การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4008 กฎหมายที่ดิน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ผู้ซึ่งมีสิทธิในที่ดินแต่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์จะโอนที่ดินนั้นได้หรือไม่ ตามกฎหมายที่ดิน
ธงคำตอบ
อธิบาย
ผู้มีสิทธิในที่ดินตามกฎหมายที่ดินแต่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ หรือ ผู้มีสิทธิในที่ดินโดยมีเพียงสิทธิครอบครอง หมายถึง ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดินอย่างหนึ่งอย่างใดที่ทางราชการออกให้ คือ หลักฐานการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ใบจอง (น.ส.2) ใบไต่สวน (น.ส.5) เป็นต้น
การจะพิจารณาว่าผู้มีสิทธิในที่ดินตามกฎหมายที่ดินแต่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์จะโอนที่ดินต่อไปได้หรือไม่ มีหลักคือ ให้พิจารณาว่าที่ดินนั้นได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วหรือไม่ ถ้ามีก็สามารถโอนได้ตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 “ที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วให้โอนกันได้”
ดังนั้น ผู้มีสิทธิในที่ดินตามกฎหมายที่ดินแต่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์จะโอนที่ดินได้หรือไม่ สามารถแยกพิจารณาดังนี้
1 ที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ คือ หนังสือคำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำประโยชน์แล้วตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 ดังนั้น เมื่อที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงสามารถโอนให้แก่กันได้ตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 9 เว้นแต่ในบางกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติห้ามโอนไว้ เช่น ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 31 และมาตรา 58 ทวิ วรรคห้า เป็นต้น
2 ที่ดินที่มีใบจอง (น.ส.2)
ใบจอง เป็นเพียงหนังสือที่แสดงว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้รับอนุญาตให้เข้าครอบครองที่ดินของรัฐชั่วคราว แต่ที่ดินดังกล่าวยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วจนกว่าจะได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ดังนั้น สำหรับที่ดินที่มีใบจองหรือที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองนั้น ถ้ายังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ผู้ได้รับอนุญาตจะโอนไม่ได้ เว้นแต่ จะตกทอดทางมรดกตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง
3 ที่ดินที่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)
ที่ดินที่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครองนั้น จะทำการโอนทางทะเบียนไม่ได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้วตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 9 แต่อย่างไรก็ดี ที่ดินที่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง แม้จะโอนกันไม่ได้ตามกฎหมายที่ดิน แต่ก็สามารถโอนกันได้ตามกฎหมายแพ่งโดยการส่งมอบการครอบครองให้แก่กันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1378
ดังนั้น ผู้มีสิทธิในที่ดินตามกฎหมายแต่ยังไม่มีกรรมสิทธิ์จะโอนที่ดินให้แก่กันได้เฉพาะที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ส่วนที่ดินที่มีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง หรือใบจอง เมื่อยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงไม่สามารถโอนให้แก่กันได้
ข้อ 2 นายเพชรครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ. 2495 โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดิน ในต้นปี พ.ศ. 2498 นายเพชรไม่ได้ไปแจ้งการครอบครองที่ดินตามที่กฎหมายกำหนด แต่ก็ยังครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา ใน พ.ศ. 2533 นายเพชรได้ขายที่ดินแปลงนั้นให้แก่นายทอง โดยทำหนังสือสัญญาซื้อขายกันเอง และส่งมอบที่ดินให้นายทองเข้าครอบครอง นายทองครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อมา ขณะนี้ได้มีประกาศของทางราชการเพื่อเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินในท้องที่นั้น ดังนี้ อยากทราบว่า นายทองจะนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 27 ตรี เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศกำหนดท้องที่และวันเริ่มต้นของการสำรวจตามมาตรา 58 วรรคสอง ผู้ครองครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 หรือผู้ซึ่งรอคำสั่งผ่อนผันจากผู้ว่าราชการจังหวัดตามมาตรา 27 ทวิ แต่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินนั้นติดต่อมาจนถึงวันทำการสำรวจรังวัดหรือพิสูจน์สอบสวน ถ้าประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินนั้น ให้แจ้งการครอบครองที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ ที่ดินนั้นตั้งอยู่ภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันปิดประกาศ ถ้ามิได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลาดังกล่าว แต่ได้นำมาหรือส่งตัวแทนมานำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจรังวัดตามวันและเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนด ให้ถือว่ายังประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินนั้น
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย
มาตรา 58 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม เมื่อรัฐมนตรีเห็นสมควรจะให้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในจังหวัดใดในปีใด ให้รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา กำหนดจังหวัดที่จะทำการสำรวจรังวัดทำแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์สำหรับปีนั้น เขตจังหวัดที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไม่รวมท้องที่ที่ทางราชการได้จำแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวร
เมื่อได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดท้องที่และวันเริ่มต้นของการเดินสำรวจรังวัดในท้องที่นั้น โดยปิดประกาศไว้ ณ สำนักงานที่ดิน ที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการกิ่งอำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านแห่งท้องที่ก่อนวันเริ่มต้นสำรวจไม่น้อยกว่าสามสิบวัน
เมื่อได้มีประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดตามวรรคสอง ให้บุคคลตามมาตรา 58 ทวิ วรรคสองหรือตัวแทนของบุคคลดังกล่าว นำพนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่มอบหมาย เพื่อทำการสำรวจรังวัดแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินของตนตามวันและเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้นัดหมาย
มาตรา 58 ทวิ เมื่อได้สำรวจรังวัดทำแผนที่ หรือพิสูจน์สอบสวนการทำประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา 58 แล้ว ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ให้แก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในวรรคสอง เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่บุคคลนั้นครอบครองเป็นที่ดินที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ได้ตามประมวลกฎหมายนี้
บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้คือ
(2) ผู้ซึ่งได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี
วินิจฉัย
นายทองจะนำที่ดินไปขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เห็นว่า การที่นายเพชรครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินแปลงหนึ่ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิในที่ดิน และนายเพชรก็ไม่ได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามที่กฎหมายกำหนด กรณีเช่นนี้ ถือว่านายเพชรเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (ก่อนวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) โดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 5
ต่อมาได้ความว่า ใน พ.ศ. 2533 นายเพชรได้ขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายทองโดยทำสัญญาซื้อขายกันเอง ในกรณีดังกล่าวนี้ถือว่านายทองเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ต่อเนื่องมาจากนายเพชรตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 27 ตรี วรรคสอง
เมื่อขณะนี้ได้มีประกาศทางราชการเพื่อเดินสำรวจออกโฉนดในท้องที่นั้น (แบบทั้งตำบล) ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 วรรคแรกและวรรคสอง นายทองก็สามารถนำที่ดินนั้นไปขอออกโฉนดที่ดินได้โดยต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 27 ตรี วรรคแรก กล่าวคือ
1) นายทองต้องมาแจ้งการครอบครองที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ ที่ดินนั้นตั้งอยู่ภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันปิดประกาศ หรือ
2) ถ้านายทองมิได้แจ้งการครอบครองภายในกำหนดเวลาดังกล่าว แต่ได้มานำหรือส่งตัวแทนมานำพนักงานเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดตามวันเวลาที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนด กรณีเช่นนี้ ให้ถือว่านายทองประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินนั้น
เมื่อนายทองได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว นายทองก็จะได้รับโฉนดที่ดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (2)
สรุป นายทองขอออกโฉนดที่ดินได้เพราะเป็นบุคคล ตามมาตรา 27 ตรี วรรคสอง โดยต้องปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี วรรคแรก และจะได้รับโฉนดที่ดินตามมาตรา 58 ทวิ วรรคสอง (2)
ข้อ 3 นายสมทรงได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินโดยรัฐจัดที่ดินแปลงเล็กแปลงน้อยให้แก่ประชาชน ทางราชการออกใบจองให้ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2544 ต่อมาใน พ.ศ. 2548 นายสมทรงก็ยกที่ดินแปลงนั้นให้แก่นายสมหวังบุตรชายซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว และได้แต่งงานมีครอบครัวโดยมีอาชีพเป็นเกษตรกรเช่นกัน นายสมหวังครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินเต็มเนื้อที่ตลอดมา ขณะนี้นายสมหวังต้องการจะได้รับโฉนดที่ดิน เพื่อนำไปจำนองเป็นประกันเงินกู้จึงได้ไปยื่นคำขอออกโฉนดที่ดิน ดังนี้ อยากทราบว่านายสมหวังจะขออออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 59 ในกรณีที่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินมาขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะรายไม่ว่าจะได้มีประกาศของรัฐมนตรีตามมาตรา 58 แล้วหรือไม่ก็ตาม เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควร ให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครองด้วย
มาตรา 59 ทวิ ผู้ซึ่งครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงสิทธิ์ที่ดินและมิได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แต่ไม่รวมถึงผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา 27 ตรี ถ้ามีความจำเป็นจะขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการเฉพาะราย เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พิจารณาเห็นสมควรให้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วแต่กรณี ได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประมวลกฎหมายนี้กำหนด แต่ต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ถ้าเกินห้าสิบไร่จะต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินตามวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องมาจากบุคคลดังกล่าวด้วย
พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 วรรคสอง ที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองแต่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ผู้ได้รับอนุญาตจะโอนไปไม่ได้เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดก
วินิจฉัย
นายสมหวังจะขอออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ เห็นว่า นายสมทรงเป็นผู้ครอบครองที่ดินที่มีใบจอง โดยทางราชการออกใบจองให้ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2544 ซึ่งที่ดินที่มีใบจองนี้เป็นที่ดินที่ยังไม่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว นายสมทรงผู้ครอบครองจึงโอนให้ใครไม่ได้ เว้นแต่จะตกทอดโดยทางมรดกตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง
เมื่อได้ความว่า ในปี พ.ศ. 2548 นายสมทรงได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายสมหวังบุตรชาย ซึ่งการยกให้ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการตกทอดโดยทางมรดก ดังนั้น การโอนดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง ในกรณีดังกล่าวนี้แม้นายสมหวังจะครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินต่อเนื่องตลอดมาก็ไม่ทำให้นายสมหวังเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน อย่างไรก็ตามการที่นายสมทรงส่งมอบการครอบครองให้แก่นายสมหวัง ย่อมมีผลทำให้นายสมหวังเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ เมื่อนายสมหวังประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดิน แต่ไม่ปรากฏว่ามีประกาศของทางราชการเพื่อจะออกโฉนดแบบทั้งตำบล ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 58 จึงต้องพิจารณาการออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ
สำหรับการออกโฉนดเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินได้จะต้องเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน กล่าวคือ เป็นเจ้าของที่ดินที่มีหนังสือแสดงสิทธิอย่างใดอย่างอย่างหนึ่ง เมื่อนายสมหวังเป็นเพียงผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากการโอนดังกล่าวฝ่าฝืน พ.ร.บ.ให้ใช้ฯ มาตรา 8 วรรคสอง (ใบจองยังคงเป็นชื่อนายสมทรง) นายสมหวังจึงขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 วรรคแรกไม่ได้ อีกทั้งในกรณีดังกล่าว นายสมหวังก็จะอ้างว่าเป็นผู้ครอบครองต่อเนื่อง ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 วรรคสองไม่ได้เช่นกัน เพราะนายสมหวังมิใช่ผู้ครอบครองต่อเนื่องจากผู้ซึ่งมีหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1)
ส่วนผู้ที่จะขอออกโฉนดที่ดินแบบเฉพาะรายตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิ ได้นั้น กฎหมายกำหนดว่า จะต้องเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และมิได้แจ้งการครอบครองตาม พ.ร.บ. ให้ใช้ฯ มาตรา 5 เท่านั้น เมื่อได้ความว่า นายสมหวังเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (ภายหลังวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น นายสมหวังจึงไม่สามารถขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 ทวิ ได้เช่นกัน
สรุป นายสมหวังเป็นผู้ครอบครองโดยพลการภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ จึงขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะราย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 59 และมาตรา 59 ทวิ ไม่ได้เลย
ข้อ 4 นายเอกเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดที่ดิน 2 แปลง แปลงแรกได้มาโดยการรับมรดก ส่วนอีกแปลงนายเอกซื้อจากนายโท ที่ดินทั้งสองมีแนวที่ดินตรงกันโดยมีลำรางสาธารณะกว้างประมาณ 4 เมตรคั่นอยู่ นายเอกต้องการจะจำนองที่ดินทั้งสองแปลงเพื่อเป็นประกันเงินกู้ แต่เพื่อให้เกิดความสะดวกในการจดทะเบียนจำนองจึงได้ไปขอรวมที่ดินทั้งสองแปลงเข้าเป็นแปลงเดียวกัน ดังนี้ อยากทราบว่า นายเอกจะขอรวมที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
การรวมที่ดินหลายแปลงเข้าเป็นแปลงเดียวกันมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญอยู่ 5 ประการ ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งของกรมที่ดิน ที่ 12/2500 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 กล่าวคือ
1) ต้องเป็นที่ดินที่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ประเภทเดียวกัน เว้นแต่โฉนดแผนที่กับโฉนดที่ดินให้รวมกันได้
2) ต้องมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเหมือนกันทุกฉบับและยังมีชีวิตอยู่ทุกคน กล่าวคือ ในกรณีที่มีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดเหมือนกันนั้น โดยไม่คำนึงว่าผู้มีชื่อในโฉนดจะมีกี่คน แต่ที่สำคัญทุกฉบับจะต้องมีชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในโฉนดเหมือนกันทุกฉบับ เช่น แปลงที่ 1 มีชื่อ นายเอ และนายบี แปลงที่ 2 ก็ต้องมีทั้งชื่อ นายเอ และนายบี จึงจะรวมกันได้
3) ต้องเป็นที่ดินที่ติดต่อเป็นผืนเดียวกัน กล่าวคือ ไม่มีที่ดินของผู้อื่นหรือที่สาธารณประโยชน์มาคั่น
4) ต้องเป็นที่ดินในจังหวัดเดียวกัน กล่าวคือ แม้จะต่างตำบลต่างอำเภอก็ให้รวมกันได้ เมื่อรวมโฉนดแล้วให้ถือว่าที่ดินส่วนใดอยู่ในเขตตำบลอำเภอใดมากก็ให้ใช้ตำบลและอำเภอนั้น สำหรับโฉนดที่ดินแปลงใหม่
5) ต้องเป็นที่ดินในเขตสำนักงานที่ดินเดียวกัน
นายเอกจะขอรวมที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ได้ความว่าที่ดินที่นายเอกประสงค์จะขอรวม จะเป็นที่ดินที่นายเอกเป็นเจ้าของโฉนดทั้ง 2 แปลงก็ตาม แต่เมื่อที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวมีลำรางสาธารณะกว้างประมาณ 4 เมตรคั่นอยู่ จึงเป็นกรณีที่ดินไม่ติดต่อกันเป็นผืนเดียวกัน ไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ประการที่ 3 นายเอกจึงไม่สามารถขอรวมที่ดินดังกล่าวได้
สรุป นายเอกจะขอรวมที่ดินเป็นแปลงเดียวกันไม่ได้