การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1 ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสกลนคร เมื่อปี พ.ศ.2480 จากบิดานายไถ่ แซ่ห่วง สัญชาติฝรั่งเศส และมารดานางตรัม แซ่ห่วง สัญชาติเวียดนาม บิดามารดาอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ประเสริฐสมรสกับนางเตียด เวียดนามอพยพ จดทะเบียนสมรสที่อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เกิดบุตรในประเทศไทย 6 คน ก่อนประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ใช้บังคับ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ประเสริฐและบุตรได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย
พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 ทวิ วรรคแรก ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย ถ้าในขณะที่เกิด บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น
(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
มาตรา 11 บทบัญญัติมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ก่อนวันที่พะราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337
ข้อ 1 ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น
(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
วินิจฉัย
ประเสริฐและบุตรทั้ง 6 คนได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่ เห็นว่า ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสกลนคร เมื่อปี พ.ศ.2480 กรณีถือว่าประเสริฐเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(3)
ต่อมาเมื่อประเสริฐสมรสกับนางเตียด เวียดนามอพยพ และเกิดบุตรในประเทศไทย 6 คน ก่อนประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ (มีผลใช้บังคับวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515) กรณีเช่นนี้บุตรทั้ง 6 คนย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิตตาม พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 7(1) เพราะในขณะที่บุตรทั้ง 6 คนเกิด ประเสริฐบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย
และเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 มีผลใช้บังคับ ประเสริฐจึงถูกถอนสัญชาติไทย เพราะเป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว และได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(3)
แต่อย่างไรก็ดี การที่ประเสริฐถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(3) ก็ไม่มีผลกระทบทั้ง 6 คน เนื่องจากในขณะที่บุตรทั้ง 6 เกิด ประเสริฐบิดายังมีสัญชาติไทยอยู่และการได้สัญชาติของบุตรทั้ง 6 คน เป็นการได้มาตามหลักสายโลหิต มิใช่หลักดินแดน แม้ต่อมาประเสริฐจะถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติก็ตาม ก็ไม่มีบทบัญญัติให้ถอนสัญชาติของบุตรด้วยแต่ประการใด (ฎ.1204 – 1205 / 2533 ฎ.1513 – 1514/2531)
อนึ่งเมื่อ พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มีผลใช้บังคับแล้ว กรณีนี้ก็ไม่นำบทบัญญัติมาตรา 7 ทวิ โดยผลของมาตรา 11 ไปใช้บังคับกับประเสริฐซึ่งทำให้ประเสริฐไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดด้วย เพราะเป็นโทษกว่าประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ตามหลักที่ว่าเมื่อมีกฎหมายย้อนหลังเป็นโทษหลายฉบับ ให้ใช้กฎหมายที่เป็นโทษน้อยที่สุด
สรุป ประเสริฐได้สัญชาติไทยตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(3) ต่อมาถูกถอนสัญชาติไทย ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1(3) ส่วนบุตรทั้ง 6 คนได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 7(1)
ข้อ 2 นายมีชัยคนสัญชาติไทยได้ทำสัญญาซื้อเครื่องถ่ายเอกสารจำนวน 10 เครื่องจากนายฟูจิคนสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย โดยทำสัญญากันที่ประเทศออสเตรเลีย และขณะทำสัญญาเครื่องถ่ายเอกสารทั้งหมดนี้ก็อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อซื้อขายกันแล้วปรากฏว่าสวิตซ์ตัวปิดเปิดของเครื่องถ่ายเอกสารทั้ง 10 เครื่องอยู่ในสภาพชำรุดใช้การไม่ได้ นายมีชัยจึงขอเปลี่ยน แต่นายฟูจิไม่ยอมเปลี่ยนให้โดยโต้แย้งว่าตนในฐานะผู้ขายไม่จำต้องรับผิดในกรณีการชำรุดที่เกิดขึ้นนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่านายมีชัย และนายฟูจิไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะให้ใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่ข้อพิพาทที่เกิดจากสัญญาฉบับนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากศาลไทยรับข้อพิพาทที่ว่านี้ของสัญญาฉบับนี้ไว้พิจารณา ศาลไทยควรจะนำกฎหมายของประเทศใดขึ้นปรับแก่ข้อพิพาทที่ว่านี้ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 13 วรรคแรก ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
วินิจฉัย
โดยหลักแล้ว การจะพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่สาระสำคัญหรือผลของสัญญานั้น กรณีเป็นไปตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 มาตรา 13 วรรคแรก ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีตามลำดับได้ดังนี้
1 กรณีที่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยายให้นำมาใช้บังคับ ก็ให้นำกฎหมายของประเทศนั้นมาใช้บังคับ
2 กรณีที่ไม่อาจทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา
(ก) ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของคู่สัญญามาใช้บังคับ
(ข) ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน กรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น
ศาลไทยควรจะนำกฎหมายของประเทศใดขึ้นปรับแก่ข้อพิพาทที่ว่านายฟูจิ (ผู้ขาย) จะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สิน (เครื่องถ่ายเอกสาร) ที่ซื้อขายกันหรือไม่นั้น เห็นว่า กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคู่สัญญาไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง หรือโดยปริยายว่าให้นำกฎหมายประเทศใดมาใช้บังคับแก่ผลของสัญญา จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายได้ว่าคู่สัญญาจะให้ใช้กฎหมายใดบังคับแก่ผลของสัญญา ทั้งนายมีชัยและนายฟูจิคู่สัญญาก็ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกัน กรณีเช่นนี้กฎหมายที่จะใช้บังคับจึงได้แก่ กฎหมายออสเตรเลีย ซึ่งเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญาฉบับนี้ได้ทำขึ้นตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ.2481 มาตรา 13 วรรคแรก
ดังนั้น หากได้ความว่าศาลไทยรับข้อพิพาทที่ว่านี้ไว้พิจารณา ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายออสเตรเลียขึ้นมาปรับใช้แก่ข้อพิพาทดังกล่าว
สรุป ศาลไทยควรนำกฎหมายออสเตรเลียขึ้นมาปรับใช้แก่ข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้น
ข้อ 3 เครื่องบินของสายการบินอีสต์เอเชียมีกำหนดที่จะเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศอินเดีย ขณะที่เครื่องบินกำลังเปิดประตูเพื่อให้ผู้โดยสารเดินขึ้นเครื่องอยู่นั้น นายกิมคนสัญชาติจีนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โดยสารที่ขึ้นเครื่องไปก่อน ได้ใช้คัตเตอร์จี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องโดยเรียกร้องนักบินว่า หากนำเครื่องขึ้นแล้วให้นำเครื่องบินไปที่ประเทศจีนแทนประเทศอินเดีย แต่ปรากฏว่าผู้โดยสารคนอื่นๆได้เข้ามาช่วยจับนายกิมไว้ได้ และเครื่องบินของสายการบินอีสต์เอเชียก็บินไปยังประเทศอินเดียได้ตามกำหนดการเดิม กรณีดังกล่าวนายกิมถือว่าได้กระทำความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ.1970 หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
วินิจฉัย
อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ. 1970 มาตรา 1 ได้บัญญัติถึงลักษณะของการจี้เครื่องบินอันเป็นการกระทำความผิดฐานสลัดอากาศว่า เป็นการกระทำโดย
(1) บุคคลที่อยู่ในเครื่องบินนั้น
(2) การกระทำนั้นเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้กระทำต่อเครื่องบินลำนั้นเอง
(3) การกระทำนั้นเกิดในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว การกระทำของนายกิม แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายและเป็นบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นก็ตาม แต่ว่าการกระทำของนายกิมมิได้กระทำในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ ซึ่งตามอนุสัญญากรุงเฮกฯค.ศ.1970 มาตรา 3 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “กำลังบินหรืออยู่ในระหว่างการบิน” ว่า หมายถึง ระยะเวลาตั้งแต่เมื่อประตูถูกปิดหลังจากได้มีการขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้วจนกระทั่งประตูถูกเปิดเพื่อให้ลงจากเครื่องอีกครั้ง ดังนั้น การที่นายกิมได้จี้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินในขณะที่เครื่องบินกำลังเปิดประตูเพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องบิน นายกิมจึงไม่มีความผิดฐานสลัดอากาศ ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ.1970
สรุป นายกิมไม่มีความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ ค.ศ.1970
ข้อ 4 จงอธิบายถึงหลักในการพิจารณาว่าความผิดที่มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น เป็นความผิดทางการเมืองหรือไม่ของประเทศฝรั่งเศสมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ
อธิบาย
ประเทศฝรั่งเศสมีหลักกฎหมายที่จะนำมาใช้ในการพิจารณาว่า ความผิดที่มีการร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น เป็นความผิดทางการเมืองหรือไม่ว่า หากการกระทำใดเป็นการกระทำที่กระทบต่อธรรมนูญการปกครองและรัฐบาล โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างหลักการปกครองของประเทศในหลักอันประกอบไปด้วยอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ และอำนาจบริหาร รวมทั้งรัฐบาลด้วยแล้ว ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางการเมือง (ตัวอย่างเช่น คดี In re Giovanni Gatti, Ann. Die, 194 No. 70)
ซึ่งคดีการเมืองของฝรั่งเศสนี้ ถือหลักว่าด้วยการกระทำที่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ ซึ่งไม่คำนึงถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิด แต่ถือสาระสำคัญทางการกระทำเป็นสาระสำคัญ