การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ยุทธเวท  หนุ่มสัญชาติไทย  ไปทำมาหากินในประเทศลาว  ได้นางแสนคำสาวลาวเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรในประเทศลาว  5  คน  ต่อมายุทธเวทพาบุตร  ภรรยา  กลับมาอยู่  ณ  ประเทศไทย  และได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยา  ถามว่า  บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สมรสกับผู้มีสัญชาติไทยถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย  ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรี

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

วินิจฉัย

บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  บุตรทั้ง  5  คนที่เกิดในประเทศลาวจากยุทธเวทบิดาซึ่งมีสัญชาติไทยและนางแสนคำมารดาซึ่งมีสัญชาติลาว  โดยบิดาและมารดานั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน  กรณีเช่นนี้ถือว่าบุตรทั้ง  5  คน  เกิดในขณะที่ยุทธเวทบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยหลักแล้ว  ย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย  ไม่ว่าตามหลักดินแดนหรือหลักสายดลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)

แต่เมื่อภายหลังยุทธเวทบิดาได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา  ย่อมมีผลทำให้บุตรทั้ง  5  คนนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของยุทธเวท และมีผลทำให้ยุทธเวทเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของบุตร เช่นนี้  บุตรทั้ง  5  คน  ย่อมได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยผลของมาตรา  10  ที่ให้นำมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  พ.ร.บ.  ดังกล่าวใช้บังคับด้วย  ทั้งนี้ในฐานะกฎหมายที่ใกล้เคียง  และตามเจตนารมณ์ของการได้สัญชาติไทยตามหลักทั่วไป  กล่าวคือ บุคคลในครอบครัวเดียวกัน  ควรมีสัญชาติเดียวกัน  ดังนั้น  บุตรทั้ง  5  คน  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต

ส่วนนางแสนคำมารดานั้น  มีสัญชาติลาว  หากต้องการมีสัญชาติไทยต้องดำเนินการยื่นคำขอมีสัญชาติไทยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีอนุญาตเสียก่อนจึงจะได้สัญชาติไทย

สรุป  บุตรทั้ง  5  คนได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต  ส่วนนางแสนคำมารดาต้องยื่นคำขอมีสัญชาติไทยก่อน  และเมื่อรัฐมนตรีอนุญาตจึงจะได้สัญชาติไทย

 

ข้อ  2  นายพงษ์ศักดิ์คนสัญชาติไทยส่งคำเสนอขายเข็มขัดทองฝังเพชรราคา  4  แสนบาท  ให้แก่นายอาหมัดคนสัญชาติมาเลเซีย  โดยนายพงษ์ศักดิ์จะนำเข็มขัดทองฯนั้น  มามอบให้แก่นายอาหมัดที่มาเลเซีย  และนายอาหมัดจะต้องส่งเงิน  4  แสนบาท  ผ่านทางธนาคารมาเลเซียมาเข้าบัญชีธนาคารของนายพงษ์ศักดิ์ที่กรุงเทพฯ  นายอาหมัดก็ตอบรับคำเสนอโดยทำเป็นจดหมายมอบให้กับนายราซัคให้เดินทางมาส่งให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ด้วยตนเอง  ขณะที่นายราซัคมาถึงกรุงเทพฯ  ปรากฏว่า  นายพงษ์ศักดิ์กำลังโดยสารเรือเดินสมุทรจากกรุงเทพฯไปยังประเทศญี่ปุ่น  นายราซัคจึงลงเรือเดินสมุทรอีกลำหนึ่งติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ได้  ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  ต่อมานายพงษ์ศักดิ์ส่งมอบเข็มขัดทองฯนั้นให้แก่นายอาหมัดที่มาเลเซียแล้ว  แต่นายอาหมัดไม่ยอมส่งเงิน  4  แสนบาทผ่านทางธนาคารมาเลเซียมาเข้าบัญชีของนายพงษ์ศักดิ์ที่กรุงเทพฯ  นายพงษ์ศักดิ์จึงฟ้องคดีต่อศาลไทย  เพื่อบังคับให้นายอาหมัดชำระราคาค่าเข็มขัดทอง ฯ  นั้นเป็นจำนวนเงิน  4 แสนบาทให้แก่ตน  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในกรณีเช่นนี้  ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

  มาตรา  13  วรรคแรกและวรรคสอง  ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ถ้าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง  ถิ่นที่ถือว่าสัญญานั้นได้เกิดเป็นสัญญาขึ้นคือ  ถิ่นที่คำกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ถ้าไม่อาจหยั่งทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจะพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่สาระสำคัญหรือผลของสัญญานั้น  กรณีเป็นไปตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก  ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีตามลำดับได้ดังนี้

1       กรณีที่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายให้นำมาใช้บังคับ  ก็ให้นำกฎหมายของประเทศนั้นมาใช้บังคับ

2       กรณีที่ไม่อาจทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา

(ก)  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของคู่สัญญามาใช้บังคับ

(ข)  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  กรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับ  เห็นว่า  การที่นายพงษ์ศักดิ์  คนสัญชาติไทย  ส่งคำเสนอขายเข้มขัดทองฝังเพชรราคา  4  แสนบาทให้แก่นายอาหมัดคนสัญชาติมาเลเซีย  โดยนางพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายว่าให้นำกฎหมายประเทศใดมาใช้บังคับแก่ผลของสัญญา  จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา  ทั้งกรณีนี้นางพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดก็ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับจึงได้แก่กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น  เมื่อนายพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดอยู่คนละประเทศ  อันถือว่าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางซึ่งตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกัน ฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคสอง  กำหนดให้ถือว่าสัญญานั้นเกิด  ณ  ถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  และหากเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

เมื่อพิจารณาแล้วได้ความว่า  สัญญาซื้อขายดังกล่าวนายอาหัดตอบรับโดยทำเป็นจดหมายมอบให้แก่นายราซัคให้เดินทางมาส่งแก่นายพงษ์ศักดิ์ด้วยตนเองและนายราซัคได้ติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ได้  ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  จึงถือเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ดังนั้น  หากนายพงษ์ศักดิ์ประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาลไทย  เพื่อบังคับให้นายอาหมัดชำระราคาเข็มขัดทอง ฯ  ให้แก่ตน  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายอาหมัดให้ชำระราคาค่าเข็มขัดนั้น  ให้แก่นางพงษ์ศักดิ์เพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายอาหมัดให้ชำระราคาเข็มขัดดังกล่าวเพราะเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

 

ข้อ  3  อยากทราบว่า  อนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบิน  3  ฉบับ  คือ  อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  และอนุสัญญามอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  ทั้ง  3  ฉบับนี้  มีข้อบกพร่องที่สำคัญหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

อธิบาย

ในปัจจุบัน  มีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินและการก่อวินาศกรรมอยู่  3  ฉบับด้วยกัน  คือ

1       อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  (The  Tokyo  Convention  of  Offences  Committed on  board  Aircraft  of  1963)

2       อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  (The  Hague  Convention  for  the  Suppression of  Unlawful  Seizure  of  Aircraft  1970)

3       อนุสัญญามอลทรีล  ว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  (The  Montreal  Convention  for  the  Suppression  of  Unlawful Acts  Against  the  Safety  of  Civil  Aviation  1972)

อนุสัญญา  2  ฉบับแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินโดยเฉพาะ  ส่วนอนุสัญญาหลังกว้างครอบคลุมถึงการกระทำทุกชนิดที่กระทบต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ

อนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับนี้  แม้จะได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับความผิด  เขตอำนาจศาล  และสร้างพันธะให้แก่รัฐภาคีอันที่ต้องลงโทษผู้กระทำความผิด  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มิได้หามาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษรัฐภาคีที่ทำการละเมิดพันธะที่กำหนดไว้  กรณีจึงถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่สำคัญของอนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับดังกล่าว

 

ข้อ  4  จงอธิบายหลักในการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

อธิบาย

การพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสนั้น  ถือหลักว่าด้วยการกระทำที่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งมีหลักสำคัญอยู่ว่ากฎหมายฝรั่งเศสไม่คำนึงถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดแต่ถือสาระสำคัญทางการกระทำ  ซึ่งถ้าเป็นการกระทำที่กระทบต่อธรรมนูญการปกครองและรัฐบาล  โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างการปกครองของประเทศในหลักอันประกอบไปด้วยอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจตุลาการและอำนาจบริหาร  รวมทั้งรัฐบาลด้วยแล้ว  ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางการเมือง  ซึ่งห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดน 

Advertisement