ลักษณะของระบบงบประมาณแบบที่ย้ำในการควบคุม
(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ
(2) การตัดสินใจใช้หลักของเหตุผล
(3) อาจเรียกว่าเป็นงบประมาณแบบแสดงรายการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 3 หน้า 87 – 88, 90 – 92, (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัย นําเข้า” (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น หรือให้ความสําคัญกับมาตรฐานของทรัพยากร ที่หน่วยราชการได้ใช้ไป ดังนั้นงบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการแบ่งตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) โดยพิจารณาจากคู่มือการจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่ายซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดต่าง ๆ เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ในการจัดเตรียม งบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

5. ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget
(1) แบ่งเงินงบประมาณออกตามจังหวัด
(2) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through
(3) Objectives Classification
(4) แบ่งเงินงบประมาณเป็นรายโครงการ
(5) ทั้งข้อ 1, 2, 3 และ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6. Line-Item Budget ตรงกับข้อใด
(1) Muddling Through
(2) คู่มือจําแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย
(3) แบ่งเงินงบประมาณเป็นรายโครงการ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7.ลักษณะของ Zero-Base Budget
(1) Muddling Through
(2) Political Bargaining
(3) Incrementalism
(4) Pure Rationality
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 96, 99 – 100, (คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : ZBB) เป็นระบบ งบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้ โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณจะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงานหรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิดความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

8. สถาบันที่ทำหน้าที่ “ตรวจสอบบัญชีการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ”
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สำนักงบประมาณ
(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 84, 129 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดของการใช้จ่ายเงินและตรวจสอบบัญชีทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ โดยแยกการตรวจสอบออกเป็น 2 ระดับ คือ การตรวจสอบระดับหน่วยงานและการตรวจสอบระดับรัฐบาล

9. สถาบันที่ทำหน้าที่ “วิเคราะห์งบประมาณ” ได้แก่
(1) กรมบัญชีกลาง
(2) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(3) สำนักงบประมาณ
(4) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 115 – 116 ในการจัดเตรียมงบประมาณนั้น จะมีการจัดทำรายละเอียดของบประมาณ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 3 ขั้นตอน คือ
1. เจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณพิจารณาวิเคราะห์งบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2. สำนักงบประมาณเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรี
3. นายกรัฐมนตรีเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี พร้อมด้วยเอกสารงบประมาณต่อรัฐสภา

10. ระยะเวลาในการดำเนินการ “อนุมัติ” งบประมาณ มีระยะประมาณกี่เดือน
(1) 3 เดือน
(2) 5 เดือน
(3) 9 เดือน
(4) 12 เดือน
(5) ไม่แน่นอนกำหนดตายตัวไม่ได้
ตอบ 1 หน้า 79 ระยะเวลาของการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณของประเทศไทยนั้น จะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทำ 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมงบประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติงบประมาณ 3 – 4 เดือน และการควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

11. งบประมาณใดต่อไปนี้ที่มิใช่หลักของ “ศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน”
(1) งบประมาณราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
(2) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
(3) งบรายได้ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) เงินทุนหมุนเวียน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 67, (คำบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการแผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นแผนเดียวกัน มีการจัดเตรียมและอนุมัติงบประมาณเพียงครั้งเดียว มีการใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี หากไม่มีความจำเป็นจะไม่มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม รวมทั้งกระบวนการงบประมาณของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดำเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และมีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน โดยงบประมาณที่ใช้คำคุณศัพท์รวมเงินของแผ่นดิน ได้แก่ งบประมาณประจำปีของส่วนราชการทั่ว ๆ ไป เช่น งบประมาณของสำนักงบประมาณ กรมการปกครอง กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต เป็นต้น

12. Budget Documents หมายถึงอะไร**
(1) วงเงินงบประมาณ
(2) เพดานเงินจัดสรร
(3) เงินประจำงวด
(4) ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 81 – 82 Budget Documents หมายถึง เอกสารงบประมาณประจำปี ซึ่งเอกสารงบประมาณประจำปีของไทยมี ส่วนประกอบดังนี้
1. คำแถลงประกอบงบประมาณแสดงฐานะและนโยบายทางการคลังและการเงินของประเทศ
2. ตารางแสดงรายรับรายจ่ายเปรียบเทียบ
3. รายละเอียดของหน่วยงาน โครงการ และงานต่าง ๆ ของราชการและรัฐวิสาหกิจ
4. รายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ
5. รายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินของรัฐบาล
6. ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี

13. ตัวอย่างของบริการที่ให้เอกชนจัดทำแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์
(1) บริการด้านการรักษาพยาบาล
(2) บริการด้านการศึกษา
(3) โรงงานผลิตรถถัง
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 71 – 72 ตามแนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรแบบเสรีนิยมนั้น กิจกรรมที่เอกชนจัดทำแล้วประชาชนอาจเสียประโยชน์ ได้แก่ บริการด้านการศึกษา (การจัดการศึกษาภาคบังคับ) บริการด้านสาธารณสุข (การรักษาพยาบาล การป้องกันโรคติดต่อ การให้ความรู้เกี่ยวกับสาธารณสุขขั้นมูลฐาน) เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมประเภทนี้รัฐจะต้องเข้าไปควบคุมมาตรฐานเพื่อความถูกต้องเหมาะสม

14. การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของสังคม สามารถวัดได้โดย
(1) เปรียบเทียบรายได้ของคนแยกตามกลุ่มอาชีพ
(2) อัตราเงินเฟ้อ
(3) อัตราการว่างงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 หน้า 73 – 74, (คำบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ
1. สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม
2. สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราเงินเฟ้อ
3. สร้างประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการลดผลผลิตต่อหน่วย
4. สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมให้กับสังคม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่ายและทรัพย์สินที่มี

15. งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะดังนี้
(1) เป็นบัญชีแสดงรายรับรายจ่าย
(2) เป็นกฎหมาย
(3) มีกระบวนการจัดทำที่มีลักษณะกระจายอำนาจ
(4) ทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 หน้า 15 – 20, 63 – 66, (คำบรรยาย) งบประมาณแผ่นดิน มีลักษณะดังนี้
1. เป็นบัญชีแสดงรายรับรายจ่ายเงินแผ่นดิน
2. เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกำหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจำนวนที่กำหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจน้อยกว่ารายจ่ายที่กฎหมายงบประมาณกำหนดไว้ก็ได้
3. เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
4. มีรายได้ (รายรับ) มาจากการจัดเก็บภาษีอากร การก่อหนี้สาธารณะ การขายสิ่งของและบริการ และรัฐพาณิชย์
5. คำนึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทำงบประมาณ
6. มีรายจ่ายเป็นตัวกำหนดรายรับ
7. มีกระบวนการจัดทำงบประมาณที่มีลักษณะกระจายอำนาจ
8. มีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
9. มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา
10. การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

16. ในยุคที่มีความเชื่อว่า… “งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุมความซื่อสัตย์ในการใช้จ่ายของรัฐบาล…” งบประมาณแผ่นดินจะให้ความสำคัญไปที่**
(1) แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิผลของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(2) เอกสารที่ประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ซึ่งเสนอขอรายจ่ายเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการนั้น ๆ
(3) กระบวนการจัดทำที่มีลักษณะรวมอำนาจ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 63, 90 – 91, (คำบรรยาย) ในยุคที่มีความเชื่อว่า งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือของฝ่ายนิติบัญญัติในการติดตามควบคุมการใช้ทรัพยากร หรือควบคุมตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตในการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลนั้น งบประมาณแผ่นดินตามความเชื่อนี้จะหมายถึง บัญชีแสดงรายรับรายจ่ายเงินแผ่นดิน หรือรายละเอียดของบัญชีที่แสดงประเภทของการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล หรือรายละเอียดของทรัพยากรที่หน่วยงานเสนอของบประมาณจากรัฐบาล

17. การบริหารงบประมาณเป็นกิจกรรมที่อยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการงบประมาณ
(1) การควบคุม
(2) การประเมินผล
(3) การอนุมัติ
(4) การจัดเตรียม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 83, (คำบรรยาย) การบริหารงบประมาณ หรือบางทีเรียกว่า การควบคุมงบประมาณ คือ ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องหาหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อควบคุมให้การใช้จ่ายเงินของโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี

18. สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” เรียกว่าสภาวะดังกล่าวว่าอะไร
(1) สภาวะเงินฝืด
(2) สภาวะเงินเฟ้อ
(3) สภาวะการขาดดุลทาน
(4) สภาวะอุปสงค์ล้นตลาด
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 (คำบรรยาย) สภาวะเงินฝืด หมายถึง สภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทานด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นสภาวะที่มีปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไปทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรจะแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนำเอานโยบายงบประมาณแบบขาดดุล และการลดอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้
1. ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน
2. ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์
3. ลดอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์
4. ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

19. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) หลักประสิทธิภาพเอาไปปะปนกับหลักความพึงพอใจ
(2) หลักประสิทธิภาพเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความคุ้มค่าของเงิน
(3) ในสังคมที่มีความแตกต่างทางความคิดมาก ๆ หลักความพึงพอใจจะประสบปัญหามาก
(4) ศูนย์รวมเงินจะต้องให้การบริหารงบประมาณเป็นไปภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกัน
(5) หลักความพึงพอใจของประชาชนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร
ตอบ 5 หน้า 69, (คำบรรยาย) การจัดทำงบประมาณแผ่นดินนั้นจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์และความพึงพอใจของประชาชน เพราะเงินงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชน ดังนั้นประชาชนจึงควรจะได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน ทั้งนี้ประโยชน์และความพึงพอใจของประชาชนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการจัดทำงบประมาณแผ่นดินจึงไม่เกี่ยวข้องกับหลักประสิทธิภาพหรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร

20. สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” รัฐบาลจะใช้นโยบายงบประมาณแบบใด
(1) สมดุล
(2) เกินดุล
(3) ขาดดุล
(4) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง
(5) ขาดดุลควบคู่กับนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

21. ข้อใดถูกต้องตามหลักทฤษฎีการคลัง
(1) เศรษฐกิจดีรัฐบาลจะมีภาระรายจ่ายน้อยลง
(2) เศรษฐกิจดีรัฐบาลจะมีรายได้มาก
(3) เศรษฐกิจดีคนในสังคมจะมีชีวิตที่เป็นสุข
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ตามหลักทฤษฎีการคลัง หากเศรษฐกิจดีรัฐบาลจะมีรายได้มากและจะมีภาระรายจ่ายน้อยลง ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจตกต่ำรัฐบาลจะมีรายได้น้อยลงและมีภาระรายจ่ายมากขึ้น

22. ที่ว่า “งบประมาณแผ่นดินต้องว่าเป็นพระราชบัญญัติ” หมายความว่า
(1) งบประมาณแผ่นดินต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้
(2) งบประมาณต้องได้รับการวิเคราะห์ก่อนนำไปใช้
(3) งบประมาณต้องผ่านการทำประชามติก่อนนำไปใช้
(4) ต้องว่าเป็นกฎหมายให้รัฐสภาเห็นชอบ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 64, 82, (คำบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินเป็นเงินของประชาชนที่มอบให้กับรัฐบาลในรูปของภาษีอากรและภาษีอื่นเพื่อนำไปใช้ในการบริหารประเทศ ดังนั้นการใช้จ่ายงบประมาณจึงต้องได้รับการอนุมัติหรือยินยอมจากประชาชนเสียก่อน แต่เนื่องจากการบริหารราชการในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ประชาชนได้มอบอำนาจการตัดสินใจให้กับรัฐสภา(สภานิติบัญญัติ) ไปแล้ว งบประมาณแผ่นดินจึงเป็นการจัดทำเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะ จึงจำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาโดยต้องทำเป็นกฎหมายหรือพระราชบัญญัติก่อนที่จะนำไปใช้ เพราะถ้างบประมาณไม่ได้รับการรับรองจากสภา รัฐบาลก็จะบริหารประเทศต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงถือว่างบประมาณเป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาลในประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

23. ลักษณะในการกำหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินโดยหลักการแล้ว
(1) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขายสินค้าและบริการ
(2) รายรับเป็นตัวกำหนดรายจ่าย
(3) สามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกำหนดรายรับ
(4) ขึ้นอยู่กับความสามารถในการจัดเก็บภาษีอากร
(5) ทั้งข้อ 2 และ 4
ตอบ 3 หน้า 65, (คำบรรยาย) ลักษณะการกำหนดรายรับรายจ่ายของงบประมาณแผ่นดินนั้น โดยหลักการแล้วสามารถใช้รายจ่ายเป็นตัวกำหนดรายรับได้ เนื่องจากรัฐบาลมีแหล่งของรายรับที่กว้างขวาง และมีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีอากรจากประชาชนและก่อหนี้สาธารณะ ในขณะที่เอกชนจะมีรายรับเป็นตัวกำหนดรายจ่าย เพราะเอกชนมีแหล่งรายรับที่จำกัด และขึ้นอยู่กับความสามารถในการหารายได้จากการขายสินค้าและบริการของตนเป็นสำคัญ

24. ลักษณะสำคัญของระบบงบประมาณแบบ PPBS
(1) มีการวัดการกระจายการจัดสรรทรัพยากรตามพื้นที่
(2) แบ่งงบประมาณออกตามประเภทการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทำโครงสร้างแผนงาน
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

25. ลักษณะสำคัญของงบประมาณแบบโครงการ
(1) มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมประสิทธิภาพของการใช้จ่าย
(2) แบ่งงบประมาณออกตามประเภทการใช้จ่าย
(3) มีการจัดทำโครงสร้างแผนงาน
(4) มีการวัดการกระจายการจัดสรรทรัพยากรตามพื้นที่
(5) ทั้งข้อ 1, 2, 3 และ 4
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

26. ระยะเวลาของการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า
(1) ปีภาษี
(2) ปีคลัง
(3) เงินประจำงวด
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 68, (คำบรรยาย) ระยะเวลาของการบริหารหรือการใช้จ่ายเงินตามงบประมาณ เรียกว่า “ปีงบประมาณ” หรือ “ปีคลัง” (Fiscal Year) ซึ่งปกติแล้วจะต้องมีระยะเวลาที่แน่นอน โดยอาจเป็น 6 เดือน 1 ปี (12 เดือน) หรือ 2 ปี (24 เดือน) ก็ได้ แต่จะต้องเป็นเช่นนั้นทุก ๆ ปี และจะเริ่มต้นในปีต่อไปเรื่อยไปมิได้ เช่น ปีงบประมาณของไทยมีระยะเวลา 12 เดือน เริ่มต้นจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี และไปสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของปีถัดไป โดยใช้ชื่อปีถัดไปเป็นชื่อปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ 2567 จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2566 และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567)

27. ตามแนวคิดแบบสังคมนิยมเบ็ดเสร็จ กลไกในการจัดสรรทรัพยากร ได้แก่
(1) กลไกราคา
(2) การวางแผนจากส่วนกลาง
(3) ระบบสัมปทาน
(4) การวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์
(5) ทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 2 หน้า 1 แนวคิดในการจัดสรรทรัพยากรของสังคม แบ่งออกเป็น 2 แนวคิด คือ
1. แนวคิดแบบสังคมนิยมเบ็ดเสร็จ** รัฐเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรของสังคม รัฐใช้การวางแผนจากส่วนกลาง ประชาชนที่อยู่ในวัยทำงานล้วนเป็นลูกจ้างรัฐ ทำงานให้กับรัฐบาล
2. แนวคิดแบบเสรีนิยม** รัฐพึงเข้าไปจัดสรรทรัพยากรในเรื่องที่เอกชนทำไม่ได้หรือทำได้ไม่ดี เอกชนจะใช้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการจัดสรร เสรีภาพในการประกอบอาชีพและเสรีภาพในการค้าขายเป็นเงื่อนไขสำคัญของการจัดสรรทรัพยากรตามแนวคิดนี้

28. ข้อใดเป็น “นโยบายการเงิน”
(1) การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
(2) การควบคุมสินเชื่อ
(3) การกำหนดอัตราภาษีอากร
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 4 หน้า 8, 54, 57, (คำบรรยาย) **นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การควบคุม/กำกับ/กำหนดอัตราดอกเบี้ย การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท การควบคุม/กำกับดูแลสินเชื่อ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล การออกระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ทางการเงิน เป็นต้น โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย

29. ตัวอย่างของงบประมาณที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะกับการวางแผนวางโครงการของหน่วยงาน
(1) Program Budget
(2) Zero-Base Budget
(3) Performance Budget
(4) Line-Item Budget
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

30. ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสำคัญอย่างมากที่ “การจำแนกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย”
(1) Program Budget
(2) Zero-Base Budget
(3) Performance Budget
(4) Line-Item Budget
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

31. ระบบงบประมาณแบบใดให้ความสำคัญที่ “การจำแนกเงินออกตามหน่วยงาน”
(1) Program Budget
(2) PPBS
(3) Performance Budget
(4) Line-Item Budget
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

32. ระบบงบประมาณแบบใดที่ให้ความสำคัญที่การจัดทำ Program Structure และการวางแผนระยะยาว
(1) Program Budget
(2) PPBS
(3) Performance Budget
(4) Line-Item Budget
(5) Zero-Base Budget
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

33. “Mixed Scanning” คืออะไร
(1) วิธีการตัดสินใจ
(2) วิธีการกำกับควบคุม
(3) วิธีการประสานงาน
(4) วิธีการติดตามตรวจสอบ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 86 – 88, (คำบรรยาย) วิธีการที่ใช้ในการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. การตัดสินใจโดยใช้หลักของเหตุผล (Pure Rationality)
2. การตัดสินใจโดยใช้หลักของความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism)
3. การตัดสินใจโดยใช้หลักของความพึงพอใจผสมกับหลักของเหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning)

34. ข้อใดไม่ใช่รายได้ของรัฐบาลไทย
(1) ภาษีเงินได้
(2) ค่าสัมปทาน
(3) ค่าบริการ
(4) ค่าปรับ
(5) เงินกู้ต่างประเทศ
ตอบ 5 หน้า 15 – 20, (คำบรรยาย) แหล่งรายรับของรัฐบาลไทย มาจาก 2 ส่วน คือ
1. รายรับที่เป็นรายได้ ได้แก่ ภาษีอากร การขายสิ่งของและบริการ (เช่น ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนุญาต ค่าสัมปทาน ค่าบริการ ค่าทรัพย์สินของรัฐ ค่าขายของกลางที่ยึดมาจากคดี) รัฐพาณิชย์ และรายได้อื่น ๆ เช่น ค่าแสตมป์อากร ค่าปรับ เป็นต้น
2. รายรับที่ไม่เป็นรายได้ ได้แก่ การกู้เงิน การใช้เงินคงคลัง การขายหุ้น เป็นต้น

35. ภาษีเป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสำหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าประเภทใด
(1) สินค้าสโมสร
(2) สินค้าผสม
(3) สินค้ากึ่งสาธารณะ
(4) สินค้าสาธารณะขั้นพื้นฐาน
(5) สินค้าเอกชน
ตอบ 4 หน้า 21 “ภาษี” เป็นกลไกตลาดภาครัฐที่เหมาะสำหรับใช้จัดบริการหรือผลิตสินค้าสาธารณะขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มีความจำเป็นต่อประชาชนทุกคนภายในประเทศ เช่น การรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในสังคม การศึกษาขั้นพื้นฐาน การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

36. สินค้าที่ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคและแยกการบริโภคออกจากกันได้ จัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) สินค้าสาธารณะ
(2) สินค้าอุปโภคบริโภค
(3) สินค้าเอกชน
(4) สินค้าสโมสร
(5) สินค้าอุตสาหกรรม
ตอบ 4 หน้า 13 – 14 ประเภทของสินค้าซึ่งแบ่งโดยใช้ลักษณะของสินค้าเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้

ลักษณะของสินค้า เป็นปรปักษ์ในการบริโภค ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ สินค้าเอกชน (Private Goods) สินค้าสโมสร (Club Goods)
ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ สินค้าทั่วไป (Common Goods) สินค้าสาธารณะ (Pure Public Goods)

 

37. ในช่วงการสอบปลายภาคมีผู้ใช้บริการห้องสมุดเป็นจำนวนมาก ห้องสมุดในช่วงเวลาดังกล่าวจัดเป็นสินค้าประเภทใด
(1) Common Goods
(2) Pure Public Goods
(3) Club Goods
(4) Price-Excludable Public Goods
(5) Pure Private Goods
ตอบ 1 หน้า 13, 40, (คำบรรยาย) สินค้าทั่วไป (Common Goods) หรือสินค้ากึ่งสาธารณะประเภท Congestible Public Goods เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภคแต่แบ่งแยกการบริโภคออกจากกันไม่ได้ แต่จะสามารถจำกัดผู้บริโภครายใหม่ที่อาจทำให้ความพึงพอใจของผู้บริโภครายเดิมลดน้อยลง แต่ไม่สามารถกีดกันมิให้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้ามาเป็นผู้บริโภคได้ ดังนั้นสินค้าประเภทนี้จึงมีขีดจำกัดในการให้บริการ เช่น สนามหลวง สนามกีฬแห่งชาติ สนามกีฬากลางของเทศบาล ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ถนนสาธารณะ (เช่น ถนนพระราม 9) ทางด่วน เป็นต้น

38. ไฟฟ้าบนถนนสาธารณะจัดเป็นสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าชนิดใด
(1) การประปานครหลวง
(2) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
(3) นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID
(4) วิทยุกระจายเสียง
(5) รถยนต์ส่วนบุคคล
ตอบ 3 หน้า 11 – 12, 14, (คำบรรยาย) สินค้าหรือบริการสาธารณะ (Public Goods) หรือเรียกว่า สินค้าสาธารณะแท้หรือสินค้าสาธารณะที่สมบูรณ์ (Pure Public Goods) มีคุณสมบัติดังนี้
1. ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค (Non-Rival Consumption) หรือกีดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงสินค้าหรือบริการนั้นไม่ได้
2. ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้ (Non-Excludable) หรือไม่สามารถใช้ราคาเป็นเครื่องมือยึดกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงสินค้าหรือบริการนั้นได้
3. ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้าหรือบริการ คือ ต้นทุนส่วนเพิ่มเมื่อมีผู้ซื้อสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้นนั้นมีค่าเท่ากับศูนย์ (Zero-Marginal Cost)
ตัวอย่างเช่น ไฟฟ้าหรือไฟส่องสว่างบนถนนสาธารณะ แสงไฟจากประภาคารสาธารณะ แม่น้ำ/ลำน้ำสาธารณะ การดำเนินนโยบายต่างประเทศ การดำเนินนโยบายความมั่นคง การทำความสะอาดถนนสาธารณะ การควบคุมดูแลด้านสุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายหลักสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช้อปใช้ นโยบายป้องกันประเทศจาก COVID เป็นต้น

39. นักศึกษาทำงานเป็นพนักงานประจำที่บริษัทแห่งหนึ่ง ได้รับเงินเดือน 12,400 บาท นักศึกษาต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่**
(1) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 20%
(2) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 15%
(3) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 10%
(4) เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราภาษี 5%
(5) ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
ตอบ 5 หน้า 33 – 34 กรณีของนักศึกษาซึ่งเป็นผู้มีเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 44) พ.ศ. 2560 ได้กำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ดังนี้

เงินได้สุทธิ อัตราภาษี จำนวนภาษีแต่ละขั้นสุทธิ
0 – 150,000 ยกเว้น
150,001 – 300,000 5% 7,500
300,001 – 500,000 10% 20,000
500,001 – 750,000 15% 37,500
750,001 – 1,000,000 20% 50,000
1,000,001 – 2,000,000 25% 250,000
2,000,001 – 4,000,000 30% 600,000
มากกว่า 4,000,000 35% ไม่มีกำหนด

 

40. “ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย” เป็นฐานภาษีของภาษีชนิดใด
(1) ภาษีสรรพสามิต
(2) ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
(4) ภาษีศุลกากร
(5) ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตอบ 2 หน้า 34 ภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นภาษีที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยทั่วไปฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่ กำไรสุทธิ แต่เพื่อความเป็นธรรมแก่นิติบุคคล และลดช่องว่างในการจัดเก็บภาษี จึงให้มีการบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของรายได้ เช่น จากกำไรสุทธิ จากยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย จากเงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย จากการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย เป็นต้น

41. ข้อใดเป็นโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทย
(1) โครงสร้างแบบพื้นฐาน
(2) โครงสร้างแบบถดถอย
(3) โครงสร้างแบบก้าวหน้า
(4) โครงสร้างแบบสัดส่วน
(5) โครงสร้างแบบเร่งรัด
ตอบ 3 หน้า 30, (คำบรรยาย) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษตามกฎหมายและมีรายได้เกิดขึ้นตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยปกติประเทศไทยจะมีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นรายปีโดยใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้า (Progressive Tax Rate)

42. พฤติกรรมในข้อใดผิดกฎหมาย
(1) Tax Compliance
(2) Tax Avoidance
(3) Tax Evasion
(4) Tax Audit
(5) Tax Refund
ตอบ 3 หน้า 28, (คำบรรยาย) พฤติกรรมการหนีภาษี (Tax Evasion) คือ การไม่ยินยอมเสียภาษีให้กับรัฐ เป็นการกระทำที่แสดงเจตนาฉ้อฉลหรือฝ่าฝืนกฎหมายเพื่อไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและทำให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บรายได้ภาษีได้

43. พฤติกรรมในข้อใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย
(1) การเลี่ยงภาษี
(2) การหนีภาษี
(3) การเสียภาษีโดยสมัครใจ
(4) การเสียภาษีอย่างจำยอม
(5) การต่อต้านภาษี
ตอบ 1 หน้า 27 พฤติกรรมการเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance) คือ การที่พลเมืองผู้มีหน้าที่เสียภาษีใช้วิธีการใด ๆ ตามกฎหมายที่มุ่งสร้างให้เกิดผลต่อภาระการซื้อของเสียภาษี เพื่อที่จะได้มีภาระภาษีที่จะต้องเสียต่ำกว่าเดิม หรือใช้วิธีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งการเลี่ยงภาษีนี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และส่งผลโดยตรงให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

44. คำกล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งใด
(1) การใช้จ่ายในระบอบประชาธิปไตย
(2) การใช้จ่ายกับภาระภาษี
(3) ภาษีกับกลไกราคา
(4) ภาษีกับการใช้จ่าย
(5) ภาษีกับประชาธิปไตย
ตอบ 5 หน้า 24 คำกล่าว “Taxes are the price of democracy” สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาษีกับประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี ซึ่งคำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนมีหน้าที่จ่ายภาษีให้กับรัฐเพื่อแลกเปลี่ยนกับการมีรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยซึ่งทำหน้าที่จัดบริการสาธารณะให้กับประชาชน

45. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion)
(1) รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายหลายประเภท
(2) มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง
(3) การมีข้อยอดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อน
(4) มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)
(5) มีอัตราภาษีจัดเก็บภาษีรูปแบบเดียวกับอัตราเดียว
ตอบ 5 หน้า 26 Buchanan ได้ระบุไว้ว่า การจัดเก็บภาษีที่มีความซับซ้อนนั้น อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ภาพลวงตาทางการคลัง (Fiscal Illusion) ขึ้นได้ ซึ่งความซับซ้อนของระบบภาษีและภาระรายได้ของรัฐอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. รัฐบาลจัดเก็บภาษีหลายประเภท หลายอัตรา
2. การมีข้อยอดหย่อนยกเว้นที่ซับซ้อนหรือมีรายการลดหย่อนภาษีจำนวนมาก
3. มีโครงสร้างภาษีทางอ้อมในสัดส่วนที่สูง
4. มีการจัดเก็บภาษีในฐานร่วม (Shared Taxes)

46. ใครเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
(1) บุคคลธรรมดาผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน
(2) นิติบุคคลผู้ขายสินค้าเป็นอาชีพ มียอดขายเกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน
(3) บุคคลธรรมดาให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้เกินกว่า 80,000 บาทต่อเดือน
(4) นิติบุคคลผู้ให้บริการเป็นอาชีพ มีรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อเดือน
(5) บุคคลธรรมดาที่ไม่ได้ขายสินค้าเป็นอาชีพ และมีรายได้ค่านายหน้าจากการขายสินค้าเกินกว่า 150,000 บาทต่อเดือน
ตอบ 1 หน้า 36 ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากผู้ที่ขายสินค้าหรือบริการเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือนิติบุคคล ซึ่งมีรายได้หรือยอดขายเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี (150,000 บาทต่อเดือน) โดยต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน และคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภายหลังจากหักภาษีซื้อและต้องชำระภาษีเป็นรายเดือน โดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

47. หากนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และไม่มีสิ่งของที่ต้องสำแดงแก่ศุลกากร นักศึกษาต้องเลือกเดินเข้าประเทศผ่านช่องทางใด
(1) Red Line
(2) Blue Line
(3) Pink Line
(4) Green Line
(5) Black Line
ตอบ 4 (คำบรรยาย) กรณีนักศึกษาเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
1. หากมีสิ่งของที่ต้องสำแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Red Line
2. หากไม่มีสิ่งของที่ต้องสำแดงแก่ศุลกากร ให้เดินเข้าประเทศผ่านช่อง Green Line

48. คุณสมบัติของสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 13, (คำบรรยาย) สินค้าเอกชน (Private Goods) หรือสินค้าเอกชนแท้ (Pure Private Goods) เป็นสินค้าที่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค สามารถแบ่งแยกการบริโภคออกจากกันได้ และมีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า ซึ่งได้แก่สินค้าหรือบริการทั่วไปที่ซื้อขายกันตามท้องตลาด เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า อาหาร น้ำมัน เป็นต้น (ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ)

49. คุณสมบัติของสินค้าสาธารณะแท้ (Pure Public Goods) คือข้อใด
(1) ไม่เป็นปรปักษ์ในการบริโภค
(2) ไม่สามารถแยกการบริโภคออกจากกันได้
(3) ไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มในการจัดให้มีสินค้า
(4) ไม่มีข้อใดถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

50. ข้อใดเป็นลักษณะของภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม
(1) ประชาชนแบกรับภาระภาษีอย่างเท่าเทียม
(2) จัดเก็บภาษีอุทิศเพื่อเพื่อนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
(3) ภาษีได้รับการเห็นชอบจากประชาชน
(4) เปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีน้อยครั้ง
(5) จัดเก็บตามความสามารถในการจ่าย (Ability to Pay)
ตอบ 2 หน้า 26 – 27 ภาษีที่ดีตามหลักสวัสดิการสังคม คือ ภาษีที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชนน้อยที่สุดเพื่อนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยรัฐบาลต้องเปรียบเทียบกันระหว่างภาระภาษีกับผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคืนมาจากการเสียภาษี ลดความสูญเสียจากการจัดเก็บภาษี (Deadweight Loss) หรือลดภาระส่วนเกินให้เหลือน้อยที่สุดหรือไม่มีภาระภาษีส่วนเกิน (Excess Burden)

51. หลักการที่ว่า “ผู้มีความสามารถในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรเสียภาษีแตกต่างกัน”
(1) เป็นหลักความเสมอภาคในรูปแบบใด
(2) ความเสมอภาคในแนวระนาบ
(3) ความเสมอภาคในแนวนอน
(4) ความเสมอภาคในแนวดิ่ง
(5) ความเสมอภาคระหว่างบุคคล
ตอบ 3 หน้า 26 หลักความเสมอภาคในแนวดิ่งหรือแนวดิ่ง (Vertical Equity) มีสาระสำคัญว่า ผู้มีความสามารถในการเสียภาษีหรืออยู่ในสภาวะการในการเสียภาษีที่แตกต่างกัน ควรจะเสียภาษีในลักษณะที่แตกต่างกัน ในลักษณะที่ว่า “Unequal Should Be Treated Unequally”

52. ภาษีสรรพสามิตเป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการที่มีลักษณะอย่างไร
(1) ขัดต่อศีลธรรมอันดี
(2) มีความฟุ่มเฟือย
(3) เกิดผลเสียต่อสุขภาพ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 38, (คำบรรยาย) ภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีที่จัดเก็บจากสินค้าและบริการซึ่งมีเหตุผลสมควรที่จะต้องรับภาระภาษีสูงกว่าปกติ เช่น บริโภคแล้วก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม มีลักษณะเป็นสินค้าและบริการที่ฟุ่มเฟือย หรือได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากกิจการของรัฐ ดังนั้นการเก็บภาษีสรรพสามิตจึงเป็นกลไกตามหลักการภาระภาษีที่ดี ทั้งนี้เพราะเป็นการจัดเก็บภาษีที่ต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนหรือจำกัดการบริโภคของประชาชน ตัวอย่างสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต เช่น สุรา เบียร์ ยาสูบ ไพ่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องดื่ม (เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ไส้หัวเชื้อ) รถ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ (รถมอเตอร์ไซด์) น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน หินอ่อน พรม แอลกอฮอล์ สนามกอล์ฟ สนามแข่งม้า ไนต์คลับ ดิสโก้เธค อาบ อบ นวด และคาราโอเกะ เป็นต้น

53. ข้อใดไม่ใช่เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานตามประมวลรัษฎากร
(1) เงินเดือน
(2) เงินบำนาญ
(3) เงินค่าจ้าง
(4) เบี้ยประชุม
(5) เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง

ตอบ 4 หน้า 31 **เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 1 ตามประมวลรัษฎากร ได้แก่ เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ดังนี้
1. เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ
2. เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
3. เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า ฯลฯ

54. เงินได้พึงประเมินหมายถึงเงินได้ของบุคคลที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใด
(1) ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม
(2) ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 31 มีนาคม
(3) ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม
(4) ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 31 พฤษภาคม
(5) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม – 30 กันยายน
ตอบ 1 หน้า 31, (คำบรรยาย) เงินได้พึงประเมิน หมายถึง เงินได้ของบุคคลใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีใด ๆ หรือเงินได้ที่เกิดขึ้นในปีภาษี (ปีปฏิทิน) ได้แก่
1. เงิน
2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน
3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน
4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

55. ภาษีมูลค่าเพิ่มมีรอบการชำระภาษีอย่างใด
(1) รายวัน
(2) รายเดือน
(3) รายสัปดาห์
(4) รายปี
(5) รายไตรมาส
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

56. ใครเป็นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง
(1) ผู้ผลิตสินค้า
(2) ผู้ขายสินค้า
(3) ผู้บริโภคสินค้า
(4) ผู้โภคสินค้า
(5) ผู้จัดจำหน่ายสินค้า
ตอบ 3 หน้า 19, (คำบรรยาย) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) จัดเป็นภาษีสรรพากรและเป็นภาษีทางอ้อมที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคได้โดยการบวกเพิ่มเข้าไปในสินค้าหรือบริการนั้น ๆ ดังนั้นผู้แบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงก็คือ ผู้บริโภคสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7%

57. พลเมืองมีสิทธิปฏิเสธการทำงานของรัฐบาลได้หลายวิธี ยกเว้นข้อใด
(1) การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(2) การทำลายทรัพย์สินของทางราชการ
(3) การเดินขบวนประท้วง
(4) การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล
(5) การทำอารยะขัดขืน
ตอบ 2 หน้า 28 ในทางรัฐศาสตร์ รัฐบาลและพลเมืองจะต้องมีจริยธรรมด้วยกันทั้งคู่จึงจะทำให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น หากรัฐบาลไม่มีคำนึงถึงผลประโยชน์ของพลเมืองโดยส่วนรวม พลเมืองย่อมมีสิทธิปฏิเสธการทำงานของรัฐบาล ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การไม่จ่ายภาษีให้รัฐบาล การเดินขบวนประท้วง การทำอารยะขัดขืน เป็นต้น

58. กลไกตลาดภาครัฐคืออะไร
(1) กลไกการทำงานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(2) กลไกความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(3) กลไกการบริหารจัดการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(4) กลไกการประสานงานระหว่างภาครัฐกับประชาชน
(5) กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างภาครัฐกับประชาชน
ตอบ 5 หน้า 21, (คำบรรยาย) กลไกตลาดภาครัฐ คือ กลไกการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างภาครัฐ” (รัฐบาล) ในฐานะผู้ประกอบการ ผู้ผลิต หรือผู้ขายกับ “ประชาชน” ในฐานะผู้บริโภค ผู้ซื้อ หรือผู้รับบริการ

59. ส่วนขาดดุลทางการคลังเกิดจากข้อใด
(1) รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้
(2) รัฐบาลมีรายได้มากกว่ารายจ่าย
(3) รัฐบาลมีรายจ่ายเท่ากับรายได้
(4) รายจ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 45 ส่วนขาดดุลทางการคลัง (Fiscal Deficit) เกิดจากรัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ซึ่งรัฐบาลสามารถชดเชยการขาดดุลได้โดยใช้วิธีการก่อหนี้สาธารณะ

60. ปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ 1930 เรียกว่าอะไร
(1) Crisis
(2) The Great Depression
(3) The Great Storm
(4) Hamburger Crisis
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 46 – 47, (คำบรรยาย) ในช่วงทศวรรษ 1930 เกิดปรากฏการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก หรือที่เรียกว่า The Great Depression ซึ่งทฤษฎีของเคนส์ได้เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหานี้ โดยการเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจ คือการให้รัฐบาลใช้จ่ายเกินกว่ารายได้ที่มีอยู่เพื่อเป็นการยกระดับอุปสงค์มวลรวม (Aggregate Demand)

61. นักเศรษฐศาสตร์สำนักใดไม่ยอมรับการก่อหนี้สาธารณะ
(1) เคนส์เซียน
(2) นีโอคลาสสิค
(3) พาณิชย์นิยม
(4) เสรีนิยม
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 46 นักเศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก (Classical Economist) หรือสำนักเสรีนิยม (Liberalist) มองว่า บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจำกัด (Minimalist State) คือ รัฐบาลควรใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัด ดังนั้นการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลจึงนำไปสู่การก่อหนี้สาธารณะซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์สำนักนี้

62. ในทฤษฎีของเคนส์การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลเป็นการทำงานของกลไกในข้อใด
(1) การบริโภค
(2) การออม
(3) การลงทุน
(4) อุปสงค์มวลรวม
(5) การจับจ่ายใช้สอย
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63. กรอบแนวคิดที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึงขีดจำกัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่าอะไร
(1) วินัยทางการคลัง
(2) กฎเหล็กทางการคลัง
(3) ความยั่งยืนทางการคลัง
(4) กฎกระทรวงการคลัง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คำบรรยาย) กรอบแนวคิดที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึงขีดจำกัดในการก่อหนี้สาธารณะ เรียกว่า วินัยทางการคลัง

64. บทบัญญัติของกฎหมายมาตราใดในพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ที่กำหนดขีดจำกัดของการก่อหนี้สาธารณะสำหรับประเทศไทย
(1) มาตรา 9 ทวิ
(2) มาตรา 15
(3) มาตรา 19
(4) มาตรา 21
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คำบรรยาย) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 21 ได้กำหนดขีดจำกัดของการก่อหนี้สาธารณะสำหรับประเทศไทยไว้ว่า การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือเมื่อมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณหนึ่งให้กระทรวงการคลังกู้เป็นเงินบาทไม่เกินวงเงิน ดังนี้
1 ร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นและงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
2 ร้อยละ 80 ของงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับชำระคืนเงินต้น

65. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะอยู่ภายใต้สังกัดของหน่วยงานใด
(1) กรมธนารักษ์
(2) กรมบัญชีกลาง
(3) สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
(4) สำนักงบประมาณ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 หน้า 48 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 อยู่ภายใต้สังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับหนี้สาธารณะภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การผูกพันหนี้ การบริหารหนี้ และการชำระหนี้ในประเทศและต่างประเทศของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจทั้งที่ค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน

66. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2540
(2) ปี พ.ศ. 2541
(3) ปี พ.ศ. 2542
(4) ปี พ.ศ. 2543
(5) ปี พ.ศ. 2544
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

67. ข้อใดไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
(1) หนี้ของรัฐบาล
(2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน
(3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน
(4) หนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 45, 50, (คำบรรยาย) หนี้สาธารณะ ได้แก่
1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงทั้งหนี้ในประเทศและต่างประเทศ
2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่สถาบันการเงิน) ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน
3 หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน
4 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
5 หนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ เช่น หนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น

68. บทบาทของรัฐบาลในลักษณะที่เป็น Minimalist State ตรงกับข้อใด
(1) รัฐบาลไม่แทรกแซงในระบบเศรษฐกิจ
(2) บทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจควรเป็นไปอย่างจำกัด
(3) รัฐบาลไม่ควรมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจ
(4) บทบาทของรัฐบาลเป็นไปตามนโยบายของพรรคการเมือง
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

69. ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละเท่าไร
(1) 10
(2) 15
(3) 20
(4) 40
(5) 60
ตอบ 4 หน้า 51 สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 มีจำนวน 6,267,920.88 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42.64 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)

70. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละเท่าไร
(1) 7.12
(2) 15.26
(3) 15.28
(4) 18.25
(5) 25.74
ตอบ 1 หน้า 52 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 ภาระหนี้ต่องบประมาณของประเทศไทยอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.12

71. ข้อใดคือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ในต่างประเทศ
(1) วงเงิน
(2) ระยะเวลาชำระคืน
(3) อัตราดอกเบี้ย
(4) ผู้ที่รับภาระหนี้
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (คำบรรยาย) การก่อหนี้สาธารณะต้องคำนึงถึงผู้ที่รับภาระหนี้ วงเงิน ระยะเวลาชำระคืน และอัตราดอกเบี้ย โดยที่อัตราดอกเบี้ยคือความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างการก่อหนี้สาธารณะจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศกับต่างประเทศ เนื่องจากต้องใช้คืนทั้งต้นเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีผลบวกตามค่าเงิน

72. กฎหมายฉบับสำคัญที่สุดที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะคือข้อใด
(1) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2545
(2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2546
(3) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2547
(4) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548
(5) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2550
ตอบ 4 (คำบรรยาย) กฎหมายฉบับสำคัญที่สุดที่กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการบริหารหนี้สาธารณะ คือ พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งประกาศบังคับใช้ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร

73. ข้อใดไม่ใช่ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) ตั๋วเงินคลัง
(2) ตั๋วสัญญาใช้เงิน
(3) พันธบัตร
(4) บัตรเงินฝาก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ตราสารหนี้ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่
1 ตั๋วเงินคลัง
2 ตั๋วสัญญาใช้เงิน
3 พันธบัตร

74. ข้อใดเป็นคำนิยามของพันธบัตรที่ถูกต้อง
(1) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุวันแต่วันที่ออกไม่เกิน 6 เดือน
(2) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะสั้นที่มีอายุวันแต่วันที่ออกไม่เกิน 12 เดือน
(3) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุวันแต่วันที่ออกตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป
(4) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุวันแต่วันที่ออกตั้งแต่ 18 เดือนขึ้นไป
(5) เอกสารการก่อหนี้ผูกพันระยะยาวที่มีอายุวันแต่วันที่ออกตั้งแต่ 24 เดือนขึ้นไป
ตอบ 3 (คำบรรยาย) พันธบัตร คือ เอกสารการก่อหนี้ระยะยาวที่มีอายุวันแต่วันที่ออกตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป

75. ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังไม่อาจกู้เงินเพื่อการใด
(1) ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
(2) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
(3) ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
(4) ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
(5) พัฒนาตลาดทุนในประเทศ
ตอบ 5 (คำบรรยาย) ตามกฎหมายการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังกู้เงินได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้
1 ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
2 พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
3 ปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ
4 ให้หน่วยงานอื่นกู้ต่อ
5 พัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ

76. บุคคลใดเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ
(1) นายกรัฐมนตรี
(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
(3) ปลัดกระทรวงการคลัง
(4) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
(5) ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
ตอบ 2 หน้า 50, (คำบรรยาย) คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1 รายงานสถานะของหนี้สาธารณะต่อคณะรัฐมนตรี
2 เสนอแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
3 จัดทำหลักเกณฑ์ในการกู้เงิน การค้ำประกัน การชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ และการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ฯลฯ

77. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ
(1) การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
(2) การเป็นเครื่องชี้วัดสถานภาพทางสังคม
(3) การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
(4) การเป็นมาตรฐานในการกำหนดมูลค่า
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 54, (คำบรรยาย) บทบาทของเงินในระบบเศรษฐกิจ มีดังนี้
1 การเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
2 การเป็นเครื่องมือสะสมความมั่งคั่ง
3 การเป็นมาตรฐานในการกำหนดมูลค่า
4 การเป็นมาตรฐานการชำระหนี้ในภายหน้า

78. ข้อใดไม่นับว่าเป็นเงิน
(1) เช็ค
(2) ตั๋วแลกเงิน
(3) บัตรเครดิต
(4) เหรียญกษาปณ์
(5) คอนโดมิเนียม
ตอบ 5 หน้า 54 เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ เช็ค ตั๋วแลกเงิน บัตรเครดิต เป็นต้น

79. คำในข้อใดหมายถึงนโยบายการเงิน
(1) Fiscal Policy
(2) Monetary Policy
(3) Financial Policy
(4) Public Policy
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

80. การดำเนินนโยบายการเงินไม่มีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเรื่องใด
(1) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
(2) การจ้างงาน
(3) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
(4) เสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1 หน้า 54 – 55, (คำบรรยาย) การดำเนินนโยบายการเงินมีผลกระทบสืบเนื่องไปยังเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการจ้างงาน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

81. ECB เป็นชื่อเรียกย่อของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งเอเชีย
ตอบ 3 หน้า 55 ในปัจจุบันธนาคารกลางที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ได้แก่ ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank : ECB) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Reserve Bank : FED) เป็นต้น

82. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน
(1) การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
(2) การควบคุมปริมาณเงิน
(3) การควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ
(4) การเก็บภาษีอากร
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4 หน้า 55 – 56 เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ประกอบด้วย 3 เครื่องมือ คือ การควบคุมปริมาณเงิน การกำหนดอัตราดอกเบี้ย และการควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างประเทศ

83. หน่วยงานใดเป็นผู้กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทย
(1) กระทรวงพาณิชย์
(2) กระทรวงการคลัง
(3) ธนาคารแห่งประเทศไทย
(4) ธนาคารกรุงไทย
(5) คณะกรรมการนโยบายการเงิน
ตอบ 3 หน้า 57 – 58 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและหน้าที่ ดังนี้
1 ออกและจัดการธนบัตรของรัฐบาลและบัตรธนาคาร
2 กำหนดและดำเนินนโยบายการเงิน เช่น กำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ย
3 บริหารจัดการทรัพย์สินมีค่าของธนาคารแห่งประเทศไทย
4 เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล
5 เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน
6 กำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
7 บริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและสินทรัพย์ในทุนสำรองเงินตรา ฯลฯ

84. ข้อใดคือลักษณะที่สำคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายทางการเงิน
(1) มุ่งหากำไรสูงสุด
(2) หลีกเลี่ยงสถานะการผูกขาดทางการเงิน
(3) มีอิสระจากฝ่ายการเมือง
(4) มีอำนาจเด็ดขาด
(5) รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสีย
ตอบ 3 หน้า 55 ลักษณะที่สำคัญที่สุดของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายทางการเงิน คือ มีอิสระจากฝ่ายการเมือง เนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินนั้นมีเป้าหมายที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ดังนั้นการดำเนินนโยบายโดยหน่วยงานที่มีอิสระจากฝ่ายการเมืองย่อมจะเป็นผลดีต่อการบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินมากกว่าการดำเนินนโยบายโดยนักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้ง

85. ในปัจจุบันบุคคลใดดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล
(2) นายประสิทธิ์ ดำรงชัย
(3) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
(4) นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 (ความรู้ทั่วไป) ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในปัจจุบัน คือ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

86. ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับเท่าไร
(1) ร้อยละ 0.75 ต่อปี
(2) ร้อยละ 1.0 ต่อปี
(3) ร้อยละ 2.0 ต่อปี
(4) ร้อยละ 2.5 ต่อปี
(5) ร้อยละ 3.0 ต่อปี
ตอบ 4 (ความรู้ทั่วไป) ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 ต่อปี

87. ธนาคารแห่งประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปีใด
(1) ปี พ.ศ. 2480
(2) ปี พ.ศ. 2485
(3) ปี พ.ศ. 2490
(4) ปี พ.ศ. 2495
(5) ปี พ.ศ. 2498
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

88. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย
(1) ออกธนบัตร
(2) บริหารจัดการทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย
(3) ผลิตเหรียญกษาปณ์
(4) กำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

89. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน
(1) เสถียรภาพและความมั่นคง
(2) การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
(3) การบริหารความเสี่ยงที่ดี
(4) ส่งเสริมการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 60 เป้าหมายของการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่
1 ระบบการเงินมีเสถียรภาพและความมั่นคง
2 การบริหารงานด้วยธรรมาภิบาล
3 การบริหารความเสี่ยงที่ดี
4 ส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันของระบบสถาบันการเงิน
5 การเข้าถึงบริการทางการเงินเป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

90. ความต้องการถือเงินของภาคครัวเรือนเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อใด
(1) ความต้องการจับจ่ายใช้สอย
(2) การสร้างความมั่นคง
(3) การสร้างหลักประกันในการดำเนินชีวิต
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54 เงินเป็นสิ่งสำคัญและมีบทบาทอย่างสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากลักษณะของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนของเงินนั่นเอง จึงทำให้ภาคครัวเรือนเกิดความต้องการถือเงินเมื่อมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย

91. ข้อใดไม่ถูกต้อง งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะดังนี้
(1) มีกระบวนการจัดทำที่มีลักษณะรวมอำนาจ
(2) รายรับมาจากภาษีอากรของประชาชน
(3) ความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทำ
(4) งบประมาณแผ่นดินมีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ
(5) รายรับอาจได้มาด้วยการก่อหนี้สาธารณะ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

92. ในยุคที่มีความเชื่อว่า… “งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมือในการควบคุมความซื่อสัตย์ในการใช้จ่ายของรัฐบาล…” งบประมาณแผ่นดินจะให้ความสำคัญไปที่
(1) รายละเอียดของบัญชีที่แสดงประเภทของการใช้จ่ายเงินของรัฐ
(2) เอกสารที่ประกอบด้วยโครงการต่าง ๆ ซึ่งเสนอขอรายจ่ายเพื่อให้เกิดการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของโครงการนั้น ๆ
(3) แผนของรัฐในรูปตัวเงินที่แสดงประสิทธิภาพของการใช้เงินตามแผนนั้น ๆ
(4) ทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

93. FED เป็นชื่อเรียกย่อของธนาคารกลางในข้อใด
(1) ธนาคารกลางแห่งเดนมาร์ค
(2) ธนาคารกลางแห่งสวิตเซอร์แลนด์
(3) ธนาคารกลางแห่งยุโรป
(4) ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา
(5) ธนาคารกลางแห่งแอฟริกา
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 94. – 100. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) ฐานรายได้
(2) ฐานความมั่งคั่ง
(3) ฐานการบริโภค
(4) ฐานความมั่งคั่งและฐานการบริโภค
(5) ไม่มีข้อใดถูก

94. ภาษีไพ่ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 หน้า 5 – 6, 23, 38 ฐานการบริโภค (Consumption Base) เป็นฐานภาษีที่เก็บจากการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของประชาชน รวมถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการต่าง ๆ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานการบริโภค เช่น ภาษีการขาย ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีสรรพสามิต (เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ภาษีน้ำมัน ภาษีเครื่องดื่ม ภาษีไพ่ ภาษีน้ำหอม) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีศุลกากร (ภาษีสินค้าขาเข้า เช่น ภาษีรถยนต์นำเข้า) เป็นต้น

95. ภาษีการขาย มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

96. ภาษีรถยนต์ มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 2 หน้า 6, 23, (คำบรรยาย) ฐานความมั่งคั่ง (Wealth Base) เป็นฐานภาษีที่พิจารณาจากรายได้หรือผลประโยชน์ที่เกิดจากทรัพย์สินที่บุคคลได้ครอบครองอยู่ ตัวอย่างภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานความมั่งคั่ง เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีโรงแรม ภาษีโรงงาน ภาษีป้าย ภาษีรถยนต์ ภาษีมรดก ภาษีดอกเบี้ย เป็นต้น

97. ภาษีสุรา มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

98. ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

99. ภาษีเงินได้นิติบุคคล มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 1 หน้า 5, 22, (คำบรรยาย) ฐานรายได้ (Income Base) เป็นฐานภาษีที่วัดจากความสามารถในการเสียภาษี (Ability to Pay) ของประชาชนแต่ละคน โดยพิจารณาจากเงินได้ของบุคคลหรือหน่วยภาษีต่าง ๆ ภาษีที่จัดเก็บโดยใช้ฐานรายได้ ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กำไรจากการขายศรีภริยา) ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีหัก ณ ที่จ่าย

100. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีฐานภาษีจัดอยู่ในประเภทใด
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 99. ประกอบ

POL3311 การเมืองและระบบราชการ 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

ข้อ 1. ให้อธิบายความแตกต่างแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป

1.1 แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) กับการคอร์รัปชั่นทางนโยบาย

แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยาบุคคล พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มติมหาชน พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกำหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว

1.2 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach) กับแนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism or Institutional Approach)

แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)

David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ

1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionalism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach)** เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่างๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจ และรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.3 สิทธิอํานาจตามกฎหมาย (Legal Authority) กับสิทธิอํานาจตามบารมี (Charismatic Authority)

แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 15)

สิทธิอํานาจตามกฎหมาย (Legal Authority) หมายถึง สิทธิอํานาจที่ได้มาจากระเบียบ กฎเกณฑ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งสิทธิอํานาจแบบนี้ถือว่าเป็นรากฐานของระบบราชการ

สิทธิอํานาจตามบารมี (Charismatic Authority) หมายถึง สิทธิอํานาจที่ได้มาจาก ลักษณะความเป็นผู้นําที่โดดเด่นของบุคคล ทําให้เกิดกลุ่มเคลื่อนไหวต่างๆ ตามผู้มีบารมี

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2

2.1 ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber กับระบบราชการไทยตามที่เป็น จริงมีความสอดคล้องหรือขัดแย้งกันอย่างไร

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 87 – 90)

ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber กับระบบราชการไทย ประเทศไทยได้ใช้แนวคิดหลักการบริหารงานราชการหรือหลักการบริหารที่เป็นทางการ (Bureaucratic System) ของ Max Weber เป็นหลักรากฐานในการบริหารจัดการระบบราชการไทยมาเป็น ระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันซึ่งระบบนี้มีสาระที่สําคัญ คือ

-หลักการแบ่งงานโดยระบุหน้าที่ และความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลอย่างชัดเจนมีการ แบ่งงานกันทําตามความชํานาญเฉพาะด้าน (Technical Specialization)

-หลักการจัดตําแหน่งตามสายการบังคับบัญชา (Hierarchy)

-หลักการอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เป็นทางการเหมือนๆ กัน เป็นการทํางานภายในกรอบของ กฎหมาย (Framework of Law)

-หลักการปฏิบัติหน้าที่และการตัดสินใจที่ใช้การบันทึกลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐาน

-หลักการมั่นคงในการทํางาน

-หลักการจําแนกความเป็นองค์การออกจากความเป็นปัจเจกบุคคล

การใช้หลักการบริหารที่เป็นทางการของ Max Weber แม้จะมีความเหมาะสมกับระบบ ราชการไทยในยุคสมัยหนึ่ง แต่ก็ยังปรากฏว่ามีปัญหาของระบบราชการที่ต้องเร่งรัดและแก้ไขอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง การปกครอง ระบบราชการตามอุดมคติตามแนวคิดของ Max Weber ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ก่อให้เกิดความ ล่าช้าในการบริหารงาน เป็นบ่อเกิดของความไร้ประสิทธิภาพ

ปัญหาของระบบราชการไทยที่สําคัญ ได้แก่

1. ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่ สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทําให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยติดอยู่กับปัญหา
การทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแยกไม่ออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสําคัญที่จะช่วยแก้ไขสภาพปัญหา นี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด

2. ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการไทยมีโครงสร้างของกลุ่มราชการที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากําลังข้าราชการเป็นจํานวนมาก ทําให้ระบบราชการมีระบบการบริหารงานที่ไม่คล่องตัว ประสบกับ ปัญหาด้านค่าใช้จ่ายของบุคคลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างไม่สิ้นสุด และมี ผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจําเป็นของรัฐในการปฏิรูป ระบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดําเนินการ

3. ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารระบบราชการไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึง ประสิทธิภาพการบริหารงานอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารงานในภาคเอกชน การบริหารงานราชการ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัด ในการดําเนินงาน ทําให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของการดําเนินงานของส่วนราชการ ได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ประชาชนต้องได้รับบริการสาธารณะจากรัฐที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ รวดเร็ว ความคาดหวัง ของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทยในแนวทางดังกล่าว จึงนับเป็น ปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผล และความจําเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหา ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน

4. ปัญหาการบริหารแบบรวมศูนย์อํานาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอํานาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาคก็ตาม แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาค ก็ยังไม่สามารถใช้อํานาจเด็ดขาดหรือมีความอิสระในการตัดสินใจมากนัก ยังต้องยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก ทรัพยากรการบริหารส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง

5. ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว การบริหารยึดติดกับกรอบตามอํานาจหน้าที่กฎหมายเป็นหลัก ทําให้ การบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ทําให้ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์กรมีขนาดใหญ่ ทําให้การปรับรื้อต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการ ดําเนินการ

6. ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐ เป็นการบริหารโดยยึดโยงกับกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อ การบริหารงานภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นํามาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัย เมื่อเทียบกับการดําเนินงานของภาคเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระบบราชการเป็นการบริหารที่ต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้ความสําคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทําให้การ บริหารงานขาดความคล่องตัว

7. ปัญหากําลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กําลังคนภาครัฐที่มีอยู่ในระบบราชการปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจําเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กําลังส่วนใหญ่ยังขาด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยึดติดกับการทํางานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความมั่นคงในระบบราชการ ทําให้กําลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของตําแหน่งที่มีเสถียรภาพ และความมั่นคงค่อนข้างสูง

8. ปัญหาที่ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ําเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการ เป็นองค์การขนาดใหญ่ ทําให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทําได้ค่อนข้างลําบาก เนื่องจากภาครัฐต้อง ใช้งบประมาณในการดําเนินการเป็นจํานวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้ ของราชการอยู่ในระดับต่ําและไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา

9. ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสําคัญกับลําดับชั้น ของการบังคับบัญชา ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควร รวมทั้งการต้องเคารพในระบบอาวุโสของ การทํางานทําให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทํางานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติ และค่านิยมดั้งเดิม ในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่ง คนดี คนที่มีความรู้และความสามารถได้ใช้โอกาส ตลอดจนข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคําสั่งและ นํามาปฏิบัติมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเมื่อเห็นว่าคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ ในการแสดงศักยภาพการทํางานได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร

แนวทางการแก้ไขอันนําไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1. การมอบอํานาจและการกระจายอํานาจ
2. การให้เอกชนรับงานบางอย่างของภาครัฐไปดําเนินการโดยรัฐเป็นผู้ควบคุม
3. การลดจํานวนข้าราชการด้านกําลังคน
4. การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จําเป็น
5. ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร
6. ทําให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
7. การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

2.2 การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทยอย่างไรและระบบราชการมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย อย่างไร จงอธิบาย

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 27 – 34)

การเมืองมีอิทธิพลต่อระบบราชการไทย มีดังนี้

1. นักการเมืองที่เป็นนักธุรกิจบางคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือของ พรรคพวก มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
2. นักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีบางคนสั่งการไม่คํานึงถึงข้อจํากัดด้านกฎหมายและ ระเบียบแบบแผน การตัดสินในวินิจฉัยสั่งการไม่รอบคอบ และในบางกรณีไม่มีความสันทัดชัดเจนในเรื่องที่อยู่ใน ความรับผิดชอบของตน
3. นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางคนสั่งการโดยขัดกับมติคณะรัฐมนตรีหรือกฎระเบียบ หากข้าราชการประจํานําไปปฏิบัติผู้ที่มีความผิดก็คือข้าราชการเพราะเป็นผู้ดําเนินการ
4. นักการเมืองที่เป็นรัฐมนตรีบางคนสร้างความหวาดกลัวให้แก่ข้าราชการและใช้อํานาจ ในการโยกย้ายอย่างไม่เป็นธรรม ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นที่เป็นอิสระได้
5. นักการเมืองทําผิดหรือบริหารงานบกพร่องก็ไม่ต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าข้าราชการบกพร่องก็มีบทลงโทษ ต้องถูกสอบสวนและหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะถูกโยกย้ายหรือปลดออกได้
6. นักการเมืองขาดความรู้ความเข้าใจในปัญหาของชาติที่มีความสลับซับซ้อนและมีแง่มุมทางด้านเทคนิคสูง นักการเมืองมักใช้แต่ความรู้สึกส่วนตัวโดยขาดข้อพิจารณาทางวิชาการ
7. นักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ มักมีพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ทํางานเสมือนปลัดกระทรวงอีกคนหนึ่งไม่มีแนวการบริหารแตกต่างไปจากข้าราชการที่ปฏิบัติอยู่ แบบที่ 2 พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของข้าราชการประจํามากขึ้น

ระบบราชการมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้

1. ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงําการเมืองไทยมาตลอด
2. ระบบราชการไทยทําหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีกฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง
3. ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งสําคัญ ๆ ทางการเมือง
4. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย
5. ระบบราชการไทยควบคุมการดําเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด
6. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกําหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภานิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง
7. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
8. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว

 

POL3311 การเมืองและระบบราชการ 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3311 การเมืองและระบบราชการ

1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้พอสังเขป

1.1 แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)
แนวคิดเชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Behavioral Approach) เป็นแนวที่สนใจพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ โดยเน้นจิตวิทยาบุคคล พฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม รวมทั้งจิตวิทยาสังคม เช่น ศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลก้าวร้าวและนิยมเผด็จการ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับบุคลิกภาพและการขัดเกลาทางสังคมของผู้นำทางการเมือง มติมหาชน พฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง และวัฒนธรรมทางการเมือง นอกจากนี้ ยังเป็นแนวที่เน้นการศึกษาในระดับจุลภาคโดยผสมผสานแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจิตวิทยาเข้าด้วยกัน

1.2 แนวคิดการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)
แนวคิดเชิงการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมย่อมมีผลต่อด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว จากระบบการเมืองที่ล้าสมัยไปสู่ระบบการเมืองที่ทันสมัย เป็นต้น

1.3 แนวคิดสถาบันนิยม (Institutionalism or Institutional Approach)
(แนวคำตอบ: เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คำบรรยาย)
แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.4 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach)
แนวคําตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 7), (คําบรรยาย)

แนวคิดเชิงระบบ (System Approach)
David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นําแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสําคัญ 4 ส่วน คือ

1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนําเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดํา (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

1.5 ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)
แนวคําตอบ (คําบรรยาย)

การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกําหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือ ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทําข้อสอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข.

2.1 ท่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการอย่างไร และระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทยอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ**
แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 119 – 124), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 29 – 34)

ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการไทย
โดยหลักการทั่วไปการเมืองเป็นเรื่องของการกําหนดนโยบายและเป้าหมายของรัฐ (Ends) ส่วนเรื่องการบริหารเป็นเรื่องของการปฏิบัติตามนโยบายซึ่งเกี่ยวข้องกับวิธีการ (Means) และระบบราชการ
ความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการจึงหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการด้วย ทั้งในทางประสานงานกันและมีความขัดแย้งกัน ซึ่งจากการมีความสัมพันธ์ระหว่างระบบการเมืองกับระบบราชการนี่เองที่ทําให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปมีอิทธิพลต่อฝ่ายราชการ ขณะเดียวกันฝ่ายราชการก็เข้าไปมีอิทธิพลต่อฝ่ายการเมือง

ระบบราชการไทยมีอิทธิพลต่อการเมืองไทย ดังนี้

นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา ระบบการเมืองไทยเป็นระบบ อํามาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) คือ ถูกครอบงําโดยข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนมาโดยตลอด ประเทศไทย จึงตกอยู่ในภาวะขาดแคลนนักการเมืองอาชีพ แต่อุดมไปด้วยข้าราชการที่เข้าไปมีบทบาททางการเมืองทั้งในด้าน นิติบัญญัติ ด้านราชการงานเมือง และด้านการสังกัดพรรคการเมือง โดยข้าราชการประจํามักจะเข้าไปดํารงตําแหน่ง ทางการเมืองต่าง ๆ เช่น รัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี พ.ศ. 2475 – 2518 คณะรัฐมนตรีเกือบทุกชุดของไทยมีข้าราชการเป็น รัฐมนตรีมากกว่านักการเมืองอาชีพ เพราะระบบราชการมีมานานและมั่นคงกว่าระบบการเมือง และระบบการเมือง ยังขาดเสถียรภาพทําให้มีนักการเมืองอาชีพน้อย

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมือง

ของประชาชนในระบบการเมืองไทย มีผลทําให้ทหารและข้าราชการพลเรือนมีบทบาทสําคัญทางการเมือง ทหาร กลายเป็นสถาบันที่ครอบงําการเมืองของไทยมาโดยตลอด โดยมีพรรคการเมือง สภาผู้แทนราษฎร และนักการเมือง ฝ่ายพลเรือนส่วนหนึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม คอยต้านทานอิทธิพลของทหาร แต่ฝ่ายพลเรือนไม่ค่อยประสบความสําเร็จ ในการต่อสู้กับฝ่ายทหาร เนื่องจากมีอุปสรรคและปัญหาอยู่ที่กลุ่มการเมืองเองและสภาพแวดล้อมทางการเมือง

หลังจากนั้นในระบบการเมืองที่กําลังพัฒนา ข้าราชการมักเข้าไปมีบทบาทสําคัญทางการเมือง ทั้งในเรื่องการดํารงตําแหน่งทางการเมือง การกําหนดนโยบาย และการใช้อิทธิพลควบคุมพฤติกรรมของนักการเมือง ข้าราชการไม่ได้ทําหน้าที่ดําเนินงานไปตามนโยบายเท่านั้น แต่เข้าไปมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายด้วย เนื่องจาก ข้าราชการต้องปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องจึงมีความรู้และประสบการณ์ในการทํางานของตน แต่นักการเมืองเข้ามาดํารง ตําแหน่งเพียงชั่วคราว เพราะต้องออกไปด้วยวิถีทางการเมือง เมื่อนักการเมืองคนใหม่เข้ามาดํารงตําแหน่งจึงต้อง อาศัยข้อมูลข่าวสารและความเห็นต่าง ๆ จากข้าราชการในการกําหนดนโยบาย

สถาบันทางการเมืองที่มีหน้าที่ควบคุมระบบราชการมักจะอ่อนแอ ในขณะที่ระบบราชการมี พัฒนาการอันยาวนานและมีความเข้มแข็งเพราะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีการระดมทรัพยากรเข้าสู่ระบบ อย่างเต็มที่ ระบบราชการจึงเป็นแหล่งข้อมูลที่สําคัญสําหรับผู้นําทางการเมือง

ในการกําหนดนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หน่วยงานราชการมีส่วน

สําคัญมากกว่าสถาบันการเมืองและภาคเอกชน โดยข้าราชการประจําจะมีบทบาทในการกําหนดนโยบายและ แผนพัฒนาทุกระดับเนื่องจากเป็นเรื่องของเทคนิค

ข้าราชการประจําเป็นผู้มีอํานาจอย่างแท้จริงในการจัดทํางบประมาณ เพราะมีความเชี่ยวชาญ ส่วนนักการเมืองมักจะขาดความรู้ ประสบการณ์ และถูกจํากัดโดยสถานการณ์ ข้อผูกพันเดิม และเวลา จึงไม่สามารถ ทําการเปลี่ยนแปลงงบประมาณได้มากนัก แม้ว่าจะมีการแก้ไขให้ตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเป็น ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งทําให้อิทธิพลการเมืองจากภายนอกในการจัดทํางบประมาณลดลง และอาศัยหลัก วิชาการและเหตุผล (Rationality) มากขึ้นก็ตาม แต่ก็ไปเพิ่มอํานาจให้กับข้าราชการประจําในการจัดทํางบประมาณ

การที่ข้าราชการมีอํานาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายสําคัญจนเคยชิน และการไม่ยอมรับ อํานาจของนักการเมือง ทําให้นักการเมืองพยายามเข้าไปควบคุมตัวบุคคลที่เป็นข้าราชการ โดยการเปลี่ยนตัว ปลัดกระทรวงเพื่อควบคุมปลัดกระทรวงให้ได้ จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจําเสมอมา ในอดีตระบบการเมืองไทยถูกครอบงําโดยระบบราชการ ดังต่อไปนี้

1. ระบบราชการไทยเป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลครอบงําการเมืองไทยมาตลอด
2. ระบบราชการไทยทําหน้าที่แทนพรรคการเมืองเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่มีกฎหมายห้ามการมีพรรคการเมืองและห้ามการชุมนุมทางการเมือง
3. ระบบราชการไทยผูกขาดการสรรหาบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งสําคัญ ๆ ทางการเมือง
4. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําการปลูกฝังวัฒนธรรมทางการเมืองแบบดั้งเดิมให้แก่คนไทย
5. ระบบราชการไทยควบคุมการดําเนินงานของสื่อมวลชนอย่างใกล้ชิด
6. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลเหนือการกําหนดข้อบัญญัติของสังคมและสมาชิกสภานิติบัญญัติ ทั้งที่มาจากการแต่งตั้งและที่มาจากการเลือกตั้ง
7. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน
8. ระบบราชการไทยมีอิทธิพลครอบงําต่อกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม และในกระทรวงมหาดไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว

2.2 จะต้องปฏิรูประบบราชการไทยเรื่องใด อย่างไรบ้าง จึงจะสอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปลายปี 2558 (ตอบเป็นข้อ ๆ)

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 108 – 109), (คําบรรยาย)

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทยให้สอดคล้องกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

1. ให้ภาคราชการมีสมรรถนะที่จะแข่งขันในเวทีโลก (International Competitive Marketing)
2. ลดการควบคุมภาคราชการต่อภาคเอกชนให้น้อยลง โดยการแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ล้าสมัย (Deregulation)
3. ให้มีการแปรสภาพภาคราชการไปให้ภาคเอกชนดําเนินการแทนมากขึ้น (Privatization)
4. ให้ส่วนราชการมีขนาดเล็กกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจและวิธีการบริหารงานของภาครัฐ (บทบาท วิธีการทํางานและสร้างประสิทธิภาพในการทํางาน)
6. การปรับปรุงโครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน
7. การปรับเปลี่ยนงบประมาณให้เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์
8. ปรับเปลี่ยนบริหารงานบุคคล (พัฒนาหน่วยงานกลาง บริหารงานบุคคลพัฒนาศักยภาพของข้าราชการ ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน ปรับกระบวนทัศน์ข้าราชการ)
9. ปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ และมีความรวดเร็วในการปฏิบัติงาน
10. ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม และค่านิยมของข้าราชการ (สร้างจิตสํานึก) สร้างระบบการบริหารงานกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance) สร้างค่านิยมโปร่งใสทํางานร่วมกับประชาชนอย่างเป็นมิตร
11. เปิดระบบราชการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการปฏิรูประบบราชการไทย มีดังนี้

1. นำไปสู่ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุ้มค่ากับภาษีของประชาชน ระบบราชการโปร่งใสสุจริต ลดความสิ้นเปลืองสูญเปล่า และใช้งบประมาณน้อยลง
2. เป็นข้าราชการที่มีความรับผิดชอบ ซื่อตรงและโปร่งใส
3. เป็นระบบราชการที่แน่นอนคงเส้นคงวา
4. การบริหารราชการมองการณ์ไกล ทันสมัย ทันโลก ทันต่อเหตุการณ์
5. ได้ระบบและข้าราชการที่มีความมั่นคงเข้มแข็ง ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน
6. การบริหารราชการที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชนว่าเป็นระบบที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมีคุณธรรม
7. ได้ข้าราชการที่เข้าใจง่ายและเป็นเพื่อนกับประชาชน โดยที่ประชาชนได้รับบริการที่มีมาตรฐานที่เท่าเทียมกันและเป็นธรรม

POL3311 การเมืองและระบบราชการ s/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3311 การเมืองและระบบราชการ

คำสั่ง: ให้นักศึกษาตอบในสมุดคำตอบตามสีที่กำหนดไว้ในข้อสอบแต่ละข้อ ข้อ 1 สีเขียว ข้อ 2 สีดำ

ข้อ 1. ให้อธิบายแนวคิดต่อไปนี้โดยสังเขป

1.1 สิทธิอำนาจ (Authority)

แนวคำตอบ: สิทธิอำนาจ (Authority) หมายถึง อำนาจที่มีรากฐานมาจากความเชื่อในคำสั่งที่ชอบธรรม (Legitimacy) ดังนั้นความชอบธรรมจึงเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนอำนาจและการครอบงำให้เป็นสิทธิอำนาจ

1.2 สถาบันนิยม (Institutionism)

แนวคำตอบ: แนวคิดเชิงสถาบันนิยม (Institutionism) หรือแนวคิดเชิงสถาบันการเมือง (Political Institution Approach) เป็นแนวที่มุ่งสนใจกระบวนการทำให้เป็นสถาบันหรือกระบวนการสร้างสถาบัน (Institutionalization) การศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ แหล่งที่มาและโครงสร้างของอำนาจและรูปแบบของรัฐ บทบาท อำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ เช่น สถาบันนิติบัญญัติ สถาบันการบริหาร สถาบันตุลาการ สถาบันข้าราชการ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมักจะนำไปใช้ในการศึกษารัฐบาลเปรียบเทียบ พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์เปรียบเทียบ และสถาบันข้าราชการเปรียบเทียบ

1.3 แนวคิดเชิงระบบ (Systems Approach) ของเดวิด อีสตัน (David Easton)

แนวคำตอบ: แนวคิดเชิงระบบ (System Approach) David Easton ในทางรัฐศาสตร์ได้นำแนวคิดของนักสังคมวิทยามาประยุกต์ใช้ในทางการเมือง แล้วอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือ

1. สิ่งที่ป้อนเข้าหรือปัจจัยนำเข้า (Input)
2. กระบวนการ (Process) หรือเรียกอีกอย่างว่า กล่องดำ (Black Box)
3. ผลที่ออกมาหรือผลผลิต (Output)
4. ผลย้อนกลับหรือผลกระทบที่เกิดจากผลผลิต (Feedback)

1.4 ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest)

แนวคำตอบ (คำบรรยาย)

การคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย (Policy Corruption) คือ การกำหนดนโยบายที่ดูเหมือนว่าเป็นนโยบายสาธารณะ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว
ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) คือ ทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม หรือเรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์

1.5 การพัฒนาการเมือง (Political Development)

แนวคำตอบ (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 8)

แนวคิดเชิงการพัฒนาการเมือง (Political Development Approach) เป็นแนวที่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ และสังคมย่อมมีผลต่อด้านการเมืองด้วย นอกจากนี้ยังมุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากลักษณะหนึ่ง ไปสู่อีกลักษณะหนึ่งด้วย เช่น จากระบบการเมืองที่ด้อยพัฒนาไปสู่ระบบการเมืองที่กำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว จากระบบการเมืองที่ล้าสมัยไปสู่ระบบการเมืองที่ทันสมัย เป็นต้น

ข้อ 2. ให้นักศึกษาทำข้อสอบทั้งข้อ 2.1 และข้อ 2.2

2.1 ขณะนี้ประเทศไทยได้จัดตั้งสภาปฏิรูปเพื่อปฏิรูปประเทศในหลายด้าน รวมทั้งปฏิรูประบบราชการด้วย ให้ท่านเสนอปัญหาที่สำคัญ ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระบบราชการไทย พร้อมทั้งเสนอการปฏิรูประบบราชการต่อสภาปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหา จงอธิบายโดยละเอียดและเป็นข้อ ๆ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

ปัญหาของระบบราชการไทยที่สำคัญ ได้แก่

1. ปัญหาเรื่องการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นปัญหาหลักและเรื้อรังที่สะสมมานาน ไม่อาจแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ ทำให้ภาพลักษณ์ของระบบราชการไทยติดอยู่กับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างแยกไม่ออก การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยแก้ไขสภาพปัญหานี้ให้ลดน้อยลงหรือหมดไปในที่สุด

2. ปัญหาเรื่องขนาดของระบบราชการไทยมีโครงสร้างของกลุ่มราชการที่มีขนาดใหญ่ ซับซ้อน มีอัตรากำลังข้าราชการเป็นจำนวนมาก ทำให้ระบบราชการมีระบบการบริหารงานที่ไม่คล่องตัว ประสบกับปัญหาด้านค่าใช้จ่ายของบุคคลที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ก่อให้เกิดภาระด้านงบประมาณอย่างไม่สิ้นสุด และมีผลกระทบต่องบประมาณในการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความจำเป็นของรัฐในการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ

3. ปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารระบบราชการไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงประสิทธิภาพการบริหารงานอยู่เสมอ เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารงานในภาคเอกชน การบริหารงานราชการ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานว่างานนั้นมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงใด ขาดตัวชี้วัด ในการดําเนินงาน ทําให้ไม่สามารถวิเคราะห์ถึงความคุ้มทุน และผลสัมฤทธิ์ของ..ารดําเนินงานของส่วนราชการ ได้อย่างชัดเจน แต่โดยที่ประชาชนต้องได้รับบริการสาธารณะจากรัฐที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ รวดเร็ว ความคาดหวัง ของประชาชนโดยทั่วไปจึงต้องการเห็นภาพลักษณ์ใหม่ของระบบราชการไทยในแนวทางดังกล่าว จึงนับเป็น
ปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงเหตุผล และความจําเป็นของการปฏิรูประบบราชการเพื่อแก้ไขปัญหา ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการประชาชน

4. ปัญหาการบริหารแบบรวมศูนย์อํานาจ กล่าวคือ ราชการบริหารส่วนกลางซึ่งได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม มีความเข้มแข็ง การบริหารงานและการตัดสินใจมีลักษณะรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมด แม้ว่าจะมีการมอบอํานาจการบริหารงานให้กับราชการส่วนภูมิภาคก็ตาม แต่การบริหารงานของราชการส่วนภูมิภาค ก็ยังไม่สามารถใช้อํานาจเด็ดขาดหรือมีความอิสระในการตัดสินใจมากนัก ยังต้องยึดนโยบายจากส่วนกลางเป็นหลัก ทรัพยากรการบริหารส่วนใหญ่จึงขึ้นอยู่กับการจัดสรรจากส่วนกลาง

5. ปัญหาโครงสร้างส่วนราชการที่ไม่คล่องตัว โครงสร้างการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน มีลักษณะที่ไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว การบริหารยึดติดกับกรอบตามอํานาจหน้าที่กฎหมายเป็นหลัก ทําให้ การบริหารไม่สอดคล้องกับกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้อย่างทันเหตุการณ์ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ทําให้ไม่คล่องตัว และเนื่องจากโครงสร้างองค์กรมีขนาดใหญ่ ทําให้การปรับรื้อต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการดําเนินการ

6. ปัญหากฎ ระเบียบ เทคโนโลยี และวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย การบริหารงานภาครัฐ เป็นการบริหารโดยยึดโยงกับกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ เป็นจํานวนมาก กฎระเบียบบางเรื่องเป็นอุปสรรคต่อ การบริหารงานภาครัฐและไม่ทันสมัย นอกจากนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นํามาใช้ในระบบราชการยังขาดความทันสมัย เมื่อเทียบกับการดําเนินงานของภาคเอกชน ตลอดจนการบริหารงานภายใต้ระบบราชการเป็นการบริหารที่ต้อง ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การบริหารงานให้ความสําคัญกับกระบวนการมากกว่าเป้าหมาย ทําให้การ
บริหารงานขาดความคล่องตัว

7. ปัญหากําลังคนภาครัฐไม่มีคุณภาพ กําลังคนภาครัฐที่มีอยู่ในระบบราชการปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังขาดคุณภาพและมีความจําเป็นต้องได้รับการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านอย่างเร่งด่วน กําลังส่วนใหญ่ยังขาด ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และยึดติดกับการทํางานแบบเดิม ทั้งนี้อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากความมั่นคงในระบบราชการ ทําให้กําลังคนภาครัฐขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน เนื่องจากอยู่ในสถานะของตําแหน่งที่มีเสถียรภาพและความมั่นคงค่อนข้างสูง

8. ปัญหาที่ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ไม่เหมาะสม ข้าราชการเป็นกลุ่มบุคคลที่มีรายได้ และค่าตอบแทนค่อนข้างต่ําเมื่อเทียบกับบุคคลกลุ่มอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในภาคต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากภาคราชการ เป็นองค์การขนาดใหญ่ ทําให้การปรับปรุงค่าตอบแทนและสวัสดิการทําได้ค่อนข้างลําบาก เนื่องจากภาครัฐต้อง ใช้งบประมาณในการดําเนินการเป็นจํานวนมาก รวมถึงค่าตอบแทนที่ได้รับไม่สอดคล้องกับกลไกตลาด รายได้
ของราชการอยู่ในระดับต่ําและไม่สัมพันธ์กับภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงอยู่ตลอดเวลา

9. ปัญหาทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม ระบบราชการเป็นระบบที่ให้ความสําคัญกับลําดับชั้น ของการบังคับบัญชา ทําให้ข้าราชการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเท่าที่ควร รวมทั้งการต้องเคารพในระบบอาวุโสของ การทํางานทําให้ข้าราชการรุ่นใหม่ไม่สามารถแสดงศักยภาพในการทํางานได้อย่างเต็มที่ ทัศนคติ และค่านิยมดั้งเดิม ในภาคราชการดังกล่าว จึงไม่เปิดโอกาสให้มีการส่งเสริมคนเก่งคนดี คนที่มีความรู้และความสามารถได้ใช้โอกาส ในการแสดงศักยภาพการทํางานได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร ตลอดจนข้าราชการมักจะเคยชินกับระบบการรับคําสั่งและ นํามาปฏิบัติมากกว่าที่จะริเริ่มและสร้างสรรค์ รวมทั้งขาดความกล้าหาญที่จะโต้แย้งเมื่อเห็นว่าคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง หรือปฏิบัติงานนั้นไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติ

แนวทางการแก้ไขอันนําไปสู่การปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้
1. การมอบอํานาจและการกระจายอํานาจ
2. การให้เอกชนรับงานบางอย่างของภาครัฐไปดําเนินการโดยรัฐเป็นผู้ควบคุม
3. การลดจํานวนข้าราชการด้านกําลังคน
4. การลดระเบียบให้เหลือเท่าที่จําเป็น
5. ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการบริหาร
6. ทําให้ระบบราชการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย
7. การปรับเปลี่ยนการบริหารให้เข้ากับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

แนวทางการแก้ไขปัญหาการปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1. ด้านโครงสร้าง รัฐบาลต้องไม่ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ ๆ อยู่บ่อย ๆ แม้ว่าการปรับเปลี่ยน โครงสร้างอยู่เรื่อย ๆ อาจจะเป็นผลดีที่ทําให้ได้โครงสร้างของระบบราชการที่เหมาะสมมากขึ้น แต่การปรับเปลี่ยน โครงสร้างทุกครั้งจะก่อให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน เกิดความโกลาหลในการเปลี่ยนย้ายหน่วยงานและ การโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสะดุด และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูประบบราชการมากกว่า หากจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนด้านโครงสร้างจริง ๆ ก็ต้องทําให้อย่างรอบคอบ ระมัดระวังผ่านการพิจารณาผลดี และผลเสียอย่างชัดเจน และต้องทําความเข้าใจแก่ข้าราชการและสาธารณชนอย่างเหมาะสม

2. ด้านบุคลากร บุคลากรต้องมีความรู้ความเข้าใจในแนวทางการบริหารงานสมัยใหม่ ต้องรู้และเข้าใจแนวทางตลอดจนเป้าหมายของการปฏิรูประบบราชการที่ชัดเจน รวมทั้งเห็นผลดีของการปฏิรูป ระบบราชการทั้งต่อสังคมส่วนรวมและต่อตนเอง นั่นคือส่วนราชการทั้งต้องดําเนินการประชาสัมพันธ์ และอบรม
ให้ความรอบรู้อย่างจริงจัง

3. รัฐบาลต้องสร้างระบบตอบแทนให้แก่ข้าราชการใหม่ที่เหมาะสมและสอดคล้องส่งเสริมให้การปฏิรูประบบราชการประสบผลสําเร็จ

4. รัฐบาลต้องสร้างจิตสํานึกและค่านิยมใหม่ในการทํางานให้เกิดแก่ข้าราชการโดยเร็ว ทั้งด้วยมาตรการส่งเสริมและการลงโทษ และการมีส่วนร่วมขององค์การเครือข่ายหรือสาธารณชน

5. รัฐบาลต้องสร้างความเข้าใจให้แก่ข้าราชการและสร้างความชัดเจนในวิธีการแบบใหม่ เพื่อให้ข้าราชการรู้และเข้าใจพร้อมทั้งตระหนักว่าวิธีการทํางานแบบใหม่จะเป็นผลดีต่อสังคม และการลดการ
ทํางานของข้าราชการในระยะยาว

6 รัฐบาลต้องสนับสนุนด้านงบประมาณ และจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จําเป็นต่อการทํางานภาครัฐแนวใหม่ให้เพียงพอ

7 สาธารณชนและประชาชนต้องให้การสนับสนุนและกําลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการ ต้องรู้ว่าการปฏิรูประบบราชการให้สําเร็จในทุกด้านไม่ใช่เรื่องที่จะทําสําเร็จได้เพียงภายในวันสองวัน หรือเดือนสองเดือน หรือปีสองปี และบางเรื่องอาจต้องใช้ระยะเวลานานหลายปี

8 รัฐบาลต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมือง และเอาจริงเอาจังที่จะปฏิรูประบบราชการ รวมทั้งให้มีเสถียรภาพ เพื่อความต่อเนื่องของนโยบายด้วย รวมทั้งกําหนดแผนและขั้นตอนการปฏิรูประบบราชการไว้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติที่ต้องดําเนินต่อเนื่องกันไปในทุก ๆ รัฐบาล

9 เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชน และองค์การสาธารณะอื่น ๆ ได้ตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็นในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้เป็นพลังขับเคลื่อนการปฏิรูปให้บรรลุเป้าหมาย

10 ข้าราชการที่เห็นความจําเป็นในการปฏิรูประบบราชการ ต้องมีความกล้าหาญในการรวมพลังกับประชาชน เพื่อเพิ่มพลังขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการให้มีสมรรถนะยิ่งขึ้น

11 เร่งพัฒนาบุคลากรระดับท้องถิ่นให้มีความรู้ความสามารถ และทักษะในการบริหารจัดการงานของท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับการกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่น

12 รัฐบาลกลางต้องมีความจริงใจในการกระจายอํานาจการเงินการคลังสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีแหล่งรายได้ในการพัฒนาตนเองอย่างเหมาะสม

13 เร่งรัดพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้ระบบเครือข่ายข้อมูลข่าวสารที่คุ้มค่าและรวดเร็ว

14 สร้างกลไกที่มีประสิทธิภาพในการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการนํานโยบายการปฏิรูปไปสู่การปฏิบัติ

2.2 จงอธิบายถึงการพัฒนาของระบบราชการไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยละเอียดและยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน

แนวคําตอบ (หนังสือเลขพิมพ์ 53288 หน้า 90, 107 – 109), (เอกสารหมายเลข 84 หน้า 48 – 59), (คําบรรยาย)

การพัฒนาของระบบราชการไทย ซึ่งแบ่งการบริหารราชการออกเป็น 4 ยุค ดังนี้

1 ยุคอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1870 – 1893)
ลักษณะสําคัญของการปกครองยุคนี้คือ การปกครองแบบพ่อปกครองลูกผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นผู้มีอํานาจมากในสังคม
ทหารกับพลเรือนมีความแตกต่างกันน้อย ทุกคนทําหน้าที่ทั้งทางทหารและพลเรือน

2 ยุคระบบราชการอยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310)
การปกครองในยุคนี้ถือว่ากษัตริย์เป็นเทวราชา มีลักษณะของนายจ้างกับลูกจ้างมีการสร้างระบบราชการขึ้น โดยไม่เพียงเป็นแค่เครื่องมือของการบริหารงานเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักการจัดระเบียบทางสังคมอีกด้วย

3 ยุคปฏิรูปของราชวงศ์จักรี (พ.ศ. 2310 – 2475) ยุคนี้เป็นยุคที่มีความก้าวหน้าทางวัตถุเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงกรมต่าง ๆ แบบเก่าให้เป็นกระทรวงแบบยุโรป เปลี่ยนขุนนางมาเป็นข้าราชการพลเรือน มีเงินเดือนประจำ มีการส่งคนไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศแล้วกลับมารับราชการ

4 ยุครัฐธรรมนูญ (พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา) เป็นยุคที่มีการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย พยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีสิทธิในการปกครองบ้านเมืองเพิ่มขึ้น ส่งเสริมประชาชนในด้านการศึกษา สาธารณสุข และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสาธารณะ รวมทั้งแรงงานและการประกันสังคม

ปัญหาที่สำคัญของระบบราชการไทย มีดังนี้

1. ขนาดของระบบราชการไทยที่ใหญ่โตกว้างขวางเกินไป
2. มีการบริหารงานแบบรวมศูนย์อำนาจมากเกินไป
3. กฎ ระเบียบมีมาก เทคโนโลยีไม่ทันสมัย
4. โครงสร้างส่วนราชการไม่ยืดหยุ่น ขาดความคล่องตัว
5. ระบบราชการไทยยังขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมและขาดประสิทธิภาพ
6. มีการยึดถือทัศนคติและค่านิยมดั้งเดิม กล่าวคือ มักใช้ระบบพรรคพวก ขาดความกระตือรือร้น และความคิดริเริ่มในการทำงาน ฯลฯ

แนวคิดในการปฏิรูประบบราชการไทย

จากปัญหาระบบราชการไทยดังกล่าว จึงมีแนวคิดที่จะปฏิรูประบบราชการไทยเกิดขึ้น เพราะประชาชนส่วนรวมต้องการให้การปฏิบัติงานราชการมีประสิทธิภาพ เที่ยงธรรม มีมาตรฐานในการทำงาน มีความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ และทำงานร่วมมือกัน จุดร่วมของแนวคิดในการปฏิรูป ก็คือ

1. เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้ระบบทำงานได้ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน
2. อาจปฏิรูปเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งในระบบราชการหรือทั้งระบบก็ได้
3. เน้นหนักการปรับปรุงโครงสร้าง วิธีปฏิบัติงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และพฤติกรรมของบุคคล
4. มีแนวโน้มในปัจจุบันว่าจะมุ่งพัฒนาศักยภาพและกิจกรรมของรัฐในภาพรวมมากกว่าในส่วนใดส่วนหนึ่งเฉพาะ

เหตุผลที่ต้องมีการปรับปรุงและปฏิรูประบบราชการ มีดังนี้

1. เพื่อให้การบริหารราชการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. เพื่อให้เกิดความประหยัดโดยป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนและการมีคนล้นงาน
3. เพื่อแบ่งส่วนราชการให้ถูกต้องตามหลักวิชาการด้านการแบ่งงานและการจัดองค์การ
4. มีการปฏิรูปทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
5. เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล
6. ขนาดของระบบราชการไทยใหญ่โตเกินไป
7. กระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ทำให้ระบบราชการจะต้องปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ

ตัวอย่างการปฏิรูประบบราชการไทยของรัฐบาลชุดต่าง ๆ มีดังนี้

1. รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เช่น การกำหนดมาตรการจำกัดการขยายตัวของข้าราชการและลูกจ้างในส่วนราชการไม่ให้เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้น
2. รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เช่น การแปรสภาพกิจกรรมของรัฐให้เป็นกิจกรรมของเอกชน (Privatization) เป็นต้น
3. รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เช่น เสนอให้มีการเกษียณอายุราชการในวันเกิดครบ 60 ปี เสนอให้ถ่ายโอนภารกิจในการดูแล ขสมก. ให้แก่กรุงเทพมหานคร เป็นต้น
4. รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เช่น กำหนดแผนถาวรหรือแผนแม่บทในการปฏิรูประบบราชการ เพื่อวางหลักการสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ และแนวทางการปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ เป็นต้น
5. รัฐบาลนายชวน หลีกภัย เช่น เสนอโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (Early Retirement) โดยกำหนดให้มีการยุบอัตราที่เกษียณร้อยละ 80 และบรรจุข้าราชการแทนการเกษียณอายุเพิ่มได้ไม่เกินร้อยละ 20 เป็นต้น
6. รัฐบาลพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เช่น การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม เป็น 20 กระทรวง ปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการ ระบบงบประมาณ กฎหมาย ทัศนคติของข้าราชการ และวิธีการทำงาน เป็นต้น
7. รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เช่น ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เป็นต้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!