การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงสรุปสาระสำคัญของปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย  และท่านเห็นด้วยหรือไม่กับจุดอ่อนของปรัชญากฎหมายธรรมชาติตามที่มีผู้วิจารณ์

ธงคำตอบ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย  (หรือยุคปัจจุบัน)  มีแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายว่า  กฎหมายต้องสัมพันธ์กับศีลธรรม  หรือกับความยุติธรรม  หรือหลักจริยธรรมต่างๆ  อีกทั้งในแง่ทฤษฎีปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้  ยังเป็นทฤษฎีที่สำคัญที่สนับสนุนเร่องสิทธิมนุษยชน  ไม่ว่าจะเป็นสิทธิทางการเมือง  เศรษฐกิจ  สังคม  การพัฒนา  สันติภาพ ฯลฯ  โดยมีนักปรัชญากฎหมายคนสำคัญ  ได้แก่

ลอน  ฟุลเลอร์  มองกฎหมายธรรมชาติว่า  ไม่ใช่กฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดา  โดยเขาให้ความสำคัญกับเรื่องกฎหมายกับศีลธรรม  เขาเชื่อว่ากฎหมายต้องอยู่ภายใต้บังคับของศีลธรรม  หลักเกณฑ์ทางศีลธรรมจะทำให้กฎหมายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้  และนำไปสู่ความสมบูรณ์ของกฎหมาย  ซึ่งการที่จะบรรลุได้ต้องมีการปฏิบัติตามเงื่อนไข  8  ประการ  เช่น  กฎหมายต้องมีลักษณะทั่วไปในฐานะเป็นกฎหมายซึ่งใช้เป็นหลักชี้นำการกระทำโดยเฉพาะต่างๆ  กฎเกณฑ์ต้องถูกเผยแพร่แก่สาธารณะ  กฎเกณฑ์ต้องไม่มีผลย้อนหลัง ฯลฯ  เหล่านี้ฟุลเลอร์เรียกว่า  ศีลธรรมในกฎหมาย

แนวคิดของฟุลเลอร์ที่เน้น  กระบวนการ  อันจะนำไปสู่ความเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์แท้จริงมิได้เน้นสาระเนื้อหาของกฎหมายธรรมชาติที่เป็นนิรันดร์ถาวร  แต่ฟุลเลอร์ก็มั่นใจว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายใดๆที่ตราขึ้นจะต้องมีเหตุผล  และความยุติธรรมเป็นเนื้อหาสาระเสมอ

จอห์น  ฟินนีส  ได้อธิบายกฎหมายธรรมชาติในลักษณะเป็นนามธรรมเชิงวิธีการ  โดยอาศัยสมมุติฐาน  2  ประการ  คือ

–                    ประการแรก  รูปแบบพื้นฐานแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองของมนุษย์  ได้แก่  ชีวิต  ความรู้  ความบันเทิง  หรือสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับสุนทรีวิสัย

–                    ประการที่สอง  สิ่งจำเป็นเชิงวิธีการพื้นฐานครองความชอบธรรมด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ  เช่น  การแสวงหาความดีงาม  แผนการชีวิตอันเป็นระบบ หรือความเชื่อมต่อของผลลัพธ์  อย่างมีขอบเขต  และเคารพต่อค่านิยมพื้นฐาน  เป็นต้น

ฟินนีส  เชื่อว่า  เมื่อสมมุติฐานประการแรก  และประการที่สองประกอบกันจะเกิดเป็นหลักกฎหมายธรรมชาติขึ้นมา

ส่วนในกรณีของจุดอ่อนของปรัชญากฎหมายธรรมชาติที่มีผู้วิจารณ์ไว้ว่า

1       มีความคลุมเครือไม่แน่นอน  ไม่ชัดเจน  และมีความเป็นนามธรรมอย่างมากจนไม่น่านำมาถือเป็นรากฐานทางกฎหมาย

2       ขาดรูปแบบวิธีกาคิดแบบวิทยาศาสตร์  ซึ่งไม่อาจพิสูจน์ตรวจสอบความถูกต้องได้โดยอาศัยเครื่องมือใด

3       มักจะเกิดความผิดพลาดเชิงตรรกะได้ง่าย

4       มีความบกพร่องต่อสมมุติฐานที่มาจากความหลากหลายของสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติแต่ละแห่งแตกต่างกัน

5       การเสนอความคิดเห็นมักจะนิยมใช้สามัญสำนึก  ซึ่งอาจเอนเอียงไปตามเหตุผลส่วนตัวได้

หากจะพิจารณาโดยรวมแล้วข้อวิจารณ์ดังกล่าวมีความจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียว  แต่ถึงกระนั้นถ้าเปรียบเทียบกับสำนักคิดปรัชญากฎหมายอื่นๆแล้ว  ดูเหมือนว่ากฎหมายธรรมชาติจะมีข้อดีที่มากกว่าข้อเสียดังข้อวิจารณ์ดังกล่าวนั้นมากทีเดียว  เพราะเป็นสำนักปรัชญาทางกฎหมายที่มุ่งเน้นความยุติธรรมที่ต้องมาก่อนกฎหมาย  อุดมคติทางกฎหมายเชิงศีลธรรม  ตลอดจนเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับลัทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน  ซึ่งแนวคิดนี้เองได้ไปปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฯ  และรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ  หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก้มีปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

หมายเหตุ  น้องๆอาจมีความคิดเห็นแตกต่างจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้  โดยอาศัยแนวความคิดหรือเหตุผลของน้องๆเองครับ  


ข้อ  2  จงสรุปอธิบายเงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการใช้เสรีภาพของบุคคลตาม  
หลักอันตรายต่อสังคม  ของมิลล์  (John  Stuart  Mill)  และท่านเห็นด้วยหรือไม่กับข้อโต้แย้งของสตีเฟน  (Sir  James  Fitzjames  Stephen)  ต่อแนวคิดของมิลล์ดังกล่าว

ธงคำตอบ

จอห์น  สจ๊วต  มิลล์  (John  Stuart  Mill)  ได้ประกาศ  หลักอันตรายของสังคม  ในปี  ค.ศ. 1859  ในงานเขียนชิ้นสำคัญเรื่อง  ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ  สรุปความได้ว่า  เงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการกระทำหรือใช้เสรีภาพของบุคคลได้นั้น  การกระทำดังกล่าวจะต้องก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมและผู้อื่น  ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อบุคคลอื่น  เป็นเงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการใช้เสรีภาพของบุคคล  ลำพังเพียงความมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลทำความดีไม่ใช่เป็นข้ออ้างให้กฎหมายเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย  มิลล์เห็นว่าการจำกัดเสรีภาพเป็นการทำลายความสุขส่วนบุคคล  นอกจากนี้มิลล์ยังไม่เห็นด้วยในการปล่อยให้บุคคลมีเสรีภาพในการทำสัญญาเพื่อยอมตนเป็นทาส  ดังที่เขาเน้นย้ำว่า  หลักการแห่งเสรีภาพไม่สามารถกำหนดว่าบุคคลควรจะมีเสรีภาพในการไม่มีเสรี

ส่วนข้อโต้แย้งของสตีเฟน   (Sir  James  Fitzjames  Stephen)  ที่มีต่อแนวคิดของมิลล์ปรากฏในงานเขียนเรื่อง  เสรีภาพ  ความเสมอภาค  และภราดรภาพ  ซึ่งสตีเฟนปฏิเสธมติของมิลล์ที่เชื่อว่ามีเหตุผลด้านความปลอดภัยของสังคมสนับสนุนความชอบธรรมในการใช้เสรีภาพดังกล่าว  อีกทั้งไม่ยอมรับว่าเราจะสามารถลากเส้นแบ่งแยกอันชัดเจนระหว่างการกระทำที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น  และการกระทำที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้กระทำเท่านั้น  สำหรับสตีเฟนแล้ว  การลงโทษต่อสิ่งที่เป็นความผิดบาปทางศีลธรรมอันชัดแจ้งย่อมถือเป็นวัตถุประสงค์อันชอบธรรมของการนิติบัญญัติ  ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ถือว่านั่นเป็นการลิดรอนเสรีภาพ  แต่ตรงกันข้ามการใช้กลไกทางกฎหมายลงโทษเช่นนี้จะเป็นการสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกชิงชังของคนทั่วไปต่อความเลวร้ายดังกล่าว  และนับเป็นการทดแทนยับยั้งมิให้เกิดผูกพยาบาท  ตอบโต้อย่างวุ่นวายสับสน

เมื่อได้เปรียบเทียบระหว่างแนวคิดของมิลล์  และข้อโต้แย้งของสตีเฟนแล้ว  จะเห็นว่าแนวคิดของสตีเฟนมีเหตุผลน่าสนับสนุนอยู่ไม่น้อย  โดยจะเห็นได้ว่า  แม้ทฤษฎีของมิลล์จะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคล  แต่ก็มีจุดบกพร่องอยู่ในส่วนที่ว่า  จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นภยันตรายต่อสังคม  เราจะพิสูจน์ตรวจสอบว่าเป็นภยันตรายต่างๆ  ได้อย่างไร  ดังนั้นหากไม่ต้องการให้สังคมล่มสลายลงไปเพราะไปคำนึงถึงแต่เสรีภาพมากเกินไป  การควบคุมลงโทษพฤติกรรมซึ่งผิดศีลธรรมจึงจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องความสงบเรียบร้อยของสังคม  แต่อย่างไรก็ตาม  ไม่ใช่ว่าจะจำกัดเสรีภาพไปทุกเรื่อง  แต่ว่าต้องปล่อยให้มีเสรีภาพของบุคคลมากที่สุดเท่าที่ไม่ขัดต่อความมั่นคงทางสังคม

หมายเหตุ  ในส่วนของความเห็น  น้องๆอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างไปจากนี้ก็ได้นะครับ 


ข้อ  3  ความยุติธรรมทางสังคมคืออะไร  เหตุใดทฤษฎีความยุติธรรมทางสังคมของรอลส์  
(John  Rawls)  จึงเน้นคุณค่าความสำคัญของเสรีภาพมากกว่าความเสมอภาคเท่าเทียม

ธงคำตอบ

ความยุติธรรมทางสังคม  (Social  Justice)  หรือ  ความยุติธรรมในการแบ่งสันปันส่วน  หรือ  ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ  เป็นเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีทางจำแนกหรือแบ่งปันสิ่งซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์  หรือสิ่งอันมีคุณค่าในสังคม  (เช่น  ทรัพย์สิน  รายได้  ความสุข  การได้รับความพึงพอใจ  การได้รับการศึกษา)  ให้แก่สมาชิกของสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม  หรืออย่างเป็นธรรม  ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์และคงไว้ซึ่งความสมานฉันท์  กลมกลืนของสังคมโดยรวม

ส่วนสาเหตุที่  จอห์น  รอลส์ (John  Rawls)  ให้ความสำคัญแก่เสรีภาพมากกว่าความเท่าเทียมเสมอภาค  ก็เพราะรอลส์เชื่อว่า  ภายใต้สถานการณ์สัญญาประชาคม  ผู้คนจะไม่ยอมเสียสละเสรีภาพอันเสมอภาคกันนั้นเพียงเพื่อการได้มาซึ่งรายได้  ความมั่งคั่งหรือแม้อำนาจ เสรีภาพจะถูกกำจัดลงได้ก็เพียงเพื่อประโยชน์แก่เสรีภาพหรือระบบแห่งเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งหมดเท่านั้น  และข้อเรียกร้องเรื่องความเสมอภาคในสังคมและเศรษฐกิจจะต้องสิ้นสุดลง  หากว่าการได้มาซึ่งความเสมอภาคเช่นนั้นมิได้นำไปสู่การเพิ่มพูนเสรีภาพโดยส่วนรวมสำหรับคนทั้งปวงในสังคม

ในการนี้รอลส์ได้เปิดประเด็น  คุณค่าปฐมภูมิของสังคม  ซึ่งหมายถึง  เสรีภาพ  โอกาส  รายได้  ความมั่งคั่งและการเคารพนับถือตนเอง คุณค่าปฐมภูมิเช่นนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนผู้มีเหตุผลทุกคนรวมทั้งผู้คนในสัญญาประชาคมของเขาล้วนต้องการอยากได้  ไม่ว่าเขาจะต้องการสิ่งอื่นร้อยแปดอย่างไร  การที่บุคคลในสัญญาประชาคมเลือกให้เสรีภาพมีความสำคัญอันดับแรก  ก็เนื่องจากเห็นว่าการเลือกเช่นนั้นจะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสดีที่สุดในการได้มาซึ่งคุณค่าขั้นปฐมภูมิของสังคม  รวมทั้งช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตตามเป้าหมายเฉพาะของตนได้ รอลส์เชื่อว่าผู้คนจะไม่เลือกหลักการซึ่งเปิดช่องให้ผู้เผด็จการ  แย่งยึดเอาเสรีภาพทางการเมืองของเขาไปด้วยเงื่อนไขแลกเปลี่ยนในการเพิ่มความมั่งคั่ง  (ในระดับที่เหนือกว่ากฎเกณฑ์ทั่วไปของความมั่งคั่งที่เป็น  คุณค่าปฐมภูมิของสังคม)  ให้แก่ทุกคนเนื่องจากเขาไม่แน่ใจในคุณค่าของสิ่งที่เขาจะได้รับเพิ่มขึ้น  ในขณะที่รู้ว่าตนต้องสูญเสียอิสระเสรีภาพทางการเมืองซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เกื้อหนุนต่อคุณค่าขั้นปฐมภูมิของสังคมในเรื่องเสรีภาพและการเคารพนับถือตนเอง 

Advertisement