การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. โรงงานผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าใช้สำหรับรถยนต์ ชื่อโรงงานไทยเจริญ มีพนักงาน 300 คน โรงงานตั้งอยู่ ที่นวนคร ซึ่งถูกน้ำท่วมเสียหาย ทำให้โรงงานต้องนำเงินไปซ่อมแซมโรงงาน จึงทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน จึงขอปรึกษาท่านในฐานะที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย ว่าต้องการหยุดกิจการทั้งหมดเป็นการ ชั่วคราว ต้องดำเนินการอย่างไร และถ้าจะเลิกจ้างพนักงานบางส่วน จะต้องจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ อย่างไร
ธงคำตอบ
กรณีดังกล่าว ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของโรงงานไทยเจริญ ข้าพเจ้าจะ ให้คำแนะนำแก่โรงงานฯ ดังนี้ คือ
การที่โรงงานฯ ในฐานะนายจ้างต้องการหยุดกิจการทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากโรงงาน ถูกน้ำท่วมเสียหาย ทำให้โรงงานต้องนำเงินไปซ่อมแซมโรงงานจึงทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินนั้น ถือว่ามิใช่ การหยุดกิจการเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้นโรงงานฯ ในฐานะนายจ้างต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 75 คือ
1. ให้จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับ ก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทำงาน และ
2. ก่อนที่จะหยุดกิจการ จะต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้า เป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 3 วันทำการด้วย
ในกรณีที่โรงงานฯ จะเลิกจ้างพนักงานบางส่วน โรงงานฯ ก็จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเลิกจ้างด้วย โดยให้จ่ายค่าชดเชยตามหลักเกณฑ์การจ่ายค่าชดเชยตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 118 ดังนี้คือ
(1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไม่ครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการท่างานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี แต่ไม่ครบหกปี ให้จ่ายไมน้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้าง ซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(4) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหกปี แต่ไม่ครบสิบปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย สองร้อยสี่สิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(5) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไปให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวันหรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
ข้อ 2. นายนทีเป็นพนักงานสมุห์บัญชีของบริษัท ได้รับค่าจ้างเดือนละ 20,000 บาท นายจ้างได้เรียก หลักประกันเป็นเงินสดจำนวน 40,000 บาท และมีข้อตกลงว่าให้คืนเงินประกันเมือมีการเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกภายใน 2 เดือนนับจากวันทำงานวันสุดท้ายเพื่อตรวจสอบความเสียหาย นายนที เห็นว่าไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานจึงต้องการไปดูลู่ทางการทำงานกับเพื่อนที่ จ.ภูเก็ต จึงขอ ลาหยุดตั้งแต่วันที่ 20 ถึงวันที่ 22 ตุลาคม นายจ้างทราบก็ไม่อนุญาต แต่นายนทีก็ยังเดินทางไป ตามที่ตั้งใจและกลับมาทำงานในวันที่ 23 ตุลาคม นายจ้างจึงบอกเลิกจ้างด้วยวาจาโดยไม่แจ้งเหตุผล เพราะเห็นว่าน่าจะเข้าใจอยู่แล้วและไม่จ่ายค่าชดเชยให้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายนทีทำงานได้ 2 ปี 8 เดือนแล้ว เช่นนี้ นายนทีจะต่อสู้เรียกร้องอะไรได้บ้าง และเมื่อนายนทีขอคืนหลักประกัน นายจ้าง ก็อ้างว่าต้องรออีก 2 เดือน ตามที่มีข้อตกลงกันไว้เพื่อตรวจสอบความเสียหายก่อน จงอธิบาย ตามลำดับ
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
มาตรา 10 “ภายใต้บังคับมาตรา 51 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน การทำงานหรือหลักประกันความเสียหายในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินอื่นหรือการค้ำประกันด้วยบุคคล จากลูกจ้าง เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานที่ทำนั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของ นายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างได้ ทั้งนี้ ลักษณะหรือสภาพของงานที่ให้เรียกหรือรับหลักประกัน จากลูกจ้าง ตลอดจนประเภทของหลักประกัน จำนวนมูลค่าของหลักประกัน และวิธีการเก็บรักษา ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกัน หรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสียหาย ที่ลูกจ้างเป็นผู้กระทำ เมื่อนายจ้างเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกหรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคืนหลักประกัน พร้อมดอกเบี้ย ถ้ามี ให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี”
มาตรา 17 วรรคสี่ “การบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรานี้ไม่ใช้บังคับแก่การเลิกจ้างตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 583 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์”
มาตรา 118 “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้
(2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไม่ครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย”
มาตรา 119 “นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่ เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะ ยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้”
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้น เป็นโมฆะ”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจ้างรับนายนทีเข้าทำงานเป็นพนักงานสมุห์บัญชีของบริษัท โดย ได้เรียกหลักประกันเป็นเงินสด 40,000 บาท นั้น เมื่อการทำงานของนายนทีลูกจ้างมีลักษณะหรือสภาพของงานที่ ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้างตามมาตรา 10 วรรคแรก ทั้งนายจ้างเรียกเงินประกัน การทำงานไม่เกิน 60 เท่าของอัตราค่าจ้างรายวันโดยเฉลี่ย (ตามประกาศกวะทรวงแรงงาน) ดังนั้น การเรียก หลักประกันของนายจ้างดังกล่าวจึงถูกต้อง
แต่อย่างไรก็ตาม การทำข้อตกลงให้นายจ้างคืนเงินประกันภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้าย เมื่อมีการเลิกจ้าง หรือลูกจ้างลาออกนั้น ถือเป็นการทำข้อตกลงที่ขัดกับมาตรา 10 วรรคสอง ที่กำหนดให้นายจ้าง คืนหลักประกันพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วันนับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้างหรือลูกจ้างลาออก ซึ่งถือว่า เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 นายจ้างจึงต้องคืนหลักประกันพร้อมดอกเบี้ยให้แก่นายนทีภายใน 7 วันนับแต่วันที่เลิกจ้าง
สำหรับกรณีที่นายนทีเดินทางไป จ.ภูเก็ต โดยนายจ้างไม่อนุญาตนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 119 วรรคแรก (5) คือ เป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งนายจ้าง มีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (ฎีกาที่ 2610/2545) แต่เมื่อปรากฏว่านายจ้างไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้าง ให้นายนทีลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง ย่อมทำให้นายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้ตามมาตรา 119 วรรคสอง นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายนทีตามมาตรา 118 ทั้งนี้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 17 วรรคสี่ เพราะถือเป็นการเลิกจ้างตามมาตรา 119
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายนทีทำงานมาแล้ว 2 ปี 8 เดือน จึงถือเป็นกรณีที่ลูกจ้างทำงาน ติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ดังนั้น นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่นายนทีตามมาตรา 118(2) เป็น จำนวน 90 วัน คิดเป็นจำนวนเงิน 60,000 บาท (20,000 X 3) (ฎีกาที่ 5321/2545)
สรุป นายนทีสามารถต่อสู้เรียกร้องเอาหลักประกันซึ่งเป็นเงินสด 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย คืนได้ภายใน 7 วันนับแต่วันที่เลิกจ้าง รวมทั้งเรียกเอาค่าชดเชยเป็นเวลา 90 วัน คิดเป็นจำนวนเงิน 60,000 บาทได้
ข้อ 3. นายสันติเป็นลูกจ้างรายวันของบริษัท ธงชัยฮาร์ดแวร์ จำกัด ได้รับค่าจ้างวันละ 300 บาท ทำงาน มานาน 11 ปี มีตำแหน่งทดสอบกำลังไฟในอุปกรณ์เครื่องกลที่ผลิตขึ้น ขณะปฏิบัติงานอยู่นายก้อง เพื่อนร่วมงานได้เดินมาพูดคุยและเกิดการทะเลาะกัน นายก้องผลักนายสันติไปกระทบแท่นทดสอบกำลังไฟ นายสันติถูกไฟฟ้าช็อตได้รับบาดเจ็บแล้วสลบไป นายจ้างจึงนำนายสันติส่งไป รักษาตัวในโรงพยาบาล นายสันติได้รับการรักษาในโรงพยาบาล 1 เดือน แพทย์ให้นายสันติพักฟื้นต่อ ที่บ้าน 1 เดือน ระหว่างนี้ต้องมาทำแผลกับพยาบาลเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง ให้นักศึกษาพิจารณาว่า นายจ้างต้องจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายหรือไม่ ให้อธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537
มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้
“ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง”
มาตรา 13 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการ รักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 15 “กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง”
มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ด้งต่อไปนี้
วินิจฉัย
การประสบอันตรายที่ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนตามมาตรา 13, 15 และ 18 นั้น จะต้อง เป็นการประสบอันตรายตามคำนิยามมาตรา 5 คือ จะต้องเป็นกรณีที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กาย หรือผลกระทบ แก่จิตใจ หรือถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาผลประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือตามคำสั่งของ นายจ้าง ดังนั้นหากลูกจ้างประสบอันตรายเพราะสาเหตุส่วนตัว ย่อมไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนดังกล่าว
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันติลูกจ้างประสบอันตรายนั้นเนื่องมาจากการพูดคุยกับนายก้อง เพื่อนร่วมงาน แล้วเกิดการทะเลาะกัน และนายก้องได้ผลักนายสันติไปกระทบแท่นทดสอบกำลังไฟ จนทำให้ นายสันติถูกไฟฟ้าช็อตได้รับบาดเจ็บแล้วสลบไป ดังนั้นการประสบอันตรายของนายสันติดังกล่าวจึงถือเป็นการ ประสบอันตรายที่มาจากสาเหตุส่วนตัว แม้จะเกิดขึ้นในขณะปฏิบัติงานก็ตาม ซึ่งเมื่อพิจารณาการได้เงินทดแทน ตามคำนิยามมาตรา 5 ประกอบมาตรา 13, 15 และ 18 นายสันติจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ในการทำงาน และค่าทดแทนได้นั้นจะต้องเป็นการประสบอันตรายจากการทำงานเท่านั้น ด้งนั้นเมื่อนายสันติได้ ประสบอันตรายที่มาจากสาเหตุส่วนตัวมิได้มาจากการทำงาน นายจ้างจึงไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนให้แก่นายสันติ
สรุป นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนตามกฎหมายให้แก่นายสันติ
ข้อ 4. ลูกจ้างโรงงานทอผ้าแจ่มจันทร์ในจังหวัดสมุทรปราการ รวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้างขอ ขึ้นค่าจ้างจากค่าจ้างเดิมในอัตราร้อยละ 10 ขอเพิ่มสวัสดิการคูปองอาหารกลางวันจากเดิมวันละ 50 บาท เป็นวันละ 70 บาท การปรับเปลี่ยนหน้าที่ลูกจ้างไปประจำยังสาขาของนายจ้าง นายจ้าง ต้องให้ลูกจ้างแสดงความจำนงว่าประสงค์จะย้ายไปจังหวัดใด การเจรจาผ่านไปด้วยดีทั้งสองฝาย ตกลงกันได้ จึงจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีระยะเวลาผูกพัน 1 ปี ในระหว่างที่ข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลบังคับใช้ นายอุทิศลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องมีปัญหาขัดแย้ง กับนางแจ่มจันทร์ซึ่งเป็นนายจ้าง ช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงเวลาปรับเปลี่ยนโยกย้ายลูกจ้างไปประจำ สาขาตามความเหมาะสม นายจ้างได้มีคำสั่งย้ายนายอุทิศไปประจำโรงงานทอผ้าซึ่งเป็นสาขา ในจังหวัดสมุทรสงครามตามที่นายอุทิศแสดงความจำนงไว้ก่อนแล้ว นายอุทิศไม่ไปอ้างว่านายจ้าง ไม่สามารถทำได้ตามกฎหมาย การโยกย้ายดังกล่าวมาจากปัญหาความขัดแย้งที่นายจ้างเห็นว่า นายอุทิศเกี่ยวข้องกับการเรียกร้อง นางแจ่มจันทร์จึงอ้างว่านายอุทิศขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย จึงบอกเลิกสัญญาจ้างและให้นายอุทิศออกจากงานทันที ดังนี้ นายอุทิศจะได้รับการคุ้มครองตาม กฎหมายแรงงานสัมพันธ์หรือไม่ ให้อธิบาย
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
มาตรา 123 “ในระหว่างที่ข้อตกลงเที่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำชี้ขาดมี ผลใช้บังคับ ห้ามมิให้ นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการหรือสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือกรรมการ หรือ อนุกรรมการสหพันธ์แรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่บุคคลดังกล่าว
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(2) จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างโดยนายจ้างได้ ว่ากล่าวและตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำต้องว่ากล่าวและตักเตือน ทั้งนี้ ข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งนั้นต้องมิได้ออกเพื่อขัดขวางมิให้บุคคลดังกล่าวดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง หรือ
(4) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
(5) กระทำการใด ๆ เป็นการยุยง สนับสนุน หรือชักชวนให้มีการฝ่าฝืนข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้างหรือคำชี้ขาด”
วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายอุทิศจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์หรือไม่ ซึ่งตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ นั้น การที่ลูกจ้างของโรงงานฯ ได้รวมตัวกันแจ้ง ข้อเรียกร้องต่อนายจ้างจนกระทั่งตกลงกันได้ และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กรณีเช่นนี้เป็นการปฏิบัติตาม ขั้นตอนของกฎหมายในการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ ลูกจ้างจึงได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติมาตรา 123 ที่นายจ้างจะเลิกจ้างลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับไม่ได้ หากนายจ้างเลิกจ้างย่อมถือว่าเป็นการกระทำ อันไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตามแม้ลูกจ้างจะได้รับความคุ้มครองดังกล่าว แต่ถ้าลูกจ้างได้กระทำความผิด อย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 123(1) – (5) นายจ้างก็สามารถเลิกจ้างได้ และไม่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม
จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นางแจ่มจันทร์ได้มีคำสั่งย้ายนายอุทิศลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับ ข้อเรียกร้องไปประจำโรงงานทอผ้าซึ่งเป็นสาขาในจังหวัดสมุทรสงครามในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลบังคับใช้นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายอุทิศลูกจ้างมีบัญหาขัดแย้งกับนางแจ่มจันทร์ซึ่งเป็นนายจ้าง แต่เมื่อการโยกย้ายดังกล่าวเป็นการโยกย้ายหน้าที่การงานตามปกติของนายจ้าง และเป็นการโยกย้ายตามข้อตกลง ที่ได้ตกลงกันไว้ ดังนั้น การโยกย้ายของนางแจ่มจันทร์ดังกล่าวจึงสามารถทำได้ตามกฎหมาย
และเมื่อมีคำสั่งโยกย้ายแล้ว นายอุทิศไม่ไปถือว่านายอุทิศได้ขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย ของนายจ้าง ซึ่งทำให้นายอุทิศไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 123(3) ดังนั้น นางแจ่มจันทร์ซึ่งเป็นนายจ้างย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างและให้นายอุทิศออกจากงานได้
แต่อย่างไรก็ตาม นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างและให้นายอุทิศออกจากงานทันทีนั้น นายจ้าง ไม่สามารถทำได้ นายจ้างจะเลิกจ้างได้ต้องมีหนังสือว่ากล่าวและตักเตือนแล้วตามมาตรา 123(3)
สรุป นายอุทิศไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เพราะได้ขัดคำสั่งอันชอบ ด้วยกฎหมายของนายจ้าง แต่นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างและให้นายอุทิศออกจากงานทันทีไม่ได้ นายจ้าง จะต้องว่ากล่าวและตักเตือนเป็นหนังสือก่อนตามมาตรา 123(3)