การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4007 นิติปรัชญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ
ข้อ 1 จงสรุปอธิบายหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม ในความเข้าใจของนักศึกษาปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยอมรับความสำคัญของเรื่องวิบากกรรม – บุญกรรมหรือไม่อย่างไร จงอธิบายโดยยกตัวอย่างในกฎหมายตราสามดวงประกอบ
ธงคำตอบ
หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้ เป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ที่สรุปอนุมานขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสำคัญของพระธรรมศาสตร์ โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายทั่วไป 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ 4 ประการในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1 กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ
2 กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม
3 จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร
4 การใช้อำนาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทำบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม
ในส่วนของความเกี่ยวพันกันระหว่างปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม กับเรื่องของวิบากกรรม – บุญกรรมนั้น จะเห็นได้ว่าในอดีตประชาชนไทยมีความเชื่อมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องกรรมเก่า วิบากกรรมต่างอันมีมาแต่ชาติปางก่อน การอ้างอิงหลักธรรมเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรมดูเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายสำหรับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการได้รับเคราะห์
ในกฎหมายตราสามดวงก็มีการบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้หลายบทมาตรา เช่น ในพระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ กำหนดให้ “ผ๔ถากไม้ใกล้หนทางและขวานหลุดมือไปถูกผู้เข้ามาใกล้จนเสียชีวิต ผู้นั้นไม่มีความผิดโดยถือเป็นบาปกรรมของผู้ตายเอง กฎหมายกำหนดเพียงให้ผู้ถากไม้นั้นช่วยทำบุญส่งไปให้ผู้ตาย” ซึ่งเห็นได้ว่า เคราะห์ร้ายอันเกิดขึ้นโดยมิคาดฝันย่อมถูกปรับความหมายให้เป็นเสมือน “วิบากกรรม” แห่งตนในอดีตชาติได้โดยไม่ขัดเขิน ส่วนตัวผู้ก่อเคราะห์ร้ายกฎหมายกำหนดหน้าที่เพียงทำบุญหรืออุทิศผลบุญกุศลให้แก่ผู้ตายซึ่งยังติดอยู่ในบ่วงแห่งวิบากกรรมของตนอยู่
นอกจากนี้ยังมีอีกในบทมาตราอื่นๆ เช่น ในมาตรา 117 กรณีคนสองคนชกมวกกันด้วยใจสมัครหากเกิดเหตุถึงแก่ความตาย ผู้จัดการชกมวยย่อมไม่มีโทษ เหตุเพราะผู้จัดการชกมวยมิได้มีเจตนาจะให้ถึงชีวิตถือเป็นบาปกรรมของผู้เสียชีวิตนั้นเอง หรือในมาตรา 127 ก็กำหนดให้เจ้าของควายจ่ายค่าควายแทนผู้ที่ช่วยตีควายของผู้อื่นที่มาชนควายของตนจนบาดเจ็บล้มตายเนื่องจากผู้ช่วยตีควายอาสาที่จะเป็นบาปเป็นกรรมแทนเจ้าของควายนั้นเอง
กฎแห่งกรรมในแง่บาป – บุญจึงเป็นรากฐานของบทกฎหมายโบราณหลายๆมาตรา
ข้อ 2 สำนักสโตอิค (Stoic) มีแนวคิดเชิงปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ / ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์อย่างไร คำอธิบายปรัชญากฎหมายธรรมชาติของสำนักปรัชญาสโตอิคแตกต่างจากแนวคิดกฎหมายธรรมชาติของนักบุญ
อไควนัส (St. Thomas Aquinas) หรือไม่อย่างไร
ธงคำตอบ
สำนักสโตอิค (Stoic School) ก่อตัวขึ้นราวศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล โดยมีเซโน (Zeno) เป็นผู้ก่อตั้งสำนักคิดนี้ มีความเชื่อว่ามนุษย์ล้วนมีเหตุผลและยังเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีความเสมอกันโดยไม่จำกัดสัญชาติเผ่าพันธุ์ จึงจัดว่าเป็นพวกธรรมชาตินิยม ที่มองเรื่องการดำรงชีวิตสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ
สำนักนี้มีแนวความคิดพื้นฐานว่า “เหตุผล” เป็นเสมือนกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มีลักษณะแน่นอนที่คอยควบคุมความเป็นไปของจักรวาล ดังนั้นมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของจักรวาล และเป็นสัตว์โลกที่รู้จักคิดใช้เหตุผล จึงย่อมถูกกำหนดควบคุมโดยเหตุผลอันเป็นสากลนั้นด้วย และเหตุผลดังกล่าวนั้นมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยการใช้เหตุผลของเขาเอง
สำนักสโตอิควางหลักจริยธรรมว่า มนุษย์ต้องจำยอมปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง การดำรงชีวิตของมนุษย์ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ เหตุผลหรือคุณความดี คำสอนเช่นนี้เองทำให้สำนักสโตอิคปฏิเสธเรื่อง ความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือศาสนา สอนให้คนมีจิตใจกว้างยอมรับเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน รวมทั้งเรื่องความเป็นสากลของกฎหมายธรรมชาติ
ซิเซโร (Cicero) นักกฎหมายของสำนักสโตอิค ก็ได้กล่าวไว้ว่า “กฎหมายอันแท้จริง คือ เหตุผลอันชอบธรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติ โดยมีผลใช้บังคับอย่างเป็นสากลไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์มันเป็นบาปต่อการพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้ และไม่อาจยินยอมให้มีการเลิกล้มส่วนใดส่วนหนึ่ง อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกกฎหมายนี้โดยสิ้นเชิง”
เซนต์ โทมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) นักบุญชาวอิตาเลียน (1226 – 1274) ผู้สร้างงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญเรื่อง “Summa Theologica” ซึ่งเป็นการเชื่อมวิธีคิดแบบเหตุผลนิยมและเจตนนิยมเข้าด้วยกัน โดยนำเอาปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณมาสังเคราะห์กับปรัชญาทางคริสต์ศาสนา ในขณะที่กฎหมายธรรมชาติในยุคก่อนๆยืนยันว่ามนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัย “เหตุผล” ในตัวมนุษย์เอง อไควนัสก็ได้พยายามเชื่อมโยงเรื่อง “เหตุผล” ดังกล่าวเข้ากับ “เจตจำนงของพระเจ้า” โดยถือว่าเหตุผลที่สมบูรณ์ถูกต้องมากกว่า ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เจตจำนงของพระเจ้า” ที่ถือว่ามีความบริสุทธิ์ถูกต้องมากกว่า “เหตุผล” ของมนุษย์ ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้ และจากจุดนี้เองอไควนัสสรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ และที่น่าสนใจคือจากการเชื่อมต่อ “เหตุผล” เข้ากับ “เจตจำนงของพระเจ้า” นั้น เซนต์ โทมัส อไควนัส แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภทคือ
1 กฎหมายนิรันดร์ หมายถึง กฎหมายสูงสุดที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้
2 กฎหมายธรรมชาติ หมายถึง ส่วนหนึ่งของกฎหมายนิรันดร์ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัย “เหตุผล””
3 กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ หมายถึง หลักธรรมต่างๆที่ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล
4 กฎหมายของมนุษย์ หมายถึง กฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นใช้กันเองในสังคม
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จึงเห็นได้ถึงความแตกต่างระหว่างแนวความคิดของสำนักสโตอิค และของนักบุญอไควนัส ที่สำคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติของอไควนัสจะมีกลิ่นอายของศาสนาคริสต์เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก คำอธิบายจะผูกอิงอยู่กับเจตจำนงของพระเจ้า ส่วนสำนักสโดอิคกลับเชื่อเรื่องความเป็นสากล ไม่ให้ยึดติดกับความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ โดยที่เหตุผลจากธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างประสานกลมกลืน (มิใช่เหตุผลของพระเจ้า)
ข้อ 3 ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายยอมรับเรื่องการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน (Civil Disobedience) หรือไม่ เพราะเหตุใด ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวที่ว่า ภายใต้หลักนิติกรรมรัฐควรปรับใช้กฎหมายโดยเสมอภาคหรือเคร่งครัดจริงจังแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายดังกล่าว
ธงคำตอบ
ทฤษฎีฐานนิยมทางกฎหมาย ยอมรับไม่ได้ที่จะให้มีการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนด้วยเหตุผลจากแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย 2 ข้อ คือ
1 การยืนยันว่า การดำรงอยู่ของกฎหมายใดๆ มิได้ขึ้นอยู่กับการที่มันสนองตอบหรือสอดคล้องกับหลักคุณค่าทางศีลธรรมอันหนึ่งอันใดที่สามารถปรับใช้ได้อย่างเป็นสากลในทุกระบบกฎหมาย
2 การยืนยันว่า การดำรงอยู่ของกฎหมายขึ้นอยู่กับการที่มันถูกสร้างขึ้นโดยผ่านการตกลงปลงใจของมนุษย์ในสังคม
ดังนั้นข้อสรุปของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายก็คือ กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมก็ยังถือว่าเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับให้ผู้คนต้องปฏิบัติตามอยู่ การละเมิดฝ่าฝืนกฎหมายไม่ว่าด้วยเหตุผลใดต้องได้รับโทษเหมือนกันหมด
ส่วนกับคำกล่าวที่ว่า “ภายใต้หลักนิติธรรม รัฐควรปรับใช้กฎหมายโดยเสมอภาค หรือเคร่งครัด จริงจังแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย” นั้น ดูจะไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวมีความเคร่งครัดแข็งกร้าวจนเกินไป เพราะกฎหมายนั้นแม้จะอ้างว่าอยู่ภายใต้หลักนิติธรรมก็ตาม แต่ต้องยอมรับกันว่ามีทั้งกฎหมายที่ออกมาโดยถูกต้องชอบธรรม และกฎหมายที่ออกมาโดยจุดประสงค์เพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กฎหมายนั้นมีทั้งยุติธรรม และไม่ยุติธรรม ดังนั้นถ้ามีกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคม แล้วการบังคับใช้กฎหมายนั้นไปมีผลกระทบต่อคนในสังคมแล้ว ย่อมเป็นการชอบที่จะให้มีการดื้อแพ่งทางกฎหมายได้ และเมื่อผู้ที่ทำการดื้อแพ่งทางกฎหมายมิได้มีมูลเหตุจูงใจที่จะทำผิดกฎหมายอย่างกับอาชญากร หรือผู้กระทำความผิดอาญาต่างๆ การบังคับใช้กฎหมายของรัฐในการลงโทษแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายจึงควรมีความยืดหยุ่นไม่เคร่งครัดจริงจังมากจนเกินไป เช่น อาจมีการอนุญาตให้มีการชะลอการฟ้องคดี หรือลงโทษสถานเบา หรืออาจมีการภาคทัณฑ์ไว้ เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม เพราะบุคคลอื่นที่ทำผิดกฎหมายอาจอ้างว่าทำไปเพราะดื้อแพ่งต่อกฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ลดหย่อนโทษลง จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขของกรณีที่จะทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายไว้ ดังเช่นที่ ดวอร์กิ้น และจอห์น รอลส์ ได้เสนอไว้ เช่น ต้องเป็นการดื้อแพ่งโดยไม่มีการยั่วยุความรุนแรงให้เกิดขึ้น ต้องทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ ไม่ใช้ความรุนแรง ต้องมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ของสังคม ต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายฯลฯ