การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4006 (LA 406),(LW 405) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ชลิตเกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2530 จากบิดาและมารดาสัญชาติจีนเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 บิดาได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเมื่อปี พ.ศ.2527 ส่วนมารดาได้รับใบสำคัญดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ.2532 ชลิตได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย
พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 ทวิ วรรคแรก ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย ถ้าในขณะที่เกิด บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น
(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
มาตรา 11 บทบัญญัติมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ก่อนวันที่พะราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337
ข้อ 1 ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น
(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ข้อ 2 บุคคลตามข้อ 1 ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว ไม่ได้สัญชาติไทย เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น
วินิจฉัย
ชลิตได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่ เห็นว่า ชลิตเกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2530 จากบิดามารดาสัญชาติจีน กรณีจึงถือได้ว่าชลิตเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2515) มีผลทำให้ชลิตได้รับสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 2 และข้อ 1(3) ซึ่งกำหนดให้เฉพาะกรณีต่อไปนี้เท่านั้นไม่ได้รับสัญชาติไทยคือ
1 มีบิดา (ที่ชอบด้วยกฎหมาย) เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หรือ
2 มีมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายและเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะเกิด ชลิตมีบิดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองโดยชอบและมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวด้วย แม้มารดาของชลิตจะเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองก็ตาม แต่ชลิตก็มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ชลิตจึงได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3) กรณีไม่ต้องด้วยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 2 และข้อ 1(3) (ฎ. 213/2531)
แต่ครั้นถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติสัญชาติ ฉบับที่ 2 มีผลใช้บังคับ ย่อมทำให้ชลิตไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 ทวิ วรรคแรก เพราะในขณะที่เกิด (พ.ศ. 2530) มารดายังไม่ได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว จึงถือว่ามารดาได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ทั้งนี้โดยมาตรา 11 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าวได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา 7 ทวิ มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 อันเป็นวันที่ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ใช้บังคับด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้มาตรา 7 ทวิ วรรคแรก ซึ่งทำให้ชลิตไม่ได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดเลยนั้น ถือว่าเป็นผลร้ายยิ่งกว่าประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดโดยตรง กรณีจึงไม่ย้อนกลับไปใช้บังคับ ยังคงบังคับตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 เพราะในข้อเท็จจริงเดียวกันถ้ามีกฎหมายเป็นโทษบังคับหลายฉบับ ให้บังคับตามกฎหมายที่เป็นโทษน้อยที่สุด ดังนั้น ชลิตจึงยังคงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3)
สรุป ชลิตยังคงได้รับสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3)
ข้อ 2 นายโซโนเกิดจากบิดามารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติอินโดนีเซีย แต่เกิดและมีภูมิลำเนาในประเทศมาเลเซียตามกฎหมายอินโดนีเซียบุคคลย่อมได้สัญชาติอินโดนีเซียหากเกิดจากบิดาเป็นอินโดนีเซียไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกประเทศอินโดนีเซีย และตามกฎหมายมาเลเซียบุคคลย่อมได้สัญชาติมาเลเซียหากเกิดในประเทศมาเลเซีย กฎหมายอินโดนีเซียกำหนดไว้อีกว่าบุคคลบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆเมื่ออายุครบ 19 ปีบริบูรณ์ แต่ตามกฎหมายมาเลเซียต้องมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ในขณะที่นายโซโนมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ได้เดินทางมาประเทศไทย และทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มจำนวน 10 เครื่องจากนายปัญญาคนสัญชาติไทย ต่อมาบุคคลทั้งสองนำคดีขึ้นสู่ศาลไทยโดยมีประเด็นข้อพิพาทข้อหนึ่งว่านายโซโนมีความสามารถทำสัญญาฉบับนี้หรือไม่ ศาลไทยควรจะวินิจฉัยอย่างไร
ธงคำตอบ
มาตรา 6 วรรคสอง ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไป อันได้รับมาคราวเดียวกัน ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่บังคับ ถ้าบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นนอกจากประเทศซึ่งตนมีสัญชาติสังกัดอยู่ ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาในเวลายื่นฟ้องบังคับ ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ ในกรณีใดๆที่มีการขัดกันในเรื่องสัญชาติของบุคคล ถ้าสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดซึ่งขัดกันนั้นเป็นสัญชาติไทย กฎหมายสัญชาติซึ่งจะใช้บังคับได้แก่ กฎหมายแห่งประเทศสยาม
มาตรา 10 วรรคแรกและวรรคสอง ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น
แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 19 บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์
วินิจฉัย
ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร เห็นว่า ปัญหาข้อพิพาทที่ว่านายโซโนมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มจากนายปัญญาคนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคแรก
แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายโซโนมีทั้งสัญชาติอินโดนีเซียและสัญชาติมาเลเซียซึ่งได้รับมาในขณะเดียวกัน(ได้รับมาพร้อมกัน) กรณีเช่นนี้ กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ คือ กฎหมายสัญชาติของประเทศที่นายโซโนมีภูมิลำเนาอยู่ อันได้แก่ กฎหมายมาเลเซียตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 6 วรรคสอง ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายมาเลเซียแล้ว นายโซโนย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้ เนื่องจากตามกฎหมายมาเลเซียกำหนดว่า บุคคลจะบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆ ได้เมื่อมีอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ เมื่อในขณะทำนิติกรรมนายโซโนมีอายุเพียง 20 ปี จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ดี แม้นายโซโนจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ แต่อาจถือได้ว่านายโซโนคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้ หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังนี้คือ
1 คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก
2 ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตาม ข้อ 1
3 แต่ตามกฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ 1) ได้
ฉะนั้นแล้ว การที่นายโซโนได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก และตามกฎหมายสัญชาติของนายโซโน(มาเลเซีย) ก็ถือว่านายโซโนไร้ความสามารถหรือมมีความสามารถอันจำกัด แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว นายโซโนกลับมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้ เพราะถือว่านายโซโนบรรลุนิติภาวะแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 19 ดังนั้นศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่านายโซโนมีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้ได้ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 10 วรรคสอง
สรุป ศาลไทยควรวินิจฉัยว่านายโซโนมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มดังกล่าวได้
ข้อ 3 อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน ค.ศ.1963 อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ.1970 และอนุสัญญากรุงมอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน ค.ศ.1971 นั้น มีข้อบกพร่องที่สำคัญอยู่หรือไม่ อย่างไร ให้ท่านตอบมา
ธงคำตอบ
อธิบาย
ในปัจจุบัน มีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินและการก่อวินาศกรรมอยู่ 3 ฉบับด้วยกัน คือ
1 อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน ค.ศ. 1963 (The Tokyo Convention of Offences Committed on board Aircraft of 1963)
2 อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 (The Hague Convention for the Suppression of Unlawful Seizure of Aircraft 1970)
3 อนุสัญญามอลทรีล ว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน ค.ศ. 1971 (The Montreal Convention for the Suppression of Unlawful Acts Against the Safety of Civil Aviation 1972)
อนุสัญญา 2 ฉบับแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินโดยเฉพาะ ส่วนอนุสัญญาหลังกว้างครอบคลุมถึงการกระทำทุกชนิดที่กระทบต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ
อนุสัญญาทั้ง 3 ฉบับนี้ แม้จะได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับความผิด เขตอำนาจศาล และสร้างพันธะให้แก่รัฐภาคีอันที่ต้องลงโทษผู้กระทำความผิด แต่อย่างไรก็ตาม ก็มิได้หามาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษรัฐภาคีที่ทำการละเมิดพันธะที่กำหนดไว้ กรณีจึงถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่สำคัญของอนุสัญญาทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว
ข้อ 4 จงอธิบายหลักกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการแปลงสัญชาติภายหลังการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาโดยสังเขป พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย
ธงคำตอบ
อธิบาย
การแปลงสัญชาติภายหลังการกระทำความผิดของผู้ถูกร้องให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น มีหลักทั่วไปว่า “การแปลงสัญชาติไม่มีผลย้อนหลัง” ซึ่งหมายความว่า บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะใช้สิทธิอันเกิดจากการแปลงสัญชาติประการใดนั้น ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รับสิทธิดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ประกาศรับแปลงสัญชาติเป็นต้นไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะมีผลนับแต่วันที่มีการอนุมัติให้แปลงสัญชาติ ฉะนั้นแล้ว รัฐผู้รับคำขอจึงสามารถพิจารณาคดีนั้นๆได้โดยถือว่าบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนเป็นคนของรัฐอื่น
แต่อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศเยอรมันและประเทศเบลเยียมนั้น ให้ถือว่าการแปลงสัญชาติของผู้ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น อันถือว่าเป็นข้อยกเว้นของหลักทั่วไปดังกล่าว ดังนั้น รัฐผู้รับคำขออาจจะปฏิเสธไม่ส่งบุคคลนั้นข้ามแดนตามคำขอได้ เพราะถือว่าบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนเป็นคนในสัญชาติของตนแล้วนั่นเอง
สำหรับประเทศไทย ตามหลักกฎหมายไทยถือหลักว่า การแปลงสัญชาติไม่อาจเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากการที่ต้องถูกส่งตัว ซึ่งเท่ากับว่าถือตามหลักทั่วไปดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน
ตัวอย่าง นายชินเน เป็นคนสัญชาติไทยได้กระทำความผิดในประเทศไทย แล้วหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และในขณะดังกล่าวนายชินเนก็ได้แปลงสัญชาติเป็นพลเมืองของประเทศอังกฤษ ต่อมาประเทศไทยได้มีคำขอให้ประเทศอังกฤษ (ที่จำเลยได้แปลงสัญชาติ) ส่งตัวนายชินเนกลับประเทศ ดังนี้ การแปลงสัญชาติของนายชินเนไม่มีผลย้อนหลัง กล่าวคือ ในขณะที่นายชินเนกระทำความผิด นายชินเนยังไม่มีสัญชาติอังกฤษ นายชินเนจึงไม่อาจยกเหตุการณ์แปลงสัญชาติขึ้นมาต่อสู้มิให้ส่งตัวได้
แต่ถ้าคำร้องขอข้างต้น นายชินเนได้กระทำความผิดและหลบหนีไปยังประเทศเบลเยี่ยมหรือประเทศเยอรมันและได้แปลงสัญชาติ กรณีเช่นนี้นายชินเนอาจยกต่อสู้ในการที่ตนแปลงสัญชาติเพื่อไม่ให้ถูกส่งข้ามแดนได้เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศยังไม่ได้ยึดถือหลักทั่วไปนี้ หรือถือว่า การแปลงสัญชาติย่อมมีผลย้อนหลังนั่นเอง.