การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

Advertisement

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เมื่อวันที่  9  มกราคม  พ.ศ. 2530  จากบิดาคนสัญชาติไทยส่วนมะขิ่น  มารดาเป็นแรงงานต่างด้าว  สัญชาติพม่า  ซึ่งทำงานในสวนยางพารา  แต่ก็ได้รับอนุญาตจากทางการให้ทำงานได้  นายดำบิดาเพิ่งมาจดทะเบียนรับรองประเสริฐเป็นบุตรชายเมื่อ  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2535  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ประเสริฐได้หรือเสียสัญชาติไทย  อย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย  ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

มาตรา  1557  การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้

วินิจฉัย

ประเสริฐได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เมื่อวันที่  9  มกราคม  พ.ศ. 2530  กรณีจึงถือได้ว่าประเสริฐเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลบังคับใช้  (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่  14 ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  มีผลทำให้ประเสริฐไม่ได้รับสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  แม้จะเกิดในราชอาณาจักรไทยก็ตาม  ทั้งนี้  เพราะประเสริฐเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ขณะนั้นบิดาและมารดาของประเสริฐมิได้จดทะเบียนสมรสกัน)  และในขณะที่เกิดนั้น  มารดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  2  และข้อ  1(3)

และประเสริฐก็ไม่ได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  เพราะในขณะเกิด  บิดาของประเสริฐยังไม่ได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  แม้จะมีสัญชาติไทย  กรณีก็ไม่ต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว

อนึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าในวันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2535  นายดำบิดาของประเสริฐจะได้มาจดทะเบียนรับรองประเสริฐเป็นบุตรก็ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1547  อันนี้มีผลทำให้ประเสริฐกลายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายดำบิดา  และมีผลทำให้นายดำเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของประเสริฐก็ตาม  ก็หาทำให้ประเสริฐกลับได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  ไปไม่  เพราะผลของการเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว  บทบัญญัติแห่ง  ป.พ.พ.  มาตรา  1557  (เดิม)  กำหนดให้มีผลนับแต่วันที่บิดาจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตร  และคำว่า  บิดา  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติฯ  มาตรา  7(1)  หมายถึงบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายในขณะเกิดเท่านั้น  (ฎ. 1119/2527  ฎ. 3120/2528)

แต่อย่างไรก็ดีเมื่อตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1557  ได้มีการแก้ไขบัญญัติใหม่เป็นว่า  การเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  (ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่  8  มีนาคม  พ.ศ. 2551)  ผลของการแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว  จึงทำให้ประเสริฐกลับมาได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  เพราะเกิดโดยบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป  ประเสริฐได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ. สัญชาติฯ  มาตรา  7(1)  ตั้งแต่เกิดเพราะเกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย

 

ข้อ  2  ลานาหญิงสัญชาติบรูไนสมรสกับฮุนชายสัญชาติเกาหลี  กฎหมายสัญชาติบรูไนกำหนดว่าหญิงบรูไนซึ่งสมรสกับคนต่างด้าวจะไม่เสียสัญชาติบรูไนจนกว่าหญิงนั้นจะแสดงความจำนงสละสัญชาติบรูไนและกฎหมายสัญชาติเกาหลีกำหนดว่าหญิงต่างด้าวซึ่งสมรสกับชายเกาหลีย่อมได้สัญชาติเกาหลีโดยการสมรส  ส่วนกฎหมายภายในบรูไนกำหนดว่าบุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมสัญญาใดๆได้เมื่ออายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่กฎหมายเกาหลีต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลานายังไม่ได้แสดงความจำนงสละสัญชาติบรูไนและในขณะที่ลานามีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  ลานาได้เดินทางมาประเทศไทย  เพื่อทำสัญญาซื้อรถไถนาจำนวน  10  คัน  จากนายประดิษฐ์คนสัญชาติไทย  หลังจากนั้นลานาและนายประดิษฐ์  มีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลไทยโดยประเด็นข้อพิพาทมีว่า  ลานามีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้หรือไม่

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคแรก  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไปอันได้รับมาเป็นลำดับ  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้รับครั้งสุดท้ายบังคับ

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่าลานาจะทำสัญญาซื้อรถไถนาจากนายประดิษฐ์คนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ลานามีทั้งสัญชาติบรูไนและสัญชาติเกาหลีอันได้รับมาเป็นลำดับ  (ไม่พร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้  กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้มาครั้งสุดท้าย  อันได้แก่  กฎหมายเกาหลีตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481 มาตรา  6  วรรคแรก  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายเกาหลีแล้ว  ลานาย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายเกาหลีกำหยดว่า  บุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมใดๆ  ได้ต่อเมื่อมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรม  ลานามีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้ลานาจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่าลานาคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข  ดังนี้คือ

1)    คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกำหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2)    ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตามข้อ  1

3)    แต่กฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่ลานาได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของลานา  (เกาหลี)  ก็ถือว่าลานาเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้ว  ลานามีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  เพราะถือว่าลานาบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19  ดังนั้น  ศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่ามีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่าลานามีความสามารถทำสัญญาซื้อรถไถนาดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เครื่องบินโดยสารของสายการบินแห่งหนึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้ถูกชาวลิเบีย  2  คน  เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางนำเครื่องบินไปร่อนลงที่ลิเบีย  ในเครื่องบินโดยสารลำนี้มีผู้โดยสาร  130  คน  ต่อมานักบินนำเครื่องบินร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนาริตะประเทศญี่ปุ่น  โดยอ้างว่า  จำเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง  ชาวลิเบียทั้ง  2  คน  ได้ปล่อยตัวผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด  และยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากข่าวดังกล่าวการกระทำของชาวลิเบียถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ให้นิยามของคำว่า  สลัดอากาศ  ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  ทั้งนี้  รวมถึงการพยายามกระทำความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การกระทำของชาวลิเบียถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่อย่างไร  เห็นว่า  การกระทำของชาวลิเบีย  2  คน  ซึ่งอยู่ในเครื่องบินลำนั้นที่เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางเครื่องบินไปร่อนลงที่ประเทศลิเบีย  แทนที่จะไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามกำหนดการเดิม  ถือเป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยานซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  และแม้ได้ความว่า  สลัดอากาศทั้ง  2  คน  ได้ยอมจำนนซึ่งยังไปไม่ถึงประเทศลิเบียก็ตาม  การกระทำของทั้งคู่ก็ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  แล้ว  ทั้งนี้เพราะความผิดดังกล่าวได้บัญญัติให้รวมถึงการพยายามกระทำความผิดด้วย

สรุป  การกระทำของชาวลิเบีย  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

 

ข้อ  4  จงอธิบายลำดับขั้นตอนในการพิจารณาคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนของรัฐผู้รับคำขอมา  โดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยเหตุที่ประเทศต่างๆในสมัยก่อน  ถือหลักอำนาจอธิปไตยของตนเป็นใหญ่ในการพิจารณาปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน  โดยประเทศที่ถูกร้องขอให้ส่งตัวผู้ร้าย  ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของตนที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตตามคำร้องขอหรือไม่  ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนประเทศต่างๆ  มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป  เช่น  อาจยึดถือและปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่มีอยู่ระหว่างกัน  หรือมีกฎหมายภายในบัญญัติไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง  ดังนั้นเมื่อมีปัญหาขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งมีสัญชาติเดียวกับรัฐผู้รับคำขอเกิดขึ้น  รัฐผู้รับคำขอจึงต้องพิจารณาคำร้องและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศตามลำดับขั้นตอนดังนี้  คือ

1       ประเทศทั้งสองมีสนธิสัญญา  หรือสัญญาต่อกันในเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไว้หรือไม่

2       ถ้าไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน  รัฐผู้รับคำขอต้องนำกฎหมายภายใน  คือ  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาพิจารณา

3       ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายภายใน  รัฐผู้รับคำขอสามารถใช้เอกสิทธิ์ในการพิจารณาได้

อนึ่งในการนี้  รัฐผู้รับคำขอมีอำนาจพิจารณาว่าจะส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอหรือไม่ได้โดยอิสระ  ยกเว้นเป็นคดีความทางการเมืองที่ห้ามส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยเด็ดขาด 

Advertisement