การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2551
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4007 นิติปรัชญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย (Legal Positivism) ในแบบฉบับของ John Austin แตกต่างจาก H.L.A. Hart หรือไม่ อย่างไร และนักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ที่ Hart ยืนยันว่า จุดยืนสำคัญของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายและศีลธรรม แท้จริงแล้วมีลักษณะสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม
ธงคำตอบ
ปฏิฐานนิยมทางกฎหมายของออสติน (Austin) มองกฎหมายในแง่อำนาจ คำสั่ง รัฐาธิปัตย์ กล่าวคือ เขาได้สรุปว่ากฎหมาย คือ คำสั่งของรัฐาธิปัตย์ ที่มีสภาพบังคับ ซึ่งกำหนดมาตรฐานความประพฤติให้กับผู้อยู่ใต้อำนาจปกครองของตน ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามแล้วจะต้องได้รับโทษ
จากข้อสรุปดังนี้ทำให้เห็นว่ากฎหมายอันแท้จริง (Positive Law) ซึ่งเป็นเรื่องของคำสั่งจะประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ
1 ความประสงค์หรือความปรารถนาของผู้สั่ง
2 บทลงโทษ หรือสภาพบังคับ
3 การแสดงออกซึ่งความประสงค์หรือความปรารถนา
4 การมีผลบังคับทั่วไป
5 การประกาศใช้โดยรัฐาธิปัตย์ ซึ่งออสตินให้นิยามว่าหมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด ซึ่งประชาชนให้การเคารพเชื่อฟังคำสั่งโดยสม่ำเสมอเพียงผู้เดียวหรือกลุ่มเดียว
ออสตินเน้นพิจารณากฎหมายจากลักษณะภายนอก คือ ประสิทธิภาพของคำสั่งและบทกำหนดโทษ โดยไม่คำนึงถึงลักษณะภายในกฎหมายที่เป็นความชอบธรรมของตัวบทกฎหมายนั้น
กฎหมายกับเรื่องของอำนาจของรัฐาธิปัตย์ เป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน กฎหมายมีที่มาจากอำนาจหรืออำนาจก็คือตัวกฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับอำนาจในทัศนะของออสตินจึงดำเนินไปอย่างใกล้ชิดและค่อนข้างหยาบ
นอกจากนี้ออสตินยังมุ่งอธิบายอย่างแจ้งชัดว่า ความเป็นหรือความสมบูรณ์ของกฎหมายสามารถแยกขาดออกได้จากเรื่องศีลธรรมหรือหลักคุณค่าความถูกผิดใดๆ กระทั่งเชื่อว่า “อย่าเอากฎหมายไปปนกับความดีความชั่วหรือความยุติธรรม”
ขณะที่แนวคิดปฏิฐานนิยมทางกฎหมายของฮาร์ท (H.L.A. Hart) มีจุดร่วมกันกับออสตินในประเด็นเรื่องกฎหมายกับศีลธรรมที่ฮาร์ทยืนยันว่า กฎหมายและศีลธรรมไม่จำเป็นต้องเกี่ยวโยงกันเสมอไป และการดำรงอยู่หรือความสมบูรณ์ของกฎหมายเป็นเรื่องที่ต้องแยกออกจากเรื่องความชอบหรือไม่ชอบธรรมภายในกฎหมายนั้นๆ
แต่ในกรณีของฮาร์ทเน้นให้ความสำคัญต่อเรื่องอำนาจอันชอบธรรมหรืออำนาจที่ได้รับการยอมรับ (Authority) โดยที่อำนาจอันชอบธรรมในการบัญญัติกฎนั้นจะต้องได้มาจากกฎเกณฑ์อื่นที่เกี่ยวกับการมอบอำนาจนั้นๆ (กฎทุติยภูมิ) ซึ่งสะท้อนออกมาจากคำอธิบายเรื่องระบบกฎเกณฑ์ ที่ถือว่าเป็นธรรมชาติกฎหมายในสังคมสมัยใหม่ที่เป็นนิติรัฐหรือสังคมที่มีระบบกฎหมาย โดยฮาร์ทถือว่าระบบกฎหมายนั้นเป็นระบบแห่งกฎเกณฑ์ทางสังคมที่สลับซับซ้อนซึ่งมีความจำเป็นทางธรรมชาติในทุกสังคมจะต้องมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะในรูปกฎหมาย ซึ่งจำกัดควบคุมความรุนแรง พิทักษ์รักษาทรัพย์สินหรือระบบทรัพย์สิน และป้องกันควบคุมการหลอกลวงกัน เสมือนเป็น “เนื้อหาอย่างน้อยที่สุดของกฎหมาย” แต่ก็ได้มองเห็นข้อจำกัดของการมีแต่กฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะหน้าที่เพียงลำพัง จึงได้สร้างแนวคิดเรื่อง “ระบบกฎหมาย” แยกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1 กฎปฐมภูมิ หมายถึง กฎเกณฑ์ทั่วไปซึ่งวางบรรทัดฐานการประพฤติให้คนทั่วไปในสังคมและก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม (Rule of Obligation) ในลักษณะเป็นกฎหมายเบื้องต้นทั่วไป
2 กฎทุติยภูมิ หมายถึง กฎเกณฑ์พิเศษที่สร้างขึ้นมาเสริมความสมบูรณ์ของกฎปฐมภูมิเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดหน้าที่โดยทั่วไปเหมือนกฎปฐมภูมิ แต่เป็นกฎที่ผู้ใช้กฎหมายต้องพิจารณาและคำนึงถึง โดยสามารถแยกออกเป็นองค์ประกอบย่อยได้ดังนี้
1) กฎกำหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์หรือเกณฑ์การพิสูจน์ว่ากฎใดคือกฎหมาย
2) กฎกำหนดเกณฑ์การบัญญัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
3) กฎที่กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเมื่อมีการละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย
จะเห็นว่า กฎหมายหรือระบบกฎหมายตามทฤษฎีของฮาร์ท มิใช่เป็นเรื่องกฎเกณฑ์ล้วนๆ แต่ยังมีองค์ประกอบเรื่องคุณค่าหรือคุณค่าทางศีลธรรมแฝงอยู่คล้ายเป็นรากฐานในตัวด้วย อันเป็นจุดยืนเชิงประนีประนอมมากขึ้นเกี่ยวกับกฎหมายกับศีลธรรม อาทิประเด็นเรื่อง
– เนื้อหาอย่างน้อยที่สุดเกี่ยวกับกฎหมายธรรมชาติ หรือกฎหมายขั้นมูลฐาน
– การเน้นความสำคัญต่อเรื่อง “กฎที่กำหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์”
– การเน้นเรื่องพันธะอันเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับกฎหมายในการเคารพต่อกฎทุติยภูมิ
สำหรับการยืนยันของฮาร์ทว่าจุดยืนสำคัญเกี่ยวกับการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมที่มีลักษณะเปิดกว้างให้มีการตรวจสอบวิจารณ์กฎหมายซึ่งอาจดีหรือเลว ถือเป็นการสนับสนุนประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้ว่าฮาร์ทจะยอมรับว่าบางเรื่องของกฎหมายและศีลธรรมจะมีความคาบเกี่ยวกัน แต่ก็มิได้หมายความว่ากฎหมายจะมีที่มาจากหลักทางศีลธรรมเสมอไป การดำรงอยู่ของกฎหมายนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางสังคมที่ซับซ้อนหลายๆประการ ด้วยเหตุนี้กฎหมายจึงเปิดช่องให้ทำการวิจารณ์เชิงศีลธรรมได้ เนื่องจากไม่มีพื้นฐานแนวความคิดที่จะทำให้ถือว่า กฎหมายตามที่เป็นอยู่ (Is) และกฎหมายที่ควรจะเป็น (Ought) นั้นเป็นสิ่งๆเดียวกัน
จากจุดนี้เองที่ฮาร์ทยอมรับว่าโดยพื้นฐานแท้จริงแล้ว การยึดมั่นของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในบทสรุปของแนวความคิดเรื่องการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมนั้น ในตัวของมันวางอยู่บนเหตุผลทางศีลธรรมจากจุดที่ว่าแนวคิดดังกล่าวมิได้ถือว่ากฎหมายมีความสำคัญเหนือกว่าศีลธรรม แต่กลับเป็นการปล่อยให้กฎหมายอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์ทางศีลธรรมตลอดไป โดยเหตุผลของการสนับสนุนการวิจารณ์เชิงศีลธรรมนี้เกิดเนื่องแต่บทสรุปในแนวของปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ที่มิได้ยืนยันว่ากฎหมายที่ดำรงอยู่นั้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับศีลธรรมที่จะต้องถูกต้องดีงามเสมอไป บทสรุปเช่นนี้ยังนับเป็นการสนับสนุนหลักการประชาธิปไตยแบบเสรีนิยมที่เปิดกว้าง ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และปฏิรูปแก้ไขกฎหมายที่ตราขึ้นได้เสมอ
ข้อ 2 จงสรุปอธิบายประเด็นสำคัญทางความคิดของสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) และนักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่กับข้อวิจารณ์ต่อสำนักคิดนี้ว่า มีลักษณะสนับสนุนท่าที ความคิดในเชิงปฏิเสธ – ไม่ยอมรับต่อคุณค่าของกฎหมาย ความแน่นอนของกฎหมาย ตลอดจนการใช้อำนาจพิพากษาของฝ่ายตุลาการ
ธงคำตอบ
สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน (American Legal Realism) มีที่มาจากงานความคิดของโอลิเวอร์ เวนเดลล์ โฮล์มส์ (Oliver Wendel Holmes) ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ. 1902
โฮล์มส์ ไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาจะสามารถตัดสินคดีตามใจชอบ โดยมองจากประสบการณ์การทำงานของตน ซึ่งไม่อาจปรุงแต่งกฎหมายให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ เป้าหมายสำคัญที่โฮล์มส์ วิพากษ์วิจารณ์คือ ความคิดที่เชื่อว่าบทบัญญัติทั้งหมดในกฎหมายล้วนมีเหตุผลอันชอบธรรม
โฮล์มส์ เชื่อว่า กฎหมายจำนวนมากถูกเขียนขึ้นบนบริบททางประวัติศาสตร์ต่างๆ ซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วในภายหลัง ดังนี้แล้วจึงสมควรให้มีการตรวจสอบทบทวนอย่างสม่ำเสมอต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่ายังมีความเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขของสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะนี้จึงไม่มีกรณีใดๆซึ่งสมควรกล่าวอ้าง (ตามกระบวนการอนุมานความคิด) กฎหมายว่าเป็นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแน่นอน หากว่าในทางปฏิบัติ ศาลแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และจากความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความเป็นจริงของสังคมดังนี้เองทีทำให้เห็นว่ามีเพียงผู้พิพากษา (หรือทนายความ) ซึ่งเข้าใจดีถึงบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม และเศรษฐกิจเท่านั้นจึงจะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมต่อบทบาทของตน
นอกเหนือจากโฮล์มส์ ก็ยังมี จอห์น ชิปแมน เกรย์ ที่ยืนยันว่ากฎหมายประกอบด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆซึ่งศาลยุติธรรมได้กำหนดไว้ บรรดาพระราชบัญญัติเป็นเพียงที่มาของกฎหมายดังกล่าวนี้เท่านั้น
คาร์ล ลูเวลลิน (Karl Llewellyn) ในฐานะสมาชิกคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง กล่าวในทำนองเดียวกันไม่ให้ไว้วางใจนักต่อ “กฎเกณฑ์ในกระดาษ” ควรเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนการวินิจฉัยตีความกฎหมายของศาลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามแต่กาละและสถานที่ ตลอดจนสนใจต่อข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับคำตัดสินที่ปรากฏจริงๆ
เยโรม แฟรงค์ (Jerome Frank) ผู้พิพากษาที่ถือว่าเขาเป็น “ผู้ที่ไม่เชื่อใจต่อข้อเท็จจริง” หมายความว่า แม้ในกรณีที่กฎเกณฑ์มีความชัดเจนง่ายดายต่อการตีความแล้วก็ตาม กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็อาจส่งผลสะเทือนน้อยเต็มทีในคำตัดสินของศาลระดับล่าง เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบบลูกขุน เนื่องจากบุคคลดังกล่าวสามารถยกข้อเท็จจริงใดๆ ที่ตนพึงพอใจมาปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในที่สุดได้ นอกจากนี้ เหตุปัจจัยเรื่องความสมบูรณ์หรือบกพร่องของพยานหลักฐาน ความสามารถของทนายความหรือผู้พิพากษาก็เป็นตัวกำหนดอันสำคัญต่อผลของคำพิพากษา ความลื่นไหล ความไม่แน่นอนของข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมนับเป็นอุปสรรคในการคาดทำนายการตัดสินใจของศาล
นอกจากนี้ในปี ค.ศ. 1957 แฟรงค์ยังได้ร่วมเขียนงานชิ้นหนึ่งเรื่อง “ไร้ความผิด” (Notquilty) ซึ่งเป็นเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องคดีความผิดจำนวนหนึ่ง ซึ่งบรรดาจำเลยต่างถูกตัดสินพิพากษาว่า ประกอบอาชญากรรม แต่ได้รับการตัดสินใหม่ว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ในศาลชั้นหลัง การค้นพบประจักษ์หลักฐานในความไม่แน่นอนแห่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลและความผิดพลาดต่างๆอันเกิดขึ้นได้ เหล่านี้นับเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิต อีกทั้งยังทำให้เขายืนยันความสำคัญของความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดี วึ่งไม่อาจนำไปแลกกับประสิทธิภาพ (ความรวดเร็ว) ในทางตุลาการ
ดังนั้น จะเห็นว่า สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกันจะใส่ใจเรื่องธรรมชาติกฎหมายในแง่การปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง วิพากษ์ความไม่แน่นอนของกฎหมาย ช่องว่างของกฎหมายในตัวบทและความเป็นจริงในแง่การบังคับใช้ รวมทั้งการวิพากษ์เบื้องหลังการใช้อำนาจของผู้พิพากษาเพื่อให้เกิดความยุติธรรม โดยอาจมีปัจจัยทางอัตวิสัยแนวความคิดการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
โดยพื้นฐานแล้ว สัจนิยมทางกฎหมายจัดอยู่ในฝ่ายเสรีนิยมทางกฎหมายที่ตั้งคำถาม – วิพากษ์ความไม่แน่นอนของกฎหมาย หรืออำนาจตุลาการ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสู่ความยุติธรรมอันแท้จริงมากกว่าจะปฏิเสธคุณค่าของกฎหมาย – กระบวนการยุติธรรม
ข้อ 3 ปรัชญากฎหมายไทยแบบดั้งเดิมมีความคิดพื้นฐานทางกฎหมายเป็นแบบอำนาจนิยม หรือธรรมนิยมและปรัชญากฎหมายไทยดังกล่าวสนับสนุนให้มีการยับยั้งหรือทัดทานการใช้ (พระราช) อำนาจที่ไม่ชอบธรรมหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
ลักษณะที่สำคัญของปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม คือ ตั้งอยู่บนกระแสความคิดพื้นฐานในลักษณะธรรมนิยม หลักการคือกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม พระธรรมศาสตร์ ทศพิธราชธรรม รวมทั้งหลักจตุรธรรมแห่งกฎหมายไทย อันเป็นธรรมนิยมแบบพุทธขณะเดียวกันก็ถูกทับซ้อนด้วยความคิดอำนาจนิยมที่ผูกติดกับอิทธิพลความคิดฝ่ายพราหมณ์หรือฮินดู หลักเทวราชและความเป็นกระแสหลักในสมัยสุโขทัย เห็นได้จากมีการแปลความธรรมมะออกมาเป็นกฎหมายหรือคำสั่งของพ่อขุนรามคำแหง ส่วนธรรมนิยมแบบพราหมณ์หรือแบบฮินดูก็มีอิทธิพลอย่างมากในสมัยอยุธยา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเกี่ยวกับแนวคิดแบบธรรมนิยม มีปรากฏในหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ซึ่งมีสระสำคัญ 4 ประการ คือ
1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ
2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม
3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร
4 การใช้อำนาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทำบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม
เหตุที่ทำให้มีการสรุปยืนยันว่าปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยึดถือเอาธรรมเป็นใหญ่ในการปกครองบ้านเมือง และสนับสนุนให้มีการยับยั้งหรือทัดทานการใช้ (พระราช)อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับความยุติธรรม ก็เพราะนอกจากกฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรมแล้ว พระมหากษัตริย์ยังต้องตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมอันมีค่าเป็นธรรมมะ 10 ประการ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ด้วย (อาจเรียกว่าเป็นราชธรรม 10 ประการก็ได้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1 ทาน คือ การสละวัสดุสิ่งของและวิชาความรู้เพื่อเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น
2 ศีล คือ การควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา และใจ ให้เป็นปกติเรียบร้อย
3 ปริจจาคะ คือ การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม
4 อาชชวะ คือ ความซื่อตรง
5 มัททวะ คือ ความสุภาพอ่อนโยน
6 ตบะ คือ ความเพียรพยายามในหน้าที่การงานจนกว่าจะสำเร็จโดยไม่ลดละ
7 อักโกธะ คือ ความไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อใครๆ
8 อวิหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ทุกข์ร้อน
9 ขันติ คือ ความอดทนต่อความยากลำบาก ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุธรรมและนามธรรม
10 อวิโรธนะ คือ ความไม่ประพฤติปฏิบัติผิดไปจากทำนองคลองธรรม
ด้วยเหตุผลที่พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณล้วนนับถือศาสนาพุทธ ทศพิธราชธรรมนี้ก็มีรากฐานที่มาจากคัมภีร์ชาดกในพุทธศาสนานั่นเอง จึงทำให้พระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต้องตั้งพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรมข้างต้นนี้ และรูปธรรมชัดเจนของข้อสรุปดังกล่าวก็คือหลักการในทศพิธราชธรรมก็ได้ถูกนำไปตราเป็นกฎมณเฑียรบาล บทที่ 106 และ 113 ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ดังนี้
กฎมณเฑียรบาล บทที่ 106 ความว่า “อนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวดำรัสตรัสด้วยกิจราชการคดีถ้อยความประการใดๆ ต้องกฎหมายประเวนีเป็นยุติธรรมแล้วให้กระทำตาม ถ้าหมีชอบจงอาจพิดทูลทัดทาน 1,2,3 ครั้ง ถ้าหมีฟังให้งดอย่าเพ่อสั่งไปให้ทูลในที่ระโหถาน ถ้าหมีฟังจึงให้กระทำตาม ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระอายการดังนี้ ท่านว่าผู้นั้นละมิดพระราชอาญา”
กฎมณเฑียรบาล บทที่ 106 นี้ก็เป็นการยืนยันหลักการทางทฤษฎีที่ถือเอาธรรมมะหรือกฎหมายเป็นใหญ่ในการปกครองบ้านเมืองอันเป็นการสอดรับหลักทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 อวิโรธนะ อันหมายถึงการไม่ประพฤติไปจากทำนองคลองธรรม
ส่วนกฎมณเฑียรบาลบทที่ 113 ก็มีความว่า “อนึ่ง ธรงพระโกรธแก่ผู้ใด แลตรัสเรียกพระแสงอย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นให้โทษถึงตาย” อันนี้ก็สอดรับกับหลักทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 อวิโรธนะ ดังที่กล่าวแล้วกับข้อที่ 7 คือ อักโกธะ อันหมายถึง การไม่แสดงความเกรี้ยวโกรธแค้นต่อผู้ใด