การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายแพทย์ฮูจินฟู  แพทย์ทางเลือกสัญชาติจีน  เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี  พ.ศ.2535  โดยชอบตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  คุณหมอมีภรรยาเป็นคนไทยมีบุตรเกิดในประเทศไทยสองคนประกอบอาชีพคลินิกรักษาโรคทั่วไป  คุณหมอมาปรึกษาท่านว่าอยากจะมีสัญชาติไทย  ท่านจะแนะนำคุณหมออย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

อธิบาย

นายแพทย์ฮูจินฟู  ควรจะแปลงสัญชาติเป็นไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.2508  มาตรา  10  กล่าวคือ  คนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน  5  ประการดังต่อไปนี้อาจขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้

1       บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายไทย  และกฎหมายที่บุคคลนั้นมีสัญชาติ  กล่าวคือ  บรรลุนิติภาวะโดยมีอายุเมื่อมีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  (ป.พ.พ.  มาตรา  19)  ประการหนึ่ง  หรือบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส  คือการสมรสได้ทำเมื่อชายและหญิงมีอายุครบ  17  ปีบริบูรณ์แล้ว  (ป.พ.พ.  มาตรา  1448)  อีกประการหนึ่ง

และนอกจากจะต้องบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทยแล้ว  ยังต้องบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายภายในของประเทศที่คนต่างด้าวนั้นมีสัญชาติอีกด้วย

2       มีความประพฤติดี  กล่าวคือ  ต้องไม่ใช่คนเกเร  เสเพล  ติดสุรา  ยาเสพติด  หรือเคยต้องคดีอาญามาแล้ว  ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่จะพิจารณา

3       มีอาชีพเป็นหลักฐาน  กล่าวคือ  สามารถหารายได้มาเลี้ยงตนและครอบครัวได้  (ในกรณีสมรสแล้ว)  โดยอาชีพที่แน่นอนและเป็นหลักแหล่ง  ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เป็นภาระแก่รัฐบาลในการที่ต้องช่วยเหลือหาอาชีพให้ทำมาหากินอีกด้วย

4       มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า  5  ปี  กล่าวคือ  ก่อนวันที่จะร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย  คนต่างด้าวนั้นต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาติดต่อกันไม่ขาดสายไม่น้อยกว่า  5  ปี

5       มีความรู้ภาษาไทยตามที่กำหนดในกฎกระทรวง  กล่าวคือ  ต้องพูดภาษาไทยและฟังภาษาไทยเข้าใจได้  โดยให้ผู้บังคับการตำรวจสันติบาลเป็นผู้สอบความรู้ภาษาไทยสำหรับคนต่างด้าวผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร  ส่วนคนต่างด้าวผู้มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด  ให้ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนั้นๆเป็นผู้สอบความรู้ภาษาไทย

พึงสังเกตด้วยว่า  หลักเกณฑ์ของการแปลงสัญชาติเป็นไทยทั้ง  5  ประการตามมาตรา  10  นี้  คนต่างด้าวผู้ร้องขอแปลงสัญชาติต้องมีลักษณะและคุณสมบัติครบทั้ง  5  ประการ  จะขาดประการหนึ่งประการใดไม่ได้  มิฉะนั้นจะขอแปลงสัญชาติไม่ได้

อนึ่ง  ชาวต่างชาติที่สมรสกับหญิงไทยไม่อาจได้สัญชาติไทยโดยการสมรสตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.2508  มาตรา  9  เพราะการได้สัญชาติไทยโดยการสมรส  มีได้เฉพาะหญิงต่างด้าวสมรสกับชายสัญชาติไทยเท่านั้น

ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะแนะนำนายแพทย์ฮูจินฟู  ว่าควรจะแปลงสัญชาติเป็นไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.2508  มาตรา  10  ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  2  นายแฟรงค์คนสัญชาติอังกฤษมีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศบรูไน  ได้สละสัญชาติอังกฤษและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ต่อมานายแฟรงค์ถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.2508  หลังจากนั้นเกิดคดีขึ้นสู่ศาลไทย  โดยประเด็นข้อพิพาทมีว่านายแฟรงค์มีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องปั้นโถลายครามจำนวน  10  เครื่อง  จากนายโบราณที่จังหวัดราชบุรีหรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพาทที่ว่านี้

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสาม  สำหรับบุคคลผู้ไรสัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

มาตรา  10  วรรคแรก  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัย  เห็นว่า  ประเด็นข้อพิพาทที่ว่านายแฟรงค์จะมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องปั้นโถลายครามจากนายโบราณได้หรือไม่นั้น  ถือว่าเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มารา  1 0  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายแฟรงค์คนสัญชาติอังกฤษ  มีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศอังกฤษ  ได้สละสัญชาติอังกฤษและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ซึ่งในขณะเกิดข้อพิพาทที่ว่านี้นายแฟรงค์ได้ตกเป็นบุคคลไร้สัญชาติ  เพราะนายโทนี่ได้ถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  ดังนี้  การจะนำกฎหมายประเทศใดมาปรับแก่ข้อพิพาทดังกล่าว  จึงต้องบังคับตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม  ซึ่งมีหลักคือ

1       ถ้าปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับหรือ

2       ถ้าไม่ปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายแฟรงค์เป็นบุคคลไร้สัญชาติ  และไม่ปรากฏว่านายโทนี่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด  กรณีเช่นนี้จึงต้องใช้กฎหมายประเทศบรูไนซึ่งเป็นกฎหมายที่นายแฟรงค์มีถิ่นที่อยู่บังคับตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม 

ผลจึงเป็นว่า  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายประเทศบรูไนขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายแฟรงค์ที่ว่านี้

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายประเทศอังกฤษขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายแฟรงค์

 

ข้อ  3  เครื่องบินของสายการบินเจแอร์ไลน์ซึ่งเป็นเครื่องบินจดทะเบียนประเทศญี่ปุ่น  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย  ถูกนายอับดุลห์คนสัญชาติมาเลเซียจี้เครื่องบินไปลงยังประเทศสิงคโปร์  เมื่อเครื่องลงจอดที่ประเทศสิงคโปร์แล้วนายอับดุลห์หนีไปได้  โดยต่อมาถูกจับตัวที่ประเทศไทยอยากทราบว่ารัฐภาคีใดบ้างในอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ.1970  ที่อาจร้องขอต่อประเทศไทยให้ส่งตัวนายอับดุลห์ให้แก่ตนได้  และหากมีรัฐตั้งแต่  2  รัฐขึ้นไปเรียกร้องให้ส่งตัวนายอับดุลห์อนุสัญญาฉบับดังกล่าวมีแนวทางแก้ไขไว้หรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยหลักแล้ว  การกระทำความผิดเกี่ยวกับการจี้เครื่องบินหรือยึดอากาศยานโดยมิชอบ  เป็นความผิดที่สามารถส่งตัวผู้กระทำความผิดข้ามแดนได้

ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  ได้มีบทบัญญัติที่ยินยอมให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไว้ในมาตรา  8  โดยเฉพาะในอนุมาตรา  4  นั้น  จึงทำให้รัฐภาคีในอนุสัญญารัฐใดรัฐหนึ่งเป็นรัฐที่เครื่องบินนั้นจดทะเบียน  หรือรัฐที่เครื่องบินนั้นแล่นลง  หรือรัฐผู้เช่าเครื่องบินนั้น  อาจร้องขอต่อรัฐภาคีอื่นๆที่ผู้กระทำความผิดปรากฏตัวให้ทำการส่งผู้กระทำความผิดนั้นให้แก่ตนได้  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นรัฐที่เครื่องบินจดทะเบียนและประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นรัฐที่เครื่องบินแล่นลงสามารถร้องขอให้ประเทศไทยส่งตัวนายอับดุลห์ให้แก่ตนได้

อย่างไรก็ตาม  อนุสัญญากรุงเฮกฯ  ดังกล่าวมิได้มีบทบัญญัติใดวางมาตรการในการแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่มีรัฐตั้งแต่  2  รัฐขึ้นไป  เรียกร้องให้ส่งตัวนายอับดุลห์  ผู้กระทำความผิดในคดีจี้เครื่องบินรายเดียวกันนั้นให้แก่ตน  เมื่อต่างฝ่ายต่างเรียกร้อง  ต้องการตัวผู้กระทำความผิด  เช่นนี้ตามมาตรา  12  ให้รัฐภาคีนำข้อโต้แย้งดังกล่าวขึ้นสู่การพิจารณาและวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ  หากไม่สำเร็จก็อาจนำข้อโต้แย้งขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศต่อไปได้

 

ข้อ  4  จงอธิบายหลัก  Attentat  Clause  ประเทศใดที่นำหลักนี้มาใช้เป็นประเทศแรก  มีเหตุผลและรายละเอียดอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยเหตุที่มีความผิดบางประเภทซึ่งมีลักษณะทางการเมือง  แต่หลายประเทศกำหนดไว้ไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติในเรื่องนี้เรียกว่า  Attentat  Clause  ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า  บทบัญญัติเกี่ยวกับการประทุษร้าย  ซึ่งประเทศเบลเยียมนำมาใช้เป็นประเทศแรก  โดยบัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของตนเมื่อ  ค.ศ. 1865  หลังจากที่ศาลเบลเยียมปฏิเสธไม่ส่งตัวผู้กระทำความผิดฐานพยายามปลงพระชนม์พระเจ้านโปเลียนที่  3  ไปให้ฝรั่งเศสในคดี  Jacquin  ค.ศ. 1854

กล่าวคือ  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติ  Attentat  Clause  นี้  เป็นกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา  6  แห่งกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของเบลเยียม  ค.ศ. 1833  ซึ่งเป็นกฎหมายเดิม  โดยเพิ่มข้อความลงไปอีกวรรค  (clause)  หนึ่ง  ซึ่งมีข้อความดังนี้  การประทุษร้ายต่อบุคคลผู้เป็นประมุขของรัฐบาลต่างประเทศหรือบุคคลซึ่งอยู่ในเครือญาติหรือราชสกุลของประมุขนั้น  ไม่ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำผิดทางการเมือง  หรือเป็นการกระทำผิดเกี่ยวเนื่องกับการเมือง  หากปรากฏว่าเป็นการประทุษร้ายที่เป้นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  หรือลอบฆาตกรรม  หรือเป็นการฆาตกรรมด้วยพยายามมาดหมายหรือด้วยการวางยาพิษ

สำหรับเจตนารมณ์ทางกฎหมายของ  Attentat  Clause  นี้มุ่งหมายที่จะไม่ให้ถือว่าความผิดฐานประทุษร้ายต่อชีวิตที่กระทำต่อประมุขของประเทศหรือบุคคลในครอบครัวประมุขของประเทศเป็นความผิดทางการเมือง

ส่วนผลของ  Attentat  Clause  นั้นทำให้ความหมายของคดีการเมืองแคบลง  กล่าวคือ  เมื่อมีฆาตกรรมเข้ามาในลักษณะนี้แล้วย่อมส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันได้    

Advertisement